บทที่ 660 ดูแคลนผู้อาวุโส
ครั้นเฉินหานเห็นเช่นนั้นก็โมโหจนแทบตีลังกาหงายหลัง ติดก็ตรงที่เซี่ยเหยียนการตอบสนองคล่องแคล่วว่องไวรวดเร็ว ไม่เปิดช่องให้นางได้เอ่ยปากอันใด
ยามนี้เซี่ยเหยียนยกแขนเสื้อขึ้นแสร้งทำเป็นหลั่งน้ำตาพร้อมย่อกายแสดงคารวะ เอ่ยวาจาเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้า…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เพราะข้าไม่ระวังเลยเผลอพลั้งปากพูดออกมา ขอพวกท่านทั้งสองอย่า…อย่าได้โกรธข้าเลย อาเหยียนขออภัย”
เอวเล็กบางค้อมอยู่น้อยๆ น้ำเสียงอ่อนแอแผ่วเบา ผนวกกับท่าทางคล้ายร่ำไห้หลั่งน้ำตาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ชวนให้เวทนา โชคดีที่ยามนี้ไม่มีบุรุษใดยืนปะปนอยู่ด้วย หาไม่แล้วเกรงว่าต้องมีคนกระโจนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางแน่
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นสายตาของเหล่าสตรีทั้งหลายก็ต่างจับจ้องมาที่เฉินอิ๋งกับเฉินหาน บ้างก็เฝ้าติดตาม บ้างก็เคลือบแคลงสงสัย บ้างก็เย้ยหยัน สารพัดสารพัน
เฉินหานถูกอีกฝ่ายทำเอาแทบกระอักเลือด นางกวาดตามอง พบว่าสายตาทุกคู่ยามนี้ล้วนกำลังจับจ้องมองมา ถึงจะไม่มีผู้ใดเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ แต่สายตาพวกนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับกำลังลงทัณฑ์เฉือนเนื้อเราะกระดูกพวกนางอยู่
ที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคนในเวลานี้คือเฉินอิ๋งกับเฉินหานกำลังร่วมมือกันรังแกเซี่ยเหยียน
แน่นอน ไม่มีใครโง่งมพอที่จะตัดสินคนเพียงเพราะคำพูดสองสามประโยคของเซี่ยเหยียน แต่ไม่ว่าเช่นไรเฉินหานผู้เป็นเจ้าบ้านก็ย่อมต้องตกเป็นฝ่าย ‘ขาดทุน’ ก่อน
สีหน้าของเฉินหานกลับกลายเป็นน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นทุกที จนแทบเรียกได้ว่า ‘โหดร้ายดุดัน’
“ไปกันเถอะ” จู่ๆ เฉินอิ๋งก็ฉุดดึงนาง
เดิมเฉินหานตั้งใจจะเอาเรื่องกับอีกฝ่าย แต่เพราะเรี่ยวแรงของเฉินอิ๋งมากมายจนน่าตกใจ นางจึงไม่มีโอกาสได้ขัดขืน เฉินอิ๋งดึงนางเดินอ้อมผ่านเซี่ยเหยียนที่ยังคงย่อเข่าแสดงคารวะ แล้วเลี้ยวกลับขึ้นไปตามทางที่มา
“คุณหนูรองเซี่ย เจ้าเอ่ยวาจาไม่รู้จักสำรวม ลบหลู่ผู้อาวุโสกว่า พวกเราหายอมรับคำขออภัยของเจ้าไม่” เส้นเสียงไม่เร็วไม่ช้าใสกระจ่างดุจน้ำลอยละล่องตามลม เงาร่างของดรุณีน้อยทั้งสองหายลึกเข้าไปในระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป
ถึงเฉินอิ๋งจะกล่าวตำหนิเซี่ยเหยียนว่า ‘ลบหลู่ผู้อาวุโส’ ออกมาตรงๆ จนทุกคนพอเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่การปุบปับเดินออกไปเช่นนี้มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไร ถึงกับทิ้งเซี่ยเหยียนให้ยังคงย่อกายอยู่ที่นั่น แล้วจะให้พวกนางทำเช่นไรต่อกัน
สกุลเซี่ยถึงอย่างไรก็นับว่ามีหน้ามีตาอยู่ หากละเลยไม่สนใจนาง เช่นนั้นย่อมไม่ดีแน่ แต่มีคำว่า ‘แขกตามแต่เจ้าบ้านจะจัดการ’ ในเมื่อเจ้าบ้านเดือดดาลเยี่ยงนี้ แขกอย่างพวกนางควรหรือที่จะทำตัวขัดใจเจ้าของบ้าน
หากรู้เช่นนี้พวกนางคงไม่มาชมบุปผาแล้ว อันที่จริงพวกนางควรรู้อยู่แต่แรกแล้วว่างานเลี้ยงนี้มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง
คนจำนวนไม่น้อยต่างนึกทอดถอนใจเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ…” ยามนี้เองเสียงหัวเราะที่ไม่อาจเรียกได้ว่าหัวเราะก็ดังขึ้นติดๆ กัน ทำเอานกกระจอกที่อยู่นอกระเบียงตกใจกระพือปีกบินหนีกันจ้าละหวั่น
สตรีแต่ละนางต่างพากันสะดุ้ง ครั้นมองไปก็พบว่าคนที่หัวเราะคือเฉินชิง
ใบหน้าแย้มยิ้มนั้นน่าเกลียดน่าชังเสียยิ่งกว่าร้องไห้ เฉินชิงหัวเราะพลางกล่าว “ฮ่าๆ พี่สามคงต้องปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วแน่ๆ ถึงได้…”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สะดุ้ง คำพูดนี้ไหนเลยจะพูดเล่นได้ นางรีบเปลี่ยนมาปั้นหน้าเป็นทุกข์ สอดคล้องกับใจนางในยามนี้ นางพูดต่อว่า “อืม…พี่สามคงเพราะปวดหัวหนัก จึงไม่อาจอยู่ต้อนรับทุกท่าน ได้แต่ต้องกลับไปพักผ่อนก่อน คุณหนูใหญ่เฉินแต่ไหนแต่ไรก็สนิทสนมกับนางยิ่ง จึงย่อมต้องไปเป็นเพื่อนนาง เอ่อ…ทั้งหมดก็เช่นนี้”
นางพยักหน้าหนักแน่น คล้ายต้องการให้ผู้อื่นเชื่อมั่นหรือบางทีอาจต้องการให้ตนเองเชื่อเช่นนั้น ก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มทักทายคนอื่นๆ “ไปนั่งเล่นที่ศาลากันเถอะ เดินมานานเพียงนี้เชื่อว่าทุกท่านคงเหนื่อยแล้ว พักสักครู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ยืนอยู่ที่นี่หาใช่ทางออกไม่ หากมีที่ให้ไป บรรยากาศกระอักกระอ่วนย่อมคลี่คลายได้เอง
ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่มีผู้ใดไม่เข้าใจ
“ใช่…ใช่ๆ ข้าเองก็เดินจนสองขาระบมไปหมดแล้ว ได้พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” ดรุณีน้อยที่ค่อนข้างสนิทกับเฉินชิงนางหนึ่งยิ้มกล่าว ก่อนจะเดินขึ้นหน้าคว้าแขนของนางแกว่งไกวไปมา “คุณหนูสี่พยุงข้าด้วย ข้าเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปาก เสียงหัวเราะนุ่มนวลน่ารักก็ดังก้องไปทั่วระเบียงทางเดิน ในที่สุดบรรยากาศก็พลันเปลี่ยนแปลง
เฉินชิงยิ้มซาบซึ้งใจให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปทางคนอื่นๆ “ไปเถอะ พวกเราไปดื่มน้ำชากินของว่างกัน”
ทันทีที่พูดจบนางก็เดินนำทางอยู่ด้านหน้า อาศัยจังหวะหมุนตัวหันไปส่งสายตาให้เฉินหยวน
เซี่ยเหยียนไม่ว่าเช่นไรก็เป็นแขก ปล่อยนางไว้เช่นนี้หาได้เหมาะไม่ เฉินชิงต้องการให้เฉินหยวนช่วยรับมือ
ถึงเฉินหยวนจะก้มหน้าก้มตามาโดยตลอด ทว่าการเคลื่อนไหวของพี่สาวผู้เป็นบุตรีในฮูหยินใหญ่นั้นนางล้วนประจักษ์ชัด ยามนี้พอเห็นเช่นนั้นนางก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะก้มหน้าถอยไปที่มุมระเบียง ปล่อยให้คนอื่นเดินขึ้นหน้าไปก่อน
ทุกคนต่างพูดคุยยิ้มหัวแสร้งทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น จับกลุ่มกันกลุ่มละสามคนบ้างสองคนบ้าง มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาหลังคาฟางหญ้า เพียงไม่นานที่นั่นก็เหลือเพียงเซี่ยเหยียนกับเฉินหยวน
เฉินหยวนลังเลเดินขึ้นหน้าหมายพูดอะไรบางอย่าง แต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเหยียนกลับเหยียดกายหันหน้ายิ้มมองดูนาง “คุณหนูห้ากำลังรอข้ากระนั้นหรือ”
เฉินหยวนตะลึง รีบก้มหน้ากล่าว “ใช่แล้ว คุณหนูรองเซี่ยเองก็ไปร่วมดื่มน้ำชาเถิด พวกเราเดินกันอยู่นานแล้ว”
“ขอบคุณคุณหนูห้าที่ยังคิดถึงข้า” เซี่ยเหยียนสะบัดแขนเสื้อ ท่าทางงามสง่า นางกลอกตาพิจารณาดูเฉินหยวนพร้อมยิ้มชื่นชม “คุณหนูห้างดงามยิ่งนัก ไม่ว่าผู้ใดยืนอยู่ต่อหน้าท่านย่อมล้วนนึกละอาย”
เฉินหยวนอึดอัดใจขึ้นมาทันที ศีรษะของนางค้อมต่ำลงทุกขณะคล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจปรามมิให้คนจ้องมองใบหน้าของนาง
เซี่ยเหยียนหลุบตาพิจารณาดูอีกฝ่าย ดวงตาวับวาวเป็นประกาย หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง เดินขึ้นหน้าจูงมือนางไว้อย่างสนิทสนม “พวกเรารีบไปกันเถอะ หากชักช้าของกินอร่อยๆ พวกนั้นคงถูกพวกนางกินหมดก่อนแน่”
พูดจบนางก็ลากเฉินหยวนเดินขึ้นหน้า ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายยินดีหรือไม่
ท่ามกลางเสียงหัวร่อต่อกระซิกกลางศาลาหลังคาฟางหญ้าที่ดังอยู่ไม่หยุด พวกเฉินอิ๋งเดินเลี้ยวไปทางสวนดอกเหมยแทน
จะว่าไปก็น่าขัน จากเดิมที่ต้องการปลีกตัวไปนั่งเล่นหาความสงบที่ศาลาหลังคาฟางหญ้า นึกไม่ถึงว่าแผนการนี้ไม่เพียงไม่สำเร็จลุล่วง ตรงกันข้าม ยามนี้กลับต้องมาอยู่ที่สวนดอกเหมยที่ก่อนหน้านี้พวกนางพยายามหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลังแทน
ในเวลานี้ดอกเหมยทั้งสวนต่างผลิบานส่งกลิ่นหอมจรุง นกกางเขนสองสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งก้านบางตา ส่งเสียงจิ๊บๆ อยู่เป็นครั้งคราว เปลี่ยนบรรยากาศเงียบเหงาให้กลับกลายเป็นมีชีวิตชีวา
พวกนางนั่งลงบนตั่งหิน ความรู้สึกอัดอั้นของเฉินหานในที่สุดก็ได้รับการระบาย
“ไม่ผิดจากที่คิดไว้แม้แต่น้อย ยายแซ่เซี่ยนั่นเป็นคนชั้นต่ำจริงๆ ด้วย ต่ำช้ายิ่งนัก” นางถ่มน้ำลายลงพื้นเต็มแรง เฉินหานโมโหจนอกกระเพื่อม “ยามนั้นพวกนางสองพี่น้องเห็นสตรีในจวนกั๋วกงของพวกเราเป็นดั่งฝูงลิง คิดจะปั่นหัวเช่นไรก็เช่นนั้น ยามนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ถึงกับกล้าเหยียบจมูกขึ้นหน้า เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะท่านลากข้าออกมา ต้องได้เห็นแน่ๆ ว่าข้าจะต่อว่านางเช่นไร”
เฉินอิ๋งรู้ดีว่าเฉินหานกำลังโมโหเดือดดาล จึงเอ่ยปากเตือนสติอีกฝ่าย “ด่าไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ มิสู้ใช้ท่าทีชัดแจ้งวาจากระชับสั้นอธิบายความ”
“แต่ข้าโมโห!” เฉินหานสองตาเบิกกว้าง หัวคิ้วแทบจะตั้งตรง “ข้ารู้ว่าด่านางไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากไม่เอ่ยปากด่าสักสองสามประโยคข้ามีหวังได้อึดอัดใจตายแน่”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สีหน้าหม่นหมอง ความรู้สึกเดือดดาลจางหายไปอย่างรวดเร็ว สองไหล่ลู่ตกเอ่ยปากอย่างไร้เรี่ยวแรงกำลังว่า “ช่างเถอะๆ ข้ารู้ หากข้าด่านางออกไปเพียงครึ่งประโยค คนที่จะเสียเปรียบย่อมไม่พ้นเป็นข้า ท่านลากข้าออกมา ทิ้งคำพูดดุดันไว้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นการสั่งสอนนางที่แท้จริง”
จู่ๆ นางก็ยกมือทุบอกเต็มแรงคราหนึ่ง ความรู้สึกเป็นทุกข์คล้ายเก็บกดเนิ่นนานที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นยามนี้ถึงขีดสุดแล้ว
“ทว่าท่านรู้หรือไม่ ก็เพราะเข้าใจเรื่องพวกนี้ข้าถึงอัดอั้นตันใจยิ่ง” นางกุมสาบเสื้อแน่น ใบหน้าขาวสล้างกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ ปากหอบหายใจรุนแรงคล้ายพร้อมจะหยุดหายใจได้ในเสี้ยวอึดใจนี้
บทที่ 661 ลึกเข้าไปในดงดอกเหมย
เฉินอิ๋งมองดูเฉินหานด้วยสายตาวิตกกังวล
สีหน้าท่าทางของนางในยามนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เหมือนพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
“คุณหนูสาม เจ้าหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อน เรื่องอื่นอันใดยังไม่ต้องคิด” เฉินอิ๋งไม่เอ่ยปากถามถึงมูลเหตุอันใดทั้งสิ้น นางเลือกที่จะเอ่ยปากปลอบอีกฝ่ายก่อน
ไม่ว่าเฉินหานจะพบเจอกับปัญหาอันใด สงบจิตสงบใจก่อนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
น้ำเสียงสงบนิ่งผ่อนคลายแผ่กระจายออกไปไม่ต่างอะไรกับระลอกคลื่น อ้อยอิ่งอยู่ที่ข้างหูชวนให้จิตใจสุขสงบ
นางทำตามคำพูดของเฉินอิ๋งอย่างไม่รู้ตัว หายใจเข้าหายใจออก…หายใจเข้าหายใจออก…
ในที่สุดความรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มเจียนคลั่งบนใบหน้าของเฉินหานก็จางหายไปทีละน้อย ลมหายใจกลับกลายเป็นสงบนิ่งมั่นคง สีหน้าท่าทางเริ่มกลับมาเป็นปกติ
หลังจากผ่านไปอีกสองสามอึดใจ นางก็คล้ายสงบสติอารมณ์ได้โดยสมบูรณ์ เหลือแต่ความรู้สึกเป็นทุกข์เล็กๆ ในแววตาเท่านั้น ที่เหลือล้วนไม่มีอันใดผิดปกติ
จนถึงตอนนี้เฉินอิ๋งถึงได้พูดออกมาเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตกลงเจ้าเป็นอะไร มีเรื่องเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
เฉินหานส่ายหน้า สองตาหลับลงเหมือนเก่า ไม่มองเฉินอิ๋ง
พอเห็นนางเหมือนไม่อยากพูดเช่นนี้ เฉินอิ๋งก็รู้สึกยุ่งยากใจ
เอาแต่อึดอัดกลัดกลุ้มเช่นนี้ย่อมเกิดเรื่องขึ้นได้ไม่ยาก ท่าทีของเฉินหานในยามนี้เกิดขึ้นเพราะเก็บงำความรู้สึกไว้มากเกินไป
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นอีกคราว “หากมีเรื่องราวยุ่งยากเกินกว่าจะคลี่คลายได้อันใดก็บอกกับข้าเถอะ ข้าจะได้ช่วยคิดหาหนทางแก้ไข”
เส้นเสียงอ่อนละมุนไม่ต่างอันใดกับระลอกคลื่นอบอุ่นวับวาวใต้แสงตะวัน โอบล้อมใจคน
ในที่สุดเฉินหานก็ตอบสนอง นางลืมตาขึ้นช้าๆ สองตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาแลดูคล้ายผ่านโลกมาโชกโชนไม่สมกับอายุขัย
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่…แค่อึดอัดเกินทนก็เท่านั้น” นางคล้ายใจลอย สองตามองเหม่อไปยังต้นเหมยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มือเกาะกุมอยู่บนสาบเสื้อ น้ำเสียงเคร่งเครียดอยู่น้อยๆ “ข้าก็แค่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่มีความหมายเอาเสียเลย”
พูดจบนางก็ถอนหายใจอย่างเป็นทุกข์
เฉินอิ๋งมองดูอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ท่าทีเลอะเลือนเช่นนี้ของเฉินหาน นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในความทรงจำของนาง เฉินหานเป็นคนแข็งกร้าว ปากคอเราะราย วาจาคมกริบ ตรรกะพิลึกพิลั่น แต่โดยรวมแล้วอีกฝ่ายก็แค่สตรีสูงศักดิ์ที่ชอบวางตัวสูงส่งหยิ่งยโสเฉกผู้รากมากดีทั่วไปนางหนึ่งเท่านั้น
ทว่ายามนี้นางกลับนั่งทรุด หลังค่อม สีหน้าท่าทางอ่อนล้า ทั้งร่างห่อหุ้มไว้ด้วยท่วงทีหงอยเหงาเศร้าซึม แลดูห่อเหี่ยวซึมเซา คล้ายเฒ่าชราลงหลายส่วน
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
แล้วเป็นเพราะเหตุใด
เฉินอิ๋งอ้าปาก หมายจะเอ่ยปากถามอีกครา แต่ครั้นคิดดูอีกที ในที่สุดนางก็ปิดปากไม่พูดอันใด
ถึงยามนี้เฉินหานคล้ายกลับมาสงบนิ่งแล้ว แต่สภาพจิตใจของนางกลับมิได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะแรงกดดันเล็กน้อยอันใดล้วนทำลายความสมดุลน่าอัศจรรย์นี้ลงได้ง่ายดาย
อันที่จริงอารมณ์ความรู้สึกพังทลายใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ก็เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า ‘ไม่รื้อทำลายไม่อาจก่อร่างขึ้นใหม่’ คนที่มีจิตใจสติปัญญาแข็งแกร่งบางคนสามารถกอบกู้สภาพจิตใจที่พังทลายลงไปได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับกลายเป็นแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
แต่คนจำพวกนั้นมีอยู่ก็แค่เพียงน้อยเท่านั้น ผู้คนส่วนมากหลังจิตใจพังทลาย พวกเขาก็มักจะหดหู่ตกต่ำอยู่เป็นนาน บ้างก็ชั่วชีวิตมิอาจแข็งแรงได้ดั่งเดิม
เฉินอิ๋งไม่กล้าเสี่ยง ดังนั้นจึงได้แต่เลือกวิธีการที่นางมั่นใจที่สุด
หลังตั้งสมาธิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปทางจือสือ เอ่ยปากสั่งแผ่วเบาว่า “ข้าจำได้ว่าที่มุมประตูมีหญิงรับใช้สูงวัยเฝ้าเตาน้ำชาอยู่ เจ้าไปรินชามาสองถ้วย ทางที่ดีเอาที่กำลังเดือดมา ที่นี่อากาศค่อนข้างหนาว”
บนตั่งหินแม้จะมีเบาะผ้าฝ้ายหนาๆ รองอยู่ แต่ถึงกระนั้นลมก็พัดโชยมาจากทุกด้าน อีกทั้งพวกนางยังอยู่ลึกเข้ามาในป่าต้นเหมย ไม่ว่าแดดจะดีสักเพียงใด นั่งนานๆ ก็ยังคงรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ดี หนำซ้ำเฉินหานเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปในระยะเวลาอันสั้น
จือสือตอบรับก่อนจะเดินจากไป เฉินอิ๋งเอ่ยปากสั่งสาวใช้ตัวน้อยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้เอาเสื้อคลุมขนสัตว์หนาๆ ทับลงบนเสื้อคลุมของเฉินหานเพิ่มอีกตัวพร้อมปูเบาะผ้าฝ้ายลงบนโต๊ะหิน
หลังจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เฉินหานก็วางมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ร่างกายหมอบเอน สองตาทอดมองไกลออกไปคล้ายชื่นชมบุปผาคล้ายมองดูท้องนภา สองตาว่างเปล่าเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด ทำเพียงนั่งเป็นเพื่อนนางเงียบๆ
เพียงไม่นานจือสือก็กลับมา หญิงรับใช้สูงวัยต้มชานางนั้นหิ้วกาน้ำชาเข้ามา รินน้ำชาเดือดๆ ให้พวกเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากสรรเสริญเยินยอพวกนางอยู่สองสามประโยค เฉินอิ๋งตกรางวัลเป็นเงินให้นางไปก้อนหนึ่ง นางเดินจากไปด้วยความลิงโลดยินดี
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหลือเพียงความเงียบสงัด
ในสวนดอกเหมยบานสะพรั่ง แต่ละช่อแต่ละกลุ่มล้วนเบียดเสียดกันอยู่บนก้านกิ่ง ลมเหนือพัดโชย ดอกหล่นร่วงเกลื่อนพื้น ครั้นต้องลมแดดนานวันเข้าพวกมันก็เหี่ยวเฉาโปร่งใส วันเวลาผ่านผันชะล้างความชุ่มชื้นบนกลีบดอกไปจนสิ้น ไม่ต่างอันใดกับเศษกระดาษเก่าๆ แห้งเหลืองเงียบเหงา
เฉินอิ๋งกวาดตามองไปรอบๆ จู่ๆ ลมสายหนึ่งก็พัดโหม ดอกเหมยสองสามดอกหล่นร่วงระอยู่ข้างเท้า
นางค้อมเอวหยิบดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาดู กลิ่นหอมที่ยังคงหลงเหลือลอยละล่องอ้อยอิ่งอยู่บริเวณปลายจมูก
“แย่แล้ว! คุณหนูสาม แย่แล้ว!” เสียงตะโกนร้องสับสนดังลอยมา ทำลายความเงียบงันหมดสิ้น
เฉินอิ๋งสะดุ้ง นางพลิกฝ่ามือ ดอกเหมยหล่นร่วงลงกับพื้นอีกครา
เฉินหานเองก็ถูกเสียงดังกล่าวปลุกตื่นจากภวังค์ นางนั่งเหยียดตัวตรง ใบหน้ายังคงงุนงงอยู่หลายส่วน นางถามเฉินอิ๋ง “เกิดอะไรขึ้น”
เฉินอิ๋งเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใด ขณะกำลังจะสั่งคนไปถาม จู่ๆ ที่ด้านนอกก็มีคนวิ่งเข้ามา เสื้อแขนกุดสีเขียวกระโปรงผ้าฝ้ายสีครามนั้นเป็นเครื่องแบบของบ่าวไพร่จวนโหว ใบหน้าหมดจดของคนที่มาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก
เฉินอิ๋งจำอีกฝ่ายได้ นางคือสาวใช้ข้างกายของเฉินชิง ชิวสุ่ย
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ น้องสี่เป็นอะไรไปกระนั้นหรือ” พอเห็นว่าเป็นนาง เฉินหานก็รีบลุกขึ้นถาม สีหน้างุนงงกลับกลายเป็นร้อนรน
ชิวสุ่ยรีบแสดงคารวะ อ้าปากหมายพูด แต่พอชำเลืองเห็นเฉินอิ๋งนั่งอยู่ข้างๆ นางก็อึกอักคล้ายลำบากใจ ได้แต่ชะงักค้างอยู่เช่นนั้น
พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันทีว่าจวนโหวเกิดเรื่องขึ้น อีกทั้งยังไม่สะดวกจะบอกกล่าวต่อคนนอก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นกล่าว “ข้าออกมาสักพักแล้ว ขอตัวกลับไปดูท่านแม่ก่อน พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันเถอะ”
“อย่าเพิ่งไป” เฉินหานขวางนางไว้พลางหันมองไปทางชิวสุ่ยอีกคราว สีหน้าท่าทางเย็นชา “ที่นี่ไม่มีคนนอก มีเรื่องอะไรก็พูดออกมา หาควรลับๆ ล่อๆ ไม่”
ชิวสุ่ยที่ลนลานอยู่แต่เดิม พอถูกตวาดเข้านางก็เริ่มกลับมาได้สติ ครั้นคิดดูดีๆ นางก็พบว่าตนเองเสียมารยาทแล้วจึงรีบค้อมกายขออภัย “คุณหนูใหญ่เฉินให้อภัยด้วย ผู้น้อยผิดไปแล้ว…”
“เอาล่ะๆ หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เฉินหานหมดความอดทน นางพูดตัดบทสีหน้าเย็นชามากขึ้นทุกขณะ
ชิวสุ่ยรีบเก็บคำ นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว กระซิบบอกว่า “เรียนคุณหนูสาม เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ลานด้านนอกคุณหนูห้าตกน้ำเจ้าค่ะ”
เฉินหานกับเฉินอิ๋งต่างพากันตกใจ
เฉินหยวนตกน้ำ?
อีกทั้งยังเป็นที่ลานด้านนอก?
“ลานด้านนอก?” เสียงของเฉินหานยกสูง เนื้อตัวแข็งทื่อ สีหน้าย่ำแย่ยิ่งยวด
ชิวสุ่ยกระซิบ “เรียนคุณหนูสาม เหตุเกิดที่ลานด้านนอก ผู้น้อยเห็นกับตา คุณหนูของพวกเราให้ผู้น้อยมารายงานต่อคุณหนูสาม”
เฉินหานสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านนอกล้วนมีแต่แขกบุรุษ เฉินหยวนไปตกน้ำอยู่ที่นั่น หาก…
เฉินหานไม่กล้าคิดต่อ นางรีบชักเท้าเดินออกไปทันที
บทที่ 662 ท่านมีเงินหรือไม่
พวกนางรีบร้อนเดินตรงไปที่หน้าประตูสวน เฉินหานเดินพลางเอ่ยถาม “น้องสี่ส่งข่าวให้ท่านแม่กับท่านป้าใหญ่ทราบแล้วใช่หรือไม่ แล้วน้องห้าตอนนี้อยู่ที่ใด ได้รับบาดเจ็บอันใดหรือเปล่า”
“เรียนคุณหนูสาม คุณหนูของพวกเราพอได้ยินสาวใช้ตัวน้อยบอกว่าคุณหนูห้าตกน้ำก็รีบให้คนนำความไปบอกกับฮูหยินทั้งหลายทันที พร้อมพาคนไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เพียงแต่ตอนคุณหนูของพวกเราไปถึง คุณหนูห้าก็ถูกคนช่วยขึ้นมาก่อนแล้ว คุณหนูของพวกผู้น้อยตัดสินใจให้พาคุณหนูห้าส่งกลับห้อง คุณหนูห้าไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอันใด แค่ตกใจเสียขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” ชิวสุ่ยเดินตามเฉินหานมาติดๆ พลางกล่าวรายงาน
เฉินหานใบหน้าเขียวคล้ำ โดยเฉพาะตอนได้ยินคำพูดที่ว่า ‘คุณหนูห้าถูกคนช่วยขึ้นมาก่อนแล้ว’ สีหน้าขยะแขยงจงเกลียดจงชังปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วนางอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดเป็นคนช่วยนางไว้” หลังจากหยุดไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเฉินหานก็ถามออกมา น้ำเสียงเย็นเยียบกว่าเมื่อครู่
ชิวสุ่ยก้มหน้า ตอบอย่างคลุมเครือว่า “แขกบุรุษที่ลานด้านนอก…สั่งคนให้ลงไปช่วยเจ้าค่ะ”
แขกบุรุษ…
หูของเฉินอิ๋งได้ยินก็แต่สองคำนั้น
เฉินหานหันกลับมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าชวนหนาวสะท้าน ร่างทั้งร่างคล้ายถูกหุ้มห่อไว้ด้วยหิมะน้ำแข็ง ไร้สิ้นความอบอุ่นใดๆ “เหตุใดน้องห้าถึงไปที่ลานด้านนอกได้ คนที่ปกติทำตัวไม่ต่างจากนกกระทา วันทั้งวันรู้จักก็แต่หดหัวเช่นนั้นเอาความกล้าจากที่ใดเผ่นไปลานด้านนอก”
พอได้ยินเช่นนี้สีหน้าโกรธขึ้งชิงชังเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิวสุ่ย นางกัดฟันกล่าว “คุณหนูห้าบอกว่าสาวใช้ข้างกายของคุณหนูรองเซี่ยมาเชิญนางไป ว่ากันว่าสาวใช้นางนั้นบอกกับคุณหนูห้าว่าคุณหนูรองเซี่ยกำลังดูการแสดงรอนางอยู่ที่โถงใหญ่ คุณหนูห้าเพราะไม่กล้าปฏิเสธจึงตามบ่าวนางนั้นไป ใครจะไปรู้ว่านางกลับพาคุณหนูเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ไปถึงลานด้านนอก พอได้ยินเสียงบุรุษพูดคุยกัน คุณหนูห้าก็ลนลานตกใจ พลัดตกลงไปในสระ”
เฉินหานส่งเสียง “หึๆ” หัวเราะออกมาสองครา ทว่าใบหน้ากลับร้างไร้ซึ่งรอยยิ้ม น้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกเป็นที่สุด “ไม่ต้องบอกก็รู้ ยายคุณหนูรองเซี่ยนั่นไหนเลยจะยอมรับ”
ชิวสุ่ยแม้จะนึกโมโหแต่ก็ไม่อาจแสดงออกอันใด ทำได้เพียงบอก “คุณหนูของพวกเราถามนาง แต่คุณหนูรองเซี่ยกลับร้องไห้บอกว่าคุณหนูของพวกเราปรักปรำนาง อีกทั้งยังเรียกสาวใช้ข้างกายนางนั้นมาถาม คุณหนูของพวกเรามิได้พูดอันใดกับนางมากมาย ทำเพียงลากคนไปพบฮูหยินใหญ่”
เฉินหานถอนหายใจด้วยความขุ่นข้องออกมาอย่างหนักหน่วง
เฉินชิงเป็นก็แค่ดรุณีน้อยนางหนึ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับชื่อเสียงของอิสตรีพวกนี้วาจาใดจากนางย่อมไร้น้ำหนัก มอบให้สวี่ซื่อจัดการนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้เฉินชิงจัดการได้ดียิ่งนัก ยามนี้เด็กอย่างพวกนางย่อมไม่อาจสอดปากพูดแทรกอันใดได้
ทว่าเฉินหานกลับรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง
นางหลับตาพยายามควบคุมความรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างสุดกำลังพลางเอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “บุรุษที่ช่วยคุณหนูห้าไว้คือผู้ใด”
เมื่อครู่ชิวสุ่ยพูดคลุมเครือยิ่ง เฉินหานหมายถามให้กระจ่าง
พอได้ยินเช่นนั้นชิวสุ่ยก็กัดริมฝีปากไม่พูดตอบ ใบหน้าฉายแววลังเล
“รีบพูดออกมา เลิกอิดๆ ออดๆ ได้แล้ว!” เฉินหานร้อนรน คว้าคอเสื้อของชิวสุ่ย สีหน้าดุดันยิ่ง “เป็นพวกกเฬวรากต่ำชั้นตระกูลใดกล้าหมายตาคุณหนูจวนโหวของพวกเรา หรือเจ้าคิดจะช่วยคนพวกนั้นปิดบัง”
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็แทบจะรู้ได้ชัดแจ้ง เซี่ยเหยียนวางแผนชั่วช้าเช่นนี้ นางต้องร่วมหัวสมคบคิดกับลูกผู้ดีมีเงินชั้นต่ำที่ใดสักตระกูลแน่ เริ่มด้วยการลงมือทำลายชื่อเสียงของเฉินหยวนก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้งานแต่งไม่คุ้มค่าเกี่ยวดองเป็นญาติกับตระกูลโหวเรืองอำนาจของพวกนาง
เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวงไม่ใช่น้อย คุณหนูที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบสุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนแบกรับความอยุติธรรม
ชิวสุ่ยรีบส่ายหน้า แต่เพราะถูกกระชากคอเสื้อไว้เสียงพูดจึงขาดๆ หายๆ “มิใช่…คุณหนูสาม…มิใช่…คุณหนูปล่อยผู้น้อยก่อน ผู้น้อยจะเล่าให้คุณหนูฟังเดี๋ยวนี้”
เฉินหานคลายมือ สีหน้ายังคงชวนประหวั่น
ชิวสุ่ยมองซ้ายมองขวา ไม่กล้าเอ่ยปากเสียงดัง นางขยับเข้าไปกระซิบอยู่ที่ข้างหูเฉินหาน กล่าววาจาสองสามประโยคก่อนจะถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
เพียงคำพูดไม่กี่คำ เฉินหานก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมา
นางคล้ายตะลึงลาน กว่าจะมองไปทางชิวสุ่ยด้วยสายตาไม่อยากนึกเชื่อก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ “เจ้าดูไม่ผิด?”
“ผู้น้อยเห็นกับตา” ชิวสุ่ยจัดคอเสื้อ น้ำเสียงแผ่วเบา “คุณหนูของพวกผู้น้อยเองก็หมายจะไปเอ่ยปากขอบคุณ ทว่า…คนผู้นั้นไม่ยอม บอกให้รีบพาคุณหนูห้ากลับไป”
เฉินหานยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาเอาแน่เอานอนไม่ได้
ยามนี้พวกนางเดินพ้นออกจากสวนเหมยแล้ว กำลังเดินอยู่บนเส้นทางหินที่เชื่อมต่อไปยังเรือนรับรอง ทางด้านซ้ายลำธารไหลเอื่อย ต้นไม้รูปร่างแปลกตา สะพานไผ่ภูเขาหินจำลอง ทางขวาคือกำแพงขาว ด้านบนมีต้นไม้เลื้อยลาม ยามนี้แม้จะมิได้ผลิดอก แต่ก็ใบเขียวชอุ่มทับซ้อน ส่งเสียงซื่อซ่าทุกครั้งยามสายลมพัดผ่าน
น้ำเสียงจืดชืดโดดเดี่ยวทุกข์ระทม ใบไม้นับหมื่นส่งเสียงโอดครวญมิรู้สิ้น
สีหน้าของเฉินหานยามนี้ไม่ต่างอันใดกับเสียงดังกล่าว อ้างว้างยากเกินบรรยาย
นางมองดูเฉินอิ๋ง ฝืนฉีกยิ้มกล่าวขออภัย “คุณหนูใหญ่เฉินได้โปรดให้อภัยด้วย ในบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าคงต้องกลับไปช่วยจัดการก่อน ไม่อาจไปเรือนรับรองเป็นเพื่อนท่านแล้ว”
ความหมายปฏิเสธชัดแจ้งเช่นนี้เฉินอิ๋งมีหรือจะฟังไม่เข้าใจ เรื่องนี้เฉินหานไม่ต้องการให้นางยื่นมือเข้ามาสอดนั่นเอง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องชื่อเสียงของเฉินหยวนเพียงคนเดียวลำพัง หากยังโยงใยไปถึงชื่อเสียงของสตรีจวนโหวคนอื่นๆ ด้วย หากจัดการไม่เหมาะสมย่อมเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
เฉินอิ๋งเข้าใจถึงความหมายของอีกฝ่ายดี ทว่าเรื่องที่ควรพูดไม่ว่าเช่นไรก็ต้องพูด “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วนยิ่งนัก เพราะฉะนั้นข้าจะไม่พูดเหลวไหลไร้สาระอันใดทั้งสิ้น ที่ข้าต้องการพูดมีเพียงประโยคเดียวคือ…หากมีปัญหายากจะจัดการอันใด สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรียินดีให้ความช่วยเหลือ”
หากสุดท้ายเฉินหยวนไม่มีทางให้เดิน สำนักศึกษาสตรีและสถานพำนักยินดีเป็นเส้นทางใต้ฝ่าเท้าให้นาง
พอได้ยินเฉินอิ๋งพูดเช่นนั้นเฉินหานก็มีสีหน้าประหลาดใจคล้ายนึกซาบซึ้ง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจนางก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง โบกมือกล่าวว่า “หาใช่เช่นนั้นไม่ เรื่องนี้มิได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ทว่าไม่ว่าเช่นไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านมาก มีคำพูดเช่นนี้ของท่าน น้องห้าต่อให้…ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
นางชักเท้าเดินขึ้นหน้าสองสามก้าว กุมมือของเฉินอิ๋ง ส่ายหน้าหนักแน่น
เฉินอิ๋งพยักหน้ากล่าว “รีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด”
เฉินหานส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินขึ้นหน้าไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวจู่ๆ นางก็หันกลับมา ยิ้มบางพลางเอ่ย “ท่านดู นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ากลัดกลุ้ม น้องห้าวันนี้โชคดี ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าชะตาชีวิตในวันข้างหน้าของนางจะเป็นเช่นไร นี่คือวันเวลาของข้าในยามนี้ แต่ละวันช่าง…”
จู่ๆ นางก็เงียบเสียงลง ทำเพียงนิ่งมองเฉินอิ๋ง คล้ายมีคำพูดนับหมื่นพันขณะเดียวกันก็คล้ายไม่มีอันใดจะกล่าว
เปาะ
ยามนี้เองไม่รู้ผู้ใดเหยียบกิ่งไม้หัก
เสียงแผ่วเบานี้สำหรับเฉินหานแล้วมันกลับไม่ต่างอันใดกับเสียงอสนีบาต
นางเนื้อตัวสั่นสะท้าน มองดูเฉินอิ๋งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จู่ๆ ก็คล้ายตัดสินใจแน่วแน่ นางกัดริมฝีปากแน่น ชักเท้าเดินกลับไปหยุดอยู่หน้าเฉินอิ๋ง เอ่ยปากอย่างรวดเร็วทว่าแผ่วเบา “มีเงินหรือไม่ พอจะให้ข้ายืมได้หรือเปล่า”
เฉินอิ๋งตะลึง คำพูดนี้หมายความเช่นไร จู่ๆ เฉินหานก็คิดจะยืมเงินนางหรือ
หลังจากตะลึงไปชั่วขณะ นางก็ย้อนถามเสียงแผ่ว “เจ้าต้องการเงินด้วยเหตุใด”
เฉินหานขมวดคิ้ว “ท่านแค่บอกมาก็พอว่าจะมีให้ข้าหยิบยืมหรือไม่”
เฉินอิ๋งครุ่นคิดและถาม “เจ้าต้องการเท่าใด”
“ตอนนี้ท่านพอจะดึงเงินออกมาได้เท่าไร” เฉินหานคล้ายลิงโลดยิ่ง นางขยับเข้าไปที่ข้างหูของเฉินอิ๋ง พูดเน้นเสียงคล้ายกลัวอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ “ข้าหมายถึงว่าตอนนี้เวลานี้ในมือท่านมีเงินอยู่เท่าใด”
คำพูดนี้แปลกประหลาดมากขึ้นทุกที ชวนให้คนสับสนไม่เข้าใจยิ่ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.