X
    Categories: everYทดลองอ่านภาพวาดโครงกระดูก

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 บทที่ 92 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

  

บทที่ 92 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ (6)

หลังถามเรื่องหลี่เย่กับหลี่ซูจบ หลินปั้นซย่าก็อยากถือโอกาสนี้เล่าสิ่งที่ตนเห็นเมื่อคืนให้ซ่งชิงหลัวฟัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า จนถึงตอนนี้หลินปั้นซย่าก็ยังไม่เข้าใจว่าดวงดาวสีเขียวแปลกๆ พวกนั้นคืออะไรกันแน่

ซ่งชิงหลัวได้ฟังก็ขมวดคิ้วทันที หลังจากถามยืนยันซ้ำๆ ถึงเหตุการณ์ที่หลินปั้นซย่าเห็นก็เอ่ยว่า “กลับไปแล้วผมจะเข้าไปค้นบันทึกในสถาบัน ถ้าไม่เจอผมจะไปถามคนเก่าแก่ของสถาบันดู”

หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าคนเก่าคนแก่ที่ซ่งชิงหลัวพูดถึงอาจจะไม่เหมือนคนแก่อย่างที่สามัญสำนึกเขาเข้าใจ จึงถามออกไปหนึ่งประโยค “คนเก่าคนแก่?”

“อืม…เป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษ…” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถึงตอนนั้นคุณไปกับผมเถอะ”

หลินปั้นซย่าตอบตกลง

ทั้งคู่เล่นน้ำตกกันจนพระอาทิตย์ตกดินถึงกลับคฤหาสน์

คงเป็นเพราะมีเรื่องที่ต้องทำต่อในตอนดึก บรรยากาศในคฤหาสน์จึงหนักอึ้งกว่าเมื่อวานเล็กน้อย หลี่ซูนอนตัวเหลวราวกับไม่มีกระดูก ดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาอย่างไร้ชีวิตชีวา หลี่เย่ถือสมุดบันทึกเขียนอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ ซึ่งน่าจะกำลังทำงานอยู่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองยังคงเข้ากันได้ดีอย่างเคย

“น้ำยังใสอยู่มั้ย” หลี่ซูแหงนหน้าขึ้นทักทายพวกเขาสองคน

“ใสมากเลย” หลินปั้นซย่าตอบ

“ตอนเด็กผมชอบไปเล่นที่นั่น ก็ยังเด็กนี่นะ คุณก็รู้ ใครๆ ก็ชอบเล่นน้ำ” หลี่ซูกล่าว “แล้วยังโดนดุเพราะเรื่องนี้ไปไม่น้อยด้วย แต่หลังจากเจอเหตุการณ์นึง ผมก็ไม่ไปเล่นน้ำอีกเลย”

หลินปั้นซย่านึกว่าเหตุการณ์ที่เจอจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักจึงไม่กล้าถามออกไป ซ้ำยังอยากเอ่ยปลอบหลี่ซูด้วย แต่ใครจะรู้ว่าหมอนี่กลับพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “ตอนนั้นผมกับเพื่อนสมัยประถมแอบไปว่ายน้ำเล่นหลังพระอาทิตย์ตกดิน หันกลับไปก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังซักไม้ถูพื้นอยู่ตรงต้นน้ำ…”

หลินปั้นซย่า “…”

หลี่ซูโมโห “แล้วแม่งยังเป็นไม้ถูพื้นที่ใช้ทำความสะอาดเล้าไก่มาอีก! ตอนนั้นผมอยากพิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่าที่นี่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติที่ใสสะอาดจริงๆ ก็เลยดื่มให้เพื่อนคนนั้นดูไปตั้งหลายอึก!”

หลินปั้นซย่าคิดในใจ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเสียนี่กระไร ไม่แปลกที่หลี่ซูจะไม่ไปที่นั่นอีก เขาเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ถึงไม่สะอาดแต่ดื่มแล้วก็ไม่ได้ป่วย”

หลี่ซูยิ้มฝืนๆ

กินมื้อดึกเสร็จ เวลาทดสอบก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลี่ซูดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งแบบอยู่ไม่สุขบนโซฟา เดี๋ยวก็ชำเลืองมองแจกันที่วางอยู่มุมห้อง เดี๋ยวก็หันไปมองหลี่เย่ ท่าทางแบบนั้นหลินปั้นซย่าเห็นแล้วยังรู้สึกแข็งใจไม่ลง ทว่าจิตใจหลี่เย่กลับไม่สั่นคลอนต่อสิ่งนี้เลย สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด “คุณรอไม่ไหวแล้วเหรอ”

หลี่ซูบอกว่า “…ไม่ลองแล้วได้มั้ย ฉันชักจะกลัวขึ้นมานิดๆ”

หลี่เย่กล่าว “วิธีที่ดีที่สุดในการขจัดความกลัวคือ?”

หลี่ซูเอ่ย “ช่างเถอะ”

หลี่เย่ไม่เอ่ยคำ เพียงยืดแขนออกไปลูบศีรษะหลี่ซู “ผมอยู่หน้าห้อง มันทำอะไรคุณไม่ได้หรอก” แปลได้ว่ายังไงหลี่ซูก็ต้องไป

หลี่ซูยิ้มฝืดเฝื่อน

คนที่ร่วมการทดสอบกับหลี่ซูยังมีซ่งชิงหลัวด้วย ถึงหลินปั้นซย่าจะอยากไปแทนเขามาก แต่ความดื้อดึงของซ่งชิงหลัวก็พอๆ กับหลี่เย่เลย เขาปฏิเสธหลินปั้นซย่าอย่างไร้เยื่อใย

เวลาผ่านไปทีละวินาที เพียงพริบตาก็ถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว แจกันนั่นถูกส่งเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับหลี่ซู ซึ่งเจ้าตัวจับแจกันไว้ราวกับตัวเองเป็นเครื่องเซ่นไหว้แก่เทพเหอป๋อ* ทั้งตัวมีแต่คำว่าไม่เต็มใจเขียนอยู่ทั่ว พอเห็นหลี่ซูเดินได้หนึ่งก้าวหันแล้วกลับมามองหนึ่งรอบ หลินปั้นซย่าก็อดไม่ได้เล็กน้อย อยากจะพูดออกไปว่าให้เขาไปแทนก็ได้ บางทีสีหน้าของเขาอาจจะออกชัดเกินไป หลี่เย่เหลือบมองเขาก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ยว่า “คุณไปเฝ้าซ่งชิงหลัวเถอะ”

หลินปั้นซย่า “…ก็ได้”

ยังไงก็เป็นเรื่องของคู่หูสองคนที่สนิทสนมกัน เขาที่มีฐานะแค่เพื่อนไม่ควรเข้าไปสอดปากสอดคำมากเกินไป

หลี่ซูเข้าห้องไป ประตูด้านหลังก็ถูกปิดดังแกร๊ก ทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาแปลกๆ แจกันที่เล็กและเบาในตอนแรกเมื่ออยู่ในมือเขากลับหนักอึ้งและเย็นเยียบปานก้อนน้ำแข็ง เขาแทบจะขยับฝีเท้าไม่ได้เลย

หลี่ซูตั้งสติ บอกตัวเองว่าเรื่องมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เขาวางแจกันไว้บนหัวเตียงอย่างบรรจง ก่อนไปนั่งริมเตียง รอคอยเงียบๆ

ในห้องนอนมีเขาอยู่เพียงคนเดียว ถึงจะรู้ว่าหลี่เย่เฝ้าอยู่ข้างนอก แต่ภาพที่เขาได้เห็นเมื่อคืนกลับฉายออกมาตรงหน้าเขาไม่หยุด

ใบหน้าของแม่เป็นฝันร้ายที่หลี่ซูไม่มีวันลืม เขาขยับไปนั่งพิงหัวเตียง ขดตัวและหลับตาลง ราวกับเขากลับไปเป็นเด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิงเมื่อสิบกว่าปีก่อนคนนั้น แม้แต่จมูกก็ยังเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นนั่น…ไม่ ไม่ใช่แค่เหมือน หลี่ซูเบิกตาโพลง เขาเห็นแจกันที่วางไว้บนหัวเตียงมีเลือดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย มือที่มีแผลเหวอะข้างหนึ่งพยายามยื่นออกมาจากแจกัน เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวมาถึงริมฝีปากของหลี่ซู เขากำลังจะส่งเสียงกรีดร้องออกไป แต่จู่ๆ มือเย็นเยียบคู่หนึ่งก็ยื่นมาจากด้านหลังและปิดปากของเขาไว้เบาๆ

ผู้หญิงคนนั้นขยับประชิดข้างหู เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาประดุจเสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กของมารดากล่าวว่า “ซูซู อย่าส่งเสียงออกไป”

หลี่ซูหันหน้ากลับไปอย่างยากลำบาก แล้วเขาก็เห็นแม่ของเขาปรากฏกายอยู่ข้างหลัง

 

หลินปั้นซย่ายืนรอเงียบๆ อยู่หน้าห้อง อันที่จริงเขากระวนกระวายใจอยู่ตลอด ในห้องไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในจานจะออกมาหรือเปล่า แต่ต่อให้ออกมา นั่นจะเป็นแม่ของซ่งชิงหลัวจริงๆ หรือ หลินปั้นซย่าคิดไม่ตกเลย เขายืนล้วงกระเป๋าแล้วก็เจอบุหรี่มวนหนึ่ง เป็นมวนที่หลี่ซูให้เขามาก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้สูบมัน แค่เอาเสียบไว้ในกระเป๋าเท่านั้น

ตอนนี้เขาชักอยากบุหรี่ขึ้นมาซะแล้วสิ น่าเสียดายที่ไม่ได้พกไฟแช็กติดตัว เลยทำได้แค่คาบบุหรี่ไว้ในปาก พยายามดมกลิ่นแก้ขัดไปก่อน

โถงทางเดินเงียบมาก มองปราดเดียวก็สามารถมองไปเห็นสุดระเบียงกว้างได้ ลมจากข้างนอกพัดเข้ามากระทบผ้าม่านตรงระเบียงจนเกิดเป็นระลอกคลื่น

หลินปั้นซย่ากำลังว่างไม่มีอะไรทำ และโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี เขากดเปิดหน้าจอก็พบว่าจี้เล่อสุ่ยส่งรูปภาพรูปหนึ่งมา

ในรูปจี้เล่อสุ่ยมือข้างหนึ่งกอดเสี่ยวฮวา มือข้างหนึ่งกอดเสี่ยวคู ใบหน้าทั้งสามคนล้วนประดับรอยยิ้มสดใส ดูมีความสุขทั้งยังเข้ากันได้ดี เสียแต่จี้เล่อสุ่ยหน้าตาดูทึ่มทื่อ สีหน้าของเขาดูเหมือนเด็กน้อยยิ่งกว่าเสี่ยวฮวาเสียอีก หลินปั้นซย่ากำลังจะหัวเราะออกมา พลันก็ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากชั้นบนราวกับมีใครวิ่งย่ำพื้นด้วยเท้าเปล่า เขาใจกระตุกวาบ รู้สึกไม่ชอบมาพากลทันที หลายวันมานี้ที่พวกเขามาพักร้อนที่นี่ คนรับใช้ในคฤหาสน์ถูกหลี่ซูไล่ไปทำอย่างอื่นแล้ว ตอนนี้ในบ้านหลังใหญ่จึงเหลือเพียงพวกเขาสี่คน ห้องนอนอยู่ชั้นเดียวกันหมด หลี่เย่ไม่มีทางทิ้งหลี่ซูไว้คนเดียวแน่ๆ ถ้างั้นตอนนี้ตัวอะไรกำลังวิ่งตึงตังๆ อยู่ชั้นบนล่ะ หรือว่าสิ่งนั้นจะออกมาแล้ว?

หลินปั้นซย่าลังเลครู่หนึ่ง เคาะประตูและส่งเสียงเรียก “ชิงหลัว?” เขาอยากถามซ่งชิงหลัวว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไรบ้าง

แต่เคาะประตูเรียกแล้วซ่งชิงหลัวกลับไม่ตอบเขา

หลินปั้นซย่าสังหรณ์ใจไม่ดี เขาเคาะประตูหนักขึ้นอีกหลายครั้ง พยายามบิดลูกบิดประตูห้องนอน ทว่าประตูที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ล็อกไว้ตอนนี้กลับเปิดไม่ออกเหมือนว่าจู่ๆ ก็ถูกล็อกไว้แน่นหนา ซ่งชิงหลัวเองก็ยังคงไม่ขานตอบ

ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง หลินปั้นซย่าคิด เขาหันหลังตรงไปที่สุดโถงทางเดินก่อนจะพบว่าหลี่เย่ที่เดิมทีควรเฝ้าอยู่หน้าห้องหลี่ซูก็หายไปเช่นกัน ประตูห้องนอนของหลี่ซูเปิดกว้าง ภายในห้องว่างเปล่า ทั้งคู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตึงๆๆ

ขณะเดียวกันเสียงวิ่งจากชั้นบนก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เสียงวิ่งของคนแค่คนเดียว แต่เป็นเสียงคนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งผ่านไปด้วยกัน หลินปั้นซย่ากัดฟัน พุ่งขึ้นบันไดมุ่งไปที่ชั้นสาม

ไม่มีใครพักอยู่บนชั้นสาม ก่อนหน้านี้ตอนที่เขามาที่นี่ในอากาศก็อวลไปด้วยกลิ่นอายของไม้เก่าๆ บัดนี้กลิ่นของมันแรงขึ้นทุกทีๆ และในนั้นยังเจือไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆ ส่งกลิ่นที่ไม่เป็นมงคลออกมา

ความมืดปกคลุมรอบบริเวณ หลินปั้นซย่าเดินคลำผนังหมายจะเปิดไฟของชั้นสาม เขาจำได้ว่าสวิตช์ไฟอยู่ที่มุมเลี้ยวของโถงทางเดิน ทว่ามือเขาคลำไม่เจอสวิตช์ไฟแต่กลับเจอสิ่งอื่นแทน…บนผนังที่ขรุขระเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวเหนียวเหนอะ

หลินปั้นซย่าลอบสบถในใจ จ่อนิ้วใต้จมูกเพื่อดมกลิ่นก็พบว่าเป็นสิ่งที่เขาคิด มันเป็นกลิ่นเลือด

เขาไม่พยายามหาสวิตช์ไฟอีกต่อไป ล้วงโทรศัพท์ออกมาก่อนเปิดไฟฉายส่องไปทั่วบริเวณ เมื่อมีแสงเข้ามาในลานสายตาจนเห็นภาพรอบบริเวณอย่างชัดเจน ต่อให้เป็นคนที่มีความรู้สึกกลัวช้ากว่าใครอย่างหลินปั้นซย่าก็ยังต้องสูดลมหายใจ…ทุกสิ่งรอบตัวเขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว

ถึงห้องบนชั้นสามจะมีโครงสร้างแบบเดิม ทว่าผนังและพื้นต่างมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สีของพื้นเข้มขึ้นแต่ผนังกลับสีจางลง ด้านบนผนังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากของมีคมเล็กบ้างใหญ่บ้าง ราวกับว่ามีใครเคยกรีดของมีคมลงไปบนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

บนพื้นที่ห่างออกไปไม่ไกลจากหลินปั้นซย่ามีรอยเลือดเจิ่งนองซึ่งยังดูใหม่และยังไม่จับตัวแข็ง ดูท่ารอยนี้คงเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

หลินปั้นซย่ามองสำรวจรอบๆ ก่อนพบว่าภาพถ่ายเจ้าของบ้านแต่ละรุ่นที่เคยแขวนอยู่เต็มผนังก่อนหน้านี้เหลืออยู่เพียงสองภาพที่แขวนอยู่บนนั้นอย่างเดียวดาย เขาเยื้องย่างเข้าไปตรงหน้าภาพถ่ายนั้นช้าๆ

สองภาพนี้หลินปั้นซย่ารู้จักทั้งหมด ภาพแรกเป็นภาพเจ้าของบ้านลำดับแรก ภาพที่สองเป็นภาพครอบครัวของหลี่ซูที่เคยเห็นในห้องอาหารมาก่อน

ทว่าบัดนี้บนภาพครอบครัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเหนียวเหนอะ ทำให้ทุกคนในภาพดูเหี้ยมเกรียมและประหลาด

ตึงๆๆ

เสียงวิ่งอย่างรีบร้อนดังขึ้นอีกครา ครั้งนี้หลินปั้นซย่าได้ยินเต็มสองหู มันดังมาจากอีกฝั่งของโถงทางเดิน เขาครุ่นคิดก่อนคว้าแจกันดอกไม้ที่วางอยู่ตรงมุมติดมือมาด้วย ตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เป็นอาวุธป้องกันตัว เขาวางฝีเท้าให้เบาลง ค่อยๆ ย่องเข้าไปหาต้นเสียง หลินปั้นซย่าเดินเลี้ยวตรงมุมก่อนจะเห็นว่าประตูของห้องที่อยู่สุดโถงทางเดินเปิดอ้าอยู่ ด้านในมีแสงโทนเย็นสาดออกมา และเพราะมีแหล่งแสงนี้ หลินปั้นซย่าจึงมองเห็นรอยเท้าเปื้อนเลือดปรากฏอยู่เต็มหน้าห้อง มีรอยเท้าทั้งใหญ่และเล็ก เละเทะสะเปะสะปะไปหมด ดูเหมือนว่าทางเข้าห้องจะมีคนเคยมายืนอยู่เยอะมาก

ในตอนที่หลินปั้นซย่าคิดจะเดินหน้าต่อไป เจ้าของเสียงฝีเท้าก็ปรากฏตัวออกมาในที่สุด

นั่นคือชายคนหนึ่งที่กำลังถือมีดเล่มใหญ่ไว้ในมือ ทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาของเขาคล้ายหลี่ซูอยู่เจ็ดแปดส่วน แค่เห็นก็รู้ได้เลยว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด อีกมือกำลังลากศพน่าเวทนาศพหนึ่ง เดินจากห้องทางฝั่งขวาเข้าไปในห้องที่เปิดไฟสว่างอยู่

นี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลี่ซูเหรอ หลินปั้นซย่าคาดเดาอยู่ในใจ หรือว่าวัตถุนอกรีตจะแสดงโศกนาฏกรรมทั้งหมดนี้ขึ้นมาใหม่? ถ้าอย่างนั้นคนพวกนี้จะมองเห็นเราหรือเปล่า หลินปั้นซย่าคิด เขาลองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเป็นการหยั่งเชิง ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้สังเกตเห็นเขาดังคาด เพียงมุ่งหน้าเดินเข้าไปในห้องสุดโถงทางเดิน

หลินปั้นซย่าเดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างระมัดระวัง แล้วก็มาถึงหน้าห้องที่เปิดไฟอยู่เช่นกัน เขามองเข้าไปข้างในก็สังเกตเห็นว่าตรงมุมห้องมีผู้หญิงในชุดนอนกระโปรงยาวสีอ่อนคนหนึ่งกำลังกอดเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ร่างสั่นเทิ้มไว้ หนุ่มน้อยถูกเธอโอบกอดแน่นหนา ปากแผดเสียงร้องด้วยความกลัว “แม่ครับ…แม่…”

ผู้หญิงคนนั้นคล้ายกำลังสะอื้นไห้พลางเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม “หลี่ซู…หลี่ซู” เสียงของเธอดูหวาดผวา กอดเด็กในอ้อมแขนของตนแน่นไม่ยอมปล่อย ราวกับจะใช้ทุกสิ่งที่มีปกป้องเขาไว้ให้ได้ แต่จากมุมที่หลินปั้นซย่าเห็นนั้น กลับเห็นอย่างชัดเจนเต็มสองตาว่าใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง ต่างกับเสียงร้องที่ทั้งหวาดกลัวทั้งอ่อนแอ เธอฉีกยิ้ม สีหน้าท่าทางล้วนเป็นความละโมบและสะใจ ราวกับว่าปฏิกิริยาของหนุ่มน้อยสร้างความหฤหรรษ์ให้เธออย่างยิ่ง

หลี่ซูเป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และเป็นผู้ชมคนสุดท้ายที่ได้รับชมการแสดงฉากนี้

เขารอดตายมาได้ไม่ใช่ความโชคดี แต่เป็นเพราะมันเลือกแล้ว

มีดคมกริบในมือผู้ชายคนนั้นสับลงไปในเนื้อ เกิดเป็นเสียงสับหนักๆ น่าเสียวฟัน หนุ่มน้อยสะดุ้งเพราะเสียงดังกล่าว เสียงนี้เสียดแทงลงไปในใจเขาจนแทบแหลกสลาย เขาได้แต่ใช้แรงทั้งหมดที่มีกอดผู้เป็นมารดาของตนเสมือนคนจมน้ำที่คว้าต้นข้าวต้นสุดท้ายไว้

เวทีถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว จุดไคลแมกซ์กำลังจะมาถึงเดี๋ยวนี้

หลินปั้นซย่าเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวดูเกินจริงขึ้นทุกที ทว่าปากกลับส่งเสียงกรีดร้องหวีดแหลม “อย่าทำเขา…ฆ่าฉัน…ฆ่าแค่ฉันเถอะ…”

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น เหลือบมองไปทางหญิงสาวด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วเงื้อมีดขึ้นเดินเข้าไปหาทั้งสอง

ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นอย่างที่ซ่งชิงหลัวเล่าให้หลินปั้นซย่าฟังทุกประการ และผลลัพธ์สุดท้ายก็คล้ายว่าสิ่งที่ปกป้องหลี่ซูอยู่จะถูกทำร้ายอย่างสาหัส จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ฆ่าตัวตาย ก่อนที่เรื่องนี้จะวาดจุดจบประโยคได้อย่างสมบูรณ์ และเพราะความหวังทั้งหมดของเขาล้วนฝากฝังไว้ที่มารดา เมื่อหลี่ซูรู้ว่าคนที่ปกป้องเขาไม่ใช่มารดาที่แท้จริงของตนเอง แต่เป็น ‘มัน’ ที่สร้างทุกสิ่งนี้ขึ้นมา โลกทั้งใบของเขาก็พังครืน

มนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ ทุกฉากทุกตอนที่ปรากฏแก่สายตาอาจเป็นเพียงภาพมายาของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้เท่านั้น แต่ถึงกระนั้นหลินปั้นซย่าก็ยังอยากลองทำอะไรบางอย่าง เขาสูดหายใจเข้าลึก กำแจกันในมือแน่น หมายจะหยุดการกระทำถัดไปของชายคนนั้น เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าในตอนที่ตัดสินใจทำสิ่งนี้ เส้นสีเขียวสะดุดตาได้ปรากฏอยู่ในดวงเนตรของเขาอีกครั้ง…

ในตอนที่หลินปั้นซย่ากำลังจะเดินไปข้างชายคนนั้นและเตรียมจะลงมือ เขาพลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง มือของเขาจึงชะงักค้างในทันใด…

หญิงสาวที่ในตอนแรกใบหน้าแต้มรอยยิ้มสดใสนั้นสีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ประเดี๋ยวยิ้มร่าประเดี๋ยวต่อสู้ดิ้นรนอย่างเจ็บปวด ราวกับมีวิญญาณสองดวงกำลังแย่งชิงสิทธิ์ในการครอบครองร่างกายนี้อยู่

“อ๊าก!!!” หนุ่มน้อยที่ลืมตาขึ้นเห็นชายคนนั้นเข้ามาใกล้ก็ส่งเสียงร้องฟูมฟายอย่างสิ้นหวัง เขากอดแม่ของตนแน่น ตะโกนร้องฟังไม่ได้ศัพท์ “อย่าฆ่าแม่นะ อย่าฆ่าแม่…ผมขอร้องล่ะ…แม่ครับ แม่…”

ทุกเสียงที่เรียกร้องหาผู้เป็นมารดาทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวเลือนหายไป ในที่สุดก็กลายเป็นความเศร้าโศกอาดูรอย่างไร้ที่สิ้นสุด เธอยกแขนขึ้นลูบเรือนผมนุ่มลื่นของเด็กหนุ่มเบาๆ เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนพลางเรียกชื่อของเขา “ซูซู”

หลี่ซูที่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกนี้ ทั้งร่างสั่นระริก

“ไม่ต้องกลัว” เธอเอ่ย “แม่อยู่ตรงนี้”

ความหวาดกลัวบนใบหน้าหายไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมใครอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้เป็นมารดา เธอคลายอ้อมแขนที่กอดเด็กหนุ่มเอาไว้ หยัดกายลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

ปลุกปล้ำต่อสู้กันเป็นพัลวัน ไม่นึกว่าร่างแบบบางของหญิงสาวจะระเบิดพลังอันน่าเหลือเชื่อออกมาได้ เธอหยุดยั้งแรงของชายคนนั้นไว้ ยุดแย่งมีดในมือก่อนจะเสือกแทงไปที่กลางอกของชายคนนั้น เลือดสีแดงสดหลั่งไหลแผ่ขยายออกมา เธอกุมของมีคมในมือและส่งเสียงเรียกออกไป “ซูซู”

จากนั้นก็ราวกับว่าแรงเฮือกสุดท้ายที่มีได้ใช้ไปหมดแล้ว ความเศร้าสลดและระทมทุกข์บนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป และกลับมาเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกนั่นอีกครั้ง วินาทีที่เธอกำลังจะกลายเป็นสิ่งนั้นโดยสมบูรณ์ เธอก็เอ่ยเรียกเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ซูซู”

หลี่ซูเห็นทั้งหมดนี้กับตาตัวเอง แต่เขาถูกแม่คอยปกป้องอยู่ตลอด จะรู้ได้อย่างไรว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเห็นแค่ว่าแม่แย่งของมีคมมาได้และจบชีวิตของพ่อลง จากนั้นสีหน้าของแม่ก็แปลกขึ้นทุกที ถึงจะกล่าวว่าเหมือนหวาดกลัวและโศกเศร้า แต่กลับเหมือนมีรอยยิ้มแปลกๆ บางอย่างมากกว่า

หลี่ซูในตอนนั้นตกใจจนขวัญหายสติกระเจิงไปแล้ว ย่อมไม่มีเวลาไปสนใจความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้ เขาโผเข้าหาอ้อมกอดของแม่และร้องไห้ฟูมฟายออกมา แม่ลูบหัวเขา สีหน้าทั้งเย็นชาทั้งเมินเฉย…คงเป็นเพราะม่านละครปิดฉากลงเรียบร้อย เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกสนอกสนใจอีกต่อไป

ละครหนึ่งฉากของมันกลับเป็นทั้งชีวิตของหลี่ซู

หลินปั้นซย่ารู้สึกโกรธในใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมสิ่งนี้ต้องทำเรื่องแบบนี้ออกมาด้วย เขายกมือขึ้นปาแจกันในมือใส่มันโดยไม่ลังเล และก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ แจกันใบนั้นทะลุผ่านร่างของมันไปกระทบผนังด้านหลังแล้วแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ

แสงไฟในห้องพลันกะพริบวาบ ตามด้วยเสียงจี่ๆ ของกระแสไฟฟ้า จากนั้นไฟก็ดับลงโดยสมบูรณ์

ลานสายตาของหลินปั้นซย่าถูกปกคลุมด้วยความมืด เสียงสะอื้นฮักของหลี่ซูก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไปด้วย หลินปั้นซย่าหันหลังหมายจะเดินออกจากห้อง แต่ชั่วพริบตาที่เขาก้าวเท้าออกไป ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ปรากฏแสงสีเขียวเรืองรองราวกับส่องแสงออกมาจากอะไรสักอย่าง มันเหมือนสายน้ำไหลรินแต่ก็เหมือนหางของดาวตก ลอยขึ้นมาจากพื้น วนเวียนรอบกายหลินปั้นซย่า

เมื่อเขายื่นมือออกไป มันก็กระโดดมาที่ปลายนิ้ว แผ่ขยายขึ้นไปตามนิ้วมือของเขา เขาสะบัดเบาๆ สิ่งนั้นก็ถูกสลัดออก แต่วินาทีถัดมาก็กลับมาเกาะพันอย่างไม่อยากแยกจาก เหมือนกับว่าเจอสิ่งที่ชอบแล้วอย่างไรอย่างนั้น

หลินปั้นซย่ากำลังคิดว่ามันคืออะไร จู่ๆ เสียงเปิดไฟในห้องก็ดังขึ้น แสงสว่างสะท้อนเข้ามาในลานสายตาที่อยู่ในความมืดมาตลอดโดยฉับพลัน จนทำให้เขาต้องยกมือขึ้นบังแสง

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่” เป็นซ่งชิงหลัว เขายืนอยู่หน้าห้องและเป็นคนเปิดสวิตช์ไฟหน้าประตู

หลินปั้นซย่าชะงักไปก่อนจะหันมองรอบทิศ ทุกสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้หายไปหมดแล้ว ที่นี่กลายเป็นเพียงห้องธรรมดา เขาไม่รู้ว่ามาอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นสามตั้งแต่เมื่อไหร่ รอบๆ มีแต่เครื่องเรือนที่มีฝุ่นจับ ดูท่าคงไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่นานมากแล้ว

“ผม…” หลินปั้นซย่ามึนงง “ก่อนหน้านี้ผมเฝ้าอยู่หน้าห้องนอนตลอด แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากชั้นสาม เคาะประตูแล้วคุณก็ไม่เปิดก็เลยมาดูที่ชั้นสาม…”

ซ่งชิงหลัวขมวดคิ้วเบาๆ “เมื่อกี้ผมอยู่ในห้องตลอดแต่ไม่ได้ยินเสียงคุณเลย”

“หา? ผมเคาะประตูแล้วนะ”

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ดูท่าสิ่งนั้นคงจะร้ายกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก”

หลินปั้นซย่าเหลือบมองเวลาก็พบว่าตอนนี้เลยเวลาเริ่มทดสอบไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะห้องร้อนเกินไปหรือเปล่า ทั้งตัวเขาจึงชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่สบายตัวอย่างยิ่ง เขาพยายามตั้งสติ “หลี่ซูล่ะ? ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ผมยังไม่ได้ไปดูทางนั้น”

เมื่อครู่เพิ่งออกจากห้องมาก็พบว่าหลินปั้นซย่าหายไป พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากชั้นบนเขาก็ตรงขึ้นมาทันที ใครจะรู้ว่าเขาจะเห็นประตูห้องสุดทางเดินชั้นสามเปิดกว้างอยู่ เมื่อเข้ามาเปิดสวิตช์ไฟก็เห็นหลินปั้นซย่ายืนเหม่ออยู่กับที่ ท่าทางจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“งั้นเราไปดูกันเถอะ” หลินปั้นซย่านึกถึงภาพที่เห็นแล้วคิดว่าตนต้องบอกเรื่องนี้กับหลี่ซู บอกเขาว่าคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา ปกป้องเขาจนถึงตอนสุดท้ายไม่ใช่วัตถุนอกรีตนั่น แต่เป็นแม่ของเขาจริงๆ “จริงสิ คุณ…เจอแม่ของคุณหรือยัง”

ซ่งชิงหลัวส่ายหน้า

หลินปั้นซย่าเห็นดังนั้นก็เสียดายเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ผมสัมผัสได้ว่าเธออยู่ข้างๆ ผม ถึงผมจะหาเธอไม่เจอก็เถอะ…” เขาพ่นลมเบาๆ เหมือนจะถอนหายใจเอาความอัดอั้นในใจออกมาด้วย “เราลงไปกัน”

หลินปั้นซย่าขานรับ

ทั้งคู่กลับไปยังชั้นสอง แล้วก็เห็นว่าประตูห้องนอนของหลี่ซูยังคงปิดแน่น หลี่เย่เฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ามืดมน

“ยังไม่ออกมาเหรอ” ซ่งชิงหลัวถาม

หลี่เย่ส่ายหน้า

“ข้างในนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยเหรอ” หลินปั้นซย่าเริ่มกังวล

“ตอนเพิ่งเข้าไปเขาร้องรอบหนึ่ง” หลี่เย่กล่าว “ตอนนี้เขาไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว”

หลินปั้นซย่าเลียริมฝีปาก

ซ่งชิงหลัวเหลือบมองเขา “สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่า” หลินปั้นซย่าเอ่ย “แค่รู้สึก…ร้อนนิดหน่อย”

“คุณไปพักเถอะ ตรงนี้มีแค่ผมกับหลี่เย่ก็พอ” ซ่งชิงหลัวมองนาฬิกาข้อมือ “รออีกยี่สิบนาที ถ้ายังเงียบอยู่อีกก็พังประตูเข้าไปเลย คุณลงไปดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ รู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยขึ้นมาก็ได้”

อันที่จริงหลินปั้นซย่าอยากรออยู่ที่นี่มาก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น เขาพยายามประคับประคองอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกัดฟันพยักหน้า ค่อยๆ เดินลงชั้นล่างไปที่ห้องครัว ดื่มน้ำสักหน่อยก่อนเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา

น้ำเย็นๆ ไล่ความอบอ้าวออกไปได้ทำให้เขากลับมาสดชื่นขึ้นบ้าง เขามองใบหน้าเปียกชื้นของตัวเองในกระจก รู้สึกว่าดวงตาของตนดูแปลกๆ เหมือนสีของมันจะไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ แต่เมื่อมองโดยละเอียดก็เห็นว่าเป็นสีดำเหมือนปกติ

หรือจะดูเป๊ปป้าพิกมากไปจนสายตาสั้น? หลินปั้นซย่าคิดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงรูปที่จี้เล่อสุ่ยส่งมาให้เขาได้ เลยล้วงโทรศัพท์ออกมากดเซฟรูปเงียบๆ คิดในใจว่ากลับไปตนกับซ่งชิงหลัวต้องหาเวลาถ่ายรูปครอบครัวกับเด็กน้อยทั้งสองของพวกเขาบ้าง มาอยู่ด้วยกันนานมากแล้ว แต่ทั้งสี่คนยังไม่เคยได้ถ่ายรูปด้วยกันดีๆ สักครั้งเลย

หลังอาการดีขึ้นแล้ว หลินปั้นซย่าก็กลับขึ้นไปบนชั้นสองอีกครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าทันทีที่กลับมาถึงจะเห็นซ่งชิงหลัวกับหลี่เย่กำลังมีปากเสียงกันอยู่

ซ่งชิงหลัวกล่าว “แน่ใจนะว่าจะไม่เข้าไป?”

หลี่เย่เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ผมรู้จักเขาดีกว่าคุณ เขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณคิด”

ซ่งชิงหลัวยิ้มเยาะ “ดีที่สุดคือการเลี่ยงไม่ให้เกิดภาพที่เปิดประตูเข้าไปเจอศพของเขาแทน…”

หลี่เย่แววตาแข็งกระด้างทันที

หลินปั้นซย่ารีบรุดเข้าไปห้าม เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถามออกไปแล้วเขาถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานหลี่ซูส่งเสียงตะโกนร้องออกมาอีกแล้ว ซ่งชิงหลัวอยากเข้าไป แต่หลี่เย่กลับไม่เห็นด้วย

หลินปั้นซย่ายืนเป็นคนโง่งมทันที คิดในใจว่าการกระทำพวกเขาสลับกันหรือเปล่า หลี่เย่ทั้งห่วงทั้งหวงหลี่ซูมากขนาดนั้นกลับขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปเนี่ยนะ

หลี่เย่กำหมัดแน่นและกัดฟันกรอด “ให้เวลาเขาอีกยี่สิบนาที”

ซ่งชิงหลัวกอดอก ไม่เปล่งวาจาอีก


 

* เหอป๋อ เป็นชื่อขององค์เทพแห่งหวงเหอ (แม่น้ำเหลือง) หมู่บ้านริมแม่น้ำหวงเหอเชื่อว่าอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำเป็นเพราะเทพเหอป๋อพิโรธ จึงเลือกหญิงสาวในหมู่บ้านมาเป็นเจ้าสาวให้เทพเหอป๋อทุกปีเป็นการบวงสรวงองค์เทพ โดยจะจับหญิงสาวผู้นั้นให้นั่งอยู่บนแผ่นไม้ แล้วให้ลอยไปตามแม่น้ำก่อนจะค่อยๆ จมลงไปในที่สุด

  

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 (เล่มจบ)

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

   

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts /

comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: