X
    Categories: LOVEทดลองอ่านออดอ้อน... เพียงเธอ

ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทที่5-บทที่6

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 5

ตัวตนที่แท้จริง

 

“แล้วคุณภักดิ์ไม่ได้ชอบคุณพลีสจริงๆ เหรอคะ”

แก้วเกล้าวกเข้าประเด็นเดิม เธอถามด้วยความสงสัย เพราะจะว่าไปแล้วภวิลก็ไม่เคยยอมรับว่าชอบพาขวัญ ขนาดอิชยะยังไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดหรือแสดงความในใจที่มีต่อพาขวัญเลย

“งั้นก็น่าแปลกนะคะ” เธอพูดต่อเมื่อชายหนุ่มตอบคำถามด้วยความเงียบ “ทำไมผู้ชายที่ดูดีมากๆ แบบคุณภักดิ์ถึงได้โสดมาจนถึงตอนนี้ เกล้าไม่เชื่อหรอกค่ะว่าจะไม่มีผู้หญิงเข้าหาคุณ”

“มันเลือกเยอะ หรือถ้ามีคนมาคุยๆ ด้วยมันก็คุยเงียบๆ เหมือนเกรงใจใครสักคน” อิชยะชิงตอบคำถามแทนภวิล แก้วเกล้ารู้ได้ทันทีเลยว่า ‘คุยเงียบๆ’ ที่พูดถึงน่ะหมายความว่ายังไง

“รู้ดีจังเลยนะคะ”

แก้วเกล้าอดแขวะคนรักไม่ได้ เพราะก่อนที่จะคบกันอิชยะก็คงมีผู้หญิงไว้ ‘คุยเงียบๆ’ ไม่น้อยเหมือนกัน ดูตอนกับเธอนั่นปะไร…เขายังเคยยื่นข้อเสนอให้เธอเป็นคู่นอนของเขาก่อน

“แต่ผมไม่ทำตัวเป็นเสือร้ายเงียบแบบไอ้ภักดิ์มันก็แล้วกัน ไม่งั้นคุณจะรู้เหรอว่าผมเคยมีข่าวอะไรกับใครมาบ้าง” อิชยะแก้ตัว แต่ก็ไม่ได้ฟังดูดีขึ้นเลยในสายตาของแก้วเกล้า

แต่ความจริงหญิงสาวก็พอจะเข้าใจแหละว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูน อีกทั้งสถานะอย่างพวกเขาสองคนย่อมมีผู้หญิงให้ความสนใจและพยายามเข้าหาอยู่มาก

คนที่เข้ามาก็อาจมาด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ครั้นพวกเขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์กับใครบ่อยๆ ก็คงไม่ดีต่อภาพลักษณ์สักเท่าไหร่ และคงต้องคบดูให้มั่นใจก่อนด้วย ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับว่าตกลงกันยังไง ยอมรับเงื่อนไขของกันและกันได้หรือไม่ แต่เท่าที่รู้จักกันมาเธอมั่นใจว่าพวกเขาไม่ใช่พวกหลอกลวง

อย่างอิชยะที่อดีตเป็นผู้ชายค่อนข้างร้ายกาจอาจมีใช้เล่ห์เหลี่ยมบ้าง กับคนอื่นแก้วเกล้าไม่รู้หรอกว่าเขาจะใช้หรือไม่ แต่กับเธอ…เขาใช้ทั้งเล่ห์และเหลี่ยมจนเธอปวดหัวไปหมด

“ขนาดนายอิชย์ยังโสดมาได้ตั้งนาน มันเพิ่งจะมามีแฟนแบบจริงๆ จังๆ ตอนคบกับคุณเกล้านี่แหละครับ ผมจะโสดนานบ้างก็คงไม่แปลกหรอก” ภวิลแก้ตัว

“อย่างเพื่อนคุณภักดิ์น่ะโสด แต่ไม่สดและไม่ซิงค่ะ ท่าทางจะผ่านมาหลายมือแล้วด้วย” แก้วเกล้ามองเสือร้ายที่นั่งข้างๆ ด้วยความหมั่นไส้จนอิชยะต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ เธออย่างประจบประแจง

“แต่ตอนนี้ผมไม่มีใครนอกจากคุณคนเดียวนะ” เขาบอกก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อน “ฉันว่าแกควรรีบรวบรวมความกล้าจีบคุณพลีส อย่ามาปากแข็งหน่อยเลยน่าว่าแกไม่ได้ชอบเธอ”

เมื่อวนมาที่เรื่องของตัวเองจนน่ากลัวว่าจะ ‘เข้าเนื้อ’ อิชยะก็รีบแนะนำราวกับเป็นกูรูด้านความรักจนแก้วเกล้าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก เขาลืมไปแล้วหรือว่าคราวตัวเองก็เกือบจะเอาตัวไม่รอด

ยังจะมีหน้าไปแนะนำเพื่อนอีก!

“ฉันได้ยินว่าไอ้ ‘ราเมศ’ แฟนเก่าคุณพลีสมันกลับมาจากอเมริกาสักพักแล้วนะ แถมตอนนี้ยังโสดสนิทแล้วด้วย” อิชยะรีบอัพเดตเรื่องศัตรูหัวใจให้ฟังเผื่อว่าภวิลจะกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง

ที่จริงภวิลไม่เคยเล่าเรื่องพาขวัญให้ฟังหรอก แต่เขาสืบมาได้ด้วยตัวเอง

ราเมศ…อายุมากกว่าพาขวัญสองปี เคยคบกับหญิงสาวตอนที่เธอกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ เป็นรักแรกและเป็นแฟนคนแรกของหญิงสาวเลยก็ว่าได้ แต่คบกันได้แค่ครึ่งปีก็ต้องเลิกรากันเมื่อฝ่ายชายจบการศึกษาและไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยจนไม่มีเวลาติดต่อกันเหมือนเดิม

ภวิลจำได้ว่าพาขวัญเศร้าอยู่หลายวัน เธออาจจะไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ดูเหงาๆ ลงไปมาก ภวิลสงสัยจึงแอบตามสืบดูจนได้รู้ความจริงว่าที่ราเมศบอกเลิกพาขวัญไม่ใช่เพราะไม่มีเวลาติดต่อกัน แต่เป็นเพราะหมอนั่นมีผู้หญิงอื่น ทว่าเขาก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงกับเธอเพราะกลัวว่าเธอจะยิ่งเสียใจ

ภวิลเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าราเมศอยากกลับมาคืนดีกับพาขวัญ แต่นับตั้งแต่ ‘วันนั้น’ อีกฝ่ายก็ไม่เคยมาหาหรือติดต่อกับพาขวัญอีกเลย

“ระวังเอาไว้นะ ราเมศยังหนุ่มยังแน่น อายุก็ไล่เลี่ยกับคุณพลีส ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ตอนนี้มันดูดีกว่าเมื่อก่อน แถมยังดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาก บางทีคุณพิธานอาจจะเล็งมันไว้เป็นลูกเขยก็ได้” อิชยะแนะนำปนยุยงให้อีกฝ่ายทำอะไรสักอย่าง “อีกทั้งฐานะ ชาติตระกูล และการศึกษามันก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ”

“สรุปคือจะไม่พูดเรื่องงานแต่งแล้ว…ถูกมั้ย”

ภวิลถอนหายใจใส่เพื่อน จากนั้นก็ตัดบทวกเข้าเรื่องงานทันที

“คราวก่อนที่เราคุยกันได้บทสรุปว่าทั้งคู่อยากไปจัดงานแต่งที่โรงแรมนี้ ฉันก็เลยติดต่อไปขอวันว่างของทางโรงแรมมาแล้วว่าอีกประมาณสี่เดือนข้างหน้ามีวันไหนที่เหมาะจะจัดงานได้บ้าง”

ว่าจบภวิลก็เปิดสมุดออร์แกไนซ์ขึ้นมาอย่างที่อิชยะไม่อาจต่อรองได้เพราะถ้าคุยแต่เรื่องพาขวัญ ภวิลอาจจะลุกขึ้นมาบีบคอเขาแทน ชายหนุ่มได้แต่กลอกตามองบนใส่พลางคิดในใจว่าหากภวิลมัวแต่ชักช้าจนราเมศจีบพาขวัญตัดหน้าไปได้สำเร็จ เขานี่แหละจะเป็นคนแรกที่สมน้ำหน้าภวิล

ทำเป็นนิ่งนอนใจไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นก็คาบไปกินก่อน!

 

พาขวัญไปดูความเรียบร้อยที่โรงเรียนในตอนเช้าเพราะวันนี้จะมีคลาสผู้ใหญ่ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ส่วนตอนเย็นมีคลาสเด็กประถมและคลาสสอนเต้น เมื่อถึงเวลาเที่ยงเธอก็ให้วิชัยพามาส่งที่บริษัท

พิธานนัดพนักงานคนสำคัญและหัวหน้าฝ่ายต่างๆ มาทานอาหารร่วมกันที่ห้องพิเศษในโรงอาหารของตึกโดยสั่งอาหารจากแม่ค้าภายในโรงอาหารและจากร้านข้างนอกมาเพิ่มเติม

เป็นการทานอาหารร่วมกันอย่างเป็นกันเองเพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่จะว่าไปพาขวัญก็รู้จักพนักงานแล้วหลายคนและพนักงานเองก็รู้จักเธอเช่นกันเพราะหญิงสาวเคยมาที่บริษัทแล้วหลายครั้ง บางครั้งก็ไปออกงานกับพิธาน แต่ท่านคงอยากให้เธอมาทำความรู้จักกับทุกคนอย่างเป็นทางการถึงได้นัดมาในวันนี้

“เลยเวลามาสิบนาทีแล้วนะครับพี่พิธาน ทำไมพนักงานดีเด่นของพี่พิธานยังไม่มาอีก ไม่รักษาเวลาเอาเสียเลย” อติกันต์พูดขึ้นขณะที่พิธานกับพาขวัญกำลังพูดคุยกับพนักงานหลายคนอย่างครื้นเครง เสียงนั้นทำให้ทุกคนหยุดคุยกันไปชั่วขณะ “นี่จะไม่ให้ใครไปตามหน่อยเหรอครับ”

“สงสัยคุณภักดิ์ยังคุยงานติดพันอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปตามคุณภักดิ์ให้นะคะ”

กรกนกแก้ตัวแทนเจ้านาย ปกติเวลาอยู่ที่บริษัทเธอมักจะอยู่ข้างๆ ภวิลเพื่อรับคำสั่งของเขาเสมอ แต่วันนี้ขณะกำลังจะออกมาที่ห้องอาหารมีลูกค้าโทรมาพอดี เขาจึงให้เธอล่วงหน้ามาก่อนและบอกว่าจะรีบตามมา ปกติภวิลเป็นคนรักษาเวลาเสมอ หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ เขาไม่มีทางมาสายแน่

“เข้าข้างเจ้านายเหลือเกินนะคุณนก”

อติกันต์เหยียดยิ้ม แต่กรกนกกับภวิลทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเกือบสิบปี ภวิลเป็นหัวหน้าที่ตั้งใจทำงาน ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง และทำตัวน่านับถือเสมอ เธอจะเข้าข้างเขาก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

“คุณนกไม่ต้องไปหรอก ให้น้องพลีสไปดีกว่า” พิธานหันไปมองลูกสาว พาขวัญถึงกับทำหน้างง “น้องพลีสจะได้ไปเห็นห้องทำงานของพี่ภักดิ์เขาด้วยไง เผื่อวันหนึ่งจะอยากมาช่วยงาน”

หญิงสาวทำหน้ามุ่ยในทันที พิธานรู้ดีว่าเธอไม่ชอบทำงานที่บริษัทและไม่อยากดูแลธุรกิจของวงศ์วรารมย์ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ขอท่านเปิดโรงเรียนสอนการแสดงอย่างที่เธออยากทำหรอก

ที่พิธานอยากให้พาขวัญเป็นคนไปตามภวิลเพราะคงอยากให้เธอเห็นเขาในเวลาทำงาน เธอจะได้ชื่นชมเขา และท่านก็คงอยากให้เธอกับเขามีช่วงเวลาคุยกันตามลำพังบ้าง…เธอรู้ทันหรอก

“ไปสิน้องพลีส คนอื่นเขาหิวกันแล้วนะ”

“ค่ะคุณพ่อ”

พาขวัญยอมเดินออกจากห้องทานอาหารไปอย่างไม่อยากขัดใจผู้เป็นพ่อ เพราะเธอเองก็เหมือนทำใจยอมรับข้อเสนอของท่านที่ว่าจะ ‘ดูๆ’ ภวิลเอาไว้บ้าง ฉะนั้นเธอขวางท่านไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร และลึกๆ เธอไม่ได้ต่อต้านภวิล เพียงแต่รู้สึกอึดอัดกับแผนการจับคู่ของพิธานเท่านั้น

พาขวัญอาจไม่ได้มาที่บริษัทบ่อยๆ แต่ก็พอจะรู้ว่าห้องทำงานส่วนตัวของพิธานคือห้องไหนและห้องทำงานส่วนตัวของภวิลอยู่ตรงไหนเพราะเธอเคยไปมาแล้ว

หญิงสาวขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่หมาย ห้องของภวิลอยู่ติดกับชั้นดาดฟ้าของตึก…เธอจำได้

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องหญิงสาวก็ยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต บนชั้นนี้ค่อนข้างเงียบเพราะเป็นช่วงพักเที่ยง พนักงานคงออกไปทานอาหารกลางวันกันเกือบหมดแล้ว

“ไม่อยู่เหรอ…”

พาขวัญพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยหลังจากเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เธอคิดว่าภวิลคงลงไปที่ห้องอาหารและสวนทางกับเธอเพราะลิฟต์ในอาคารมีหลายตัว

แต่เพื่อความแน่ใจหญิงสาวจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องเพื่อสำรวจดูอีกครั้งก่อนจะออกไป ทว่า! ภาพที่ได้เห็นหลังบานประตูก็ทำให้เธอถึงกับตกตะลึงจนเกือบลืมหายใจไปหลายวินาที

ภวิลกับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นพนักงานของบริษัทกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มจนเหมือนลืมเวลาและลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจนอาจเป็นเหตุให้ไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูของเธอก็เป็นได้

ร่างบางหน้าร้อนผ่าว ตัวชา และไม่คิดเลยว่าเธอจะได้เข้ามาเห็นภาพนี้ พาขวัญบอกตัวเองให้ตั้งสติ ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง และออกจากห้องนี้ไปอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้ภวิลกับคู่ขาของเขารู้ตัว แต่เธอก็ช้าไปหลายวินาทีเพราะตอนนั้นทั้งสองคนหันมาเจอเธอเข้าเสียก่อน

“ขอโทษที่ขัดจังหวะค่ะ เอ่อ…พอดีคุณพ่อให้พลีสมาตามพี่ภักดิ์ไปที่ห้องอาหาร ทุกคนรออยู่” พาขวัญพยายามตั้งสติและเรียบเรียงคำพูดบอกกับอีกฝ่ายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จากนั้นหญิงสาวก็รีบเดินออกมาโดยไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ เพราะแค่นี้เธอก็อายแทนพวกเขามากแล้ว แต่…จะโทษภวิลกับคู่ขาของเขาก็คงไม่ได้เพราะเธอดันเปิดประตูเข้าไปเจอเอง

พาขวัญพยายามทำใจยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องส่วนตัวของภวิล แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของพิธานมันก็ทำให้เธออดเสียความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มไม่ได้

พิธานบอกว่าภวิลแอบมีใจให้เธอมานานและเขารู้อยู่แล้วว่าท่านอยากให้เขากับเธอลงเอยกัน…แล้วทำไมเขาถึงยังทำแบบนี้กับผู้หญิงอื่นอยู่อีก สรุปว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่

คำพูดของอติกันต์วนเวียนเข้ามาในความคิดของหญิงสาว เธอไม่อยากตัดสินภวิลจากคำพูดใคร และไม่อยากฟังความข้างเดียว แต่ภาพที่เห็นก็ตอกย้ำให้คำพูดของอติกันต์มีน้ำหนักมากขึ้น พาขวัญไม่ได้อคติกับภวิล เธอไม่ได้หูเบา แต่มีคนเตือนและเห็นกับตาตัวเองแบบนี้แล้วเธอก็คงต้องมองภวิลในหลายๆ ด้าน จะมองแค่ด้านดีของเขาก็คงไม่ได้ เพราะเขาอาจมี ‘ตัวตน’ หรือ ‘เบื้องหลัง’ บางอย่างที่เธอยังไม่รู้

“อ้าว! ทำไมมาคนเดียวล่ะน้องพลีส พ่อให้เราไปตามพี่ภักดิ์นะ”

พิธานถามเมื่อเห็นลูกสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องอาหารอีกครั้ง ท่านคิดว่าจะได้เห็นเธอเดินเคียงคู่มากับภวิล แต่นี่เธอกลับเดินมาคนเดียว แถมสีหน้ายังเหมือนคนไม่สบายใจอีก

“พี่ภักดิ์คุยงานติดพันอยู่ค่ะ เดี๋ยวคงตามมา”

พาขวัญฝืนยิ้มให้บิดาและพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ถึงจะเสียความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งไปเจอมา แต่เธอไม่อยากทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องและเอาเรื่องส่วนตัวของภวิลมาพูด

“แหม! คุณภักดิ์ขยันจริงๆ นะครับ สมแล้วที่คุณพิธานวางใจ” พนักงานคนหนึ่งพูดทีเล่นทีจริง

“ไม่รู้ว่าขยันจริงๆ หรือสร้างซีนเอาหน้ากันแน่นะครับ” อติกันต์พูดติดตลกเหมือนอยากแซวเล่น แต่พิธานรู้ว่าเขาจงใจพูดเพื่อให้พาขวัญมองภวิลในแง่ร้ายและต้องการทำลายคะแนนของภวิล

“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย”

พิธานมองไปยังประตูห้องเมื่อเห็นว่าคนที่ถูกพูดถึงกำลังเปิดมันเข้ามา ชายหนุ่มทักทายทุกคนและกล่าวขอโทษที่มาสายซึ่งก็ไม่มีใครถือสาอะไรเพราะเข้าใจว่าเขาคุยติดพันอยู่กับลูกค้าจริงๆ

“เอาล่ะ ทานข้าวกันได้สักที ผมหิวแล้ว”

พิธานพูดติดตลกเพื่อสร้างบรรยากาศ ทุกคนจึงกลับมาพูดคุยเฮฮาเหมือนเดิม แต่ท่านจับสังเกตได้ว่าท่าทีของภวิลกับพาขวัญมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม…โดยเฉพาะลูกสาวท่าน

ตอนที่ภวิลเข้ามาในห้อง เขาคอยมองพาขวัญหลายครั้งเหมือนอยากหาโอกาสเข้ามาคุยและอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ลูกสาวท่านกลับหลบตาและทำเหมือนมองไม่เห็นเขาราวกับพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุย ทั้งๆ ที่ปกติเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรภวิล พิธานคิดว่าหลังจากคุยเรื่องการแต่งงานแล้วเธออาจทำตัวเหมือนอึดอัดใจและวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีท่าทีต่อต้านหรือหลีกเลี่ยงภวิลแบบนี้เลย

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

หลังจากนั้นระหว่างพาขวัญและภวิลก็ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้นเลย…

คนที่พยายามจับคู่ให้หนุ่มสาวอย่างพิธานถึงกับถอนหายใจที่ทุกอย่างดูจะผิดแผนขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็ใช่ว่าจะสนิทสนมหรือพูดคุยกันมากอยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นในระหว่างที่พาขวัญไปตามภวิลที่ห้องทำงานส่วนตัวก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่ดูจะห่างเหินกันมากขึ้นไปอีก

“น้องพลีสรอพ่อในรถแป๊บนึงนะ พ่อมีอะไรจะคุยกับพี่ภักดิ์เขาหน่อย”

พิธานบอกลูกสาวเมื่อเดินมาถึงหน้าบริษัทซึ่งวิชัยขับรถมาจอดรอรับทั้งสองคนกลับบ้านวงศ์วรารมย์หลังจากที่ร่วมทานอาหารกลางวันและพูดคุยกับพนักงานคนสำคัญของบริษัทเรียบร้อยแล้ว

“ค่ะคุณพ่อ”

พาขวัญหันไปมองคนตัวสูงที่เดินมาส่งเธอกับพิธานที่รถแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเดินไปขึ้นรถเมื่อเขามองตอบเธอคล้ายกับมีอะไรจะพูดด้วย ท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้พิธานมั่นใจว่าทั้งสองคนกำลังมีปัญหากัน

“ภักดิ์กับน้องพลีสทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” ผู้อาวุโสกว่าถามเมื่อเห็นว่าลูกสาวเข้าไปนั่งรอท่านในรถแล้ว “ฉันสังเกตว่าน้องพลีสไม่มองภักดิ์เลยตั้งแต่กลับมาจากไปตามภักดิ์ที่ห้องทำงาน”

“เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ เพียงแต่…”

ภวิลเงียบไปเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง ชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นความผิดของเขาที่ไม่ระวังและปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจนพาขวัญบังเอิญเข้ามาเจอ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นเลย

จริงอยู่ว่าเขากับ ‘จารวี’ พนักงานฝ่ายขายคนสำคัญของบริษัทเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและสานสัมพันธ์กันอย่างไม่เปิดเผย แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว เขาจบความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่พิธานจะคุยเรื่องที่ท่านอยากให้เขาลงเอยกับพาขวัญเสียอีก และทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันเสมอมา

ทว่าจารวีคงยังมีเยื่อใยกับภวิลอยู่ พอเธอได้ยินคนซุบซิบกันว่าพิธานเหมือนจะต้องการให้เขาลงเอยกับพาขวัญ วันนี้เธอจึงตัดสินใจมาคุยกับเขา จารวีพยายามยื้อเขาเอาไว้จนรั้งเขาเข้าไปจูบและพาขวัญก็เข้ามาเห็นพอดี เขาอยากอธิบายให้พาขวัญเข้าใจในวินาทีนั้น แต่เธอก็รีบผลุนผลันออกจากห้อง แล้วที่เขาไม่ได้ตามเธอมาในทันทีเพราะต้องเคลียร์กับจารวีให้เด็ดขาดตั้งแต่ตอนนั้นจะได้ไม่มีปัญหาตามมาอีก

ภวิลอธิบายให้จารวีเข้าใจแล้วว่าระหว่างเธอกับเขาไม่มีทางพัฒนาความสัมพันธ์ได้อีก เขาขอให้ต่อแต่นี้ไปเธอกับเขาเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน และขอให้เธออย่าทำแบบนั้นอีกซึ่งจารวีก็เข้าใจ

แม้จะยังมีเยื่อใยต่อภวิล แต่จารวีเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลและ ‘แมน’ พอที่จะยอมรับความจริง และนี่เป็นข้อดีของเธอที่ทำให้ครั้งหนึ่งเขารู้สึกดีกับเธอจนเริ่มต้นความสัมพันธ์กัน

ทว่าเมื่อศึกษากันและกันได้พักหนึ่งแล้วภวิลก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจรักจารวีและเธอก็เข้ามาแทนที่คนที่อยู่ในหัวใจเขาไม่ได้จริงๆ เขาจึงขอยุติความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเธอด้วยการพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลและทั้งคู่ก็จบความสัมพันธ์กันอย่างเข้าใจ ในตอนนั้นภวิลรู้สึกผิดต่อเธอมาก

เขาไม่อยากเอาเปรียบและปล่อยให้เธอถลำลึกไปมากกว่านี้

“แต่…คุณพลีสเข้ามาเห็นผมกำลังจูบกับวี” ภวิลตัดสินใจบอกความจริงไปในที่สุดเพราะเขาไม่อยากโกหกพิธาน “ตอนนั้นผมอยากจะอธิบายให้คุณพลีสเข้าใจ แต่ไม่มีโอกาสเลย”

“ภักดิ์กับคุณวีเลิกกันไปเกือบปีแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่ากลับมาคบกันอีกรอบ”

พิธานขมวดคิ้วขณะมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด ท่านอาจไม่เคยยื่นมือเข้าไปจัดการหรือก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของภวิล แต่ก็คอยมองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความห่วงใยในฐานะญาติผู้ใหญ่จนพอจะรู้ว่าเขาคบหากับใคร ตอนไหน และจบความสัมพันธ์กันแล้วหรือไม่

หากท่านไม่แน่ใจว่าภวิลยังไม่มีใคร ท่านก็คงไม่พูดเรื่องที่อยากให้เขาลงเอยกับพาขวัญแน่ เพราะท่านไม่ได้อยากให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านได้ชื่อว่าแย่งคนรักของใคร

และที่ท่านต้องถามภวิลให้รู้เรื่องก่อนเพราะไม่อยากให้ภวิลกับพาขวัญห่างเหินกันจนอติกันต์มีโอกาสเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์และหาเรื่องเป่าหูลูกสาวท่านได้อีก

ยังดีที่พาขวัญไม่ใช่คนหูเบาและไร้เหตุผล ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกแย่กับภวิลไปนานแล้ว

“ไม่ใช่ครับ วีคงได้ยินเรื่องที่คนพูดกันว่าคุณท่านอยากให้ผมลงเอยกับคุณพลีส เธอก็เลยมาคุยเรื่องนี้กับผม แต่ผมอธิบายกับเธอแล้วว่าผมกลับไปคบกับเธอไม่ได้ และตอนนี้วีก็เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว”

ภวิลอธิบายโดยไม่ลงรายละเอียดเพราะไม่อยากให้จารวีเสียหายและไม่อยากให้พิธานตำหนิเธอ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้สานความสัมพันธ์กับเธอแล้ว เขาไม่ได้รักเธอในแบบคนรัก แต่เธอยังเป็นเพื่อนที่ดีของเขา และเป็นพนักงานที่มีความสามารถคนหนึ่ง เขาจึงต้องปกป้องเธอ

“เอาเถอะ อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกก็แล้วกัน”

พิธานถอนหายใจ ถึงภวิลจะไม่ได้เล่ารายละเอียด แต่ท่านก็พอจะเดาเหตุการณ์ออก เพราะผู้ชายอย่างภวิลไม่ใช่คนที่จะพูดถึงผู้หญิงในทางเสื่อมเสียและที่ผ่านมาภวิลก็ไม่เคยโกหกท่าน

“เรื่องน้องพลีสน่ะ ฉันไม่ได้บังคับภักดิ์นะ ถ้าภักดิ์ไม่สมัครใจก็บอกฉันได้ ยังไงภักดิ์ก็เป็นเหมือนลูกเหมือนหลานฉันคนหนึ่ง” พิธานย้ำเพื่อให้ภวิลได้ทบทวนให้แน่ใจ หากเขาไม่ยินดีที่จะลงเอยกับพาขวัญ ท่านก็ไม่อยากบังคับจิตใจเขา แม้ว่าท่านจะอยากได้เขาเป็นลูกเขยมากแค่ไหนก็ตาม

“คุณท่านก็น่าจะรู้ว่าผม…ไม่ได้ฝืนใจในเรื่องนี้เลย” ภวิลยืนยันในสิ่งที่พิธานคิดและรับรู้มาโดยตลอด เขาอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ และไม่ได้แสดงออก แต่เขารู้ว่าพิธานรู้จักเขาดีที่สุด

“เอาไว้แก้ตัวใหม่คราวหน้าก็แล้วกัน” พิธานบอก “อีกสามวันจะมีประชุมสำคัญใช่มั้ย ฉันเช็กเวลางานน้องพลีสมาแล้วว่าน่าจะว่างพอดี ตอนเช้าภักดิ์ไปรับน้องพลีสที่บ้านด้วยก็แล้วกัน”

“ครับคุณท่าน”

“ตั้งใจทำคะแนนหน่อยนะ ถ้าฉันเชียร์ภักดิ์มากกว่านี้จะดูเสียผู้ใหญ่แล้ว” พิธานพูดติดตลกก่อนจะเดินไปขึ้นรถอย่างอารมณ์ดีเมื่อภวิลยังยืนยันในสิ่งที่เคยรับปากกับท่านเอาไว้

ภวิลยืนรอส่งพิธานกับพาขวัญด้วยท่าทีนิ่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายเล็กๆ เพราะปกติเขาแทบไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อพาขวัญเลย กระทั่งรถยนต์คันหรูแล่นออกไป เขาจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยพิธานก็เข้าใจและยังเชื่อใจเขา แต่…พาขวัญนี่สิ! ชายหนุ่มไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะยอมรับฟังคำอธิบายของเขาหรือเปล่าในเมื่อตอนนี้…แค่หน้าเขา เธอยังไม่อยากจะมอง

 

 

บทที่ 6

คนบ้าอำนาจ

 

หลังจากวันนั้นภวิลก็ไม่ได้มาที่บ้านวงศ์วรารมย์ ไม่ได้ติดต่อกับพาขวัญ และพิธานก็ไม่ได้พูดถึงเขาให้เธอได้ยินซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะปกติภวิลก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ และไม่ได้ติดต่อกับเธอเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว แต่…สิ่งที่ไม่ปกติคือความรู้สึกของหญิงสาวต่างหาก

พาขวัญพยายามคิดว่าภวิลอายุตั้งสามสิบห้าปีแล้ว เขาจะมีผู้หญิงพัวพันในชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ฉะนั้นเธอไม่ควรเก็บเอาเรื่องในวันนั้นมาใส่ใจ แต่…ผ่านมาสามวันแล้ว ภาพที่ภวิลจูบกับผู้หญิงคนนั้นก็ยังตามหลอกหลอนเธอไม่หาย ทั้งยังทำให้เธอร้อนรุ่มในใจทุกครั้งที่นึกถึง

พาขวัญไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเธอจะจำเหตุการณ์นั้นเอาไว้ฝังจิตฝังใจทำไม ทั้งๆ ที่จำแล้วมันไม่เกิดประโยชน์อะไรในชีวิตของเธอเลยนอกจากจะทำให้เธอรู้สึกแย่

“วันนี้น้องพลีสไม่ได้ออกไปไหนใช่มั้ย” พิธานถามเมื่อเห็นว่าลูกสาวทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ที่จริงท่านเช็กตารางสอนของโรงเรียนมาแล้วว่าวันนี้เธอไม่มีคลาสสอน แต่ก็ถามเพื่อเข้าประเด็น

“ค่ะ คุณพ่อถามทำไมเหรอคะ”

“วันนี้จะมีประชุมสำคัญที่บริษัท พ่อก็เลยบอกให้พี่ภักดิ์เขามารับน้องพลีสไปที่บริษัทด้วย น้องพลีสจะได้เห็นบรรยากาศในการทำงาน” พิธานพูดต่ออย่างใจเย็น

“แต่พลีสไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย พลีสไม่ได้อยากไปทำงานที่บริษัทอยู่แล้ว”

พาขวัญทำหน้ามุ่ย เดิมทีเธอคิดว่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ออกกำลังกายเบาๆ ดูหนังที่อยากดู และเตรียมการสอนสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่กลับต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเพราะพิธานอยากให้เธอมีเวลาอยู่กับภวิล

พอนึกถึงหน้าภวิล หญิงสาวก็นึกถึงตอนที่เขาจูบกับผู้หญิงคนนั้นในห้องทำงานทำให้ยิ่งไม่อยากเจอหน้าเขา…พิธานอยากให้เธอลงเอยกับภวิล แต่ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าเขาอยากจะลงเอยกับเธอ

“เผื่อว่าน้องพลีสไม่อยากแต่งงานกับพี่ภักดิ์เขาไง จะได้รู้ว่าตัวเองต้องทำงานอะไรแทนพี่เขาบ้าง เดี๋ยวน้องพลีสจะหาว่าพ่อบังคับให้น้องพลีสแต่งงานกับพี่ภักดิ์และไม่มีทางเลือกให้น้องพลีส”

พิธานบอกอย่างมีเหตุผล แต่พาขวัญอดคิดไม่ได้ว่าตัวเลือกที่ท่านมีให้นั้นไม่ต่างอะไรกับบังคับเธอ แต่ครั้นจะให้ท่านขายบริษัทหรือยกบริษัทให้คนที่ไว้ใจไม่ได้มาดูแลก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจท่านจนเกินไป

พิธานกับมาติกาสร้างบริษัทนี้ขึ้นมา เธอรู้ว่ามันมีค่า มีความหมาย และไม่ต่างจากอนุสรณ์ความรักและเป็นตัวแทนของมาติกา…พ่อเธอรักบริษัทและทุ่มเททุกอย่างให้กับมันมายาวนานกว่ายี่สิบปี ไม่มีทางที่ท่านจะอยากเห็นมันถูกทำลายหรือล่มสลายลงมาต่อหน้าต่อตาหรอก

“แต่พลีสกะว่าจะอยู่บ้านเตรียมการสอนให้เด็กๆ”

“น้องพลีสเรียนทางนี้มาโดยตรง คลาสเด็กๆ นี่ก็สอนมานานแล้วนี่นา คงไม่ต้องเตรียมตัวนานหรอกมั้ง กลับจากบริษัทค่อยมาเตรียมตัวก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะบอกพี่ภักดิ์เขาให้ว่าอย่าพาเรากลับมาเย็นมาก” พิธานตะล่อมด้วยเหตุผลที่หญิงสาวไม่อาจหาข้ออ้างใดๆ มาบ่ายเบี่ยงได้อีกแล้ว

ท่านฉลาดและหาข้อมูลมารอบด้านสมกับเป็นพ่อของเธอจริงๆ!

“น้องพลีสรีบไปแต่งตัวเถอะ อีกเดี๋ยวพี่ภักดิ์เขาจะมารับแล้ว อย่าให้เขาต้องรอนานถ้าไม่อยากให้เขามองว่าเราเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่โต”

“ค่าาา พลีสไปก็ได้ค่ะคุณพ่อ”

ลูกสาวคนสวยทำปากยื่นใส่พิธานก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นห้องไปแต่งตัว คนเป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา ทว่าใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ต่อให้พาขวัญจะเติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวยในสายตาของใครต่อใคร แต่เธอก็ยังเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ในสายตาท่านอยู่ดี

 

พาขวัญใช้เวลาแต่งตัวราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็เดินลงมาจากชั้นบนในขณะที่พิธานนั่งรออยู่ในห้องรับแขก พอได้ยินเสียงคนเดินมาท่านจึงละสายตาจากรายการข่าวไปมองเธอ

“พ่อว่ากระโปรงของน้องพลีสสั้นไปนิดนึงนะลูก”

พิธานมองลูกสาวที่เดินมานั่งข้างๆ ร่างบางสวมเสื้อตัวเล็กเข้ารูปสีขาวแล้วทับด้วยสูทสีโอลด์โรสดูไม่เป็นทางการจนเกินไป กระโปรงสีเดียวกันกับสูทดูเข้าชุดและลงตัวดี ความจริงบริษัทของท่านเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องแต่งตัว สาวๆ ในฝ่ายขายและฝ่ายประชาสัมพันธ์ออกจะแต่งตัวเปรี้ยวจนเข็ดฟันเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านยังมองว่าลูกสาวท่านเป็นเด็กน้อยก็เลยหวงเป็นธรรมดา

“ไม่สั้นหรอกค่ะคุณพ่อ ใครๆ เขาก็ใส่กัน”

พาขวัญยิ้มประจบเพราะเธอเช็กความเรียบร้อยของชุดมาดีแล้ว กระโปรงของเธอเป็นแบบจีบรอบ ความยาวเหนือเข่าขึ้นมาแค่สองนิ้วเท่านั้นเอง และเธอก็สวมกางเกงขาสั้นไว้ข้างในด้วย

“งั้นก็ตามใจ แต่ยังไงก็เดินระวังๆ หน่อยนะ”

“ค่าาา คุณพ่อ”

ขณะที่สองพ่อลูกกำลังคุยกันอยู่นั้นรถยนต์คันหรูของภวิลก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านวงศ์วรารมย์พอดี ร่างสูงในชุดสูทที่ดูดีและสง่างามอยู่เสมอก้าวลงจากรถก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้พิธานแล้วหันไปมองร่างบางข้างกายท่านซึ่งเธอก็มองเขากลับมาด้วยสายตาที่…น่าจะยังเคืองเขาอยู่

“น้องพลีสไปกับพี่ภักดิ์เขาแล้วอย่าดื้ออย่าซนให้พี่เขาปวดหัวนะ ถ้าไม่ช่วยงานพี่เขาแล้วยังสร้างปัญหาอีก กลับมาพ่อจะดุให้” พิธานเตือนลูกสาวติดตลกจนเธอทำหน้ามุ่ยใส่

“คุณพ่อ! พลีสไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ พลีสอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เป็นถึงคุณครู มีลูกศิษย์ลูกหาแล้ว วัยนี้เขาไม่ดื้อไม่ซนกันแล้วค่ะ” คนไม่ดื้อไม่ซนรีบออกตัวเป็นการใหญ่

พิธานยิ้มขำพลางคิดในใจว่าคนโตแล้วที่ไหนเขาจะเที่ยวทำแก้มป่องใส่คนอื่นแบบนี้

“ฝากน้องด้วยนะภักดิ์ คิดซะว่าน้องพลีสเป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของภักดิ์ จะใช้งาน จะดุ หรือจะเตือนอะไรก็ได้ ฉันอนุญาตตามที่ภักดิ์เห็นสมควร” พิธานหันไปพูดกับชายหนุ่ม

“คุณพ่อ!” พาขวัญโวย

“ไปกันได้แล้วไป สายแล้ว” พิธานพูดต่อราวกับไม่เห็นสายตาคัดค้านของลูกสาว “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาบอกฉันนะภักดิ์ เดี๋ยวฉันจัดการเด็กไม่ดื้อไม่ซนแถวนี้ให้เอง”

“ครับคุณท่าน”

ภวิลรับคำก่อนจะค้อมตัวเล็กน้อยเพื่อเชิญให้พาขวัญเดินไปขึ้นรถอย่างให้เกียรติเธอ แม้จะขุ่นเคืองใจที่บิดาให้สิทธิ์ขาดภวิลในการดูแลเธอ แต่หญิงสาวก็เดินไปขึ้นรถโดยไม่โต้แย้งอะไรอีก

ขืนเถียงมากๆ เข้า เดี๋ยวจะถูกหาว่าเป็นเด็กงอแงอีก!

ชายหนุ่มมองตามหลังร่างบางไป ความจริงเขาก็นึกชื่นชมเธออยู่หรอกว่าเลือกเสื้อผ้าได้เหมาะกับตัวเอง เวลาอยู่ในชุดทำงานแล้วดูสวยและน่ารักดี แต่กระโปรงสั้นจีบรอบที่เธอสวมนี่มันขัดใจเขาจริงๆ

ยิ่งพอเธอใส่รองเท้าส้นสูงเข้าไปแล้ว กระโปรงที่ไม่สั้นมันก็ดูสั้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เวลาก้มๆ เงยๆ นี่เรียวขาสวยและขาวผ่องของเธอคงทำให้หนุ่มๆ ที่พบเห็นหัวใจแทบวายไปตามๆ กันเป็นแน่

ภวิลเก็บความรู้สึกนั้นไว้ก่อนจะเดินตามไปขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับคนที่นั่งมาด้วย และพาขวัญก็ยังไม่คิดจะคุยอะไรกับเขาเช่นกัน เธอยังรู้สึกไม่ดีอยู่เรื่องที่เขาจูบกับจารวี

“พี่ภักดิ์คงไม่คิดจะใช้งานพลีสอย่างที่คุณพ่อบอกจริงๆ หรอกนะคะ”

ในที่สุดพาขวัญก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่อยากคุยกับเขา แต่…หญิงสาวจำเป็นต้องตกลงกับเขาก่อน ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มอาจจะฉีกหน้าเธอต่อหน้าพนักงานคนอื่นก็เป็นได้ เธอไม่อยากให้ใครเอาไปพูดได้ว่าพิธานไม่สอนงานให้ลูกสาวอย่างเธอเลย

“ผมคิด” ภวิลตอบไปตามตรง ที่จริงเขาไม่ได้อยากจะทำตัวโหดกับพาขวัญตั้งแต่วันแรก แต่เธอพูดขึ้นมาอย่างนั้นก็ดีแล้ว เขาจะเตือนเรื่องกระโปรงของเธอ “คุณท่านบอกว่าผมสามารถตักเตือนคุณพลีสได้ตามที่ผมเห็นสมควร และอย่างแรก…ผมเห็นสมควรว่าคงต้องจัดระเบียบคุณพลีสตั้งแต่เรื่องแต่งตัว”

“ทำไมคะ”

“ผมว่ากระโปรงของคุณพลีสสั้นไป งานที่บริษัทไม่ใช่งานแฟชั่นโชว์”

“แต่สำหรับผู้หญิงแล้วทุกที่คือรันเวย์” เธอเถียง

“แต่คุณพลีสมาทำงาน ไม่ใช่มาเป็นนางแบบ และผมต้องการคนทำงานที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าเซ็กซี่” ภวิลพูดต่อโดยไม่หันไปมองคนข้างๆ ทั้งๆ ที่เธอกำลังจ้องเขาตาเขียว

“แต่ข้างในมันมีกางเกงขาสั้นอีกชั้นนะคะ มันไม่ได้โป๊เลย!”

ภวิลเห็นด้วยในเรื่องที่ว่าผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัวยังไงก็ได้ตามความพอใจของตัวเอง แต่เขาคิดว่าพาขวัญก็ต้องป้องกันตัวเองจากสายตาผู้ชายเช่นกัน ต่อให้เธอสวมกางเกงขาสั้นไว้ข้างใน แต่มันก็คงสั้นมากและแนบไปกับเรือนร่าง ยังไงภวิลก็ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนได้เห็นและจินตนาการถึงเธอในแง่นั้น

“ต่อไปนี้ถ้าคุณพลีสมาที่บริษัทกับผม กระโปรงที่สั้นที่สุดขอให้ยาวคลุมเข่า กระโปรงจีบรอบก็ห้าม เพราะมันคงไม่เวิร์กแน่ถ้าวันไหนมีพายุ แล้วก็ห้ามใส่เสื้อคอลึกคอเว้า เพราะคุณพลีสคงไม่ชอบถ้าจะมีผู้ชายมองหน้าอกเวลาคุณพลีสก้มลงหยิบของ” ภวิลร่ายยาวจนคนฟังได้แต่ทำตาโต

“คนบ้าอำนาจ” เธอบ่นทันที

“เสื้อผ้าที่บางเกินไปก็ห้ามด้วย” เขาพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินที่เธอค่อนขอด

“พี่ภักดิ์!” พาขวัญแทบจะยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเอง

ด้วยความที่พิธานทักเรื่องกระโปรงของเธอก่อนเป็นคนแรก พอเจอภวิลออกคำสั่งแบบนี้เธอก็ยิ่งคิดว่าพ่อคงป้อนโปรแกรมเขาไว้แน่ๆ เขาถึงได้มาไล่บี้เอากับเธออีก ชายหนุ่มช่างเป็นหุ่นยนต์ที่ตอบสนองคำสั่งของผู้คุมระบบได้ดีจริงๆ นี่เขาจัดระเบียบเธอยิ่งกว่านักเรียนมัธยมเสียอีก

“ผมคิดว่าคุณท่านก็น่าจะเห็นด้วยในเรื่องนี้”

ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้พาขวัญได้เถียง เขาทำเป็นโหดทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาหวงเธอและกลัวว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหวจนเผลอแสดงความรู้สึกที่มีต่อเธอออกไป

“พลีสไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ภักดิ์ต้องมาเข้มงวดกับพลีสถึงขนาดนี้”

พาขวัญถอนหายใจและจ้องหน้าเขา เธอคิดว่าผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะแต่งตัวยังไงก็ได้หากถูกกาลเทศะ ผู้ชายควรเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้หญิง ไม่ใช่อะไรๆ ก็โยนให้แค่ผู้หญิงรับผิดชอบฝ่ายเดียว

“ผมแค่ไม่อยากให้ใครมองว่าคุณพลีสแต่งตัวโป๊”

“โป๊เหรอคะ” พาขวัญเริ่มโกรธเพราะภวิลใช้คำพูดรุนแรงเกินไปราวกับว่าเธอจะแต่งตัวไปยั่วใคร “ถ้าพลีสแต่งตัวโป๊แล้วคู่ขาของพี่ภักดิ์เรียกว่าอะไร กระโปรงของพลีสยังสั้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเธอเลย”

ที่จริงพาขวัญไม่อยากพาดพิงถึงจารวี แต่ภวิลทำให้เธอหมั่นไส้จนยั้งปากไม่อยู่ เขาสั่งห้ามเธอต่างๆ นานา แต่ผู้หญิงของเขากลับได้อภิสิทธิ์ ทำไมไม่ไปตักเตือนคนของตัวเองบ้าง

“จารวีไม่ใช่คู่ขาของผม” ภวิลพูดขึ้นหลังจากต่างคนต่างเงียบ เพราะเขาให้เวลาเธอปรับสภาพจิตใจให้เย็นลงก่อน “ผมกับเธอเคยคบกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เราเลิกกันมาได้เกือบปีแล้ว”

“แต่วันนั้นพี่ภักดิ์จูบกับเธอ และพลีสเห็นมากับตา”

“ผมไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่มันเป็นจูบที่ไม่ได้เกิดจากความรักหรืออารมณ์แบบนั้น” ภวิลอยากบอกความจริงกับพาขวัญอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่อยากให้จารวีเสียหายจึงพูดอ้อมๆ “หลังจากเลิกกันผมกับวีก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราจบกันอย่างเข้าใจว่าผมไม่สามารถไปต่อกับเธอได้ แต่เธออาจยังมีเยื่อใยกับผมอยู่ พอเธอรู้เรื่องของเรา…เธอก็เลยมาคุยกับผม เธอคิดว่าผมกับเธออาจมีโอกาสกลับมาคบกันอีก”

“จะบอกว่าเธอเป็นฝ่ายจูบพี่ภักดิ์เพราะเธออยากรั้งพี่ภักดิ์เอาไว้งั้นเหรอคะ”

“แล้วหลังจากคุณพลีสออกจากห้องไป ผมก็คุยกับเธอจนเข้าใจแล้วว่าระหว่างเราเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้ และเธอรับปากว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก”

“แล้วพี่ภักดิ์ล่ะคะ”

“ผมทำไม”

“คุณวีพูดว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก แล้วพี่ภักดิ์ล่ะจะทำให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกมั้ย” พาขวัญหันไปมองคนตัวสูงขณะที่รถวิ่งมาจอดติดไฟแดงพอดี

“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อผมรับปากคุณท่านแล้ว…เรื่องของเรา”

ภวิลยังคงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำนิ่งเรียบ แต่คราวนี้เขาละสายตาจากการจราจรเบื้องหน้ามาสบสายตากับคนข้างกาย ดวงตาสีฟ้าคมกริบคู่นั้นมองเธออย่างแน่วแน่และมั่นคง

ชั่วขณะนั้นหัวใจของพาขวัญเต้นแรงสั่นไหวโดยที่เธอไม่อาจควบคุม แต่เธอก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าเธอสบตาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงไม่ได้เตรียมใจจะรับมือกับดวงตาทรงเสน่ห์คู่นี้

“คุณพลีสอย่าโกรธผมเลย”

ภวิลละมือจากพวงมาลัยแล้วใช้มันกุมมือบอบบางของหญิงสาวเบาๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พาขวัญถูกจับมือ แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงและมือเย็นเฉียบกับเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขามองสบตาเธอโดยไม่ยอมละห่างและเป็นเธอที่ต้องยอมแพ้

“ไฟเขียวแล้วค่ะ พี่ภักดิ์ออกรถได้แล้ว”

ร่างบางเมินหน้าไปมองทางอื่น ภวิลจึงหันไปขับรถต่อ แต่มือเย็นเฉียบที่บอกอาการประหม่าและใบหน้าแดงระเรื่อแสดงความเขินอายของพาขวัญทำให้เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย

เช้านี้…อากาศสดใสจริงๆ

 

การประชุมเริ่มขึ้นตอนเก้าโมงเช้าที่ห้องประชุมใหญ่เพราะวันนี้แต่ละทีมจะต้องเข้ามาสรุปงานและรับงานจากภวิล บริษัทวงศ์วรารมย์เป็นบริษัทออร์แกไนเซอร์ขนาดใหญ่ มีหลายทีมเพื่อรับงานอย่างหลากหลายและต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละทีมจะมีสมาชิกหลายคนแบ่งหน้าที่กัน แต่คอยช่วยเหลือกัน หากเป็นอีเวนต์ใหญ่ๆ อาจจะมีการรวมทีมเกิดขึ้นตามความเห็นชอบของภวิลและผู้ร่วมงาน

ภวิลยืนอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม กรกนกนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของเขา พาขวัญนั่งข้างๆ กรกนก ส่วนตรงกันข้ามเลขาฯ สาวคืออติกันต์ที่วันนี้ก็มาร่วมประชุมด้วย และเก้าอี้ตัวอื่นๆ คือทีมงานฝ่ายต่างๆ

“งานเปิดตัวน้ำหอมในเดือนหน้า ทีมคุณรับไปทำก็แล้วกัน เพราะงานที่แล้วเจ้าของงานเขาพอใจมาก น่าจะดีลงานได้ง่าย” ภวิลแจงงานใหม่ที่บริษัทเพิ่งรับมาให้กับทีมต่างๆ

“จะไม่เป็นการผูกขาดเกินไปเหรอ” อติกันต์แย้งขึ้นมาทันที “ให้ทีมงานเดิมรับงานจากลูกค้าเดิมอาจจะคุยกันนอกรอบแล้วมีนอกมีในหรือเปล่า อีกอย่างน่าจะสลับทีมใหม่ไปทำจะได้มีไอเดียใหม่ๆ บ้าง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงลูกค้าก็ดีลตรงกับผมอยู่แล้ว” ภวิลตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แม้จะไม่พอใจที่อติกันต์พูดโพล่งขึ้นมาโดยไม่รักษาน้ำใจทีมงาน อีกฝ่ายพูดราวกับว่าทีมงานจะโกงทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย และตัวอติกันต์เองก็แทบไม่เคยสัมผัสงานด้วยซ้ำ “ส่วนงานเปิดตัวคอนโดฯ ที่เชียงรายผมจะให้ทีมคุณทำนะครับ ลูกค้ารายนี้ยังไม่เคยดีลกับเรา เขาติดต่อมาว่าสนใจ แต่อยากคุยรายละเอียดก่อน เขาคงมีตัวเลือกอยู่ในใจหลายเจ้า เราอาจจะต้องวางแผนงานดีๆ ไปนำเสนอ อีกสามวันผมขอฟังไอเดีย”

ภวิลมอบหมายงานใหม่ให้กับอีกทีม ขณะนั้นก็มีพนักงานคนหนึ่งยกมือขึ้น

“ว่าไง” ชายหนุ่มอนุญาตให้อีกฝ่ายพูด

“งานอีเวนต์เปิดตัวลิปสติกแบรนด์ใหม่ในวันมะรืนนี้มีปัญหาค่ะ คุณ ‘ญาดา’ ที่เราเคยขอคิวเธอไว้จู่ๆ ก็ให้ผู้จัดการโทรมาแคนเซิลเมื่อกี้นี้เอง ดิฉันพยายามขอร้องให้เธอมาร่วมงานกับเราก่อน เธอก็บ่ายเบี่ยงบอกว่ากองถ่ายให้มาไม่ได้จริงๆ แต่ที่จริงเธอน่าจะรับอีเวนต์อื่นที่อาจให้ค่าตัวสูงกว่า”

“บอกเธอว่าถ้าเธอไม่มาเราจะเปลี่ยนแขกรับเชิญเป็นกมลกานต์…แค่นี้เธอก็น่าจะให้คิวเราแล้ว คุณออกไปโทรคุยกับเธอเดี๋ยวนี้เลยครับ ก่อนที่เธอจะรับงานฝ่ายโน้นก่อน”

ภวิลบอกอย่างมั่นใจว่ายังไงญาดาก็ต้องเปลี่ยนใจมางานนี้แน่นอน ญาดาเป็นนางเอกตัวแม่ในวงการบันเทิง ในอดีตเธอคือเบอร์หนึ่งของช่องยี่สิบสามและครองบัลลังก์มาอย่างยาวนาน แต่ไม่นานมานี้เพิ่งแตกคอกับอิชยะ เมื่อหมดสัญญาเธอจึงไปเซ็นสัญญากับช่องคู่แข่งเพื่อตอกหน้าเพื่อนเขา

อิชยะแก้เกมด้วยการปั้นกมลกานต์ขึ้นมาแทนที่ญาดา และดูเหมือนว่าตอนนี้กมลกานต์ก็กำลังมาแรงมากจนบัลลังก์ของนางเอกตัวแม่อย่างญาดาสั่นสะเทือน แล้วในงานเปิดตัวลิปสติกวันมะรืนนี้หากกมลกานต์มาแทนที่แล้วได้ใจลูกค้าไปครองก็คงปาดงานญาดาไปได้อีกหลายงานเลยทีเดียว

ไม่มีทางที่ญาดาจะยอมให้คู่แข่งคนสำคัญมาแทนที่เธอได้หรอก

“ถ้าเกิดญาดาไม่สนใจก็ไม่เท่ากับต้องเปลี่ยนคนจริงๆ เหรอ แล้วจะเอาคิวกมลกานต์มาได้ยังไง ลูกค้าจะว่ายังไงที่จู่ๆ เราก็เปลี่ยนแขกรับเชิญกะทันหันทั้งๆ ที่เราคุยกับเขาเอาไว้แล้ว” อติกันต์แย้งอีก

“ผมเคยร่วมงานกับญาดามาก่อน ผมรู้ว่าเธอไม่มีทางยอมให้กมลกานต์รับงานนี้แทนเธอหรอก คุณกันต์ไม่ต้องกังวล” ภวิลตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

กรกนกซึ่งอายุพอๆ กับอติกันต์และทำงานมาก่อนภวิลมองสบตาเขาเหมือนจะเตือนให้เขารับมือกับอติกันต์ให้ดีๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกเธอว่าวันนี้อติกันต์มาเพื่อขัดเขาโดยเฉพาะ

ชายหนุ่มพยักหน้าให้กรกนกเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขารับมือไหว แต่…คนที่ไม่ไหวเห็นจะเป็นพาขวัญที่นั่งข้างๆ กรกนก เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีมติประชุมที่เคร่งเครียดและการโต้เถียงกันไปมาระหว่างภวิลกับอติกันต์อีกหลายประเด็นจนหญิงสาวมึนศีรษะและแทบทนนั่งฟังต่อไปไม่ไหว หากไม่ติดว่าเธอเห็นแก่หน้าพิธาน เธอคงขอยาดมมาสูดกลางห้องประชุมไปแล้ว

งานที่บริษัทมันไม่ใช่ทางของเธอจริงๆ!

 

“ไหวมั้ย…”

ภวิลถามพาขวัญภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมในเวลาเกือบเที่ยงครึ่ง ทุกคนทยอยเดินออกไปเกือบหมดแล้ว แต่ร่างบางยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเหมือนคนที่ไม่ค่อยสบายนัก

การประชุมทำให้พาขวัญเครียดจนเวียนศีรษะแทบอยากจะอาเจียน แต่ภวิลกลับรับมือได้ทุกปัญหาราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องเจอทุกวันและมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย

“ไหวค่ะ พลีสแค่หน้ามืดนิดหน่อย”

หญิงสาวฝืนยิ้มให้คนตัวสูงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยมีภวิลคอยมองตามอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่าง เขาทำราวกับว่าหากเห็นเธอเซเมื่อไหร่ก็จะรีบเข้ามาประคองทันที

“น้องพลีสออกไปทานอาหารข้างนอกกับอามั้ย” อติกันต์เห็นว่าภวิลแสดงท่าทีห่วงใยและพยายามหาทางใกล้ชิดพาขวัญจึงพยายามดึงเธอให้ออกห่างจากอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พลีสอยากนั่งพักสักหน่อย คุณอาไปทานข้าวเถอะค่ะ”

พาขวัญบอกอย่างเกรงใจ เธอพอจะรู้ว่าปกติแล้วอติกันต์ไม่ได้เข้าบริษัททั้งวัน บางวันก็ไม่เข้ามา แต่วันนี้เธอจะมาประชุมด้วย เขาก็คงอยากมาเป็นเพื่อน ถ้าต้องให้เขามาดูแลหญิงสาวต่อ เธอก็รู้สึกเกรงใจจริงๆ

“งั้นไปนั่งพักที่ห้องทำงานของอาดีมั้ย”

“พลีสไม่รบกวนคุณอาดีกว่าค่ะ”

“แล้วจะไปนั่งพักที่ไหน ห้องทำงานของนายภักดิ์เหรอ” น้ำเสียงของอติกันต์ดุขึ้นราวกับเริ่มไม่พอใจ “เกรงใจอา แต่ไม่เกรงใจนายภักดิ์หรือไง สนิทกับนายภักดิ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เปล่าค่ะ แต่คุณพ่อฝากพี่ภักดิ์ให้ดูแลพลีสแล้วนี่คะ”

พาขวัญบอกไปตามที่คิด ถ้าให้เธอเลือกระหว่างไปอยู่ห้องทำงานของอติกันต์กับห้องทำงานของภวิล เธอเลือกไปที่ห้องภวิลดีกว่า แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับห้องนั้นเพราะเคยเห็นภวิลจูบกับจารวีที่นั่น แต่ก็คงดีกว่าให้เธอต้องทนอึดอัดเวลาอยู่กับอติกันต์ที่ตอนนี้พยายามทำดีกับเธอเพราะมีแผนการบางอย่าง

น่าแปลกที่แม้จะอยู่ร่วมบ้านกันมานานและเคยคิดว่าคุ้นเคยกับอติกันต์มากกว่าภวิล แต่เธอกลับรู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากกว่าเวลาอยู่กับภวิล…อาจเพราะช่วงหลังๆ เธอได้เจอกับชายหนุ่มมากขึ้นก็ได้

“ตามใจ เรามันเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งพี่พิธานเขาทุกอย่างอยู่แล้วนี่”

อติกันต์ทิ้งท้ายอย่างประชดประชันก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทิ้งให้พาขวัญได้แต่ยืนทำหน้างงและพึมพำกับตัวเองเบาๆ

“แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยนะ”

“คุณภักดิ์กับคุณพลีสมีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือเปล่าคะ” กรกนกที่ยืนรอรับคำสั่งเจ้านายถามเมื่ออติกันต์ออกไปแล้ว ยิ่งเห็นท่าทีของอติกันต์ในวันนี้เธอยิ่งเป็นห่วงเจ้านายอย่างบอกไม่ถูก

เธอรู้…คนอย่างอติกันต์ทำทุกอย่างได้เพื่อตัวเอง แม้ว่าจะต้องทำร้ายคนอื่นก็ตาม

“ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ คุณนกไปพักเถอะ เดี๋ยวผมดูแลคุณพลีสเอง”

“ค่ะคุณภักดิ์ แต่ถ้ามีอะไรก็โทรบอกดิฉันได้เลยนะคะ”

กรกนกบอกแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป พาขวัญสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายออกเหมือนพยายามขับไล่ความตึงเครียดก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมบ้าง

ภวิลสาวเท้ายาวๆ เดินแซงมาเปิดประตูให้ราวกับเป็นหน้าที่ จนพาขวัญอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาดูแลเธอดีเกินไปจนแทบจะพูดได้ว่าถ้าเธอขี้เกียจเดิน เขาก็คงยินดีจะอุ้มเธอแน่ๆ แต่พอคิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็หัวใจเต้นแรงและใบหน้าร้อนผ่าวจนอดต่อว่าตัวเองในใจไม่ได้ว่าอยู่ดีๆ ภวิลจะมาอุ้มเธอทำไม

เพ้อเจ้อไม่เข้าเรื่อง!

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Editor Jamsai: