X
    Categories: LOVEขอสักครั้ง... ให้คืนนี้ผมได้รักคุณ ชุด ขอได้ไหมทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ขอสักครั้ง… ให้คืนนี้ผมได้รักคุณ ชุด ขอได้ไหม… บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3

บุพเพสันนิวาส

ห้องอาหารในโรงแรมประภาภัสสรหรูหราสมกับเป็นร้านที่ได้รับการพูดถึงในระดับประเทศ ที่นี่เปิดบริการตั้งแต่เก้าโมงถึงสี่ทุ่ม ชุดพนักงานเสิร์ฟถูกออกแบบให้คล้ายกับชุดพื้นเมืองของชาวสตูลที่เรียกว่า ‘เคบาย่า’ แต่ปรับให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อความสะดวกในการทำงาน

ชุดโทนสีแดงเบอร์กันดีขับผิว ดีไซน์ชุดท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาวสี่ส่วน คอกลมเผยกระดูกไหปลาร้า ท่อนล่างเป็นกระโปรงยาวกรอมเท้า และสวมกับรองเท้าส้นสูงสีดำ แม้จะไม่ได้เปิดเผยเนื้อตัว แต่ดีไซน์ที่เน้นรูปร่างและเข้ารูปค่อนข้างมาก อีกทั้งกระโปรงยังผ่าด้านหน้าขึ้นมาเหนือเข่าเพื่อให้เดินสะดวกเผยให้เห็นเรียวขานิดๆ ก็ยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่และเย้ายวนอย่างมีระดับ เรียกว่าคนออกแบบทำการบ้านมาอย่างดีทีเดียว

“โห! พนักงานที่นี่คัดรูปร่างหน้าตาด้วยป่ะเนี่ย”

กีรณาอุทานเบาๆ ขณะเดินเข้าไปในห้องอาหารกับวรรณสา…อีกฝ่ายบอกว่าจะพาเธอมาแนะนำกับ ‘กรนุช’ ผู้จัดการห้องอาหารแห่งนี้เพราะฝ่ายบุคคลรับเธอเข้าทำงานแล้ว

“แน่นอนสิยะ ไม่งั้นจะออกมาเป๊ะขนาดนี้เหรอ ผู้บริหารที่นี่เขาเนี้ยบมากเลยนะ ห้องอาหารที่นี่ก็เป็นหน้าเป็นตาของโรงแรม แถมยังหรูหราซะขนาดนี้จะให้อีแก้วอีคำมาเสิร์ฟไม่ได้หรอกนะ เขาคัดทั้งรูปร่าง หน้าตา และวุฒิการศึกษาด้วย อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า ม.หก และภาษาอังกฤษต้องได้”

‘อีแก้วอีคำ’ ของวรรณสาไม่ได้จะดูถูกคนที่ชื่อแก้วหรือชื่อคำ แต่มีความหมายในทำนอง ‘ตาสีตาสา’ หรือก็คือคนบ้านๆ ธรรมดาทั่วไปนั่นเอง เพราะห้องอาหารแห่งนี้เข้มงวดกับการรับพนักงานไม่น้อย

“นึกว่ามาสมัครนางงาม อย่างฉันจะผ่านมาตรฐานมั้ยเนี่ย”

“แกก็ได้งานแล้วไง”

“แต่เชื่อแล้วล่ะว่าคัดมาอย่างดีจริงๆ ดูแก๊งนั้นอย่างกับแก๊งนางฟ้า สวยเว่อร์!”

กีรณาพยักพเยิดไปทางพนักงานเสิร์ฟสามคนที่ยืนคุยกันขณะรอลูกค้าเข้ามาในร้าน วรรณสามองตามสายตาของเพื่อนไปจึงรู้ว่า ‘แก๊งนางฟ้า’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงเป็นใคร

“อ้อ…นั่นน่ะ ‘จิตรี’ กับแก๊งของชี แต่แกอย่าไปยุ่งเลย”

“ทำไมเหรอ ท่าทางแกดูไม่ค่อยชอบแก๊งนั้นเลยนะ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ฉันได้ยินคนเม้าท์กันว่านางชอบทำตัวเป็นควีนบีกับพนักงานคนอื่นๆ ในห้องอาหารเพราะนางสวยสุด เป็นคนโปรดของผู้บริหาร ถ้ามีใครสวยๆ หน่อยเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟก็จะโดนนางเขม่นเอา แกก็ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน” วรรณสาเตือนเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

กีรณาอาจไม่ชอบหาเรื่องชาวบ้าน แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่อง ฝีปากอย่างกีรณาก็ไม่น่าจะยอมใครง่ายๆ เธอไม่อยากให้เพื่อนถูกไล่ออกเพราะไปมีเรื่องกับ ‘ตัวแม่’ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มมาทำงาน

“ไม่หรอกม้างงง ฉันไม่ได้สวยถึงขนาดจะให้ใครเขม่นหรอก”

“ถ้าขนาดคุณเชษฐ์ยังจำหน้าแกได้เพียงแค่เจอกันครั้งเดียว ฉันว่าแกก็ไม่ธรรมดาหรอก” วรรณสาเบ้ปากใส่เพื่อนขี้ถ่อมตัว “แต่ถ้าแกจะผูกมิตรไว้ก็ไม่เป็นไร ยังไงมีเพื่อนก็ดีกว่ามีศัตรูแหละ”

“มาแล้วเหรอ คนนี้ใช่มั้ยพนักงานคนใหม่ที่จะพามาแนะนำ”

ขณะสองสาวกำลังคุยกันอยู่นั้นผู้หญิงวัยสามสิบกลางๆ คนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา แค่เห็นสายตากีรณาก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นกรนุช เพราะทั้งดูน่าเคารพและเข้มงวดในเวลาเดียวกัน

“ใช่ค่ะคุณนุช วรรณฝากเพื่อนด้วยนะคะ” วรรณสาแนะนำ

กีรณารีบยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มนอบน้อม เมื่อพินิจแล้วกรนุชก็เป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง รูปร่างดีทีเดียวเพราะสวมชุดพนักงานของห้องอาหารได้สวยไม่แพ้แก๊งนางฟ้าเลย

“รูปร่างดี หน้าตาสะสวยใช้ได้เลยนี่นา แต่งหน้าแต่งตัวเข้าหน่อยคงจะสวยตะลึงเลยนะ เสียอย่างเดียวตัวเล็กไปนิด ไม่รู้จะมีชุดที่พอใส่ได้หรือเปล่า” กรนุชพูดพลางมองกีรณาไปด้วย “ได้ยินว่าจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพฯ เลยไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ มาทำงานเสิร์ฟที่นี่ล่ะ”

กีรณามองหน้าวรรณสาเหมือนไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดี

“ช่วงนี้ชีวิตยายกี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหน่อยน่ะค่ะก็เลยอยากหนีบรรยากาศเดิมๆ ที่กรุงเทพฯ” วรรณสาเป็นฝ่ายเล่าแทนเพราะรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากับกรนุชดี “วรรณก็เลยชวนมาเที่ยว ตอนแรกให้สมัครเป็นพีอาร์ แต่ทางเอชอาร์รับพนักงานคนใหม่มาแล้วก็เลยต้องมาเสิร์ฟแทน”

“ถ้าไม่เกี่ยงว่างานมันอาจจะหนักหน่อย งานเสิร์ฟก็ไม่ได้แย่หรอกนะ เงินเดือนก็พอใช้ได้ แต่ขอให้ตั้งใจทำงานด้วย ไม่ใช่มาทำเล่นๆ แก้เบื่อหรือว่าฆ่าเวลาเพราะฉันต้องเสียเวลาเทรนให้เธอ”

“กี้ไม่ทำเล่นๆ หรอกค่ะ”

กีรณารับคำด้วยสายตามุ่งมั่นเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเธอไม่ได้มาเล่นๆ กรนุชเห็นดังนั้นก็ยิ้มออก แม้จะยังไม่เห็นกีรณาทำงาน แต่ดูจากแววตาและท่าทางแล้วก็น่าจะพอไว้ใจอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง

“พนักงานเสิร์ฟคนใหม่เหรอคะคุณนุช” จิตรีหันมาเจอกีรณาก็เดินปราดเข้ามาทักทายพลางมองกีรณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับกำลังประเมินคู่ต่อสู้ก็ไม่ปาน

“ใช่…เธอมีปัญหาอะไรเหรอ”

“จะไหวเหรอคะ ท่าทางไม่น่าจะทำงานหนักได้ ตัวก็แค่นี้เอง”

“คนเราถ้าตั้งใจจริง ไม่ว่างานไหนก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” กรนุชว่า “ไม่ต้องรีบมาแขวะเพื่อนเลยนะ หล่อนเองน่ะตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ฉันก็คุมเข้มและบ่นจนปากเปียกปากแฉะมาแล้ว”

“คุณนุช!”

จิตรีทำตาเขียวใส่เมื่อถูกย้อนให้อายต่อหน้าพนักงานใหม่ จากนั้นเธอก็เดินเชิดหน้าออกไป แต่ไม่วายหันกลับมามองท่าทีของกีรณาอีกหน แต่คนถูกมองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอ

“อย่าไปใส่ใจจิตรีเลยนะ แม่นี่ก็ปากเสียและปากร้ายไปอย่างนั้นเองแหละ ใจจริงไม่มีอะไรหรอก” กรนุชว่าเพราะไม่อยากให้กีรณาไปมีเรื่องกับจิตรีและผองเพื่อนให้เสียสุขภาพจิต

“กี้ไม่ถือหรอกค่ะ”

กีรณาบอกพร้อมรอยยิ้ม เธอไม่ได้อยากทำตัวเป็นนางเอกหรือตอบเพื่อเอาใจกรนุช แต่เธอเคยเจอรุ่นพี่ที่ทำงานเดิมจ้องจะหาเรื่องหนักกว่านี้ และเธอคิดว่าบางทีจิตรีก็อาจจะอยากเข้ามาทักทายเฉยๆ หรือถ้าจิตรีไม่ชอบหน้าเธอจริงๆ เธอก็แค่หลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายก็เท่านั้นเอง

จิตรีคงไม่เหมือนนางร้ายในละครที่จ้องหาเรื่องหรือคอยใส่ร้ายเธอหรอก

“งั้นก็ตามฉันมาที่ห้องแต่งตัวจะได้ไปเลือกชุดพนักงานไปเปลี่ยนและเริ่มเทรนงาน”

“ฝากยายกี้ด้วยนะคะคุณนุช”

กรนุชยิ้มรับแล้วพยักหน้าให้กีรณาเดินตามไปทางด้านหลังห้องอาหารซึ่งมีห้องน้ำและห้องเปลี่ยนชุดของพนักงาน กีรณาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่รีรอ

เธอยิ้มรับตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟและพร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว…

กรนุชเทรนงานให้กีรณาอย่างหนักเพื่อให้เธอเรียนรู้งานได้เร็วที่สุด โดยวันแรกหญิงสาวได้เรียนรู้ทั้งการเดินถือถาดอาหาร การวางจานอาหาร และกิริยามารยาทต่างๆ ซึ่งเธอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายที่จะทำทุกอย่างได้แบบมืออาชีพและเป็นธรรมชาติ พอเข้าวันที่สองเธอก็ฝึกรับมือกับลูกค้าโดยมีเพื่อนพนักงานมาเล่นเป็นลูกค้า เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าเมื่อเจอปัญหาต่างๆ เธอจะต้องรับมืออย่างไร

นอกจากนี้กีรณายังได้เรียนรู้วิธีจดจำเมนูไม่ให้ผิดพลาด เพราะบางครั้งลูกค้าก็มาด้วยกันหลายคนและอาจแย่งกันสั่งอาหาร ดังนั้นพนักงานจะต้องมีวิธีจดจำให้แม่น ไม่อย่างนั้นอาจเสิร์ฟอาหารผิดคนได้ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าจำได้ไม่ผิดพลาดก็จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้

ไม่เพียงเท่านั้นหญิงสาวยังต้องพยายามท่องเมนูของร้านให้ได้ว่าแต่ละอย่างมีจุดเด่นอะไร รสชาติเป็นอย่างไร มีส่วนผสมหลักอะไรบ้างจะได้แนะนำลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

พอเข้าวันที่สามกีรณาถึงได้ลองเสิร์ฟจริงๆ โดยมีกรนุชคอยยืนมองห่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด พอเห็นว่าเธอเป็นงานแล้ววันที่สี่ถึงอนุญาตให้ทำงานโดยไม่ต้องมีใครกำกับซึ่งกรนุชก็ชมว่าหญิงสาวเรียนรู้งานได้เร็ว ทำงานอีกสักพักอาจจะเลื่อนขึ้นมาช่วยกรนุชเทรนงานให้รุ่นน้องได้

‘ถ้ากี้ทำได้กี้ก็จะช่วยค่ะ แต่จุดนี้กี้ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน’

กีรณาพูดทีเล่นทีจริงหลังจากเทรนงานวันที่สามทำให้กรนุชยิ้มขัน การได้เทรนงานกับกรนุชทำให้กีรณารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงจัง ตรงไปตรงมา ตำหนิคนไม่ไว้หน้า แต่ใจดี…ซึ่งเธอก็เข้าใจว่าที่กรนุชดุคงเพราะอยากให้เธอทำงานได้ดี และการที่กรนุชมีบุคลิกน่าเคารพก็จะทำให้พนักงานคนอื่นๆ ยำเกรง

“เป็นยังไงบ้างคะ คุณพนักงานเสิร์ฟ”

ตอนใกล้เวลาพักกลางวันวรรณสาก็แวะเข้ามาทักทายก่อนจะไปทานอาหารกลางวันกับเพื่อน กีรณากำลังรับถาดอาหารไปเสิร์ฟก็ส่งรอยยิ้มกวนๆ พร้อมยักไหล่ให้อีกฝ่าย วรรณสาหัวเราะก่อนจะเดินออกไปหาเพื่อนที่รออยู่เพราะตั้งใจจะมาทักทายสั้นๆ ก่อนเดินไปที่โรงอาหารอยู่แล้ว

ส่วนพนักงานเสิร์ฟอย่างกีรณาไม่มีเวลาพักทานอาหารที่แน่นอน ส่วนมากมักจะทานก่อนหรือหลังช่วงพักกลางวันเพราะช่วงนี้ลูกค้าจะแน่นเป็นพิเศษพอๆ กับช่วงหกโมงเย็นถึงสองทุ่ม

หญิงสาวต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน เธอเลือกหยุดพักในวันอาทิตย์ และในแต่ละวันที่ทำงานสามารถนั่งพักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้หากไม่มีลูกค้าในโซนที่ตนเองรับผิดชอบ หรือหากมีธุระสำคัญจริงๆ ก็อาจจะฝากเพื่อนร่วมงานให้ช่วยดูแลโซนของตนแทนไปก่อน

แม้งานเสิร์ฟจะไม่ใช่งานที่เรียนมา แต่พอได้ทำงานจริงๆ กีรณาก็เริ่มสนุกเพราะเป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อน และเธอได้เรียนรู้อะไรมากมายจากงานนี้

หญิงสาวเคยคิดว่าพนักงานเสิร์ฟก็แค่ยกอาหารมาเสิร์ฟ แต่พอได้ลองทำจริงๆ แล้วมันก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะและความสามารถ อย่างน้อยๆ ก็ในเรื่องความจำและความอดทน

“เจอกันอีกแล้วนะครับ”

เสียงใครคนหนึ่งทักทายในตอนที่กีรณาเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าโต๊ะหนึ่งเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเดินกลับมาประจำจุดที่สามารถมองเห็นลูกค้าในโซนรับผิดชอบได้อย่างทั่วถึง…ร่างบางถึงกับชะงักฝีเท้า เธอเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง และพูดไม่ออกเมื่อเห็นเขากำลังยืนมองเธอพร้อมรอยยิ้ม

“คุณเชษฐ์!”

หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอเชษฐ์ที่นี่ มิหนำซ้ำยังในเวลาทำงาน แต่คิดไปแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเธอจำได้ว่าวรรณสาเคยบอกเอาไว้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรม และการที่เขาจะเดินเข้ามาในห้องอาหารของโรงแรมมันก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เธอไม่คิดว่าจะได้เจอเขาเร็วขนาดนี้

‘คราวหน้าถ้าเราเจอกันอีก…ผมจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิตมากกว่า และผมคงต้องขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อในฐานะเพื่อนใหม่’

คำพูดของเชษฐ์ลอยเข้ามาในความคิด กีรณาคิดว่านี่ไม่ใช่พรหมลิขิต แต่มันเป็นบุพเพสันนิวาสต่างหาก และเธอจะไม่คิดว่าเขาเป็นแค่เพื่อนใหม่ แต่เขาอาจจะเป็น ‘เนื้อคู่’ เลยก็ได้

“ไม่คิดเลยนะครับว่าเราจะได้เจอกันอีกแล้ว”

ชายหนุ่มยิ้มยินดีทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูสว่างไสวเจิดจ้าพาให้คนมองแทบจะหน้ามืดตาลายเพราะถูกเสน่ห์ของเขาโปรยเข้าเต็มๆ

“ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันค่ะ” กีรณาบอกอย่างเก็บอาการแม้จะรู้สึกดีใจที่ได้พบกับเขา “แต่…ฉันเป็นพนักงานในโรงแรมนี้แล้ว มันคงไม่แปลกที่เราจะเจอกันในเมื่อคุณเป็นเจ้าของโรงแรม”

“ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนะ”

เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเธอรู้ได้ยังไง

“เอ่อ…ก็ฉันจะเป็นพนักงานที่นี่ ฉันก็ต้องทำการบ้านบ้างสิคะ”

กีรณารีบแก้ตัวอย่างขัดเขิน แต่ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งเหมือนเอาเชือกรัดคอตัวเอง

“แต่ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาสมัครงานเพื่อดักเจอคุณนะคะ”

หญิงสาวรีบออกตัวอย่างแรงเพราะกลัวว่าเชษฐ์จะคิดไปไกล กีรณาคิดว่าผู้ชายระดับเขาคงมีผู้หญิงอยากทำความรู้จักมากมาย ไม่แปลกหากเขาจะคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอตั้งใจมาทำงานที่นี่ก่อนจะรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมนี้อย่างที่พูดจริงๆ ไม่ใช่แค่จะแก้ตัว

คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะขบขัน

“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยครับ เพียงแต่นึกถึงคำพูดของตัวเอง” เชษฐ์บอกจากใจจริง เขาคิดว่าท่าทีกีรณาดูซื่อๆ เธอคงไม่วางแผนซับซ้อนเพื่อดักเจอเขา “ผมเคยบอกว่าถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง ผมจะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพรหมลิขิต และผมจะขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อในฐานะเพื่อนใหม่”

ชายหนุ่มย้ำในสิ่งที่เขาเคยบอกและทำให้กีรณามองเขาอย่างคาดไม่ถึง

นี่เขาพูดจริงๆ เหรอเนี่ย…

“แต่ฉันเป็นพนักงานในโรงแรมของคุณนะคะ แถมยังเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟ คงไม่เหมาะถ้าฉันจะไปทานข้าวกับคุณ” กีรณาบอกอย่างเกรงใจเพราะคิดว่าเจ้าของโรงแรมอย่างเขาอาจรังเกียจเธอ

“ถ้าเกรงใจผมก็ไปทานกันที่อื่นสิครับ ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นนะ อีกอย่างมันไม่เกี่ยวเลยว่าคุณกับผมจะอยู่ในฐานะอะไร เราเป็นมนุษย์เท่ากันครับ และไม่แปลกที่ผมจะเป็นเพื่อนกับคุณ”

ทุกประโยคที่ออกจากปากเชษฐ์ทำให้กีรณายิ้มด้วยความประทับใจ เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ชายหล่อเหลาและเป็นสุภาพบุรุษที่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเธอ แต่เขายังเป็นคนจิตใจดีอีกต่างหาก

‘ถ้าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์จริง ฉันขอให้ได้คุณเชษฐ์เป็นสามี’

กีรณานึกถึงคำพูดของตัวเอง แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นได้ว่า…หรือบ่อน้ำที่ว่าจะศักดิ์สิทธิ์อย่างที่วรรณสา ‘โฆษณา’ เอาไว้จริงๆ แต่มันจะไม่เหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ!

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

“ไว้นัดกันอีกทีนะครับ คุณไปทำงานเถอะ คุณนุชแอบมองมาทางเราแล้ว เดี๋ยวคุณจะถูกดุ” เชษฐ์พูดทีเล่นทีจริง กีรณาจึงหัวเราะเบาๆ เพราะคิดว่าเขาคงรู้กิตติศัพท์ของกรนุชมาบ้างไม่มากก็น้อย

ร่างบางเดินไปประจำจุดสำหรับพนักงานเสิร์ฟ เธอยกมือไหว้กรนุชแทนการขอโทษแม้ว่าเชษฐ์จะเป็นฝ่ายเข้ามาชวนคุยเอง แต่เธอก็ไม่ควรยืนคุยเล่นในเวลางาน กรนุชเห็นว่าเธอรู้ว่าทำตัวไม่เหมาะสมจึงพยักหน้าเบาๆ แทนการบอกว่าครั้งนี้อนุโลมให้ แต่ถ้ามีครั้งหน้าเธอจะถูกตำหนิอย่างแน่นอน

“ไม่เบาเลยนะ ทำงานแค่ไม่กี่วันก็อ่อยเจ้าของโรงแรมซะแล้ว”

จิตรีเดินเฉียดมาหาและเปรยขึ้นเบาๆ ทำให้กีรณาต้องหันไปมองทั้งๆ ที่เธอทำเป็นไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายที่ลอยผ่านหูในเชิงจิกกัดมาโดยตลอด เพราะไม่อยากถือสาและคิดว่าจิตรีคงแขวะเล่นๆ แต่การกล่าวหาว่าเธอ ‘อ่อย’ เชษฐ์ก็เป็นคำพูดที่รุนแรงเกินไปในเมื่อเชษฐ์เป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเธอเอง

สงสัยที่ยายวรรณบอกจะเป็นเรื่องจริง

กีรณาจำได้ว่าวรรณสาเคยบอกไว้ว่าถ้าพนักงานเสิร์ฟคนใหม่หน้าตาสะสวยก็จะถูกเขม่นเพราะจิตรีชอบทำตัวเป็น ‘ควีนบี’ เธอไม่คิดเลยว่าจะเจอกับตัวเองทั้งๆ ที่หลีกเลี่ยงการปะทะเสมอ

“ถ้าเมื่อกี้เธอไม่ได้ตาฝาด เธอก็น่าจะรู้นะว่าคนที่เป็นฝ่ายอ่อยไม่ใช่ฉัน” หญิงสาวเปรยกลับไปลอยๆ โดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย “เพราะคุณเชษฐ์เป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับฉันเอง”

จบประโยคนั้นกีรณาค่อยหันไปมองพร้อมรอยยิ้มบางๆ เพราะรู้ว่าจิตรีต้องทำตาลุกเป็นไฟใส่เธอแน่ และก็จริงดังคาด…สายตาจิตรีเหมือนอยากจะตรงเข้ามาบีบคอเธอไม่มีผิด

“ฉันว่าเธอไปทำงานเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณนุชจะดุเอา มันไม่คุ้มหรอกนะ”

กีรณามองไปทางกรนุชซึ่งกำลังมองมาทางนี้ เพราะกรนุชรู้ว่ากีรณาอาจถูกจิตรีเขม่นจึงแบ่งโซนรับผิดชอบให้ห่างกันเอาไว้ การที่จิตรีเดินเข้ามาหาเธอก่อนแล้วถ้าหากทั้งสองมีเรื่องมีราวกันขึ้นมาจริงๆ ยังไงจิตรีก็เป็นฝ่ายผิดเพราะใครๆ ก็ต้องดูออกว่าจิตรีตรงเข้ามาหาเรื่องกีรณา

จิตรีมองด้วยสายตาไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปประจำจุดรับผิดชอบของตัวเอง กีรณาถอนหายใจเบาๆ พลางคิดว่าชีวิตเธอเริ่มจะดีขึ้นอยู่แล้วเชียว แต่มันจะเสียก็เพราะมีเพื่อนร่วมงานอย่างนี้นี่แหละ!

 

“เดี๋ยวก่อนกี้”

กีรณากำลังจะเดินออกจากห้องอาหารหลังเก็บร้านเสร็จกรนุชก็เรียกเธอไว้ หญิงสาวหันไปมองด้วยความสงสัย ยังดีที่ตอนนี้ในร้านเหลือพนักงานไม่กี่คน ส่วนจิตรีและพรรคพวกรีบออกไปเพราะจะไปเที่ยวกลางคืนต่อ ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงได้เอาเรื่องนี้ไปนินทาหรือจับตามองว่าเธอจะถูกตำหนิอะไร อันที่จริงกีรณาก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดหรือสายตาของพวกนั้นหรอก แต่เธออดที่จะรำคาญไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

“คุณนุชมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เรื่องเมื่อตอนกลางวันน่ะ”

ผู้จัดการห้องอาหารหน้าดุเกริ่นมาแค่นั้นหญิงสาวก็พอจะรู้แล้วว่าตนเองคงจะถูกตำหนิ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเชษฐ์หรือเรื่องจิตรี แต่อาจจะเป็นทั้งสองเรื่องเลยก็ได้

“เอ่อ…กี้ขอโทษค่ะที่คุยกันในเวลางาน”

“ฉันไม่ได้อยากตำหนิเธอหรอก แต่ฉันแค่อยากเตือนเธอเรื่องจิตรี” กรนุชพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “อย่ามีปัญหาอะไรกับแม่คนนี้เลย ปล่อยได้ก็ปล่อย ไปต่อปากต่อคำด้วยจะมีเรื่องกันเปล่าๆ”

ตอนแรกกีรณาไม่เข้าใจว่าทำไมกรนุชต้องบอกให้คนอื่นเป็นฝ่ายยอม แต่ไม่บอกจิตรีให้เลิกหาเรื่องคนอื่นสักที กระทั่งได้ร่วมงานกันเธอถึงได้รู้ว่ากรนุชคงบอกฝ่ายนั้นจนอ่อนอกอ่อนใจแล้ว และถึงแม้ปากจิตรีมักจะคอยหาเรื่องคนนั้นทีคนนี้ที แต่หล่อนก็ทำงานดี มีเพื่อนพนักงานเสิร์ฟที่สนิทกันหลายคน หากมีปัญหากันจนจิตรีลาออก เพื่อนๆ หล่อนอาจลาออกไปด้วยแล้วทางห้องอาหารก็คงจะลำบาก

กรนุชคงคิดว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการมาเตือนกีรณาก็น่าจะดีกว่านิ่งเฉย เพราะเตือนจิตรีไปฝ่ายนั้นก็คงไม่ฟังสักเท่าไหร่

“กี้เข้าใจค่ะ ที่จริงกี้ก็พยายามแล้วนะคะ แต่เมื่อกลางวันจิตรีเขาก็พูดแรงไป”

“จิตรีน่ะหมายตาคุณเชษฐ์ไว้ พอเห็นคุณเชษฐ์เข้ามาคุยกับเธอก็คงจะเกิดอาการหึงหวงเป็นธรรมดา” กรนุชอธิบายให้กีรณาเข้าใจ “นี่ขนาดเพิ่งเจอคุณเชษฐ์ได้ไม่กี่วันเองนะ”

กีรณารับฟังเงียบๆ แต่เธอก็พอจะเข้าใจว่าคาแร็กเตอร์อย่างจิตรีที่จ้องเขม่นเธออยู่แล้ว พอเห็นผู้ชายที่ตนเองแอบชอบเข้ามาคุยกับเธออย่างสนอกสนใจก็คงจะยิ่งร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว

หญิงสาวเคยคิดว่าในชีวิตจริงจะมีคนที่นิสัยเหมือนนางร้ายในละครหรือเปล่า แต่เธอลองสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าบางคนก็เป็นยิ่งกว่านางร้ายในละครเสียอีกดังที่เห็นในข่าวมากมาย บางคนยิงกันตายเพราะความหึงหวง บางครั้งตบตีแค่เพราะมีปากมีเสียงหรือแซงคิวกันในร้านอาหาร

พอมาเทียบกันแล้วจิตรีอาจจะดูเป็นคนธรรมดาไปเลยก็ได้

“จริงสิ! คืนวันอาทิตย์นี้อย่าลืมมางานแต่งของฉันด้วยนะ”

“อะไรนะคะ!”

กีรณาตกใจเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างหน้าตาเฉย

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น ฉันบอกว่าคืนวันอาทิตย์นี้อย่าลืมมางานแต่งฉันด้วย จัดที่โรงแรมนี้แหละ ธีมชุดแล้วแต่สะดวกเลย แต่แต่งตัวสวยๆ หน่อยก็ดีเพราะมีผู้ใหญ่มาร่วมงานหลายคน”

“กี้แค่แปลกใจน่ะค่ะ”

กีรณายิ้มเจื่อนๆ ที่เผลออุทานออกไปอย่างเหลือเชื่อ ทว่าแววตากลับแสดงความยินดีกับกรนุชจากใจจริง แต่ที่เธอตกใจเมื่อครู่เพราะไม่เคยรับรู้เรื่องส่วนตัวของกรนุชมาก่อนเลย จู่ๆ อีกฝ่ายก็เชิญเธอไปร่วมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ เธอก็ต้องแปลกใจเป็นธรรมดา

“แปลกใจอะไรกันยะ”

“กี้นึกว่าคุณนุชแต่งงานแล้ว หรือถ้ายังโสดก็ไม่น่าจะคิดเรื่องแต่งงานแล้วน่ะค่ะ”

หญิงสาวชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้กรนุชน่าจะอายุราวๆ สามสิบห้าปี ปกติผู้หญิงวัยนี้น่าจะแต่งงานเกือบทุกคนแล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้แต่งก็มีแนวโน้มว่าจะอยู่เป็นโสดยาว

“ยายเด็กคนนี้นี่! ถ้าฉันคิดอยากจะแต่งงานบ้างไม่ได้หรือไง”

กรนุชทำท่าว่าจะหยิกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง

“แล้วที่ชวนเนี่ยเพราะเห็นว่าเธอเพิ่งเข้ามาทำงาน ยังไม่รู้จักใคร ไปร่วมงานอาจจะได้เจอคนมากขึ้น ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง นี่ถ้ารู้ว่าชวนแล้วเธอจะทำหน้าตกใจใส่ฉันขนาดนี้ ฉันไม่ชวนดีกว่า”

“กี้แค่โอเวอร์แอ็กติ้งไปงั้นแหละค่ะ ยังไงกี้ก็ต้องไปแสดงความยินดีกับคุณนุชอยู่แล้ว”

ร่างบางรีบยิ้มประจบเอาใจ กรนุชค้อนให้เธอทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ อาจเพราะได้ใช้เวลาด้วยกันในช่วงเทรนงานทำให้ทั้งสองสนิทใจกันมากขึ้น ไม่อย่างนั้นกรนุชคงไม่ชวนเธอไปร่วมงานสำคัญ

ว่าแต่…ได้รับเชิญกระชั้นชิดแบบนี้เธอจะหาชุดไปร่วมงานทันไหมนะ!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: