X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 22-24

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 22 ถามถึงเรื่องราวในอดีต

จะว่าไป เรื่องที่บ้านสามมีอนุถึงสามคนนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากไม่ใช่เพราะยกเรื่องทายาทสืบสกุลขึ้นอ้าง ผนวกกับมารดาของเสิ่นซื่อออกหน้าขอร้องด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ไหนเลยจะตกลงอนุญาต เพราะนอกจากบ้านสามแล้ว บ้านอื่นในจวนกั๋วกงไม่เพียงห้ามไม่ให้มีการรับอนุ แม้แต่สาวใช้ห้องข้างก็ไม่ได้

หนึ่งสามีหนึ่งภรรยาร่วมอบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาจึงกลายเป็นเรื่องปกติของจวนกั๋วกง ดังนั้นสถานการณ์ของบ้านสามแตกต่างกว่าบ้านอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

“เอ๋? พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วย วันนี้ทุกคนต่างมากันพร้อมหน้าเชียว พี่สาม หรือว่าพี่ลงมือเขียนเทียบเชิญทุกคนมา” ทันทีที่เข้ามาถึงในห้อง เฉินหานก็เริ่มเอ่ยปากกระเซ้าราวกับลืมเรื่องที่เมื่อคืนถูกเฉินอิ๋งฉีกหน้าไปจนสิ้น

จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกอยากสูบบุหรี่

คุณนักสืบเป็นสิงห์อมควันในชุดสูทรองเท้าหนัง โดยเฉพาะตอนกำลังครุ่นคิดเรื่องคดี บุหรี่เรียกได้ว่าแทบไม่เคยอยู่ห่างมือ ในฝันยาวนานตลอดห้าปีเฉินอิ๋งอาศัยโฉมหน้าของเขาพูดจาปฏิบัติการ ใช้วิธีการของเขาวินิจฉัยอนุมาน ดังนั้นจึงยากที่จะไม่ได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่าย

นางถึงกับนึกสงสัยว่ารอยยิ้มพิลึกพิลั่นของตนเองนั้นก็ได้รับอิทธิพลมาจากคุณนักสืบใช่หรือไม่

“น้องสี่ขายาวจริงๆ ที่นี่เพิ่งตั้งน้ำชาได้ไม่ทันไรพวกเจ้าก็มากันแล้ว” ด้วยเพราะเฉินจิ่นเป็นบุตรีคนโตที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นางจึงสามารถวางท่าได้เต็มเปี่ยม เฉินจิ่นกวาดตามองไปยังพวกเฉินชิงที่อายุยังน้อยก่อนจะเลิกคิ้วถาม “แค่เอ่ยปากทักทายพวกเจ้าก็ทำไม่เป็นอย่างนั้นหรือ”

คุณหนูอายุยังน้อยเหล่านั้นเพราะเกรงกลัวนางอยู่ไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดคุยหัวเราะเหมือนก่อนหน้า ต่างพากันเอ่ยปากหวาดๆ ว่า “คารวะพี่ใหญ่ คารวะพี่สาม”

ถึงจะมีกันสามคน แต่เสียงของพวกนางกลับแผ่วเบาเป็นที่สุด ต้องเงี่ยหูฟังถึงจะได้ยินชัด

เฉินจิ่นสองคิ้วยกสูงและตวาด “เงยหน้าขึ้น หลังตรง ห้ามหดหัวเป็นนกกระทาเช่นนั้น ดูได้เสียที่ไหน”

ยิ่งนางวางท่าเคร่งขรึมจริงจัง คุณหนูตัวน้อยทั้งหลายก็ยิ่งพากันหวาดหวั่น โดยเฉพาะเฉินเหมยที่อายุน้อยที่สุด ยามนี้ถึงกับหน้าตาซีดเผือด

เฉินหานเท้าคางยิ้มหวานคอยมองอยู่ข้างๆ “ให้พี่ใหญ่สั่งสอนเสียบ้าง พาพวกเจ้ามาด้วยนับว่าข้าคิดถูกแล้ว” ขณะกำลังพูดนางก็กวาดตามองมาทางคุณหนูหกเฉินหยวน ความรู้สึกอิจฉาไม่สมวัยปรากฏชัดอยู่บนใบหน้า

เฉินจิ่นงดงามโดดเด่น ในเมืองเซิ่งจิงเรียกว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ประจักษ์ชัด ส่วนหน้าตาของคุณหนูหกเฉินหยวนกลับเหนือกว่าเฉินจิ่นขึ้นไปอีกขั้น

ยามนี้นางเพิ่งจะอายุแปดขวบเท่านั้น แม้จะยังไม่โตเต็มที่ แต่หูตาจมูกคิ้วคางกลับเหมือนดั่งหลุดออกมาจากภาพวาด หลังจากนี้อีกสองสามปีเชื่อว่าย่อมสามารถเติบโตเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองได้ไม่ยาก

พอเห็นเฉินหานจ้องตนเองเขม็งเช่นนั้น เฉินหยวนก็กลัวจับจิตจับใจ นางแอบขยับไปหลบอยู่หลังเฉินชิงคล้ายนึกอยากขดตัวเป็นก้อน

“น้องหกมานี่ มาอยู่ข้างๆ พี่ใหญ่” เฉินจิ่นกวักมือเรียกเฉินหยวน สายตากวาดมองไปทางเฉินหาน เผยให้เห็นสายตาดูแคลน ก่อนจะถอดกำไลเส้นทองฝังมุกฝีมือประณีตบนข้อมือออก กวัดแกว่งมันไปมาพลางบอกกับเฉินหยวน “ดูนี่ เจ้าว่าสวยหรือไม่”

“สะ…สวย” เฉินหยวนบอก สองเท้าขยับไปขยับมาอย่างไม่เป็นสุขและไม่สำรวมนัก

ถึงแม้จะหน้าตางดงาม แต่น่าเสียดายที่ขาดการอบรมชี้แนะ อากัปกิริยาจึงไม่สู้ดีนัก แค่ปริปากก็เผยให้เห็นถึงนิสัยขี้ขลาดได้แล้ว

เฉินจิ่นนึกทอดถอนใจเล็กๆ สุดท้ายก็ยื่นกำไลส่งให้นาง “รับไปสิ ข้าให้”

เฉินหยวนไม่กล้ารับ นางหันไปมองเฉินหานด้วยสีหน้าท่าทางน่าเวทนา

เฉินหานคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางพยักหน้ากล่าว “พี่ใหญ่ให้เจ้าก็รับไว้สิ โอกาสจะได้รับน้ำใจจากพี่ใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นี่นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ”

เฉินหยวนส่งเสียง “อืม” เขลาๆ ออกมาคำหนึ่ง รับเอากำไลของเฉินจิ่นไปดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มแย้มเบิกบาน ชูกำไลขึ้นส่องกับพระอาทิตย์และเอ่ยปากชื่นชม “สวยจริงๆ” ก่อนจะยิ้มตาหยีไปทางเฉินจิ่น “ขอบคุณพี่ใหญ่”

ยิ้มนี้ไม่ต่างอะไรกับหิมะละลายวสันต์ย้อนหวนมวลบุปผาผลิบาน ชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลยิ่ง แม้แต่เฉินอิ๋งยังรู้สึกตาพร่ามัว

เฉินจิ่นเองก็มองตาค้างไปชั่วขณะ ครั้นกลับกลายได้สติอีกครั้งนางก็ถอนหายใจลูบศีรษะของเฉินหยวน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าไปเล่นเถอะ” ก่อนจะหันกลับมาขึ้นเสียงสั่ง “ใครก็ได้ พาคุณหนูทั้งหลายออกไปเล่นกันข้างนอก ที่นั่นเหมือนจะมีชิงช้าอยู่อันหนึ่ง พวกเจ้าเฝ้าดูแลให้ดีๆ”

สาวใช้สองสามนางขานรับขึ้นพร้อมกันก่อนจะล้อมพาคุณหนูทั้งหลายออกไป เพียงไม่นานเสียงหัวเราะกระจ่างชัดของเด็กน้อยก็ดังก้องอยู่ภายในลานเรือน

“ช่างเถอะ ให้พวกนางเล่นอยู่ข้างนอกดีแล้ว” เฉินจิ่นจิบชาคำหนึ่งพลางมองเฉินอิ๋ง สุดท้ายก็เอ่ยปากเข้าเรื่อง “น้องสาม วันนี้ที่ข้ามาไม่มีอื่นใด แค่อยากคุยกับเจ้าถึงเรื่องเมื่อวาน”

เฉินหานรีบนั่งตัวตรง เบิกตามองเฉินอิ๋ง “ท่านแม่เองก็ให้ข้ามาถามพี่สามถึงเรื่ององค์รัชทายาทจะทรงคัดเลือกพระชายาเอกเหมือนกัน”

เฉินอิ๋งรู้สึกเหนือความคาดหมาย นางมองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่ง

เพิ่งจะปะทะคารมกันไปเมื่อคืน วันนี้เฉินหานกลับเปลี่ยนท่าที พูดจาตรงไปตรงมากับเฉินอิ๋ง ท่าทีเช่นนี้เรียกได้ว่ากลายกลับรวดเร็วเกินไป

เฉินอิ๋งอดทอดถอนใจไม่ได้ สำหรับคนบางคนแล้วนิสัยไม่อยากเห็นใครในครอบครัวได้ดีไปกว่าตนนั้นมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

“ข้าตอบคำถามของน้องสี่ก่อนก็แล้วกัน” นางบอกก่อนจะยิ้มมุมปากให้กับเฉินหาน “เรื่องนี้คงต้องให้น้องสี่กลับไปบอกอาสะใภ้สามด้วยว่าเรื่องขององค์รัชทายาทรบกวนอาสะใภ้สามไปถามท่านย่าเองจะดีกว่า”

เฉินหานตัวแข็งทื่อ เฉินจิ่นที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะ

‘ตรงไปตรงมา’ ที่เฉินอิ๋งชอบก็คือบทสนทนาเยี่ยงนี้

“ไม่ทราบพี่ใหญ่ต้องการคุยกับข้าเรื่องใด” เฉินอิ๋งหันมาทางเฉินจิ่น

เฉินจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องแรกที่ข้าอยากรู้คือตอนนั้นเหตุใดน้องสามถึงมองออกว่าในแขนเสื้อของเถาจือผู้นั้นมีเงินซ่อนอยู่”

ปัญหาข้อนี้เมื่อคืนนางครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืนแต่ก็ไม่อาจเข้าใจ ไม่ต่างอะไรกับมีกระดูกหรือก้างติดอยู่ในคอ จึงเอ่ยถามมันออกมาก่อน

“ข้าสังเกตเห็น” เฉินอิ๋งตอบออกมาอย่างไม่ลังเล นางพูดพลางยกแขนทั้งสองข้างทำท่าชูแขนเสื้อ “ก่อนหน้านี้ตอนตรวจเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อ เถาจือยกแขนขวาขึ้นดู แต่แขนซ้ายกลับแนบติดอยู่กับลำตัวโดยตลอด ใช้เพียงมือขวาจับแขนเสื้อข้างซ้ายพลิกดูไปมา ข้าจึงอนุมานว่าแขนเสื้อข้างซ้ายของนางต้องซ่อนของสำคัญอะไรบางอย่างไว้”

เฉินจิ่นขมวดคิ้วนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง แต่กลับจำไม่ค่อยได้ว่ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ที่นางจำได้มีก็แต่เสียงก้อนเงินหล่นกระทบพื้นเท่านั้น

เฉินจิ่นเปลี่ยนมาถามคำถามที่สอง “น้องสามรู้ว่าก้อนเงินในแขนเสื้อนางเป็นของจากในวังหลวง?”

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้” เฉินอิ๋งส่ายหน้า นางเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการถามอันใด “ที่ข้าบอกได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือบนตัวของเถาจือต้องซ่อนของที่เซี่ยนจู่ประทานให้แน่ ขอเพียงมีหลักฐาน เซี่ยนจู่ย่อมไม่อาจปฏิเสธ”

“แล้วหากกัวย่วนให้เงินก้อนธรรมดาๆ เล่า เจ้ามิเท่ากับไร้ซึ่งหลักฐานมัดตัวนางหรือ” เฉินจิ่นขมวดคิ้ว ซักไซ้ถามต่อ

เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก “พี่ใหญ่เคยเห็นเซี่ยนจู่ใช้ข้าวของธรรมดาๆ อย่างนั้นหรือ”

เฉินจิ่นตะลึง นางยิ้มออกมาอย่างรวดเร็วและพยักหน้าพูด “อืม จะว่าไปก็ใช่ ข้าไม่เคยเห็นนางใช้ข้าวของจากข้างนอกเลยจริงๆ แม้แต่จินซานซื่อ* ของนางก็ยังเป็นของที่ทำจากในวัง”

นางยิ้มมองเฉินอิ๋งพร้อมเอ่ยปากชื่นชม “น้องสาม เจ้าช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังนึกขึ้นได้ ข้าในเวลานั้นในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ว่าอันใดก็ล้วนแต่จำไม่ได้”

“พี่สามปกติไม่ค่อยพูดจา ที่แท้ก็เก็บงำซ่อนความไว้ ไม่มีใครดูออกแม้แต่คนเดียว” เฉินหานพูดขึ้นบ้าง

บทที่ 23 บุญคุณความแค้นในอดีต

เฉินอิ๋งไม่สนใจ แต่เฉินจิ่นกลับไม่อาจทนฟังต่อ นางยกมุมปากยิ้มหยัน “เก็บงำซ่อนความแล้วอย่างไร อย่างน้อยยามหน้าสิ่วหน้าขวานน้องสามก็มิได้หลบๆ ซ่อนๆ ไม่เหมือนน้องสี่ที่ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ รู้ว่าเวลาใดควรพูด เวลาใดควรเป็นใบ้”

นางเหน็บแนมเฉินหานที่เมื่อวานไม่ยอมออกปากช่วยเหลือตนเอง

แม้จะถูกอีกฝ่ายฉีกหน้าเช่นนั้น แต่เฉินหานกลับไม่กล้าพูดจาตอกกลับเหมือนที่ทำกับเฉินเซียง นางกลอกตา ตบอกเอ่ยบอก “ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย พี่ใหญ่ไยต้องต่อว่ามากมาย ทั้งยังปั้นหน้าถมึงทึงเช่นนั้นด้วยเล่า น่ากลัวจะแย่” พลางหันไปทางเฉินอิ๋ง เอ่ยปากน้อยอกน้อยใจ “พี่สามก็ไม่ยอมช่วยพูดอะไรให้ข้าบ้างเลย เช่นนี้พวกเรายังเป็นพี่น้องกันอีกกระนั้นหรือ”

เฉินจิ่นกระแหนะกระแหนอีกฝ่ายกลับอย่างรวดเร็ว “น้องสี่ยังจำได้อีกหรือว่าทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน พอมีเรื่องเกิดขึ้นจริง คนที่วิ่งหนีก่อนเป็นคนแรกก็คือเจ้า คำว่าพี่น้องที่ออกจากปากของเจ้านี้เหมือนจะไม่มีราคาค่างวดอันใด”

เฉินหานหน้าเปลี่ยนสี อ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเฉินอิ๋งกลับเอ่ยปากถามเฉินจิ่นขึ้นมาก่อนว่า “พี่ใหญ่ยังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่”

คำถามนี้ขัดจังหวะสวนกลับของเฉินหานพอดิบพอดี เฉินหานสีหน้าบึ้งตึง ปากที่อ้าค้างปิดกลับลงไปอีกครั้ง

คำถามของเฉินอิ๋งเรียกสติของเฉินจิ่นให้กลับมาอีกคราว นางมองดูเฉินหานคราหนึ่งคล้ายคิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับหยุดไว้เพียงเท่านั้น

เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดถามอะไร นางยิ้มมุมปาก “หากพี่ใหญ่ต้องการถามเรื่องนายท่านสกุลหวังกับเรื่องจวนองค์หญิงใหญ่ก็เอ่ยปากถามมาตรงๆ เถอะ”

เฉินจิ่นดวงตาเบิกกว้างรวดเร็ว เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “น้องสาม เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าเรื่องที่ข้าต้องการถามคือเรื่องนี้”

“จวนองค์หญิงใหญ่เกิดเรื่องอะไร แล้วนายท่านสกุลหวังไหน” เฉินหานลืมเรื่องทะเลาะกันเมื่อครู่ไปจนสิ้น นางกล่าวคำถามออกมาติดๆ กัน

เฉินอิ๋งไม่ได้ตอบ นางหันไปโบกมือให้สวินเจิน

สวินเจินค้อมกายถอยฉากออกไปเฝ้าอยู่ที่นอกเรือน

“อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทว่าคนที่รู้เรื่องกลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” เฉินอิ๋งยกถ้วยชาขึ้นจิบ ยิ้มมุมปากอีกครา “อีกไม่กี่วันเรื่องนี้อาจแพร่สะพัดไปทั่ว เพราะฉะนั้นจะพูดเสียตอนนี้ก็คงไม่เป็นไร”

“ก็ดี” เฉินจิ่นวางใจ ไม่สนใจเฉินหานอีกต่อไป ทำเพียงหันไปบอกกับเฉินอิ๋ง “เช่นนั้นน้องสามก็เล่ามา”

เฉินหานก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ทำเพียงเบิกตากว้างตั้งสติรอฟัง

เฉินอิ๋งบอก “หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้มีอยู่ครั้งหนึ่งนายท่านหวังแอบหนีออกไปเที่ยวข้างนอกทางประตูหลัง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงบังเอิญตะลอนไปถึงหน้าประตูจวนองค์หญิงใหญ่ได้ หนำซ้ำยังไปชนพ่อบ้านของจวนองค์หญิงใหญ่เข้า พ่อบ้านรายนั้นทุบตีนายท่านหวังจนขาหัก”

“เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยอย่างนั้นหรือ” เฉินจิ่นประหลาดใจ สองตาเบิกกว้าง “ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”

“ปีที่แล้วซ่งฮูหยินจัดงานชุมนุมชา ข้าถึงได้ยินเรื่องนี้” เฉินอิ๋งอธิบาย

นางไม่ได้พูดถึงชื่อของคุณหนูสกุลหวังสองพี่น้อง เฉินจิ่นเองก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยปากถาม

เฉินหานเพราะกำลังย่อยข่าวสาร ยามนี้จึงยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา

เฉินอิ๋งจิบชาช้าๆ สายตามองไปที่นอกหน้าต่าง

อันที่จริงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ และบทสรุปก็มิได้เทไปด้านใดด้านหนึ่ง นายท่านสกุลหวังผู้นั้นมิได้ขาดทุน ที่อยู่ในมือเขาคือมีดเชือดหมู เส้นผมของพ่อบ้านรายนั้นถูกเขาเฉือนไปกว่าครึ่ง หาไม่แล้วผู้อื่นมีหรือจะเล่นงานจนเขาขาหัก

นอกจากนี้นายท่านสกุลหวังเองก็ไม่เพียงเชี่ยวชาญเรื่องการฆ่าหมู เขายังมีเสียงตะโกนที่ดังลั่น ส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรจนที่ปรึกษาจวนองค์หญิงใหญ่ก็ยังเผ่นออกมาดู เรื่องดังกล่าวถึงสงบลงได้

ทั้งที่ปรึกษาและพ่อบ้านผู้นั้นต่างไม่เคยพบเจอนายท่านสกุลหวังมาก่อน หลังเกิดเรื่องจึงได้แต่ถือว่าตนเองโชคร้ายถูกตาเฒ่าบ้านนอกเล่นงานจนตกที่นั่งลำบาก ส่วนพี่น้องสกุลหวังพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นองค์หญิงใหญ่ ก็ได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ปล่อยให้ข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป

เรื่องนี้สำหรับบุตรผู้กตัญญูแล้วแน่นอนว่าไม่อาจปล่อยผ่านไม่สนใจ พอมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อวานจึงทำให้พี่น้องสกุลหวังสบช่องล้างแค้นเอาคืนได้พอดี

หลังสอบถามเรื่องที่อยากรู้จบ เฉินจิ่นกับเฉินหานก็จากไป เรื่องนี้สำหรับจวนกั๋วกงนับได้ว่าจบสิ้นแล้ว

วันเวลาของเฉินอิ๋งกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง นอกจากสายสัมพันธ์กับเฉินจิ่นที่ดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นก็ล้วนเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน

เดือนสามฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น เดือนสี่ฤดูร้อนมาเยือน บุปผาบานสะพรั่งสุดท้ายก็เลือนหาย ที่เข้ามาแทนที่คือทัศนียภาพเขียวขจีเต็มสองตา สายลมแผ่วเบาต้นฤดูร้อนพัดผ่านแม่น้ำชิงเจียงที่อยู่นอกเมือง

ในเมืองเซิ่งจิงปกคลุมไปด้วยอากาศอบอุ่นชุ่มชื้น

พิธีปักปิ่นของเฉินจิ่นจัดขึ้นตอนต้นเดือน

พิธีปักปิ่นของคุณหนูจวนกั๋วกงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เชิญแขกนอก จริงอยู่ที่ฐานะของกั๋วกงสูงพออยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เองก็เป็นถึงนายหญิงตราตั้ง* ขั้นหนึ่ง ทว่าพิธีปักปิ่นของนางในยามนั้นล้วนจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย

แต่ปีนี้กลับต่างกันออกไป

พิธีปักปิ่นของเฉินจิ่นไม่เพียงเชิญแขกผู้มีเกียรติจำนวนมากเข้าร่วม หนำซ้ำยังจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ มีฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เป็นผู้ประกาศรายการพิธีด้วยตนเอง แขกคนสำคัญที่เชิญมาคืออันชิ่งจวิ้นจู่ที่ไม่เสด็จไปไหนมาไหนเป็นเวลาช้านาน ส่วนฝ่ายต้อนรับ ผู้ประกอบพิธี รวมถึงเหล่านักดนตรีก็ล้วนต่างมาจากครอบครัวขุนนาง เห็นได้ชัดว่าทุกคนถูกเชิญมาภายใต้บารมียิ่งใหญ่ของสกุลสวี่

หลังพิธีปักปิ่นผ่านพ้น งานแต่งของเฉินจิ่นก็ถูกกำหนด สวี่ซื่อยิ่งกระตือรือร้นพานางไปพบผู้คนข้างนอก ว่ากันว่าไปพบบุรุษรูปงามมากความสามารถมาหลายต่อหลายคน ทว่ายังคงต้องไตร่ตรองพิจารณาดูโดยละเอียดก่อนถึงค่อยตัดสินใจ

เรื่องอึกทึกครึกครื้นเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเฉินอิ๋ง นางยังคงควรทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น แม้จะเข้าร่วมงานชมบุปผาชุมนุมชาอะไรพวกนั้นเป็นครั้งคราว แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงไม่ชอบพูดจาเหมือนเก่า ส่วนชื่อเสียงของนางตอนอยู่ที่คฤหาสน์อู่หลิงนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

หลังพ้นช่วงหมังจ่ง ภายในจวนกั๋วกงก็มีการปรับปรุงรูปโฉม เปลี่ยนจากม่านผ้าดิ้นมาเป็นมู่ลี่ไม้ไผ่ ลงกาวแป้งเปียกติดกระดาษหน้าต่างเสียใหม่ สวี่ซื่อเรียกคนเอาสิ่วเจาะน้ำแข็งออกมาล้างทำความสะอาดก่อนจะเอาไปตากลมให้แห้งอยู่ในที่ร่ม รอวันใดที่อากาศร้อนๆ ค่อยเอาออกมาใช้

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเทศกาลซั่งซื่อนั้นแทบจะไม่มีใครจำได้แล้ว

ก็เหมือนอย่างที่เฉินอิ๋งคาดการณ์ไว้ เซียวไทเฮากับจวนองค์หญิงใหญ่ล้วนถูกสกุลหวัง…ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่าถูกผู้ตรวจการหวังตามตอแยไม่หยุด จนไม่มีเวลามาสนใจจวนกั๋วกง

องค์หญิงใหญ่กับเซียงซานเซี่ยนจู่ละเมิดกฎบรรพชน เรื่องนี้เดิมเล็กก็ได้ใหญ่ก็ได้ แต่เซียงซานเซี่ยนจู่ใช้อำนาจรังแกผู้คน หนำซ้ำยังรังแกมาถึงหัวของเสาหลักราชสำนัก มีข้ออ้างเช่นนี้หวังโย่วย่อมมีอำนาจขยายเรื่องนี้ให้ลุกลามใหญ่โตไม่รู้จักจบจักสิ้น

จากเดือนสามถึงเดือนสี่ ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าๆ นี้ฎีกากล่าวโทษเซียวไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ถูกทูลเกล้าถวายขึ้นมาฉบับแล้วฉบับเล่าจนกองแทบจะเต็มโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้หยวนจยา ทำเอาพระองค์ปวดพระเศียรเวียนเกล้ายิ่ง

หวังโย่วแสดงอำนาจที่ตนเองมีต่อเหล่าปัญญาชนชั้นล่าง เขานำขุนนางฝ่ายตรวจการหนุ่มกลุ่มหนึ่งขยายวงเปิดศึกกับพระมารดาและพระขนิษฐาของฮ่องเต้หยวนจยา อานุภาพของมันถึงจะไม่ได้ใหญ่หลวงมากนัก แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับแม่น้ำสายน้อยที่ไหลอย่างไม่หยุดนิ่ง ฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าถูกทูลเกล้าถวายไม่เคยขาด

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นนับวันก็ยิ่งมาก พฤติกรรมชั่วร้ายขององค์หญิงใหญ่ถูกผู้คนรื้อค้นเปิดโปง รวมถึงเรื่องราวก่อนอภิเษกสมรสของพระองค์ก็ถูกขุดคุ้ยออกมาวางขึ้นบนโต๊ะเช่นกัน

ใช้กำลังยึดไร่นาชาวบ้านยึดครองตลาดอาจไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรได้ ทว่าแม้แต่เรื่องกักขังชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เห็นชีวิตผู้คนราวกับผักหญ้า รวมถึงเรื่องสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ยังถูกเปิดโปง หากเรื่องใหญ่เหล่านี้เป็นความจริง เกรงว่าหัวขององค์หญิงใหญ่นี้คงไม่พอให้กระเด็นหลุดออกจากบ่า

แน่นอนว่าฮ่องเต้หยวนจยาย่อมไม่ปรารถนาจะบั่นพระศอของพระขนิษฐาของตนเอง ทว่าไม่ว่าเช่นไรพระองค์ก็ต้องทรงมีทีท่าอะไรบางอย่าง

บทที่ 24 หลานไม่นึกเสียใจ

ฮ่องเต้มีพระราชดำรัสตำหนิองค์หญิงใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทรงเป็นฝ่ายเอ่ยปากทูลขอกักตัว ปิดประตูสำนึกตน หลังจากนั้นพระราชบุตรเขยกัวจุ่นก็ออกหน้าคืนไร่นาที่ดินและแผงลอยรวมถึงกิจการต่างๆ ที่ยึดมา ชดใช้เงินให้กับผู้ที่ถูกทำร้าย ส่วนบ่าวไพร่ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่สังหารผู้คนก็ถูกส่งตัวให้ที่ว่าการเซิ่งจิงตัดสินโทษตามแต่จะเห็นสมควร

แน่นอนว่าเรื่องที่ควรตะโกนถูกปรักปรำย่อมต้องตะโกนถูกปรักปรำ ที่บอกว่าสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นแท้แล้วก็แค่พระราชบุตรเขยซื้อกระบี่ล้ำค่าเพียงสองสามเล่มเท่านั้น ขุนนางราชนิกุลฝ่ายนอกส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมอาวุธยุทโธปกรณ์เปี่ยมอานุภาพ เรื่องนี้จึงไม่อาจนับเป็นอะไรได้

จนกระทั่งถึงช่วงกลางเดือนสี่ จวนองค์หญิงใหญ่ก็จัดการส่งตัวพ่อบ้านที่ทำร้ายคนไปรับโทษยังที่ว่าการเซิ่งจิง มรสุมฎีกากล่าวโทษจึงค่อยๆ สงบลง

ช่วงพลบค่ำก่อนครีษมายัน ยามเมฆสีทองแผ่กระจายถึงขอบฟ้า จู่ๆ ขันทีในอาภรณ์ขุนนางสีน้ำเงินสองสามคนก็เดินทางมาถึงจวนกั๋วกง

ขันทีที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้าประกาศด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมบอกว่าไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้คุณหนูสามจวนกั๋วกงเข้าวังในวันรุ่งขึ้นตอนยามเหม่า

ไม่มีประกาศให้มีผู้อาวุโสติดตามไปด้วย และไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่ตามไปส่ง มีพระประสงค์ให้นางเข้าวังไปเพียงลำพัง ห้ามมิให้มีอันใดผิดพลาด

ได้ยินขันทีประกาศลากเสียงยาวเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันที ที่ควรมาสุดท้ายไม่ว่าเช่นไรก็ต้องมา

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่รวมถึงสวี่ซื่อหลังรับพระราชเสาวนีย์เสร็จก็ส่งขันทีผู้นั้นจากไป ทว่าก่อนไปยังยื่นซองแดงหนาๆ ซองหนึ่งให้กับอีกฝ่าย

หลังขันทีเหล่านั้นไปกันจนหมด ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็บอกสวี่ซื่อกับเฉินอิ๋งให้อยู่ที่เรือนหมิงหย่วนก่อน สามคนพูดคุยปรึกษาคิดหาวิธีรับมือ

“เรื่องก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เหตุใดยามนี้ถึงยังรับสั่งถึงเรื่องนี้อีก” หลังนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย สวี่ซื่อก็เอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง

ทว่าใจนางแท้แล้วกลับโล่งอก ผลลัพธ์เช่นนี้นับว่าดี

เซียวไทเฮารับสั่งเรียกเฉินอิ๋งเข้าวังเพียงผู้เดียว นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โต แค่ต้องการระบายอารมณ์กับเฉินอิ๋งเท่านั้น มิได้คิดจะให้กระทบกระเทือนถึงจวนกั๋วกง

ขอเพียงหลังจบเรื่องชดเชยบ้านรองให้ดีๆ เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปได้ไม่ยาก จวนกั๋วกงหรือก็ไม่เสียหายอันใด บทสรุปเช่นนี้หรือจะบอกว่ามิใช่เรื่องดี

ครั้นคิดได้เยี่ยงนี้ใจของสวี่ซื่อก็พลันสงบ นางคิดอยู่ในใจว่าหลังทุกอย่างสิ้นสุดนางจะชดเชยให้บ้านรองด้วยการยกนาสิบกว่าหมู่ที่ชานเมืองให้กับอีกฝ่าย ทำเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความกรุณา หากยังเลี่ยงไม่ต้องถูกเสิ่นซื่อตามตอแยไม่เลิก

“ฮ่องเต้ทรงเป็นบุตรกตัญญู เรื่องอันอ๋องระดมกำลังก่อกบฏในเพลานั้นองค์หญิงใหญ่เองก็ทรงให้การช่วยเหลือฮ่องเต้อยู่ไม่น้อย” น้ำเสียงเชื่องช้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ดังขึ้น นางมิได้ตอบคำถามของสวี่ซื่อ หากแต่อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์อย่างในวันนี้แทน

ฮ่องเต้หยวนจยาครองราชย์สิบห้าปี สิบปีแรกเรียกได้ว่าลำบากยิ่งยวด ภายใต้สถานการณ์ไม่สงบ เซียวไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ประทับอยู่เบื้องหลังพระองค์มาโดยตลอด ดังนั้นการที่ฮ่องเต้จะทรงให้ท้ายพวกนางก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“ถึงยามนี้จะมิใช่ยามนั้น ทว่าไมตรีจิตพวกนั้นฝ่าบาทไม่อาจไม่ใส่พระทัย” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่พูดเสริมขึ้นอีกประโยค

เฉินอิ๋งรู้ดีว่าคำกล่าวพวกนี้ของอีกฝ่ายล้วนบอกกับตนเอง

ไม่ใช่ว่าจวนกั๋วกงไม่ยอมรับมือ แต่หากพระทัยของฮ่องเต้ทรงโอนเอียงไปทางองค์หญิงใหญ่ กั๋วกงเองไหนเลยจะทำอันใดได้

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ คนที่ปริปากยังคงเป็นสวี่ซื่อ “เจ้าสามเข้าวังไปผู้เดียว ถูกต้องเหมาะสมกระนั้นหรือ”

เมฆแดงสาดแสงเข้ามาภายใน จับอยู่บนใบหน้านาง ใบหน้าครึ่งมืดครึ่งสว่างแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเลื่อนลอย เหมือนรูปสลักลอยตัวของโฉมสะคราญนางหนึ่งที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เคลื่อนไหวเชื่องช้า นางยกมือวางลงบนที่เท้าแขน น้ำเสียงหรือก็เฉื่อยเนือย “สตรีภายนอกที่ไม่มีหน้าที่การงานอะไรไหนเลยจะเข้าวังได้ ยามนี้เมื่อมีพระราชเสาวนีย์จากไทเฮาก็เท่ากับมีรับสั่ง เมื่อมีรับสั่งก็ย่อมเท่ากับเหมาะสม”

สวี่ซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเสนอว่า “ไม่เช่นนั้นข้าจะไปยื่นหนังสือเข้าวังเดี๋ยวนี้ แต่จะไม่ทูลขอเข้าเฝ้าไทเฮา หากจะบอกก็แค่เพียงต้องการเข้าไปถวายคำนับฮองเฮา ขอเพียงทรงตอบรับ พรุ่งนี้ข้าย่อมสามารถเข้าวังไปพร้อมกับเจ้าสามได้ นางเองก็จะได้ไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง”

“ทำเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงคล้ายอ่อนระโหยเล็กๆ “ความคิดนี้ของเจ้าแม้จะดี ทว่าไทเฮาตัดสินพระทัยเรียกพบเจ้าสามเพียงลำพัง การนี้เชื่อว่าต้องทรงมีทางหนีทีไล่อื่นอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้เจ้ายื่นหนังสือเข้าวัง ในวังก็ใช่ว่าจะตอบตกลงทันที”

ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในคำพูดก็คือยิ่งคนของจวนกั๋วกงรีบร้อนเข้าวัง ไทเฮาก็จะยิ่งไม่พอพระทัย แม้นทำตาม นับแต่พรุ่งนี้ชีวิตของเฉินอิ๋งย่อมไม่แคล้วยากลำบาก

เพราะสวี่ซื่อเข้าใจเหตุผลข้อนี้ นางจึงไม่พูดอะไรอีก

อย่างไรนางก็พยายามเต็มที่แล้ว มากกว่านี้นางย่อมไม่อาจทำอันใดได้

ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน ทำเพียงมองไปทางเฉินอิ๋ง

นัยน์ตาหงส์ของหญิงชราชี้ขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวถึงจอนผม เชื่อว่าใบหน้าเช่นนี้ในอดีตต้องทำบุรุษหวั่นไหวมาไม่น้อย เพียงแต่ครั้นเฒ่าชราดวงตาคู่นั้นก็มิได้เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์สิเน่หาเหมือนกาลก่อนอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับอึมครึมเยี่ยงจิ้งจอก ดุดันไม่ต่างอะไรกับศาสตราคมกริบ ไม่ใกล้เคียงคำว่างดงามอีก

“เจ้าสาม เจ้านึกเสียใจหรือไม่” นางถามเฉินอิ๋ง ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย

มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าของสวี่ซื่อกุมเข้าหากันแน่น ในใจรู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กๆ

ที่เฉินอิ๋งตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหตุผลทั้งหมดล้วนอยู่บนตัวของเฉินจิ่น พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ถามเฉินอิ๋งว่านึกเสียใจหรือไม่ สวี่ซื่อก็พลันรู้สึกอับอาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

เฉินอิ๋งลุกขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หลานไม่นึกเสียใจ”

ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่มองนาง รอยยิ้มพึงพอใจระบายอยู่บนใบหน้าซูบผอม

ชาติตระกูลเหนืออื่นใด นี่เป็นเหตุผลที่สตรีกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ทุกคนพึงเข้าใจ เฉินอิ๋งสามารถเข้าใจเหตุผลข้อนี้ ด้วยฐานะผู้เป็นย่า นางย่อมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี

แน่นอนว่าเฉินอิ๋งรู้ดีว่านางคิดเช่นไร

น่าเสียดายก็แต่ความคิดของพวกนางไม่เหมือนกัน

“มีผิดต้องแก้ไข ถูกใส่ไคล้ต้องได้รับความยุติธรรม กระทำผิดต้องรับโทษ นี่เป็นบรรทัดฐานที่หลานกำหนดขึ้นเอง หากว่ากันตามหลักบรรทัดฐานนี้ หลานย่อมไม่นึกเสียใจ” เฉินอิ๋งกล่าวต่อ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง

สวี่ซื่อก้มหน้า อาศัยจังหวะนี้ปิดบังสายตาประหลาดใจ ส่วนรอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่เองก็ลับหายไปอย่างรวดเร็ว

คำพูดของเฉินอิ๋งกับสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่คิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

นางไม่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส อีกทั้งยังดื้อด้านถึงขนาดไม่นึกสนใจชาติตระกูล

“หนทางนี้เร็วช้าเช่นไรก็ต้องเดิน หลานทำได้เพียงรับปากว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถมิให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นอีก” เฉินอิ๋งพูดแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องการเดินทางเข้าวังที่กำลังจะเกิดขึ้น

ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ปิดลงอีกครา นางรู้ดี หลานสาวผู้นี้กับตนไม่เคยถูกชะตากัน

เด็กสาวคนอื่น แม้นด่าว่าสักนิด ลงโทษสักหน่อย กักตัวสักระยะ จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องพอดัดนิสัยอีกฝ่ายได้บ้าง แต่คุณหนูสามผู้นี้เห็นชัดว่าไม่มีทางยอมศิโรราบ ไม่จำเป็นต้องลองก็รู้

สายตาของเด็กผู้นี้ชวนให้คนอึดอัดยิ่งนัก หนักแน่นเช่นนั้น มีสติเช่นนั้น ไม่มีเลอะเลือนแม้แต่น้อย

นางรู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ คำพูดทุกประโยคที่นางกล่าวล้วนเป็นบทสรุปที่ผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ การลงโทษเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น นอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำเสียเรื่องได้

เหตุใดสกุลเฉินถึงได้ให้กำเนิดเด็กประหลาดทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเยี่ยงนี้ได้

เปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ขยับ นางถอนหายใจเงียบๆ ออกมาคราหนึ่ง

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพร้อมลืมตาขึ้นช้าๆ “ต่อให้เกิดปัญหาขึ้นก็ไม่เป็นไร”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกุมภาพันธ์ 66)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: