X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 224-225

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 224 รหัสลับเรียบง่าย

“เพียงเท่านี้? ง่ายดายเยี่ยงนี้หรือ” เผยซู่มองเฉินอิ๋ง สีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งฉงนสนเท่ห์

เฉินอิ๋งพยักหน้า ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเหมือนเก่าไม่มีอันใดเปลี่ยน “น่าจะเป็นเช่นนั้น ง่ายดายเยี่ยงนั้น”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็กล่าวเสริม “ข้าจำได้ว่าในกองทัพของราชสำนักก่อนมีคำสั่งลับที่ชื่อ ‘จื้อเยี่ยน’ ความหมายของตัวเลขสี่กลุ่มกับคำสั่งลับจื้อเยี่ยนน่าจะคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่าจื้อเยี่ยนอาศัยบทกวีโบราณสี่สิบอักษรไม่ซ้ำกันเป็นหลัก ทุกตัวอักษรแทนคำสั่งคำสั่งหนึ่ง ส่วนรหัสลับนี้กลับอาศัยหนังสือ ใช้ตัวเลขหนึ่งกลุ่มแทนตัวอักษรหนึ่งตัว”

นางชี้นิ้วไปยังตัวอักษรที่เทียบกับตัวเลขสองกลุ่มเมื่อครู่พลางกล่าว “อย่างกลุ่มตัวเลขชุดนี้ ครั้นเอามาเทียบกับหนังสือที่อยู่ในมือข้าเล่มนี้ ด้วยเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้ ก็จะได้ตัวอักษรคำว่า ‘แต่’ ”

เผยซู่เข้าใจที่เฉินอิ๋งกล่าวแล้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้า “หลักจื้อเยี่ยนมีใช้อยู่ในกองทัพก็จริง ทว่ายามนี้ใช้กันน้อยมากแล้ว”

เขาอยู่ในกองทัพมานานปี แน่นอนว่าย่อมต้องรู้เรื่องคำสั่งลับของอดีตราชสำนัก เพียงแต่ยามนี้ราชสำนักต้าฉู่ได้เปลี่ยนไปใช้รูปแบบอื่นแล้ว วิธีการที่เรียกว่า ‘จื้อเยี่ยน’ นี้น้อยนักที่จะมีคนหยิบขึ้นมาใช้

“ที่แท้ก็เช่นนี้” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมเริ่มจางหายไปทีละน้อย เขารู้สึกเลื่อมใสในคำอธิบายของเฉินอิ๋งอยู่หลายส่วน

หากเฉินอิ๋งเพียงโพล่งพูดถึงสมมติฐานนี้ ต่อให้เขายอมเชื่อ แต่ไม่ว่าเช่นไรในใจเขาย่อมต้องนึกสงสัยไม่คลาย ทว่าคำว่า ‘จื้อเยี่ยน’ กลับเป็นตัวอย่างที่ดี ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น

“ดูท่าตัวเลขสี่กลุ่มนี้คงจะดัดแปลงมาจากจื้อเยี่ยนจริงๆ” สุดท้ายเขาก็พูดขึ้น เอนกายไปทางด้านหลัง สีหน้าผ่อนคลายลงเป็นอันมาก

เฉินอิ๋งยิ้มมองดูเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากกล่าววาจาสบายๆ ออกมาประโยคหนึ่ง “ตอนเห็นตัวเลขสี่กลุ่มนี้ใหม่ๆ ข้าเองก็คิดหารูปแบบความสัมพันธ์ของพวกมันเช่นกัน แต่เพราะไม่ว่าจะคิดเช่นไรก็คิดไม่ออก ดังนั้นข้าจึงนึกถึงเรื่องจื้อเยี่ยนขึ้นมา”

คุณนักสืบเชี่ยวชาญเรื่องคณิตศาสตร์ เฉินอิ๋งเองก็เคยเป็นเด็กเรียนในห้องยุคปัจจุบัน การให้หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขนั้นอย่างไรนางก็มั่นใจว่าตนเองเหนือกว่าคนในยุคสมัยนี้อยู่มาก

หากแม้แต่นางยังหาความสัมพันธ์ออกมาไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวเลขสี่กลุ่มนี้ไม่มีรูปแบบความสัมพันธ์อันใดให้พูดถึง หากแต่มีความหมายอื่นแอบแฝง ดังนั้นเพียงไม่นานนางก็คิดถึงรหัสลับไม่ซับซ้อนชนิดนี้ได้

“แน่นอน การคาดคะเนของข้านี้อาจจะไม่ถูกต้องก็เป็นได้” เฉินอิ๋งกล่าวขึ้นอีกครั้ง

นางไม่กล้ามั่นใจเกินไปนัก เพราะไม่ว่าเช่นไรนี่ก็เป็นเพียงการคาดคะเนของนาง เป็นเพียงการเสนอความคิดช่วยเผยซู่แก้ปริศนาเท่านั้น หาใช่ข้อสรุปที่แน่ชัดอันใดไม่

ดังนั้นยามนี้นางจึงพูดต่อ “ในเมื่อท่านโหวน้อยถาม ข้าย่อมทำได้เพียงแสดงความคิดเห็น เรื่องนี้ไม่ว่าเช่นไรข้าก็ยังคงยืนกรานต่อจุดยืนที่ว่าหากยังไม่มีหนทาง วิธีการที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้อันใดล้วนมีค่าให้ทดลองดูด้วยกันทั้งสิ้น”

“คำพูดนี้ถูกต้องยิ่งนัก” เผยซู่กล่าวเห็นด้วย จู่ๆ ภาพเฉินอิ๋งขุดถอนต้นหญ้าตอนอยู่กลางค่ายกลก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา

ยามนั้นใครเล่าจะนึกว่าคุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้จะสามารถใช้วิธีการแปลกประหลาดอย่าง ‘การกระจายตัวของพันธุ์ไม้’ และ ‘ขุดอุโมงค์’ ทำลายค่ายกลดังกล่าวได้

ครั้นคิดถึงจุดนี้เผยซู่ก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มพาลพาโลเล็กๆ เขาเอ่ยปากกระเซ้า “คุณชายสามหาจำเป็นต้องถ่อมตัวไม่ ต่อต้านศัตรูที่อีเซี่ยนเทียน สืบหาเส้นทางในเขากุ่ยคู รวมถึงคดีนายท่านผู้เฒ่าเหอ ทุกเรื่องล้วนแสดงให้เห็นชัดว่าทุกสิ่งที่คุณชายสามคิดล้วนมีเหตุผล”

คำพูดนี้คล้ายล้อเล่น ทว่าจะมากจะน้อยเช่นไรใจของเผยซู่ก็คิดเช่นนั้นจริงๆ

การแสดงออกของเฉินอิ๋งก่อนหน้านี้เรียกว่าโดดเด่นยิ่งนัก หากนางเป็นบุรุษ เผยซู่ต้องดึงตัวมาเป็นแม่ทัพกองกำลังสกุลเผยแน่ ไหนเลยจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ แค่คิดจะถามอะไรสักหน่อยก็ต้องหาเหตุผลยกนั่นอ้างนี่อยู่ตลอดเวลา

“ท่านโหวน้อยยกย่องกันเกินไปแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มตาหยี ในใจรู้สึกเบิกบานยิ่ง

การร่วมมือทั้งหลายล้วนต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจซึ่งกันและกัน รวมถึงผลประโยชน์ร่วมกัน ยามนี้การร่วมมือกันระหว่างนางกับเผยซู่น่าจะเรียกได้ว่าย่างเข้าสู่ช่วงสัมพันธภาพอันดี

สำหรับนางแล้ว นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่

เฉินอิ๋งคิดเช่นนั้นพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างเตาดินเผา หมายยกหูกาขึ้นชงชา

เพียงแต่หูกานั่นถูกไฟเผาจนร้อนระอุลวกมือ ทันทีที่แตะถูก เฉินอิ๋งก็รีบชักมือกลับ นางกวาดตามองไปรอบๆ หมายจะหาผ้าสักผืนมารองมือไว้

แต่ใครจะไปนึกว่าขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ข้างกายนางก็พลันมืดลง อุ้งมือขนาดใหญ่ข้อต่อเด่นชัดข้างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อสายตา หูกาถูกยกขึ้นด้วยท่วงท่าสบายๆ

เฉินอิ๋งเหลือบมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะเห็นเผยซู่ยกกาน้ำไปที่ข้างโต๊ะเหมือนคนไม่มีอะไรทำ รินน้ำร้อนใส่ลงไปในกาน้ำชาหรู่เหยา* สีเขียวเมล็ดถั่วพลางเอ่ยปากว่า “กานี้ร้อนยิ่ง ให้ข้าจัดการเถอะ”

เขาเติมน้ำลงไปในกาน้ำชาจนเต็ม ก่อนจะวางกาน้ำกลับลงบนเตาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็รินน้ำชาลงในถ้วยชาสองใบ

เฉินอิ๋งตะลึงดูการเคลื่อนไหวทั้งหมดทั้งมวลของอีกฝ่าย นางรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขาในยามนี้ต่างจากยามปกติอยู่มาก

“ดื่มเถอะ ใบชาของที่นี่ล้วนแต่ใบชาชั้นยอด” หลังนั่งกลับลงบนเก้าอี้เผยซู่ก็กล่าววาจาดังกล่าว ราวกับไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองทำอันใดลงไป

ส่วนเฉินอิ๋งกลับสังเกตเห็นท่าทีไม่ปกติของอีกฝ่าย

ท่านโหวน้อยรินชาให้ข้า?!

เฉินอิ๋งจำได้แม่น ตอนอยู่ที่หอชุมนุมซื่ออี๋นางรินชาให้เขา ผลคือไม่เพียงเขาไม่ดื่ม หากยังลงมือล้างถ้วยใบใหม่

ยามนี้เขาเป็นอะไรไป นิสัยเปลี่ยน?

ถึงในใจจะนึกสงสัย แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเฉินอิ๋งกลับไม่ปรากฏชัด หลังจากกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายออกมาคำหนึ่ง นางก็นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้

กระดาษรหัสลับแผ่นนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็วกกลับเข้าสู่บทสนทนาต่อ “ปกติแล้วหนังสือที่จะใช้เทียบเคียงกับรหัสลับนี้น่าจะไม่ใช่หนังสือแปลกประหลาดอันใด หากท่านโหวน้อยมีเวลา ลองหาหนังสือในท้องตลาดมาเทียบดู ไม่แน่ว่าอาจหาอักษรสี่ตัวนี้พบ”

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วขณะ ยกถ้วยชาขึ้นก่อนจะกล่าวต่อ “หากตัวเลขสี่ตัวนี้ไม่ใช่ซ้ายหนึ่งกลุ่มขวาหนึ่งกลุ่ม แต่เป็นการเรียงลำดับอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นตัวอักษรสี่คำที่หาออกมาได้ก็น่าจะสามารถเรียบเรียงกันเป็นประโยคได้”

เผยซู่พูดออกมาตามตรงอย่างไม่คิดปิดบัง “เศษกระดาษนั่นมีขนาดแค่หนึ่งฝ่ามือ เขียนตัวเลขสี่กลุ่มได้พอดิบพอดี ข้าคิดว่าพวกมันน่าจะเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน”

“เช่นนั้นย่อมดียิ่ง” เฉินอิ๋งดื่มชาคำหนึ่ง นางยิ้มอย่างพึงพอใจ นางช่วยเผยซู่ได้อีกเรื่องแล้ว

นับแต่ไม้สลักบนตัวสตรีนิรนามมาจนถึงค่ายกลในครั้งก่อน หนี้น้ำใจที่เผยซู่ติดค้างนางจนถึงยามนี้เหมือนจะมีอยู่ไม่ใช่น้อย

โอกาสเหมือนจะประจวบเหมาะ เรื่องที่นางต้องการทำนั้นยามนี้น่าจะสามารถเอ่ยปากพูดได้แล้ว

ครั้นคิดได้เช่นนั้นเฉินอิ๋งก็วางถ้วยชาลงช้าๆ สายตามองจ้องไปทางเผยซู่ สายตาที่ปรากฏอยู่ในดวงตาใสสะอาดคู่นั้นเหมือนจะต่างจากเดิมอยู่มากโข

เผยซู่รับรู้ได้ทันที เขาเงยหน้ามองนางปราดหนึ่ง คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ พลางถาม “คุณชายสามมองข้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดใช่หรือไม่”

“ถูกแล้ว ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งใคร่ขอให้ท่านโหวน้อยช่วยเหลือ” สีหน้าของเฉินอิ๋งกลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที นางพูดพลางหยิบเอาถุงหอมใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

บทที่ 225 ออกจากห้องหับสตรี

เผยซู่กวาดตามองไป เห็นถุงหอมตัดเย็บขึ้นจากผ้าไหมชั้นดี เชือกมัดสีชมพูเข้มงดงามจับตา แค่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใช้ของอิสตรี

รอยยิ้มบนริมฝีปากของเผยซู่แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกล้ำ “คุณชายสามคงมิใช่ต้องการมอบอุบายแยบยลในถุงไหม* ให้ข้ากระมัง”

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเอ่ยวาจาล้อเล่นอยู่ เฉินอิ๋งอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ท่านโหวน้อยกล่าวผิดแล้ว นี่หาใช่อุบายแยบยลในถุงไหมไม่ หากจะกล่าวให้ถูกก็น่าจะกล่าวว่าเป็น ‘เรื่องยุ่งยากในถุงไหม’ มากกว่า ทว่า…” จู่ๆ นางก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นหนักแน่นมากยิ่งขึ้น “นอกจากท่านโหวน้อยแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกว่าจะยังมีผู้ใดช่วยข้าได้”

นางพูดพลางขยับมือปลดเชือกที่มัดถุงหอมออก หยิบเอากระดาษที่ถูกพับไว้หลายต่อหลายทบแผ่นหนึ่งออกมา คลี่มันออกทีละชั้นๆ และกางมันลงบนโต๊ะต่อหน้าเผยซู่

เผยซู่ตะลึงงันไปเล็กน้อย เขาหลุบตามองดูกระดาษที่ใหญ่ขึ้นตรงหน้า

นั่นคือภาพวาดแผ่นหนึ่ง

ครั้นกางออกเป็นที่เรียบร้อยเขาก็สังเกตเห็นว่าด้านบนสุดของกระดาษมีอักษรตัวบรรจงเขียนไว้แถวหนึ่ง ‘สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรี’

ความรู้สึกประหลาดใจภายในดวงตาชั้นเดียวของเผยซู่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อจากนี้ไปอาจทำให้ท่านโหวน้อยรู้สึกไม่สบายใจ” เส้นเสียงใสกระจ่างที่ดังอยู่นั้นเป็นเสียงที่เขาได้ยินจนคุ้นหู เย็นยะเยือกดั่งสายธาร สะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ “ทว่ายามนี้ท่านโหวน้อยเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะผลักดันเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องพูดต่อไป”

เสียงของเฉินอิ๋งหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับทบทวนเรื่องที่กำลังจะพูดให้ถ้วนถี่ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานเสียงของนางก็ดังขึ้นอีกคราว “ท่านโหวน้อยน่าจะจำได้ ตอนอยู่ที่หอชุมนุมซื่ออี๋ครั้งนั้น ข้าเคยบอกกับท่านว่าข้ามีเรื่องที่ต้องการทำอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นไปได้ว่าอาจต้องการความช่วยเหลือจากท่านโหวน้อย ยามนี้เรื่องนั้นปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านโหวน้อยแล้ว และข้าก็หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเรื่องนี้หากอาศัยกำลังของข้าเพียงผู้เดียวคงยากจะสำเร็จลุล่วงได้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทางการ…ขุนนางราชสำนัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือข้าต้องการคนที่มีฐานะอย่างท่านโหวน้อย และเป็นที่น่าเชื่อถือไว้วางใจช่วยประสานงาน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้น จ้องตาเผยซู่ตรงๆ พลางกล่าว “ภาพร่างนี้เป็นความปรารถนาของข้า ข้าหวังว่ายามข้ามีชีวิตอยู่จะสามารถสร้างสำนักศึกษาและสถานพำนักเช่นนี้ได้ทั่วแผ่นดินต้าฉู่ ช่วยให้สตรีบนแผ่นดินต้าฉู่ที่ถูกคนในครอบครัวทอดทิ้ง ถูกผู้คนทั่วหล้าประณามได้มีที่ไป ให้เด็กน้อยที่มีฐานะชาติกำเนิดต่ำต้อย ยากจนเจ็บป่วย สามารถใช้ชีวิตในวัยเยาว์ได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป”

พึ่บๆ

สายลมเย็นเยียบแห่งฤดูหนาวโถมกระหน่ำใส่ม่านผ้าดิ้น ระคนอยู่กับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกเหมย ละอองหิมะเล็กละเอียดสาดซัดอยู่กับผ้าม่านก่อนจะถูกไออุ่นภายในห้องละลายกลายเป็นหยดน้ำหล่นร่วงลงบนบันไดหิน

เดือนสิบรัชศกหยวนจยาปีที่สิบห้า ช่วงหิมะแรกในฤดูหนาวของจี่หนานผ่านผันไปอย่างรวดเร็วในช่วงบ่ายของวันที่แลดูเหมือนไม่มีอันใดผิดปกติ

เผยซู่มองดูภาพร่างบนโต๊ะนิ่ง บนใบหน้าที่คล้ายโกรธขึ้งสามส่วนยินดีปรีดาสามส่วนอยู่ตลอดเวลานั้นจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งยวด

ทันใดนั้นความทรงจำที่ถูกผนึกปิดไว้เนิ่นนาน เรื่องราวในอดีตที่เขาพยายามลืมเลือนแต่กลับฝังลึกอยู่ในสมองพวกนั้นก็พากันทะลักล้นออกมาอย่างรวดเร็วและกลืนกินเขาไปจนสิ้น

มือที่วางอยู่บนเข่าของเขากุมเข้าหากันแน่น แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทางราวกับถูกคำพูดของเฉินอิ๋งเล่นงานเข้ากลางใจ ขณะเดียวกันก็แลดูคล้ายทึ่มทื่อหมดสิ้น

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เผยซู่ก็ชักสายตาจากภาพร่างดังกล่าวกลับอย่างยากลำบาก มองไปทางดรุณีน้อยที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า

“คุณหนูสาม…คุณชายสาม เรื่องใหญ่ที่ท่านต้องการทำก็คือ…เรื่องนี้?” น้ำเสียงของเขาแห้งผากแหบพร่า ลำคอเจ็บปวดเหมือนถูกไฟเผา

เฉินอิ๋งพยักหน้า “ใช่ ขอบอกกับท่านโหวน้อยตามตรง เป้าหมายของการสร้างสำนักศึกษากับสถานพำนักของข้าก็คือต้องการให้สตรีเหล่านั้นมีหนทางเอาตัวรอด ไม่ให้พวกนางเอาชีวิตไปทิ้งกับคำว่าชื่อเสียงไร้สาระพวกนั้น” น้ำเสียงของนางเหมือนจะดังขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันก็คล้ายเพราะบรรยากาศเงียบสงัดภายในห้องทำให้มันฟังดูกระจ่างชัด

“ข้าอยากให้คนบนโลกนี้ไม่เห็นสตรีเป็นเหมือนดั่งข้าวของ หรือเห็นพวกนางเป็นดั่งส่วนประกอบที่จะมีหรือไม่ก็ได้ และยิ่งปรารถนาให้สตรีทั่วหล้านับแต่นี้สามารถหยัดยืน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกบุรุษอีกต่อไป แต่สามารถยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ด้วยลำแข้งของตนเอง”

นางพูดคำพูดพวกนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอยากตะโกนก้องจู่ๆ ก็คล้ายอัดแน่นอยู่ในใจนาง ทำเอาทุกขุมขนทั่วร่างสั่นสะท้าน เสียงหึ่งแผ่วเบาดังก้องอยู่ในหู

“คำพูดพวกนี้บางทีท่านโหวน้อยอาจรู้สึกระคายหู แต่ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่โลกนี้กระทำต่อสตรีนั้น…อยุติธรรมยิ่งนัก”

ภายในห้องเงียบสงัด คำพูดมากมายยังคงหลุดออกมาจากลำคอนางอย่างไม่อาจควบคุม

“โลกนี้ทารุณโหดร้ายต่อสตรียิ่งนัก ถึงขนาดพันธนาการทุกการเคลื่อนไหวของพวกนาง กักขังพวกนางไว้ในเรือนหลังกว้างใหญ่ไม่เกินร้อยก้าวตลอดชีวิต แค่จะย่างก้าวออกไปเพียงก้าวก็ยังยากลำบาก ทารุณโหดร้ายถึงขนาดแค่วาจาไร้เหตุผลยิ่งยวดอันใดก็ล้วนทำลายชีวิตของพวกนางได้อย่างง่ายดาย”

เฉินอิ๋งหอบหายใจรุนแรง ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกยังคงทำให้นางรู้สึกเป็นทุกข์ จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก จำต้องหยุดพักครู่หนึ่ง ออกแรงสูดหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศที่ระคนด้วยกลิ่นถ่านแฝงอยู่กับกลิ่นหิมะกลิ่นดอกเหมยนอกม่านเข้าปอด

เฉินอิ๋งหลับตาลงน้อยๆ รับรู้ถึงสภาพอากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของฤดูหนาว อารมณ์เริ่มสงบลงทีละน้อย

หลังจากผ่านไปสามอึดใจ ครั้นนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง เฉินอิ๋งที่สงบนิ่งคนเดิมก็กลับมาอีกคราว

“ขอท่านโหวน้อยอย่าได้ถือสา ข้าพูดมากเกินไปแล้ว” นางยิ้มขออภัยต่อเผยซู่ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นคล้ายฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยันลึกล้ำ “พูดตามตรง ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงนี้ไร้สาระยิ่งนัก”

นางยิ้มโล่งอกคล้ายได้โยนภาระหนาหนักอะไรบางอย่างทิ้ง

นี่คือคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจนางเนิ่นนาน

ชื่อเสียง ช่างไร้สาระยิ่งนัก!

โดยเฉพาะโทษฐาน เสื่อมเสียชื่อเสียง อันเกิดจากการถูกใส่ไคล้ปรักปรำด้วยเหตุผลน่าขำของสังคมปิตาธิปไตยพวกนั้น ช่างเป็นเรื่องโง่งมโดยแท้

หัวคิ้วของเผยซู่กระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะได้ยินวาจาติดปากของเหล่าสตรีในยุทธภพเล็ดลอดออกจากปากของสตรีชั้นสูงเช่นนี้

ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ตอนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาถึงรู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่ที่ทาบทับอยู่ในใจเขาขยับไหว ทำให้เขารู้สึกหายใจโปร่งโล่งขึ้น

“ข้ารู้ เรื่องที่ข้าต้องการทำนี้ยาก ยากอย่างยิ่งยวด ยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์” เฉินอิ๋งยังคงพูดต่อ อารมณ์หยันเย้ยบนหว่างคิ้วเป็นถากถางตนเอง “ท่านโหวน้อยอาจนึกขำที่ข้าไม่รู้จักประเมินตน ทว่าข้าอยากลองดูสักครั้ง อยากเดินออกจากห้องหับลึกแคบของอิสตรีนั่น อยากดูซิว่าข้าจะเดินไปได้ไกลสักเท่าใด ความคิดนี้โถมกระหน่ำรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ข้ารู้สึกว่าหากข้าไม่ลงมือทำอันใด ข้าคงไม่แคล้วต้องนึกเสียใจไปตลอดชีวิต”

 

* กาน้ำชาหรู่เหยา เป็นเครื่องปั้นดินเผาจีนที่มีชื่อเสียงและหายากมากจากราชวงศ์ซ่ง ซึ่งผลิตให้กับราชสำนักในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนใหญ่มีสีฟ้าซีดๆ เหมือนสีฟ้าของท้องฟ้าท่ามกลางเมฆหลังฝนตก

* อุบายแยบยลในถุงไหม อุปมาถึงวิธีการอันแสนแยบยลที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทันเวลา

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 .. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: