บทที่ 3
สกุลเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่ เฉพาะที่อาศัยในจวนก็มีอยู่เกือบร้อยคน เซี่ยซูเข้ามาอยู่ในสกุลเซี่ยตอนที่โตแล้ว ทุกวันในอดีตนางล้วนได้รับการอบรมเรื่องนั้นเรื่องนี้จากเซี่ยหมิงกวงมิได้ขาด จนแทบไม่มีโอกาสจะได้สนทนาหรือพบปะใครอื่น จึงไม่แปลกที่นางจะรู้จักคนในสกุลเซี่ยแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
พ่อบ้านรีบร้อนไปจัดการเรื่องของคุณชายหร่าน ส่วนเซี่ยซูก็ไม่มีแก่ใจมากินทับทิมต่อแล้ว นางจึงเอ่ยถามมู่ไป๋ว่า “คุณชายหร่านผู้นี้เป็นใครกัน”
มู่ไป๋เอ่ยตอบ “คุณชายคงไม่ทราบ หากว่ากันตามลำดับญาติแล้ว ท่านควรเรียกคุณชายหร่านว่า ‘ท่านอา’ เดิมทีเขาก็ถือเป็นหลานชายของนายท่านขอรับ”
นายท่านก็คือเซี่ยหมิงกวง ในเมื่อคุณชายหร่านเป็นหลานชาย ก็ต้องเป็นบุตรชายของน้องชายแท้ๆ ของท่านปู่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คุณชายหร่านท่านนี้ก็น่าจะถูกเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านรองสิ เหตุใดจึงมาอยู่ในบ้านใหญ่ได้เล่า เซี่ยซูงุนงงสงสัยยิ่งนัก
มู่ไป๋จึงพูดต่อ “แต่ภายหลังเกิดเรื่องขึ้น ฐานะของเขาจึงเปลี่ยนไป…”
เซี่ยซูยังมึนงงไม่หาย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”
มู่ไป๋หันมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาจึงยื่นหน้ามาเล่าเป็นฉากๆ ท่าทางมีลับลมคมในยิ่ง พอเล่าจบก็ทำสีหน้าเหมือนว่า ‘ถ้าเป็นคนทั่วไปข้าไม่เล่าให้ฟังหรอกนะ’
“อ้อ” สีหน้าเซี่ยซูดูซับซ้อนขึ้นมา
เซี่ยหมิงกวงกับน้องชายเซี่ยหมิงฮุยไม่ถูกกัน ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าน้องชายไม่ได้เรื่อง จะผลักดันก็ทำไม่ไหว อีกฝ่ายก็รู้สึกว่าพี่ชายไร้น้ำใจ แค่เรื่องที่เป็นถึงอัครเสนาบดีแต่ไม่คิดช่วยเหลืออะไรเลยก็ช่างมันเถอะ แต่นี่ถึงขั้นเหยียดหยามบุตรชายทั้งสองของเขาราวกับเป็นคนไร้ค่าอีก
เซี่ยหมิงฮุยมีลูกน้อย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาชนะเซี่ยหมิงกวงไป ตอนที่เขาอายุได้ห้าสิบ อนุภรรยาก็ยังคลอดบุตรชายให้เขาได้อีกคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกเป็นผู้ชนะจนเคราแทบจะชี้ฟ้าทีเดียว
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เซี่ยหมิงฮุยมาเยี่ยมเยียนเซี่ยหมิงกวงก็จะจูงบุตรชายคนเล็กมาด้วยท่าทางโอ้อวดเสมอ เด็กน้อยยิ่งโตก็ยิ่งเฉลียวฉลาด ทำให้เขาได้ลบล้างความอับอายที่เซี่ยหมิงกวงเคยดูถูกบุตรชายสองคนของเขาก่อนหน้านี้ไป ทำให้ยิ่งปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
ไหนเลยจะรู้ สิ่งที่ดีงามมักไม่ยืนยาว เซี่ยหมิงฮุยจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบหกสิบปีอย่างยิ่งใหญ่ แต่จู่ๆ ที่เรือนหลังก็เกิดไฟไหม้ขึ้น…อนุภรรยาคนงามประดุจบุปผาผู้นั้นถูกจับได้ว่าเล่นชู้กับคนนอก พอซักถามอย่างละเอียดก็พบความจริงว่า…ให้ตายสิ แม้แต่บุตรชายก็มิใช่ลูกของเขาหรอกหรือนี่
ราวกับสายฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ! เซี่ยหมิงฮุยกระอักเลือดจนเป็นลมล้มพับ อุตส่าห์เลี้ยงบุตรชายคนอื่นมานานนับสิบปี ทั้งยังให้เงินใช้จ่ายอย่างมือเติบเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ
เวลานั้นเซี่ยหมิงกวงก็อยู่ในงานเลี้ยงด้วย อย่างไรเสียก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์เบื้องหน้าก่อน เขาจึงไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม เพียงบอกกล่าวส่งแขกเหรื่อที่มีอยู่เต็มห้องออกไป คนอื่นๆ จะได้ไม่รับรู้เรื่องน่าอับอายในครอบครัวจนนำมาพูดต่อได้
จากนั้นเซี่ยหมิงฮุยก็จัดการกับอนุภรรยาทันที เดิมทียังคิดจะจัดการกับเด็กน้อยด้วย แต่เซี่ยหมิงกวงกลับรับตัวเด็กน้อยผู้นั้นแล้วพากลับมาจวนอัครเสนาบดีด้วยกัน
ว่ากันว่าทำเพื่อให้น้องชายอับอาย…
บ้างก็ว่าเขาอยากจะสะสมบุญกุศล…
บ้างก็ว่าคนที่คบชู้กับอนุภรรยาผู้นั้นก็คือเซี่ยหมิงกวงเอง…
เมื่อพ่อบ้านจวนอัครเสนาบดีได้ยินคนในจวนพูดเช่นนั้นก็ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว ‘นายท่านอายุอานามตั้งเท่าใดแล้ว พวกเจ้าก็อย่าปั้นน้ำเป็นตัวใส่ความท่านผู้เฒ่าเลย!’
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เพียงถูกวางไว้ข้างๆ ปล่อยให้คลุมเครืออยู่เช่นนี้เอง เด็กซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ชัดแจ้งจึงเติบโตขึ้นอย่างสงบสุขภายในจวนอัครเสนาบดี เหล่าคนรับใช้ไม่กล้าพูดจาเหลวไหล ด้วยชื่อของเขาคือเซี่ยหร่าน ผู้คนจึงเรียกเขากันว่า ‘คุณชายหร่าน’
แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ทว่าในใจเซี่ยซูกลับรู้สึกรับรู้ได้ถึงเรื่องราวบางอย่างที่แฝงอยู่
มู่ไป๋อยู่ในจวนสกุลเซี่ยมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงรับรู้เรื่องราวในอดีตมากกว่านาง ตามที่เขาเล่ามานั้น เซี่ยหร่านผู้นี้เข้ามาอยู่ในจวนตอนที่บิดาของนางก้าวเข้าสู่เส้นทางหลอมยาอายุวัฒนะแสวงหาความเป็นเซียนอย่างเต็มตัวแล้ว บางทีที่เซี่ยหมิงกวงพาเด็กน้อยกลับมาบ้าน อาจเพราะวางแผนให้เขารับช่วงต่อก็เป็นได้
แต่ความเป็นมาของเซี่ยหร่านก็ช่างน่ารังเกียจจริงๆ หากวันใดถูกเปิดโปงขึ้นมาคงยากจะทำให้คนเคารพนับถือได้ นอกจากนี้ยังไม่มีสายเลือดสกุลเซี่ยด้วย เซี่ยหมิงกวงย่อมไม่อาจวางใจได้เท่าใดนัก
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ท่านผู้เฒ่ารับตัวนางกลับมาที่จวนกระมัง แม้นางจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย แต่เทียบกันแล้วก็ยังดีกว่าเซี่ยหร่าน อย่างไรเสียนางก็ยังมีสายเลือดสกุลเซี่ย ทั้งยังเป็นบุตรีสายตรงเพียงคนเดียว ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว
เมื่อได้ใคร่ครวญ เซี่ยซูก็เข้าใจว่าที่ผ่านมาเหตุใดเซี่ยหมิงกวงจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องคนผู้นี้ให้ฟังมาก่อน แปดส่วนคงกังวลว่านางจะไม่สบายใจ
เรื่องนี้เซี่ยซูเข้าใจได้ แต่ที่ยังสงสัยก็คือเซี่ยหร่านรับรู้เรื่องนี้หรือไม่ นางลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า ก่อนจะหันไปพูดกับมู่ไป๋ “พาข้าไปพบท่านอาหน่อยสิ”
เซี่ยหร่านอยู่ที่เรือนหลิวอวิ๋นซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจวน ที่นั่นอาจจะดูคับแคบไปบ้าง แต่ก็สงบเงียบร่มรื่น น่าอยู่ไม่น้อย บริเวณลานเรือนยังมีสระน้ำเล็กๆ กลีบดอกไม้จากริมสระร่วงลงสู่ผิวน้ำ ยามแสงจันทร์สาดส่องเผยให้เห็นความงามอันน่าหลงใหล
เซี่ยซูกับมู่ไป๋เดินไปถึงประตูเข้าลานเรือน พวกเขาเห็นพ่อบ้านและท่านหมอเดินออกมาพอดี จึงสอบถามไปสองสามคำ ท่านหมอบอกว่าเซี่ยหร่านผูกคอกับขื่อ โชคดีที่ถูกพบเห็นเร็วจึงไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่มีรอยช้ำที่ลำคอเท่านั้น
เซี่ยซูพยักหน้า นางเอามือไพล่หลังพลางเดินไปที่ประตู พบว่ามีเด็กรับใช้ท่าทางคล่องแคล่วรออยู่ข้างในแล้ว
“คารวะอัครเสนาบดีขอรับ”
เซี่ยซูจึงเอ่ยถาม “เหตุใดคุณชายของเจ้าจึงได้คิดสั้นเล่า”
เด็กรับใช้ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็แดงเรื่อ “จู่ๆ นายท่านสองคนจากบ้านรองก็มาหาถึงที่เรือน บอกว่าคุณชายของบ่าวเป็นคนนอก แล้วบอกให้เขาไสหัวออกไปจากสกุลเซี่ยเสีย คุณชายโกรธมาก ก็เลย…”
เซี่ยหมิงฮุยลาโลกไปนานแล้ว นายท่านทั้งสองของบ้านรองก็คือบุตรชายทั้งสองของเขา ทั้งสองจึงมีฐานะเป็น ‘ท่านอา’ แท้ๆ ของเซี่ยซูนั่นเอง
เซี่ยซูเคยได้ยินเซี่ยหมิงกวงพูดถึงท่านอาทั้งสองมาบ้าง เซี่ยตุนคนโตเป็นคนขี้เมา วันทั้งวันเอาแต่เมาอยู่แทบเท้าหญิงงาม เซี่ยหลิงคนรองไม่ชอบเล่าเรียนตำรา วันๆ ใฝ่ฝันแต่จะเป็นแม่ทัพ ทว่าน่าเสียดายที่กลับป่วยกระเสาะกระแสะเป็นวัณโรค
เซี่ยหมิงกวงเคยถึงขั้นเรียกทั้งสองคนนั้นว่า ‘พวกสวะ’
เซี่ยซูมีแผนการในใจแล้ว นางสาวเท้าเดินเข้าไปในห้อง
กลิ่นยาฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้อง หลังฉากกันลมเห็นร่างหนึ่งเอนนอนพิงหัวเตียงอยู่
เด็กรับใช้เดินเข้าไปกระซิบสองสามคำ ทว่าคนบนเตียงกลับไม่ยอมขยับตัว เซี่ยซูจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปเอง
เซี่ยหร่านอายุอ่อนกว่านางสองปี เขาสวมชุดยาวสีขาวตัวหลวมโพรก รูปโฉมหล่อเหลา ทว่าดูซีดเซียวไปสักหน่อย รอยแดงตรงลำคอก็ดูน่าตกใจอย่างยิ่ง
เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ เซี่ยหร่านจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงเหลือบมองด้วยแววตาเย่อหยิ่งเย็นชาแค่แวบเดียวก็ถอนสายตากลับไป แล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ทำให้ท่านอัครเสนาบดีต้องเป็นกังวลแล้ว”
เซี่ยซูกระแอมเบาๆ เป็นการบอกให้คนรับใช้ถอยออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปทักทายเขาอย่างยิ้มแย้ม “ท่านอา”
เซี่ยหร่านเงยหน้าขึ้นมาทันที สีหน้าราวกับมองเห็นผี
“ท่านอามองข้าเช่นนี้ทำไมเล่า ถึงท่านจะอ่อนกว่าข้าสองปี แต่ก็ถือว่าอยู่คนละรุ่นกัน ข้าเรียกท่านว่าท่านอาก็เหมาะสมแล้ว”
สีหน้าเซี่ยหร่านดูเกรี้ยวกราดในทันใด “ข้าไร้สายเลือดสกุลเซี่ย เป็นแค่ลูกชู้ของเมียบ่าวแค่นั้น!”
ว่าแล้วเชียว นี่ต้องเป็นคำด่าทอของท่านอาสองท่านนั้นแน่
เซี่ยซูนั่งลงตรงริมเตียง พลางคลี่พัดจีบออกแล้วพัดให้เขา “ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นลูกนอกสมรสเช่นกัน ท่านอา ข้าว่าเราทั้งสองต่างก็มีชีวิตที่น่าสงสารเหมือนๆ กัน ควรจะช่วยเหลือกันถึงจะถูก ท่านจะมาด่วนจากไปก่อนได้อย่างไรเล่า”
เซี่ยหร่านได้ยินเซี่ยซูพูดพล่ามด้วยท่าทีตีสนิทเช่นนี้ก็ถึงกับอึ้งไป เขานิ่วหน้าแล้วเอ่ยว่า “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร”
เซี่ยซูจึงเลิกตีหน้าทะเล้น แล้วกระซิบว่า “ท่านอาเติบโตมาโดยได้รับการสั่งสอนอบรมจากท่านปู่ คิดแล้วก็น่าจะมีดีกว่าคนอื่นๆ บัดนี้ท่านปู่ไม่อยู่แล้ว ท่านอากลับมาอยู่ในสภาพที่ถูกคนกลั่นแกล้งรังแกเสียได้ มิสู้ท่านอาใช้ความสามารถที่มีติดตัวมาช่วยเหลือหลานชายเช่นข้าดีกว่า ดูสิ ข้ากับท่านอาก็อายุพอๆ กัน ร่างกายก็แข็งแรงดี ย่อมมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าหลังคาเรือนจะพังครืนลงมา”
เซี่ยหร่านเข้าใจได้ในทันที ทว่าสีหน้ากลับยิ่งเย่อหยิ่งมากกว่าเดิม “ที่ท่านมาถึงที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้เองหรือ ข้าว่าไม่ต้องมาก็ได้กระมัง เพราะว่าเหล่าสกุลมีชื่อทั้งหลายคงไม่หวังจะให้ท่านได้มีชีวิตอยู่นานเท่าไรนักหรอก”
เซี่ยซูถูจมูกไปมา
เซี่ยหร่านเบือนหน้าไป “ท่านเดินกลับอย่างระมัดระวังด้วย ไม่ขอไปส่ง”
“ก็ได้” เซี่ยซูจำต้องลุกขึ้นยืน นางแสร้งทำทีถอนหายใจด้วยท่าทางที่เสียดายยิ่ง “เช่นนั้นวันหน้าค่อยมาเยี่ยมท่านอาใหม่ วันนี้ที่บอกไป ท่านอาก็ลองเก็บไปคิดดูให้ดี อันที่จริงท่านอาก็คงเข้าใจดีกระมัง ที่ท่านปู่รับตัวท่านอาไว้ก็เพื่อวันนี้มิใช่หรือ”
ออกจากเรือนหลิวอวิ๋นแล้ว มู่ไป๋ก็ปราดเข้ามา ท่าทางอยากจะนินทาเต็มที่ เซี่ยซูเพียงโบกพัดไปมา สรุปผลของการพบปะในครั้งนี้ว่า “ช่างหยิ่งนัก เย่อหยิ่งเหลือเกิน!”
เหล่าสกุลมีชื่อทั้งหลายคงไม่หวังจะให้ข้าได้มีชีวิตอยู่นานเท่าไรนักอย่างนั้นรึ!
เซี่ยซูไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด เพราะตั้งแต่แรกนางก็คอยจับตาดูสกุลต่างๆ อย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่สกุลต่างๆ ในราชสำนัก
ตลอดช่วงเวลาหลายปีมานี้ ราชสำนักไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น สายตาของฮ่องเต้จึงรวมมาอยู่ที่ตัวเซี่ยซูทั้งสิ้น ทุกครั้งที่มีการเข้าเฝ้าเป็นต้องจ้องอัครเสนาบดีเขม็ง จ้องชนิดที่แทบจะทะลุทะลวงร่างอีกฝ่ายได้เลยทีเดียว
หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เป็นคนเอาจริงจัง อาลักษณ์คงได้จดบันทึกไปแล้วว่าพระองค์รักชอบหลงหยาง
จับจ้องอยู่หลายวัน ในที่สุดฮ่องเต้ก็เปลี่ยนวิธี วันนี้หลังจากเล่นงานเรื่องงานปกครองเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทอดถอนใจ แล้วเอ่ยกับเซี่ยซูด้วยท่าทางจริงจัง “ช่วงก่อนหน้านี้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ฤดูร้อนร้อนยิ่ง วันนี้เรายังได้ยินมาอีกว่าที่เมืองเหอผู่มีคนเห็นเมฆหมอกก่อตัวจนดำทะมึนเหนือทะเลโดยไม่ยอมสลายไป เกรงว่าจะเป็นลางร้ายเป็นแน่ อีกอย่าง นับตั้งแต่อัครเสนาบดีเซี่ยขึ้นรับตำแหน่งก็มีลางร้ายเกิดขึ้นไม่หยุด เกรงว่าพวกชาวบ้านจะเอาไปพูดถึงกันพล่อยๆ ช่วงนี้เจ้าก็ผ่อนปรนกับพวกผู้ใต้บังคับบัญชาลงบ้างเถิด เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นหาข้ออ้างมาติฉินค่อนแคะเจ้าได้”
คำพูดของฮ่องเต้อาวุโสนั้นล้วนจริงใจ ดูแล้วเหมือนใคร่ครวญเผื่อนางแล้ว แต่มีหรือที่เซี่ยซูจะฟังความหมายที่ซ่อนเร้นในคำพูดนั้นไม่ออก
รายชื่อที่จดไว้จากงานเลี้ยงคราวนั้น เซี่ยซูเพิ่งมีโอกาสลงมือจัดการเมื่อไม่นานนี้เอง ที่ควรปลดก็ปลดออก ที่ควรย้ายก็สั่งย้ายไป จนกระทบไปถึงขุนนางใหญ่หลายท่าน เกรงว่าคนเหล่านั้นคงไปร้องไห้คร่ำครวญกับฮ่องเต้เป็นแน่แท้
เซี่ยซูคิดว่าจะทำสิ่งใดล้วนต้องรอบคอบ นางต้องคุมคนสนิทฝ่ายของท่านปู่ให้อยู่ในกำมือให้ได้ ขณะเดียวกันยังต้องเลี้ยงคนสนิทที่ตนเองไว้ใจได้เอาไว้บ้าง ดังนั้นด้านหนึ่งนางจำต้องขุดรากถอนโคนอีกฝ่าย ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ต้องปลูกรากใหม่เอาไว้ ขุดไปขุดมาจนไปถูกรากซึ่งเป็นคนสนิทสองคนของฮ่องเต้เข้าโดย ‘ไม่ทันระวัง’
คนหนึ่งคือหัวหน้าสำนักตรวจการ ขุนนางท่านนี้เขียนฎีการ้องเรียนนางครั้งหนึ่งตอนที่นางเพิ่งขึ้นเป็นอัครเสนาบดี บอกว่ามารดาของนางไม่เป็นที่รู้จัก ไม่อาจควบคุมงานปกครองของราชสำนักเอาไว้ได้ อีกท่านหนึ่งคือแม่ทัพเชอจี้ ตอนนั้นกล่าวโทษว่านางเกรงกลัวอู่หลิงอ๋องที่กลับมาเมืองหลวง จึงจงใจย้ายทหารราชองครักษ์ในเมือง
ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้เมื่อตอนกลางดึก พระองค์ถึงกับกริ้วเสียจนสีหน้าเครียดคล้ำ พลางตวาดว่า ‘มารดามันเถอะ’ ยามนั้นหยวนกุ้ยเฟย ที่คอยรับใช้ในห้องบรรทมตระหนกตกใจจนกลิ้งตกเตียง ทว่าก่อนกลิ้งตกลงไปนั้นยังเผลอถีบพระองค์อย่างแรงเข้าทีหนึ่งด้วย
หวนกลับมาคิดในตอนนี้ พระองค์ก็ยิ่งกริ้วกว่าเก่า มือลูบไปบนแข้งของพระองค์พลางจ้องมองเซี่ยซูไปด้วย คำพูดนี้บอกชัดเจนว่าให้อีกฝ่ายคำนึงถึงพระเกียรติของพระองค์ให้มากหน่อย ช่วยรามือเรื่องการทำเรื่องขาดคุณธรรมลงเสียบ้าง!
เซี่ยซูค้อมคำนับอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว เรื่องที่เมืองเหอผู่ กระหม่อมก็ได้ยินมาเช่นกัน จึงให้โหรหลวงไปทำการตรวจสอบแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่วันคงจะได้ความกระจ่าง ถึงตอนนั้นข่าวลือย่อมลดหายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าฮ่องเต้พลันบูดบึ้ง เสียงหัวเราะหึดังขึ้นอย่างหยามหยัน ก่อนมองเลยไปยังโหรหลวง ขอให้ตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรเลย!
ยามนี้เอง เว่ยอี้จือที่อยู่ภายในท้องพระโรง ซึ่งตลอดมาแทบไม่พูดอะไรเลยนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดถึงเมฆสีดำเหนือท้องทะเล เมื่อก่อนกระหม่อมก็เคยได้ยินชาวโหรวหรานผู้หนึ่งเล่าว่า นี่เป็นลางร้ายอย่างมาก เกรงว่าจะร้ายยิ่งกว่าฤดูร้อนที่ร้อนจัดเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นทันที
ใครบ้างไม่รู้ว่าชาวโหรวหรานอาศัยอยู่ในทะเลทราย เมื่อได้ยินชาวโหรวหรานพูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับทะเลเช่นนี้ มิสู้เจ้าไปถามราคาผักจากฮองเฮาเสียดีกว่า! นี่หมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าอู่หลิงอ๋องเริ่มเกิดความคิดจะหาทางประมือกับอัครเสนาบดีแล้วน่ะสิ! นี่สินะที่คนพูดกันว่า…ไม่กลัวเจ้าจะมีความสามารถเกินหน้าเจ้านาย กลัวก็แต่เจ้าไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้านาย!
ฮ่องเต้สบายใจยิ่งแล้ว พระองค์มองไปยังเว่ยอี้จืออีกครั้ง ดูแล้วช่างรื่นตายิ่งนัก
เซี่ยซูเองก็ตระหนักว่าเว่ยอี้จือตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับตนแล้วเช่นนี้ นางจึงแอบกวาดตามองอีกฝ่ายเร็วๆ จนไม่มีใครสังเกตเห็น
อันที่จริงชนชั้นสูงที่อยากให้นางตายก็มีสกุลเว่ยที่มาเป็นอันดับหนึ่งมิใช่หรือ
เว่ยอี้จือกลับยืนนิ่งอย่างเด็ดเดี่ยว ดูสุขุมเยือกเย็น ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น ทั้งยังยิ้มให้นางอีกด้วย
เซี่ยซูกุมขมับ จะเล่นลูกไม้กับข้าด้วยการให้ร้ายก่อนแล้วค่อยปลอบใจทีหลังใช่หรือไม่!
คงเป็นเพราะบารมีของฮ่องเต้เป็นแน่ หลังจากโหรหลวงตรวจสอบเรื่องเมฆดำทะมึนเหนือท้องทะเลแล้วก็ยังไม่พบความกระจ่าง
ตอนนี้ข่าวลือที่ว่านี้ราวกับมีขางอกออกมา ภายในระยะเวลาไม่กี่วันก็แพร่ออกไปทั้งในและนอกกำแพงวังหลวง
เอาล่ะสิ คราวนี้เป็นลางร้ายมหันต์เชียวนะ สกุลเซี่ยคงถึงคราวล่มสลายแล้วกระมัง!
เมื่อมีข่าวลือกระซิบกระซาบนี้อยู่ในเมืองหลวง ก็ถึงคราวที่ฝ่ายสนับสนุนของเซี่ยซูต้องสลดบ้างแล้ว พวกเขาได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูฝ่ายสนับสนุนอู่หลิงอ๋องตีปีกเริงร่า จำต้องกัดฟันกรอดๆ บิดผ้าเช็ดหน้าจนขาดวิ่น ความรู้สึกนั้นอย่าให้พูดเลยว่าเศร้าสลดหดหู่ปานใด!
ยามเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ก็แย้มยิ้มเสียจนใบหน้าเป็นรอยยับย่นราวกับดอกเบญจมาศ “อัครเสนาบดีเซี่ย เจ้าดูสิ บัดนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะพูดบ้างหรือ”
เซี่ยซูกะพริบตาราวกับคนโง่งม “ความหมายของฝ่าบาทคือ…”
“เราว่าทั้งหัวหน้าสำนักตรวจการและแม่ทัพเชอจี้ต่างก็ไม่เคยทำความผิดมาก่อน นี่ต้องเป็นเพราะอัครเสนาบดีเช่นเจ้าประพฤติตัวไม่เหมาะสม จึงได้ทำให้สวรรค์พิโรธผู้คนสาปแช่งเป็นแน่”
เซี่ยซูทำสีหน้าเหมือนเพิ่งรู้ความผิดของตนเอง นางมีท่าทีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวตอบว่า “กระหม่อมจะจดจำสิ่งที่ฝ่าบาททรงสั่งสอนไว้ให้ดี กลับไปแล้วกระหม่อมจะพินิจพิจารณาตัวเป็นอย่างดี แล้วประพฤติตัวเสียใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทำเสียงอืมคำหนึ่ง ในใจปลอดโปร่งโล่งสบาย เจ้าเด็กนี่กำราบง่ายยิ่งนัก หากเป็นตาเฒ่าเซี่ยหมิงกวงคงไม่อาจจัดการได้โดยง่ายเช่นนี้ อา อยากจะหันไปชื่นชมข้ารับใช้คนสนิทที่แนะให้ปล่อยข่าวลือที่ข้างนอกเสียจริง ทำได้ดี ทำได้ดีทีเดียว!
หลังจากเข้าเฝ้าแล้ว เซี่ยซูยังคงมีสีหน้าเศร้าหมองขมขื่นไม่จางหาย ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป
คนที่สนับสนุนเซี่ยซูก็รู้สึกหวั่นใจยิ่งนัก เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่หากจัดการเรื่องราวได้ไม่ดี นี่มิเท่ากับวางเดิมพันผิดข้างหรอกหรือ
ฝ่ายตระกูลใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของเซี่ยซูย่อมจะกระหยิ่มใจ นี่แหละที่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าคำนวณ! คิดแล้วก็ต้องรีบสาวเท้าเข้าไปตีสนิทกับอู่หลิงอ๋องเสียหน่อย ราวกับมองเห็นแสงสว่างนำทางที่โชติช่วงอย่างไรอย่างนั้น
ไหนเลยจะรู้ว่าอู่หลิงอ๋องกลับเสไปอีกทางหนึ่ง เขาเดินเข้าไปหาอัครเสนาบดีที่กำลังทำสีหน้าทุกข์ตรม
“ท่านอัครเสนาบดี โปรดรอก่อน”
เซี่ยซูเพิ่งเดินพ้นประตูวังมา เดิมทีนางที่ปั้นหน้าขมขื่นอยู่นานก็นึกว่าจะได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว พอได้ยินเสียงเรียกนี้ นางจึงจำต้องแสร้งตีหน้าเศร้าระทมต่อ
เว่ยอี้จือเกล้าผมสูงแล้วครอบหมวกยศสีทอง ชุดขุนนางบนร่างเขายิ่งทำให้ดูเคร่งขรึม เขาค่อยๆ เดินตรงเข้ามา “ไม่ทราบว่าท่านพอมีเวลาว่างหรือไม่ ข้านึกอยากจะเชิญท่านไปยังสถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชมสักหน่อย”
เซี่ยซูครุ่นคิด “หืม? สถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชมเช่นนั้นรึ”
เว่ยอี้จือหัวเราะเบาๆ ดวงตาเจิดจ้าราวกับดวงดาว “ไปแล้วก็จะรู้เอง”
หลังออกจากวังแล้วรถม้าทั้งสองคันก็มุ่งไปทางทิศใต้ ผ่านประตูต้าซือหม่า ประตูเซวียนหยาง และประตูจูเชวี่ยตามลำดับ ในที่สุดรถม้าของทั้งสองก็หยุดลงยังริมฝั่งแม่น้ำฉินไหวที่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยซูอาศัยอยู่ในตรอกอูอี ริมฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำฉินไหว จวนต้าซือหม่าของเว่ยอี้จือตั้งอยู่ที่บริเวณคลองขุดชิงซี ด้านตะวันออกของเมือง ชาวบ้านต่างก็คิดไปว่าสองคนนี้แค่บังเอิญร่วมทางกันมาแล้วหยุดรถเพื่อจะแยกกันตรงนี้ ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นอัครเสนาบดีเดินลงมาจากรถม้าของตนเอง บอกให้องครักษ์ถอยไป ก่อนจะยกชายชุดแล้วเดินขึ้นไปบนรถม้าของอู่หลิงอ๋อง ทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกัน ตรงไปยังฉางกั้น
ชาวบ้านล้วนอาศัยอยู่ในย่านฉางกั้น การกระทำของพวกเขาย่อมทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นไม่น้อย…
“ท่านอัครเสนาบดีจะไปจับคนที่ปากมากด้วยตัวเองเชียวรึ”
“แล้วทำไมต้องนั่งรถม้าของอู่หลิงอ๋องไปด้วยเล่า”
“เจ้าโง่! อู่หลิงอ๋องมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม จะต้องถูกบังคับให้ไปทำหน้าที่ซ้อมผู้ต้องหาน่ะสิ!”
“โธ่ อู่หลิงอ๋องของข้าช่างน่าสงสาร”
“ไปไกลๆ เลย! ท่านอัครเสนาบดีของข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย!”
เนื่องจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นของชาวบ้าน ฉางกั้นจึงไม่ขาดสิ่งใด มีทั้งของกินเครื่องดื่ม การละเล่น และดนตรีต่างๆ ตามรายทางมีแผงสินค้าตั้งเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ดูหลากหลาย มีคนสัญจรกันอย่างแน่นขนัด เสียงร้องตะโกนอันหนวกหูดังสับสนวุ่นวายไปหมด ในอากาศมีทั้งกลิ่นที่หอมหวนและเหม็นหืนโชยมาเข้าจมูก
เซี่ยซูแหวกม่านมองออกไป นางถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ โดยไม่รู้ตัว
นางได้กลิ่นเนื้อกวางย่าง แปดปีก่อน ตอนที่คนในจวนสกุลเซี่ยรับนางกลับมายังเมืองเจี้ยนคัง พอนางสูดดมกลิ่นนี้ก็ถึงกับหิวจนน้ำลายสอ
ตอนนั้นนางเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันว่าชาวหูชอบกินของสิ่งนี้ พอมาอยู่ที่เจี้ยนคังนางก็ได้กลิ่นมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยได้ลิ้มรสเลยสักครั้ง แล้วจะไม่ให้นางนึกอยากกินได้อย่างไร ภายหลังบ่าวในจวนนึกเห็นใจนาง จึงซื้อเนื้อกวางย่างมาให้นางกิน ผลก็คือนางกินเอาๆ ชนิดที่เรียกว่าไม่บันยะบันยังเลยทีเดียว พอกลับมาถึงจวนจึงเริ่มอาเจียน ทำให้ท่านปู่โกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ยังลงโทษบ่าวผู้นั้นด้วยไม้พายเสียยกหนึ่ง
‘เจ้าเป็นคนสกุลเซี่ย ไปกินของแย่ๆ มั่วๆ ได้หรือ!’ ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าคล้ายยังดังอยู่ข้างหู
เซี่ยซูถอนหายใจแผ่วเบา ตอนนั้นขอเพียงได้กินเนื้อกวางย่างจนเต็มอิ่มก็นับเป็นความหวังอันสูงสุดของนางแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นคนสกุลเซี่ยแล้วอย่างไร กินของพวกนี้ไม่ได้เลยหรือ
“เหตุใดท่านจึงถอนหายใจเล่า”
“หืม?” เซี่ยซูค่อยได้สติกลับมา แล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่ายังมีเว่ยอี้จือนั่งอยู่ด้วย นางจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยที่เมืองหลวงจะกลับมาคึกคักเช่นนี้”
มุมปากเว่ยอี้จือปรากฏรอยยิ้มบางๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี “นึกว่าเรื่องใดเสียอีก ท่านอัครเสนาบดีช่างคำนึงถึงราษฎรก่อนเป็นอันดับแรกจริงๆ”
เซี่ยซูรีบโอ้อวดตนเองทันที “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ตัวข้าไร้ข้อดีอื่นๆ จะมีก็แต่โอบอ้อมอารีเกินไปเท่านั้นแหละ ฮ่าๆ”
รอยยิ้มเว่ยอี้จือยิ่งหยักลึกขึ้นอีก เขาโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยพลางเลิกผ้าม่านรถขึ้น ทำท่าชี้ชวนให้เซี่ยซูมองออกไปข้างนอก
เซี่ยซูหันมองตาม “นักเล่นกลจากแคว้นต้าฉินกำลังเปิดการแสดงนี่”
“ไม่ผิด”
เว่ยอี้จืออยู่ใกล้เซี่ยซูมาก นางแทบจะมองเห็นได้ว่าดวงตาดำขลับราวหยกสีดำที่อยู่ใต้ขนตายาวนั่นเจิดจ้าวาววามเพียงใด
“เจ้าต้องดูว่าพวกเขาทำการแสดงอย่างไร” เว่ยอี้จือเอ่ยขึ้น
เซี่ยซูหันกลับไปมอง คราวนี้นางมองดูด้วยความตั้งใจยิ่ง
ชาวต้าฉินจมูกโด่งเบ้าตาลึกโหลกำลังแสดงการร่ายเวท ชายร่างใหญ่ดุจขุนเขาไว้เครายาวจับนกตัวหนึ่งมาใส่กรง เขาบอกให้เด็กหนุ่มชาวต้าฉินที่อยู่ข้างๆ ยกกรงขึ้นมา ส่วนตนเองพูดแบบชาวจงหยวน ด้วยสำเนียงแปร่งหูเรียกให้ทุกคนเข้ามาดู จากนั้นจู่ๆ ก็มีควันสีดำพวยพุ่งออกจากมือเขาเป็นระลอกอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ควันลอยคลุ้งอยู่รอบๆ กรงนก รอจนควันจางลง กรงนกก็อันตรธานไปเสียแล้ว
“ปล่อยควันออกจากมือได้ด้วยรึ!” ชาวบ้านที่มามุงดูต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
ชายเครายาวยิ้มพลางยักไหล่ ท่าทางปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็มีควันสีดำลอยฟุ้งออกมาจากมือและลอยวนรอบกรงนกอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาควันก็กระจายออก นกตัวนั้นพลันกลับมาได้ ยามนี้เกาะอยู่ในกรงอย่างสงบราวกับไม่ได้หายไปไหนมาก่อน
“กลนี้งาย (ง่าย) มาก พวกเรายังแสกคน (เสกคน) ได้ด้วยนะ!” ชายต้าฉินกล่าวด้วยสำเนียงจงหยวนแปร่งๆ
ชายเครายาวปรบมือครั้งหนึ่ง คนแคระสองคนก็นำหญิงชาวต้าฉินที่ดูเจ้าเนื้อผู้หนึ่งเดินเข้ามา
หญิงผู้นั้นใบหน้าขาวแก้มแดง ดวงตาลึก ดูแล้วยั่วยวนอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าชายชาวต้าจิ้นไม่เห็นว่างามน่ามองแต่อย่างใด
“ขยิบตาอะไรกัน? ไม่เห็นน่ามองสักนิด ยังเทียบกับหญิงสาวหน้าตาธรรมดาในบ้านผู้มีอันจะกินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“ก็ใช่น่ะสิ พอเอานางมาเทียบท่านอัครเสนาบดีแล้ว ท่านอัครเสนาบดีเหมือนเป็นเทพเลยทีเดียว!”
“อู่หลิงอ๋องเทียบกับนางแล้วก็เหมือนเป็นเซียนเชียวล่ะ!”
เซี่ยซูกับเว่ยอี้จือหันมาสบตากัน ก่อนจะเบือนสายตาออกไปเงียบๆ
ชายเครายาวโบกมือทำท่าบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง แล้วให้คนแคระสองคนพาหญิงสาวเข้าไปไว้ในกรงใบใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นจึงโบกไม้โบกมือหลายท่าพลางท่องคาถาไปด้วย จู่ๆ ก็มีควันสีดำลอยออกมาจากมือ คราวนี้ก่อเป็นกลุ่มควันดำโขมงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
คนแคระโบกพัดเล่มใหญ่ไปทางกรงใบใหญ่นั้นอย่างรวดเร็ว ควันดำพลันกระจายออก หญิงสาวในกรงได้หายตัวไปแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกันอยู่นั้น เสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากอีกฟากถนน
หากจะฉวยโอกาสวิ่งไปตอนที่ควันดำลอยฟุ้งก็คงไม่สามารถวิ่งไปได้ไกลปานนี้แน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีผู้คนมากมายที่รายล้อมอยู่อย่างแน่นขนัด จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หญิงสาวผู้นั้นจะวิ่งออกไปโดยที่ไม่มีใครรู้
ถึงตอนนี้ทุกคนจึงพากันปรบมือร้องชม ล้วงเงินออกมาตกรางวัล
เว่ยอี้จือปล่อยม่านลง เขากลับไปนั่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านมองเห็นอะไรในกลนั้นบ้าง”
เซี่ยซูนิ่วหน้าแล้วตอบว่า “การแสดงนี้แค่เพียงพื้นๆ แต่ถ้าคิดเสียว่ามีเวลาว่างมาดูพอให้เพลินใจ ก็นับว่าไม่เลว”
เว่ยอี้จืออมยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนั้นก็ถือว่าอ๋องเช่นข้าต้อนรับได้ไม่ดีพอ หวังว่าคราวหน้าจะสามารถพาท่านไปดูการแสดงชั้นเยี่ยมอย่างแท้จริงได้”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณในความตั้งใจดีของอู่หลิงอ๋องแล้ว”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”
ทั้งสองออกไปเที่ยวเล่นตามอำเภอใจรอบหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงด้านนอกประตูจูเชวี่ย ทั้งสองต่างก็คำนับบอกลากันและกัน แล้วต่างคนต่างก็ขึ้นรถม้าของตนเอง แยกย้ายกันกลับจวน
พอกลับถึงจวนสกุลเซี่ย เซี่ยซูก็ลอบสั่งมู่ไป๋ว่า “ไปตามหาพวกชาวแคว้นต้าฉินที่ได้พบที่ฉางกั้นในวันนี้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีการใดก็ต้องถามให้รู้แน่ชัดว่าที่แท้พวกเขาเล่นกลควันดำนั่นได้อย่างไร”
ช่างดูขู่เข็ญคุกคามชาวบ้านยิ่งนัก! มู่ไป๋รู้สึกว่าวันเวลาแห่งการได้อวดอ้างอำนาจของจวนสกุลเซี่ยหวนกลับมาอีกครั้งแล้ว เขาจึงร้องขานรับอย่างกระตือรือร้นยิ่งทันที “ขอรับ!”
สุดท้ายมู่ไป๋ก็ไปไต่ถามเรื่องกลควันดำจนได้คำตอบที่ชัดเจนกลับมา คืนนั้นโหรหลวงถูกเรียกตัวอย่างลับๆ ให้มายังจวนสกุลเซี่ย
วันถัดมาตอนที่เข้าเฝ้าในท้องพระโรง สีหน้าฮ่องเต้ยังคงเปล่งปลั่งดุจดอกเบญจมาศ “อัครเสนาบดีเซี่ย เรื่องที่หัวหน้าสำนักตรวจการและแม่ทัพเชอจี้ร้องเรียน เจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
เซี่ยซูกล่าวตอบด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย “กระหม่อมรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังต้องปรึกษาหารือกันอีกสักหน่อย ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าฮ่องเต้พลันเครียดคล้ำ ขณะที่กำลังจะเอ่ยอะไร โหรหลวงก็ก้าวออกมาแล้วกล่าว “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบจนพบที่มาที่ไปของข่าวลือเมฆดำเหนือท้องทะเลที่เมืองเหอผู่แล้ว ตอนนี้จึงได้ส่งคนไปแก้ข่าวลือที่มีอยู่ภายในเมืองหลวงแล้ว ขอให้ฝ่าบาทเบาพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับดูไม่ ‘เบาพระทัย’ เลยแม้แต่น้อย ยามนี้พระองค์นึกอยากจะทุบคนต่างหาก!!!
เว่ยอี้จือถามขึ้นมาได้จังหวะพอดี “ ‘ที่มาที่ไป’ ที่โหรหลวงว่านั้น ที่แท้มาจากสาเหตุใดกันแน่”
โหรหลวงประสานมือคารวะ “ต้าซือหม่าคงไม่ทราบ นั่นเป็นฝุ่นหินสีดำ พอถูกความร้อนก็จะกระจายตัวออกกลายเป็นหมอกฟุ้ง กลที่ชาวต้าฉินเล่นกันอย่างแพร่หลายในเมืองหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ก็คือสิ่งนี้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” เว่ยอี้จือหันไปมองทางเซี่ยซูพลางพูดประชด “เห็นทีสวรรค์คงจะคอยปกป้องคุ้มครองท่านจริงๆ”
คราวนี้เซี่ยซูไม่อาจตอบรับอย่างคนหน้าหนาได้ นางหันไปมองฮ่องเต้ด้วยท่าทีอ่อนน้อม “มิใช่เช่นนั้นหรอก นี่ต้องเป็นเพราะพระบารมีของฝ่าบาทช่วยไว้เป็นแน่”
ฮ่องเต้หลับตาแล้วเบือนหน้าหนี เราไม่ปรารถนาจะมองเห็นเจ้าคนสารเลวผู้นี้อีก
พอเลิกเข้าเฝ้าแล้ว เพื่อไม่ทำให้ผู้คนสงสัย เซี่ยซูจึงจงใจไม่รอออกไปพร้อมกับเว่ยอี้จือ นางรีบก้าวขึ้นรถม้าแล้วออกไปแต่เนิ่นๆ ทันที
ระหว่างทางยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่าหญิงสาวเฉกเช่นที่เคยเป็นมา พร้อมเสียงเรียกชื่อนางตามมาเบาๆ น้ำเสียงสดใสร่าเริงออกปานนี้ คาดว่าข่าวลือน่าจะยุติลงแล้ว
ในต้าจิ้นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธและศรัทธาในลัทธิเต๋ามีอยู่จำนวนไม่น้อย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ประหลาดจากสวรรค์ล้วนถือเป็นสิ่งต้องห้าม เกิดครั้งหนึ่งยังนับว่าบังเอิญได้ แต่หากเกิดหลายๆ ครั้งเข้าก็ทำให้ง่ายที่จะหลงเชื่อ เดิมนางคิดหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนด้วยเรื่องอื่น ไม่นึกเลยว่าจะหาทางแก้ปัญหาที่น่าพอใจเช่นนี้ได้…เป็นเพราะเว่ยอี้จือแท้ๆ
เซี่ยซูหยิบพัดเคาะที่ฝ่ามือพลางครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาตั้งท่าเป็นศัตรูกับข้าอย่างสุดกำลัง ภายหลังยามที่มาทำดีด้วยก็ดูแสนจะจริงใจ ที่แท้เขามีจุดประสงค์ใดกันแน่
เมื่อกลับถึงจวนสกุลเซี่ย เซี่ยซูก็ตรงไปที่ห้องหนังสือก่อนเป็นอันดับแรกเหมือนเช่นเคย
เซี่ยซูล้วนใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องหนังสือ ซึ่งผู้คนทั่วไปไม่เคยรับรู้มาก่อน ยามปกติคนอื่นๆ จะเห็นเพียงนางทำท่าเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ผู้คนจึงได้แต่จดจำภาพที่หลอกตาว่านางเป็นผู้มีความสามารถเพียงพื้นๆ แต่กลับก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
เพิ่งเดินไปถึงประตูห้องหนังสือ นางก็เห็นว่าที่หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะคอยนางอยู่นานแล้วด้วย
เซี่ยซูฉีกยิ้มให้พลางเอ่ยว่า “ท่านอานี่เอง เหตุใดมีเวลาว่างมาหาหลานได้แล้วเล่า”
เซี่ยหร่านมีรูปร่างผอมบาง เขาสวมชุดยาวสีเทาอมเขียวอ่อนไข่เป็ด เกล้าผมด้วยปิ่นหยก ยามยืนอยู่ที่ทางเดินยาวมีหลังคาคลุมเช่นนี้ก็ราวกับเป็นต้นไผ่ลำหนึ่งจากปลายพู่กันของจิตรกรชื่อดัง เขาไม่เห็นแก่สีหน้าแย้มยิ้มของเซี่ยซูเลยสักนิด ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่ดูเย่อหยิ่งเฉกเช่นก่อนหน้านี้แล้ว “ข้ามาตอบรับข้อเสนอของประมุขตระกูล”
“หืม?” แววตาเซี่ยซูพลันเจิดจ้า นางรีบเชิญเขาเข้าไปในห้องหนังสือทันที
เซี่ยหร่านเองก็ไม่พูดพล่ามเรื่อยเปื่อย พอเข้ามาแล้วก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่างไรเสียด้วยฐานะของข้าแล้วคงไม่อาจเข้าออกราชสำนักได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของข้าคงได้แต่พึ่งพาอาศัยท่านแล้ว อย่างไรเสียก็ยังนับว่ามีความหวัง”
เซี่ยซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ท่านอาคิดได้เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน”
เซี่ยหร่านยังบอกอีกว่า “ข้ามีชื่อรอง ว่าทุ่ยจี๋ ท่านอายุมากกว่าข้า เรียกข้าเช่นนี้ก็ได้ไม่เป็นไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ตามที่ทุ่ยจี๋ว่ามา ข้าอยากหาโอกาสเหมาะๆ ไปพบปะกับคนสำคัญของตระกูลใหญ่ในแต่ละตระกูลสักหน่อย จะจัดการอย่างไรดี”
เซี่ยหร่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันออกไปมองข้างนอก เห็นว่าเป็นยามสายมากแล้ว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “ท่านลุงก็จากไปแล้ว เทศกาลซั่งซื่อ ปีนี้จึงไม่มีใครเรียกชุมนุมเหล่าตระกูลใหญ่ไปปรึกษางานแผ่นดินที่ไคว่จี ช่างน่าเสียดายโดยแท้ อีกไม่นานวสันตฤดูก็จะผ่านพ้นไปแล้ว”
เซี่ยซูยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พูดได้ถูกต้อง ข้าก็มีความตั้งใจเช่นนี้อยู่พอดี ในเมื่อปกติทุ่ยจี๋เคยไปเยี่ยมเยือนลูกหลานตระกูลใหญ่หลายตระกูลอยู่แล้ว เช่นนั้นคงต้องขอให้เจ้าช่วยเขียนเทียบเชิญแล้ว”
เซี่ยหร่านได้ฟังแล้วก็แอบรู้สึกตกใจ เซี่ยซูพูดถึงสิ่งที่ตัวเขามักทำในยามปกติได้อย่างคล่องปาก ย่อมต้องมีเจตนาจะเอ่ยเตือน เห็นทีคงไม่อาจดูเบาคนตรงหน้าได้อีก
“ได้สิ”
“ประเดี๋ยวก่อน” เซี่ยซูเอ่ยเรียกไว้ “เจ้าไม่ต้องเชิญอู่หลิงอ๋องนะ”
“นี่…” เซี่ยหร่านมีท่าทีลังเล ต่อให้ทุกคนรู้ว่าบัดนี้ตระกูลเว่ยได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับสกุลเซี่ยแล้ว แต่ต้องแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยหรือ
เซี่ยซูกลับยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าจะไปเชิญเขาด้วยตนเอง”
บทที่ 4
ราชสำนักให้ลาหยุดพักได้ห้าวันครั้ง เหล่าขุนนางจึงถือโอกาสนี้พักชำระกายสระผม และไปเยี่ยมเยียนญาติมิตร
แม้แต่อัครเสนาบดีก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
ปลายวสันต์ในเจียงหนาน ฝนตกปรอยๆ
เซี่ยซูเดินลงจากรถม้า นางรับร่มกระดาษมาจากมือมู่ไป๋ แล้วเดินเข้าประตูใหญ่ของจวนต้าซือหม่า
ไหนเลยจะต้องรายงานผู้เป็นนายอีก พ่อบ้านพยักหน้าพลางค้อมกายคารวะแล้วเชื้อเชิญนางเข้ามา อีกด้านก็เร่งให้คนไปเชิญอู่หลิงอ๋องด้วย
เซี่ยซูรู้สึกว่าบารมีขุนนางของตนเองคงจะไปข่มกระทั่งทำให้ผู้อื่นลนลานจนไม่สบายใจได้ นางจึงไม่เข้าไปในห้องโถง แล้วเลือกที่จะเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน เอ่ยปากชื่นชมดอกไม้ดอกนั้นต้นไม้ต้นนี้เป็นครั้งคราว
แม้การปล่อยให้อัครเสนาบดียืนอยู่จะทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้เอ่ยปากชมเช่นนี้ พ่อบ้านก็หัวใจพองโต อดจะโอ้อวดขึ้นมาไม่ได้ “เชิญใต้เท้าทางด้านนี้เลยขอรับ เบญจมาศต้นนี้ล้ำค่านัก ทั่วอาณาจักรต้าจิ้น ไม่มีบ้านใดได้ครอบครองของเช่นนี้แล้ว”
เขาเดินนำเซี่ยซูไปชมถึงกลางสวน ที่นั่นมีเบญจมาศกอหนึ่งกำลังคลี่ดอกสีขาวอมเหลือง ดอกไม้แย้มกลีบงามตระการสมกับเป็นยอดแห่งบุปผา
เซี่ยซูมิได้จดจ่ออะไรกับดอกไม้มากนัก อันที่จริงที่นางมาอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้อยากจะรั้งอยู่ในจวนต้าซือหม่านานนักหรอก เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อครหา นางจึงตั้งใจว่าทันทีที่เว่ยอี้จือปรากฏตัวขึ้น นางก็จะรีบลากตัวเขาออกไปพูดคุย แต่บัดนี้เมื่อเห็นพ่อบ้านมีใจกระตือรือร้นอยากให้ชื่นชมดอกไม้เช่นนี้ นางจึงโน้มตัวเข้าไปพินิจดูความงามของดอกเบญจมาศอย่างใกล้ชิด
วันนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา เป็นเสื้อสีฟ้านวลแขนกว้างตัวหลวม นอกจากปิ่นหยกขาวที่ใช้เกล้าผมแล้ว ทั่วทั้งร่างก็ไม่ได้สวมเครื่องประดับใดๆ เลย ทว่านางมีข้อได้เปรียบตรงที่ริมฝีปากแดงอิ่มตัดกับฟันขาวกระจ่าง ยามโน้มตัวลงมาเบื้องหน้าบุปผางาม ท่าทางจึงดูสง่างามยิ่ง มือหนึ่งถือร่ม มืออีกข้างก็ช้อนดอกไม้ขึ้นมาสูดกลิ่นเบาๆ สีหน้าพึงพอใจอย่างยิ่ง
“เป็นดอกไม้งามอย่างแท้จริง” น่าเสียดายที่นิ่งงันอยู่ตั้งนานเซี่ยซูกลับคิดได้แค่ประโยคนี้
ทว่าพ่อบ้านตกอยู่ในภวังค์ไปตั้งแต่เห็นสีหน้าท่าทางของเซี่ยซูแล้ว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจว่านางจะพูดอะไรแม้แต่น้อย
เซี่ยซูเหยียดหลังตรงขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใดดอกไม้ที่นางแตะต้องจึงมีกลีบหนึ่งร่วงลงมา นางรีบยื่นมือไปรับไว้ กลีบดอกไม้จึงร่วงพลิ้วลงสู่อุ้งมือ นางหันไปมองพ่อบ้านด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “นี่…”
“อา ท่านอย่าได้ใส่ใจ ดอกเบญจมาศนั้นจวนจะโรยอยู่แล้วขอรับ”
เวลานั้นเองก็แว่วเสียงฝีเท้ามาจากลานด้านหลัง เซี่ยซูคิดว่าเว่ยอี้จือมาถึงแล้ว นางจึงหันไปมอง ทว่ากลับเป็นสาวใช้นางหนึ่งกำลังถือร่มพลางประคองหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมาอย่างเชื่องช้า
หญิงกลางคนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าเข้ม แขนพันด้วยแถบผ้าสีขาว สีหน้าดูเศร้าหมอง กระนั้นก็ยังมองเห็นเค้าความงามได้อยู่ นางหยุดยืนอยู่ห่างจากเซี่ยซูไปราวหนึ่งจั้ง ก่อนจะกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ ทันใดนั้นก็เห็นกลีบดอกไม้ในมือเซี่ยซู นางชักสีหน้าในทันใด “เจ้าเป็นใครกัน! ถึงกับกล้ามาทำลายดอกไม้ของข้า!”
“เอ่อ…”
เซี่ยซูยังไม่ทันได้เรียบเรียงถ้อยคำ หญิงกลางคนผู้นั้นก็เอ่ยด่าทออย่างเกรี้ยวกราดต่อทันที “แค่มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! จวนต้าซือหม่าใช่สถานที่ที่เจ้าจะบุกรุกเข้ามาได้หรือ!”
พ่อบ้านรีบเอ่ยชี้แจง “ฮูหยิน คนผู้นี้คือ…”
“หุบปาก! อีกประเดี๋ยวข้าจะต้องจัดการเจ้าแน่!” หญิงกลางคนผู้นั้นเขยิบเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง เห็นมู่ไป๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังเซี่ยซูแล้วนางก็มีสีหน้าโกรธแค้นยิ่ง ปากพลันด่าทอขึ้นมาอีก “ไร้มารยาทจริงเชียว! เห็นคนก็ไม่รู้จักคำนับ เจ้าชื่อแซ่อะไร ข้าชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าเป็นเด็กไม่เอาไหนจากบ้านใดกัน!”
มู่ไป๋นึกอยากก้าวพรวดเข้าไปแจ้งชื่อเสียงเรียงนามคุณชายของตนเองยิ่งนัก ทว่ากลับถูกเซี่ยซูยื่นมือมาปรามไว้ พลางถือโอกาสยัดร่มใส่มือเขา
“ดูจากสีหน้าท่าทางที่ไม่ธรรมดาของฮูหยินแล้ว คงต้องเป็นเซียงฮูหยินมารดาของอู่หลิงอ๋องเป็นแน่ ขออภัยที่เสียมารยาท ตัวข้าแซ่เซี่ย มีชื่อว่าซู”
เซียงฮูหยินตะลึงงันไปทันใด ราวกับนึกขึ้นได้แล้วว่าเซี่ยซูคือใคร นางจึงรีบค้อมกายคำนับ “ที่แท้ก็เป็นอัครเสนาบดีนี่เอง เมื่อครู่เสียมารยาทไป หวังว่าท่านจะไม่ถือสาหาความ”
“ฮูหยินอย่าคำนับเลย” เซี่ยซูรีบเข้าไปประคองเซียงฮูหยินลุกขึ้น พร้อมกับถือโอกาสเอากลีบดอกไม้อันขัดหูขัดตากลีบนั้นยัดใส่ไปในแขนเสื้อตนเองด้วย “วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะมีธุระจะปรึกษาหารือกับอู่หลิงอ๋อง กลับรบกวนฮูหยินเสียได้ ช่างไม่สมควรเอาเสียเลย”
“ที่แท้ท่านก็อยากมาพบอี้จือ…” เซียงฮูหยินใคร่ครวญดูแล้วก็พูดอย่างนึกเสียดาย “เขาไม่อยู่ในจวนหรอก”
“หืม? แล้วเขาไปอยู่ที่ใดกัน”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ วันนี้เขาพากันออกไปชมทิวทัศน์ยามวสันต์กับฝูเสวียนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย”
“อ้อ เช่นนั้นก็โชคร้ายจริงๆ” เซี่ยซูเห็นเซียงฮูหยินมีท่าทีนอบน้อมทว่าดูอึดอัดใจแล้ว นางก็รู้ว่าตนเองไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัว”
เซียงฮูหยินเกรงใจอย่างมาก ปากบอกซ้ำๆ ว่าอยากให้เซี่ยซูอยู่รับชาร้อนสักถ้วยก่อน ทว่ากลับก้าวเท้าอย่างว่องไวมาก เซี่ยซูยังไม่ทันบอกปัดไปอย่างแนบเนียนก็ถูกนางพาตัวออกมาส่งถึงประตูใหญ่แล้ว
หลังจากมองส่งเซี่ยซูจากไป พ่อบ้านหันกลับมาก็เกรงว่าจะถูกลงโทษ ขณะกำลังคิดจะหาที่หลบ เขาก็เห็นเซียงฮูหยินยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะคิกออกมา
“เหตุใดฮูหยินจึงได้หัวเราะเล่า นั่นเป็นถึงท่านอัครเสนาบดีในตอนนี้เชียวนะขอรับ ท่านเองก็เพิ่งจะด่าทอเขาไปเพียงนั้น…” พ่อบ้านมีสีหน้าสลด
เซียงฮูหยินถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยว่า “เหลวไหล! หากเขาไม่ใช่อัครเสนาบดี ข้าก็คงไม่ด่าทอเขาหรอก! ห้ามพวกเจ้าคนใดก็ตามแจ้งให้จวิ้นอ๋องรู้เป็นอันขาด!”
การไปจวนต้าซือหม่าในครั้งนี้ ทำให้เซี่ยซูมองออกว่าเซียงฮูหยินมีเจตนาหมายกลั่นแกล้ง นางย่อมไม่คิดจะไปที่นั่นอีก
เดิมทีเซี่ยซูรู้สึกว่าเรื่องการชุมนุมจำเป็นต้องไปเชิญแขกอย่างเป็นทางการ ทว่าพอได้ไปจวนต้าซือหม่าเป็นครั้งแรกแล้ว เห็นทีมิสู้หาเวลาหลังการเข้าเฝ้าวันใดวันหนึ่งเอ่ยปากเชิญเว่ยอี้จือเสียเลยแล้วกัน จะได้ไม่เป็นการรนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีก
มู่ไป๋กลับโกรธเคืองยิ่งกว่าเซี่ยซูเสียอีก “ที่เซียงฮูหยินด่าทอถึงเพียงนั้นต้องเป็นการแก้แค้นแน่! ตอนนั้นอู่หลิงอ๋องถูกย้ายออกไปนอกเมืองหลวง ประจวบเหมาะกับเคราะห์ร้ายเข้าเท่านั้น ใครเลยจะรู้ว่าภรรยาที่ยังไม่ทันได้แต่งผู้นั้นจะบอบบางเหมือนกระดาษ บัดนี้พวกเขาก็น่าจะหาคู่หมายใหม่ได้แล้ว ยังคิดแค้นไม่เลิกอีกหรือ ช่างใจแคบเสียจริง!”
เซี่ยซูมองมู่ไป๋อย่างปลอบใจ “ช่างเถอะๆ ที่นางด่าทอล้วนเป็นข้า หาใช่เจ้าเสียหน่อย”
“คุณชาย บ่าวจะร่วมทุกข์ร่วมสุขเจ็บแค้นไปกับท่านด้วย!”
“เด็กดี…”
อัครเสนาบดีถูกมารดาของตนเองต่อว่าด่าทอเสียยกใหญ่ต่อหน้าบ่าวรับใช้ในเรือนของตนเอง เรื่องเช่นนี้แม้อยากจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด เซี่ยซูรู้ว่าอู่หลิงอ๋องจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รีบมาที่จวนอัครเสนาบดี แต่ไม่ได้เข้าไป บอกเพียงว่ารู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้า ทำได้เพียงส่งเทียบเชิญเข้ามาฉบับหนึ่ง
เซี่ยซูรับมาอ่าน เว่ยอี้จือเริ่มด้วยการแสดงการขอโทษอย่างจริงใจที่เสียมารยาทด้วยการไม่ไปต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งที่นางอุตส่าห์มาเยือนถึงเรือนที่ต่ำต้อย จากนั้นจึงพูดแทนมารดาของเขาด้วยถ้อยคำดีๆ สองสามประโยค
เอาล่ะ ไม่ใช่แค่สองสามประโยคหรอก
เซียงฮูหยินเป็นชาวลั่วหยาง หลงใหลในดอกไม้นานาพรรณ โดยเฉพาะดอกเบญจมาศ ทว่าน่าเสียดาย แม่น้ำและขุนเขาอันงดงามในยามนี้ล้วนถูกแคว้นฉินแย่งชิงไปหมดแล้ว นางไม่อาจกลับไปบ้านเกิดได้อีก และไม่อาจยลบุปผาอันลือชื่อได้อีกต่อไป
ตอนนั้นทางเหนือมีการสู้รบวุ่นวาย ตะวันออกแยกขาดจากตะวันตก เซียงฮูหยินยังเยาว์วัยนัก ยามต้องอพยพย้ายครอบครัวลงใต้จึงมีสองสิ่งที่ไม่อาจตัดใจ หนึ่งคือบิดาที่นางจำต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง และอีกหนึ่งคือดอกเบญจมาศงามยวนเสน่ห์ที่นางเพาะเอาไว้ที่เรือน
มารดาของเซียงฮูหยินจึงสั่งให้คนนำเบญจมาศสองกระถางลงใต้มาด้วย ระหว่างการเดินทางอันยากลำบาก โชคดีที่ได้คนมีฝีมือมาช่วยดูแล ดอกเบญจมาศจึงรอดมาได้
จากนั้นมาเซียงฮูหยินก็ไม่ได้พบหน้าบิดาอีกเลย เห็นแค่เพียงมารดาคอยประคบประหงมแปลงดอกไม้ด้วยตนเอง และทุกครั้งที่มารดาเห็นก็จะหวนนึกถึงบ้านเกิดจนน้ำตาหลั่งริน
ดังนั้นเซียงฮูหยินจึงได้รักทะนุถนอมเบญจมาศสองต้นนี้มาก ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดก็ต้องย้ายเบญจมาศไปด้วย ทั้งยังลงมือปลูกใหม่ด้วยตนเอง ไม่เคยให้ต้นเบญจมาศได้อยู่ห่างกาย และต้นเบญจมาศที่นางชอบมากที่สุดก็คือต้นที่เซี่ยซูเด็ดกลีบมานั่นเอง
เซี่ยซูอ่านถึงตรงนี้ก็ตบโต๊ะรัวๆ เว่ยอี้จือพูดจาเหลวไหลได้คล่องปากนัก บอกว่านางเด็ดกลีบดอกไม้ก็ช่างเถอะ แต่อีกไม่นานเบญจมาศดอกนั้นก็จะร่วงโรยไปเหมือนท่านตาของเขาแล้วนี่
ตระกูลของเซียงฮูหยินเป็นญาติกับสกุลหวังแห่งหลางหยา บิดาของนางเซียงอี้เฟิ่งตอนนั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อคราวที่ทางเหนือเกิดเหตุวุ่นวายเพราะชนเผ่าเซียนเปย ลุกฮือขึ้นต่อสู้นั้น เขาก็ยืนหยัดสู้โดยไม่ยอมหนี กระทั่งถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดี ภายหลังถูกตีกระหนาบจากทั้งเผ่าซยงหนูและเซียนเปย เขาจึงสละชีพในการสงคราม สมแก่การเชิดชูว่าเป็นผู้มีความจงรักภักดี
หลายสิบปีให้หลัง เว่ยอี้จือก็ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินจนสงบสุข เขามีผลงานในการสู้รบอย่างโดดเด่น จนมีคำพูดในหมู่ชาวบ้านว่า…เขาได้สร้างชื่อให้แก่สกุลเว่ยจนต่อเนื่องไปถึงอีกรุ่นหนึ่ง ทว่าชื่อเสียงด้านความภักดีและกตัญญูก็ได้รับการสืบทอดมาจากทางเซียงอี้เฟิ่งนี่เอง
จะว่าไปแล้ว เซี่ยซูหาใช่เพียงแค่ทำลายกลีบดอกไม้โดยไม่ทันระวัง แต่ยังทำร้ายผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและขุนนางภักดีแห่งต้าจิ้น อย่าว่าแต่ถูกต่อว่าอย่างหนักเลย ต่อให้ถูกเฆี่ยนตีเพื่อลงโทษก็ยังสาสม!
ตอนท้ายของจดหมายเทียบเชิญ เว่ยอี้จือบอกว่า ‘สองสามวันนี้อากาศดีมาก จะนัดพบก็อย่านัดพบที่จวนเลย พวกเราไปพบปะกันเป็นการส่วนตัวที่อื่นเถอะ!’
เซี่ยซูปาเทียบเชิญทิ้ง แล้วร้องสั่งอย่างเกรี้ยวกราด “มู่ไป๋ เตรียมรถ!”
วันหยุดพักผ่อนวันนี้อากาศดีมาก เหมาะที่จะใช้พูดคุยธุระมากที่สุด ครานี้เว่ยอี้จือเลือกเขาฟู่โจวซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหลวง ซึ่งถือว่าเขาเลือกสถานที่มาได้ดี ทิวทัศน์ที่เห็นคือวัดที่คลุ้งไปด้วยควันธูป และความตระการตาของป่าเขา ทอดสายตามองไปยังได้เห็นระลอกคลื่นงดงามในทะเลสาบเสวียนอู่ด้วย
เพื่อให้เหมาะกับการไปเที่ยวชมทิวทัศน์ เซี่ยซูจึงสวมเสื้อยาวสีน้ำเงินสด พอรถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูเมืองทิศเหนือ นางก็สั่งให้องครักษ์รออยู่ที่ตีนเขา แล้วพามู่ไป๋ขึ้นไปด้วยเพียงคนเดียว
เว่ยอี้จือมายืนรอรับอยู่ตรงทางเดินขึ้นเขาแล้ว เขาสวมเสื้อตัวบางและคาดเอวไว้เพียงหลวมๆ สามารถเห็นแผงอกที่ขาวเกลี้ยงเกลาได้รำไร ผมยาวสยายอยู่กลางแผ่นหลัง เมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางขุนเขาเช่นนี้ก็ราวกับมิใช่คนอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากเว่ยอี้จือประดับยิ้ม เขาเดินเข้ามาหาเซี่ยซูแล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีมาได้เสียที ข้ารออยู่นานแล้ว”
เซี่ยซูไม่รู้จะมองไปที่ใดพักหนึ่ง นางได้แต่เหลือบมองต้นไม้ข้างๆ แต่พอหวนคิดอีกที ตอนนี้นางก็เป็นบุรุษเหมือนกัน จะหลบหน้าหลบตาไปทำไม นางจึงหันมามองเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นใจยิ่ง
“อู่หลิงอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว บัดนี้ข้ามีความผิดติดตัวมีหรือจะกล้าไม่มา”
เว่ยอี้จือทอดถอนใจเอ่ยว่า “ท่านอย่าได้ถือสาเลย มารดาข้าบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย ในฐานะบุตรชาย ข้าเพียงต้องการจะไถ่โทษแทนมารดาเท่านั้น มิเช่นนั้นไยต้องกล่าวอ้างชื่อของท่านตาด้วยเล่า”
เซี่ยซูเห็นเว่ยอี้จือพูดอย่างจริงใจนางก็รู้สึกสบายใจไม่น้อย จึงทำเสียงอืมรับคำไม่เบาไม่หนัก แล้วเดินตามขึ้นไป
ก่อนหน้านี้มีฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทางเดินบนเขาจึงยังเปียกลื่น เซี่ยซูสวมรองเท้าลำลอง แม้จะเดินได้สบาย แต่เพียงไม่นานพื้นรองเท้าก็เปียกแฉะไปหมด
เว่ยอี้จือที่สวมรองเท้าไม้เดินย่ำนำหน้า ส่งเสียงก๊อกๆ ดังไปตามทางเดินบนเขาที่ปูลาดด้วยหิน เขาหันไปมองเซี่ยซู แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ท่านควรสวมรองเท้าไม้มา เหมาะจะใช้เดินบนเขานี้ยามวสันตฤดูมากที่สุด”
เซี่ยซูตอบเรียบๆ “ข้าไม่ค่อยชอบน่ะ”
ล้อเล่นรึ! สวมรองเท้าไม้ก็เท่ากับเผยให้เห็นเท้าของสตรีน่ะสิ เซี่ยซูแปลงโฉมตลอดทั้งร่างได้สำเร็จ แม้แต่เสียงพูดยังยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ ทว่าสิ่งที่นางต้องใส่ใจมากที่สุดเห็นจะมีแต่เรื่องการแต่งกายเท่านั้น
ประการแรก นางไม่อาจเผยหน้าอกแล้วสวมเพียงเสื้อบางๆ เหมือนกับเว่ยอี้จือได้ ประการที่สอง นางไม่อาจสวมรองเท้าไม้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเท้าของสตรีก็เล็กกว่าเท้าของบุรุษอยู่มาก ตอนนั้นบ่าวหญิงอาวุโสที่รับผิดชอบการอบรมนางยังบอกว่าเท้าของนางดูเล็กกว่ามือเลย
ทำให้นางเสียความมั่นใจไปเลย…
เว่ยอี้จือเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง เขาไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของเซี่ยซูเลยด้วยซ้ำ
อาณาจักรต้าจิ้นพิถีพิถันเรื่องท่าทางและการแต่งตัว บางทีเซี่ยซูอาจจงใจทำให้ดูแตกต่างจากคนทั่วไปก็เป็นได้
สุดทางเดินบนเขามีศาลาสำหรับนั่งพักหลังหนึ่ง สุราอาหารจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้วบนโต๊ะหิน
เซี่ยซูยกชายชุดขึ้นแล้วนั่งลง นางหันมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อู่หลิงอ๋องมิได้พาผู้ติดตามมาด้วยหรือ”
เว่ยอี้จือพยักหน้า “เมื่อก่อนข้าอยู่ในกองทัพที่เต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ หาได้ยากที่วันนี้จะได้ทำตัวตามสบายบ้าง เพราะอย่างนั้นยิ่งคนติดตามน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี”
เซี่ยซูจึงเอ่ยว่า “ข้ากับอู่หลิงอ๋องกลับไม่เหมือนกัน ข้าชอบเรื่องสนุกรื่นเริงใจ จึงว่าจะเชิญทุกท่านไปชุมนุมที่ไคว่จีเพื่อหาเรื่องสนุกทำกัน ไม่ทราบว่าอู่หลิงอ๋องมีใจอยากจะไปด้วยกันหรือไม่”
เว่ยอี้จือยังไม่รีบร้อนตอบรับ เขาเพียงเปิดไหสุราแล้วรินใส่จนเต็มจอก ก่อนจะพูดว่า “หากไปก็เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยน่ะสิ”
เซี่ยซูกลั้นขำไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา “ท่านก็แอบทำเรื่องให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยมากมายเพียงนั้นอยู่แล้ว ยังจะใส่ใจทำไมหากต้องทำอีกสักเรื่อง”
เว่ยอี้จือเงยหน้าขึ้น เขามีสีหน้าประหลาดใจ “ข้าเคยทำอะไรเช่นนั้นด้วยหรือ”
เซี่ยซูยกมุมปากขึ้น นี่มันหมายความว่าอะไร จะทำการแบ่งเราแบ่งเขา แสดงท่าทีว่าอย่างไรก็ไม่ร่วมเดินทางสายเดียวกับข้าอย่างนั้นหรือ
“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ทำให้ลำบากใจหรอก” เว่ยอี้จือช่วยนางไว้ นางก็คิดตอบแทนด้วยน้ำใจแล้ว หากเขาไม่อยากรับก็ช่างเถอะ
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้นางหมดอารมณ์ดื่มสุราแล้ว…
ทั้งที่ได้พบกันเป็นการส่วนตัวแท้ๆ ทว่ากลับเกิดเรื่องขัดใจกันเสียอย่างนั้น ยามนี้เซี่ยซูไม่อาจบรรลุจุดประสงค์ที่มาได้ จึงไม่มีอารมณ์มานั่งชมทิวทัศน์อะไรอีก
เซี่ยซูครุ่นคิดระหว่างเดินทางกลับ นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเป็นผู้จัดงานชุมนุมของชนชั้นสูง ทว่าสกุลเว่ยกลับไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกสกุลอื่นๆ จะพากันทำตามด้วยหรือไม่
หวังว่าเซี่ยหร่านจะพยายามให้มากหน่อย!
เพราะเรื่องนี้มู่ไป๋จึงคิดว่าเว่ยอี้จือต้องเป็นพวกใจคอคับแคบอย่างแน่นอน “ต้องปฏิเสธเช่นนี้เชียวหรือ นี่ต้องเป็นเพราะเขามัวแต่วนเวียนครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเศร้าเป็นแน่ เขาจึงหาภรรยาดีๆ ไม่ได้เสียที ช่างเป็นคนใจแคบจริงๆ!”
เซี่ยซูฟังแล้วก็หัวเราะ นางไม่รู้สึกเศร้าหมองถึงเพียงนั้นแล้ว
เซี่ยซูคาดไว้แล้วว่าข่าวที่ทุกคนพากันหนีไม่มางานชุมนุมคงจะทราบไปถึงหูของฝ่าบาท ตอนเข้าเฝ้ายามเช้านางต้องถูกกล่าวถึงให้เป็นที่ขบขันแน่นอน
ตอนเข้าเฝ้าก็เห็นเป็นจริง เซี่ยซูไม่ได้ปฏิเสธอะไร นางเพียงแค่หัวเราะเท่านั้น อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้มีเจตนาจะจัดงานขึ้นเพื่อความสำราญเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่ต้องการจะใช้เรื่องนี้ค้ำจุนอำนาจของสกุลเซี่ยไว้ต่างหาก หากฮ่องเต้จะหวาดกลัว ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ทว่านี่เป็นงานฉลองใหญ่ของพวกชนชั้นสูงที่จัดต่อเนื่องมาหลายปี แม้ฮ่องเต้จะไม่ยินดีเพียงใดก็ไม่อาจเอ่ยอะไรมากเกินไปได้ ถือเสียว่าพระองค์ได้ส่งสัญญาณเตือนไปแล้วก็พอ ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีขุนนางออกมาจากแถว ต้องการจะฟ้องร้องกล่าวโทษอู่หลิงอ๋องที่ลอบล่าสัตว์ในอุทยานเล่อโหยวเป็นการส่วนตัว
ฮ่องเต้คิดว่าพระองค์ได้ยินผิดไป จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าจะฟ้องร้องกล่าวโทษผู้ใดกัน”
“ทูลฝ่าบาท เป็นอู่หลิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ตกใจยิ่ง เซี่ยซูเองก็ตกใจ ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นทั่วราชสำนักก็ล้วนตกใจไปด้วย
มีวันที่อู่หลิงอ๋องถูกฟ้องร้องกล่าวโทษด้วยหรือนี่!
เล่อโหยวเป็นอุทยานหลวงที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเขตพระราชวัง เลี้ยงสัตว์ล้ำค่าหายากนานาชนิดเอาไว้ ทุกปีในยามวสันตฤดูและสารทฤดูจะมีการล่าสัตว์เพื่อความสำราญของเหล่าเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงทั้งหลาย ทว่าฤดูล่าสัตว์ของวสันตฤดูในปีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเขตอุทยาน
เว่ยอี้จือย่อมไม่อาจนับเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง หากอยากจะล่าสัตว์จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องเล็ก บอกมาแค่ไม่กี่คำ กับใช้เงินไม่เท่าไรก็คงได้สมใจแล้ว ทว่าปัญหาสำคัญก็คือ สัตว์ที่ขุนนางท่านนี้กล่าวหาว่าเขาล่าไปก็คือนกกระเรียนเซียนที่จัดเตรียมไว้เพื่อถวายในงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้ นี่หมายความว่าอะไร เห็นได้ชัดว่าต้องการจะสาปแช่งให้พระองค์สวรรคตในเร็ววันอย่างไรเล่า
อาณาจักรต้าจิ้นมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาวเพียงไม่กี่พระองค์ การล่านกกระเรียนจึงถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเพียงแค่ทุกคนได้ฟังเช่นนี้ก็ต้องนิ่วหน้าแล้ว
ขุนนางที่ฟ้องร้องคือเล่ออันซึ่งเป็นเสนาบดีกรมปกครอง เขาเป็นคนของเซี่ยซูก็จริง ทว่าการฟ้องร้องครั้งนี้เซี่ยซูไม่ได้เป็นผู้ชี้แนะให้ทำแต่อย่างใด
เซี่ยซูมีสีหน้าไม่ยินดีอยู่บ้าง นางวางกฎไว้แล้วว่าตราบใดที่ยังเป็นคนของนาง ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดหรือฟ้องร้องกล่าวโทษผู้ใด เมื่อเขียนคำร้องแล้วล้วนต้องส่งมาที่จวนอัครเสนาบดีเพื่อให้นางได้ตรวจอ่านก่อนเสมอ ทว่านางไม่เคยผ่านตาฎีกาของเล่ออันที่ฟ้องร้องกล่าวโทษเว่ยอี้จือในวันนี้มาก่อนเลย เรื่องนี้ทำให้นางร้อนรนบ้างแล้ว
ไม่ว่าเขามีเจตนาดีหรือร้าย นี่ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
เว่ยอี้จือกลับไม่ร้อนรนเลยสักนิด ยังถึงขั้นปัดชุดขุนนางเบาๆ อีกด้วย เขาเพียงถามขึ้นว่า “มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าข้าทำเช่นนั้น”
เล่ออันพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “เมื่อวานอู่หลิงอ๋องได้ไปที่เขาฟู่โจวหรือไม่ มีคนเห็นว่าในรถม้าของท่านมีทั้งคันธนูและลูกธนูไว้อย่างพร้อมสรรพ ทั้งยังมีชุดชาวหูครบชุด หลังจากท่านปรากฏตัวที่นั่น ก็มีข่าวแพร่สะพัดว่ามีนกกระเรียนเซียนถูกยิงตาย หากไม่ใช่ท่านแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีก”
เว่ยอี้จือชอบการเดินทางมาตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยชอบเตรียมเสื้อผ้าและอาวุธไว้ในรถม้านานแล้ว ด้วยภายหลังมีคนคอยจับตามองอยู่เสมอ เขาจึงมักแยกตัวอยู่อย่างสันโดษ ถึงอย่างนั้นนิสัยที่ว่ามาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
อุทยานเล่อโหยวอยู่ตรงตีนเขาฟู่โจว วันนั้นเขานัดพบกับเซี่ยซู เดิมคิดว่าที่นั่นเงียบสงบดีไม่น่าจะถูกใครพบเห็นได้ง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าจะยังถูกจับตามองเช่นนี้ สิ่งของในรถม้าใช่ถูกพบเห็นได้ง่ายๆ หรือ ข้าไม่พาฝูเสวียนไปด้วยเพียงวันเดียวก็มีคนขึ้นไปรื้อค้นเสียแล้ว ช่างบังอาจนัก!
เว่ยอี้จือเหลือบมองเซี่ยซู “ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ไม่น่าเป็นหลักฐานมาใช้ยืนยันว่าข้าเป็นผู้ล่านกกระเรียนเซียนกระมัง”
แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังพยักหน้าเห็นพ้อง “ไม่ผิด เสนาบดีเล่อมีพยานหรือไม่”
เล่ออันจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาให้ชัดแจ้งด้วย ในอุทยานเล่อโหยวมีนางกำนัลพบเห็นองครักษ์คนสนิทของอู่หลิงอ๋องเข้าออกอุทยานในวันนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเล่ออันพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็เริ่มเชื่อบ้างแล้ว พระองค์จึงหันไปเอ่ยถามเว่ยอี้จือ “อู่หลิงอ๋อง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เว่ยอี้จือหันไปมองเซี่ยซูอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ในเมื่อคิดจะกล่าวหากันอยู่แล้ว ไยต้องเกรงว่าจะไม่มีหลักฐานเล่า
เซี่ยซูหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อมีคนพบเห็นเว่ยอี้จือที่เขาฟู่โจว นางก็ย่อมต้องถูกพบเห็นด้วยสิ แต่เวลานี้เล่ออันกลับพุ่งเป้าไปที่เว่ยอี้จือเพียงผู้เดียว มองอย่างไรก็เหมือนว่านางแอบแทงข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าเว่ยอี้จือกำลังถูกทำให้เข้าใจผิด
ยามนี้ยังไม่รู้ว่าใครกันที่กำลังนั่งบนภูเขาดูเสือสู้กัน…หรือจะเป็นฮ่องเต้?
เซี่ยซูเหลือบตาขึ้นมองไปยังที่นั่งด้านบน นางขจัดคำตอบของคำถามนี้ไปโดยพลัน ฮ่องเต้เป็นผู้งมงายยิ่งกว่าใคร ไหนเลยจะเอาเรื่องพระชนม์ชีพของพระองค์เองมาล้อเล่นเล่า
เล่ออันมิใช่คนที่รู้จักหยุดเมื่อได้เปรียบ พอเห็นเว่ยอี้จือคล้ายจะยอมรับแล้ว เขาก็ยิ่งป้ายสียิ่งขึ้นไปอีก “ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท ทรงทราบหรือไม่ว่าองครักษ์ใกล้ชิดอู่หลิงอ๋องมีชื่อแซ่ว่าอะไร เขาแซ่ฝู! ใครบ้างไม่รู้ว่าแซ่ของโจรแคว้นฉินที่ครอบครองทางเหนือของต้าจิ้นเราคือแซ่ฝู? คนผู้นี้ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแต่กลับเข้ามาในเมืองหลวงของเราได้อย่างสง่าผ่าเผย เรื่องนี้ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก!”
พอได้ยินเล่ออันเอ่ยเช่นนี้แล้ว ทั่วทั้งราชสำนักก็พากันสูดลมหายใจเข้าลึก
สีหน้าฮ่องเต้ดูแตกตื่นไปทันที “อู่หลิงอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
เว่ยอี้จือสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาประสานมือคำนับแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้กระหม่อมสะเพร่าเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้ทูลรายงานความจริงให้ฝ่าบาททรงทราบแต่เนิ่นๆ ในเมื่อกระหม่อมรับตัวฝูเสวียนพาเข้าเมืองหลวงมาอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนที่ใต้เท้าเล่อทูล เหตุใดกระหม่อมจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังไม่วางใจ “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าฝูเสวียนผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่”
เว่ยอี้จือกำลังวิตก สีหน้าเขาเคร่งเครียดไม่ได้เอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเซี่ยซูก็พูดแทรกขึ้นมา “อู่หลิงอ๋องไม่ยอมบอกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาหมายปกปิด น่าสงสัยว่าฝูเสวียนผู้นั้นจะเคยเป็นสายลับของแคว้นฉินมาก่อน”
เว่ยอี้จือฉุกคิดขึ้นได้ทันที เขารีบเอ่ยเสริม “เอาเถอะ เช่นนั้นกระหม่อมก็จะทูลให้ทรงทราบ เดิมทีฝูเสวียนเป็นพลทหารราบในสังกัดของกระหม่อม แต่เดิมเขาไม่ได้ชื่อฝูเสวียน กระหม่อมทราบโดยบังเอิญว่าเขามีพื้นเพเดียวกับราชวงศ์แห่งแคว้นฉิน จึงให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นฝูเสวียนแล้วแทรกซึมเข้าไปเป็นสายลับในแคว้นฉิน ตอนนั้นที่กระหม่อมรบชนะแคว้นฉินได้หลายครั้งติดต่อกันก็เป็นเพราะได้เขาคอยช่วยส่งข่าวสารให้นั่นเองพ่ะย่ะค่ะ”
เล่ออันเห็นเว่ยอี้จือสามารถพูดกลับดำเป็นขาวได้ในพริบตาก็พูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “อู่หลิงอ๋องคิดแต่จะพลิกลิ้นแก้ต่างโดยไร้หลักฐานมายืนยัน ชาวบ้านทั่วไปคนหนึ่งจะแสร้งทำตัวเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉินได้อย่างไร อีกอย่าง หากฝูเสวียนมีความดีความชอบถึงเพียงนั้น ไยไม่เสนอรายงานขึ้นมาที่ราชสำนักเพื่อตกรางวัลเล่า พอฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา ท่านกลับทำลับๆ ล่อๆ ปิดบังเสียนี่”
เว่ยอี้จือเหลือบมองเล่ออันอย่างเย็นชา “อะไรกัน ข้าต้องแจ้งให้เจ้าทราบถึงวิธีการแฝงตัวเป็นสายลับต่อหน้าธารกำนัลด้วยหรือ ฐานะที่แท้จริงของฝูเสวียนเป็นเช่นไรนั้น คาดว่าท่านอัครเสนาบดีคงจะทราบคำตอบนานแล้ว ไยเจ้าไม่ไปถามเขาเล่า”
เล่ออันย่อมไม่เอ่ยถามเซี่ยซู ถึงอย่างนั้นคำพูดนี้ของเว่ยอี้จือก็ทำให้ฮ่องเต้เชื่อว่าฝูเสวียนเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
เซี่ยซูแสร้งทำเหมือนรู้เรื่องราวดี แต่ทำเป็นอมพะนำแล้วพูดอย่างเลี่ยงๆ ว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร กระหม่อมก็เห็นด้วยกับใต้เท้าเล่อ ในเมื่อฝูเสวียนมีความดีความชอบ เหตุใดไม่รายงานมาที่ราชสำนักเพื่อตกรางวัล หากเป็นกระหม่อมจะทูลเสนอให้ฝ่าบาททรงตกรางวัลให้”
ฮ่องเต้ได้ยินเซี่ยซูพูดเช่นนี้ก็หงุดหงิด “ใต้หล้านี้ทุกคนคิดแต่อยากจะได้ชื่อเสียงและความมั่งคั่งเท่านั้นหรือ!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ที่ผ่านมาเซี่ยซูยังพอจะไว้หน้าฮ่องเต้บ้าง นางจึงรับคำทันที “ที่แท้ฝูเสวียนผู้นี้ก็มีคุณธรรมสูงส่ง เห็นทีกระหม่อมจะต้องปฏิบัติตัวเยี่ยงเขาให้จงได้”
ฮ่องเต้ทำเสียงหึเย้ยหยันเบาๆ แล้วหันไปทางเล่ออัน “เจ้ายังมีอะไรอยากจะฟ้องร้องอีกหรือไม่”
“นี่…” เล่ออันถึงกับสลดเมื่อเห็นการณ์เป็นไปเช่นนี้ เขาได้แต่กัดฟันบากหน้ายืนหยัดตามคำร้องก่อนหน้านี้ “ทูลฝ่าบาท เรื่องที่อู่หลิงอ๋องล่านกกระเรียนเซียน จะไม่จัดการไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จนปัญญายิ่งนัก พระองค์อยากปล่อยให้ผ่านไปแต่กลับทำไม่ได้
“นั่นสิ!” เซี่ยซูหนุนช่วยทันใด นางเหลือบมองเว่ยอี้จือทางหางตา สีหน้าได้ใจเหลือเกิน ได้ใจเสียจนลืมวางมาด ดังนั้นจึงพูดถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “การกระทำของอู่หลิงอ๋องขาดความเคารพเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าเนื้อนกกระเรียนเซียนอร่อยล้ำเลิศ รสติดปากชวนให้โหยหาเพียงใด แต่ก็ไม่อาจล่าได้ ฝ่าบาทต้องทรงลงพระอาญาอย่างหนัก จะได้กำราบไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ ด้วย”
“!!!” ขุนนางนับร้อยพากันขนลุกซู่
เหตุใดเขาจึงทราบว่าเนื้อนกกระเรียนเซียนอร่อยล้ำเลิศ ถึงขั้นติดปากจนชวนให้โหยหาเล่า! ไม่ใช่แล้ว เขาต้องเคยลิ้มรสมันมาก่อนแน่นอน!
ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวจนยื่นมือออกไปชี้หน้าเซี่ยซู ทว่ากลับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว พระองค์แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
ยังต้องพูดอะไรอีก กระเรียนเซียนตัวนั้นต้องตายด้วยฝีมืออัครเสนาบดีอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วยังมีหน้ามากล่าวโทษอู่หลิงอ๋องอีก ถึงกับให้คนในสังกัดของตนเองมาฟ้องร้องกล่าวโทษอู่หลิงอ๋องเลยทีเดียว
สารเลวนัก อยากให้เราสวรรคตจนถึงกับสวาปามนกกระเรียนเซียนของพระองค์เชียวหรือ!
ฮ่องเต้เอ่ยด้วยความกริ้ว “ในชื่อของอู่หลิงอ๋องมีคำว่า ‘จือ’ อยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ของนิกายเทียนซือเต้า แล้วจะทำเรื่องอย่างการล่านกกระเรียนเซียนได้หรือ เราว่านกกระเรียนเซียนตัวนั้นจะต้องถูกเด็กเหลือขอสารเลวสักคนจับไปต้มกินแน่!”
ชาวต้าจิ้นที่ต่อท้ายชื่อด้วยคำว่า ‘จือ’ จะสื่อถึงการนับถือนิกายเทียนซือเต้า ส่วนเว่ยอี้จือจะนับถือหรือไม่นั้นไม่มีใครทราบได้ แต่รุ่นบิดาของเขานับถือแน่นอน คงเป็นเพราะได้รับการโน้มน้าวจากลูกพี่ลูกน้องฝ่ายตระกูลหวังของพวกเขานั่นเอง ซึ่งล้วนเลื่อมใสนิกายเทียนซือเต้าเป็นอย่างมาก และถือว่านกกระเรียนเป็นนกเซียน การฆ่านกกระเรียนจึงเป็นข้อห้ามใหญ่ของนิกายเทียนซือเต้านี้
เซี่ยซูทำสีหน้าตกตะลึงได้แนบเนียนยิ่งนัก ราวกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก ก่อนจะกลับมาดูสุขุมเช่นเดิม สำรวมสีหน้าท่าทางทำเหมือนว่าไม่รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น
แม้ฮ่องเต้จะกริ้วเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเซี่ยซูได้ พระองค์จึงเอ่ยเหน็บแนมไปหลายประโยค แล้วบอกเลิกเข้าเฝ้าด้วยความฉุนเฉียวยิ่ง สะบัดชายแขนเสื้อแล้วตรงไปยังวังโซ่วอัน เพื่อจะไปพูดคุยกับไทเฮาถึงเรื่องเลวร้ายที่เซี่ยซูทำลงไป
โหรหลวงก็ยุ่งมากเช่นกัน เขาต้องรีบไปจดบันทึกว่าเซี่ยซูผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ถึงกับทำเรื่องอุกอาจฆ่านกกระเรียนเซียนเพื่อต้มกิน ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก!
เล่ออันกระวนกระวายใจมาก ด้วยว่าสิ่งที่เซี่ยซูพูดมานั้นดูลึกล้ำชวนให้สงสัย ฟังคล้ายจะเข้าข้างเขา แต่กลับโอนเอียงไปช่วยเหลือเว่ยอี้จือเสียได้ สองคนนี้มิใช่ว่าต่างขุ่นแค้นมีเรื่องขัดอกขัดใจกันอยู่หรือ
เขาลอบมองเซี่ยซู ไม่คิดว่าพอเงยหน้าขึ้นก็ปะทะสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ดวงตาคู่นั้นดูล้ำลึกราวกับบ่อน้ำ เย็นเยือกประดุจน้ำพุเย็น ทำเอาเขามีเหงื่อเย็นไหลซึมจนชุ่มโชกแผ่นหลัง
หลังจากเลิกเข้าเฝ้า เซี่ยซูก็เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ยินดี ตลอดทางที่เดินผ่านนางกำนัลไปนั้น ต่างไม่มีผู้ใดกล้าทักทายเหมือนที่เคยทำ
เหล่าเจ้าหน้าที่ในวังก็ล้วนคิดว่าเซี่ยซูหงุดหงิดเพราะตนเองไปทำเรื่องน่ารังเกียจเอาไว้แล้วถูกฮ่องเต้จับพิรุธได้ สายตาที่แต่ละคนมองดูนางจึงแตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีให้เห็น ได้แต่รีบหลบฉากไปแต่แรก พาตัวเองออกห่างจากเซี่ยซู
ในคืนนั้น ช่วงยามไฮ่ มีคนสองคนใช้ม้าเร็วเดินทางมาจากคลองขุดชิงซีที่อยู่ด้านตะวันออกของเมือง เลี้ยวเข้าไปในตรอกอูอีแล้วหยุดลงตรงประตูข้างของจวนอัครเสนาบดี จากนั้นจึงลงจากม้าตรงเข้าไปเคาะประตู
มีเด็กรับใช้มาที่หน้าประตู เห็นบุรุษสองคนท่าทางสง่างามรูปร่างสูงใหญ่ คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ามีหน้าตาโดดเด่นเป็นพิเศษเขาสวมเสื้อคลุมกันลม และหยิบป้ายแสดงตนออกมาจากช่องตรงแขนเสื้อ
เด็กรับใช้ในจวนเสนาบดีรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครในทันที เขารีบค้อมกายคำนับแล้วเอ่ยว่า “คารวะท่าน…”
“งดเถิด พาข้าไปพบนายของเจ้าก็พอ”
“ขอรับ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.