X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 7-9

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 7 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“เหลวไหล!” ยังไม่ทันที่กัวย่วนจะได้พูดอะไร นางกำนัลที่อยู่ทางด้านหลังนางก็ชิงตวาดออกมาก่อน “นางเด็กไร้มารยาท หัดรู้จักสำรวมบ้าง”

นางกำนัลนางนั้นหน้าตานับว่างามไม่ใช่น้อย ทว่าสีหน้าท่าทางกลับเฉียบขาดยิ่ง นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียว บนอกเสื้อมีผืนผ้าปักติดอยู่ ที่ปักอยู่ทางด้านบนคือนกสาลิกาตัวหนึ่ง ที่แท้นางก็เป็นแค่นางกำนัลระดับล่างทำงานจิปาถะนางหนึ่งเท่านั้น

ถึงจะไม่มีระดับชั้น แต่อย่างไรก็เป็นนางกำนัลในวัง มิอาจดูแคลน

เฉินอิ๋งกลับไม่ได้สนใจอีกฝ่าย นัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่บนตัวกัวย่วน นางเอียงคอน้อยๆ “หรือว่ามิใช่”

กัวย่วนยิ้มหยัน “น่าขัน ราชนิกุลที่เข้าออกจวนเจิ้นหย่วนโหวใช่ว่ามีเพียงข้าผู้เดียวเสียเมื่อไร หรือจะบอกว่าขอเพียงเป็นของที่วังหลวงจัดทำขึ้น ทั้งหมดล้วนมาจากข้า คำพูดเยี่ยงนี้ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือไร”

เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางยื่นมือออกมา แผ่นกระดาษถูกดึงออกจากแขนเสื้อเฉินอิ๋งเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ที่ถูกดึงออกมาเป็นกระดาษสองแผ่น นางหยิบเอาแผ่นหนึ่งวางทับลงบนคำให้การของโจวมามา ยกมันขึ้นเหนือศีรษะเหมือนก่อนหน้านี้เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นตัวหนังสือกับรอยประทับนิ้วที่อยู่ทางด้านบนชัดแจ้งพลางพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ในมือข้ายังมีคำให้การอีกฉบับ คนที่ให้การคือบ่าวในจวนเจิ้นหย่วนโหว ได้แก่ เสี่ยวหง เสี่ยวชุ่ย หลิ่วมามา รวมถึงหม่าต้าซานจยา พวกเขาล้วนประทับรอยนิ้วมือไว้”

ขณะกำลังพูดนางก็มอบกระดาษพวกนั้นให้กู้หนานพร้อมยิ้มมุมปาก “ด้านบนระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอายุและลักษณะเด่นของพยานทั้งสี่ไว้ ข้าได้ให้ทุกคนประทับลายนิ้วมือไว้แล้ว เชิญคุณหนูรองตรวจสอบ”

กู้หนานตัดสินใจไม่ช่วยเหลือฝ่ายใดทั้งสิ้น ไม่ว่าใครถามนางอะไร ขอเพียงเป็นความจริงนางล้วนยอมรับ หากไม่ใช่เรื่องจริงนางย่อมไม่อาจกล่าววาจาเหลวไหล

ดังนั้นหลังจากก้มหน้าอ่านดูเนื้อความบนกระดาษโดยละเอียดครู่หนึ่งนางก็ฝืนยิ้มให้เฉินอิ๋ง “ไม่ผิด คนทั้งสี่เป็นบ่าวในจวนของพวกเราจริงๆ”

เฉินอิ๋งกล่าวขอบคุณออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกกับทุกคน “ในคำให้การนี้คนทั้งสี่พูดถึงเรื่องเดียวกัน หรืออาจจะบอกว่าพูดถึงคนคนเดียวกันซึ่งก็คือเถาจือ”

เถาจือเนื้อตัวสั่น ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเก่า

กัวย่วนเอนกายไปทางด้านหลัง ใบหน้ายามนี้ซ่อนหลบอยู่ใต้เงาม่านโปร่ง

เฉินอิ๋งบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พยานทั้งสี่ต่างพูดเป็นเสียงเดียว พวกเขาบอกว่าเถาจือถูกซื้อตัวเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อยจึงถูกส่งตัวให้ไปเรียนรู้กฎกับแม่นมที่คฤหาสน์อู่หลิง ไม่เคยออกพ้นประตูมาก่อน”

บรรยากาศภายในเรือนรับรองมีเพียงความเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงราวกับธารน้ำไหลของเฉินอิ๋งเท่านั้น “ข้าคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เมื่อสามปีก่อน หรือก็คือตอนรัชศกหยวนจยาปีที่สิบสอง จู่ๆ น้ำในทะเลสาบของคฤหาสน์อู่หลิงก็เน่าเหม็น ในป่าท้อถูกแมลงบุกทำลาย เจิ้นหย่วนโหวใช้เงินจำนวนมากเชิญคนมาจัดการ และด้วยเพราะเหตุนี้ นับแต่รัชศกหยวนจยาปีที่สิบสองมาจนถึงต้นปีนี้ ที่นี่จึงไม่เคยต้อนรับแขก ไม่มีการจัดเลี้ยง วันนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่คฤหาสน์อู่หลิงเปิดประตูจัดงานเลี้ยง คุณหนูรอง ข้าคงพูดไม่ผิดกระมัง”

ตอนพูดเฉินอิ๋งมองไปทางกู้หนานอีกครั้ง

กู้หนานพยักหน้าสีหน้าหนักแน่น ไม่กระอักกระอ่วนเหมือนก่อนหน้านี้

เหล่าสตรีในเรือนรับรองยามนี้ต่างเก็บท่าทีสบายๆ ไปหมดสิ้นแล้ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม

หากจะให้พูดกันโดยละเอียดก็ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาเกือบสองปีมานี้ เมืองเซิ่งจิงเพิ่งจะสงบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ด้วยเพราะเหล่าอ๋องกับจวิ้นอ๋องทั้งหลายต่างตายตกไปกันไม่ใช่น้อย

รัชศกหยวนจยาปีที่สิบเอ็ด ในราชสำนักเหลือท่านอ๋องเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คืออันอ๋อง จู่ๆ เขาก็นำทหารก่อกบฏขึ้นที่เมืองเป่าติ้ง อำนาจนับว่าไม่ใช่น้อยๆ แน่นอนว่าด้วยเพราะความสามารถของฮ่องเต้หยวนจยาในยามนั้น เพียงไม่นานการก่อกบฏในครั้งนั้นก็ถูกปราบปรามราบคาบ อันอ๋องฆ่าตัวตาย ทหารกบฏพวกนั้นถูกสังหารหมดสิ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชนชั้นสูงในเมืองหลวงก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวน เมื่อสองสามปีก่อนพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่ออกจากเมือง งานเลี้ยงดื่มกินท่องเที่ยวอันใดล้วนแต่จัดอยู่ในเมือง ทั้งนี้ก็เพราะกลัวถูกเพ่งเล็ง

เจิ้นหย่วนโหวปิดคฤหาสน์อู่หลิงนานสามปี พื้นที่ส่วนใหญ่พลอยได้รับผลกระทบ ที่ว่ากันว่าน้ำในทะเลสาบส่งกลิ่นเหม็น ป่าท้อถูกแมลงบุกรุกทำลายนั้น ไม่มีใครไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องเท็จ อันที่จริงมันเป็นแค่ข้ออ้างที่ปั้นแต่งขึ้นเท่านั้น

“คฤหาสน์อู่หลิงไม่เปิดมาสามปี ส่วนเถาจือเข้ามาที่นี่เมื่อสองปีก่อน ช่วงระยะเวลาดังกล่าวอย่าว่าแต่ราชนิกุลเลย แม้แต่แขกธรรมดาทั่วไปแม่นางเถาจือเองก็ไม่เคยพบเจอแม้แต่คนเดียว” เฉินอิ๋งหันหน้าไปมองเถาจือด้วยดวงตาวับวาว “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสรุปได้เรื่องหนึ่ง วันนี้ เวลานี้ ยามนี้เป็นวาระแรกที่แม่นางเถาจือได้พบพานแขกที่มาจากข้างนอก ส่วนก้อนเงินสองก้อนนี้เป็นไปได้ว่านางได้มาจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้”

พูดถึงตรงนี้มุมปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แท้จริง “ช่างบังเอิญเสียจริงๆ วันนี้ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มากันแน่นขนัด คนที่สามารถมอบก้อนเงินเช่นนี้ให้นางได้กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“คุณหนูสามลืมองค์หญิงใหญ่กับราชนิกุลอาวุโสคนอื่นๆ ไปแล้วหรือไร ทุกคนล้วนสามารถหยิบเอาข้าวของที่วังหลวงจัดทำออกมาได้ด้วยกันทั้งนั้น” นางกำนัลคนดังกล่าวเอ่ยปากเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ข้าไม่ได้ลืม” เฉินอิ๋งไม่มีอาการลนลาน นางยังคงชูคำให้การสูง “คำให้การนี้บันทึกเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเถาจือไว้ เสี่ยวหงกับเสี่ยวชุ่ยต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้เถาจือน่าจะทำงานช่วงบ่าย เริ่มตั้งแต่กลางยามเว่ย* ส่วนองค์หญิงใหญ่กับฮูหยินอาวุโสทั้งหลายต่างนั่งเรือวิจิตรไปกันตั้งแต่ต้นยามเว่ยกับอีกหนึ่งเค่อแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสประทานก้อนเงินให้กับนางได้”

“ต่อให้ไม่ใช่เวรของนาง แต่คนมีขา ไม่แน่ว่าตอนเช้านางอาจบังเอิญพบเจอกับผู้สูงศักดิ์ที่ใดเข้า” นางกำนัลนางนั้นพูดน้ำเสียงราบเรียบ

“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เฉินอิ๋งเอ่ยวาจาท่าทีสงบนิ่ง “ตลอดเช้าเถาจือไม่ได้ออกจากเรือนเล็กที่พวกสาวใช้พักอาศัยอยู่ พวกหญิงรับใช้อาวุโสที่คอยจับตาดูพวกนางอยู่พวกนั้นไม่อนุญาตให้พวกนางไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ หากเซี่ยนจู่มีเวลาว่าง พวกเราสามารถเรียกคนพวกนั้นมายืนยันต่อหน้าเถาจือได้”

นางกำนัลนางนั้นชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนจะกระแอมออกมาคำหนึ่ง “เรื่อง…ยืนยันอะไรนั่นหาจำเป็นไม่ ทว่าคุณหนูสามคงลืมไปเรื่องหนึ่ง ไม่แน่ว่าก่อนเข้าจวนเจิ้นหย่วนโหวมา เถาจืออาจเคยได้รับการตกรางวัลจากผู้สูงศักดิ์ที่ใดมาก่อน เงินก้อนนี้นางอาจนำเข้ามาจากข้างนอกก็ได้”

“สองสามปีก่อน?” มุมปากของเฉินอิ๋งยกอยู่ในองศาแปลกประหลาด นางชูก้อนเงินขึ้นสูง “ขอทุกท่านดูให้ชัดๆ นี่เป็นก้อนเงินที่เพิ่งทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก้อนเงินของปีก่อน เมื่อหลายปีก่อนเถาจือจะไปเอามาจากที่ใด”

เพราะรู้ว่าตนเองพลาดไปแล้ว นางกำนัลนางนั้นจึงปิดปากแน่น ไม่พูดอะไรอีก

พวกนางสองคน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ทั้งเร็วทั้งกระจ่างชัด ทุกคนได้แต่นิ่งฟังทำอะไรไม่ถูก จนถึงตอนนี้เสียงหัวเราะแผ่วเบาถึงได้ดังขึ้น

หากว่ากันถึงมิตรภาพ เซียงซานเซี่ยนจู่เหมือนจะด้อยกว่าเฉินจิ่น สตรีที่เคยถูกนางรังแกกลั่นแกล้งมีจำนวนอยู่ไม่น้อย เห็นนางถูกต้อนจนอับจนเช่นนั้นย่อมมีคนปลาบปลื้มยินดี

“เจ้านายตกรางวัลบ่าวไพร่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ต่อหน้าทุกคนเซี่ยนจู่กลับปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เคยประทานรางวัลเป็นเงินจำนวนมากให้เถาจือ เพราะเหตุใดกัน” เฉินอิ๋งหันไปถามทุกคน

เรือนรับรองเงียบสงัดอย่างน่าอัศจรรย์

ถึงจะไม่มีคนกล่าวถ้อยวาจาใด แต่บรรยากาศกลับคล้ายดูคึกคักเป็นที่สุดเหมือนมีคนกำลังตื่นเต้น เอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาไปต่างๆ นานา

กัวย่วนซุกตัวอยู่ใต้เงามืด ลมหายใจเย็นเยียบคล้ายแพร่กระจายออกสู่ภายนอกทีละเล็กทีละน้อย

บทที่ 8 องค์หญิงใหญ่เสด็จ

เฉินอิ๋งกวาดตามองทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งแปลกประหลาดทั้งสงบนิ่ง “ข้าคิดว่าทุกคนคงประจักษ์ชัดแล้วว่าความจริงเป็นเช่นไร คำให้การของเถาจือเป็นเรื่องเท็จ ขโมยหยกเหยียบหยกที่นางบอกก็เป็นเรื่องโกหกเช่นกัน พี่ใหญ่ข้าบริสุทธิ์ คนที่สร้างเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือคนที่มอบเงินก้อนให้กับเถาจือ ซึ่งก็คือเซี่ยน…”

“เจ้าอาศัยอะไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นคนตกรางวัลให้นาง” จู่ๆ เสียงแหลมๆ ของกัวย่วนก็ดังขึ้น ร่างทั้งร่างโน้มเอนมาทางด้านหน้า สายตาที่มองดูเฉินอิ๋งราวกับคิดจะกินเลือดกินเนื้อ

“เจ้าอาศัยอะไรกัดข้าไม่ปล่อย ก้อนเงินชนิดนี้คนที่อยู่รอบกายข้าล้วนมีได้ด้วยกันทั้งสิ้น เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงมั่นอกมั่นใจว่าเป็นข้า”

เฉินอิ๋งเม้มปากแน่น ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเอ่อท้นอยู่ภายในใจ

“เหตุใดถึงไม่พูดเล่า! ไม่มีอะไรจะพูดสินะ” กัวย่วนตวาดเสียงแหลมออกมาอีกคราว ใบหน้างดงามเย้ายวนแต่เดิมยามนี้กลับกลายเป็นอัปลักษณ์หมดสิ้น “เจ้าฉลาดมากไม่ใช่หรือไร หนำซ้ำยังสามารถหาคนมาเป็นพยานได้มากมายอีกด้วยไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงไม่พูดต่อเล่า! พูดสิ!”

จู่ๆ กัวย่วนก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะกำเริบเสิบสานกระจ่างชัด แฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงเย่อหยิ่งราวกับต้องการจะบอกว่า ‘อย่างไรแล้วเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้’

เฉินอิ๋งขมวดคิ้ว เก็บคำให้การไม่พูดไม่จา

จากประสบการณ์ของนาง เสียงหัวเราะบ้าคลั่งเปลืองแรงเช่นนี้ล้วนดำเนินได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เก็บหลักฐานคำให้การให้เรียบร้อย

ทันทีที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จ เสียงหัวเราะนั้นก็หยุดลงเช่นกัน กัวย่วนใช้มือค้ำโต๊ะหอบหายใจ เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยอยู่ไม่ใช่น้อย

ทันทีที่สบโอกาส เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นมาทันที “เซี่ยนจู่สังเกตเห็นหรือไม่ว่ายามนี้มีคนผู้หนึ่งหายตัวไป”

กัวย่วนตะลึงงัน

เฉินอิ๋งยิ้มมุมปาก นางยื่นมือชี้ไปทางด้านหลัง “สาวใช้ของเซี่ยนจู่ขาดหายไปคนหนึ่ง”

กัวย่วนตกใจ ยังไม่ทันหันหน้าไป สาวใช้ที่ชื่อเสียฟางก็เขยิบเข้ามากระซิบที่ข้างหูนาง “เส่าหงยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”

“ที่ขาดไปคงเป็นเส่าหงกระมัง” เฉินอิ๋งคล้ายมีหูทิพย์ นางพูดชื่อสาวใช้อีกคนของกัวย่วนออกมา

แววตาหยิ่งผยองมั่นอกมั่นใจของกัวย่วนหายลับฉับพลัน

นางหรี่ตาลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางตั้งอกตั้งใจพิจารณาดูคุณหนูสามสกุลเฉินที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ลอบโบกมือไปทางด้านหลัง

เสียฟางเข้าใจได้ทันที นางรีบค้อมกายถอยจากไป

การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนายบ่าวสองคนย่อมหนีไม่พ้นสายตาของเฉินอิ๋ง

“เซี่ยนจู่คิดเรียกคนไปตามหาในเวลานี้เกรงว่าคงสายเกินการแล้ว” เฉินอิ๋งไม่ลนลาน คล้ายไม่สนใจกับเรื่องดังกล่าว “คำนวณจากเวลาแล้ว คนของข้าตอนนี้คงพาตัวเส่าหงเข้าเมืองมาแล้ว อีกไม่นานที่ว่าการเซิ่งจิงก็คงได้รับฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ของข้า”

เรือนรับรองเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตามติดมาด้วยเสียงดังฮือฮา

คุณหนูสามสกุลเฉินยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ถึงที่ว่าการเซิ่งจิง?

เรื่องเช่นนี้ทำได้ด้วยหรือ

ทว่าสีหน้าท่าทางของเฉินอิ๋งเหมือนไม่คล้ายโป้ปด เรื่องนี้ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มมากขึ้นไปอีก

กัวย่วนแทบไม่เชื่อหูตนเอง

“ที่ว่าการเซิ่งจิง? ฎีการ้องเรียน? เจ้าพูดอะไรของเจ้า” ในที่สุดนางก็เริ่มลนลาน ท่าทียโสโอหังที่เคยมีอยู่แต่เดิมหายลับไปจนสิ้น ยามนี้นางก็แค่เด็กสาวอายุสิบสี่เท่านั้น กัวย่วนตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก

เรื่องราวในวันนี้เส่าหงรู้ดีที่สุด

ซื้อตัวเถาจือ หลอกล่อบ่าวเฝ้าห้องสุขา เอาหยกที่กัวย่วนทำแตกไปทิ้งไว้ในนั้น เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของเส่าหง หากนางสารภาพอะไรออกมา เช่นนั้น…

“ข้าบอกว่าข้ากำลังจะยื่นฎีการ้องเรียนท่าน เซียงซานเซี่ยนจู่” จู่ๆ เสียงของเฉินอิ๋งก็ดังขึ้น กัวย่วนกลับกลายได้สติขึ้นมาทันที

นางจ้องเฉินอิ๋งเขม็ง สีหน้ากลับไปกลับมาระหว่างตะลึงลานกับโหดเหี้ยมอำมหิต

น้ำเสียงของเฉินอิ๋งยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยน “ข้าจะไปยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่ยังที่ว่าการเซิ่งจิงฐานให้ท้ายบ่าวไพร่ทำเรื่องชั่วช้า วางแผนทำลายชื่อเสียงผู้อื่น ข้ายังจะร้องเรียนว่าท่านซื้อพยาน จงใจแต่งเรื่องใส่ร้ายทายาทขุนนางผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน”

พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วขณะ เหมือนต้องการให้คำพูดต่อจากนี้มีแรงกระแทกมากขึ้นไปอีก “และข้ายังต้องการร้องเรียนว่าท่านทรยศต่อกฎบรรพชน ไม่เคารพอาวุโส จงใจทำลายของของอดีตฮ่องเต้ นั่นก็เพราะว่าหยกมังกรชือหลงเก้าห่วงนั้นเซียงซานเซี่ยนจู่เป็นคนทำลายมันเองกับมือ!”

เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่ว สตรีในเรือนรับรองต่างไม่มีใครสนใจเรื่องสำรวมกิริยามารยาทอีกต่อไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังแทบทะลุหลังคา

ในหมู่สตรีสูงศักดิ์แห่งเมืองเซิ่งจิง ไม่รู้ว่านานเพียงใดแล้วที่ไม่เคยเกิดเรื่องคึกคักเช่นนี้

สตรีจวนเฉิงกั๋วกงต้องการยื่นฎีการ้องเรียนเซียงซานเซี่ยนจู่!

หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ละครเรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะน่าดูชมถึงเพียงใด หัวข้อสนทนาหลังอาหารคงน่าสนใจขึ้นอีกไม่ใช่น้อย

“องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเสด็จ…” จู่ๆ เสียงร้องแจ้งเตือนกระจ่างชัดก็ดังขึ้น ไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นถังหนึ่งสาดใส่จนบรรยากาศพลุ่งพล่านในเรือนรับรองมอดดับ

เสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างรีบเก็บสีหน้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง วางท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี ยืนตัวตรงอยู่ตลอดสองข้างทางของประตู รอการมาถึงของสตรีผู้มีฐานะสูงส่งที่สุดในราชสำนักต้าฉู่

บานประตูเปิดกว้าง องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเชิดพระพักตร์ตรงเข้ามาก่อนเป็นลำดับแรก

อายุของนางเหมือนจะยังไม่ถึงสี่สิบ ใบหน้ายาว หางตาชี้ขึ้น เขียนคิ้วเรียวเล็กโก่งขึ้นน้อยๆ ตามสมัยนิยม ทาชาดสีแดงไว้บนริมฝีปาก เกล้ามวยสูงทรงชมเทพ สวมอาภรณ์ไหมสองชั้นลายประแจจีนสีเหลืองแกมเขียว ช่วงล่างคือกระโปรงจีบสีเทาอ่อนปักชายลายห้าหงส์เหินตะวันเดินเส้นทอง ด้านนอกยังมีเสื้อคลุมขนนกปักลายเมฆาม่วงครามประดับมุก หรูหรางดงามยิ่งยวด

เฉินอิ๋งที่ยืนอยู่นอกฝูงชนส่ายหน้าถอนหายใจ

ความงามขององค์หญิงใหญ่เดิมยังพอมีอยู่ห้าส่วน ทว่ากลับถูกการแต่งตัวหักกลบลบเหลือเพียงสามส่วนเท่านั้น ขณะที่ตัวองค์หญิงใหญ่เองกลับไม่รู้ หนำซ้ำยังคิดว่าตนเองนั้นเด่นล้ำเหนือผู้ใด

ที่ตามองค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเข้ามาคือสวี่ซื่อ* ฮูหยินของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง หลังจากนั้นก็เป็นตู้ซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อจวนเจิ้นหย่วนโหว ก่อนจะเป็นเหล่าฮูหยินคนอื่นๆ ทุกคนล้วนตามติดเข้ามาไม่ต่างอะไรกับฝูงปลา ใบหน้าของพวกนางล้วนฝากแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้ม คล้ายเที่ยวเล่นสำราญใจยิ่ง

“เสด็จแม่!” พอเห็นดาวช่วยชีวิต กัวย่วนก็ร่ำไห้ตรงดิ่งเข้าไปทันที โผเข้าสู่อ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิงพลางสะอึกสะอื้นบอก “เสด็จแม่ ลูก…คุณหนูสามสกุลเฉินนาง…” เพียงชั่วพริบตาเดียวนางก็ร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กถูกคนกลั่นแกล้งก็ไม่ปาน

องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงเหมือนจะทรงล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แต่แรก จึงตบหลังอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่พลางส่งสายพระเนตรขออภัยไปยังเหล่าฮูหยินที่อยู่ทางด้านหลัง ส่ายพระพักตร์รับสั่งว่า “เด็กๆ ก็เช่นนี้ ดีแต่ก่อเรื่อง ไม่รู้ประสีประสา ขายหน้าทุกคนแล้ว”

หลังจากนั้นก็ทรงเอ่ยปากปลอบกัวย่วนด้วยน้ำเสียงละมุนละไม “เด็กดี เลิกร้องไห้ได้แล้ว แม่อยู่ที่นี่แล้ว”

“นั่นสิ” คนที่พูดต่อคือสวี่ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเฉิงกั๋วกง

ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่กันเต็มเรือนรับรอง มีก็แต่นางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเอ่ยวาจารับคำต่อจากองค์หญิงใหญ่ได้

ยามนี้นางเองก็โอบกอดบุตรีเฉินจิ่นไว้เช่นกัน กล่าวอย่างทั้งเอ็นดูทั้งกลัดกลุ้มโมโหว่า “ดูเจ้าสิ จะเข้าสู่พิธีปักปิ่น อยู่รอมร่อ ไฉนยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเช่นนี้อีก ไม่รู้จักอายคนบ้างหรือไร”

เฉินจิ่นซุกหน้าลงกับอ้อมอกของสวี่ซื่อ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เก็บมาเป็นนานพรั่งพรูออกมาทันที นางเองก็ร้องไห้เช่นกัน

ทันใดนั้นในเรือนรับรองก็เต็มไปด้วยเสียงสตรีร่ำไห้กับเสียงปลอบประโลมอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา มิได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้อีก

“นั่งลงก่อน ทุกคนนั่งลงก่อน” ตู้ซื่อ ฮูหยินของซื่อจื่อเจิ้นหย่วนโหวเดินขึ้นหน้าพูด นางหันไปสั่งให้สาวใช้จัดโต๊ะเก้าอี้ จัดของว่างขึ้นรับแขกใหม่อีกครั้ง

บทที่ 9 พูดคุยยิ้มหัวชื่นมื่น

องค์หญิงใหญ่กับสวี่ซื่อต่างพาบุตรีของตนเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงร้องของเฉินจิ่นกับกัวย่วนค่อยๆ แผ่วเบาลง ชาร้อนกับของว่างสดใหม่ทยอยลำเลียงขึ้นโต๊ะราวกับสายน้ำหลาก ประตูฝั่งศาลาริมน้ำบานนั้นยามนี้ถูกเปิดออกอีกครั้ง เสียงเพลงเจื้อยแจ้วดังลอยข้ามผืนน้ำมา ฟังดูเลื่อนลอยไกลห่าง

ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

พอเห็นองค์หญิงใหญ่กับสวี่ซื่อนั่งพูดคุยยิ้มหัวชื่นมื่นอยู่ไกลๆ บนที่นั่งประธาน เฉินอิ๋งก็ยิ้มมุมปาก

แผนการร้ายสิ้นสุด เหลือก็แค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ถึงตอนนั้นงานเลี้ยงรับวสันต์นี้ก็จะปิดฉากลงอย่างมีความสุข

หากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย

มุมปากของเฉินอิ๋งขยับยกอยู่ในองศาที่พิลึกพิลั่นยิ่งกว่าก่อน

หลังจากผ่านไปได้ราวๆ ครึ่งเค่อ ในที่สุดกัวย่วนก็ร้องเอาความหวาดหวั่นวิตกกังวลออกมาจนสิ้น นางสูดจมูกผละออกจากอ้อมกอดขององค์หญิงใหญ่ กดซับผ้าเช็ดหน้าลงบนหางตาด้วยท่าทีสำรวม

ครั้นผู้เป็นแม่มาถึง อารมณ์โกรธขึ้งของนางก็หวนกลับมาอีกครั้ง

“เสด็จแม่ รีบรับสั่งให้คนเตรียมรถ เอาตัวเส่าหงกลับมาเถอะเพคะ” ตอนเก็บผ้าเช็ดหน้ากลับ กัวย่วนก็กระตุกแขนเสื้อขององค์หญิงใหญ่พลางเอ่ยปากอ้อนวอน น้ำเสียงออดอ้อนไม่ต่างอะไรกับทารกที่ต้องการการปกป้อง ในเวลาเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบๆ เพียงไม่นานนางก็ควานหาตัวเฉินอิ๋งที่นั่งอยู่แถวหลังๆ พบ นางยกมือชี้ “เสด็จแม่ นาง…นางก็คือคุณหนูสามสกุลเฉิน นางจะ…”

จู่ๆ นางก็หยุดพูด มือที่ยื่นออกไปก็กลับกลายแข็งทื่อ สีหน้าราวกับพบเจอภูตผีปีศาจ นางมองออกไปนอกฝูงชน

เส่าหงสาวใช้คนสนิทของนางเดินเข้ามาอยู่ท่ามกลางฝูงชน บางทีอาจเพราะบังเอิญได้ยินคำพูดท่อนแรกของเซียงซานเซี่ยนจู่ก่อนหน้านี้จึงรีบเดินดิ่งเข้ามา ค้อมกายนอบน้อมถาม

“เซี่ยนจู่ตามหาตัวผู้น้อย?”

กัวย่วนอ้าปากค้างนึกคิดจินตนาการไม่ออก อักษรคำว่า ‘ตื่นตระหนก’ ปรากฏอยู่เต็มใบหน้า นางมองดูเส่าหงคราหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางเฉินอิ๋งที่สีหน้าร้างไร้ความรู้สึกทีหนึ่ง สองตากะพริบปริบๆ ไม่หยุดเหมือนกลัวตนเองจะมองผิดไป

กัวย่วนไม่ได้ตอบคำถามของเส่าหง หากกลับดึงมือกลับมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดเจ้า…เจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้ เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา”

เส่าหงหน้าแดง หลังสะทกสะเทิ้นอยู่ครู่หนึ่งนางก็ตอบเสียงแผ่ว “ผู้น้อย…ผู้น้อยอยู่ในห้องสุขา…”

ยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็เข้าใจได้แทบหมดสิ้น

ที่เฉินอิ๋งบอกว่า ‘จับตัวเส่าหงส่งไปที่ว่าการเซิ่งจิง’ แท้จริงแล้วก็คือเรื่องโกหก

ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจ กล้าหลอกลวงแม้กระทั่งเซี่ยนจู่ คุณหนูสามจวนกั๋วกงผู้นี้ใจกล้ายิ่งนัก

กัวย่วนยามนี้กลับกลายได้สติ นางอดนึกโมโหไม่ได้ สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปทางเฉินอิ๋ง ทว่าในใจกลับรู้สึกเบาโหวง

เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้ เหตุใดนางถึงรู้ว่าต้องใช้เส่าหงหลอกล่อตนเอง หรือว่านางรู้ถึงแผนนี้อยู่ตั้งแต่แรก?

แต่นางรู้ได้เช่นไร หรือว่านางรู้จักศาสตร์ทำนายชะตา?

ขณะที่กัวย่วนกำลังคิดอ่านสับสน องค์หญิงใหญ่กับพวกสวี่ซื่อก็เข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว

ความจริงหากไม่ได้รับข้อความที่กู้หนานให้คนส่งไป พวกนางไหนเลยจะยอมเดินทางกลับมาก่อนเช่นนี้ ยามนี้ครั้นรับรู้เรื่องราวโดยละเอียด สวี่ซื่อกับองค์หญิงใหญ่ก็ต่างระบายรอยยิ้มเต็มใบหน้า มองไม่ออกว่ามีอันใดผิดปกติ

“นิสัยของเซียงซานเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดีกว่าใคร นางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใจร้อนวู่วาม” องค์หญิงใหญ่รับสั่งกับสวี่ซื่อก่อน รอยแย้มพระสรวลอบอุ่นประดับอยู่บนสีพระพักตร์ “ไม่รู้นางไปเอานิสัยเช่นนี้มาจากผู้ใด ข้าเองก็ปวดหัวกับนางยิ่งนัก โชคดีที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้น ข้าล่ะโล่งอกจริงๆ”

“รับสั่งอะไรเช่นนั้นเพคะ” รอยยิ้มของสวี่ซื่อเองก็เป็นไปตามธรรมชาติไม่มีแข็งขืน อบอุ่นอ่อนโยนแฝงด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “เด็กๆ เติบโตมาพร้อมกับการทะเลาะเบาะแว้ง กระทบกระทั่งกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ประเดี๋ยวโกรธประเดี๋ยวคืนดีกัน อย่างไรก็ล้วนเป็นสหาย ผู้อาวุโสอย่างพวกเราเห็นแล้วก็มีแต่นึกยินดี”

ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ทรงพระสรวล หวนนึกถึงเรื่องราวสนุกสนานในวัยเด็ก สวี่ซื่อเองก็ร่วมวงครึกครื้นด้วย ทั้งสองพูดคุยถูกคอ เพียงไม่กี่ประโยคเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ถูกระบุให้เป็นเรื่อง ‘เหลวไหลของพวกเด็กๆ’ องค์หญิงใหญ่รับสั่งให้กัวย่วนยอมรับผิดต่อหน้าสวี่ซื่อ สวี่ซื่อยืนกรานปฏิเสธ แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่ยอม จึงได้แต่เลือกอีกวิธีหนึ่ง รับสั่งให้กัวย่วนเดินไปจับมือเฉินจิ่นไว้ ก่อนจะเอ่ยปากสั่งผู้เป็นบุตรีอย่างเข้มงวดว่า “วันหน้าห้ามไม่ให้เจ้าใจร้อนวู่วามเช่นนี้อีก”

เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข บรรยากาศภายในเรือนรับรองก็กลับกลายเป็นสนิทสนมกลมเกลียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะยินดี พยานที่ชื่อเถาจือที่เมื่อครู่ยังปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกคนถูกลืมเลือนไปแทบสิ้น ผู้คนส่วนใหญ่ถึงกับไม่รู้ว่านางหายตัวไปเมื่อใด

พอเห็นเรือนรับรองอบอวลไปด้วยบรรยากาศสงบสุข มุมปากของเฉินอิ๋งที่หยุดค้างอยู่ยังองศาแปลกประหลาดก็กลับสู่สภาพเดิม

นางจัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ ลุกขึ้นยืน เดินขึ้นหน้าแสดงคารวะด้วยท่วงท่าถูกต้องตามขนบธรรมเนียม “องค์หญิงใหญ่เพคะ ท่านป้าใหญ่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องต้องการพูด”

เสียงหัวเราะค่อยๆ หยุดลง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่บนตัวนาง

คุณหนูสามผู้นี้วันนี้สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้งล้วนไม่มีผู้ใดแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายามนี้ทุกคนกลับจ้องมองดูนางอย่างเปิดเผย

“เจ้ามีเรื่องต้องการพูด?” สวี่ซื่อพูดเนิบๆ นางวางถ้วยชาลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปลายนิ้ว

องค์หญิงใหญ่ที่อยู่อีกด้านไม่รับสั่งอันใด ทว่าคิ้วคู่สวยนั้นกลับกดต่ำ

ทันใดนั้นบรรยากาศยากจะอธิบายก็แพร่สะพัดออกมาจากตัวนาง นั่นคือพลังของผู้ที่ครอบครองอำนาจมาเป็นเวลาช้านาน เป็นอำนาจขององค์หญิงใหญ่ของแผ่นดิน เย็นเยียบ น่าเกรงขาม เสมือนหนึ่งบรรพตสูงใหญ่ที่ไม่อาจล่วงละเมิด

เรือนรับรองกลับกลายเงียบสงัดอีกครา

แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือเฉินอิ๋งกลับคล้ายไม่สังเกตเห็นสีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ ท่าทางของนางยังคงคล้ายสายน้ำใสกระจ่างสะอาดบริสุทธิ์

นางย่างก้าวมั่นคงเดินไปหยุดอยู่หน้าโถงใหญ่ ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปาก หากกลับเริ่มหยิบเอาของออกมาจากแขนเสื้อทีละชิ้นๆ จดหมายให้ปากคำสองสามฉบับ แผนที่หนึ่งแผ่น เงินก้อนที่มีกระดาษหุ้มห่อไว้สองก้อน

ตอนมองเห็นเงินก้อน กัวย่วนก็ส่งเสียงประชดเต็มแรงออกมาคราหนึ่ง

“เจ้าเอาของพวกนี้ออกมาด้วยเหตุใด” น้ำเสียงของสวี่ซื่อเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย คล้ายรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง นางกระวนกระวายจนขยับกำไลหยกมันแพะบนข้อมืออย่างไม่สบายอกสบายใจ

เฉินอิ๋งเงยหน้ามองดูนางคราหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางองค์หญิงใหญ่ มุมปากยกอยู่ในองศาพิลึกพิลั่น “นี่คือหลักฐานคำให้การที่รวบรวมได้ในวันนี้ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่แล้ว”

เรือนรับรองเงียบงันชวนอึดอัด แม้แต่เสียงเข็มหล่นก็ยังได้ยิน

“เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า” กัวย่วนอดไม่ได้ที่จะพูดต่อว่าอีกฝ่าย

เฉินจิ่นที่อยู่อีกด้านก็เริ่มนั่งไม่ติด นางแอบชำเลืองมององค์หญิงใหญ่ ขณะกำลังจะเอ่ยปากเตือนเฉินอิ๋ง จู่ๆ แขนเสื้อก็ถูกใครบางคนดึงไว้

นางหันหน้ามองไปกลับพบว่าคนที่ดึงนางไว้เป็นสวี่ซื่อผู้เป็นมารดา สวี่ซื่อส่ายหน้าน้อยๆ ปรายตามองไปทางองค์หญิงใหญ่ปราดหนึ่ง

เฉินจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ปิดปากเงียบ

เฉินอิ๋งเดินขึ้นหน้าต่ออีกสองสามก้าว สองมือวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะกลมหน้าสวี่ซื่อ หางตากลับเหลือบเห็นขาโต๊ะสลักดอกท้อใกล้แย้มบานกิ่งหนึ่ง

นางรู้สึกประหลาดใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เหตุใดตนเองยังสนใจเหลือบแลสิ่งต่างๆ เหล่านี้อีก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: