บทที่ 226 จัดหาที่พักให้แก่ผู้อพยพ
เผยซู่มิได้พูดอันใด ที่ก้องดังอยู่ภายในห้องตั้งแต่แรกจนจบก็มีเพียงน้ำเสียงสงบนิ่งดุจสายน้ำนั่นเท่านั้น
“โลกนี้ล้วนแต่กล่าวว่าบุรุษมีปณิธาน แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดยอมมอบโอกาสให้สตรีได้แสดงปณิธานแม้เพียงครั้ง ยามนี้ที่ข้าต้องการทำล้วนเพื่อปณิธานแห่งตน” น้ำเสียงของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาคล้ายบอกกล่าวกับตนเอง “บางทีเส้นทางสายนี้อาจยากลำบากยิ่งยวด หรือบางทีบนโลกอาจไม่เคยมีเส้นทางนี้อยู่นับแต่แรก ทว่าสิ่งที่ข้าทำได้มีก็แต่…เดินได้ถึงที่ไหนก็เดินถึงที่นั่น”
ถ้อยคำสุดท้ายสิบพยางค์ราวกับดึงพลังของเฉินอิ๋งไปจนสิ้น นางเงียบงันไป รอยยิ้มบนใบหน้าสะอาดสะอ้านแลดูแปลกประหลาดพลางมองดูเผยซู่คล้ายกำลังรอฟังคำตอบของเขา
บางทีอาจบอกได้ว่าที่นางกำลังรอคือคำปฏิเสธของอีกฝ่าย
นางไม่อาจหวังให้บุรุษในสมัยต้าฉู่เข้าใจความฝันของนาง และไม่ปรารถนาจะโกหกปิดบังเผยซู่
ยามเผชิญหน้ากับคนร้ายหรือความจริง หลายครั้งที่นางมักเล่นเล่ห์เพทุบาย ใช้ทักษะบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารที่นางต้องการ
มีเพียงความฝันและศรัทธาเท่านั้นที่ไม่อาจทรยศ
ดังนั้นนางจึงพูดกับเผยซู่ตามตรง บอกเล่าความคิดอ่านที่ผู้คนในยุคนี้มองเห็นเป็นเรื่องผิดปกติทั้งหลายออกมาจนสิ้น
นางไม่กลัวจะถูกผู้คนเข้าใจว่าเป็นคนวิกลจริต
สตรีพิลึกพิลั่นที่ได้รับป้ายทองเสินทั่นพระราชทานจากฮ่องเต้อันที่จริงก็ต่างจากผู้คนในยุคนี้มากมายอยู่แล้ว
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดชวนกลั้นหายใจ
ลมเหนือพัดม้วนม่านผ้าดิ้นเบาๆ หอบเอาเกล็ดหิมะเล็กละเอียดกับกลิ่นหอมกรุ่นเข้ามาภายใน อากาศแจ่มใสเย็นยะเยือกแม้จะชวนปลาบปลื้ม แต่ก็มิอาจปัดกวาดบรรยากาศหนักอึ้งเสมือนวัตถุมีน้ำหนักออกไปได้
เผยซู่นั่งนิ่งมาโดยตลอด เขาหลุบตาก้มหน้าไม่ต่างอันใดกับหลวงจีนเฒ่าเข้าฌาน
เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน…นานจนเฉินอิ๋งอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเขาได้ยินที่นางพูดหรือไม่
ยังดีที่หลังจากรออยู่พักใหญ่ ในที่สุดเผยซู่ก็เอ่ยปาก คำพูดประโยคแรกที่เขากล่าวตรงข้ามกับที่เฉินอิ๋งคาดคิด
“เรื่องนี้ข้าว่าข้าน่าจะพอช่วยได้” เสียงของเขายังคงแหบพร่า ทว่าความรู้สึกเศร้ารันทดหายไปหมดสิ้นแล้ว ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นอารมณ์ความรู้สึกแปลกประหลาดคล้ายยกภูเขาออกจากอก
“ข้ายินดีช่วยออกหน้า วิ่งเต้นทำเรื่องต่างๆ ให้ ทว่าเรื่องราวเป็นรูปธรรมอันใดคงต้องให้คุณชายสามเป็นคนรับผิดชอบตัดสินใจเอง เพราะอีกหนึ่งเดือนให้หลังข้าต้องจากไปแล้ว”
เฉินอิ๋งมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเงียบๆ ออกมาคราหนึ่ง
ยามนี้นางกับเขาต่างเหมือนกัน คล้ายยกภูเขาออกจากอก
“ขอบคุณท่านโหวน้อยมาก” นางลุกขึ้นยืน ประสานมือย่อกายแสดงคารวะต่อเผยซู่ด้วยท่าทีจริงจัง
เฉินอิ๋งสวมใส่อาภรณ์เจี้ยนซิ่วที่แลดูทะมัดทะแมงแต่กลับแสดงคารวะอย่างอ่อนน้อมเช่นนี้ทำให้นางแลดูพิลึกพิลั่นยิ่งนัก
เผยซู่มุมปากกระตุก เผยสีหน้าขบขันออกมา “ช่างเถอะ ข้าติดค้างน้ำใจคุณชายสามอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าเช่นไรก็ควรทำอะไรเป็นการตอบแทนบ้างถึงจะดี”
เฉินอิ๋งเหยียดตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม “น้ำใจเหล่านั้นไหนเลยจะเทียบกับคุณธรรมสูงส่งของท่านโหวน้อยได้ วันหน้าหากมีอันใดต้องการให้ข้าเฉินอิ๋งช่วยเหลือ ขอเพียงท่านโหวน้อยออกปาก ข้าย่อมไม่มีทางปฏิเสธ”
ได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็อดตะลึงลานไม่ได้
เขามองเฉินอิ๋งอยู่ครู่หนึ่ง อ้าปากหมายพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับหยุดเพียงเท่านั้น สีหน้ากลับกลายเป็นแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น
หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเขาก็เปิดปาก น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มคล้ายสุรารสชาตินุ่มละมุนเปลี่ยนบรรยากาศหนาหนักเคร่งขรึมภายในห้องให้กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น
“ตกลงตามนั้น” เขาพูดออกมาสี่คำพลางยิ้มให้กับเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งมองเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เช่นนี้ของเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกที่เขายิ้มแย้มเช่นนี้คือตอนที่ค่ายกลในเขากุ่ยคูถูกทำลายลง
“ขอบคุณท่านโหวน้อย” นางยิ้มตอบกลับเช่นกันพร้อมกล่าวคำขอบคุณออกมาอีกครา หลังจากนั้นก็ยกชายอาภรณ์นั่งกลับลงบนเก้าอี้ ยกมือแตะมวยผมพลางกล่าว “เรื่องนี้อันที่จริงข้าแค่ต้องการให้ท่านโหวน้อยช่วยออกหน้าให้ก็เท่านั้น ทว่ายามนี้สถานการณ์ที่จี่หนานกลับทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล”
ถึงหลายวันนี้นางเท้าจะไม่ได้ออกจากเรือน ทว่านางยังคงรับรู้ได้ว่าประเพณีท้องถิ่นของจี่หนานนั้นค่อนข้างปิดกั้น กฎเกณฑ์สำหรับเหล่าดรุณีทั้งหลายนั้นเข้มงวดกว่าที่อื่นมากนัก
และก็ด้วยเพราะเหตุนี้นางถึงดึงเรื่องนี้ไว้จนถึงยามนี้ ล้มเลิกความคิดที่จะขอให้กัวหว่านช่วยออกหน้า
ฐานะชาติกำเนิดของกัวหว่านพิเศษมากพออยู่แล้ว เฉินอิ๋งไม่อยากสร้างความยุ่งยากอันใดให้กับนางอีก ไว้สถานการณ์ในวันหน้ามั่นคงเสียก่อน บางทีพวกนางอาจร่วมมือกันได้อีกครั้ง
เผยซู่ถึงจะไม่เข้าใจความหมายของเฉินอิ๋ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่เบิกฟ้าเปิดปฐพีเช่นนี้ หมายจะผลักดันให้สำเร็จลุล่วงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“ไม่ทราบว่าท่านโหวน้อยพอจะบอกต่อกับองค์รัชทายาทได้หรือไม่ว่าข้ายินดีช่วยเหลือเรื่องจัดหาที่พักให้กับผู้อพยพ” เฉินอิ๋งบอกเล่าถึงวิธีการของตนเองออกมาตรงๆ นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มคราหนึ่ง “ข้าคิดว่าหากมีองค์รัชทายาทคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อย่างน้อยเรื่องสถานพำนักก็น่าจะพอเป็นไปได้อยู่”
ส่วนเรื่องสำนักศึกษาสตรีนั้นหากไม่ได้จริงๆ ก็สามารถพักไว้ก่อนชั่วคราวได้ เพราะไม่ว่าเช่นไรมันก็แค่ชื่อเท่านั้น จะใช้สถานพำนักดำเนินการเรียนการสอนก็ย่อมได้เช่นกัน
เผยซู่ไม่พูดอันใด ทำเพียงประคองถ้วยชาขึ้นดื่ม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
เฉินอิ๋งรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการนี้ไม่ง่าย นางจึงกล่าวต่อ “ผู้อพยพในเติงโจวมีอยู่ด้วยกันไม่ใช่น้อย คิดจะจัดหาที่พักให้พวกเขาในระยะเวลาอันสั้น น่าจะยากลำบากอยู่พอสมควร ต่อให้ย้ายพวกเขากลับบ้านเกิด ไม่ว่าเช่นไรก็จะยังมีคนกลุ่มหนึ่งไร้ที่อยู่อาศัยอยู่ดี ไร่นาที่ถูกปล่อยรกร้างนานปี จะปลูกพืชผลอันใดได้หรือไม่ก็ยากจะบอกได้ หากผู้อพยพเหล่านี้ยังคงไร้ที่ไป แต่คดีทุจริตที่เติงโจวกลับปิดตัวลงเสียก่อน เช่นนั้นคงไม่สู้ดีสักเท่าใดนัก หากปีหน้าพวกเขากลับไปเป็นขอทานที่ซานตงอีก ถึงตอนนั้นจะให้ทำเช่นไร ยังคงปล่อยให้ทางราชสำนักดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือต่อกระนั้นหรือ”
นี่เป็นแผนการรับมือที่นางคิดขึ้นกะทันหันหลังได้ยินว่าเผยซู่ต้องการนัดพบนางและองค์รัชทายาทก็ยังประทับอยู่ที่จี่หนาน
เงินทองในมือนางแม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะประคับประคองสำนักศึกษากับสถานพำนักในช่วงระยะแรกได้ ขอเพียงองค์รัชทายาททรงยอมออกหนังสือรับรองให้ นางมีหรือที่จะยังต้องกังวลเรื่องหาทุนทรัพย์ไม่ได้อันใด
จี่หนานมีที่ดินรกร้างอยู่ไม่ใช่น้อย นางไม่ได้ต้องการอะไรมาก ขอแค่ที่ดินสักยี่สิบสามสิบหมู่ ผนวกกับเงินสองหมื่นตำลึงที่นางหามาได้ เมื่อพิจารณาจากราคาสินค้าบนแผ่นดินต้าฉู่ เชื่อว่าน่าจะเพียงพอให้ใช้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
“รอบๆ จี่หนานมีที่ดินรกร้างอยู่ เรื่องนี้ข้ารู้มาจากท่านลุง หากสามารถเอาที่ดินพวกนั้นให้เด็กและสตรีที่พลัดที่นาคาที่อยู่เหล่านั้นได้ใช้ทำไร่ไถนา เช่นนั้นข้าย่อมสามารถช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัยให้ผู้อพยพได้เพิ่มมากขึ้น” เฉินอิ๋งพูดขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้นางยังมีแผนการระยะยาวอื่นอีกอย่างคือสร้าง ’สภาสตรี’ เป็นองค์กรที่ทำเพื่อสตรี สนับสนุนให้สตรีอยู่ได้ด้วยลำแข้ง มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ต้าฉู่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น นางเชื่อว่าความรู้คือกำลัง อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นเงินทองและอาหารได้ ขอแค่มีเวลามากพอ สตรีต้าฉู่เหล่านี้ย่อมสามารถแผ้วถางหนทางหาเลี้ยงตนเองได้ หลังจากนั้นค่อยกลับมาตอบแทนบุญคุณ ‘สภาสตรี’ กับสำนักศึกษาสตรีในวันข้างหน้า
“ขอให้องค์รัชทายาททรงออกหน้า…เรื่องนี้อาจพอเป็นไปได้”
จู่ๆ เสียงของเผยซู่ก็ดังขึ้น ตัดบทความคิดอ่านของเฉินอิ๋ง นางมองดูเขา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเดินไปหยุดอยู่ข้างเตาไฟตั้งแต่เมื่อใด
เผยซู่ในเวลานี้กำลังเขี่ยถ่านไฟในเตาเล่น น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งท่าทีเกียจคร้านหลายส่วน “ผู้อพยพพวกนั้นมีจำนวนไม่ใช่น้อยจริงๆ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็ยังไม่อาจกลับบ้านเดิมได้ ยามนี้สภาพอากาศหนาวเหน็บ ไม่สะดวกที่จะเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนตัวเปล่าเล่าเปลือยไม่มีทรัพย์สมบัติอันใด ไม่ต้องพูดถึงว่ากลับบ้านเกิดไปแล้วจะมีอาหารให้กินอิ่มท้องมีเสื้อผ้าสวมใส่อบอุ่นร่างกายหรือไม่ แค่ไม่อดตายก็นับว่าสวรรค์เมตตามากแล้ว”
บทที่ 227 คุณหนูใหญ่สกุลเผย
เมื่อพูดถึงตรงนี้เผยซู่ก็หันหน้ากลับไปดูเฉินอิ๋งคราหนึ่งพลางกล่าว “องค์รัชทายาทมีน้ำพระทัยเมตตา บริจาคเงินก้อนหนึ่งให้เหล่าเด็กและสตรีพวกนั้นไว้ใช้ยามฤดูหนาว แต่เงินพวกนั้นกลับยังไม่มากพอ ด้วยเพราะเหตุนี้พระองค์ถึงเสด็จมาที่จี่หนาน จี่หนานแต่ไหนแต่ไรก็มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ องค์รัชทายาทกับใต้เท้าหลี่กำลังระดมเงินทุนจากทั่วทุกสารทิศช่วยผู้อพยพเหล่านั้นให้มีถ่านฟืนใช้สร้างความอบอุ่น มีอาหารตกถึงท้อง มีเสื้อผ้าไว้กันหนาว”
เขาหยุดขยับคีมคีบถ่านในมือก่อนจะพูดต่อ “ที่ดินรกร้างพวกนั้นคุณชายสามไม่ต้องคิดแล้ว สถานการณ์ที่จี่หนานหาได้ง่ายดายกว่าเติงโจวไม่ สายสัมพันธ์ระหว่างคหบดีกับขุนนางนั้นสลับซับซ้อนยิ่ง อำนาจของแต่ละฝ่ายล้วนเกี่ยวพันอยู่ด้วยกัน ต่อให้ใต้เท้าหลี่เป็นหัวหน้าก็ใช่ว่าจะเข้าไปก้าวก่ายได้ง่ายๆ”
คำพูดนี้ชี้ให้เห็นเด่นชัด ส่วนเฉินอิ๋งเองก็รู้ว่าที่ตนเองคิดนั้นง่ายดายเกินไป นางจึงยิ้มกล่าว “ข้าไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองสักเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงคิดเพ้อเจ้อแล้ว”
เผยซู่จ้องไปที่เตาไฟพลางกล่าว “เรื่องที่ดินคุณชายสามไม่จำเป็นต้องกังวลใจมากเกินไป ข้าพอจะช่วยคิดหาหนทางให้ได้”
“จำเป็นต้องให้ข้าออกเงินหรือไม่” เฉินอิ๋งถามออกมาทันที
เผยซู่มิได้ตอบออกมาตรงๆ หากกลับหันหน้ามองนางด้วยสีหน้ากระหายใคร่รู้ “ไม่ทราบว่าคุณชายสามต้องการที่ดินผืนใหญ่เท่าใดในการสร้าง…สถานพำนักที่ว่านั่น”
เฉินอิ๋งชี้ไปทางมุมซ้ายล่างของภาพ “ข้าเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับสิ่งปลูกสร้างอย่างสำนักศึกษาสถานพำนักอย่างน้อยก็ต้องใช้ที่ดินสองสามหมู่ เดิมข้าตั้งใจจะจ่ายเงินซื้อที่ดินรกร้างห้าหกสิบหมู่ ยามนี้ในเมื่อเส้นทางนี้ไม่สะดวก ข้าจึงคิดว่าจะซื้อที่ดินย่านเยียนไถที่เติงโจวสักหลายๆ แปลง ทำสวนผลไม้ขนาดใหญ่ไว้ปลูกต้นหลินฉิน”
หลินฉินเป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ลชนิดหนึ่ง แน่นอนจะเรียกมันว่าแอปเปิ้ลพื้นเมืองของจีนก็ได้ นอกจากชื่อหลินฉินแล้วมันยังมีชื่อเรียกอื่นอีกอย่างคือฮวาหงหรือซากั่ว ความสามารถในการปลูกหลินฉินในยุคนี้จัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนเยียนไถในยุคปัจจุบันก็ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดแอปเปิ้ลชั้นยอด เฉินอิ๋งรู้สึกว่าดินน้ำที่นั่นน่าจะเหมาะกับการปลูกไม้ผล ดังนั้นถึงได้มีความคิดเช่นนี้
ภายใต้สถานการณ์ที่เงินทองมีจำกัด สำนักศึกษาสถานพำนักจำต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ ในเมื่อทำนาไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องปลูกผลไม้ไว้ขาย เพียงแต่เรื่องนี้ออกจะยากอยู่สักหน่อย ปลูกไม้ผลจนถึงนำออกจำหน่ายได้ทุกอย่างจำต้องครบครัน ช่วงแรกอาจยากที่จะเห็นผลสำเร็จอันใด
ได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็กล่าวขึ้น “ขอคุณชายสามโปรดอภัย ภาพร่างนั่นข้ายังมิได้ดูโดยละเอียด” หลังจากนั้นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาหลายส่วน เผยซู่ถามต่อ “ในเมื่อต้องการบุกเบิกทำสวนผลไม้ที่เติงโจว เหตุใดคุณชายสามถึงไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับใต้เท้าหลี่”
หลี่เหิงก่อนหน้านี้ทำงานเป็นตัวแทนเจ้าเมืองอยู่ที่เติงโจว หากยามนั้นเฉินอิ๋งบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย เชื่อว่าย่อมต้องเหมาะสมกว่า
ทว่าทันทีที่พูดออกไปเขาก็เข้าใจถึงสายสนกลในได้ทันที เขาอดยิ้มพลางเขกหน้าผากตนเองไม่ได้ “ขออภัยๆ เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันเข้าใจ ใต้เท้าหลี่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ ไหนเลยจะเหมาะที่จะออกหน้า”
จริงอย่างที่ว่า หากหลี่เหิงยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ดีไม่ดีวันหน้าอาจถูกคนประณามได้
“ไม่เพียงแต่เท่านี้” เพราะรู้ว่าเผยซู่เข้าใจผิดไปแล้ว นางจึงส่ายหน้ากล่าว “ที่ข้าไม่ขอให้ท่านลุงช่วยเหลือ ไม่ใช่เพราะฐานะขุนนางของเขา หากแต่ด้วยเพราะท่านลุง…เป็นผู้อาวุโสของข้า”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบาลงเล็กน้อย อีกทั้งยังคลุมเครือ “ท่านโหวน้อยคงรู้ เรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นเพราะแรงกดดันจากเหล่าผู้อาวุโส อีกทั้งยังยากจะต่อต้านยิ่งกว่าแรงกดดันภายนอกอื่นใด ดังนั้นก่อนที่เรื่องนี้จะบรรลุ ข้าจึงไม่ปรารถนาจะทำพวกเขาแตกตื่นตกใจ”
มีเพียงรอจนกระทั่งเรื่องเปิดสถานพำนักดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น แรงกดดันของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายถึงจะไม่อาจยับยั้งไม่ให้นางเดินหน้าได้อีก ถึงตอนนั้นนางย่อมมีกำลังมากพอ สามารถใช้การลงมือทำเกลี้ยกล่อมให้เหล่าผู้อาวุโสยอมรับ
เผยซู่ไม่พูดอันใด ทำเพียงเล่นคีมคีบถ่านในมือ เหม่อมองดูถ่านแดงในเตา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “เรื่องราวในบ้านข้า คาดว่าคุณชายสามคงรู้กระมัง”
คำพูดประโยคนี้ความจริงแล้วเป็นประโยคบอกเล่ามิใช่ประโยคคำถาม
แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็ยังรู้สึกประหลาดใจ หลังจากนิ่งอึ้งไปชั่วขณะนางก็พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว ข้าพอรู้อยู่บ้าง”
เผยซู่ส่งเสียง “อืม” เบาๆ ออกมาคราหนึ่ง สายตายังคงจับจ้องอยู่ในเตาไฟ สีหน้าเปลี่ยนเป็นโศกเศร้ารันทดใจ
“หลังท่านพ่อท่านพี่พลีชีพในสงคราม อันที่จริงบ้านข้ายังเกิดเรื่องราวขึ้นอีกมากมาย เรื่องพวกนี้เกรงว่าคนที่รู้จะมีอยู่ไม่มาก” เขาหันหน้ามองมาทางเฉินอิ๋งคราหนึ่ง สายตาราวกับฝากแฝงไว้ซึ่งอารมณ์บางอย่าง ก่อนจะจืดจางลงอย่างรวดเร็ว “บางทีคุณชายสามอาจรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดข้าถึงตอบรับเรื่องนี้ง่ายดายเยี่ยงนี้”
เฉินอิ๋งตะลึงขึ้นอีกครา นางรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
เผยซู่ตอบรับง่ายดายเกินไป ไม่ถามอันใดแม้เพียงประโยค ทำนางไม่มีโอกาสปริปากกล่าวถ้อยความที่เตรียมไว้ก่อนหน้าพวกนั้น เรื่องนี้จะบอกว่าไม่แปลกก็คงไม่ได้
“คำพูดนี้ของท่านโหวน้อยตรงกับที่ใจข้าคิดจริงๆ” เฉินอิ๋งกล่าวออกมาตามตรง
“หากคุณชายสามทราบเรื่องราวภายในบ้านของข้า เกรงว่าคงไม่ประหลาดใจแล้ว” เผยซู่พูดต่อออกมาอย่างรวดเร็ว เขาส่ายหน้า สายตาหยุดอยู่บนคีมคีบถ่านในมือ น้ำเสียงเชื่องช้าลงเล็กน้อย “คุณชายสามคงไม่ทราบว่านอกจากพี่ชายใหญ่สองคนแล้ว ข้ายังมีพี่สาวที่แก่กว่าข้าหกปีอยู่อีกคน”
เฉินอิ๋งตะลึงเป็นครั้งที่สาม
เผยซู่ยังมีพี่สาวอยู่อีกคน?
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้จริงๆ
“คุณชายสามคงไม่เคยได้ยินเรื่องข้ามีพี่สาวกระมัง” เผยซู่คล้ายทายความคิดอ่านของเฉินอิ๋งออก เขาจึงเอ่ยถามนาง
เฉินอิ๋งไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงพยักหน้าเงียบๆ
เผยซู่นิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง “พี่สาวข้าหากยังมีชีวิตอยู่ ยามนี้น่าจะมีสามีมีบุตร มีชีวิตผาสุกยิ่ง”
เขาจ้องมองดูถ่านไฟในเตาโดยไม่พูดอันใดอีก กลิ่นอายบนร่างเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้าง
เฉินอิ๋งยังคงไม่พูดไม่จา บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดลง
“นายท่าน เหล่าเหอมาแล้ว” เสียงของหลางถิงอวี้ดังลอยมาจากนอกม่าน ขับไล่บรรยากาศเงียบงันภายในห้อง
เผยซู่ราวกับตื่นจากฝัน เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะผลุนผลันเสียจนทำที่คีบถ่านหล่นลงกับพื้น เขาหันไปกล่าวขออภัยกับเฉินอิ๋ง “ข้าจะออกไปสักครู่ เพียงไม่นานก็กลับ”
เฉินอิ๋งยิ้ม “เชิญท่านโหวน้อยตามสบาย”
เผยซู่ส่งยิ้มให้นาง สาวเท้าก้าวกว้างๆ เดินจากไป
ม่านผ้าดิ้นเลิกขึ้นก่อนจะตกลงอีกครั้ง ละอองหิมะน้อยๆ ลอยตามลมเข้ามา หมุนวนอ่อนช้อยอยู่ข้างม่าน
ดอกเหมยส่งกลิ่นหอมกำจายมากขึ้นทุกขณะ
เฉินอิ๋งลุกขึ้น หลังจากเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ภายในห้องครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็มาหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ ตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มหนึ่งลงมาอ่านแก้เบื่อ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เสียงพูดของหลัวมามาที่อยู่นอกประตูจะดังลอยเข้ามา
นางชะงัก เอียงคอเงี่ยหูฟัง
หิมะสาดซัดใส่ผ้าม่านเกิดเป็นเสียงหยุมหยิมน่ารำคาญ กั้นเสียงของหลัวมามาจนราวกับอยู่ไกลห่าง ฟังดูเลือนรางยิ่ง ส่วนเสียงอีกเสียงหนึ่งเหมือนจะอยู่ใกล้กว่า เสียงนั่นฟังดูค่อนข้างชราเฒ่า จ้อกแจ้กไม่รู้พูดคุยอันใด มีเสียงกระแอมกระไอดังขึ้นเป็นพักๆ
เฉินอิ๋งวางหนังสือลง เดินตรงไปเลิกม่านขึ้น
หิมะกำลังตกหนัก บนกำแพงมีเกล็ดหิมะปกคลุม สตรีในอาภรณ์กันหนาวผ้าแพร กระโปรงฝ้ายสีเทากำลังยืนหันหลังให้เฉินอิ๋ง พูดคุยกับหลัวมามาอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน เส้นผมสีดอกเลาหวีรวบเก็บเรียบร้อย แผ่นหลังโก่งงอเล็กน้อย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.