บทที่ 234 ยโสโอหัง
ผู้คนในห้องต่างพากันตะลึงลาน
หมิงซินกลับราวกับจมดิ่งอยู่ท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกแห่งตน นางยังคงพล่ามพูดไม่หยุด ทุกถ้อยคำล้วนราวกับแฝงไว้ซึ่งน้ำหนักแปลกประหลาด กระแทกเข้าใส่หูของคนทุกผู้ “ความมุ่งมาดปรารถนาของผู้น้อยหาใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระพวกนี้ไม่ น่าขันที่คนที่คิดว่าตนเองสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งพวกนั้นกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าดูผู้น้อยผิดไป”
ด้วยเพราะอารมณ์ฮึกเหิมทำให้เสียงของนางดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ที่ผู้น้อยอยู่ที่บ้านสกุลเหอไม่ยอมจากไปที่ใด มิใช่เพราะสิเน่หาระหว่างชายหนุ่มหญิงสาว และยิ่งไม่ใช่หมายสู้รบตบมือชนิดเจ้าตายข้ารอดกับสตรีนางใด ปณิธานเพียงหนึ่งเดียวของผู้น้อยคือช่วยใต้เท้าเหอมองการณ์ไกล ยกฐานะเลื่อนตำแหน่งรวดเร็ว บรรลุความปรารถนาชั่วชีวิต”
บรรยากาศภายในห้องถูกครอบงำด้วยความเงียบสงัด มีเพียงหางวาจาอวดโอ่ของหมิงซินเท่านั้นที่ยังคงก้องกังวานอยู่ทั่วทุกสารทิศ
สาวใช้ฐานะต่ำต้อยนางหนึ่งบอกว่าไม่สนใจเป็นอนุยังพอว่า แต่นี่ถึงขนาดกล้าป่าวประกาศบอกว่าแม้แต่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ก็ยังไม่สน ที่นางต้องการมิใช่เรือนหลัง หากแต่เป็นเรื่องของราชสำนัก!
นี่มิใช่แค่เพียงกำเริบเสิบสาน แต่เป็นกบฏ!
เฉินอิ๋งตะลึงมองหมิงซิน จิตใจกระเพื่อมไหว
ยากจะพบพานโดยแท้
ที่นางมองเห็นอยู่ในสายตาของสตรีในยุคโบราณผู้นี้คือความทะเยอทะยาน
ความทะเยอทะยานยโสโอหังแรงกล้าเยี่ยงนั้นปรากฏอยู่บนตัวอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเสียยิ่งกว่าเหล่าบุรุษที่เล่าเรียนเขียนอ่านแสวงหาความก้าวหน้าพวกนั้นเสียอีก
“ผู้น้อยไม่ขอปิดบังอันใดคุณหนูอีก ยามนั้นที่ใต้เท้าเหอกล้าตกลงรับปากช่วยใต้เท้าหลี่นั่นก็ด้วยเพราะเขาฟังคำแนะนำของผู้น้อย” หมิงซินโยนระเบิดออกมาเป็นชุด ราวกับกลัวทุกคนจะแตกตื่นตกใจตะลึงลานกันไม่พอ “หนังสือราชการในเติงโจวพวกนั้นผู้น้อยล้วนอ่านมันครบทุกตัวอักษร เนื้อความสำคัญอันใดผู้น้อยล้วนจดจำมันใส่ใจและลอบคัดลอกจดบันทึกไว้ จนกระทั่งใต้เท้าหลี่ส่งคนมาตรวจสอบ ผู้น้อยถึงได้มอบมันให้กับใต้เท้าเหอ”
นางบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ราวกับว่าการที่สาวใช้เช่นนางช่วยเหลือผู้เป็นนายจัดการงานราชการนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งยวด “หากตลอดหลายปีมานี้ไม่มีผู้น้อยคอยเก็บรวบรวมข่าวสาร ใต้เท้าเหอแม้มีใจคิดช่วยเหลือ ก็ไม่มีทางช่วยใต้เท้าหลี่รื้อหามอดปลวกพวกนี้ได้พบ ถ้าพูดจาโอหังบังอาจสักหน่อยก็คงต้องบอกว่าหากไม่มีผู้น้อย อาศัยความสามารถของใต้เท้าเหอ คิดเลื่อนตำแหน่งรวดเดียวสองขั้น ไหนเลยจะเป็นไปได้”
หลังประกาศชัด หมิงซินก็เผยยิ้ม สีหน้าสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านอันใดออกมา เรียกได้ว่ามิได้แลดูอ่อนด้อยกว่าสตรีสูงศักดิ์นางใด
หลัวมามารวมถึงพวกสวินเจินต่างพากันตะลึงงัน พวกนางใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นบ่าวไพร่เอ่ยปากตำหนินายเก่า และใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอบ่าวไพร่ทะนงตนมาก่อน
เพียงแต่สาวใช้ใจกล้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ว่าจะวิธีการหรือมุมมองที่นางวิพากษ์วิจารณ์ผู้เป็นนายล้วนแต่ไม่เหมือนผู้ใด นับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับพวกนางโดยแท้
เฉินอิ๋งพิจารณาดูหมิงซิน พูดกันตามตรง นางใช่ว่าจะไม่รู้สึกตกใจ
ที่ยืนอยู่ต่อหน้านางยามนี้มิใช่สาวใช้ฉลาดเฉลียวซื้อขนมเปี๊ยะต้นหอมนางนั้นอีกต่อไป แต่หากแลดูคล้ายนักการเมืองทะเยอทะยานผู้หนึ่ง
หากมิใช่เห็นเองกับตา เฉินอิ๋งย่อมไม่มีทางจินตนาการออกว่าจะมีสตรีเช่นนี้ปรากฏตัวอยู่ในยุคโบราณ
นางคล้ายสติสัมปชัญญะเลือนราง
นี่ยังใช่ยุคต้าฉู่กระนั้นหรือ
ในยุคโบราณที่สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานยิ่งยวดนี้ มี ‘นักการเมืองสตรี’ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ หมิงซินก็เก็บกลิ่นอายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบนตัวนั้นไปจนสิ้น
ใบหน้าของนางยามนี้แปรเปลี่ยนขมขื่นขึ้นมาเล็กๆ สีหน้าหม่นหมอง “เพียงแต่คนคำนวณมิสู้สวรรค์ลิขิต ผู้น้อยอุตส่าห์ไตร่ตรองถ้วนถี่ แต่สุดท้ายกลับลืมคำนึงถึงเรื่องกู่ต้าฝู เรื่องนี้ไหนเลยจะโทษผู้ใดไหนอื่นได้ คงได้แต่ต้องโทษที่ผู้น้อยเลินเล่อเกินไป ใครเล่าจะไปคิดว่าเถ้าแก่ร้านขายขนมเปี๊ยะต้นหอมจะกล้าลงมือฆ่าคนเยี่ยงนั้น คนผู้นี้ปกติแลดูซื่อๆ นึกไม่ถึงว่าความทะเยอทะยานของผู้น้อยจะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของคนชั้นต่ำเยี่ยงนี้”
นางถอนหายใจ ยกมือจัดมวยผม แต่เพียงครู่เดียวนางก็คล้ายกับคิดตก สีหน้ากลับมาผ่อนคลายอีกครา “โชคดีที่ดวงชะตาของผู้น้อยไม่เลว นายหญิงยังพอมองเห็นความสามารถเล็กๆ น้อยๆ นี้ของผู้น้อย วันหน้าหากผู้น้อยช่วยนายหญิงแผ้วถางกิจการเหล่านี้ได้สำเร็จ อนาคตในภายภาคหน้าย่อมมิน่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามอาจกลับกลายเป็นดีขึ้น”
พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นของอีกฝ่ายเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็หัวคิ้วกระตุก นางหันไปส่งสายตาให้กับหลัวมามา
หลัวมามายามนี้ได้สติแล้ว นางกำลังพิจารณาดูหมิงซินด้วยสีหน้าตื่นตะลึง คล้ายต้องการดูให้รู้ซึ้งถึงลูกไม้ของอีกฝ่าย ครั้นเห็นเฉินอิ๋งส่งสายตาให้เช่นนั้น นางก็รีบพาสวินเจินออกจากประตูไป
เมื่อในห้องเหลือพวกนางแค่สองคน เฉินอิ๋งก็หยิบผลไม้ในถาดผลไม้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แต่แทนที่จะกินนางกลับถือมันไว้ในมือพลางเอ่ยปากถาม “แม่นางหมิงซินพูดมาตั้งมากมายเช่นนั้น ข้าคิดว่าเรื่องเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลหานก็น่าจะเป็นแผนการที่เจ้าวางไว้ก่อนหน้าแล้วเช่นกันกระมัง”
หมิงซินตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นนางก็ยิ้มงดงามกล่าว “แม้แต่เรื่องนี้คุณหนูสามก็ยังดูออก?”
นางยอมรับมันแต่โดยดี ไม่มีท่าทีปฏิเสธอันใดแม้แต่น้อย
“อันที่จริงภายหลังนายหญิงเองก็ทายถูก ผู้น้อยนับว่าเลือกเจอนายผู้ชาญฉลาดจริงๆ” สายตาของนางที่มองมาทางเฉินอิ๋งแฝงแววตาชื่นชมอยู่หลายส่วน มิได้อึดอัดเพราะถูกคนอ่านแผนการออกแต่อย่างใด “ในเมื่อท่านเองก็ทายได้ เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาโกหกอันใดอีก ผู้น้อยใช้วิธีบางอย่างให้หนิวมามาส่งข่าวไปยังสกุลหานสองสามประโยคจริงๆ”
พอเห็นใบหน้าของหมิงซินยิ้มแย้มไม่สะทกสะท้านเช่นนั้น เฉินอิ๋งก็อดนึกเลื่อมใสไม่ได้
รู้จักยกรู้จักวาง รู้จักยืดรู้จักหด แม่นางหมิงซินผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ความจริงอยู่ที่บ้านสกุลหานก็ใช่ว่าจะมีอันใดไม่ดี นายหญิงเหออันที่จริงก็นับว่าไม่เลว” เฉินอิ๋งพูดออกมาตามตรง
หวงซื่อแม้จะหวาดกลัวหมิงซินยิ่ง แต่ก็ไม่เคยใช้วิธีเยี่ยงคนพาลกับนาง จากความเข้าใจเรื่องการต่อสู้กันภายในเรือนหลัง นายหญิงอย่างหวงซื่อนี้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้อันที่จริงก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว
พอได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มของหมิงซินก็กลับกลายเปลี่ยนเป็นผิดหวัง นางพยักหน้าเอ่ย “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่นายหญิงเหอกับผู้น้อยเดินอยู่กันคนละเส้นทาง ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าผู้มีธรรมไม่เสมอกันมิอาจกระทำการร่วมกันได้ หากผู้น้อยอยู่ในบ้านสกุลเหอต่อย่อมเท่ากับปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์”
“เอ๋?” มุมปากของเฉินอิ๋งกระตุก รอยยิ้มพิลึกพิลั่นยิ่งยวด “เหมือนอย่างคำพูดที่ว่านกดีเลือกคาคบเกาะอาศัย*?”
“คุณหนูสามกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” หมิงซินรับคำ รอยยิ้มฝากแฝงไว้ซึ่งน้ำใสใจจริง
เฉินอิ๋งขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากถาม “นายท่านผู้เฒ่าเหอถูกสังหารในคืนนั้น ต้นเหตุก็ด้วยเพราะจู่ๆ ใต้เท้าเหอเปลี่ยนใจจะพาเจ้าไปจี่หนานด้วย นี่ก็คงเป็นความประสงค์ของเจ้าด้วยกระมัง”
“เรื่องนี้ผู้น้อยกับใต้เท้าเหอตกลงกันก่อนหน้านานแล้ว ผู้น้อยหาได้ยุยงอันใดไม่” น้ำเสียงของหมิงซินพลันหม่นหมอง ความรู้สึกห่อเหี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เพียงแต่ยามนั้นใต้เท้าเหอวุ่นวายอยู่กับการพบปะผู้คน จึงไม่รู้ว่านายหญิงเหอถึงวิสาสะจัดการเรื่องผู้น้อย ส่วนผู้น้อยเพราะเห็นว่าใกล้ออกเดินทางเข้ามาทุกที จึงจำต้องเอ่ยปากเตือนใต้เท้าเหอ ใครเล่าจะไปคิด…”
นางถอนหายใจส่ายศีรษะ ความรู้สึกห่อเหี่ยวกลับกลายเป็นเจ็บปวด “ข้าไม่ได้ฆ่าป๋อเหริน แต่ป๋อเหรินตายเพราะข้า** พูดไปพูดมา เรื่องนี้เพราะผู้น้อยเป็นเหตุ หากมิใช่ผู้น้อย นายท่านผู้เฒ่าเหอคงไม่ต้องตายอนาถเช่นนั้น”
บทที่ 235 เฒ่าชราเสน่หาลดเลือน
เฉินอิ๋งมองหมิงซินอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
ท่าทีเศร้ารันทดของหมิงซินแลดูจอมปลอมอยู่เล็กๆ
ทว่านั่นก็หาได้มีความหมายอันใดไม่
เฉินอิ๋งเองมิใช่ญาติสกุลเหอ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องสิ้นคิดอย่างบ่าวผู้ภักดีนายตายบ่าวตามอะไรพวกนั้น นางยินดีเผชิญหน้ากับคนถ่อยใจกล้าอย่างหมิงซินมากกว่าปรารถนาจะเห็นคนผู้หนึ่งตกเป็นทาสทางใจของผู้อื่น
อีกอย่างการตายของนายท่านผู้เฒ่าเหอเองก็ส่งผลกระทบต่อหมิงซินเช่นกัน ทำให้นางจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมาย หากว่ากันจากจุดนี้ หมิงซินเองก็เป็นผู้เสียหายด้วย
“เจ้าไม่เคยคิดจะช่วยใต้เท้าเหอให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง?” เฉินอิ๋งเอ่ยถาม คำถามนี้เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของนางล้วนๆ
คนที่มีความทะเยอทะยานเปี่ยมล้นอย่างหมิงซินน่าจะชอบควบคุมผู้อื่นด้วยมือตนเองมากกว่าจะติดตามนายผู้ชาญฉลาด เพราะหากทำเช่นนั้นนางย่อมมิอาจตระหนักได้ถึงคุณค่าของตนเอง
ได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้น ความรู้สึกเศร้ารันทดบนใบหน้าของหมิงซินก็พลันจางหาย นางกล่าววาจาแย้มยิ้มเบิกบาน “ความสามารถของใต้เท้าเหอมีจำกัด ผู้น้อยรู้สึกว่าสติปัญญาของเขาเกรงว่าคงทุ่มเทหมดสิ้นไปกับการในครั้งนี้แล้ว”
พูดอีกอย่างก็คือนางไม่เห็นค่าของ ‘หยกดิบ’* อย่างเหอจวินเฉิง ดังนั้นจึงตัดสินใจเสาะหาเส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์สายใหม่
เฉินอิ๋งอดนึกชื่นชมไม่ได้ คาดว่าทั่วทั้งต้าฉู่คงมีสาวใช้อย่างหมิงซินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าดูแคลนบุรุษผู้เป็นนายเยี่ยงนี้
“เจ้าออกจากบ้านสกุลเหอ ใต้เท้าเหอตัดใจได้กระนั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามขึ้นอีกคราว
หมิงซินมิได้ตอบออกมาตรงๆ มีก็แต่เพียงริมฝีปากแดงระเรื่องดงามราวบุปผาเท่านั้นที่ยกขึ้นน้อยๆ “ใต้เท้าเหอเป็นคนดี”
แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ไม่มีถ้อยคำอื่นใด
เฉินอิ๋งนึกนับถือใจของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครา
เหอจวินเฉิงจะดีจะชั่วเช่นไรอย่างไรก็เป็นอัจฉริยะที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑลมาได้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสุดท้ายกลับมิอาจต้านทานคำพูดเพียงสองสามประโยคของสตรีอย่างหมิงซิน คำพูดที่ว่า ‘วีรบุรุษผู้กล้ายากจะผ่านด่านโฉมสะคราญ’ วันนี้นางได้ประจักษ์ต่อสายตาแล้วจริงๆ
“เช่นนั้นข้าสรุปเช่นนี้ได้หรือไม่ ที่แม่นางหมิงซินจงใจเลือกบ้านสกุลหาน อันที่จริงเป้าหมายกลับอยู่ที่นายหญิงสี่สกุลฉิว” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นอีกคราว
นับเป็นคำพูดที่ยากจะคาดถึงจริงๆ
หมิงซินตะลึง นางเงยหน้ามองดูเฉินอิ๋งปราดหนึ่ง
เฉินอิ๋งจ้องตาอีกฝ่ายกลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ “เจ้ารู้ดีว่าผู้คนในเผิงไหลต่างล้วนรู้จักเจ้า หากยังอยู่บ้านสกุลเหอต่อย่อมยากที่จะก้าวหน้าอันใดได้ วันหน้าต่อให้ไปบ้านสกุลอื่น ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสแสดงความสามารถ ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านสกุลหานนั้นเอื้ออำนวยต่อเจ้าเพียงใดไม่จำเป็นต้องพูดถึง นอกจากนี้ยังมีนายหญิงสี่สกุลฉิวที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ เจ้ารู้ว่าน้ำมันหอมระเหยของสกุลหานมีนายหญิงสี่สกุลฉิวควบคุมอยู่ และยิ่งรู้ว่าขอเพียงติดตามนาง ไม่ว่าเช่นไรย่อมมีสักวันที่นางจะพาเจ้าออกไปจากเผิงไหล มอบโอกาสให้เจ้าได้โบยบินใช่หรือไม่”
ภายในห้องมีก็แต่ความเงียบงัน
หลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ หมิงซินก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง กล่าววาจาอย่างอับจนว่า “คุณหนูสามฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก ขอท่านอภัยด้วย ผู้น้อยน่าจะพูดความจริงกับท่านตั้งแต่แรก”
เฉินอิ๋งมุมปากกระตุก “ข้าก็แค่อยากรู้เท่านั้น ทุกอย่างที่เจ้าทำมาล้วนถูกกฎหมาย ข้าหามีคุณสมบัติอันใดเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่”
หมิงซินตะลึง เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจตามความคิดอ่านของเฉินอิ๋งได้ทัน
หากเป็นสตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ ยามนี้คงไม่พอใจยิ่งยวดแล้ว ผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่า ความปรารถนาในการควบคุมย่อมต้องมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา
ทว่าคุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้กลับผิดแผกแตกต่างจากสตรีสูงศักดิ์ที่นางเคยรู้จักก่อนหน้านี้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หมิงซินก็ย่อกายแสดงคารวะ “คุณหนูจิตใจกว้างขวาง ผู้น้อยนับถือด้วยใจ”
เฉินอิ๋งยิ้ม จัดการกินผลไม้ที่ถืออยู่ในมือเป็นนานลงท้อง
หมิงซินยืนก้มหน้าอยู่กับที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เฉินอิ๋งมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ในใจก็มีคำถามโผล่ขึ้นมาข้อหนึ่ง
พูดคุยกันอยู่เป็นนาน ตกลงหมิงซินผู้นี้มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่ เรื่องนี้ชวนให้คนรู้สึกกระหายใคร่รู้ยิ่ง
จากคำพูดคำจากิริยาท่วงท่าของนาง นางน่าจะไม่ได้อยู่ในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาๆ คนธรรมดาทั่วไปไหนเลยจะอบรมเลี้ยงดูสตรีให้คลั่งไคล้การบ้านการเมืองเยี่ยงนี้ได้
หรือว่าบรรพบุรุษของนางจะเป็นขุนนางชั้นสูง?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถาม “ข้าพอจะถามเรื่องฐานะชาติกำเนิดของแม่นางหมิงซินได้หรือไม่”
คำถามนี้ยังคงเกิดขึ้นเพียงเพราะความกระหายใคร่รู้ของนาง
อันที่จริงมิสู้บอกว่าเฉินอิ๋งก็เหมือนอย่างที่เผยซู่กับเยี่ยชิงบอก เป็นคนที่ ‘ชอบถามคำถามยิ่งนัก’
ครั้นได้ยินเช่นนั้นหมิงซินก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องเฉินอิ๋งเขม็ง
สีหน้าของนางจู่ๆ ก็พลันแปลกประหลาด ทั้งคล้ายหยิ่งยโสทั้งคล้ายหวาดประหวั่น อีกทั้งยังแฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดแค้นเคืองอยู่จางๆ
“ที่แท้คุณหนูสามก็ยังไม่ทราบ” นางเอ่ยปาก อารมณ์ซับซ้อนสับสนบนใบหน้าจางหายไปพร้อมกับเสียงพูด เหลือไว้ก็แต่สีหน้าเฉื่อยเนือย “บรรพบุรุษของผู้น้อยเคยอุทิศตนรับใช้อ๋องกบฏ”
แม้จะมีลางสังหรณ์อยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ถึงกระนั้นคำตอบของนางก็ยังคงทำเฉินอิ๋งตะลึง
อ๋องกบฏ?
นับแต่ฮ่องเต้หยวนจยาขึ้นครองราชย์ อ๋องกบฏก็มีอยู่ด้วยกันนับไม่ถ้วน แล้วอ๋องกบฏที่หมิงซินพูดถึงคือผู้ใด
หรือว่า…
“คือ…คังอ๋อง?” หลังจากเงียบไปชั่วระยะหนึ่ง เฉินอิ๋งก็ลองเอ่ยปากถาม
“คุณหนูสามปราดเปรื่องยิ่งนัก” หมิงซินยิ้มขื่นออกมาคราหนึ่ง ขณะกำลังพูดเงาร่างเหยียดตรงจู่ๆ ก็ค้อมโก่งลงมาอย่างน่าประหลาด
“บิดาของผู้น้อยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องกบฏ หลังอ๋องกบฏถูกประหาร บิดาของผู้น้อยก็ตายตกตามกัน ด้วยเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระมหากรุณา พระองค์จึงไม่ทรงเอาผิดพวกผู้น้อยทั้งตระกูล ดังนั้นพวกผู้น้อยจึงยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะผู้น้อยชะตาอาภัพ มารดาอำลาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ญาติมิตรก็ไม่ยินดีอุปถัมภ์ค้ำชู จึงขายผู้น้อยออกมา”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็อดนึกเสียใจไม่ได้
หมิงซินก็คือเครื่องสังเวยของการต่อสู้ทางการเมือง น่าเห็นใจยิ่งนัก
“คุณหนูสามสบายใจได้ ที่มาของผู้น้อยนี้นายหญิงรู้สิ้นแล้ว ใต้เท้าเหอเองก็ทราบ ผู้น้อยเองก็ยินดีบอกกับท่าน” สาวใช้ฉลาดเฉลียวผู้นี้แค่ดูเพียงปราดเดียวก็อ่านความคิดของเฉินอิ๋งได้แล้ว ประสาทสัมผัสนับว่าเฉียบคมยิ่งนัก น้ำเสียงนางในยามนี้ฟังดูจริงใจอย่างยิ่งยวด
เฉินอิ๋งยิ้มให้กับอีกฝ่าย ไม่พูดอันใดต่อ
ทว่าหมิงซินกลับคล้ายไม่มีอันใดพะวักพะวน นางยิ้มกล่าวต่อ “เรียนคุณหนูสาม ยามเด็กผู้น้อยหน้าตานับว่าไม่เลว ท่านพ่อของผู้น้อยเคยคิดจะยกผู้น้อยให้อ๋องกบฏ ตอนผู้น้อยอายุสิบขวบเคยติดตามท่านพ่อไปฉลองวันเกิดอ๋องกบฏที่จวน อ๋องกบฏเคยชมผู้น้อยว่า ‘ทั้งสวยทั้งฉลาด’ อีกทั้งยังประทานชื่อเล่นให้ผู้น้อยว่า ‘ซุ่นชิง’ ”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ สีหน้าของนางก็เหม่อลอย คล้ายย้อนกลับไปอยู่ยังจวนอ๋องอันงดงามโด่งดังเปี่ยมอำนาจบารมีในยามนั้น เป็นที่ชื่นชมของเหล่าชนชั้นสูง ทุกคนต่างนึกอิจฉา
นางนิ่งเงียบไม่บอกเล่าถึงเรื่องราวเก่าก่อนราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงคิดคำนึง เฉินอิ๋งจึงเอ่ยปากถามหยั่งเชิง “ที่เจ้าเข้าใจเรื่องการบ้านการเมืองนั่นก็ด้วยเพราะวิชาความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาของครอบครัว?”
“คุณหนูสามทายถูกอีกแล้ว” หมิงซินยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกรันทดใจใดๆ “ยามเด็กเพราะผู้น้อยความจำเป็นเลิศ ท่านพ่อจึงโปรดปรานผู้น้อยยิ่ง มักลงมือสอนสั่งผู้น้อยด้วยตนเอง ยามท่านพ่อกับเหล่าขุนนางพูดคุยปรึกษางานราชการกัน ท่านพ่อก็มักเรียกผู้น้อยไปนั่งฟังอยู่ข้างๆ ท่านพ่อเคยบอกผู้น้อยว่าคนที่ใช้ความงามรับใช้ผู้อื่น เมื่อความงามร่วงโรยความรักที่ได้มาก็ย่อมโรยราจากไป ถึงยามนั้นสายสัมพันธ์อันใดย่อมขาดสะบั้น คนเราหากกระทำการใดโดยอาศัยเพียงรูปโฉมหน้าตา ความสำเร็จนั้นย่อมไม่มีวันยืนยง ดังนั้นไม่ว่าเช่นไรก็ต้องร่ำเรียนเขียนอ่านให้กระจ่างแจ้ง คิดอ่านกว้างไกล ช่วยเหลือผู้เป็นสามีให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เพราะจดจำคำสอนนั้นใส่ใจ ผู้น้อยจึงขยันหมั่นเพียร ค่อยๆ ทำความเข้าใจงานราชการเหล่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็คล้ายได้สติ หมิงซินปิดหน้าหัวเราะกล่าว “อา ผู้น้อยกล่าววาจาเหลวไหลอะไรกัน ไม่รู้จักอะไรสูงอะไรต่ำเอาเสียเลย ถึงกับกล้าอวดตัวต่อหน้าคุณหนูสามผู้ชาญฉลาดเยี่ยงนี้ หน้าไม่อายจริงๆ ขอท่านได้โปรดให้อภัยด้วย ผู้น้อยก็แค่กล่าววาจาเหลวไหลเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจัง”
* มาจากสำนวนเต็มว่า ‘นกดีเลือกคาคบเกาะอาศัย ขุนนางดีเลือกเจ้านายที่ติดตาม’ หมายถึงการเลือกสิ่งที่ดี มั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
** ‘ข้าไม่ได้ฆ่าป๋อเหริน แต่ป๋อเหรินตายเพราะข้า’ เป็นสำนวน หมายถึงตนเองเป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องเดือดร้อน มีที่มาจากสมัยราชวงศ์จิ้น ป๋อเหรินได้แอบช่วยหวังเต่าผู้เป็นสหายอย่างลับๆ กราบทูลไม่ให้จักรพรรดิหยวนตี้ประหารคนสกุลหวังในฐานะกบฏ ต่อมาเมื่อหวังตุนญาติผู้พี่ของหวังเต่ากบฏสำเร็จได้ถามหวังเต่าว่าควรจัดการป๋อเหรินเช่นไร หวังเต่านิ่งเฉยเพราะคิดว่าป๋อเหรินไม่เคยช่วยตน หวังตุนจึงประหารป๋อเหริน เมื่อรู้ความจริงภายหลังหวังเต่าจึงพูดประโยคนี้ด้วยความเสียใจ
* หยกดิบ คือหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน อุปมาถึงคนที่เนื้อแท้แล้วมีความสามารถ แต่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.