บทที่ 4 เถาซู เกล็ดหิมะ
เฉินอิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง เก็บงำความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่เอ่อท้นขึ้นมาอย่างกะทันหันกลับลงท้อง
เจตนาชั่วร้ายมักห่อคลุมร่างของมันไว้ด้วยอาภรณ์ที่เรียกว่า ‘จิตใจงดงาม’ ความโหดเหี้ยมอำมหิตก็มักอาศัยความไร้เดียงสาเป็นเครื่องมือ ส่วนทำร้ายกับลบหลู่ก็ยิ่งแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นไม่สนใจไยดีภายใต้คำพูดอย่าง ‘พวกนางยังเด็กไม่รู้ประสีประสา’
นี่คือยุคสมัยที่นางอยู่ในเพลานี้
“หรือว่าคุณหนูสามคิดจะประจบประแจงฮูหยินบ้านใหญ่ของพวกเจ้า?” วาจาถากถางของกัวย่วนดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าแค่คำพูดประโยคเดียวนี้ก็เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเรือนต่างๆ ในจวนเฉิงกั๋วกงได้หมดสิ้น “ปกติแค่จะพูดให้ครบคำอันใดก็ยังทำไม่ได้ แต่ยามนี้กลับคิดเสนอหน้า”
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดาอิสตรีที่อยู่รายรอบได้มากขึ้นกว่าเดิม
เฉินอิ๋งเป็นสตรีจากบ้านรองของจวนเฉิงกั๋วกง มีฐานะเป็นบุตรีลำดับสามของตระกูล ฐานะในจวนกั๋วกงเรียกได้ว่า ‘ค่อนข้างกระอักกระอ่วน’ เฉินเซ่าบิดาของเฉินอิ๋งหายสาบสูญไปนานปี เป็นตายไม่รู้แจ้ง เรือนที่ไร้บุรุษปกป้องคุ้มครองไหนเลยจะมีฐานะอันใดให้หยัดยืนได้ นอกจากนี้ตัวเฉินอิ๋งเองก็พูดจาไม่เก่ง ยามอยู่ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายนางมักเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับผู้ใด ยามนี้จู่ๆ นางกลับออกหน้าแทนเฉินจิ่น หากไม่ใช่คิดประจบบ้านใหญ่แล้วยังจะเพราะอันใดได้
แทบทุกคนล้วนคิดเช่นนั้น
“ข้าก็แค่มาเล่าความจริงเท่านั้น” เฉินอิ๋งคล้ายฟังไม่เข้าใจคำพูดของกัวย่วน นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งก่อนจะขยับขึ้นหน้าสองสามก้าว ชี้ไปยังเถาจือที่คุกเข่าอยู่กับพื้น “แขนเสื้อเจ้าเปื้อนสิ่งใด”
เหมือนตอนนางปรากฏตัว คำถามนี้ไม่เพียงถามออกมาปุบปับแต่ยังแปลกประหลาดยิ่ง เสียงหัวเราะรายรอบพลันจางลงอย่างรวดเร็ว
เถาจือตะลึง รีบก้มหน้าสำรวจแขนเสื้อตนเอง ก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนูสาม แขนเสื้อผู้น้อยเปื้อนเกล็ดน้ำตาลเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งชูมือซ้ายขึ้น
ทุกคนยามนี้เพิ่งสังเกตเห็น มือซ้ายของนางถือจานใส่ของว่างไว้ เฉินอิ๋งพยายามชูมือสูงเพื่อให้ทุกคนมองเห็นได้โดยสะดวก
“ถ้าข้าจำไม่ผิด วันนี้หลังอาหารมีของว่างกินคู่กับน้ำชาสามอย่าง แต่กลับมีเพียง ‘ขนมเถาซูเกล็ดหิมะ’ เท่านั้นที่มีเกล็ดน้ำตาลโรยไว้ คุณหนูรอง ท่านว่าใช่หรือไม่” นางหันไปทางกู้หนานที่ยืนอยู่อีกด้าน
กู้หนานพยักหน้าอย่างงุนงง “ใช่แล้ว นี่เป็นของว่างที่จวนของพวกเราเพิ่งทำออกมาไม่นาน”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อา” ออกมาคำหนึ่ง มุมปากยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งกู้หนานถึงได้เข้าใจ คุณหนูสามสกุลเฉินกำลัง…ยิ้ม?
นางเลิกคิ้ว รอยยิ้มนี้ไม่ธรรมดา…จริงๆ
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตนเองกำลังรบกวนใจกู้หนาน
นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว วางจานขนมลงบนโต๊ะหน้ากัวย่วน ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยปาก “ขนมเถาซูเกล็ดหิมะนี้เพิ่งนำขึ้นโต๊ะมาเมื่อหนึ่งเค่อก่อน คุณหนูรองน่าจะเป็นพยานยืนยันถึงเรื่องนี้ได้ ข้าพูดถูกหรือไม่”
กู้หนานตะลึงไปชั่วขณะ นางพยักหน้าอีกครั้ง “อืม…ใช่แล้ว เมื่อหนึ่งเค่อก่อนข้าเป็นคนสั่งเอง”
เพราะหยกชิ้นโปรดของเซียงซานเซี่ยนจู่แตก กู้หนานจงใจเรียกคนให้เอาขนมเถาซูเกล็ดหิมะมาสร้างบรรยากาศ แต่เถาจือจู่ๆ กลับเอาเรื่องเฉินจิ่นขึ้นมาฟ้อง ทำเอาทั้งสองฝ่ายหมางใจกัน
“นั่นก็หมายความว่า…แม่นางเถาจือ โอกาสที่เจ้าจะสัมผัสถูกขนมเถาซูเกล็ดหิมะย่อมมีเพียงชั่วเวลาหนึ่งเค่อตอนเอาของว่างมาวางไว้บนโต๊ะเท่านั้น เรื่องนี้ข้าคงพูดไม่ผิดกระมัง” เสียงของเฉินอิ๋งสงบนิ่งราวกับสายน้ำ แต่คนที่ได้ยินกลับรู้สึกเหมือนถูกกระแสน้ำสาดซัด
ไม่ว่าจะบ้านใดเรือนใดจัดงานเลี้ยง หลังอาหารของว่างถูกวางขึ้นโต๊ะ พวกบ่าวไพร่ในจวนย่อมต้องถอยจากไป งานรับใช้ใกล้ชิดอย่างรินน้ำเติมชาอะไรพวกนั้น บ่าวคนสนิทของแต่ละสกุลย่อมเข้ามารับหน้าที่ต่อ ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมาทำแทน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ถึงจะไม่มีการเขียนไว้แต่ทุกคนก็ต่างรู้ดี
เถาจือขยับตัวกระวนกระวาย นางตอบเสียงแผ่วว่า “น่าจะ…ใช่…เจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งขยับมุมปาก นางยกมือแล้วดึงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
สาวใช้สวมเสื้อสีครามนางหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใดรับกระดาษแผ่นนั้นไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะชูสูงให้ทุกคนได้เห็น
“ขอให้ทุกคนดูแผนที่นี้” มือของเฉินอิ๋งไม่รู้มีกิ่งไม้เพิ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มันคล้ายเพิ่งหักออกมาจากที่ใดสักแห่ง บนกิ่งยังมีใบไม้ติดอยู่ใบหนึ่ง
นางชูกิ่งไม้ขึ้น ชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ มุมปากยกยิ้ม “แผนที่นี้ข้าวาดขึ้นหยาบๆ ขอทุกท่านอย่างได้ถือสา”
ทุกคนสายตาจับจ้องอยู่บนแผนที่ ภาพที่เฉินอิ๋งวาดเป็นเพียงภาพร่างหยาบๆ จริงอย่างที่นางพูด ภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัสสองสามอันเป็นตัวแทนของห้องสุขา เรือนรับรอง ห้องครัว ระหว่างภาพสี่เหลี่ยมพวกนั้นถูกเชื่อมต่อด้วยเส้นตรงบ้างเส้นโค้งบ้าง น่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนเส้นทาง
เฉินอิ๋งเริ่มต้นด้วยการชี้ไปที่ห้องสุขาพลางอธิบาย “ห้องสุขาตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเรือนรับรอง ระยะห่างเมื่อมองเป็นเส้นตรง…อืม…ถึงจะไม่ไกลจากเรือนรับรองนัก ทว่าเส้นทางกลับคดเคี้ยวเลี้ยวลด อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยวถึงห้าเลี้ยว เมื่อครู่ข้าให้คนลองวิ่งไปมาให้เร็วที่สุดดู พบว่าจากเรือนรับรองถึงห้องสุขาไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเค่อโดยประมาณ เมื่อครู่แม่นางเถาจือบอกว่านางมั่นใจว่าเห็นพี่ใหญ่ของข้าไปห้องสุขากับตาเมื่อไม่ถึงสองเค่อก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”
ไม่มีคนตอบคำถามของนาง ทุกคนต่างยอมรับคำอธิบายของนางอยู่เงียบๆ
ก่อนหน้านี้เถาจือไม่เพียงพูดยืนกรานหนักแน่น หากยังพูดซ้ำถึงสองรอบ ทุกคนในเรือนรับรองต่างเป็นพยานได้
เฉินอิ๋งชักกิ่งไม้กลับพร้อมหันมองไปทางเถาจือ “แม่นางเถาจือ เจ้าเห็นพี่สาวของข้าไปห้องสุขาเมื่อราวๆ สองเค่อก่อน อีกทั้งยังสะกดตามรอยนางไป เห็นนางเขวี้ยงหยกลงกับพื้นแตกเป็นสองท่อน หลังจากนั้นก็กลับมาที่เรือนรับรองนี่ ตกลงเจ้าทำเรื่องทั้งหมดนี้ใช้เวลาเท่าไรกันแน่”
เรือนรับรองเงียบสงัดยิ่งกว่าเก่า สายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่บนตัวเฉินอิ๋ง สายตาหลายคู่ส่องประกายวับวาวเป็นพิเศษ
หนึ่งในนั้นคือเฉินจิ่น
นางมองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตาโชติช่วงเป็นประกาย นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางพบว่าน้องสามที่ไม่ชอบพูดจาผู้นี้หาได้ซื่อๆ เซ่อๆ เหมือนท่าทางภายนอกไม่
“เอ่อ…ผู้น้อย…ผู้น้อยจำได้ไม่แน่ชัด” เถาจือเอ่ยปากอ้ำๆ อึ้งๆ คำตอบที่ให้มาคลุมเครือสิ้น
“จำได้ไม่แน่ชัด?” เฉินอิ๋งไม่ได้ซักไซ้ ไม่ได้แสดงอาการโกรธขึ้ง เพียงพูดตามอีกฝ่ายซ้ำด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลันทันที “ทว่าเกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อของเจ้ากลับบอกชัดแจ้งว่าอย่างน้อยก็ตอนนำขนมเถาซูเกล็ดหิมะมาวางขึ้นโต๊ะ ซึ่งก็หมายความว่าเจ้ากลับมาถึงเรือนรับรองตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน หาไม่แล้วเจ้าไหนเลยจะอธิบายได้ว่าเกล็ดน้ำตาลนั้นเปื้อนอยู่บนแขนเสื้อเจ้าได้เช่นไร ข้าพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่”
เถาจือหลุบตาหลบ สองตากะพริบปริบๆ รวดเร็วสองสามที ไม่ได้ตอบคำถามของเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งไม่ได้ซักไซ้เอาความ แต่กลับยกกิ่งไม้เคลื่อนกลับไปกลับมาอยู่บนแผนที่ระหว่างเรือนรับรองกับห้องสุขา “แม่นางเถาจือ หากเจ้าสามารถใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อสะกดรอยตามพี่ใหญ่ข้าไปห้องสุขา มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา หนำซ้ำยังกลับมายังเรือนรับรองได้เมื่อหนึ่งเค่อก่อนทันเวลาส่งของว่างขึ้นโต๊ะพอดิบพอดี เช่นนั้นช่วงเวลาที่เจ้าสะกดรอยตามพี่ใหญ่ข้าจนกระทั่งกลับมาถึงเรือนรับรองย่อมต้องไม่ถึงหนึ่งเค่อ อย่างมากก็คงแค่ครึ่งเค่อเท่านั้น การคาดเดาของข้าเช่นนี้คงไม่ผิดกระมัง”
ยามนี้เฉินจิ่นถึงได้เริ่มเข้าใจความหมายของน้องสาม นางหันมองไปทางเถาจือพลางเปล่งวาจาออกมาสองคำ “พูดสิ!”
เสียงแม้จะไม่ดังมากนัก แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นยิ่ง
เถาจือเนื้อตัวสั่นสะท้านคล้ายหวาดกลัวเป็นที่สุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบว่า “เรียน…เรียนคุณหนูสาม ผู้น้อยคิดว่า…น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“อืม เจ้าคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น” เฉินอิ๋งจ้องมองดูเถาจืออย่างไม่วางตา น้ำเสียงสงบนิ่งเอ่ยต่อ “ทว่าข้ากลับคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างไม่ถูกไม่ควร”
นางมีดวงตาลึกล้ำราวน้ำหมึกคู่หนึ่ง ตาขาวแลดูอมฟ้าจางๆ ยามมองดูคนแววตาใสกระจ่างเยี่ยงระลอกน้ำ
ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองนางด้วยสายตาร้ายกาจอะไร ทว่าเถาจือกลับรู้สึกคล้ายถูกคนมองทะลุถึงก้นบึ้งในจิตใจ นางอดขดตัวหนาวสะท้านไม่ได้จริงๆ
บทที่ 5 เกล็ดน้ำตาลล้ำค่า
“น้องสาม ไม่รู้ว่าคำพูดของเถาจือนี้มีอะไรไม่ถูกไม่ควรตรงที่ใดหรือ” เฉินจิ่นถามต่อ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ใบหน้าขาวสะอาดไม่ต่างอะไรกับจันทร์กระจ่างทะลุม่านเมฆ งดงามละเอียดอ่อน เรือนรับรองพลอยสุกสว่างขึ้นหลายส่วน
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก “เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกไปว่าข้าได้ให้คนวิ่งจากเรือนรับรองไปห้องสุขา จากห้องสุขากลับมาที่เรือนรับรองรอบหนึ่ง เวลาที่ใช้คือประมาณครึ่งเค่อ แม่นางเถาจือบอกว่านางสะกดรอยตามพี่ใหญ่ไป พี่ใหญ่ ยามนั้นท่านคงไม่ได้วิ่งไปห้องสุขากระมัง”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เฉินจิ่นยกแขนเสื้อปิดปากยิ้ม “ข้าเชื่อว่าไม่ว่าสตรีสกุลใดก็ล้วนไม่มีทางวิ่งไปห้องสุขาแน่” พูดถึงตรงนี้สายตาของนางก็กวาดมองไปทางกัวย่วนที่ยืนหน้าตาบึ้งตึงอยู่อีกด้าน คิ้วงามเลิกขึ้นเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าเซียงซานเซี่ยนจู่คิดเห็นเช่นไร”
กัวย่วนไม่พูดไม่จา แววตาหยิ่งผยองกลับกลายเพิกเฉย
“ขอบคุณพี่ใหญ่” เฉินอิ๋งพยักหน้าให้กับเฉินจิ่น สายตากวาดมองไปรอบๆ เรือนรับรอง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นั่นก็แปลว่ามีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง หากไม่วิ่งไป ชั่วระยะเวลาครึ่งเค่อนี้แม่นางเถาจือไหนเลยจะทำเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้เสร็จสิ้น และย่อมไม่มีทางกลับมาทันยกของว่างขึ้นโต๊ะได้”
“ก็ไม่แน่” ในที่สุดกัวย่วนก็อดไม่ได้ พูดเหน็บแนมขึ้น “ตลอดทางไปห้องสุขาเถาจือย่อมต้องเดินไป แต่ตอนกลับมานางสามารถวิ่งเร็วหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาย่อมประจวบเหมาะกระมัง”
“เซี่ยนจู่กล่าวเช่นนี้ย่อมผิดแล้ว” เฉินอิ๋งมองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังพลางบอก “แม่นางเถาจือไม่เพียงแต่ ‘เดิน’ ไปห้องสุขา นางยังมองเห็นพี่ใหญ่ข้าขว้างหยกลงพื้น เหยียบขยี้หยกนั่นอีกต่างหาก เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องใช้เวลาไม่ใช่น้อย ส่วนคนที่ข้าเรียกให้วิ่งไปมานั้นกลับวิ่งไม่มีหยุดพัก พูดกันตามตรง ชั่วระยะเวลาครึ่งเค่อนี้เรียกว่าน้อยที่สุดแล้ว หากเซี่ยนจู่ไม่เชื่อ ที่นั่นมีกาน้ำหยด* อยู่ จะเรียกให้บ่าวของท่านทดลองดูก็ได้ ดูซิว่าจะสามารถทำเรื่องทั้งหมดตามที่เถาจือเล่ามาได้หรือไม่”
กัวย่วนเม้มปากแน่น ความรู้สึกไม่พึงพอใจปรากฏชัดอยู่บนใบหน้า
นางเองก็รู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของห้องสุขา และรู้ดีว่ายิ่งหาคนมาทดลองสถานการณ์ก็มีแต่จะยิ่งแย่ลง
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราก็รู้แล้ว คำพูดของแม่นางเถาจือมีช่องโหว่เรื่องเวลา ชั่วระยะเวลาครึ่งเค่อไม่อาจทำเรื่องราวทั้งหมดที่นางพูดมาได้ครบถ้วน เช่นนั้นพวกเราย่อมสรุปได้ว่าแม่นางเถาจือโป้ปดมดเท็จ” เสียงของเฉินอิ๋งที่ดังขึ้นยังคงราบเรียบเฉกผืนน้ำดังเก่า ไม่ต่างอันใดกับตัวนางเอง
ครั้นพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ คล้ายต้องการทิ้งความรู้สึกล้ำลึกไว้กับทุกคนก่อนจะพูดขึ้นอีกคราว “หากอนุมานกันต่อ เรื่องโกหกที่ว่านี้ย่อมยืนยันถึงความจริงได้ประการหนึ่งคือเรื่องที่พี่ใหญ่ข้าขโมยหยก ขว้างทำลายหยก เหยียบขยี้หยกต่างๆ นานานี้ แม่นางเถาจือไม่ได้เห็นเองกับตา หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือเถาจือผู้นี้สร้างหลักฐานเท็จ ที่นางพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นการใส่ไคล้”
หลังเอ่ยวาจาด้วยท่าทีสงบนิ่งจบ เฉินอิ๋งก็กล่าวปิดท้าย “เรื่องนี้สรุปได้ว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่ใช่ขโมย นางถูกผู้อื่นปรักปรำ”
สีหน้ารอชมเรื่องสนุกของสตรีในเรือนรับรองทั้งหลายต่างถูกเก็บกลับไปหมดสิ้น
คุณหนูสามแห่งสกุลเฉินฉลาดเฉลียวเยี่ยงนี้ นับว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนโดยแท้
เปิดโปงข้อบกพร่องจากจุดที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ไม่เพียงเป็นการทำลายให้คำให้การของเถาจือพังพินาศภายในคราเดียว หากยังสามารถคืนความบริสุทธิ์ให้เฉินจิ่นได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค หนำซ้ำยังแทบไม่มีการปะทะคารมอันใดกับกัวย่วน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสันติ สงบนิ่ง บรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย
ที่แท้การคลี่คลายเงื่อนงำก็ยังสามารถใช้วิธีการเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ทำให้สตรีทั้งหลายที่เคยชินกับการชมละครทะเลาะเบาะแว้งของเหล่าสตรีเรือนหลังทั้งหลายได้เปิดหูเปิดตา
“ผู้น้อย…ผู้น้อยโป้ปดจริงๆ” น้ำเสียงอ่อนระโหยแผ่วเบาของเถาจือดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ต่างกับสายลมที่พัดแผ่วอยู่ข้างหู
นางก้มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านคล้ายตกประหวั่นสุดขีด “เกล็ด…เกล็ดน้ำตาลบนแขนเสื้อผู้น้อย อันที่จริงไม่ได้เปื้อนตอนอยู่ในเรือนรับรอง ความจริงผู้น้อย…ระหว่างทางกลับจากห้องสุขา…ผู้น้อย…แวะไปที่ห้องครัว เกล็ดน้ำตาลนี้ คาดว่า…คาดว่าน่าจะเปื้อนติดแขนเสื้อผู้น้อยมาในตอนนั้น”
จู่ๆ ดวงตาของนางก็มีน้ำตาเอ่อคลอ คลานเข่าไปอยู่ข้างเท้ากู้หนานและร่ำไห้ “คุณหนูรองได้โปรด…”
“ช้าก่อน” เฉินอิ๋งจู่ๆ ก็เอ่ยปากตัดบท
เถาจือหายใจติดขัดขึ้นมาทันที ยังไม่ทันได้พูดเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว “เจ้าคงไม่คิดจะบอกว่าเจ้าเข้าไปขโมยของกินในครัว แขนเสื้อเลยเปื้อนเกล็ดน้ำตาลมากระมัง”
เถาจือยังคงน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าซึมกะทือ คล้ายไม่อาจตอบสนองได้ทันท่วงที
เฉินอิ๋งจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง นางถามซ้ำว่า “เจ้าไปขโมยขนมเถาซูเกล็ดหิมะในห้องครัว ใช่หรือไม่”
เมื่อถูกคาดคั้นเช่นนั้น เถาจือก็เผลอพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
นางคิดจะพูดเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นถึงได้วิ่งไปขอรับผิดต่อกู้หนาน แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเฉินอิ๋งขวางไว้
“แม่นางเถาจือ ขอเจ้าตอบออกมาชัดๆ ว่าใช่หรือไม่ใช่ เจ้าไปขโมยขนมเถาซูเกล็ดหิมะจากในห้องครัวใช่หรือไม่ใช่” เฉินอิ๋งถามเป็นครั้งที่สาม น้ำเสียงกระจ่างชัดยิ่ง
เถาจือลอบชำเลืองมองกัวย่วนที่ปั้นหน้าตาบึ้งตึงอยู่อีกด้าน ในที่สุดก็พูดออกมา “ใช่…ใช่เจ้าค่ะ…”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก ยกมือทำท่าเชื้อเชิญ “เชิญเจ้าร้องต่อได้แล้ว”
เถาจือเนื้อตัวแข็งทื่อ ถึงดวงตาของนางยังคงมีน้ำตาเอ่อคลอ แต่ครั้นได้ยินเฉินอิ๋งพูดเช่นนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงร้องไม่ออก
เรือนรับรองเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาก็ดังขึ้น
คุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้วาจาท่าทีแม้จะพิลึกพิลั่นแต่ก็น่าสนใจมาก
เฉินอิ๋งไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดเช่นไร นางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เสียงพึ่บดังขึ้น กระดาษอีกแผ่นถูกดึงออกมาจากแขนเสื้อ นางหันมองไปทางกู้หนานพลางบอก “คุณหนูรอง จวนของท่านมีสตรีแซ่โจวอายุประมาณสี่สิบ รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม ใบหน้าเรียวยาว หลังมือมีไฝอยู่เม็ดหนึ่งใช่หรือไม่”
คำถามที่เกิดขึ้นราวอาชาสวรรค์ทะยานฟ้านี้ทำเอาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรือนรับรองค่อยๆ เงียบลง
กู้หนานสีหน้าอับจน นางพยักหน้าเอ่ย “อืม ใช่แล้ว จวนของพวกเรามีสตรีรูปร่างหน้าตาเช่นนั้นอยู่จริงๆ วันนี้โจวมามารับหน้าที่ดูแลเรือนรับรอง”
“เช่นนั้นก็ดี” เฉินอิ๋งวางใจ หันไปหาทุกคนพลางชูกระดาษแผ่นนั้นขึ้น “ทุกท่านเชิญดู นี่คือคำให้การที่ข้าได้มาจากโจวมามา นางได้ประทับรอยนิ้วมือไว้แล้ว เชิญทุกท่านดูได้”
นางขยับตัวเพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นรอยนิ้วมือสีแดงเด่นชัดบนกระดาษนั้นถนัดตาพลางพูดขึ้นช้าๆ “โจวมามาบอกว่าเกล็ดน้ำตาลบนขนมเถาซูเกล็ดหิมะนั้นทำขึ้นจากวัตถุดิบล้ำค่าราคาแพง ด้านในมีผงไข่มุกผสมอยู่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้คุณหนูรองคงทราบกระมัง”
กู้หนานตอบ “อืม” ยอมรับว่าคำพูดของเฉินอิ๋งนั้นเป็นเรื่องจริง
เฉินอิ๋งยิ้มมุมปากให้กับอีกฝ่าย “สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ หากมีอะไรไม่ถูกต้องขอให้คุณหนูรองช่วยชี้แจงแถลงไขด้วยได้หรือไม่”
คราวนี้กู้หนานไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่า ‘อืม’ นางพยักหน้า ไม่หันมองใบหน้าของกัวย่วนที่ยิ่งดำคล้ำมากขึ้นทุกทีเสียด้วยซ้ำ
เฉินอิ๋งหันหน้าไปหาทุกคน กล่าววาจาน้ำเสียงสงบนิ่ง “โจวมามาบอกไว้ในคำให้การว่าเพราะผงไข่มุกไม่ใช่ของธรรมดาๆ หนำซ้ำวิธีการปรุงเกล็ดน้ำตาลเองก็เป็นความลับสุดยอด ดังนั้นทุกครั้งเวลาทำของว่างล้วนต้องให้คนจดบันทึกเตรียมผงไข่มุกให้เพียงพอต่อจำนวนคน ก่อนจะให้หัวหน้าคนครัวลงมือทำเกล็ดน้ำตาลด้วยตนเองล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน เก็บมันไว้ในกล่องที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ หลังจากนั้นค่อยมอบกุญแจให้มามาดูแลคลังเป็นคนเก็บรักษา”
บทที่ 6 เงินทงเป่า ในพระราชกระแสรับสั่ง
เฉินอิ๋งยื่นมือชี้ไปยังคำให้การท่อนหนึ่ง นางกึ่งพูดกึ่งอ่านว่า “โจวมามาเน้นครั้งแล้วครั้งเล่า กล่องเก็บเกล็ดน้ำตาลจะถูกลงกลอนไว้จนกระทั่งวันงานถึงค่อยให้คนดูแลห้องเครื่องไปเอามา ตราบใดที่ยังไม่ถึงเวลาขนมออกจากกระทะ กล่องจะถูกเปิดออกไม่ได้เด็ดขาด มาตรฐานของขนมเถาซูเกล็ดหิมะนี้นับว่าสูงส่งไม่ธรรมดา หลังออกจากกระทะต้องโรยเกล็ดน้ำตาลลงไปทันที เสร็จแล้วก็ใช้ฝาทองแดงปิดมันใหม่อีกครั้ง อบมันไว้อีกยี่สิบสามสิบอึดใจถึงค่อยเปิดฝา เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด”
เคร้ง!
กัวย่วนกระแทกฝาถ้วยชาลงกับโต๊ะ มองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตาเย็นชาพลางพูดเย้ยหยัน “คุณหนูสาม เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ใครอยากฟังวิธีทำขนมของเจ้ากัน”
“หากเซี่ยนจู่ไม่อยากฟัง เช่นนั้นปิดหูเสียก็สิ้นเรื่อง จริงหรือไม่” เฉินจิ่นเอ่ยปากต่อความทันควันด้วยท่าทียโสโอหัง น้ำเสียงหยิ่งผยองเหมือนอย่างที่นางเป็นมาโดยตลอด
กัวย่วนจ้องดูอีกฝ่ายเขม็ง แววตาเย็นเยียบยิ่ง
เฉินจิ่นเองก็สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง
สายตาของคนทั้งคู่ปะทะกันอยู่กลางอากาศไม่มีใครยอมใคร
เฉินอิ๋งมองดูพวกนาง พอเห็นสตรีทั้งสองประลองกำลังกันผ่านทางสายตา ไม่มีทีท่าว่าจะพูดอันใด นางก็เอ่ยปากพูดต่อ “คำให้การของโจวมามานี้คิดว่าทุกคนคงฟังเข้าใจแล้ว เกล็ดน้ำตาลถูกสั่งทำขึ้นเป็นการเฉพาะ มีการดูแลจัดเก็บเป็นอย่างดี ก่อนของว่างถูกจัดขึ้นโต๊ะ คนที่จะสัมผัสมันได้มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น ได้แก่ หัวหน้าคนครัว มามาดูแลคลัง และคนดูแลห้องเครื่อง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หันไปทางเถาจือ ถามน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตอนนี้ข้าอยากถามแม่นางเถาจือ เจ้าขโมยกินขนมได้เช่นไร หัวหน้าคนครัวจงใจทำเกินมาสองสามชิ้นให้สาวใช้อย่างเจ้าได้คลายความอยาก? หรือว่ามามาดูแลคลัง คนดูแลห้องเครื่องสนิทสนมกับเจ้าเป็นพิเศษ จงใจมอบเกล็ดน้ำตาลให้เจ้าจัดการ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็อยากให้คุณหนูรองเชิญพวกเขาทั้งสามมาที่นี่เดี๋ยวนี้ จะได้ยืนยันต่อหน้าเถาจือ”
ได้ยินเช่นนั้นกู้หนานก็ตะลึงไปชั่วขณะ นางอดนึกโมโหไม่ได้
พูดเช่นนี้มิเท่ากับว่าคุณหนูสามสกุลเฉินผู้นี้กำลังตำหนิว่าคนของจวนเจิ้นหย่วนโหวไม่มีกฎระเบียบอยู่หรือไร เช่นนี้มันตบหน้ากันชัดๆ
ถึงจะไม่พูดแต่ในใจนางก็อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ทว่าถึงอย่างนั้นกู้หนานก็ยังคงปั้นหน้าสงบนิ่ง หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นกดซับมุมปาก เอ่ยวาจาอย่างไม่สนใจไยดี “เถาจือ เจ้าพูดเองเถอะ”
เถาจือใบหน้าตื่นตระหนกขึ้นหลายส่วน นางสองมือยันพื้นแน่น กระดูกข้อต่อแทบจะกลับกลายเป็นสีขาว พูดเสียงสั่นเครือ “ผู้น้อย…เอ่อ…ผู้น้อยไม่ได้อยู่ในห้องครัว…ผู้น้อย…”
“เจ้าคิดจะบอกว่าเจ้าสัมผัสถูกเกล็ดน้ำตาลตอนของว่างถูกส่งมาที่เรือนรับรองใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งตอบขึ้นมาแทน
เถาจือรีบพยักหน้า “ใช่ ใช่แล้ว…”
“แม่นางเถาจือ เจ้าไม่ได้พูดความจริงอีกแล้ว” เฉินอิ๋งส่ายหน้า ชูกิ่งไม้ชี้ไปยังแผนที่ที่อยู่ในมือของสาวใช้ชุดคราม น้ำเสียงเฉยชาเอ่ยขึ้นว่า “ห้องครัว เรือนรับรอง ห้องสุขาสามแห่งนี้ประกอบกันเป็นมุมแหลม จริงอยู่ หากเจ้าสัมผัสถูกเกล็ดน้ำตาลระหว่างส่งมันจากห้องครัวมาเรือนรับรอง เช่นนั้นช่องโหว่ของคำให้การเจ้าย่อมพอฝืนยอมรับได้ ทว่าเจ้ากลับลืมไปเรื่องหนึ่ง”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วขณะ แววตาใสกระจ่างดุจผืนน้ำหยุดนิ่งอยู่บนตัวเถาจือ “โจวมามาเคยเอ่ยปากเน้นอยู่หลายครั้ง ของว่างออกจากกระทะต้องใช้ฝาทองแดงปิด ตลอดช่วงสามสิบลมหายใจจะเปิดฝาออกไม่ได้เป็นอันขาด จากห้องครัวถึงเรือนรับรองใช้เวลาสามสิบลมหายใจพอดี ตลอดทางขนมเถาซูเกล็ดหิมะล้วนถูกอบอยู่ในฝา”
เมื่อพูดถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็พูดช้าลง “วันนี้คนที่รับผิดชอบส่งของว่างมีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือคนดูแลห้องเครื่อง อีกคนคือหัวหน้าคนครัว บอกข้ามา เจ้าแอบเปิดฝานั่นออกใต้สายตาผู้ใด”
เถาจือใบหน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออกอีก
เฉินอิ๋งเลื่อนกิ่งไม้ออก จ้องเถาจือเขม็ง “แม่นางเถาจือ ด้วยฐานะบ่าวชั้นสามอย่างเจ้า ที่เดียวที่เจ้าจะสัมผัสกับเกล็ดน้ำตาลได้คงมีเพียงชั่วจังหวะเวลาเล็กๆ ตอนนำของว่างขึ้นโต๊ะอยู่ในเรือนรับรองนี้เท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่ห้องสุขา ไม่ได้อยู่ในห้องครัว และยิ่งไม่ได้อยู่ระหว่างทางส่งของว่างมา เจ้าอยู่ในเรือนรับรองนี้”
เถาจือหน้าไร้สีเลือด แขนทั้งสองข้างสั่นเทาไม่หยุด ร่างทั้งร่างพลอยสั่นระริกตามไปด้วย
ขอเพียงนางอยู่ในเรือนรับรอง เช่นนั้นที่นางพูดว่า ‘เห็นเองกับตา’ ย่อมกลับกลายเป็นถ้อยคำโป้ปด ถึงตอนนั้นคำกล่าวหาที่ว่าเฉินจิ่นเป็นขโมยก็ย่อมหมดความหมายไปโดยปริยาย
“พูดมาตั้งนาน ก็แค่เกล็ดน้ำตาลไม่ใช่หรือไร” จู่ๆ กัวย่วนก็ขึ้นเสียง แววตาเหมือนไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา “หากข้าบอกว่าข้าตกรางวัลยกขนมเถาซูชิ้นหนึ่งให้นางกิน คุณหนูสามยังจะมีคำพูดอันใดอีก”
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปากกัวย่วน บรรยากาศภายในเรือนรับรองก็เคร่งเครียดขึ้นอีกคราว
เพียงเพราะต้องการให้เฉินจิ่นมีความผิดฐานขโมยของให้ได้ เซียงซานเซี่ยนจู่ถึงกับดึงดันยอมสมคบกับสาวใช้เถาจือให้การเท็จ
สายตาของทุกคนจับจ้องมาทางเฉินอิ๋ง
เฉินอิ๋งเองก็คล้ายตกตะลึง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงพยักหน้าพูดขึ้นช้าๆ ว่า “หากเซี่ยนจู่พูดเช่นนี้ มันก็ย่อมเป็นไปได้”
“เช่นนั้นทุกอย่างก็คงจบแล้วกระมัง” กัวย่วนเชิดคางได้ใจ
เถาจือที่หมอบอยู่กับพื้นถอนหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
เฉินจิ่นที่ยืนอยู่อีกด้านกลับใบหน้าเขียวคล้ำ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งนางก็เดินขึ้นหน้าดึงแขนเสื้อของเฉินอิ๋ง กัดริมฝีปากพูด “น้องสาม ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า หากไม่ไหวจริงๆ ก็ช่างเถอะ ไว้รอท่านแม่ของพวกเรากลับมา…”
“ไม่ได้” เฉินอิ๋งปฏิเสธข้อเสนอของนางทันควัน ท่าทีหนักแน่นเด็ดเดี่ยวยิ่ง
เฉินจิ่นขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาเจียนหลั่ง
เฉินอิ๋งพยายามช่วยนางอย่างสุดกำลังเช่นนี้บางทีอาจมีวัตถุประสงค์อื่น ทว่าการที่คนผู้หนึ่งทำเพื่อนางถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องนับเป็นน้ำใจใหญ่หลวงประการหนึ่ง
ไว้จบเรื่องก่อน ถึงตอนนั้นนางต้องขอให้ท่านแม่สนิทสนมกับบ้านรองให้มากขึ้น เฉินจิ่นนึกตัดสินใจพร้อมมองดูเฉินอิ๋งด้วยความรู้สึกซาบซึ้งปราดหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีก
เฉินอิ๋งยามนี้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ คล้ายมีอะไรบางอย่างไม่อาจตัดสินได้ นางเดินไปทางด้านข้างช้าๆ สองสามก้าว ทันใดนั้นก็เหมือนคิดอะไรออก นางสาวเท้ายาวๆ ไปทางเฉินจิ่น “พี่ใหญ่ ท่านฟังข้าให้ดี ข้าอยากถามท่าน…”
จู่ๆ นางก็หันเท้าเปลี่ยนทิศ ตรงดิ่งไปทางเถาจือรวดเร็ว ดึงแขนซ้ายอีกฝ่ายไว้พลางออกแรงสะบัด
เคร้ง!
ของชิ้นหนึ่งหล่นออกมาจากแขนเสื้อของเถาจือ กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น เฉินอิ๋งรีบใช้เท้าเหยียบมันไว้ ในเวลาเดียวกันก็กระชากเถาจือไปทางด้านหลัง
การเคลื่อนไหวนี้ราวกับเมฆเคลื่อนธาราคล้อย สำเร็จเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา เถาจือรู้สึกเพียงมือของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยพละกำลังชวนตะลึง นางแทบถูกอีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้นพร้อมจับเหวี่ยงลงกับพื้น ใจนางก็เต้นระส่ำ ใบหน้าตื่นตระหนกขาวซีดไปหมด
กว่าที่ทุกคนจะได้สติ เฉินอิ๋งก็หยิบเอาของชิ้นนั้นขึ้นมาจากพื้น แกะกระดาษที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกออก เผยให้เห็นของที่อยู่ด้านใน มันเป็นก้อนเงินเนื้อดีสองชิ้นที่มีขนาดเล็กใหญ่เท่ากัน
“เงินทงเป่าในพระราชกระแสรับสั่ง ปีที่สิบสี่” เฉินอิ๋งอ่านตัวอักษรบนก้อนเงินด้วยเสียงอันดังพลางหันไปทางกัวย่วนและเผยยิ้มมุมปาก “นี่เป็นเงินก้อนที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว”
นางพูดพลางชั่งน้ำหนักเงินก้อนในมือพลางเอ่ยปากต่ออย่างรวดเร็ว “ก้อนเงินสองก้อนนี้น้ำหนักน่าจะสักสองสามตำลึง สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินแท้ได้หลายเท่าตัว นี่เป็นเงินที่เซี่ยนจู่ประทานให้เถาจือด้วยอย่างนั้นหรือ ตกรางวัลมากมายเช่นนี้ หรือนี่เป็นเงินรางวัลที่เซี่ยนจู่ใช้ซื้อตัวนางให้มาโกหกใส่ความพี่ใหญ่ข้า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.