ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 660-662 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 660-662

บทที่ 661 ลึกเข้าไปในดงดอกเหมย

เฉินอิ๋งมองดูเฉินหานด้วยสายตาวิตกกังวล

สีหน้าท่าทางของนางในยามนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เหมือนพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ

“คุณหนูสาม เจ้าหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อน เรื่องอื่นอันใดยังไม่ต้องคิด” เฉินอิ๋งไม่เอ่ยปากถามถึงมูลเหตุอันใดทั้งสิ้น นางเลือกที่จะเอ่ยปากปลอบอีกฝ่ายก่อน

ไม่ว่าเฉินหานจะพบเจอกับปัญหาอันใด สงบจิตสงบใจก่อนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

น้ำเสียงสงบนิ่งผ่อนคลายแผ่กระจายออกไปไม่ต่างอะไรกับระลอกคลื่น อ้อยอิ่งอยู่ที่ข้างหูชวนให้จิตใจสุขสงบ

นางทำตามคำพูดของเฉินอิ๋งอย่างไม่รู้ตัว หายใจเข้าหายใจออก…หายใจเข้าหายใจออก…

ในที่สุดความรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มเจียนคลั่งบนใบหน้าของเฉินหานก็จางหายไปทีละน้อย ลมหายใจกลับกลายเป็นสงบนิ่งมั่นคง สีหน้าท่าทางเริ่มกลับมาเป็นปกติ

หลังจากผ่านไปอีกสองสามอึดใจ นางก็คล้ายสงบสติอารมณ์ได้โดยสมบูรณ์ เหลือแต่ความรู้สึกเป็นทุกข์เล็กๆ ในแววตาเท่านั้น ที่เหลือล้วนไม่มีอันใดผิดปกติ

จนถึงตอนนี้เฉินอิ๋งถึงได้พูดออกมาเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตกลงเจ้าเป็นอะไร มีเรื่องเกิดขึ้นใช่หรือไม่”

เฉินหานส่ายหน้า สองตาหลับลงเหมือนเก่า ไม่มองเฉินอิ๋ง

พอเห็นนางเหมือนไม่อยากพูดเช่นนี้ เฉินอิ๋งก็รู้สึกยุ่งยากใจ

เอาแต่อึดอัดกลัดกลุ้มเช่นนี้ย่อมเกิดเรื่องขึ้นได้ไม่ยาก ท่าทีของเฉินหานในยามนี้เกิดขึ้นเพราะเก็บงำความรู้สึกไว้มากเกินไป

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเฉินอิ๋งก็เอ่ยปากขึ้นอีกคราว “หากมีเรื่องราวยุ่งยากเกินกว่าจะคลี่คลายได้อันใดก็บอกกับข้าเถอะ ข้าจะได้ช่วยคิดหาหนทางแก้ไข”

เส้นเสียงอ่อนละมุนไม่ต่างอันใดกับระลอกคลื่นอบอุ่นวับวาวใต้แสงตะวัน โอบล้อมใจคน

ในที่สุดเฉินหานก็ตอบสนอง นางลืมตาขึ้นช้าๆ สองตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาแลดูคล้ายผ่านโลกมาโชกโชนไม่สมกับอายุขัย

“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่…แค่อึดอัดเกินทนก็เท่านั้น” นางคล้ายใจลอย สองตามองเหม่อไปยังต้นเหมยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มือเกาะกุมอยู่บนสาบเสื้อ น้ำเสียงเคร่งเครียดอยู่น้อยๆ “ข้าก็แค่รู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่มีความหมายเอาเสียเลย”

พูดจบนางก็ถอนหายใจอย่างเป็นทุกข์

เฉินอิ๋งมองดูอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ท่าทีเลอะเลือนเช่นนี้ของเฉินหาน นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในความทรงจำของนาง เฉินหานเป็นคนแข็งกร้าว ปากคอเราะราย วาจาคมกริบ ตรรกะพิลึกพิลั่น แต่โดยรวมแล้วอีกฝ่ายก็แค่สตรีสูงศักดิ์ที่ชอบวางตัวสูงส่งหยิ่งยโสเฉกผู้รากมากดีทั่วไปนางหนึ่งเท่านั้น

ทว่ายามนี้นางกลับนั่งทรุด หลังค่อม สีหน้าท่าทางอ่อนล้า ทั้งร่างห่อหุ้มไว้ด้วยท่วงทีหงอยเหงาเศร้าซึม แลดูห่อเหี่ยวซึมเซา คล้ายเฒ่าชราลงหลายส่วน

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้

เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด

แล้วเป็นเพราะเหตุใด

เฉินอิ๋งอ้าปาก หมายจะเอ่ยปากถามอีกครา แต่ครั้นคิดดูอีกที ในที่สุดนางก็ปิดปากไม่พูดอันใด

ถึงยามนี้เฉินหานคล้ายกลับมาสงบนิ่งแล้ว แต่สภาพจิตใจของนางกลับมิได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะแรงกดดันเล็กน้อยอันใดล้วนทำลายความสมดุลน่าอัศจรรย์นี้ลงได้ง่ายดาย

อันที่จริงอารมณ์ความรู้สึกพังทลายใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ก็เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า ‘ไม่รื้อทำลายไม่อาจก่อร่างขึ้นใหม่’ คนที่มีจิตใจสติปัญญาแข็งแกร่งบางคนสามารถกอบกู้สภาพจิตใจที่พังทลายลงไปได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับกลายเป็นแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งกว่าเดิม

แต่คนจำพวกนั้นมีอยู่ก็แค่เพียงน้อยเท่านั้น ผู้คนส่วนมากหลังจิตใจพังทลาย พวกเขาก็มักจะหดหู่ตกต่ำอยู่เป็นนาน บ้างก็ชั่วชีวิตมิอาจแข็งแรงได้ดั่งเดิม

เฉินอิ๋งไม่กล้าเสี่ยง ดังนั้นจึงได้แต่เลือกวิธีการที่นางมั่นใจที่สุด

หลังตั้งสมาธิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปทางจือสือ เอ่ยปากสั่งแผ่วเบาว่า “ข้าจำได้ว่าที่มุมประตูมีหญิงรับใช้สูงวัยเฝ้าเตาน้ำชาอยู่ เจ้าไปรินชามาสองถ้วย ทางที่ดีเอาที่กำลังเดือดมา ที่นี่อากาศค่อนข้างหนาว”

บนตั่งหินแม้จะมีเบาะผ้าฝ้ายหนาๆ รองอยู่ แต่ถึงกระนั้นลมก็พัดโชยมาจากทุกด้าน อีกทั้งพวกนางยังอยู่ลึกเข้ามาในป่าต้นเหมย ไม่ว่าแดดจะดีสักเพียงใด นั่งนานๆ ก็ยังคงรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ดี หนำซ้ำเฉินหานเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปในระยะเวลาอันสั้น

จือสือตอบรับก่อนจะเดินจากไป เฉินอิ๋งเอ่ยปากสั่งสาวใช้ตัวน้อยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้เอาเสื้อคลุมขนสัตว์หนาๆ ทับลงบนเสื้อคลุมของเฉินหานเพิ่มอีกตัวพร้อมปูเบาะผ้าฝ้ายลงบนโต๊ะหิน

หลังจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เฉินหานก็วางมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ร่างกายหมอบเอน สองตาทอดมองไกลออกไปคล้ายชื่นชมบุปผาคล้ายมองดูท้องนภา สองตาว่างเปล่าเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด

เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด ทำเพียงนั่งเป็นเพื่อนนางเงียบๆ

เพียงไม่นานจือสือก็กลับมา หญิงรับใช้สูงวัยต้มชานางนั้นหิ้วกาน้ำชาเข้ามา รินน้ำชาเดือดๆ ให้พวกเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากสรรเสริญเยินยอพวกนางอยู่สองสามประโยค เฉินอิ๋งตกรางวัลเป็นเงินให้นางไปก้อนหนึ่ง นางเดินจากไปด้วยความลิงโลดยินดี

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหลือเพียงความเงียบสงัด

ในสวนดอกเหมยบานสะพรั่ง แต่ละช่อแต่ละกลุ่มล้วนเบียดเสียดกันอยู่บนก้านกิ่ง ลมเหนือพัดโชย ดอกหล่นร่วงเกลื่อนพื้น ครั้นต้องลมแดดนานวันเข้าพวกมันก็เหี่ยวเฉาโปร่งใส วันเวลาผ่านผันชะล้างความชุ่มชื้นบนกลีบดอกไปจนสิ้น ไม่ต่างอันใดกับเศษกระดาษเก่าๆ แห้งเหลืองเงียบเหงา

เฉินอิ๋งกวาดตามองไปรอบๆ จู่ๆ ลมสายหนึ่งก็พัดโหม ดอกเหมยสองสามดอกหล่นร่วงระอยู่ข้างเท้า

นางค้อมเอวหยิบดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาดู กลิ่นหอมที่ยังคงหลงเหลือลอยละล่องอ้อยอิ่งอยู่บริเวณปลายจมูก

“แย่แล้ว! คุณหนูสาม แย่แล้ว!” เสียงตะโกนร้องสับสนดังลอยมา ทำลายความเงียบงันหมดสิ้น

เฉินอิ๋งสะดุ้ง นางพลิกฝ่ามือ ดอกเหมยหล่นร่วงลงกับพื้นอีกครา

เฉินหานเองก็ถูกเสียงดังกล่าวปลุกตื่นจากภวังค์ นางนั่งเหยียดตัวตรง ใบหน้ายังคงงุนงงอยู่หลายส่วน นางถามเฉินอิ๋ง “เกิดอะไรขึ้น”

เฉินอิ๋งเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใด ขณะกำลังจะสั่งคนไปถาม จู่ๆ ที่ด้านนอกก็มีคนวิ่งเข้ามา เสื้อแขนกุดสีเขียวกระโปรงผ้าฝ้ายสีครามนั้นเป็นเครื่องแบบของบ่าวไพร่จวนโหว ใบหน้าหมดจดของคนที่มาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก

เฉินอิ๋งจำอีกฝ่ายได้ นางคือสาวใช้ข้างกายของเฉินชิง ชิวสุ่ย

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ น้องสี่เป็นอะไรไปกระนั้นหรือ” พอเห็นว่าเป็นนาง เฉินหานก็รีบลุกขึ้นถาม สีหน้างุนงงกลับกลายเป็นร้อนรน

ชิวสุ่ยรีบแสดงคารวะ อ้าปากหมายพูด แต่พอชำเลืองเห็นเฉินอิ๋งนั่งอยู่ข้างๆ นางก็อึกอักคล้ายลำบากใจ ได้แต่ชะงักค้างอยู่เช่นนั้น

พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้ได้ทันทีว่าจวนโหวเกิดเรื่องขึ้น อีกทั้งยังไม่สะดวกจะบอกกล่าวต่อคนนอก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นกล่าว “ข้าออกมาสักพักแล้ว ขอตัวกลับไปดูท่านแม่ก่อน พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันเถอะ”

“อย่าเพิ่งไป” เฉินหานขวางนางไว้พลางหันมองไปทางชิวสุ่ยอีกคราว สีหน้าท่าทางเย็นชา “ที่นี่ไม่มีคนนอก มีเรื่องอะไรก็พูดออกมา หาควรลับๆ ล่อๆ ไม่”

ชิวสุ่ยที่ลนลานอยู่แต่เดิม พอถูกตวาดเข้านางก็เริ่มกลับมาได้สติ ครั้นคิดดูดีๆ นางก็พบว่าตนเองเสียมารยาทแล้วจึงรีบค้อมกายขออภัย “คุณหนูใหญ่เฉินให้อภัยด้วย ผู้น้อยผิดไปแล้ว…”

“เอาล่ะๆ หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เฉินหานหมดความอดทน นางพูดตัดบทสีหน้าเย็นชามากขึ้นทุกขณะ

ชิวสุ่ยรีบเก็บคำ นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว กระซิบบอกว่า “เรียนคุณหนูสาม เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ลานด้านนอกคุณหนูห้าตกน้ำเจ้าค่ะ”

เฉินหานกับเฉินอิ๋งต่างพากันตกใจ

เฉินหยวนตกน้ำ?

อีกทั้งยังเป็นที่ลานด้านนอก?

“ลานด้านนอก?” เสียงของเฉินหานยกสูง เนื้อตัวแข็งทื่อ สีหน้าย่ำแย่ยิ่งยวด

ชิวสุ่ยกระซิบ “เรียนคุณหนูสาม เหตุเกิดที่ลานด้านนอก ผู้น้อยเห็นกับตา คุณหนูของพวกเราให้ผู้น้อยมารายงานต่อคุณหนูสาม”

เฉินหานสีหน้าเคร่งขรึม

ด้านนอกล้วนมีแต่แขกบุรุษ เฉินหยวนไปตกน้ำอยู่ที่นั่น หาก…

เฉินหานไม่กล้าคิดต่อ นางรีบชักเท้าเดินออกไปทันที

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com