X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 222-223

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 222 ลิ้มสุราอาภรณ์ชั้นเดียว

วันนี้บังเอิญเป็นวันหยุดของสำนักศึกษาสตรีสกุลหลี่ สตรีทุกนางต่างมารวมตัวอยู่ที่เรือนรุ่ยเจ่า ฟังคนขับร้องบทละครเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่

ผู้ที่ขับร้องบทละครเป็นสตรีตาบอดคู่หนึ่ง ว่ากันว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่กูซู เชี่ยวชาญบทละครทางตอนใต้ หนึ่งดีดพิณผีผา* หนึ่งบรรเลงซอสามสาย ฝีมือยอดเยี่ยมหาตัวจับได้ยาก น้ำเสียงยามขับขานหรือก็ไพเราะจับจิต ถูกอกถูกใจฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ่งนัก ระยะนี้นางมักเชื้อเชิญคนทั้งสองให้มาร่ายร้องบรรเลงอยู่บ่อยครั้ง

ทุกครั้งที่มีกิจกรรมเช่นนี้ เฉินอิ๋งมักกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด นางไม่ถนัดเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย นอกจากเข้าร่วมเพิ่มจำนวนคนให้แลดูคึกคักแล้วก็หามีประโยชน์อื่นใดไม่

ตรงกันข้ามกับหลี่ซีที่แสดงความสนอกสนใจออกนอกหน้า นางนั่งอยู่บนตั่งดอกเหมย หยิบของว่างในถาดแปดหลุมกินพลางสดับเสียงขยับเส้นสายร่ายร้องเปี่ยมอารมณ์นั้นอย่างสบายอกสบายใจ

เฉินอิ๋งกับหลี่ซีนั่งอยู่ใกล้กัน พอเห็นทุกคนต่างกำลังตั้งอกตั้งใจฟัง เฉินอิ๋งก็ขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายพลางกระซิบบอก “ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่ หากฮูหยินผู้เฒ่าถาม เจ้าก็ตอบนางออกไปตามตรง แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถาม เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง”

หลี่ซีกำลังฟังอยู่เพลินๆ พอได้ยินเฉินอิ๋งบอกออกมาเช่นนั้นนางก็ใจลอยพยักหน้าพลางเอ่ยปาก “ญาติผู้พี่จะไปก็ตามสบาย…” ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ นางก็ได้สติ สองตาเบิกกว้าง หันหน้ามองมาทางเฉินอิ๋ง สีหน้าตกตะลึง “ญาติผู้พี่…จะออกไปข้างนอก?”

“ใช่ ท่านแม่กับท่านลุงอนุญาตแล้ว” ถึงเสียงพูดอันใดจะล้วนถูกเสียงดนตรีกลบจนสิ้น แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็ยังคงกดน้ำเสียงแผ่วเบาอยู่ดี

“ญาติผู้พี่…” หลี่ซีสีหน้ากลับกลายเป็นลิงโลด นางยื่นมือกระตุกแขนเสื้อของเฉินอิ๋ง รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า “ญาติผู้พี่แสนดี ญาติผู้พี่ดีที่หนึ่ง ที่แท้ท่านก็จะออกไปข้างนอก แล้วเหตุใดถึงไม่บอกกันแต่เนิ่นๆ เล่า ญาติผู้พี่พาข้าไปด้วยเถอะ ข้าไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนานแล้ว”

นางมองเฉินอิ๋งตาปริบๆ ขาดก็แต่ไม่มีหางให้กระดิกเท่านั้น

เฉินอิ๋งเองก็มีใจอยากตกลงรับปาก ทว่าครั้งนี้กลับไม่ได้ นางยิ้มเสียใจพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้ออกไปเที่ยว หากแต่มีธุระสำคัญต้องจัดการ ไว้คราวหน้าข้ารับปากจะพาเจ้าไปด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ได้”

ได้ยินเช่นนั้นไหล่ของหลี่ซีก็ห่อเหี่ยวลงทันที ปากเบะสูง ไม่กินของว่างต่อ ทำเพียงก้มหน้าเขี่ยหน้ารองเท้าอยู่กับขาโต๊ะ ปากพูดพึมพำว่า “ญาติผู้พี่คงเห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว มีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอกให้ข้ารู้”

พอเห็นอีกฝ่ายทำท่ากระเง้ากระงอดราวกับเด็กน้อยเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็ให้ทั้งนึกขันทั้งอับจน หลังจากอดทนกล่าววาจาดีๆ ออกมาสองสามประโยค ยืนยันว่าจะเอาของเล่นแปลกใหม่กลับมาให้ หลี่ซีก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ยอมตกปากรับคำ

อันที่จริงเฉินอิ๋งก็แค่กลัวฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะกังวลใจก็เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาคิดปิดบังอันใด ยามนี้พอเห็นหลี่ซีตกลงรับปาก นางก็เดินออกจากเรือนอุ่นไปเงียบๆ

รถม้ารออยู่นอกประตูหลักก่อนแล้ว หนีซื่อเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ด้วยตนเอง นอกจากสตรีสูงวัยติดตามรถม้าสี่คนแล้ว หลี่ซื่อยังให้หลัวมามาตามไปด้วย รวมถึงสวินเจินกับจือสืออีกสองคน นับได้ว่าเอิกเกริกมิใช่น้อย

หลัวมามายามนี้ดีขึ้นมากแล้ว ส่วนเฝิงมามาก็ถูกหลี่ซื่อใช้ให้ส่งจดหมายกลับเมืองหลวง อันที่จริงมามาทั้งสองล้วนแต่เป็นคนที่หลี่ซื่อสามารถเรียกใช้ได้ เพียงแต่หลัวมามารู้ตื้นลึกหนาบางกว่า การจะเรียกตัวใช้สอยใดๆ หลี่ซื่อย่อมวางใจกว่า

หลังขึ้นไปอยู่บนรถม้า เฉินอิ๋งก็เปลี่ยนมาอยู่ในอาภรณ์บุรุษ

นางกำลังจะไปพบเผยซู่

เผยซู่เองก็มาที่จี่หนานแล้วเช่นกัน เขาเดินทางตามพวกเฉินอิ๋งมาติดๆ เมื่อสองสามวันก่อนตอนได้ยินข่าว เฉินอิ๋งก็รู้สึกตกใจ แต่ที่ทำนางตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือองค์รัชทายาทก็เสด็จมาที่จี่หนานด้วย จนถึงยามนี้ยังมิได้เสด็จจากไปที่ใด

เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำเรื่องอันใด แต่ข่าวที่ได้มาจากเผยซู่ เรื่องราวที่ซานตงคล้ายจะยังไม่จบสิ้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาสืบพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ที่เขานัดเฉินอิ๋งออกไปเจอกันครานี้ หนึ่งคงเพื่อบันทึกคดีสังหารคนของกู่ต้าฝูที่ต้องนำไปทูลเกล้าถวายให้ฮ่องเต้หยวนจยา สองน่าจะมี ‘เรื่องสำคัญ’ ต้องการพูดคุยกับนาง ส่วนจะเป็นเรื่องอันใดนั้น หลี่เหิงที่เป็นคนนำความมาบอกนางกลับไม่รู้

‘ท่านโหวน้อยเดินทางมาในครั้งนี้เป็นความลับ ไม่สะดวกมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชาน จึงได้แต่ต้องให้เจ้าสามออกไปพบเจอกันข้างนอก’ นี่คือคำพูดเดิมของหลี่เหิง

หากมิใช่เช่นนั้น หลี่ซื่อไหนเลยจะยอมตกลงรับปากเรื่องนี้ง่ายๆ

ที่แท้หลี่ซื่อตั้งใจจะรอให้ถึงวันหยุดของเฉินจวิ้นก่อนจะได้ให้เขาช่วยคุ้มครองส่งผู้เป็นน้องสาว แต่เพราะเผยซู่นัดหมายกะทันหัน ส่วนพวกเฉินจวิ้นยามนี้ก็เข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงแล้ว หลี่กงเองก็เดินทางไปเยี่ยมสหายสนิทของผู้เป็นอาจารย์ที่อำเภอหลินเซี่ยน ดังนั้นเฉินอิ๋งจึงได้แต่ต้องเดินทางไปตามลำพัง

สถานที่นัดหมายคือเหลาสุรา ‘หอชุมนุมหลูโจว’ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจี่หนาน พื้นที่ละแวกนั้นไม่คึกคักเท่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ถึงขนาดเปลี่ยวเหงา และเพราะมีพ่อค้าวาณิชรวมตัวกันอยู่ค่อนข้างมาก ปริมาณผู้คนที่สัญจรไปมาจึงมีอยู่ไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำหรับ ‘เร้นกายอยู่ภายในเมือง’

รถม้าจอดลงที่หน้าหอ เฉินอิ๋งเลิกม่านเดินลงจากรถ แค่ชายตาเพียงปราดเดียวนางก็สังเกตเห็นหลางถิงอวี้ที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูได้แล้ว

“คุณชายสามมาถึงแล้ว นายท่านของพวกผู้น้อยรออยู่นานแล้วขอรับ” หลางถิงอวี้เดินขึ้นหน้าทักทายพลางส่งสายตาให้เฉินอิ๋ง

เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นางโบกมือยิ้มกล่าว “ข้ามาสาย อีกสักครู่จะลงโทษตนเองสามจอก”

หลางถิงอวี้หัวเราะร่าออกมาสองคำ ก่อนจะพาเฉินอิ๋งเดินผ่านประตูเข้าไป หลัวมามาตามติดอยู่ทางด้านหลัง สวินเจินกับจือสือไม่ได้ตามเข้าไปด้วย

พวกนางสองคนแต่งกายเป็นบ่าวชายได้ไม่เหมือนนัก ดังนั้นเฉินอิ๋งจึงให้พวกนางรออยู่ในรถ ให้หลัวมามาตามเข้าไปเป็นเพื่อนเพียงลำพัง แม้การที่คุณชายผู้หนึ่งมีมามาตามรับใช้อยู่ข้างกายจะดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอกล้อมแกล้มผ่านไปได้ ไม่ถึงขนาดสะดุดตาผู้คนจนเกินไป

ครั้นเข้าไปถึงภายใน เฉินอิ๋งถึงพบว่าหอชุมนุมหลูโจวแห่งนี้หาใช่อาคารสูงตระหง่านแต่อย่างใด หากกลับเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายลานเรือนตั้งกระจายกันอยู่ห่างๆ ที่นั่งภายในโถงใหญ่ด้านหน้าล้วนแยกย้ายเป็นอิสระออกจากกัน มีประตูบานเล็กเชื่อมต่อไปยังลานเรือนด้านหลัง ในสวนคือเรือนขนาดเล็กงดงามหลายหลัง ที่ปรากฏต่อสายตาคือผืนน้ำเขียวสะพานสลักลาย ถึงจะไม่จัดว่ากว้างใหญ่ แต่โครงสร้างองค์ประกอบของมันกลับประณีตวิจิตร เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวล้วนทัศนียภาพงดงาม เต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์แห่งเจียงหนาน

“นายท่านของพวกผู้น้อยบอกว่าที่นี่สงบเงียบ” หลางถิงอวี้ที่อยู่ข้างๆ พูดแนะนำ สีหน้าผ่อนคลายยิ่ง “เด็กรับใช้ที่นี่ก็ไม่ทำตัวจุกจิกน่ารำคาญ หากมีเรื่องต้องการเรียกใช้แค่เรียกออกมาคราหนึ่งพวกเขาก็พร้อมปรากฏตัวขึ้นทันที แต่หากไม่มีกิจธุระพวกเขาก็จะไม่ปรากฏตัวเข้ามาสร้างความรำคาญอันใด อาหารก็ไม่เลว”

เฉินอิ๋งฟังพลางเดินขึ้นหน้าตามอีกฝ่ายไป เพียงไม่นานก็เข้าไปถึงยังเรือนเล็กหลังหนึ่ง ที่หน้าประตูสลักอักษรจ้วน* เป็นคำว่า ‘ลิ้มสุรา’ ไว้สองคำ กว่านางจะอ่านออกก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่

“ข้าคิดว่าท่านจะมาช้ากว่านี้เสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมารวดเร็วเยี่ยงนี้” คนยังไม่ทันมาถึง เสียงของเผยซู่กลับมาถึงเสียก่อน

น้ำเสียงทุ้มต่ำสบายๆ ชวนเคลิบเคลิ้มดังขึ้นท่ามกลางแสงตะวันยามบ่าย ประหนึ่งบุรุษในอาภรณ์ชั้นเดียวกำลังลิ้มสุราด้วยอารมณ์อันสุนทรีย์

ด้วยเพราะจินตนาการงดงามเยี่ยงนี้ไว้ จึงทำให้เฉินอิ๋งเผยยิ้มออกมาน้อยๆ ยามมองเห็นเผยซู่

โครงหน้าเด่นชัดที่ปรากฏอยู่ต่อสายตาไม่อาจเรียกว่าหล่อเหลาสง่างามได้ ตาชั้นเดียวคู่นั้นก็จัดว่าค่อนข้างเล็ก ทว่านี่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกจำเริญหูจำเริญใจที่นางมีในยามนี้

บางทีอาจต้องบอกว่าจำเริญตาด้วย

ชวนมองกับมีเสน่ห์เดิมก็เป็นแนวคิดคนละแบบ

อย่างน้อยในยามนี้เฉินอิ๋งก็รู้สึกว่าบนตัวของเผยซู่มีเสน่ห์ยากบรรยายอยู่ประการหนึ่ง

“คารวะท่านโหวน้อย” เฉินอิ๋งทักทายออกมาคราหนึ่ง

ภายใต้แสงตะวันอบอุ่นแห่งฤดูหนาว สตรีในชุดเจี้ยนซิ่วสีฟ้าสว่างที่กำลังเดินเข้ามานั้นดวงตาใสกระจ่าง ผิวขาวสล้างจอนผมดำขลับ สะอาดสะอ้านราวกับหิมะแรก

ทันใดนั้นจู่ๆ เผยซู่ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มและน้ำเสียงเช่นนี้ชวนให้คนรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก

บทที่ 223 ตัวเลขสี่กลุ่ม

เผยซู่ยกยิ้มมุมปากด้วยความเคยชิน ตาที่ไม่ใหญ่นักคู่นั้นหรี่ลง “คารวะคุณชายสาม”

พอพูดจบเขาก็ปัดอาภรณ์สีดำบนตัวคราหนึ่ง แขนยาวๆ เหยียดยืด เลิกเปิดม่านผ้าดิ้นหนาหนัก “เชิญคุณชายสามเข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”

เฉินอิ๋งพยักหน้า ยกเท้าเดินเข้าไปด้านใน

การจัดวางภายในห้องเป็นไปอย่างเรียบง่ายงามสง่า โต๊ะเก้าอี้ตั่งไม้ล้วนทำจากไม้พะยูงหอม ที่อยู่ข้างผนังคือชั้นวางหนังสือ ด้านบนคือหนังสือที่พบเจอได้ทั่วไปตามท้องตลาด บรรยากาศภายในห้องคล้ายอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของหมึก บนโต๊ะมีพานผลไม้ฝีมือประณีตวางตั้งอยู่ ที่อยู่บริเวณมุมผนังคือเตาดินเผา น้ำในกากำลังเดือดปุดๆ ไอร้อนพวยพุ่งชวนให้รู้สึกอบอุ่น

เฉินอิ๋งถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก ยื่นส่งมันให้กับหลัวมามา หลังจากนั้นก็หยิบเอาบันทึกในแขนเสื้อที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ “นี่เป็นบันทึกการสืบคดีของกู่ต้าฝู เชิญท่านโหวน้อยรับไว้”

เผยซู่รับมันไว้ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้าม พลิกอ่านดูสองหน้า ก่อนจะเอ่ยปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณชายสามบันทึกได้ละเอียดยิ่งนัก”

แม้จะฟังออกถึงวาจาหยอกเย้าของอีกฝ่าย แต่เฉินอิ๋งก็มิได้ประชดประชันอันใดกลับ นางยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “นี่เป็นข้อตกลงระหว่างข้ากับฝ่าบาท ย่อมมิอาจมีอันใดผิดพลาด”

ทันทีที่คำว่า ‘ฝ่าบาท’ หลุดออกจากปากนาง สีหน้าของเผยซู่ก็กลับกลายเป็นแข็งทื่อขึ้นมาทันที เขาเบะปาก “เรื่องนี้ข้าย่อมต้องรู้ คุณชายสามรับพระราชโองการสืบคดี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงเสินทั่นป้ายทอง”

มุมปากของเฉินอิ๋งขยับ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏชัด นางตอบกลับอีกฝ่ายด้วยวาจาถ่อมตนสำเร็จรูปประโยคหนึ่ง “ท่านโหวน้อยชื่นชมกันเกินไปแล้ว”

มุมปากของเผยซู่เบะออกยิ่งกว่าเดิม เขามิได้พูดอันใดอีก

เฉินอิ๋งเองก็เช่นกัน

บรรยากาศภายในห้องจึงกลับกลายเป็นเงียบงัน

ยังดีที่ความเงียบนี้มิได้ชวนคนกระอักกระอ่วน ถ่านไฟในเตาส่งเสียงเผียะผะอยู่เป็นพักๆ สลับกับเสียงลมพัดปะทะผ้าม่าน จึงมิได้เงียบสงัดจนเกินไปนัก

หลังจากนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่งเฉินอิ๋งก็ปริปากขึ้นก่อน “ไม่ทราบว่าท่านโหวน้อยให้ข้ามาพบถึงนี่มีธุระสำคัญอันใด”

เผยซู่เหมือนถูกเสียงของเฉินอิ๋งปลุกตื่นจากภวังค์ เขากลับมาได้สติ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เก็บบันทึกเข้าไว้ในแขนเสื้อพลางกล่าวเสียงขรึม “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการขอคำปรึกษา เกี่ยวกับเขากุ่ยคูนั่น”

ถึงเขาจะพูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ทว่าถ้อยความกลับคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับเขากุ่ยคูที่เขาพูดถึงนั้น ไม่แคล้วต้องเกี่ยวกับเรือนตากอากาศของคังอ๋องนั่นเป็นแน่

“มีอะไรกระนั้นหรือ หรือว่าที่นั่นมีปัญหาอันใด” นางหยิบเอาขนมในถาดขึ้นมาส่งเข้าปาก น้ำเสียงผ่อนคลายยิ่งยวด

เผยซู่พยักหน้า สีหน้ากลับกลายเป็นจริงจัง “ใช่แล้ว คนของข้าพบเศษกระดาษบางส่วนในเรือนตากอากาศนั่น”

“หืม?” หัวคิ้วของเฉินอิ๋งขยับ ดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำวับวาวเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง “หรือว่าเศษกระดาษพวกนี้มีอันใดพิเศษ”

เผยซู่มิได้พูดอันใด หากกลับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กดมันไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วเลื่อนมันมาตรงหน้าเฉินอิ๋งช้าๆ

สมาธิของเฉินอิ๋งยามนี้ถูกกระดาษแผ่นนั้นดึงดูดไว้หมดสิ้น หลังใช้ผ้าเช็ดนิ้วมือจนสะอาด นางก็รับกระดาษแผ่นนั้นมา คลี่มันออกพิจารณาดูโดยละเอียด

นี่น่าจะมิใช่ต้นฉบับ กระดาษกับน้ำหมึกยังใหม่ ตัวอักษรบนกระดาษหนักแน่น เส้นตวัดซ้ายขวาคมกริบราวกับคมมีด

เฉินอิ๋งเงยหน้ามองเผยซู่คราหนึ่ง “ท่านโหวน้อยคัดลอกมันด้วยตนเอง?”

“ใช่แล้ว” เผยซู่ตอบรับเสียงทุ้ม สายตาเคร่งขรึม

เฉินอิ๋งยิ้มก่อนจะก้มหน้าดูมันอีกครั้ง ที่อยู่บนกระดาษคือตัวเลขสี่กลุ่ม

หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า ห้า

สามสิบเจ็ด หกสิบเจ็ด

หนึ่งร้อยหนึ่ง แปดสิบหก

สิบสอง สาม

ตัวเลขสองชุดประกอบกันเป็นหนึ่งกลุ่ม เรียงกันอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ จากที่นางเห็น ระหว่างตัวเลขกับตัวเลข ระหว่างกลุ่มกับกลุ่ม คล้ายไม่มีอันใดสัมพันธ์กันตรงๆ

เฉินอิ๋งมองดูตัวเลขพวกนั้นอยู่เป็นนาน ดวงตาขยับไหว ครุ่นคิดไม่พูดไม่จา

เผยซู่เองก็นิ่งเงียบไม่พูดอันใด

ภายในห้องนอกจากเสียงน้ำแล้วก็ไม่มีเสียงอื่น หากมีเข็มหล่นสักเล่มเชื่อว่ายังสามารถได้ยิน

หลัวมามากับหลางถิงอวี้ไม่รู้ว่าถอยออกไปกันตั้งแต่เมื่อไร ภายในห้องที่มีคนอยู่กันแค่สองคนยามนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดแปลกประหลาด

หลังจากจ้องมองดูตัวเลขพวกนั้นอยู่เป็นนาน จู่ๆ เฉินอิ๋งก็เลิกคิ้วและอุทานเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง “เอ๋?”

“อะไรหรือ” เผยซู่จับจ้องพินิจพิจารณาดูท่าทีของนางโดยละเอียด ยามนี้พอเห็นเช่นนั้นเขาก็เอ่ยปากถามออกมาทันที “สังเกตเห็นรูปแบบอะไรบางอย่างใช่หรือไม่”

“รูปแบบ?” เฉินอิ๋งถามย้อนกลับไปคำหนึ่ง นางเงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาแปลกๆ “ระหว่างตัวเลขสี่กลุ่มนี้มีรูปแบบอะไรซ่อนอยู่กระนั้นหรือ”

“หรือว่าไม่มี?” สีหน้าของเผยซู่แปลกประหลาดยิ่งกว่านาง เขามองนางกลับด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด ทำเพียงหลับตาลงน้อยๆ พยายามนึกถึงรูปแบบที่พอจะเป็นไปได้ของตัวเลขสี่กลุ่มแปดตัวนี้ หลังจากนั้นนางก็ลืมตาแล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ตัวเลขทั้งสี่กลุ่มนี้น่าจะไม่มีรูปแบบผูกพันกันทางการคำนวณ แต่หากข้าทายไม่ผิด ตัวเลขทั้งสี่กลุ่มนี้น่าจะผูกโยงตอบสนองอยู่กับตัวอักษรหนึ่งตัว”

นัยน์ตาของเผยซู่เป็นประกายราวกับเปลวไฟขนาดเล็กสองดวง เขาถามนาง “หมายความเช่นไร”

ตอนเอ่ยปากพูดใจเขาเต้นระส่ำ

เขารู้ดี เรื่องพวกนี้มาขอคำปรึกษาจากเฉินอิ๋งนับเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว ขุนนางใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนไม่อาจคลายปริศนานี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเป็นความลับมิอาจสืบหาอย่างเอิกเกริกได้ พวกเขาเค้นสมองครุ่นคิดมาหลายเพลาแล้ว จนสุดท้ายองค์รัชทายาทก็ทรงเสนอให้ตามนางมาช่วยเหลือ

ความจริงเผยซู่ก็นึกถึงเฉินอิ๋งก่อนหน้านานแล้ว เพียงแต่รู้สึกไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากสักเท่าใดนัก บุรุษสตรีไม่ว่าเช่นไรก็มีความต่าง ดังนั้นทันทีที่องค์รัชทายาทรับสั่งเขาก็รีบตอบสนองทันควัน

“นี่น่าจะเป็นรหัสลับอะไรบางอย่าง” เฉินอิ๋งบอก นางไม่สนใจว่าเผยซู่จะเข้าใจความหมายของคำที่นางใช้หรือไม่

แต่เผยซู่กลับเข้าใจ

ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำคำนี้ แต่หากพิจารณาดูจากตัวอักษรแต่ละตัว มันก็มิใช่เรื่องยากอันใดที่จะเข้าใจคำเหล่านี้ได้

“รหัสลับที่ว่า…ถอดความได้อย่างไร” เขาถามด้วยสีหน้าร้อนรน

เฉินอิ๋งยื่นนิ้วชี้ลงไปบนกระดาษ พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตัวเลขสี่กลุ่มนี้ ทุกกลุ่มล้วนมีตัวเลขสองตัว ว่ากันตามความเข้าใจของข้า ตัวเลขด้านหน้านี้น่าจะเป็นเลขหน้าหนังสืออะไรสักอย่าง ส่วนตัวเลขที่อยู่ด้านหลังคือลำดับตัวอักษรในหน้านั้น”

เพราะกลัวเผยซู่จะไม่เข้าใจ นางจึงลุกเดินไปที่ชั้นวางหนังสือหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ สุ่มพลิกหน้าหนังสือขึ้นมาหน้าหนึ่ง ชี้ไปที่หน้าหนังสือนั่นพลางกล่าว “เชิญท่านโหวน้อยดูนี่ ตอนนี้ข้าพลิกเปิดหนังสืออยู่ที่หน้าที่เก้า” พูดๆ อยู่นางก็ใช้นิ้วแทนพู่กัน ลากนิ้วคล้ายกำลังเขียนตัวอักษรคำว่า ‘เก้า’ ลงบนโต๊ะ

หลังจากนั้นนางก็สุ่มชี้ไปยังตัวอักษรที่อยู่ในหน้าที่เก้าตามอำเภอใจพลางกล่าว “ตัวอักษรนี้ หากนับจากหน้าไปหลัง มันเป็นตัวอักษรลำดับที่สิบสอง”

หลังจากพูดเสร็จ นางก็ลากนิ้วเป็นตัวอักษรคำว่า ‘สิบสอง’ ก่อนจะพูดต่อ “ท่านโหวน้อยว่ามันเหมือนกันหรือไม่ ข้าได้ตัวอักษรมากลุ่มหนึ่ง ได้แก่คำว่าเก้า กับคำว่าสิบสอง”

เผยซู่ยามนี้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถึงเช่นนั้นเขาก็ยังคงขมวดคิ้ว คล้ายไม่อยากจะนึกเชื่อ

เศษกระดาษนี้เขาได้มาจากการค้นเรือนตากอากาศนั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในสายตาของเขา วิธีคลี่คลายความสัมพันธ์ของตัวเลขสี่กลุ่มนี้น่าจะยุ่งยากซับซ้อนมากกว่านี้ถึงจะถูก ทว่าคำตอบของเฉินอิ๋งกลับง่ายดายอย่างยิ่งยวด เรื่องนี้ทำเขารู้สึกเหมือนเท้าเหยียบเข้ากับความว่างเปล่า

 

* พิณผีผา เป็นเครื่องดนตรีจีนประเภทเครื่องดีด 4 สาย จำพวกเดียวกับกีตาร์ ทำจากไม้ รูปทรงเลียนแบบลูกผีผา (มะปรางจีน)

* อักษรจ้วน คือตัวอักษรจีนโบราณที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฉิน มีรูปทรงสี่เหลี่ยม

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: