บทที่ 232 หิมะโปรยปราย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเซียงก็พยักหน้า เอ่ยวาจาแผ่วเบายิ่งยวด “น้องสามกล่าวได้ถูกต้องแล้ว อันที่จริง…ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ที่นั่น แม้จะพยายามเตือนนางเช่นไรก็เตือนไม่สำเร็จ ต่อมาท่านย่าบอกว่า…บอกว่าข้าไม่เหมือนคนเป็นพี่ ต้องการให้ข้าใคร่ครวญให้ดีว่าต้องทำเช่นไรถึงจะเป็นพี่ที่ดีได้”
“ท่านย่าย่อมต้องมีเหตุผล” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
อยู่ดีๆ ก็ถูกเฉินหานลากเข้าไปมีส่วนพัวพันด้วยเช่นนี้ เฉินเซียงนับว่าโชคร้ายโดยแท้
ทว่าเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่หาได้ทำผิดอันใดไม่
เฉินเซียงอ่อนแอเกินไป จุดอ่อนนี้ของนางทุกคนต่างรู้ชัด หากไม่ยอมแก้ไข ถึงคราวออกเรือนไป ชีวิตในภายภาคหน้าเกรงว่าจะยิ่งยากลำบาก
“ข้ารู้ว่าท่านย่าหวังดีต่อข้า” เพราะเฉินเซียงเองก็เข้าใจถึงความลำบากใจของอีกฝ่าย ยามนี้นางจึงพูดขึ้น สีหน้าละอายใจปรากฏชัดอยู่บนใบหน้า “ข้าก็แค่…บางครั้งใจไม่แข็งพอ ตอนนี้ข้ากำลังพยายามปรับปรุงอยู่”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็เหมือนกลัวเฉินอิ๋งจะไม่เชื่อจึงรีบเอ่ยปากต่อ “วันนี้ข้ามาหาน้องสาม ไม่ใช่เพียงเพื่อน้องสี่ หากแต่ยังเพื่อตนเอง ข้ายามนี้…”
ใบหน้าของเฉินเซียงแดงระเรื่อขึ้นอีกครา ทว่าคราวนี้นางเขินอายจริงๆ
เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นางอดยิ้มออกมาไม่ได้พลางเอ่ยปากหยอกเอิน “พี่รองเองก็ต้องคุยเรื่องออกเรือน เช่นนั้นย่อมควรรีบกลับเมืองหลวง”
เฉินเซียงหน้าแดงราวกับผืนผ้าสีแดงสด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพยักหน้าหนักแน่น “อืม…ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
เฉินอิ๋งไม่เคยพบพานสตรีคนใดที่หน้าแดงบ่อยกว่าเฉินเซียงมาก่อน แม้นางจะพยายามไม่มอง แต่ใบหน้าของเฉินเซียงกลับยังคงแดงมากขึ้นทุกทีจนแทบจะไม่ต่างอันใดกับถูกไฟลวก
หลังจากฝืนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเซียงก็ทนนั่งต่อไปไหว นางลุกขึ้นขอตัวลา แทบจะเรียกได้ว่าลนลานพรวดพราด ตอนออกจากประตูไปยังเกือบชนเข้ากับหลัวมามาที่กำลังเดินเข้ามาพอดี
“อา คุณหนูรอง เกิดอะไรขึ้นกระนั้นหรือ” หลัวมามาถูกทำให้ตกใจจนม่านประตูแทบหลุดมือ นางยกมือขึ้นตบอกกล่าว “คุณหนูค่อยๆ เดินเถอะ ระวังจะหกล้ม”
เฉินเซียงชะงักเท้า หน้าแดงพูดพึมพำแผ่วเบาไม่ต่างอะไรกับเสียงยุง ไม่รู้ว่าที่พูดออกมาคือคำขออภัยหรือคำอธิบาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลัวมามามองดูม่านประตูเรือนตะวันออกที่กำลังทิ้งตัวลง แม้จะรู้สึกประหลาดใจแต่นางก็มิได้พูดอันใด ทำเพียงเดินเข้าไปในเรือนค้อมกายแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋ง “คุณหนูจะไปตอนนี้เลยหรือไม่ รถม้ารออยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะ” เฉินอิ๋งลุกขึ้นพูด ผินหน้ามองดูกาน้ำหยดที่ตั้งอยู่อีกด้าน
ใกล้ต้นยามเซินแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร โชคดีที่นางกับกัวหว่านไม่ได้กำหนดเวลานัดหมายไว้แน่ชัด บอกเพียงแต่พบกันวันนี้ตอนบ่ายเท่านั้น หาไม่แล้วการขัดจังหวะของเฉินเซียงเมื่อครู่เกรงว่าคงทำเฉินอิ๋งไปสาย
“สภาพอากาศเช่นนี้คล้ายหิมะกำลังจะตก คุณหนูเตรียมร่มไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ” สวินเจินที่อยู่ข้างๆ ชะโงกหน้ามองออกไปนอกม่านพลางกระซิบเตือน
บรรยากาศในลานเรือนเงียบเหงาซบเซาแทบไม่มีลม อุณหภูมิไม่ได้ต่ำจนเกินไปนัก กลุ่มเมฆหนาหนักสีหม่นที่กระจายอยู่ทั่วแผ่นฟ้าทาบทับอยู่เหนือกำแพง แสงตะวันอึมครึมลงทุกขณะ
“เอาร่มไปด้วยก็ดีเหมือนกัน หิมะคงตกลงมาอีกเป็นแน่” เฉินอิ๋งกล่าวก่อนจะเดินออกนอกประตูไป
หลังจากเดินออกไปได้ไม่นานหิมะก็เริ่มโปรยปราย ที่ลอยละล่องลงมาในช่วงแรกเป็นก็แค่เพียงละอองหิมะเล็กละเอียดบางเบาเท่านั้น
ครั้นตกถึงพื้นพวกมันยังคล้ายกลิ้งได้อยู่ ตอนรถม้าวิ่งอยู่บนถนนชีเสียนละอองหิมะก็เริ่มเกาะตัวใหญ่ขึ้น โปรยปรายปลิวว่อนไปทั่ว เหนือชายคาบ้านเรือนตลอดสองข้างทางล้วนถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งบางๆ
ร้านเซียงอวิ๋นตั้งอยู่ที่ตรอกซย่าหม่าซึ่งอยู่ติดกับถนนชีเสียน ตอนเฉินอิ๋งลงจากรถม้า นางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบต้นหลิวจำนวนมากส่ายไหวคล้ายเริงร่ายตกแต่งประดับประดาเมืองเก่าเงียบสงัดแห่งนี้
ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนยามนี้มีจำนวนไม่มากนัก ทว่าการปรากฏตัวของนางกลับดึงดูดสายตาคล้ายมีคล้ายไม่มีของผู้คนจำนวนไม่ใช่น้อย อาภรณ์กันหนาวแขนยาวลายกิ่งเหมยสีชมพูที่เห็นได้อยู่รางๆ ใต้หมวกม่านแพรนั้นสะดุดตาผู้คนเกินไปอยู่สักหน่อย
“อา ไม่รู้คุณหนูบ้านใด แต่งตัวงดงามดีแท้” มีคนเอ่ยปากทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าชื่นชมหรือกระแหนะกระแหน
หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็ยิ่งทำตัวเหลวไหลมากขึ้นไปอีก เขาเอ่ยปากกระเซ้าต่อ “คงไม่ใช่นางจากหอใดสักแห่งกระมัง รูปร่างไม่เลว อายุสิบห้าหรือยังก็ไม่รู้”
เสียงที่สามดังขึ้นตัดบทอีกฝ่าย “เจ้าตาบอดหรืออย่างไรถึงได้มองไม่เห็นรถม้านั่น!”
เสียงสุดท้ายนั่นหยุดเสียงกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ได้ทันที ทว่าสายตาที่จับจ้องอยู่บนร่างของเฉินอิ๋งนั้นไม่ได้มีจำนวนลดลง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น
หลัวมามาสีหน้าเย็นชา นางคุ้มครองเฉินอิ๋งเดินเข้าไปในร้านพลางกัดฟันโมโห “ปากของคนที่นี่เหตุใดถึงได้โสมมนัก แต่ละคนกินมูลสุนัขก่อนออกจากบ้านมาหรือไรกัน”
บ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยยามนี้ต่างถลึงตาใส่คนพวกนั้น จะดีจะชั่วเช่นไรพวกเขาก็เป็นบ่าวไพร่จวนขุนนาง กลิ่นอายที่มีอยู่บนร่างไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆ จะเทียบเคียงได้ ด้วยเพราะหวาดประหวั่น พวกขี้นินทาเหล่านั้นจึงต่างแยกย้ายไปกันคนละทิศละทาง เพียงไม่นานท้องถนนก็กลับมาสงบเงียบดังเดิม
คิ้วที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกม่านแพรของเฉินอิ๋งขมวดเข้าหากัน สังคมของที่นี่เลวร้ายกว่าที่นางคิดมาก
โชคดีที่ยามนี้ลูกจ้างในร้านเซียงอวิ๋นรีบเดินออกมารับหน้าพลางเอ่ยปากทักทายด้วยท่าทีกระตือรือร้น ก่อนจะนำพาแขกสูงศักดิ์ท่วงทีไม่ธรรมดาเข้าไปภายในร้าน
ในร้านไม่มีลูกค้าอื่นใด คาดว่าคงเพราะด้านนอกหิมะตก สภาพอากาศหรือก็หนาวเหน็บ ทำให้ผู้คนเกียจคร้านเกินกว่าจะออกจากเรือน
ครั้นเข้าไปถึงภายใน ไม่ต้องรอให้เฉินอิ๋งสั่ง สวินเจินก็เดินขึ้นหน้ามาวางท่ากล่าว “คุณหนูของพวกเราต้องการพบเจ้าของร้าน เทียบส่งมาแล้ว ไปตามเถ้าแก่ของเจ้าออกมาเถิด”
ลูกจ้างรายนั้นสายตาคมกริบ เขาดูออกแต่แรกแล้วว่าเฉินอิ๋งไม่ใช่คนธรรมดา พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบยิ้มรับคำ ตรงเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานสตรีหน้าตางดงามหมดจดนางหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับด้วยท่วงท่างามสง่า
พอเห็นอีกฝ่าย หลัวมามายังไม่เท่าใด ทว่าสวินเจินกับจือสือที่อยู่ข้างๆ ต่างสองตาเบิกโพลง สีหน้าตื่นตกใจ
คนที่มาก็คือหมิงซิน!
แม้แต่เฉินอิ๋งเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
หมิงซินในอาภรณ์กันหนาวสีฟ้าใสปักกลุ่มโบตั๋นปรากฏตัวอยู่ในร้านเซียงอวิ๋น อีกทั้งยังปรากฏตัวในฐานะเถ้าแก่
นี่มันเรื่องอันใดกัน
หลังคดีฆาตกรรมในบ้านสกุลเหอ หมิงซินก็ปรากฏตัวถี่ขึ้น เฉินอิ๋งเพิ่งจะออกจากบ้านมาเป็นครั้งที่สองเท่านั้นก็ได้พบเจอนางอีกคราวแล้ว
“คุณหนูสามเป็นแขกคนสำคัญจริงๆ รีบเข้ามาข้างในเถิด” หมิงซินอมยิ้มแสดงคารวะ พอลุกขึ้นนางก็นำพาพวกเฉินอิ๋งเดินเข้าไปด้านในพลางกล่าว “เทียบของคุณหนูนายหญิงของพวกเราได้รับแล้ว เพียงแต่คุณหนูมิได้ระบุเวลาแน่ชัด นายหญิงของพวกเราบังเอิญมีธุระด่วนจำต้องออกไปข้างนอก มิอาจอยู่รอต้อนรับ ทว่านายหญิงได้กำชับสั่งผู้น้อยเอาไว้แล้วว่าทันทีที่คุณหนูมา รบกวนให้คุณหนูอยู่รอสักครู่ เพียงไม่นานนางก็จะกลับมา”
ไม่รู้ว่าเพราะออกจากบ้านสกุลเหอมาหรือไม่ หมิงซินยามนี้ถึงได้พูดจาสบายๆ อากัปกิริยาหรือก็สุขุมเยือกเย็น แลดูมีอำนาจกว่าตอนอยู่ข้างกายหวงซื่อ คล้ายภาคภูมิกว่าเก่าก่อนอยู่หลายส่วน
หลัวมามาไม่รู้จักนางจึงลอบถามสวินเจิน พอรู้ว่าสตรีตรงหน้าคือ ‘นารีเป็นเหตุ’ ชื่อดัง นางก็ไม่วายนึกกระหายใคร่รู้ จนอดไม่ได้ที่จะพินิจพิจารณาดูอีกฝ่าย
บทที่ 233 ตัวตนที่แท้จริง
เฉินอิ๋งจ้องหมิงซินไม่วางตา ก่อนหน้านี้สิ่งแรกที่นางนึกถึงตลอดยามพบเจอหน้าหมิงซินคืออีกฝ่ายเป็นสาวโสดทึนทึกอายุเกินยี่สิบห้าในยุคโบราณผู้หนึ่ง
ทว่ายามนี้พอได้เจอหน้ากันอีกครั้งนางกลับรู้สึกว่าหมิงซินกลับดูอ่อนเยาว์ลง เป็นก็แค่เพียงสตรีอายุยี่สิบเท่านั้น
“เชิญคุณหนูสามเข้ามานั่งข้างในก่อนเถิด ด้านนอกผู้คนขวักไขว่ไม่เหมือนในห้องที่เงียบสงบกว่า” หมิงซินเอ่ยปากเชื้อเชิญอีกคราว วาจาเกรงอกเกรงใจอันใดล้วนไหลลื่นคล่องปาก แค่ดูก็รู้แล้วว่าทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ต่างกับสาวใช้ที่ไม่ใคร่พูดจาในความทรงจำของเฉินอิ๋งราวกับเป็นคนละคน
ขณะกำลังครุ่นคิด เฉินอิ๋งก็ถอดหมวกม่านแพรออก สีหน้ายังคงสงบนิ่งเช่นทุกครั้ง “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนแม่นางหมิงซินให้ช่วยนำทางแล้ว”
“คุณหนูล้อผู้น้อยเล่นแล้ว เชิญทางนี้” หมิงซินค้อมกายน้อยๆ เดินนำทางอยู่ด้านหน้า ทุกคนเดินตามนางไปยังลานเรือนด้านหลัง
ร้านเซียงอวิ๋นที่จี่หนานเล็กกว่าที่อำเภอเผิงไหลอยู่เล็กน้อย ทว่ารูปแบบของพวกมันกลับคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน หลังร้านล้วนเป็นลานเรือนสองชั้น ที่พำนักของกัวหว่านอยู่ลานเรือนด้านหลังสุด
ครั้นเข้าไปถึงภายใน ทุกคนก็ได้พบกับต้นสนเขียวชอุ่มกลางลาน ทางเดินหินคดเคี้ยว ก่อเกิดเป็นทัศนียภาพเงียบวิเวกกลางหิมะโปรย
ห้องโถงเก็บกวาดจัดวางงดงาม ทางด้านหน้าของหน้าต่างฉลุลายมีโต๊ะสูงวางอยู่ตัวหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ทางด้านบนคือดอกเหมยแรกแย้มในแจกัน แต่กลับมิใช่ดอกเหมยแดงที่พบเห็นได้ทั่วไป หากเป็นล่าเหมย* กิ่งหนึ่ง
พอเห็นเฉินอิ๋งจ้องมองดูดอกเหมยนั่น หมิงซินก็ยิ้มกล่าว “มันเป็นดอกไม้หน้าหนาวที่นายหญิงโปรดปรานที่สุด”
เฉินอิ๋งพยักหน้านั่งลงที่ข้างโต๊ะ หมิงซินประคองส่งชาหอมให้กับนางด้วยมือตนเอง ขณะเดียวกันก็มีสาวใช้ตัวน้อยอีกคนประคองกล่องขนมทรงดอกเหมยมาสองกล่อง ด้านในบรรจุของว่างจำพวกเนื้อแห้งผลไม้แห้งนานาเข้ามา
หมิงซินยิ้มกล่าว “หากต้อนรับขาดตกบกพร่องอันใด ขอคุณหนูสามอย่าได้ถือสา”
พอเห็นอีกฝ่ายอากัปกิริยาไม่ธรรมดาเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง นางเอ่ยปากถาม “ข้าคงต้องเรียกแม่นางหมิงซินว่าท่านผู้ดูแลแล้วกระมัง”
ได้ยินเช่นนั้นหมิงซินก็ตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะเผยยิ้ม นางปิดปากกล่าว “ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนั้น คุณหนูสามยกย่องผู้น้อยเกินไปแล้ว ผู้น้อยยามนี้ก็แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น”
ถึงจะพูดเช่นนั้น ทว่าท่าทางของนางหลังจากนั้นกลับยิ่งทำให้คนตกใจ
เพราะหลังจากเฉินอิ๋งนั่งลงได้ไม่นาน หมิงซินก็ประคองสมุดบัญชีออกมาปึกหนึ่ง
“นายหญิงบอกว่าคุณหนูอาจจะมาเพื่อขอดูบัญชี ผู้น้อยจึงได้เตรียมบัญชีของเดือนนี้ไว้” หมิงซินพูด สีหน้าขัดเขินปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เพราะผู้น้อยดูรายการบัญชีไม่สู้จะเข้าใจนัก คุณหนูสามคิดว่าเล่มใดใช่ก็เชิญคุณหนูตรวจดูได้ตามสบาย”
เฉินอิ๋งสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
เพิ่งจะแค่เดือนกว่าเท่านั้น แต่กัวหว่านกลับมอบสมุดบัญชีให้หมิงซินดูแลแล้ว นางไว้ใจหมิงซินมากถึงเพียงนี้เชียว
แล้วลวี่อีกับหงเซียงเล่า
เฉินอิ๋งจำได้ว่าสาวใช้สองคนนั่นเป็นคนสนิทของกัวหว่าน แม้แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้นางยังให้หมิงซินเป็นคนดูแล แล้วสาวใช้สองคนนั้นเล่าทำสิ่งใด
หลังจากกวาดตาใจลอยดูสมุดบัญชีอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเฉินอิ๋งก็วางมันลง
สมุดบัญชีสมัยโบราณเช่นนี้นางเองก็ดูไม่รู้เรื่องสักเท่าใดนัก แค่พออ่านเข้าใจได้คร่าวๆ เท่านั้น นอกจากนี้บัญชีพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง กัวหว่านเพียงให้หมิงซินนำออกมาเพื่อแสดงความจริงใจ
หลังจากนั้นนางก็นั่งกินของว่าง พูดคุยอยู่กับพวกหลัวมามาเป็นครั้งคราว ชาหอมถูกเติมเข้ามารอบแล้วรอบเล่า ของว่างหรือก็เปลี่ยนไปหลายครั้งหลายหน แต่ถึงกระนั้นกัวหว่านก็ยังคงไม่ปรากฏตัว
เฉินอิ๋งมีความอดทนสูง นางทำเพียงนั่งรออีกฝ่ายด้วยท่าทีสงบนิ่ง ตรงกันข้ามกลับเป็นหมิงซินที่เกรงว่านางจะเบื่อจึงคอยอยู่คุยเป็นเพื่อน
ที่ชวนให้คนรู้สึกประหลาดใจก็คือหมิงซินคุยเก่งยิ่งนัก นางคล้ายเคยอ่านหนังสือมาไม่น้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ ความคิดอ่านหรือก็กว้างไกล พูดคุยเรื่องสภาพความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ กับเฉินอิ๋งรู้เรื่อง จัดเป็นคู่สนทนาที่ดีผู้หนึ่ง
หลังพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศประเพณีของผู้คนในเติงโจว หมิงซินย่อเข่าให้เฉินอิ๋งในเวลาอันเหมาะเจาะ เอ่ยปากแฝงน้ำเสียงหยอกเอินอยู่สองสามส่วน “จะว่าไปผู้น้อยก็ควรขอบคุณคุณหนู หากไม่มีคุณหนู ผู้น้อยก็คงไม่มีโอกาสมาที่นี่ ได้พบคุณหนูอีกครั้ง หากกล่าวอย่างไม่เจียมตน บางทีนี่อาจเป็นเพราะผู้น้อยกับคุณหนูมีวาสนาต่อกัน”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศภายในห้องก็พลันเงียบงัน
เหตุใดหมิงซินถึงมาที่จี่หนานได้เหตุผลมิใช่ชัดเจนอยู่แล้วหรือไรกัน
นั่นมิใช่เพราะนางเป็นบ่าวที่มีชะตา ‘ข่มนาย’ หรอกหรือ
และที่นางมีชื่อเสียงย่ำแย่เช่นนี้ก็ด้วยเพราะเฉินอิ๋งคลี่คลายคดีกู่ต้าฝูสังหารคนได้สำเร็จ
ที่หมิงซินกล่าวยามนี้ แม้จะเหมือนเป็นคำพูดสรรเสริญเยินยอ แต่ความหมายที่แฝงอยู่ภายในกลับมิได้ทำให้คนรู้สึกดีแต่อย่างใด
หลัวมามาสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมรวดเร็ว นางเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูของพวกเรารับพระราชโองการสืบคดี อย่าว่าแต่สกุลเหอเลย ต่อให้เป็นพระราชวังต้องห้าม คุณหนูของพวกเราก็จะลงมือสืบสวนสอบสวนเช่นกัน”
นางหมายใช้คำพูดดังกล่าวปิดปากหมิงซิน ไม่ให้อีกฝ่ายพูดถึงเฉินอิ๋งเช่นนั้น
พอได้ยินเช่นนั้นหมิงซินก็ยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจ ในรอยยิ้มยังแฝงไว้ซึ่งท่าทีงามสง่าหลายส่วน “มามาเข้าใจข้าผิดแล้ว แม้ข้าจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่ก็หาได้เลอะเลือนเยี่ยงนั้นไม่”
พูดถึงตรงนี้นางก็หันไปแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋งอีกครา สีหน้าจริงจังยิ่ง “ผู้น้อยนึกขอบคุณคุณหนูด้วยใจแท้จริง แน่นอน ในสายตาของคุณหนูผู้น้อยก็แค่หญ้าแพรกไร้ค่าเท่านั้น ทว่าผู้น้อยอย่างไรก็ยังต้องกล่าว การที่คุณหนูคลี่คลายคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่บ้านสกุลเหอนั้นได้มอบชีวิตใหม่ให้กับผู้น้อยจริงๆ”
พูดจบนางก็ย่อกายแสดงคารวะด้วยท่าทีงดงามอีกคราว
คำพูดนี้ทำเอาหลัวมามาถึงกับตะลึง
ท่าทางคำพูดคำจาของหมิงซินไม่มีทางเป็นเรื่องโกหก นางนึกขอบคุณเฉินอิ๋งด้วยใจแท้จริง
ยามนี้อย่าว่าแต่หลัวมามาเลย แม้แต่จือสือที่มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นก็ยังมีสีหน้าประหลาดใจ
เฉินอิ๋งมองดูหมิงซินปราดหนึ่ง รอยยิ้มนุ่มนวลละมุนละม่อม “เรื่องนี้หาจำเป็นต้องขอบคุณข้าไม่ ข้าก็แค่ทำเรื่องที่สมควรทำก็เท่านั้น ยามนี้เจ้าพบเจอเส้นทางเดินของตนเองแล้ว เห็นเจ้าท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาเช่นนี้ ดูท่าเจ้าเองก็คงชอบการเปลี่ยนแปลงในเวลานี้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ดีใจกับเจ้าด้วย”
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น เฉินอิ๋งไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอันใดวิเศษมหัศจรรย์ แต่สำหรับหมิงซินแล้ว คำพูดดังกล่าวกลับทำนางสองตาแดงก่ำ
นางเงยหน้า สายตาจับจ้องอยู่บนตัวเฉินอิ๋งเป็นนาน จู่ๆ นางก็แย้มยิ้ม “ผู้น้อยคิดอยู่แล้ว คุณหนูสามฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ คนธรรมดาไหนเลยจะเทียบเทียมได้ ยามนี้ได้พบพานพูดคุยกับท่านซึ่งๆ หน้า ผู้น้อยถึงได้รู้ว่าท่านน้ำใจกว้างขวางยิ่งนัก หาใช่แบบอิสตรีทั่วไปไม่”
นางยกแขนเสื้อขึ้นซับหางตาก่อนจะเอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจังอีกครา “ต่อหน้าคุณหนูสาม ผู้น้อยย่อมมิอาจกล่าววาจามดเท็จ ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาผู้น้อยพบเจอวาจาถากถางมากมาย ทุกคนล้วนบอกว่าผู้น้อยมีใจคอยจ้องหาโอกาสยกฐานะของตน อีกทั้งยังบอกว่าผู้น้อยเกาะแกะสกุลเหอไม่ยอมปล่อยนั่นก็ด้วยเพราะหมายใจอยากเป็นอนุ ต้องการช่วงชิงความรักความเมตตาที่นายท่านมีต่อนายหญิงเหอ”
นางส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่ง คิ้วเรียวโค้งนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย “สำหรับผู้น้อยแล้ว คนพวกนั้นล้วนตาสุนัขมองคนต่ำ”
แม้จะเป็นเพียงคำพูดแผ่วเบาประโยคหนึ่ง แต่ครั้นออกจากปากนาง มันกลับฝากแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงโอหังอวดดีอยู่หลายส่วน ราวกับมองไม่เห็นคนทั้งโลกอยู่ในสายตา
“อย่าว่าแต่นางบำเรอหรืออนุอันใดเลย ต่อให้นายหญิงเหอหย่าขาดกับนายท่านแล้วยกตำแหน่งของนางให้ผู้น้อย ผู้น้อยก็หาได้แยแสไม่” น้ำเสียงของนางแทบเรียกได้ว่าเมินเฉย ร่างกายเหยียดตรงราวกับดอกบัวชูช่อส่ายไหวงดงามตามสายลม
* ล่าเหมย เป็นไม้ดอกที่ออกดอกในฤดูหนาว ส่วนมากเป็นสีเหลือง แต่ก็มีที่สีชมพูหรือแดง คนทั่วไปรู้จักในชื่อต้น Japanese Allspice (Chimonanthus praecox) แต่คนญี่ปุ่นเรียก ‘โรไบ’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.