บทที่ 228 มามาสกุลฮั่ว
“คุณ…ชาย” หลัวมามายามนี้เห็นเฉินอิ๋งแล้ว นางรีบหยุดพูดเดินตรงเข้ามา “ท่านเสร็จธุระแล้วกระนั้นหรือ”
“ยังอีกสักครู่” เฉินอิ๋งตอบ สายตากวาดมองไปทางหญิงชราผู้นั้น
บังเอิญในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็หันมองมาพอดี ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินอิ๋งคือใบหน้าซูบผอมดำคล้ำ ดวงตาอ่อนโยนเมตตา ทว่าโครงเส้นบริเวณกรามล่างกลับดุดันเห็นได้ชัดถึงนิสัยเด็ดขาดในอดีต ยามนี้แม้จะชราเฒ่าแต่ก็ยังแลดูคล่องแคล่ว
“คารวะคุณชายสาม” หญิงชราผู้นั้นแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋งพลางกล่าวถ้อยคำทางการ
เพราะเฉินอิ๋งไม่รู้จักอีกฝ่ายและไม่กล้ารับคารวะของนางจึงเบี่ยงกายเลี่ยงเล็กน้อย
หลัวมามาเดินขึ้นหน้าพูดเสียงแผ่ว “เรียนคุณชาย มามาผู้นี้แซ่ฮั่ว เป็นมามารับใช้ข้างกายท่านโหวน้อย คราก่อนที่หอชุมนุมซื่ออี๋ ตอนผู้น้อยออกไปซื้ออาภรณ์ที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปข้างนอกก็ได้ฮั่วมามาช่วยจัดการเป็นธุระให้ ด้วยเหตุนี้ผู้น้อยถึงได้รู้จักนาง”
ที่แท้นางก็คือฮั่วมามา
เฉินอิ๋งได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ว่ากันว่าฮั่วมามาผู้นี้เฝ้าดูท่านโหวน้อยเติบใหญ่มาตั้งแต่ครั้นยังเล็ก นับแต่ท่านย่าของเผยซู่สิ้น สองนายบ่าวก็ใช้ชีวิตประคับประคองซึ่งกันและกันอยู่ในจวนโหวหลังใหญ่นั่น
“ที่แท้ก็ฮั่วมามานี่เอง ข้าเสียมารยาทแล้ว” เฉินอิ๋งพยักหน้าทักทายอีกฝ่าย
ฮั่วมามายิ้มกล่าว “บ่าวรบกวนความสงบของคุณชายสาม ขอคุณชายสามได้โปรดให้อภัยด้วย” พูดจบนางก็ไอออกมาสองครา
พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็หันไปเลิกม่านประตูออก “มามารีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ด้านนอกหิมะตก”
ฮั่วมามารีบโบกไม้โบกมือ ยิ้มฟันหลอพลางกล่าว “บ่าวมิกล้า แค่หิมะตกเท่านั้น หาเป็นอันใดไม่”
ยังไม่ทันพูดจบนางก็ไอออกมาอีก สองแก้มแดงผิดปกติ ดูก็รู้แล้วว่ากำลังป่วย
หลัวมามาเพราะนึกถึงน้ำใจของอีกฝ่าย ยามนี้จึงช่วยเฉินอิ๋งพูดอยู่ข้างๆ อีกแรง “มามารีบเข้ามาก่อนเถอะ ตอนนี้ท่านโหวน้อยยังไม่มา ท่านก็เข้ามาอบอุ่นร่างกายสักหน่อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เฉินอิ๋งกล่าว “มามาเข้ามาดื่มชาร้อนสักคำก่อนเถิด วันนี้อากาศเหน็บหนาวยิ่งนัก”
พอเห็นพวกนางสองคนเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น ฮั่วมามาก็ไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธอีก นางซอยเท้าเดินเข้ามา
หลัวมามารีบเข้าไปพยุงพลางกล่าว “ค่อยๆ เดิน พื้นนี้ลื่นยิ่งนัก”
เฉินอิ๋งเลิกม่านขึ้นเล็กน้อย ฮั่วมามาร้องเสียงหลง “มิได้ๆ” หลัวมามากลับออกแรงฝืนส่งนางเข้าไปในห้อง ก่อนจะหยิบถ้วยสะอาดๆ ใบหนึ่งมารินน้ำชาให้กับนาง เฉินอิ๋งเชิญนางนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตา
ฮั่วมามาอายุไม่ใช่น้อยแล้ว หลังจากนั่งลง เพราะรู้สึกมือเท้าเย็นจนแข็งทื่อไปหมด นางจึงยกมือขึ้นทุบขาทั้งสองข้างพลางเอ่ยปากกระแหนะกระแหนตนเอง “น่าขายหน้ายิ่งนัก ยายเฒ่ากระดูกกระเดี้ยวไม่เอาไหนเช่นบ่าว ยามนี้ได้แต่เป็นภาระผู้อื่นแล้ว”
หลัวมามาที่อยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าว “พูดอะไรเช่นนั้น กระดูกของท่านยังแข็งแรงดี ยังเสวยสุขได้อีกนาน”
เฉินอิ๋งกล่าวต่อ “ฮั่วมามาสีหน้าท่าทางกระฉับกระเฉง เชื่อว่าอายุต้องยืนถึงร้อยปี”
ยามพูดจาน้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนโยนยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าฮั่วมามาผู้นี้น่าจะรู้จักนางอยู่ก่อนแล้ว นับแต่เห็นหน้านางจนถึงยามนี้ ใบหน้าของหญิงชราล้วนสุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจอันใดแม้เพียงน้อย เห็นได้ชัดว่าเผยซู่ได้บอกเรื่องในวันนี้ให้ฮั่วมามารับรู้หมดสิ้น
“วันนี้บ่าวออกมาเลือกซื้อของ” บางทีอาจเพราะเกรงเฉินอิ๋งจะสงสัย ฮั่วมามายามนี้ถึงได้ยิ้มตาหยีเอ่ยปากเล่าที่มาที่ไปให้นางฟัง “เพราะท่านโหวกำลังจะไปจากจี่หนานแล้ว บ่าวเลยคิดว่าจะดีจะชั่วเช่นไรก็น่าจะซื้อของอะไรติดมือกลับไปฝากผู้อื่นบ้าง จะได้ไม่ถูกผู้คนติฉินนินทาว่าจวนโหวไร้มารยาท ทว่าท่านโหวไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ถึงมอบหมายให้ผู้อื่นจัดการเอง วันนี้ท่านโหวบังเอิญออกจากจวน จึงให้ผู้อื่นตามมาด้วย จะได้แวะซื้อของกลับไป ไม่ต้องออกมาตระเวนซื้อของตามลำพัง”
เฉินอิ๋งมิได้กล่าวอันใด หลัวมามากลับเอ่ยปากยกย่องไม่หยุด “ท่านโหวน้อยช่างมีน้ำใจยิ่งนัก รู้จักเห็นอกเห็นใจคนชราผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านได้พบกับนายผู้ประเสริฐแล้ว”
คำพูดนี้พูดโดนใจฮั่วมามายิ่งนัก นางใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น “ท่านพูดถูกแล้ว บ่าวเช่นข้านับว่าตกอยู่ในรังวาสนาจริงๆ”
หลัวมามาเอ่ยปากกล่าววาจาอันเป็นสิริมงคลออกมาอีกสองสามคำ จนอีกฝ่ายปลาบปลื้มไม่รู้สิ้น วาจายิ้มหัวดังอยู่มิได้ขาด บรรยากาศคึกคักกว่าตอนที่เผยซู่อยู่เมื่อครู่มากโข
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง ฮั่วมามาก็ค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม นั่งขยับเนื้อขยับตัวไม่เป็นสุข นางกล่าวว่า “บ่าวมีเรื่องใคร่ถามคุณชายสามเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าได้หรือไม่”
หญิงชราสีหน้ากระอักกระอ่วน น้ำเสียงกดต่ำลงหลายส่วน
เฉินอิ๋งยิ้มตอบ “ไม่มีปัญหา” นางพูดพลางทำมือเป็นสัญญาณให้กับหลัวมามา
หลัวมามาเข้าใจได้ทันที นางถอยจากไปเงียบๆ พร้อมดึงประตูปิด
ฮั่วมามาวางถ้วยชาลง นั่งตัวตรงถามว่า “เมื่อครู่ตอนบ่าวเข้ามาในเรือน เห็นท่านโหวเดินออกไป ถึงบ่าวจะหูตาฝ้าฟางแต่ก็ยังพอมองเห็น สีหน้าของท่านโหวเหมือนจะ…ไม่สู้ดีนัก บ่าวปากมากใคร่ขอถามสักคำ ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
นางพูดพลางจ้องเฉินอิ๋งเขม็ง ในตาเต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงใยจนแทบจะเรียกได้ว่าตึงเครียดอยู่น้อยๆ ประหนึ่งกลัวเฉินอิ๋งจะพูดอันใดไม่ดีออกมา
ดูท่าฮั่วมามากับเผยซู่จะปฏิบัติต่อกันเหมือนดั่งญาติสนิทอย่างที่ผู้คนเล่าลือกันจริงๆ
ถึงจะครุ่นคิดเช่นนั้น แต่เฉินอิ๋งก็ไม่ได้ปิดบังอำพรางอันใด เรื่องที่พอจะพูดได้นางล้วนเล่าออกมาหมดสิ้น แม้แต่เรื่องคิดสร้างสำนักศึกษาสตรีนางก็ยังเล่าออกมาจนหมด เรื่องนี้ต่อให้นางไม่พูด วันหน้าเผยซู่ก็ต้องบอกให้ฮั่วมามารู้อยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนางมิสู้เล่ามันให้อีกฝ่ายรู้เสียเอง
ได้ยินเฉินอิ๋งพูดเช่นนั้นฮั่วมามากลับไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจอันใดนัก นางทำเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง สีหน้าหม่นหมองยิ่ง “มิน่าสีหน้าของท่านโหวถึงได้เป็นเช่นนั้น ที่แท้ก็เพราะพูดถึงเรื่องคุณหนูใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง”
สีหน้าของฮั่วมามากลับกลายเป็นรันทด คิ้วบางๆ ทั้งสองข้างลู่ตก ริ้วรอยบนใบหน้าก็เหมือนจะพลอยลึกลงตามไปด้วยเป็นอันมาก “ใช่ว่าบ่าวปากมาก ทว่าชะตาชีวิตของคุณหนูใหญ่ช่าง…รันทดยิ่งนัก”
นางพูดพลางถอนหายใจ ยกแขนเสื้อขึ้นซับหางตา
เฉินอิ๋งจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ไม่เอ่ยปากถามอันใด
ความสามารถในการลืมเลือนของมนุษย์มีไว้ก็เพื่อลบเลือนความเจ็บปวด เริ่มต้นชีวิตใหม่
วาจาหลบเลี่ยงหลีกเร้นของเผยซู่ก่อนหน้านี้ รวมถึงความรู้สึกรันทดเจ็บปวดของฮั่วมามาในยามนี้ล้วนแสดงให้เห็นชัดว่าการตายของคุณหนูใหญ่เผยในยามนั้นเป็นเรื่องราวในอดีตที่ชวนให้ผู้คนรวดร้าวปานใด
เฉินอิ๋งไม่อยากสะกิดแผลเก่าของอีกฝ่ายขึ้นมาอีก ทำเช่นนั้นออกจะโหดเหี้ยมเกินไป
ทว่าฮั่วมามายามนี้กลับเริ่มต้นพูดขึ้น เรื่องที่นางเอ่ยปากออกมากลับตรงกันข้ามกับที่เฉินอิ๋งคิด
“ในเมื่อท่านโหวบอกเรื่องนี้กับคุณชายสามแล้ว เช่นนั้นบ่าวก็รู้สึกว่าคุณชายสามคงพอจะรับฟังรายละเอียดต่างๆ ได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่มีลังเลแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับแน่วแน่ถึงขนาดเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย “บ่าวเองก็รู้สึกว่าคุณชายสามเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เรื่องนี้เล่าให้คุณชายสามฟัง เชื่อว่าคุณชายสามคงไม่เห็นเป็นเรื่องขบขันอันใด”
บทที่ 229 เจื้อยแจ้วข้างเตา
เฉินอิ๋งตะลึงไปกับคำพูดของอีกฝ่าย
ฮั่วมามามองมาทางเฉินอิ๋งด้วยสายตาปลาบปลื้ม หางตาแดงระเรื่อพลางกล่าว “บางทีคุณชายสามอาจจะไม่ทราบ แต่ไหนแต่ไรมาท่านโหวก็ไม่ชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้ ได้แต่เก็บมันไว้ในใจ บางครั้งบ่าวเองก็กลัวว่าท่านโหวจะอัดอั้นตันใจจนล้มป่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านโหวยอมบอกเล่าเรื่องนี้กับผู้อื่น บะ…บ่าวคิดว่าหากคุณชายสามไม่รังเกียจ ช่วยรับฟังคำพูดของบ่าวสักสองสามประโยค ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่”
นางมองมาด้วยสายตาวาดหวัง น้ำตาที่เอ่อท้นอยู่ในดวงตาขุ่นมัวส่องประกายระยิบระยับ
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ สองตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองดูอีกฝ่ายโดยไม่พูดอันใด
ฮั่วมามาถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง “คุณชายสามเป็นคนดี แค่เห็นเพียงปราดเดียวบ่าวก็รู้ได้แล้ว เรื่องสถานพำนักที่คุณชายสามคิดจะสร้างนั้นถึงบ่าวจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถึงกระนั้นบ่าวก็รู้สึกได้ว่าหากยามคุณหนูใหญ่มีชีวิตอยู่มีสถานที่เช่นนั้น คุณหนูใหญ่ก็คงไม่…”
จู่ๆ นางก็ไม่อาจพูดต่อ ฮั่วมามาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตา ตอนปริปากขึ้นอีกคราน้ำเสียงของนางกลับสั่นสะท้านเบาๆ “บ่าวจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณชายสามฟัง หลังฟังบ่าวเล่าจบ คุณชายสามก็จะเข้าใจได้เองว่าเหตุใดวันนี้ท่านโหวถึงได้ตกลงรับปากคุณชายสาม”
ตอนพูดน้ำเสียงของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอาดูรเสียดาย
“หากเป็นไปได้มามาก็เล่ามาเถิด ข้ายินดีรับฟัง” เฉินอิ๋งพูดพลางยกกาน้ำชา รินชาร้อนให้ฮั่วมามาต่อ
เห็นได้ชัดว่ามามาผู้นี้ปรารถนาจะให้นางได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล บางทีอาจเพราะเอ็นดูเผยซู่ ไม่อาจทนเห็นเขาทรมานตนเอง หรือไม่ก็อาจเพียงเพราะใคร่ระบายความรู้สึกออกมาเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุใด เฉินอิ๋งล้วนรู้สึกว่านางมีหน้าที่และมีความรับผิดชอบที่พึงทำตนเป็นผู้ฟัง
พอเห็นเฉินอิ๋งรับปากเช่นนั้น ฮั่วมามาก็คล้ายถอนหายใจโล่งอก นางกล่าวขอขมาเฉินอิ๋งคราหนึ่ง ยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่า
“ยามนั้นหลังอดีตท่านโหวกับคุณชายทั้งสองสิ้น ฮูหยินกับสะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างถูกคนนอกบอกว่าพวกนางชะตา ‘ข่มสามี’ บ่าวยังจำได้ ช่วงที่พวกนางไว้ทุกข์อยู่ภายในจวน มักมีคนคอยชี้มือชี้ไม้กล่าววาจาเหลวไหลอยู่เสมอ ต่อมาเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าทุกข์ระทมมาก
เรื่องนี้เป็นเช่นไรเฉินอิ๋งย่อมจินตนาการได้ไม่ยาก ถึงนางจะไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าว แต่ก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในยามนั้นได้อยู่
“ในตอนนั้นท่านโหวอายุยังน้อย ต่อให้มีบรรดาศักดิ์เป็นโหว แต่ถึงกระนั้นจวนโหวก็ไม่อาจเทียบกับอดีตได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้ามากลั่นแกล้งกันถึงที่ได้” ฮั่วมามาเล่าให้นางฟังต่อ น้ำเสียงเชื่องช้าลงอย่างยิ่งยวด
“หลังจากนั้นประมาณสองสามปี นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน และสะใภ้ทั้งสองก็ล้วนอำลาจากโลกนี้ไป เหลือก็แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องดื่มยาประทังชีวิตอยู่เป็นนิตย์ ยามนั้นในจวนจัดงานศพกันแทบจะเรียกว่าวันเว้นวัน ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยกลิ่นเผากระดาษเงินกระดาษทอง จากหน้าประตูจนถึงลานเรือนด้านหลัง ตลอดทางไม่อาจมองเห็นสีอื่นอันใด จะมีก็แต่สีขาวกับสีขาว ไม่ต่างอันใดกับหิมะโปรยปราย ชวนให้ผู้คนหนาวสะท้านจับขั้วหัวใจ”
ฮั่วมามายกมือขึ้นเช็ดหางตา น้ำเสียงสั่นระริกชัดแจ้งยิ่งกว่าเมื่อครู่ “จนถึงยามนี้บางครั้งบ่าวก็ยังฝัน…ฝันเห็นสถานการณ์ในเวลานั้น หลังจากนั้นก็สะดุ้งตื่น ไม่อาจข่มตาหลับได้อีกตลอดคืน”
นางถอนหายใจพลางส่ายหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นสะท้อนอยู่กับเปลวไฟในเตา แลดูรันทดเกินบรรยาย “เฮ้อ…”
เฉินอิ๋งนิ่งฟัง ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกร้าวราน
ชีวิตของเผยซู่ชวนให้คนนึกทอดถอนใจจริงๆ มิน่าเขาถึงได้มีนิสัยขัดแย้งกันเช่นนี้ ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินฮั่วมามากล่าวขึ้นอีก “และนับแต่นั้นถ้อยคำเล่าลือข้างนอกนั่นก็เริ่มเปลี่ยน บอกว่าท่านโหวกับคุณหนูใหญ่สองคนต่างหากถึงเป็น ’ดาวพิฆาต’ แท้จริง ต้องให้คนทั้งบ้านตายหมดก่อนถึงจะพอใจ ท่านโหวยามนั้นเพิ่งจะอายุสิบขวบเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นชาย ด้วยเหตุนี้ถึงจะได้ยินคำพูดพวกนั้นแต่ก็ยังสามารถทำเป็นหูทวนลมได้ ทว่าคุณหนูใหญ่ยามนั้นอายุสิบหกแล้ว กำลังอยู่ในวัยออกเรือนมีครอบครัว แต่เพราะถ้อยคำเล่าลือพวกนั้นทำให้ไม่มีคนตระกูลดีๆ ที่ใดมาสู่ขอ พวกที่มาก็ต่างเป็นพวกเกียจคร้านไม่เอาไหน ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเพราะโมโหยิ่ง จึงตัดสินใจบอกออกไปว่าคุณหนูต้องไว้ทุกข์แสดงความกตัญญู ก่อนอายุสิบเจ็ดจะไม่พูดคุยถึงเรื่องแต่งงานอันใด”
นางคล้ายพูดจนเหนื่อย หลังจากดื่มชาและหยุดพักครู่หนึ่ง ฮั่วมามาก็เอ่ยปากเล่าต่อ “จะว่าไปคุณหนูใหญ่เองก็เป็นดรุณีใสซื่อไม่มีพิษมีภัย วาจาเหลวไหลด้านนอกพวกนั้นนางถึงกับยึดถือเป็นเรื่องจริง ถึงกับตัดสินใจนำพาบ่าวไพร่สองสามคนเดินทางไปพำนักอยู่ที่นอกเมือง บอกว่าจะไม่ยอมให้ดวงของตนเองข่มชะตาของผู้เป็นน้องชายได้เด็ดขาด วันๆ เฝ้าสวดมนต์กินเจ แม้แต่เสื้อผ้าสีสันสดใสอันใดก็ไม่ยอมสวมใส่ ใช้ชีวิตไม่ต่างอันใดกับหญิงชรา”
พอพูดถึงตรงนี้ฮั่วมามาก็สะอึกสะอื้น หลังจากอดทนฝืนข่มอยู่ครู่หนึ่งนางก็กล่าวต่อ “คุณชายสามไม่เคยพบเห็นคุณหนูใหญ่มาก่อน คุณหนูใหญ่รูปร่างหน้าตาคล้ายฮูหยิน น่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก ดวงตากลมโต ใบหน้าเล็กๆ ผิวพรรณขาวสะอาด นิสัยหรือก็ไม่ต่างอันใดกับฮูหยิน ไม่ชอบพูดคุย อีกทั้งยังเป็นคนคิดมาก”
ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายยามนี้ดรุณีงดงามอายุสิบกว่าปีผู้นั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
เฉินอิ๋งยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทำเพียงช่วยเปลี่ยนชาร้อนให้กับอีกฝ่าย
ฮั่วมามาเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นเนื้อตัวสั่น “บ่าวมิกล้า คุณชายสามหาควรทำเช่นนี้ไม่”
เฉินอิ๋งวางถ้วยชาลงบนอุ้งมือนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มามาอย่าได้ทุกข์ใจ ดื่มชาเถอะ”
ฮั่วมามาตะลึงมองดูนาง จู่ๆ ขอบตาก็แดงก่ำ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดซับหางตาพลางฝืนยิ้มกล่าว “บ่าวเฒ่าชราหูตาฝ้าฟาง เมื่อครู่ถึงได้เผลอนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา ตอนคุณหนูใหญ่อยู่ในจวน นางก็ชอบรินชาให้บ่าวอยู่เสมอ”
คำพูดนี้ชวนโศกสลดยิ่งนัก เฉินอิ๋งเพราะไม่รู้ว่าควรปลอบใจอีกฝ่ายเช่นไร จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนาง คอยฟังนางระบายความทุกข์โศกเท่านั้น
หลังจิบชาร้อนไปสองคำ ฮั่วมามาก็คล้ายกลับมาได้สติ นางนั่งลงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อ “เพียงชั่วพริบตาคุณหนูใหญ่ก็พำนักอยู่นอกเมืองครบสองปี อายุสิบแปดปีบริบูรณ์ กลายเป็นสตรีทึนทึกนางหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมก็แค่เอ่ยปากออกมาด้วยเพราะความโมโหเท่านั้น ช่วงนั้นนางไหว้วานคนไปทั่วให้ช่วยหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับคุณหนูใหญ่ แต่โชคไม่ดีที่หาคนที่เหมาะสมไม่พบ ถ้าไม่ใช่ชาติตระกูลต่ำต้อยก็นิสัยไม่เอาไหน หรือไม่ก็บ้านเรือนสกปรก ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเพราะกลัวคุณหนูใหญ่จะลำบาก เรื่องนี้จึงลากยาวต่อไปอีกปี จนคุณหนูใหญ่อายุสิบเก้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความเคียดแค้นชิงชัง ถูถ้วยชาในมือไม่หยุด กระดูกข้อต่อกลายเป็นซีดขาว น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกแค้นเคือง “ฤดูหนาวปีนั้น หิมะตกหนักไม่ต่างอะไรกับวันนี้ มีบุรุษต่างถิ่นผู้หนึ่งมานอนหนาวหมดสติอยู่หน้าเรือนคุณหนูใหญ่ ด้วยเพราะคุณหนูใหญ่มีเมตตาจึงสั่งให้คนช่วยเขาไว้ เชิญให้เขาพำนักรักษาตัว อีกทั้งยังสั่งให้คนมอบเงินค่าเดินทางจำนวนหนึ่งให้เขา ก่อนจะส่งเขาจากไป หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้น คุณหนูใหญ่ก็มิได้เก็บมันมาใส่ใจอีก คิดเพียงทำบุญทำกุศลเท่านั้น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.