บทที่ 9
แผนการจับคู่
‘พี่ภักดิ์ก็มีธุระต้องเข้าไปคุยกับคุณพ่อด้วย ยังไงเราก็ต้องกลับพร้อมกันอยู่แล้ว’
ราเมศนึกถึงคำพูดของพาขวัญบวกกับท่าทีของเธอในตอนนั้นแล้วรู้สึกหมดสนุกกับการปาร์ตี้ในคืนนี้จนเขาต้องออกจากผับและขับรถกลับบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งจะเที่ยงคืนเท่านั้น
พาขวัญใส่ใจความรู้สึกของภวิลมากทั้งๆ ที่ตอนคบหากับเขานั้นเธอแทบจะไม่เคยพูดถึงภวิลด้วยซ้ำ ทำให้เขาเข้าใจว่าต่อให้เธอไม่ได้ดูถูกภวิล แต่อีกฝ่ายก็คงมีสถานะแค่เด็กในบ้านคนหนึ่ง
นี่แสดงว่าเรื่องที่คนลือกันว่าทั้งสองอาจกำลังคบหาดูใจกันคงเป็นเรื่องจริง…
ยิ่งคิดหัวใจของราเมศก็ยิ่งปั่นป่วนร้อนรุ่ม เขาไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนใกล้ชิดพาขวัญ เพราะเขาต้องการกลับเข้าไปในชีวิตเธอ และทำให้เธอกลับมาเป็นคนรักของเขาอีกครั้ง!
ชายหนุ่มยอมรับว่าเรื่องในอดีตเขาเป็นฝ่ายผิดเองที่บอกเลิกพาขวัญ แต่ในตอนนั้นเขายังเด็ก ยังรักสนุก ยังเป็นวัยรุ่นที่คึกคะนอง และยังอยากหาประสบการณ์ชีวิตไปเรื่อยๆ
แรกเริ่มราเมศเห็นว่าพาขวัญน่ารักดี ฐานะและความประพฤติก็เรียบร้อยงดงาม เธอมีผลการเรียนดี เป็นเด็กกิจกรรมจึงเป็นที่รักของครูอาจารย์ เพื่อนร่วมรุ่น และรุ่นพี่รุ่นน้อง
ใช่! พาขวัญโดดเด่นมากจนมีผู้ชายหลายคนในโรงเรียนให้ความสนใจ ราเมศคิดว่าเธอคู่ควรที่จะคบกับเขาเพราะตอนนั้นเขาก็จัดว่าเป็นรุ่นพี่ที่ป็อปปูล่าร์มากที่สุดคนหนึ่ง ชายหนุ่มสร้างสถานการณ์เพื่อเข้าไปทำความรู้จักกับพาขวัญอย่างแนบเนียน เขาคอยดูแลเอาใจใส่เธออย่างเป็นธรรมชาติจนไม่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ และเขาใช้เวลาประมาณสามเดือนก็สามารถจีบเธอได้สำเร็จ
ความรักครั้งนั้นเป็น ‘ปั๊ปปี้เลิฟ’ ทั้งสองคนคบหากันแบบไม่ลึกซึ้ง เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเธอคบกับเขาเพราะเพื่อนเชียร์ เขาแสนดีกับเธอ และใครๆ ในโรงเรียนต่างก็คิดว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน
อย่างไรก็ตาม…นี่ไม่ใช่การคบกันเพื่อ ‘สร้างภาพ’ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ พาขวัญน่ารักกับเขามาก แต่เธอขอให้การคบกันเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรจนเขาคิดว่าเธอเด็กเกินไป
การคบกับพาขวัญในตอนนั้นมันจืดชืดเกินไปสำหรับเขา…
ราเมศเป็นวัยรุ่นชายธรรมดาๆ เมื่อคบกันเขาก็อยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายและหัวใจ แต่พาขวัญยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรักแบบผู้ใหญ่ สำหรับเธอทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากบิดาเสมอ แม้กระทั่งจะไปดูหนังด้วยกันก็ยังมีคนขับรถตามไป ที่สำคัญราเมศแตะต้องเธอได้มากที่สุดก็แค่หอมแก้มเท่านั้น…ซึ่งตลอดระยะเวลาหกเดือนที่คบกันนั้นเขานับแล้วไม่เกินห้าครั้ง ทำให้เขายิ่งอยากหยุดความสัมพันธ์กับเธอ เพราะก่อนหน้านั้นเขาก็คุยกับผู้หญิงอื่นไปด้วย
พอจะจบมัธยมปลายราเมศก็บอกพาขวัญว่าการที่ทั้งสองคนเรียนอยู่คนละที่กันทำให้ยากจะเจอกันได้ เขาขอลดสถานะกลับมาเป็นแค่พี่น้องกัน ซึ่งเธอเข้าใจ และทั้งสองก็จบกันด้วยดี
ลึกๆ ราเมศเสียดายเพราะพาขวัญเป็นผู้หญิงที่เขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุขกายสบายใจ แต่เขาคิดว่าตัวเองอายุยังน้อย เขายังอยากหาประสบการณ์ชีวิต และไม่อยากหยุดชีวิตรักไว้แค่นี้
หลังเลิกกันราเมศไม่ได้ติดต่อกับพาขวัญอีกเลย เขาเริ่มต้นความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แอบคบกันลับหลังเธออย่างเปิดเผย แต่เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นจู่ๆ คืนหนึ่งภวิลก็มาดักเจอเขาตอนจะขับรถกลับบ้าน หมอนั่นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตรงเข้ามาต่อยเขาจนบอบช้ำแทบยืนไม่อยู่ ก่อนจะชี้หน้าเขาแล้วบอกว่านี่คือบทลงโทษที่เขาทรยศพาขวัญ พร้อมทั้งขู่เขาว่าอย่าไปยุ่งกับเธออีกถ้าไม่อยากเจ็บตัว
ตอนนั้นราเมศยังเด็ก เขากลัวจะถูกทำร้าย และถูกแฉว่าเป็นฝ่ายนอกใจพาขวัญ เขาจึงไม่กล้าเอาเรื่องภวิลหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธออีกทั้งๆ ที่ครอบครัวเขาก็มีฐานะและมีอิทธิพล
ราเมศยอมปกปิดเรื่องนั้นไว้ ความน่ากลัวของภวิลในคืนนั้นฝังใจเขาอยู่นาน แต่พอเลิกยุ่งเกี่ยวกับพาขวัญแล้วมันก็ค่อยๆ รางเลือนไปจากความทรงจำ
ตลอดหลายปีที่เลิกรากับหญิงสาว ราเมศใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างคุ้มค่า ทั้งเรียน ทั้งปาร์ตี้ ทั้งคบหาผู้หญิงมากหน้าหลายตา และทำกิจกรรมทุกอย่างที่อยากลองทำเพื่อหาประสบการณ์ชีวิต
แต่น่าแปลก…ที่ภาพของเธอไม่เคยจางหายไปจากใจเขาเลย
ราเมศไม่ได้คิดถึงพาขวัญทุกวัน ไม่ได้คิดถึงเธอบ่อยๆ ไม่ได้กระวนกระวายใจจะไปหาเธอ แต่หลายครั้งที่ใจหวนย้อนไปถึงชีวิตในวัยมัธยมแล้วเขาก็อดอมยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่นึกถึงเธอ
และเมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดจุดหนึ่งที่ชายหนุ่มคิดว่าเขาหาประสบการณ์ชีวิตมามากพอแล้ว สนุกมามากพอแล้ว และอยากหยุดชีวิตอยู่กับใครสักคน…เขาก็นึกถึงเธอ
ที่ผ่านมาราเมศยังติดตามชีวิตพาขวัญบ้างเป็นบางครั้ง เข้าไปดูอินสตาแกรมเธอบ้างเป็นบางคราว เพราะถึงแม้จะไม่ได้ฟอลโลว์กัน แต่อินสตาแกรมของเธอไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้
พาขวัญยังคงเป็นพาขวัญที่ถึงแม้จะงดงามหรือโดดเด่นแค่ไหนเธอก็ยังใช้ชีวิตเรียบง่าย ธรรมดา เป็นธรรมชาติ ไม่ได้พรีเซนต์ชีวิตแบบคนดังหรือว่าเซเลบริตี้เลย และเธอไม่ได้อัพเดตทุกอย่างแบบชีวิตประจำวัน ทว่านานๆ ครั้งจะลงที…ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ราเมศก็ยิ่งเสียดายเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก
เอี๊ยดดด!
ชายหนุ่มรีบดึงสติกลับมายังปัจจุบันแล้วเหยียบเบรกรถอย่างกะทันหันเมื่อมีรถยนต์สีดำคันหรูขับสวนมาจอดดักหน้าเขาไว้ในขณะที่เขากำลังเลี้ยวรถเข้าไปในซอยบ้านซึ่งกลางดึกแบบนี้จะเงียบมากและไม่มีใครผ่านไปผ่านมาเลย ราเมศนิ่งงันไปหลายวินาที มือเขาเย็นเฉียบ เขาแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอเมื่อภาพเหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนวิ่งวนกลับมาในความทรงจำ
ตอนนั้นชายหนุ่มจำได้ดีว่าเขาเลือดร้อนจนไร้สติ พอมีคนขับรถมาขวางก็รีบเปิดประตูรถลงไปเพื่อเผชิญหน้ากับคู่กรณีแล้วถูกภวิลซ้อมจนบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว
ปึง!
แต่สุดท้ายราเมศก็ขับไล่ความหวาดกลัวออกจากจิตใจแล้วเปิดประตูรถอย่างไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป เหตุการณ์นั้นผ่านมาหลายปีแล้ว และตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่จะสู้แรงภวิลไม่ได้
ที่สำคัญราเมศเรียนรู้ที่จะใช้อำนาจและบารมีให้เกิดประโยชน์จนเขาไม่มีอะไรต้องกลัวภวิลอีกแล้ว หรือต่อให้ภวิลอยากแฉเรื่องราวในอดีต เขาก็หาข้อแก้ตัวกับพาขวัญได้ไม่ยากหรอก
แค่อ้างว่าตอนนั้นเขายังเด็ก…เขาก็หลุดพ้นจากความผิดที่เคยนอกใจเธอแล้ว
หมับ!
“จะกลับมายุ่งกับคุณพลีสอีกทำไม!”
คู่กรณีที่เปิดประตูรถลงมาแทบจะพร้อมๆ กันนั้นพุ่งตรงเข้ามาหาราเมศแล้วกระชากคอเสื้อเขาด้วยความโกรธแค้น แรงกระชากทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก ดวงตาสีฟ้าคมกริบที่เคยมองพาขวัญอย่างอ่อนโยนจ้องมองเขาเหมือนอยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือ…ช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน
ภวิลในตอนนี้เหมือนพ่อมดเหมือนปีศาจที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ!
“แล้วทำไมกูจะยุ่งไม่ได้!”
ราเมศกระชากมือภวิลออกแล้วผลักอีกฝ่ายให้ถอยไปจากตัวเขา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องหน้าภวิลกลับไปด้วยความโกรธแค้นไม่ต่างกัน ทั้งสองคนสู้สายตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“มึงอย่าคิดนะว่ากูจะกลัวมึงเหมือนเมื่อก่อน” ราเมศเหยียดยิ้มอย่างเหนือกว่าขณะตะคอกเสียงดังลั่น “มึงคิดเหรอว่ามาดักทำร้ายกูแบบนี้แล้วกูจะไม่กล้าเข้าใกล้น้องพลีสอีก…มึงคิดผิดแล้ว!”
“มึงทิ้งคุณพลีสไปเอง มึงทำให้คุณพลีสเสียใจ แล้วมึงจะมายุ่งกับเธอทำไม!” ภวิลตะคอกกลับไปด้วยความโกรธจัด หากเป็นเมื่อก่อนที่เขายังเลือดร้อน เขาคงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนราเมศอีกรอบ
ภวิลไม่ได้โกรธที่ราเมศจะกลับมาแย่งพาขวัญไปจากเขา แต่เขาโกรธที่อีกฝ่ายทำสันดานแย่ๆ ใส่ผู้หญิงที่เขารักและเทิดทูนมาตลอด…ที่ผ่านมาภวิลอาจทำเหมือนชีวิตเขาไม่ได้เกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับพาขวัญ ทว่าเขาเฝ้ามองความเป็นไปของเธอมาตลอด เขารับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ
เขารู้ว่าในแต่ละวันเธอทำอะไร ที่ไหน อยู่กับใคร และใครทำให้เธอร้องไห้หรือเสียใจบ้าง
ภวิลทำใจยอมรับได้เสมอหากพาขวัญจะคบกับใครหรือรักใคร เพราะชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรักเธอหรือเป็นเจ้าของเธอ ดังนั้นเมื่อเห็นเธอมีความสุขที่ได้รักใครสักคน เขาก็มีความสุขด้วย แต่ราเมศ…กลับทำร้ายดวงใจของเขาทั้งๆ ที่เธอไม่มีความผิดอะไรและดีกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด
หากทั้งสองเลิกรากันเพราะความรักเดินต่อไปไม่ได้ ภวิลจะไม่ว่าอะไรสักคำ แต่เขารู้ว่าราเมศแอบคบและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงคนอื่นก่อนที่จะเลิกกับพาขวัญเสียอีก
ภวิลไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหญิงสาวเพราะไม่อยากให้เธอเสียใจและไม่อยากให้จิตใจเธอต้องแปดเปื้อน ดังนั้นเขาจะสั่งสอนราเมศแทนเธอเอง…ใครที่มันบังอาจทำให้เธอเสียใจ เขาไม่เอามันไว้แน่!
“มันเป็นเรื่องของกูกับน้องพลีส คนนอกอย่างมึงไม่ต้องมาเสือก อย่าคิดนะว่าจะเอาเรื่องในอดีตของกูไปแฉให้น้องพลีสฟัง เพราะถ้ากูแฉเรื่องของมึงกลับบ้าง…กูว่ามึงน่าจะเดือดร้อนกว่ากู”
ราเมศหัวเราะหึในคออย่างสะใจ
“ต่อหน้าน้องพลีสก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแสนดี แต่ลับหลังเธอ…มึงมันยิ่งกว่าพวกอันธพาลซะอีก มึงคิดเหรอว่าคนอย่างน้องพลีสจะยอมรับผู้ชายสองหน้าอย่างมึงได้!”
หากไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับด้านเลวร้ายของภวิลด้วยตนเองมาก่อน ราเมศก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ที่สำคัญ…หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเองราเมศก็ได้รู้ว่ายังมีผู้ชายอีกหลายคนที่เคยล่วงเกินพาขวัญ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกภวิลดักทำร้ายทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นพวกที่เคยลวนลาม พูดจาหยาบคายใส่ และในกรณีอย่างเขา!
ราเมศอดคิดไม่ได้ว่าภวิลบ้ามากที่ทำอะไรแบบนี้จนเหมือนเป็นพวกสองบุคลิก ต่อหน้าพาขวัญทำตัวเหมือนเจ้าชายแสนดี แต่ลับหลังเธอกลับทำตัวเหมือนอันธพาลที่ชอบใช้กำลัง
“น้องพลีสแสนดีขนาดนั้น…คงไม่อยากลงเอยกับพวกโรคจิตอย่างมึงหรอก ต่อให้มึงจะทำเพื่อปกป้องน้องพลีส แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดเลิกกัน น้องพลีสคงอดคิดไม่ได้ว่ามึงอาจจะทำร้ายทุบตีเธอ”
“มึงอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เพราะกูไม่กลัว” ภวิลตอบกลับด้วยสายตาเกรี้ยวกราดไม่เปลี่ยนแปลง “คนอย่างกูไม่มีอะไรจะเสีย และมึงก็รู้ว่ากูยอมได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณพลีส…ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบวันนั้นอีก มึงก็อย่ามาทำให้คุณพลีสเสียใจ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน!”
ภวิลทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ เขาถอยรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งราเมศไว้เพียงลำพังกับคำขู่ที่ยังดังก้องอยู่ในหู…หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนราเมศคงจะหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาไม่กลัวอะไรอีกแล้ว และไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะทวงหัวใจของพาขวัญกลับมาให้ได้!
วันนี้บนหน้าข่าวสังคมมีนักข่าวเขียนแซวว่าหนุ่มในฝันที่สาวๆ จับตามองอย่างภวิลอาจกำลังคบหาดูใจอยู่กับคนใกล้ตัว ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพาขวัญนั่นเอง ในข่าวอาจจะยังไม่ได้ฟันธงว่าเธอกับเขาคบหากันจริง แต่ก็ชี้ให้ประชาชนจับตามองความสัมพันธ์ของทั้งคู่
พาขวัญอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข่าวนี้คงจะเป็นบิดาของเธอ เพราะหญิงสาวไม่ค่อยออกงานสังคมเท่าไหร่ ไม่ใช่คนดังขนาดที่นักข่าวจะเขียนถึง ส่วนภวิลเป็นคนดังก็จริง แต่เธอกับเขาก็เพิ่งเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันไม่นาน ยังไม่น่าจะมีคนรับรู้มากมายจนดังไปถึงหูนักข่าว
พาขวัญแอบคิดว่าที่พิธานต้องปล่อยข่าวเองเพราะท่านคงไม่อยากให้ใครเข้ามาสานความสัมพันธ์กับเธอและภวิลในระหว่างนี้ แล้วก่อนหน้านี้ท่านยังขอให้เธอกับภวิลไปงานเลี้ยงด้วยกันอีก มันยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าท่านต้องการประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเธอกับเขากำลังดูใจกันอยู่
คุณพ่อนะคุณพ่อ…
พาขวัญได้แต่หมั่นไส้คนเงียบๆ แต่แผนการเพียบอย่างพิธาน แต่เธอก็ไม่ได้ขัดใจท่านเพราะตัวเองดันรับปากกับท่านไปแล้วว่าจะลองศึกษาดูใจกับภวิล ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ เพราะตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงเธอคงถูกใครต่อใครจับตามองจนเกินเหตุเป็นแน่
คืนนั้นภวิลขับรถมารับหญิงสาวที่บ้านวงศ์วรารมย์ เขาอยู่ในชุดสูทสีกรมท่าที่ดูค่อนข้างเป็นทางการมากกว่าเวลาไปทำงาน เพราะตอนไปบริษัทบางวันก็ใส่กางเกงยีน เสื้อยืด แล้วทับด้วยเสื้อสูทเพื่อไม่ให้ดูเป็นกันเองจนเกินไป พาขวัญยอมรับว่าเวลาที่ภวิลอยู่ในชุดสูท เขาดูดีราวกับเจ้าชาย…ไม่รู้ว่าด้วยหน้าตาหล่อเหลาที่ค่อนไปทางตะวันตก รูปร่างสูงใหญ่โดดเด่น หรือว่าบุคลิกที่สง่างามของเขากันแน่ที่ทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้น แต่โดยรวมแล้วเธอคิดว่าไม่มีคำไหนจะบรรยายภาพเขาได้ชัดเจนมากกว่าคำนี้อีกแล้ว
“คุณพลีสโอเคใช่มั้ย”
ภวิลถามเมื่อเห็นร่างบางเดินลงมาหาเขาซึ่งกำลังนั่งรออยู่ในห้องรับแขกกับพิธาน เธอสวมชุดราตรีเปิดไหล่สีพีชอ่อนๆ กระโปรงฟองฟูข้างหน้าสั้นแต่ข้างหลังยาวเป็นระบาย หญิงสาวแต่งหน้าอย่างพอดิบพอดี ผมสีน้ำตาลยาวสลวยที่เขาเห็นจนชินตาถูกดัดเป็นลอนอ่อนๆ ส่งให้เธอยิ่งดูน่าทะนุถนอมและงดงามอ่อนหวานจนเขาแทบไม่อาจละสายตา แต่เขาอดเป็นห่วงไม่ได้เพราะรองเท้าส้นสูงของเธอ
ปกติพาขวัญมักจะสวมรองเท้าส้นสูงอยู่แล้วเพราะเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก แต่วันนี้ภวิลสังเกตได้ว่าส้นรองเท้าของเธอมันสูงกว่าทุกวัน จากปกติแค่สามถึงสี่นิ้ว แต่วันนี้…น่าจะหกนิ้วเห็นจะได้
“ทำไมเหรอคะ”
พาขวัญย้อนถามด้วยสีหน้าพร้อมปะทะคารม เธอคิดว่าภวิลจะตำหนิเรื่องเสื้อผ้าอีก ชุดนี้พิธานช่วยเธอเลือก ถ้าเขาตำหนิแม้แต่คำเดียวล่ะก็…เธอจะบอกให้เขาไปเคลียร์กับพ่อเธอ
“พี่ภักดิ์เขาคงเป็นห่วงว่าน้องพลีสจะเดินลำบาก” พิธานออกปากแทนว่าที่ลูกเขย
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ พลีสใส่รองเท้าส้นสูงจนชินแล้ว” พาขวัญตอบเพื่อไม่ให้สองหนุ่มต่างวัยเป็นกังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ แม้ลึกๆ จะนึกหวั่นใจอยู่ว่าเธอจะรอดกลับมาไหม
ปกติหญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงก็จริง แต่แค่สามถึงสี่นิ้ว ประเภทสูงหกนิ้วขึ้นไปนานๆ จะใส่สักที แต่…คืนนี้จะไม่ใส่คงไม่ได้เพราะเธอต้องไปออกงานกับผู้ชายที่สูงไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างภวิล เธอจะไม่คิดมากอะไรหรอกหากเธอไม่ได้สูงแค่เกือบหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร
ถ้าขืนใส่ส้นเตี้ยเดินกับเขา…เธอก็กลายเป็น ‘คนแคระ’ พอดีน่ะสิ!
“งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
พิธานเดินโอบไหล่ลูกสาวไปส่งที่รถก่อนจะฝากฝังให้ภวิลดูแลพาขวัญดีๆ ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้เธอ ช่วยจัดชายกระโปรงที่หล่นออกมานอกรถ แล้วปิดประตูให้อย่างนุ่มนวลสมกับที่พิธานฝากฝังให้ช่วยดูแลจนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาดูแลเธอดีกว่านี้ เธอคงจะเป็นง่อยเข้าสักวัน
ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน กระทั่งภวิลขับรถมาถึงคฤหาสน์หลังงามซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฉลองครบรอบเปิดบริษัทนันทิวัฒน์ซึ่งเป็นครอบครัวของจิณณพัตนั่นเอง
ปกติพิธานจะมางานกับภวิลเพราะต้องพาเขามาทำความรู้จักกับนักธุรกิจและผู้ใหญ่ในวงสังคม ส่วนพาขวัญนั้นนานๆ จะออกงานทีเพราะเธอไม่ชอบออกงานสังคมสักเท่าไหร่ พิธานจึงไม่อยากบังคับ ตัวภวิลเองก็ไม่ได้ชอบนักหรอก แต่เขาเข้าใจว่ามันจำเป็นสำหรับการทำงาน
ชายหนุ่มไม่เคยอิดออดหรือปฏิเสธเวลาที่พิธานบอกให้เขาไปงานสังคม เพราะเขาถือว่ามันคือการทำงานอย่างหนึ่งและเขาก็ทำได้ดีเสมอจนพิธานไม่เคยเป็นห่วงเขาเรื่องเข้าสังคมเลย
คฤหาสน์โอ่อ่ามีแขกเหรื่อแต่งตัวสวยงามมาร่วมงานมากมาย ส่วนใหญ่งานนี้จะมีแต่ผู้ใหญ่ในวงสังคม ถึงกระนั้นก็ยังมีคนหนุ่มสาวมาร่วมอยู่บ้าง ปีที่แล้วพิธานมางานคนเดียวเพราะภวิลต้องไปดูงานที่โรงแรมในเชียงใหม่ ส่วนพาขวัญนั้นอ้างว่ามีสอนตอนเช้าจึงขอไม่มาร่วมงานด้วย
“ถ้าไม่ไหวก็บอกผมนะ”
ภวิลย้ำขณะมองรองเท้าของคนที่กำลังก้าวลงจากรถหลังจากที่เขาเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ พาขวัญยืนทรงตัวบนรองเท้าส้นสูงหกนิ้วอย่างชำนาญ แต่เขาก็ไม่วายเป็นห่วงอยู่ดี
“พี่ภักดิ์ทำให้พลีสลำบากเวลาต้องเดินข้างๆ พี่ภักดิ์”
ร่างบางมองคนตัวสูงด้วยสายตาต่อว่าเล็กๆ ตอนที่อยู่ต่อหน้าพิธานเธอไม่กล้าค่อนขอดเขาเพราะท่านถือหางเขาตลอดเวลา แต่…อยู่ด้วยกันตามลำพังเมื่อไหร่ก็ของอแงสักนิดหนึ่งเถอะ!
“เวลาเดินข้างพี่ภักดิ์ทีไร พลีสรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องใส่รองเท้าส้นสูงทุกที” เธออธิบายเมื่อชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธออย่างไม่เข้าใจ “ไม่งั้นพลีสจะดูเป็นคนแคระ”
“ส่วนสูงอย่างคุณพลีสเดินกับผู้ชายคนไหนก็เป็นคนแคระทั้งนั้นแหละ”
“ไม่จริง! ความสูงของพลีสคือมาตรฐานของผู้หญิงไทยนะคะ”
“แต่ถ้าคุณพลีสไม่อยากสวมส้นสูงและไม่อยากเป็นคนแคระ…ผมอุ้มคุณพลีสก็ได้นะ”
“ไม่ล่ะ พลีสใส่รองเท้าส้นสูงหกนิ้วตลอดคืนซะยังจะดีกว่า!”
ว่าจบพาขวัญก็เดินนำเข้าไปในงาน ภวิลจึงรีบก้าวตามมาเพื่อไม่ให้ทิ้งระยะห่างกันเกินไปจนเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน หญิงสาวอาจไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ จนผิดปกติ แต่เธอก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงแปลกๆ ที่เขาอาสาจะอุ้มเธออย่างนั้น เธอรู้ว่าเขาอาจพูดเล่น แต่…ปกติเขาไม่พูดเล่นกับเธอแบบนี้นี่นา
ทั้งสองเดินเข้าไปในงานก่อนจะควงกันไปมอบของขวัญให้กับประมุขของบ้านนันทิวัฒน์และแสดงความยินดีกับความสำเร็จของบริษัท ท่านมีท่าทีแปลกใจที่เห็นเธอกับเขามาด้วยกันแล้วถามถึงพิธานด้วยความห่วงใย จากนั้นก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะเชิญทั้งคู่เข้าไปในงาน
“เวลาพี่ภักดิ์ไปออกงานกับคุณพ่อมีผู้หญิงจ้องพี่ภักดิ์ตาเป็นมันตลอดเลยเหรอคะ”
หญิงสาวถามหลังจากเดินเข้างานได้สักพักแล้วรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตาจนอึดอัด ไม่รู้เพราะข่าวซุบซิบที่ออกมาก่อนหน้านี้หรือเพราะเธอควงมากับผู้ชายที่ดูดีมากที่สุดคนหนึ่งกันแน่ พาขวัญรู้ว่าภวิลคงมีสาวๆ ให้ความสนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากจนใครๆ ก็มองเหลียวหลัง
“ผมไม่ค่อยได้สังเกต บางทีอาจต้องบอกว่าผมชินแล้วมากกว่า”
“หล่อจนน่าหมั่นไส้จังเลย” หญิงสาวประชดเมื่อภวิลตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ “รู้ตัวมั้ยว่าการมางานกับพี่ภักดิ์ทำให้พลีสอึดอัดเหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา”
“มีเรื่องอะไรที่คุณท่านพอใจในตัวผมแล้วคุณพลีสยังไม่ค่อนขอดผมอีกบ้าง” ภวิลก้มมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เขายังพูดด้วยสีหน้าที่ไม่บอกอารมณ์ “ทั้งเรื่องความสามารถ รูปร่างของผม ส่วนสูงของผม และหน้าตาของผม…ผมเพิ่งรู้นะว่าความสมบูรณ์แบบเป็นความผิดมากขนาดนี้”
ต้องมั่นหน้าเบอร์ไหนถึงกล้าพูดได้ว่าตัวเองเป็นคนสมบูรณ์แบบ!
บทที่ 10
ปกป้อง
พาขวัญอยากจะกลอกตามองบนใส่ภวิลเสียเหลือเกิน เธอไม่แน่ใจว่าการที่เขาพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ หรือการที่เขาใส่อารมณ์ชื่นชมตัวเอง อย่างไหนมันจะน่าหมั่นไส้กว่ากัน แต่เขาทำให้เธอหมั่นไส้จริงๆ
ทว่า…หญิงสาวก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาพูดความจริง!
จะว่าไปแล้วภวิลก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบอวดอ้างตัวเองหรือคุยโม้โอ้อวด เขาค่อนข้างถ่อมตัวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดมันคงเป็นความจริงที่เขาได้รับฟังจากคนรอบข้างตลอดมา
ด้านภวิลคิดในใจว่าไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ได้รับความสนใจ แต่พาขวัญเองก็เช่นกัน อาจเพราะเธอไม่ค่อยได้ออกงานสังคมเท่าไหร่ พอออกงานทีก็งดงามโดดเด่นขนาดนี้ย่อมจะได้รับความสนใจจากหนุ่มๆ ในงานเป็นธรรมดา นี่ยังดีที่ครอบครัวของราเมศไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวนันทิวัฒน์จึงไม่ได้ถูกเชิญมางานนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ยอมอยู่ห่างจากพาขวัญและไม่ยอมให้เธอคลาดสายตา
หากเป็นเมื่อก่อนภวิลอาจจะทำใจได้ถ้าหญิงสาวไปใกล้ชิดผู้ชายคนอื่นหรือมีคนรักอย่างราเมศ แต่ในตอนนี้…ทั้งสองกำลังคบหาดูใจกัน แล้วภวิลก็คิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะหึงหรือหวงเธอ
“เฮ้ย! ภักดิ์!”
ในตอนนั้นเอง…อิชยะที่ควงคู่มากับแก้วเกล้าและกำลังยืนคุยกับผู้ใหญ่อยู่อีกทางหนึ่งหันมาเจอภวิลเข้าก็ส่งเสียงทักทาย ผู้บริหารหนุ่มหันไปพูดกับคู่สนทนาอีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหา
ภวิลทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก่อนจะกลอกตามองบนเหมือนไม่อยากจะเจอหน้าเพื่อนสนิท ซึ่งพาขวัญอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะอะไร ที่สำคัญมีน้อยครั้งมากที่เขาจะแสดงสีหน้าแบบนี้
“จะไม่แนะนำให้รู้จักหน่อยเหรอ”
อิชยะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เขายิ้มทักพาขวัญก่อนที่เธอจะยิ้มตอบ ว่าไปแล้วเธอกับเขาก็เคยเจอกันผ่านๆ ในงานสังคมมาบ้าง แต่ยังไม่เคยพูดคุยหรือทักทายกันอย่างเป็นทางการเลย
“นายอิชย์ เป็นเพื่อนผมครับ ส่วนเกล้าเป็นแฟนของนายอิชย์” ภวิลแนะนำอิชยะกับแก้วเกล้าให้พาขวัญรู้จัก ก่อนจะแนะนำเธอให้ทั้งสองคนรู้จักบ้าง “และนี่คุณพลีส ลูกสาวของคุณพิธาน”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ยินดีเช่นกันค่ะ”
พาขวัญยิ้มให้อิชยะและแก้วเกล้าซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มเป็นมิตรตอบกลับมา เธอคิดว่าอิชยะกับคนรักของเขาดูเหมาะสมกันมากทีเดียว นอกจากจะเป็นสาวสวยกับหนุ่มหล่อแล้ว…ทั้งคู่ยังมีบุคลิกบางอย่างที่คล้ายกัน อย่างน้อยๆ ก็ความเป็นผู้นำ ความเซ็กซี่ และมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย
“ไม่คิดเลยนะครับว่าจะได้เห็นคุณพลีสมางานกับนายภักดิ์สองคน” อิชยะชวนคุย
หากพาขวัญสังเกตดีๆ เธอจะเห็นว่าประโยคนั้นทำให้ภวิลมองเพื่อนสนิทเหมือนอยากจะเข้าไปบีบคอ นี่คือเหตุผลที่เขาไม่อยากเจออิชยะกับแก้วเกล้าเวลาอยู่ต่อหน้าพาขวัญ
เขารู้ไงล่ะว่าทั้งสองคนต้องแซวเขาแน่ๆ…ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม!
“อ้อ พอดีคุณพ่อไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ท่านก็เลยให้พลีสมางานกับพี่ภักดิ์แทน” พาขวัญตอบยิ้มๆ เธอยังคงไม่รู้ว่าอิชยะกับแก้วเกล้าล่วงรู้ความในใจของภวิลมากกว่าเธอเสียอีก
คำถามของอิชยะไม่ได้ถามไปเรื่อยเปื่อย แต่ตั้งใจถามเพราะอยากแซวภวิลที่ได้ควงคนที่รอคอยมาออกงานตามลำพังเป็นครั้งแรก อิชยะไม่แปลกใจเลยที่วันนี้เพื่อนเขาแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษ
“พลีสเห็นข่าวที่เขียนแซวว่าคุณอิชย์กับคุณเกล้าจะแต่งงานกันแล้ว ยินดีด้วยนะคะ” พาขวัญแสดงความยินดีจากใจ แม้จะไม่ได้สนิทสนมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ
“ขอบคุณครับ แต่กว่าผมจะทำให้เจ้าสาวตกลงปลงใจได้นี่ไม่ง่ายเลย”
“ช่วยไม่ได้นี่คะ คุณสร้างเรื่องเอาไว้เยอะเอง”
“โธ่…ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เกเรแล้วนี่นา” อิชยะทำหน้าโอดครวญก่อนจะเอื้อมมือไปโอบเอวบางของว่าที่ภรรยา การกระทำของเขาเรียกรอยยิ้มจากแก้วเกล้าและพาขวัญได้เป็นอย่างดี
“ไม่รู้ว่าตอนตัดเค้กมือใครจะอยู่บนอยู่ล่างนะคะเนี่ย” พาขวัญแซวคู่รักบ้าง
“ไม่ต้องรอถึงตอนตัดเค้กก็รู้แล้วครับ” อิชยะหัวเราะ
ชายหนุ่มไม่เคยอายเลยที่จะยอมรับว่าตัวเองรักแก้วเกล้าจนสามารถยอมให้เธอได้ทุกอย่าง ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีความเป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งพา คอยปกป้อง และดูแลคนรักได้อย่างดีที่สุด
ทั้งสี่คนคุยกันอย่างถูกคออีกหลายนาทีก่อนที่แก้วเกล้าจะสะกิดอิชยะเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าควรให้ภวิลได้มีโอกาสพูดคุยและดูแลพาขวัญเป็นการส่วนตัวเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์บ้าง ทั้งสองคนจึงขอตัวไปทักทายแขกท่านอื่นๆ ในงาน พอสองคนนั้นผละออกไป ระหว่างภวิลกับพาขวัญก็เงียบลงทันที
“คุณพลีสหิวมั้ย” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เธอฝืนยิ้มให้เขา
“งั้นคุณพลีสรอผมตรงนี้นะ เดี๋ยวผมไปตักอะไรมาให้ทาน”
“ขอบคุณค่ะพี่ภักดิ์”
ภวิลไม่ถามหญิงสาวต่อว่าเธออยากทานอะไรและชอบดื่มอะไรเพราะนั่นเป็นข้อมูลที่เขารู้อยู่แล้ว ส่วนพาขวัญก็ยังคงไม่รู้หรอกว่าภวิลรู้ข้อมูลเหล่านี้ เธอไม่ได้เจาะจงบอกเขาว่าจะเอานั่นเอานี่เพราะไม่อยากทำตัวเรื่องมาก แค่เขาอาสาจะไปตักมาให้ก็ถือว่าเขาใจดีกับเธอมากแล้ว
งานเลี้ยงคืนนี้เป็นปาร์ตี้แบบค็อกเทล พาขวัญมองตามภวิลที่เดินหยิบอาหารมาให้เธอแล้วอดยิ้มไม่ได้ เธอไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงทั้งงานจะแอบมองเขา เพราะเขาดูดีในทุกอิริยาบถจริงๆ
เอ๊ะ! นี่เราจะชื่นชมพี่ภักดิ์เกินไปแล้วนะ
ร่างบางรีบดึงสติตัวเองกลับมาแล้วหุบยิ้ม เธอเคยค่อนขอดพิธานว่าท่าน ‘อวย’ ภวิลมากเกินไป เธอก็ไม่ควรกลืนน้ำลายตัวเองและเดินตามรอยท่าน…แม้ว่าเธอจะแอบอวยเขาในใจก็เถอะ
“ยายพลีส! จะมางานนี้ทำไมไม่บอก” วาสิตาเดินเข้ามาทักทายด้วยความแปลกใจและยินดีที่ได้เจอเพื่อน พาขวัญจึงยิ้มตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มยินดีเช่นกัน
“ฉันยังไม่แน่ใจนี่นาว่าสุดท้ายจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า” พาขวัญตอบ “โห! แกนี่แซ่บไม่เปลี่ยนเลยนะ ไม่ใส่สีแดงแล้วไม่มีแรงเดินหรือไงกันยะ แต่ว่าชุดนี้ก็เข้ากับแกมากเลย สวยที่สุด”
“อ่ะ อวยกันเองก็ได้เนอะ” วาสิตาหัวเราะ
หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าวันนี้ตั้งใจแต่งตัวให้สวยเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะเธออยากจะเป็นจุดเด่นจนใครต่อใครสนใจหรอก เธอแค่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ ‘เด็ด’ เพื่อให้ใครบางคนสนใจต่างหาก ผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งอ่อนๆ อย่างเธอเจอชุดราตรีสีแดงเบอร์กันดีสุดเปรี้ยวแบบนี้…ถ้าเขาไม่สนใจก็เกินไปแล้ว
“ว่าแต่คืนนี้แกควงมากับพี่ภักดิ์สองคนเหรอ”
“ก็…”
พาขวัญเสียงสูงขึ้นมาทันทีเมื่อถูกเพื่อนสนิทจ้องด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ คิดแล้วเธอไม่น่าบอกเรื่องที่พิธานอยากให้เธอลงเอยกับภวิลให้วาสิตาฟัง ดูสิ! เพื่อนเธอคอยจับตามองตลอดเลย
“พ่อฉันไม่ค่อยสบายน่ะ ท่านก็เลยให้ฉันมางานกับพี่ภักดิ์สองคน”
“ฉันนึกว่าจะมาเปิดตัวซะอีก เห็นเมื่อวานนี้มีข่าวซุบซิบหลุดออกมา”
“เปิดตัวอะไรกันเล่า นี่แกอย่าจับผิดฉันนักเลยน่า”
“ฉันไม่ได้จับผิดสักหน่อย ฉันเชียร์ต่างหาก” วาสิตาบอกด้วยสีหน้าจริงจังสุดชีวิต “ยิ่งเห็นแกควงพี่ภักดิ์ มาออกงาน ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าแกกับเขาเคมีเข้ากันได้แบบดีงามมากกก”
“ไม่ใช่เพราะอยากให้ยายแพรวโมโหเหรอ” พาขวัญเหล่เพื่อนอย่างรู้ทัน
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” วาสิตาหัวเราะ “ว่าแต่พี่ภักดิ์ไปไหนซะล่ะ ทำไมทิ้งแกไว้คนเดียว”
“ไปหาของกินให้ฉันอยู่โน่น” คนหิวพยักพเยิดหน้าไปทางภวิล
“แสนดีอ่ะแก คนอะไรดีขนาดนี้ นี่ถ้าแกไม่เอาเขา ฉันจะจีบแล้วนะ” วาสิตาทำสายตาเพ้อฝัน แต่พาขวัญรู้ว่าเพื่อนก็บิลด์เธอไปอย่างนั้น หากวาสิตาจะจีบภวิลก็คงจีบไปนานแล้ว “ว่าแต่…นั่นใครอ่ะ”
ทั้งสองสาวต่างเพ่งมองไปที่เป้าหมายซึ่งก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาคุยกับภวิลตอนเขากำลังจะเดินกลับมาหาพาขวัญจนเขาต้องหยุดคุยกับหล่อนอย่างเสียมิได้
มองไกลๆ ทั้งวาสิตาและพาขวัญยังรู้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นดูดีมาก…
“อ้อ! นั่นมันคุณ ‘นันทิตา’ นี่นา” วาสิตาพูดขึ้นหลังจากมองเป้าหมายและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วนางเป็นอะไรกับพี่ภักดิ์ของแก ทำไมต้องตรงเข้ามาทักด้วยท่าทีสนิทสนมเบอร์นั้นด้วย”
พาขวัญไม่รู้จะพูดอะไรเพราะไม่แม้กระทั่งจะรู้จักคนที่กำลังถูกพูดถึงมาก่อน
“แกต้องระวังคุณนันทิตาไว้ด้วยนะ ท่าทางนางจะสนใจพี่ภักดิ์ของแกน่าดู ชวนคุยไม่หยุดเชียว” วาสิตาเห็นแล้วรู้สึกหึงหวงแทนเพื่อนอย่างบอกไม่ถูก “ตอนนี้นางฮอตยิ่งกว่ากระดังงาลนไฟ หนุ่มใหญ่ในวงสังคมต่างก็อยากจะเกี่ยวดองกับนางทั้งนั้น ฉันได้ยินว่ามีหนุ่มใหญ่ตามจีบนางตั้งหลายคน”
“แกรู้จักคุณนันทิตาคนนี้ด้วยเหรอ”
“ไม่เชิงรู้จักแบบสนิทสนมกันหรอก นางเป็นลูกค้าที่ร้านของฉันน่ะ” ที่จริงวาสิตาก็ไม่อยากจะเม้าท์หรือนินทาลูกค้า แต่เธอเห็นว่านันทิตามีท่าทีสนใจผู้ชายของเพื่อน เธออยากจะเตือนพาขวัญเอาไว้ก่อน “คือ…สามีของคุณนันทิตาเสียไปได้ประมาณครึ่งปีแล้ว และสามีนางก็ใจดีมากที่เขียนพินัยกรรมยกมรดกให้นางเกือบทั้งหมด เพราะทั้งสองไม่มีลูกด้วยกัน เขาคงกลัวว่าญาติๆ จะมารุมแย่งมรดกไปจากเมียรัก เอาง่ายๆ สรุปว่าคุณนันทิตาก็คือแม่ม่ายสาวพราวเสน่ห์ที่ทั้งโสด ทั้งสวย และรวยมากกก”
แล้วพี่ภักดิ์เป็นอะไรกับคุณนันทิตา…หรือว่าเธอจะเป็นลูกค้า!
พาขวัญพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก แต่ลึกๆ ยังรู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก เพราะก่อนหน้านี้อติกันต์เคยบอกเธอเรื่องที่ภวิลเกี่ยวพันกับผู้หญิงมากมาย หญิงสาวไม่อยากฟังความข้างเดียวหรือทำตัวเป็นพวกผู้หญิงหูเบา แต่เธอเพิ่งเห็นเขาจูบกับจารวีเมื่อไม่นานมานี้
ไม่รู้ว่าภวิลจะยังมีผู้หญิงเกี่ยวพันในชีวิตอยู่อีกกี่คน
“แต่แกอย่าคิดมากเลยนะ บางทีมันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ปกติพี่ภักดิ์ของแกเขาเป็นคนดีจะตายไป เอ่อ…แกรอพี่ภักดิ์คนเดียวได้ใช่มั้ย ฉันต้องพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายของฉันก่อน”
วาสิตาบอกด้วยท่าทีร้อนรนขณะที่มองตรงไปยัง ‘เป้าหมาย’ พาขวัญแอบแปลกใจเพราะเมื่อหันไปมองตามสายตาของเพื่อนสนิท เธอก็เห็นจิณณพัตกำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนของเขา
“อ้าว! ไหนแกบอกว่าไม่อยากยุ่งกับคุณจิณณ์ไง”
“ตอนนั้นไม่อยากยุ่ง แต่ตอนนี้จำเป็นต้องยุ่งแล้ว” วาสิตาบอกอย่างขอไปที “เอาน่ะ! ไว้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังวันหลัง ขอโทษทีนะแกที่ฉันต้องทิ้งให้แกอยู่คนเดียว แต่ฉันต้องไปทำภารกิจก่อน”
“เออๆ แกไปเถอะ”
จากนั้นสาวสุดเปรี้ยวในชุดราตรีสีแดงเบอร์กันดีก็ทำทีเดินไปทางจิณณพัตเหมือนไม่ได้จงใจพุ่งเข้าไปหาเขาโดยตรง พาขวัญได้แต่ยืนงงว่าทำไมเพื่อนเธอถึงได้เปลี่ยนใจรวดเร็วขนาดนี้
พอวาสิตาผละออกไปหาจิณณพัต พาขวัญก็ยืนรอภวิลอยู่เพียงลำพัง เธอมองเขากำลังยืนคุยกับนันทิตาด้วยความรู้สึกอึดอัดจนน่าหงุดหงิดใจ หญิงสาวอยากรู้ว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรถึงได้คุยติดพันทั้งๆ ที่ในมือภวิลมีแก้วน้ำส้มและจานอาหารว่างของเธอ
“สรุปว่าคุณภักดิ์เขาจะลงเอยกับลูกสาวคุณพิธานจริงๆ เหรอถึงได้ควงกันมาออกงาน ทีแรกฉันนึกว่าจะเป็นข่าวซุบซิบธรรมดาที่ไม่มีมูลความจริงเสียอีก น่าเสียดายคุณภักดิ์จัง”
ไม่รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงพาขวัญกับภวิลอยู่อีกมุมหนึ่งไม่เห็นเธอหรือจงใจให้เธอได้ยินกันแน่ถึงได้ ‘ตั้งวง’ นินทากันอย่างสนุกปาก แต่หญิงสาวก็ยังทำทีเป็นไม่สนใจเพราะไม่อยากมีเรื่อง
“แต่ลงเอยกันเพราะอะไรก็ไม่รู้นะ ควงผู้หญิงคนหนึ่งมาแต่ไปยืนจีบกับผู้หญิงอีกคน” เสียงนินทายังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด และพาขวัญจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของ…แพรวอาภา
ยายนี่อีกแล้วเหรอ หาเรื่องกันไม่เลิกสักที!
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง คุณภักดิ์ออกจะดูดีแถมยังหนุ่มยังแน่น จะไปคว้าแม่ม่ายแบบนั้นมาเป็นแฟนได้ยังไง คงไม่ใช่หรอก” คำพูดเหมือนพยายามแก้ต่าง แต่น้ำเสียงเม้าท์สนุกมาก
“อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นแฟน แค่กุ๊กกิ๊กกันสนุกๆ ไง แหม! คุณนันท์เธอก็ยังสาวยังสวย แถมสามีที่ตายไปแล้วก็ทิ้งมรดกไว้ให้ตั้งมากมาย เธอนั่งๆ นอนๆ ก็มีเงินใช้สบายๆ ไปอีกสิบชาติ”
“แล้วแบบนี้คุณพิธานเขาจะยอมรับว่าที่ลูกเขยเหรอ” ขาเม้าท์อีกรายถามเมื่อแพรวอาภาตั้งตนเป็นหัวหน้าวงเม้าท์เต็มที่โดยไม่แคร์ภาพลักษณ์นางเอกละครของตัวเองสักนิด
พาขวัญพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีแรกเธอคิดว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ยิ่งพยายามนิ่งอีกฝ่ายก็ยิ่งนินทาไม่เลิก…นอกจากพูดถึงเธอกับภวิลแล้วยังจะลามปามไปพูดถึงพ่อเธออีก
“เขาอาจจะกิ๊กกันเงียบๆ ไม่ให้คุณพิธานรู้ก็ได้ อีกอย่างตอนนี้เหมือนว่าคุณภักดิ์ก็ทำงานทุกอย่างแทนคุณพิธานแล้ว ถ้าไม่ได้เขาเป็นลูกเขยก็คงไม่รู้จะให้ใครมาทำงานแทน จะว่าไปคุณภักดิ์เขาก็แผนสูงนะ ทำงานไปทำงานมาได้เป็นลูกเขยเฉยเลย แถมคุณพิธานมีลูกสาวคนเดียวแบบนี้ทุกอย่างต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว จากเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารเลยทีเดียว”
แพรวอาภาพูดจบวงเม้าท์ก็หัวเราะกันครื้นเครงจนพาขวัญอยากจะอาเจียนกับการกระทำของคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ดี’ และอยู่ในสังคมชั้นสูงบางคน แท้ที่จริงแล้วคนพวกนี้ก็เป็นแค่พวกผู้ดีจอมปลอม
“นี่เลยกลายเป็นว่าลูกสาวคุณพิธานก็คงไม่ต่างจากพวกสิ้นไร้ไม้ตอกที่ต้องมาแต่งงานกับเด็กในบ้านที่พ่อตัวเองชุบเลี้ยง น่าเสียดายนะ” คู่สนทนาของแพรวอาภารีบรับส่งกันอย่างดี
“เหมาะสมกันดีออกจะตาย” แพรวอาภาหัวเราะคิกคัก
พาขวัญหมดความอดทนในวินาทีนั้น เธอโกรธที่คนพวกนั้นพูดถึงพ่อเธอราวกับว่าท่านไร้ความคิด อับจนหนทางจนต้องชุบเลี้ยงผู้ชายไว้ให้แต่งงานกับเธอ โกรธที่พวกเขาพูดถึงเธอเสียๆ หายๆ ทั้งที่ไม่รู้จักเธอ และโกรธมาก…ที่คนเหล่านั้นกล่าวหาภวิลราวกับว่าเขาเป็นพวก ‘แมงดา’ เกาะผู้หญิงกิน
“ขอโทษนะคะ กรุณาพูดถึงครอบครัวฉันใหม่อีกทีสิคะ”
พาขวัญเดินตรงเข้าไปในวงสนทนา คำพูดนิ่มๆ เรียบๆ และรอยยิ้มอ่อนหวานที่มุมปากนั้นเยือกเย็นจนทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงสนทนาหน้าเสียไปตามๆ กัน…ยกเว้นก็แต่แพรวอาภา
“ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามกับฉันเลยค่ะ พวกคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และจะได้ไม่เที่ยวเอาเรื่องไม่จริงไปพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก ฉันจะบอกให้รู้เอาไว้นะคะว่าพี่ภักดิ์ไม่เคยทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสาร ไม่ได้มีท่าทีอยากจะมาเป็นสามีฉันมาก่อน และตอนนี้เราก็เพิ่งเริ่มศึกษากัน”
พาขวัญจ้องหน้าคนเหล่านั้น แต่ทุกคนล้วนหลบตาเธอ แน่ล่ะ! พวกหล่อนคงรู้ตัวว่าคำพูดตัวเองหลุดออกมาเพราะความคึกคะนอง แต่ความจริงเป็นอย่างไรนั้นพวกหล่อนแทบไม่รู้เลย
“ที่สำคัญที่สุด! สำคัญจนต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเลยก็คือ…” หญิงสาวเน้นเสียง “พี่ภักดิ์เขาทำงานกับคุณพ่อมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เขาหาเงินเข้าบริษัทมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีแต่คนอยากได้เขาไปทำงานด้วย และถ้าเขาเปิดบริษัทเองป่านนี้เขาก็รวยไปนานแล้ว ไม่ต้องมาคอยทำงานแทนพ่อฉันหรอกค่ะ และอย่าพูดถึงเรื่องเงินหรือทรัพย์สินที่เขามีเลย เพราะบางทีมันอาจจะมากกว่าทรัพย์สินจริงๆ ที่พวกคุณมีอยู่ก็ได้ เพราะบ้าน รถ หรือบริษัทของพวกคุณบางคนในนี้ต่อให้ขายไปก็ยังกลบหนี้ได้ไม่หมดเลย”
พาขวัญปรายตาไปที่ใครคนหนึ่งในวงสนทนาซึ่งเธอจำได้ว่าพ่อของหล่อนเพิ่งจะมายืมเงินพ่อเธอเมื่อไม่นานมานี้ และหล่อนก็น่าจะรู้ตัวว่าสถานการณ์ในครอบครัวไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ น่าแปลก…ที่พ่อเธออุตส่าห์ให้ความช่วยเหลือ แต่หล่อนกลับไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังจะกล้านินทากันเสียๆ หายๆ อีก
“นี่พวกเราไม่ได้นินทาเธอนะ พวกเราก็แค่แสดงความคิดเห็น” แพรวอาภาเห็นทุกคนเงียบไปเหมือนกลัวจะถูกพาขวัญต่อว่าก็รีบพูดแทรกขึ้นมาราวกับต้องการแสดงอำนาจ
“อ้อเหรอ งั้นก็ดี! ฉันจะได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเธอบ้าง ทุกคนรู้มั้ยคะว่าความจริงแล้วแพรวเคยชอบพี่ภักดิ์มาก่อน ชอบมากถึงขนาดตามไปเฝ้าพี่ภักดิ์ที่ล็อบบี้คอนโดฯ แต่เขาก็ไม่เล่นด้วย แหม! พอถูกปฏิเสธแล้วมาพูดถึงเขาซะไม่มีดีแบบนี้มันเรียกว่าอะไรนะคะ ‘พวกองุ่นเปรี้ยว’ ใช่หรือเปล่า”
พาขวัญเหยียดยิ้มบางๆ และคำพูดของเธอทำให้บรรดาขาเม้าท์ต่างตาโตไปตามๆ กัน เชื่อเถอะว่าคนพวกนี้เม้าท์ครอบครัวเธอได้ พอลับหลังแพรวอาภาคนพวกนี้ก็เม้าท์หล่อนได้เหมือนกัน
อันที่จริงพาขวัญไม่อยากเอาเรื่องนี้มาประจานศัตรูของเธอ และที่ผ่านมาก็พยายามนิ่งมาตลอด เพราะไม่อยากมีเรื่องจนเหมือนเอามือไป ‘เปื้อนโคลน’ ทว่ากับคนบางคนเหมือนยิ่งนิ่งก็จะยิ่งได้ใจและหาเรื่องไม่เลิกสักทีเพราะคิดว่าคู่กรณีกลัว บางครั้งมันก็ต้องตอกหน้ากลับไปเจ็บๆ แบบนี้บ้าง
“พาขวัญ!”
เมื่อถูกคำพูดจี้ใจดำเข้าอย่างจังแถมยังถูกฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่น แพรวอาภาก็โกรธจนระงับอารมณ์ไม่ไหวจึงตรงเข้ามาผลักไหล่พาขวัญอย่างรุนแรง ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวบวกกับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นบ้าถึงขนาดนี้ทำให้พาขวัญเสียหลักจนล้มลงกับพื้นสร้างความแตกตื่นตกใจให้กับคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก จังหวะนั้นภวิลหันมาเจอเข้าพอดี เขารีบวางทุกอย่างที่อยู่ในมือแล้วผละจากนันทิตาตรงเข้ามาหาเธอ
“ยายพลีส!” วาสิตาเห็นเข้าก็รีบผละจากจิณณพัตแล้ววิ่งมาแทบจะพร้อมๆ กับอิชยะและแก้วเกล้า
“คุณพลีสลุกไหวมั้ย” ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างๆ แล้วประคองไหล่คนที่กำลังเจ็บอยู่บนพื้น
“ส้นสูงพลีสพลิกค่ะ พลีสเจ็บข้อเท้า…” พาขวัญกระซิบบอกเขา
ภวิลมองไปที่ข้อเท้าของร่างบาง เมื่อเห็นมันขึ้นรอยแดงเขาก็รับรู้ได้ว่ามันคงได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อย แต่ด้วยศักดิ์ศรีและความถือตัว เธอจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความเจ็บปวดออกมาให้คนอื่นเห็น เพราะไม่อยากดูน่าสมเพชและไม่อยากให้แพรวอาภาหัวเราะเยาะ
ในที่สุดภวิลก็ตัดสินใจอุ้มหญิงสาวขึ้นมาโดยไม่รอให้เธอเอ่ยปาก
“เราคงต้องกลับแล้ว ผมฝากคุณวาลาผู้ใหญ่ทางนี้แทนด้วยนะครับ” ชายหนุ่มบอกกับวาสิตาเพื่อให้เธอช่วยรับหน้ารวมถึงเคลียร์สถานการณ์ทางนี้แทน และเขามั่นใจว่าไว้ใจคนไม่ผิด
จากนั้นดวงตาคมกริบก็ปรายไปมองแพรวอาภา เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่คนที่ยืนอยู่รอบๆ รับรู้ได้ว่านั่นคือการตำหนิอย่างรุนแรงจนแพรวอาภาเองก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา
“ค่ะพี่ภักดิ์ เดี๋ยววาคุยกับผู้ใหญ่ให้ ฝากดูแลยายพลีสด้วยนะคะ” วาสิตารับคำ
ภวิลกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนพยักหน้าให้อิชยะกับแก้วเกล้าที่มองมาอย่างเป็นห่วงเพื่อบอกว่าเขาดูแลพาขวัญได้ ทั้งสองคนไม่ต้องกังวล จากนั้นก็อุ้มร่างบางออกไปท่ามกลางสายตาของใครต่อใคร
ชายหนุ่มทำทุกอย่างด้วยท่าทีนิ่งเฉย ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเรียบราวกับเป็นหุ่นยนต์ แต่วินาทีนั้นพาขวัญรู้สึกได้ว่าภายใต้ท่าทีเย็นชาของเขาช่างเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างร้ายกาจจริงๆ
“พี่ภักดิ์ไม่ต้องพาพลีสไปหาหมอนะคะ”
พาขวัญบอกเมื่อภวิลอุ้มเธอมาถึงรถยนต์คันหรู ชายหนุ่มวางเธอลงบนเบาะหน้าข้างคนขับอย่างนุ่มนวลแล้วช่วยจัดกระโปรงให้อย่างคล่องแคล่วราวกับการดูแลเธอเป็นหน้าที่ของเขา
“คุณพลีสโตแล้วยังกลัวหมออยู่อีกเหรอครับ” ภวิลถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงทุ้มต่ำที่นิ่งเรียบดุจเดิม แต่พาขวัญสัมผัสได้ว่าดวงตาสีฟ้าคมกริบคู่นั้นเจือด้วยความห่วงใย
“พลีสไม่ได้เป็นอะไร ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว อีกสักวันสองวันก็น่าจะหาย”
“งั้นถอดรองเท้าก่อนนะ จะได้สบายเท้า”
“ค่ะ”
พาขวัญเกือบลืมไปเลยว่าส้นรองเท้าเธอสูงมากและมันค่อนข้างรัดเท้าเธอไว้ หญิงสาวนึกขึ้นได้ก็ก้มลงจะถอดมันออก แต่เธอก็ช้าไปหลายวินาทีเพราะมือของภวิลไปถึงรองเท้าก่อนเธอเสียอีก
“พลีสถอดเองได้นะคะ” เธอบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ผมทำให้สะดวกกว่า” ชายหนุ่มยืนยันว่าเขาจะถอดให้เอง จากนั้นก็ก้มลงปลดสายที่รัดข้อเท้าเธอและค่อยๆ ถอดรองเท้าออกอย่างทะนุถนอมราวกับเขากลัวว่าเธอจะบอบช้ำ
พาขวัญมองคนตัวสูงที่กำลังดูแลเธออย่างไม่รังเกียจใดๆ แถมยังยอมก้มศีรษะช่วยเหลือเธออย่างไม่เกี่ยงงอนอีก…พักนี้ภวิลช่างขยันทำให้เธอหวั่นไหวและหัวใจเต้นแรงจริงๆ
“เจ็บเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบไป
“เอ่อ…เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” พาขวัญรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
ภวิลไม่พูดอะไรต่อ ร่างสูงถอยออกมาก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ พาขวัญใช้โอกาสนั้นในการปรับจังหวะหัวใจให้กลับมาเป็นปกติและวางตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มออกรถไป ระหว่างเขากับเธอแทบจะไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นเช่นนี้เสมอ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกได้ว่าช่องว่างระหว่างเขากับเธอแคบลงมาก รวมถึงความอึดอัดก็ลดน้อยลงเช่นกัน…แค่นั่งเงียบๆ โดยมีภวิลอยู่เคียงข้าง พาขวัญกลับสบายใจยิ่งกว่าอยู่ในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเสียอีก
ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆ!
Comments
comments
No tags for this post.