บทที่ 675 ผิดในผิด
“ข้าว่าองค์หญิงใหญ่ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ เหตุใดยามนี้ถึงเพิ่งคิดจะมาตามหาพวกเรา แล้วก่อนหน้านี้นางทำอะไรอยู่” ไป๋เหล่าเฉวียนแยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันเหลืองเต็มปาก พร้อมยกมือเกาบริเวณรอบคอเสื้อ
ทันทีที่พูดถึงองค์หญิงใหญ่ เขาก็ลืมเรื่องสูงต่ำหมดสิ้น ครั้นเการอบคอเสื้อจบเขาก็ตบหน้าขา จุปากแผ่วเบาออกมาสองครา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร “น่าเสียดาย นางมาช้าเกินไป หากเร็วกว่านี้สักหนึ่งหรือสองปี ฮ่องเต้สุนัขนั่นไหนเลยจะพ้นเงื้อมมือของพวกเราไปได้ ถึงตอนนั้นทันทีที่จวิ้นอ๋องน้อยปรากฏตัว แผ่นดินนี้ย่อมตกเป็นของพวกเรา”
พระชายาคังอ๋องกับเสิ่นจิ้งจือสบตากันคราหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาทั้งคู่ต่างล้วนหม่นหมอง
วาจาของไป๋เหล่าเฉวียนแม้จะหยาบกระด้าง แต่ทุกถ้อยคำล้วนถูกต้อง
หากมีเส้นสายจากทางองค์หญิงใหญ่ให้ปีนไต่ได้แต่เนิ่นๆ สถานการณ์ของพวกเขาในเพลานี้ย่อมต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
พระชายาคังอ๋องถอนหายใจออกมาเงียบๆ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา “นี่คงเป็นประสงค์แห่งฟ้ากระมัง เรื่องนี้ใครเล่าจะไปนึกถึง ที่องค์หญิงใหญ่จู่ๆ ก็ติดต่อพวกเราเช่นนั้นคาดว่านางคงทำเพื่อบุตรีของนางเซียงซานเซี่ยนจู่ผู้นั้น ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นทำลายวาสนาบุพเพของเซี่ยนจู่ หนำซ้ำยังทำลายผู้คนที่นางจัดวางไว้ในกองทัพอีก ด้วยเพราะโมโหนางเลยส่งคนไปซานตง แต่พวกเรากลับลอบสังหารเซี่ยนจู่…”
จู่ๆ นางก็เก็บเสียงหลับตาน้อยๆ โบกมือ น้ำเสียงกลับกลายเป็นอ่อนระโหยไร้สิ้นเรี่ยวแรง “ช่างเถอะ ทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ยามนี้พูดอันใดไปก็ล้วนแต่สายเกินแก้แล้ว”
พอได้ยินเช่นนั้นเสิ่นจิ้งจือก็สีหน้านึกละอาย เขาก้มหน้าไม่พูดไม่จา ไป๋เหล่าเฉวียนกลับยกแขนสั้นๆ หนุนไว้หลังหัว เอ่ยปากตามอำเภอใจ “ข้าว่าใช้มีดแทงเขาให้ตายในคราเดียวเสียก็สิ้นเรื่อง เรื่องนี้หากไม่ใช่เพราะเขามาอ้อนวอนต่อหน้าพวกเรา ใครไหนเล่าจะยอมลงมือแทน”
เขาหัวเราะออกมาคราหนึ่งก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สายตาตื่นเต้นกระหายเลือดส่องประกาย “พระชายา เขาทำความผิดใหญ่หลวง ไม่ว่าเช่นไรก็น่าจะลงโทษให้หนักสักครั้ง ให้เขาได้รู้จักเจ็บปวด”
เสิ่นจิ้งจือมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษนั้นโหดเหี้ยมยิ่งนัก
ไป๋เหล่าเฉวียนแม้จะรับรู้ได้แต่กลับมิได้นึกสนอกสนใจ สายตาจ้องมองไปก็แต่ที่พระชายาคังอ๋อง คล้ายกำลังรอคำสั่งจากนาง
พระชายาคังอ๋องสีหน้าเรียบเฉย คล้ายไม่มีความรู้สึก
พูดกันตามตรง แรกเริ่มนางก็นึกตำหนิคนผู้นั้นเช่นกัน
ทว่าครั้นคิดดูอีกที หากไม่มีเหตุลอบสังหารที่เขาเสี่ยวสิง พวกนางกับจวนองค์หญิงใหญ่ไม่แน่ว่าอาจผูกอยู่ด้วยกันนานแล้ว เมื่อองค์หญิงใหญ่พังทลาย พวกนางก็คงไม่แคล้วถูกฝังร่วมไปด้วย
หากพิจารณาจากผลลัพธ์ คนผู้นั้นเท่ากับช่วยพวกนางไว้กลายๆ
พระชายาคังอ๋องหลับตาลงน้อยๆ เสียงทอดถอนใจนับไม่ถ้วนกลับกลายเป็นความเงียบงัน
ใครเล่าจะนึกถึงว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนนั้นจะบังเอิญลากเอาเซี่ยนจู่มาเข้าร่วมด้วย หลังจากนั้นอีกหลายปี ความผิดพลาดเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวนี้กลับผลักดันเรื่องราวสถานการณ์ให้ยากเกินคาดเดา
ที่เรียกว่าสวรรค์กลั่นแกล้งคนนั้นไม่แคล้วคงเป็นเช่นนี้
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เสิ่นจิ้งจือก็ค้อมกายเอ่ย “เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของผู้น้อย หากพระชายาต้องการลงโทษ ก็ขอได้โปรดลงโทษผู้น้อยเถิด”
พระชายาคังอ๋องลืมตามองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง นางสะบัดแขนเสื้อเอ่ยปากน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้ว เรื่องนี้จบสิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
น้ำเสียงแม้จะเย็นชา ทว่าท่าทีกลับประจักษ์ชัดถึงเจตนาของผู้พูด
นางมิได้คิดจะลงโทษผู้ใด ต่อให้เสิ่นจิ้งจือเป็นตัวต้นเหตุ แต่นางก็ไม่คิดฟื้นฝอยหาตะเข็บ
เสิ่นจิ้งจือหัวคิ้วกระตุก ใบหน้าเย็นชาอึมครึมปรากฏอารมณ์ความรู้สึกเล็กๆ ยากจะสังเกตเห็น
เขาก้มหน้าลงช้าๆ ประสานมือกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยก็ยังมีเรื่องต้องรายงาน ไม่ทราบว่าพระชายามีอารมณ์รับฟังหรือไม่”
“เชิญแม่ทัพเสิ่นว่ามา” พระชายาคังอ๋องมือข้างหนึ่งค้ำยันอยู่บนโต๊ะ จ้องมองดูเขาเขม็ง
เสิ่นจิ้งจือหยิบเอาซองจดหมายหนาๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ลุกเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าพระชายาคังอ๋อง ก่อนจะยื่นส่งมันด้วยสองมือ “พระชายา นี่เป็นเงินภาษีของปีนี้จากทางซานตง รายการกับสมุดบัญชีล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เชิญพระชายาตรวจสอบ”
พอพูดจบเขาก็วางมันลงบนโต๊ะแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่วงทีแคล่วคล่อง
ไป๋เหล่าเฉวียนที่อยู่อีกด้านดวงตาสามเหลี่ยมคว่ำเบิกกว้าง จ้องมองดูซองจดหมายดังกล่าวเขม็ง สายตาละโมบโลภมากยากจะปิดบัง
พระชายาคังอ๋องกลับคล้ายมองไม่เห็น นางหยิบเอาซองจดหมายนั้นขึ้นมาด้วยท่วงท่างามสง่า ฉีกมันออกพลางยิ้ม “ลำบากแม่ทัพเสิ่นแล้ว ทุกปีต้องให้ท่านเป็นธุระให้” นางหยุดการเคลื่อนไหว ยกซองจดหมายขึ้นแนบอกทอดถอนใจ “เงินภาษีของชาวบ้านคือรากฐานสำคัญในการฟื้นฟูของพวกเรา ยามนี้ข้าได้แต่หลบซ่อนตัวนับว่าทำผิดต่อชาวประชาทั่วหล้าโดยแท้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
แค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้เสิ่นจิ้งจือประทับใจอย่างยิ่งยวด ถึงจะไม่กล้าจ้องมองนางตรงๆ ทว่าสองมือที่วางอยู่บนเข่ากลับกุมเข้าหากันแน่น สีหน้ากลับกลายเป็นฮึกเหิม
ไป๋เหล่าเฉวียนมองพวกเขาสองคนคราหนึ่งก่อนจะก้มหน้าเบ้ปาก
วาจาเหลวไหลเหล่านี้เกรงว่าแม้แต่ภูตผีก็ยังไม่เชื่อ น่าขันที่เสิ่นจิ้งจือกลับเห็นเป็นจริง
ที่น่าขันยิ่งไปกว่านั้นคือเห็นอยู่ชัดๆ ว่าแม้แต่พระชายาคังอ๋องก็ยังไม่เชื่อ แต่กลับใช้มันหลอกล่อผู้อื่น
ไม่รู้ว่าสองคนนี้ใครเสียสติกว่าใคร
ไป๋เหล่าเฉวียนลอบยิ้มหยัน
ยามนี้พระชายาคังอ๋องกวาดตามองรายการและสมุดบัญชีคร่าวๆ เป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นปรากฏอยู่ทางด้านบนนั้นหม่นหมองลงหลายส่วน “เงินภาษีของปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วอยู่มากโข”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบา นิ้วมือที่จับอยู่บนกระดาษซีดขาว
“เพราะผู้น้อยไร้ความสามารถ” เสิ่นจิ้งจือรีบลุกขึ้นเอ่ยปากตำหนิตนเอง
ไป๋เหล่าเฉวียนมองดูอีกฝ่ายพร้อมเบ้ปาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระโดดลงจากเก้าอี้เตี้ยยืนประสานมือมิได้พูดอันใด
เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตนเอง
เขาทำเพียงฆ่าคนแลกเงิน เรื่องอื่นอันใดเขาหาสนใจไม่
พระชายาคังอ๋องนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มกล่าว “ท่านทั้งสองเชิญนั่งลงเถิด เรื่องนี้มิได้เกี่ยวกับพวกท่าน ทั้งหมดล้วนเพราะข้าบัญชาการไม่ดีเอง ท่านแม่ทัพทั้งสองไหนเลยจะมีความผิดอันใดได้”
ครั้นพูดถึงตรงนี้พระชายาคังอ๋องก็พึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็กลับกลายเป็นหนักแน่นมั่นคง นางหยิบเอาตั๋วเงินบนโต๊ะขึ้นมา แบ่งมันออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ผลักสองส่วนขึ้นหน้า กล่าววาจาเสียงขรึม “นี่เป็นเงินเดือนประจำปีของพวกท่านสองคน แม้จะน้อยไปหน่อย แต่ก็เป็นน้ำใจของพวกชาวบ้าน ขอพวกท่านอย่าได้ปฏิเสธ”
เสิ่นจิ้งจือตกใจก่อนจะกลับกลายเป็นประทับใจ ประสานมือเอ่ยเสียงสั่น “พระชายาวางแผนอยู่ในกระโจม ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พวกผู้น้อยมิได้สร้างความดีความชอบอันใด ไหนเลยจะกล้ารับเงินเหล่านี้”
ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกจากปากของเสิ่นจิ้งจือ มือของไป๋เหล่าเฉวียนที่เหยียดยื่นออกไปกว่าครึ่งก็มีอันต้องชักกลับ ถึงในใจของเขาจะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกอันใดชัดแจ้ง ได้แต่ชำเลืองมองไปทางเสิ่นจิ้งจือ
อันที่จริงเขากลัวชายนัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษผู้นี้อยู่เล็กๆ
นอกจากครอบครัวพระชายาคังอ๋องที่เสิ่นจิ้งจือเคารพแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา หากว่ากันถึงเรื่องความโหดเหี้ยมแล้ว ไป๋เหล่าเฉวียนย่อมไม่ด้อยกว่าสักเท่าใดนัก แต่หากว่ากันด้วยเรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบายล่ะก็ ไป๋เหล่าเฉวียนไหนเลยจะเทียบเคียงได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดจะล่วงเกินอีกฝ่ายง่ายๆ
ครั้นพระชายาคังอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็สองตาเปียกชื้นวับวาวเป็นประกายขึ้นมาทันที น้ำเสียงคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ “ท่านแม่ทัพทั้งสองเปี่ยมด้วยคุณธรรม ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก อดีตอ๋องอำลาโลกนี้ไปนานแล้ว หากมิใช่มีท่านแม่ทัพทั้งสองคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ลำพังข้าผู้เดียวไหนเลยจะดำเนินการทั้งหมดได้”
ขอบตานางแดงระเรื่อ น้ำเสียงสะอึกสะอื้น ทว่าสายตากลับหนักแน่นมั่นคง จ้องมองคนทั้งสองพลางกล่าว “ทว่าข้าตัดสินใจแล้ว แม่ทัพทั้งสองหากไม่รับ วันหน้าข้าไหนเลยยังจะมีเหตุผลอันใดเรียกใช้พวกท่านได้อีก ไม่ว่าเช่นไรก็ขอให้ท่านทั้งสองช่วยข้าด้วย”
พอพูดจบนางก็ลุกขึ้น งอเข่าย่อกายแสดงคารวะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัว เสิ่นจิ้งจือตะลึงไปชั่วอึดใจ มือยื่นออกหมายพยุงแต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง พระชายาคังอ๋องหมอบคุกเข่าเป็นที่เรียบร้อย เอ่ยปากสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ทัพทั้งสองเป็นเหมือนแขนของข้า วันหน้าหากได้ขึ้นครองราชย์ พวกท่านทั้งสองย่อมต้องเป็นกระดูกแขนของราชสำนัก เป็นขื่อคานของแผ่นดิน ขอท่านทั้งสองอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”
บทที่ 676 ทักษะการสร้างสมดุล
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในเวลานี้ แม้แต่ไป๋เหล่าเฉวียนก็ยังสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กๆ เสิ่นจิ้งจือยิ่งจิตใจปั่นป่วน สองตาแดงระเรื่อ
จนถึงยามนี้ หากปฏิเสธอีกย่อมเป็นการแล้งน้ำใจ เพราะอับจนเสิ่นจิ้งจือจึงได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นกล่าวเสียงสั่นว่า “พระชายามีรับสั่งพวกผู้น้อยย่อมมิกล้าขัด ขอพระชายารักษาพระเกียรติด้วย อย่าได้ค้อมกายเพื่อพวกผู้น้อย”
พระชายาคังอ๋องยิ้มทั้งน้ำตา นางค่อยๆ ลุกขึ้น หยิบเอาตั๋วเงินสองปึกบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ มอบให้พวกเขาสองคนกับมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “วันนี้ก็แค่ภาษีหนึ่งมณฑลเท่านั้น ผู้ใดจะไปรู้วันหน้าไม่แน่ว่าอาจเป็นภาษีของแผ่นดินก็เป็นได้ หลังจากนี้ยังมีงานใหญ่อีกมากที่ต้องให้พวกท่านออกแรงช่วยเหลือ หวังว่าพวกท่านจะแน่วแน่องอาจห้าวหาญ แหวกโค่นดงหนาม ถึงตอนนั้นข้าย่อมชื่นชมยินดี”
ทั้งสองรีบเอ่ยปากขอบคุณก่อนจะรับตั๋วเงินของตนเองไป พระชายาคังอ๋องนั่งกลับลงบนเก้าอี้ บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นสนิทสนม
ครั้นอารมณ์เริ่มสงบนิ่ง พระชายาคังอ๋องก็มองไปทางเสิ่นจิ้งจือ ถามเสียงขรึมว่า “แม่ทัพเสิ่น วันนี้คนผู้นั้นได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับแผนก่อกบฏขององค์หญิงใหญ่ให้ท่านทราบหรือไม่”
“เรียนพระชายา ผู้น้อยถามแล้ว แต่เขาบอกก็แค่คร่าวๆ เท่านั้น” เสิ่นจิ้งจือก้มหน้ากล่าว นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษแฝงไว้ซึ่งพยับเมฆ “เพราะเขาเอาแต่หลบหน้าผู้น้อย ผู้น้อยกว่าจะนัดเขาออกมาได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ พอพบหน้ากันแค่พูดจาได้ไม่กี่ประโยคเขาก็เอ่ยปากขอตัวลาแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกงุนงงสงสัย “ทว่ารายละเอียดสองอย่างที่เขาเผยกับผู้น้อยนั้นนับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก ผู้น้อยฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ขอพระชายาวินิจฉัยด้วย…”
พูดๆ ไปเขาก็เล่าเรื่องปิ่นมุกเก่าผ้าเช็ดหน้าเก่าออกมา ก่อนจะเอ่ยปากงุนงง “เดิมผู้น้อยคิดว่าหายนะที่เกิดขึ้นกับจวนทั้งสองเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ทรงติดต่อกับพวกเราอย่างลับๆ จนถูกฮ่องเต้สุนัขนั่นล่วงรู้เข้าถึงได้ถูกลงทัณฑ์ แต่พอได้ยินคนผู้นั้นกล่าว ผู้น้อยถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วปิ่นมุกกับผ้าเช็ดหน้านั่นต่างหากถึงเป็นสิ่งชี้ขาด”
“ปิ่นมุกกับ…ผ้าเช็ดหน้า?” พระชายาคังอ๋องสีหน้างุนงงยิ่งกว่า หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอยู่เป็นนานก่อนจะส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ สมัยอยู่เมืองหลวงในยามนั้นข้ากับพวกนางมิเคยไปมาหาสู่กัน ท่านอ๋องหรือก็หมายทำการใหญ่ หากจะบอกว่าองค์หญิงใหญ่กับท่านอ๋องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นั่นก็อาจพอเป็นไปได้ ส่วนเฉิงซื่อนั้น…”
นางหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในคือเฉิงซื่อเป็นบุตรีในอนุจวนฉางผิงป๋อ เป็นก็แค่สตรีชั้นต่ำ ไหนเลยจะมีโอกาสได้เข้าพบคังอ๋อง
“ข่าวนี้จริงเท็จเช่นไรก็มิรู้แน่ แต่ไม่ว่าเช่นไรมันก็หาได้เกี่ยวข้องกับพวกเราไม่ นอกจากนี้เรื่องนี้หรือก็จบสิ้นแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ พระชายาหาต้องคิดมากไม่” เสิ่นจิ้งจือกล่าวเตือน
ไป๋เหล่าเฉวียนพอมีเงินอยู่ในมือในใจก็นึกยินดีอย่างยิ่งยวด เขาถ่มน้ำลายลงพื้นคราหนึ่ง กดเสียงเอ่ยปากชิงชัง “ฮ่องเต้สุนัขนั่นชั่วช้ายิ่งนัก ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นแผนขโมยร้องจับขโมย ทั้งหมดล้วนแต่แผนการที่เขาวางไว้ ผ้าเช็ดหน้าปิ่นมุกอะไรนั่นเป็นก็แค่ข้ออ้างที่เอาไว้ใช้สังหารคน”
คนผู้นี้แม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็ละเอียดรอบคอบ คำพูดนี้นับว่ากล่าวได้ถูกต้องแม่นยำยิ่ง
พระชายาคังอ๋องกับเสิ่นจิ้งจือเองก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ว่าเช่นไรก็อดทำคนนึกประหลาดใจไม่ได้ ไม่คล้ายเป็นวิธีการของฮ่องเต้หยวนจยา
ทว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ หลังจากครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งออกจากหัว
เสิ่นจิ้งจือพูดออกมาอีกครั้ง “งานเลี้ยงวันนี้เฉินเซ่าก็มาด้วย”
พระชายาคังอ๋องสีหน้าชะงักงันขึ้นมาทันที “เขาจำท่านได้หรือไม่”
“พระชายาได้โปรดวางใจ เขาจำผู้น้อยมิได้” เสิ่นจิ้งจือกล่าว นัยน์ตาดุดันดั่งอสรพิษนั่นส่องประกายเย็นเยียบ “ตอนดื่มสุราผู้น้อยจงใจเดินผ่านหน้าเขาไปมาสองครั้ง แต่เขาก็มิได้มีท่าทีอันใด ด้วยเหตุนี้ผู้น้อยถึงได้กล้านัดคนผู้นั้น ต่อมาเขาพาบ่าวเดินเล่นไปทั่ว ผู้น้อยพบเจอเขาครั้งสุดท้ายตอนเขากำลังชมทัศนียภาพอยู่ที่ริมสระ ข้างกายมีบ่าวรับใช้เพียงผู้เดียวเท่านั้น หามีผู้อื่นอันใดไม่”
เขาหรี่ตาสีหน้าเย็นชา “คนผู้นี้ไม่มีค่าให้ต้องวิตกกังวล ฮ่องเต้สุนัขจนถึงตอนนี้ก็หาได้ไว้วางใจอันใดเขาไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาไหนเลยจะก่อคลื่นลมอันใดได้”
“เช่นนั้นก็ดี” พระชายาคังอ๋องถอนหายใจโล่งอก หลังจากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครา “เพียงแต่เรื่องนี้ลำบากท่านแม่ทัพแล้วจริงๆ จากเดิมที่เป็นแม่ทัพผู้องอาจอันดับหนึ่ง ยามนี้กลับต้องลดฐานะซ่อนเร้นกายอยู่ในจวนผู้อื่น แม้แต่จะพบเจอผู้คนก็ยังต้องระแวดระวังตนเยี่ยงนี้”
นางก้มหน้า ถึงจะมิได้หลั่งน้ำตา ทว่าน้ำเสียงก็ตำหนิติติงตนเองมิใช่น้อย “นี่ล้วนเพราะข้าไม่เอาไหน นายท่านของพวกท่านในเวลานั้น…อันที่จริงได้มีการเตรียมการไว้ให้พวกท่านแล้ว ยามนี้กลับทำได้เพียง…”
นางคล้ายไม่อาจพูดต่อ ยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้า ไม่พูดอันใดอีก
“นี่เป็นภาระหน้าที่ของผู้น้อย ผู้น้อยยินดีกระทำ” เสิ่นจิ้งจือพูดเคร่งขรึม สายตาอบอุ่นอ่อนโยนยากจะพบเห็นปรากฏอยู่ในดวงตาเยี่ยงอสรพิษคู่นั้น
พระชายาคังอ๋องลดแขนเสื้อลง ดวงตาวับวาวเป็นประกายช้อนขึ้นน้อยๆ ยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปทางไป๋เหล่าเฉวียน ใบหน้ายิ้มแย้ม รอยแผลบนใบหน้ายิ่งแลดูชวนประหวั่น
“แม่ทัพไป๋เป็นผู้รักอิสระ วาจาเกรงอกเกรงใจเหล่านั้นข้าคงไม่กล่าวกับท่านแล้ว” นางกล่าว น้ำเสียงแม้จะไม่สูง ทว่าทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นเดียวกัน ช่วยข้าจับตาดูคนผู้นั้นด้วย หากมีอันใดผิดปกติสามารถสังหารเขาได้ก่อนแล้วค่อยรายงานข้าทีหลัง”
ไป๋เหล่าเฉวียนฉีกปากยิ้ม ถึงจะมิกล้าออกเสียง แต่ดวงตาแดงก่ำกระหายเลือดครั้นขับดุนอยู่กับฟันเหลืองเต็มปาก มือเล็กขาสั้นรวมเข้ากับท่าทีแปลกประหลาดเหี้ยมโหดนั้น ทำให้เขาแลดูน่าขันอยู่หลายส่วน
ระหว่างที่ฉีกปากยิ้มกว้างนั้นจู่ๆ เขาก็พลิกข้อมือ มีดสั้นยาวประมาณฉื่อกว่าก็ปรากฏอยู่ในกำมือ
เสิ่นจิ้งจือนัยน์ตาเป็นประกาย ร่างกายขยับไปทางด้านข้าง คล้ายตั้งใจไม่ตั้งใจบังขวางพระชายาคังอ๋องไว้ทางด้านหลัง
ดวงตาที่มองมาทางไป๋เหล่าเฉวียนของเขาในยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกระแวดระวัง
ไป๋เหล่าเฉวียนกลับคล้ายไม่รับรู้ เขาทำเพียงยกด้ามมีดขึ้น แลบลิ้นออกมาเลียคมมีดวับวาวเย็นเยียบนั้น พูดพลางหัวเราะ “ฮ่าๆ เยี่ยม ข้าชอบแทงคนยิ่งนัก”
เสียงยังไม่ทันสิ้น จู่ๆ เขาก็เงยหน้า สายตาโหดเหี้ยมคมกริบกวาดมองมาทางเสิ่นจิ้งจืออย่างรวดเร็ว
เสิ่นจิ้งจือสีหน้าเย็นชา กลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง นัยน์ตาเยี่ยงอสรพิษคล้ายมีเปลวเพลิงแดงฉานลุกโชน ตาดำตั้งตรงแลดูแปลกประหลาดชวนประหวั่น
นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พลังบนร่างของไป๋เหล่าเฉวียนก็สลายไปดื้อๆ อีกทั้งยังยิ้มมาทางเขา
ไป๋เหล่าเฉวียนกระโดดลงจากเก้าอี้เตี้ย ประสานมือแสดงคารวะท่าทีถูกต้องตามธรรมเนียม “ผู้น้อยรับบัญชา”
“ดี” พระชายาคังอ๋องคล้ายไม่รับรู้กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางอมยิ้มพยักหน้าพลางเอ่ยวาจากระตือรือร้น “เวลาไม่เช้าแล้ว แม่ทัพไป๋เดินทางมาแต่ละครั้งหาใช่เรื่องง่ายไม่ เช่นนั้นท่านก็กลับไปก่อนเถิด”
“ขอรับพระชายา” ไป๋เหล่าเฉวียนตอบรับคล่องแคล่ว ก่อนจะเหลือกตาเอ่ยวาจาน้ำเสียงแปลกประหลาด “แม่ทัพเสิ่น เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อน”
ยังไม่ทันที่เสิ่นจิ้งจือจะได้ตอบอันใดเขาก็เดินไปถึงห้องข้างฝั่งตะวันตกแล้ว เพียงไม่นานเสียงผ้าเสียดสีก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังสวมเท้าปลอมอยู่
เสิ่นจิ้งจือนั่งสงบนิ่ง สีหน้าราบเรียบไม่มีอันใดผิดปกติ
พระชายาคังอ๋องแอบกวาดตามองเขาคราหนึ่ง สีหน้าสงบนิ่ง
นางรู้ว่าพวกเขาสองคนไม่ถูกกัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยถามและไม่เคยยื่นมือเข้าไปสอด
หากมิใช่เช่นนี้นางไหนเลยจะควบคุมสมดุลของคนโฉดทั้งสองได้ หากพวกเขาสองคนเป็นมิตรสหายต่อกัน เช่นนั้นแล้วเบื้องบนเช่นนางไหนเลยจะนอนหลับได้
ไป๋เหล่าเฉวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตอนออกจากห้องรูปร่างกลายกลับเป็นสูงกว่าเดิม ประเมินจากสายตาแล้วเหมือนจะสูงกว่าเสิ่นจิ้งจือเสียอีก
พระชายาคังอ๋องเอ่ยปากให้กำลังใจเขาสองสามประโยค ก่อนจะส่งเขาออกนอกประตูไปด้วยตนเอง
หิมะกำลังตกหนัก สาดซัดเข้ามาในระเบียงทางเดิน หล่นอยู่เหนือบันไดหิน ทันทีที่ย่ำเท้าขึ้นไปบนทางเดินหินเขียวคราม รอยเท้าก็ปรากฏขึ้นบนหิมะที่กองทับถมกันหนาๆ ทันที
เพียงไม่นานพื้นหิมะนั่นก็มีรอยเท้าแปลกประหลาดเกิดขึ้นสองแนว ตรงไปที่นอกลาน ประตูไม้ซอมซ่อปิดงับอยู่หลวมๆ หิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง ลานเรือนกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
บทที่ 677 ไม่มีผู้ใดเชื่อถือไว้วางใจได้
พระชายาคังอ๋องปิดประตูห้องก่อนจะกลับมานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางยื่นมือลูบใบหน้า
ทันใดนั้นรอยแผลเป็นนั่นก็จางหาย ที่ปรากฏอยู่ใต้เทียนสีแดงคือใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ผิวพรรณชุ่มชื้นขาวสล้าง แม้แต่สายตาเยี่ยงผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ครั้นส่องสะท้อนอยู่กับแสงเทียนก็ล้วนกลับกลายเป็นนุ่มนวล
“แม่ทัพเสิ่น ท่านคิดว่าเขา…คนผู้นั้น…ยามนี้ยังเชื่อถือได้หรือไม่” นางมองดูเสิ่นจิ้งจือ ดวงตางดงามวับวาวเป็นประกาย
‘เขา’ ที่นางพูดถึงในยามนี้คือผู้ใด พวกเขาสองคนล้วนรู้ดีแก่ใจ
เสิ่นจิ้งจือก้มหน้า ไหนเลยจะกล้าสบตากับอีกฝ่าย เขาตอบเสียงขรึมว่า “พระชายาได้โปรดวางใจ คนผู้นี้ขี้ขลาดตาขาว ขอเพียงขู่เขาสักเล็กน้อย เขาไหนเลยจะกล้าทำอันใด ผู้น้อยวันนี้ได้ขู่เขาไปแล้ว เชื่อว่าอย่างน้อยช่วงนี้เขาย่อมทำตัวว่านอนสอนง่าย”
ริมฝีปากของเขายกยิ้ม ความรู้สึกเย้ยหยันปรากฏอยู่บนใบหน้าอึมครึมเย็นชานั้น “นับแต่รับพระชายาไว้ เขาก็นั่งอยู่บนเรือลำเดียวกับพวกเราแล้ว ยามนี้หากคิดจะไป ไหนเลยจะง่ายดายเยี่ยงนั้น หากพ้นจากเรือไป เขาย่อมไม่แคล้วต้องเผชิญหน้ากับพายุฝนฟ้าคะนอง เช่นนี้แล้วเขายังจะไปที่ใดได้อีก”
พระชายาคังอ๋องแม้จะเข้าใจถึงเหตุผลนี้ดี แต่สีหน้าวิตกกังวลก็ยังคงไม่ลดน้อยถอยลง นางขมวดคิ้ว “ถึงจะพูดเช่นนี้แต่ข้าก็ยังคงมิอาจวางใจ ท่านเองก็รู้ พวกหลี่เอ๋อร์ล้วนมีเขาคอยดูแลจัดการ เดิมข้าก็ยังพอวางใจอยู่ แต่หลังเกิดคดีองค์หญิงใหญ่ ข้าก็ตกใจจนไม่กล้าโผล่หน้าออกไปที่ใด หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเกรงว่าจะหวังพึ่งพาเขามิได้”
ยิ่งพูดหว่างคิ้วของนางก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น ความรู้สึกวิตกกังวลปรากฏชัดอยู่ในคำพูด
เสิ่นจิ้งจือพอได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาถามเสียงแผ่ว “ในเมื่อพระชายากล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยก็ใคร่ขอถาม พวกจวิ้นอ๋องน้อยยามนี้อยู่ที่ใด”
เรื่องนี้พระชายาคังอ๋องพูดถึงน้อยมาก โอกาสที่พวกเขาจะได้พบหน้ากันเดิมหรือก็น้อยยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้หลายปีมานี้จวิ้นอ๋องน้อยกับจวิ้นจู่น้อยอยู่ที่ใด เขากับไป๋เหล่าเฉวียนจึงต่างไม่รู้
พระชายาคังอ๋องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะหลุบตาลงน้อยๆ ขนตายาวๆ สะท้านไหวคล้ายนึกลังเล
ก่อนหน้านี้…อันที่จริงมิสู้บอกว่าเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน นางยังคงวางใจคนผู้นั้น เหตุผลที่วางใจก็ด้วยเพราะคนผู้นั้นขี้ขลาด
สิบกว่าปีมานี้เพราะเขาขี้ขลาด พวกนางถึงมีชีวิตสงบสุขมาถึงยามนี้
ทว่าเมื่อครู่ตอนเห็นภาษีจากซานตง ผนวกกับสภาพของจวนองค์หญิงใหญ่กับจวนซิงจี้ป๋อหลังคิดก่อการกบฏ จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ
ความรู้สึกไม่สบายใจนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ครั้นเกิดขึ้นแล้วมันก็หยั่งรากฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจ ความรู้สึกสงสัย กระวนกระวาย วิตกกังวลทยอยเกิดขึ้นไม่หยุด ไม่ต่างอันใดกับเถาวัลย์ยามวสันต์ เลื้อยลามไปทั่วทุกแห่งหนมิอาจควบคุม
หากว่ากันโดยละเอียด ความรู้สึกไม่ไว้วางใจของนางนี้ก็มาจากเหตุผลเดียวกันคือความขี้ขลาดของคนผู้นั้น
หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใด ด้วยนิสัยขี้ขลาดตาขาวของคนผู้นั้น เพื่อปกป้องตนเอง ไม่แน่ว่าเขาอาจใช้ชีวิตของพวกนางเป็นเดิมพัน วางแผนเอาตัวรอด
และเดิมพันที่สำคัญที่สุดนอกจากบุตรและธิดาของนางแล้ว ยังจะมีอื่นใดอีก
ยามนั้นคนผู้นั้นทุ่มเทอย่างสุดกำลังส่งบุตรธิดาของนางออกไปข้างนอก ที่แท้แล้วเพื่อปกป้องหรือหมายยึดเดิมพันไว้ในอุ้งมือก่อนล่วงหน้ากันแน่
เมื่อคิดถึงจุดนี้พระชายาคังอ๋องก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ จิตใจสับสนวุ่นวายถึงขีดสุด
ที่แท้เขาก็ไม่ไว้วางใจนาง เช่นเดียวกับที่นางไม่ไว้วางใจเขา
อันที่จริงไม่ว่าจะเสิ่นจิ้งจือหรือไป๋เหล่าเฉวียน ทุกคนนางล้วนไม่ไว้วางใจ
แต่ว่าทอดสายตามองไปทั่วทั้งแผ่นดินต้าฉู่ คนที่อยู่ข้างกายนางยามนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงคนที่นางสามารถไว้วางใจได้ แค่คนที่พอพูดคุยด้วยได้ก็หามีสักกี่คนไม่
ทันใดนั้นความรู้สึกเศร้ารันทดขมขื่นก็เอ่อท้นขึ้นในใจนาง ปลายจมูกของนางฟุดฟิด ขอบตาแดงระเรื่อขึ้นมาอีกคราว
ทว่านางรู้ว่านางไม่อาจลังเลได้นานนัก จำเป็นต้องตัดสินใจทันที
นางรู้สึกสังหรณ์ใจว่าหากยามนี้ยังไม่ตัดสินใจ นางต้องนึกเสียใจแน่
พระชายาคังอ๋องตัดสินใจแน่วแน่ นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ สองตาที่มองไปทางเสิ่นจิ้งจือวับวาวเป็นประกายคล้ายเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา คล้ายอยากพูดแต่กลับหยุดไว้เท่านั้น
เสิ่นจิ้งจือมองดูนางปราดหนึ่ง ในใจเต้นระส่ำ เขารีบก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดอันใด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจยาวๆ เชื่องช้าก็ดังลอยเข้าหู
“เอาล่ะ จนถึงยามนี้คนที่ข้าพอหวังพึ่งได้ก็คงมีแต่ท่านแล้ว ทั่วหล้านี้คนที่ยินดีช่วยข้าด้วยใจแท้จริงคงมีเพียงแม่ทัพเสิ่นผู้เดียวเท่านั้น” เส้นเสียงอ่อนโยนฝากแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง คล้ายขนนกที่ถูกทิ้งไว้กลางสายลม อ่อนนุ่มแผ่วเบา หล่นร่วงลงกลางใจ
เสิ่นจิ้งจือเนื้อตัวหนาวสะท้าน รู้สึกมือเท้าหัวใจชาสิ้น เขารู้ว่าพระชายาคังอ๋องงดงาม แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสตรีที่ปกติกระทำการใดล้วนตรงไปตรงมา ยามอ่อนโยนจะงดงามเปี่ยมเสน่ห์ชวนหวั่นไหวเยี่ยงนี้
มิน่าคนผู้นั้นถึงได้หลงใหลหัวปักหัวปำเช่นนี้ ที่แท้…
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรามตนเองมิให้คิดต่อ
ที่พวกเขายามนี้ยังสามารถประคองตัวรักษาชีวิตรอดได้นั่นก็ด้วยเพราะพระชายาสละตนเองอยู่เบื้องหน้า ส่วนแม่ทัพใหญ่อย่างพวกเขาแทนที่จะละอายใจที่ตนเองไร้ความสามารถกลับตำหนิสตรีที่ไร้ที่พึ่งพิง นี่หาใช่การกระทำของผู้กล้าไม่
เขานึกละอายใจ ขยับอาภรณ์ลุกขึ้นยืน คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ขอเพียงพระชายามีคำสั่ง ผู้น้อยยินดีบุกน้ำลุยไฟ แม้ตายก็ไม่ปฏิเสธ”
พระชายาคังอ๋องสายตาปลาบปลื้ม ดวงตาวับวาวเป็นประกายคล้ายธารวสันต์เขียวขจี ธารสารทใสกระจ่าง งดงามยากเกินบรรยาย “ยามนี้ข้าคงต้องฝากพวกหลี่เอ๋อร์ไว้กับแม่ทัพเสิ่นแล้ว”
ขณะกำลังพูดนางก็ก้าวเท้าขึ้นหน้าช้าๆ พยุงเสิ่นจิ้งจือให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง
บางทีอาจเพราะตื่นเต้นเกินไป ตอนพยุงเขาปลายนิ้วของนางถึงได้สั่นสะท้านอยู่น้อยๆ ทันทีที่แตะถูกแขนทั้งสองข้างของเสิ่นจิ้งจือ แขนของเขาก็ราวกับลุกติดไฟก่อนจะลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
เขาไม่วายกลืนน้ำลาย ลำคอแห้งผาก มือเท้าชาด้านเป็นเท่าทวี
เสิ่นจิ้งจือจิตใจหวั่นไหว เหม่อลอยไม่เป็นตัวของตนเอง ครั้นตั้งสติได้ สตรีรูปโฉมงดงามไม่มีผู้ใดเทียบเทียมนางนั้นก็จากไปก่อนแล้ว ยามนี้กำลังนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ มือเรียวนั้นกำลังจับพู่กันสะบัดน้ำหมึกเขียนอะไรบางอย่าง
ภายใต้แสงเทียนสีแดง ที่ปรากฏอยู่บนผนังสีขาวราวกับหิมะคือเงาด้านข้างงดงาม สายตาของโฉมสะคราญผู้นั้นกำลังจับจ้องอยู่ที่กระดาษกับปลายพู่กัน สีหน้าสงบนิ่งใบหน้างามสง่า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนจับตายิ่งนัก
ทันใดนั้นเสิ่นจิ้งจือก็นึกดูแคลนตนเอง สองตาหม่นหมอง เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ข้าได้เขียนบอกสถานที่ที่พวกหลี่เอ๋อร์ไปพำนักอยู่ในยามนี้แล้ว รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ยังมีจดหมายที่ข้าเขียนถึงหลี่เอ๋อร์อีกฉบับ ในจดหมายมีรหัสลับที่ข้าตกลงกับเขาไว้ก่อนหน้า เมื่อเห็นมันเขาก็จะรู้จริงเท็จได้ทันที ถึงตอนนั้นเขาย่อมยินดีตามท่านไป” นางเขียนจดหมายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางพู่กันลง ริมฝีปากแดงระเรื่อเป่ารอยน้ำหมึกบนกระดาษ
เสิ่นจิ้งจือก้มหน้ามาโดยตลอด แต่ด้วยวรยุทธ์ของเขา ต่อให้ไม่มอง แค่ฟังเสียงลมเขาก็นึกคิดถึงท่าทางของนางในยามนี้ได้
การนึกคิดเองเช่นนี้ชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเสียอีก หากมิใช่เพราะจิตใจที่แน่วแน่กว่าคนธรรมดาทั่วไป ทำให้สามารถยืนหยัดรักษาจรรยาบรรณนายบ่าวไว้ได้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองจะทำอะไรลงไปบ้าง
พระชายาคังอ๋องสายตาจับจ้องอยู่บนกระดาษเขียนจดหมาย คล้ายใจจดใจจ่อ ทว่าหางตากลับหยุดอยู่บนตัวเสิ่นจิ้งจือ พอเห็นสภาพเช่นนั้นของอีกฝ่าย นางก็มั่นใจว่าความรู้สึกของนางนั้นไม่ผิดจริงๆ
นางรู้ ยิ่งเป็นคนที่ท่วงท่าภูมิฐาน ตัณหาราคะในกระดูกก็ยิ่งมาก
บุรุษบนโลกนี้แต่ละคนล้วนยากผ่านด่านโฉมสะคราญ
นางลอบส่ายหน้ายิ้มหยัน ทว่าใบหน้ากลับเรียบเฉย นางวางจดหมายลงอย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
ก็เหมือนอย่างที่ว่ามากไปน้อยไปล้วนไม่ดี เวลานี้นางก็แค่หยั่งเชิงเท่านั้น ในเมื่อเสิ่นจิ้งจือมีใจ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เท่ากับสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลืออีกครึ่งคงได้แต่ต้องดูประสงค์แห่งฟ้าแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.