X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน อาจารย์ข้าน่ารังแกที่สุด! บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทนำ

 ผนังหินรอบบ่อน้ำบ่อหนึ่งมีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้มเกาะอยู่ ตะเกียงน้ำมันบนผนังหินนั้นส่องแสงสีเหลืองหม่น แสงเรื่อเรืองที่ดูเยือกเย็นไม่กี่ดวงส่องลงไปใจกลางผืนน้ำ บางช่วงก็ตกกระทบลงบนโซ่เหล็กสีน้ำตาลดำ

ไม่รู้ว่าสายลมระลอกหนึ่งพัดเข้ามาจากที่ใด ตะเกียงบนผนังจึงแกว่งไกวไปมา แสงสีเหลืองหม่นพลันส่องกระทบใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปงามที่ขาวซีด ผมสีดำสยายออก นัยน์ตาปิดสนิท ริมฝีปากเป็นสีแดงคล้ำ ผสมผสานออกมากลายเป็นภาพวาดที่กลมกลืนด้วยสีของน้ำหมึกและสีชาด หากไม่ใช่เพราะเขากัดริมฝีปากจนมีหยดเลือดไหลออกมาจนเห็นได้ชัดสะดุดตาล่ะก็ คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอดกลั้นและเคียดแค้นของคนผู้นี้เป็นแน่

ชุดผ้าต่วนสีเขียวเข้มลายเมฆชุ่มน้ำจนแนบติดไปกับเรือนร่างของบุรุษหนุ่ม ความสง่างามที่มีอยู่เดิมถูกทำลายไปเกือบหมดสิ้น เหลือไว้เพียงอัญมณีในโคลนตมที่ประกายแสงหม่นหมองดูไร้ค่า ชายเสื้อที่แช่อยู่ในน้ำยังคงเห็นรอยคราบเลือดที่ใกล้จางหายได้อยู่ บ่งบอกว่าชุดผ้าต่วนนี้เคยเปื้อนเลือดมาก่อน

ตะเกียงน้ำมันแกว่งไกวอีกครั้ง ไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของเขาได้อีก ความมืดกลับมาเยือนอีกครั้ง บุรุษหนุ่มเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาประดุจอำพันที่เก็บสะสมมานับร้อยปี ความอาฆาตแค้นจับตัวฝังแน่นอยู่ใจกลางอำพันนั้น

ร่างกายเขาถูกกักขังทรมานอยู่ในคุกน้ำโดยไม่รู้วันคืนผ่านไปเท่าไรแล้ว ผืนน้ำดำมืดไม่เห็นแสงตะวัน เขาทำได้เพียงลิ้มรสความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ยังฝืนทนต่อลมหายใจมาได้

 

สกุลไป๋เป็นตระกูลหมอมีชื่ออยู่ในเมืองก่วงหลิง สร้างหมอเทวดาจนมีชื่อเสียงขจรขจายร้อยปีไม่เสื่อมถอย เขาก็คือคุณชายน้อยสกุลไป๋ รอบรู้สมุนไพรนับร้อยชนิดมาแต่เยาว์วัย แตกฉานในตำราแพทย์โบราณ ท่องได้ทั้งขึ้นหน้าและย้อนหลัง อีกทั้งบุคลิกงดงาม เป็นคนโอบอ้อมอารี ชื่อเสียงของเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าเจ้าบ้านของสกุลไป๋เสียอีก

เพียงอายุสิบสามย่างสิบสี่เขาก็มีท่วงท่าเฉกเช่นบุรุษชั้นสูงแล้ว เขาเดินทางกับคนรับใช้อีกคนหนึ่งไปออกงานชุมนุมใหญ่ทางการแพทย์ที่เจียงหนาน แล้วใช้หลักคำสอนทางการแพทย์ของสกุลไป๋ถกกับหมอมีชื่อของเจียงหนานจนสร้างชื่อในคราวเดียว

ในช่วงเวลาที่คุณชายน้อยกำลังมีจิตใจฮึกเหิมอยู่นั้น กลับมิได้ล่วงรู้เลยว่าสกุลไป๋มีเคราะห์ร้ายมาเยือน

นายบ่าวสองคนนำพาชื่อเสียงกลับมา ทว่ากลับไม่ได้รับการต้อนรับใหญ่โตอย่างที่คาดเอาไว้ ประตูเรือนที่ปิดแน่นกันให้คุณชายน้อยต้องอยู่นอกเรือน เหลียนเซิงคนรับใช้เคาะประตูอยู่นานก็ไม่เห็นคนมาเปิดประตูให้เสียที คุณชายน้อยพลันรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งสองช่วยกันผลักประตูหน้าออก เมื่อประตูเปิดออกแล้ว คุณชายน้อยก็รีบพุ่งไปยังตัวเรือนอย่างอดรนทนไม่ไหว

ภายใต้แสงแดดแรงกล้าหลังยามเที่ยง ทั่วทั้งเรือนกลับเงียบสงัดยิ่ง แสงแดดคลี่คลุมคฤหาสน์ทั้งหลังที่ไร้กลิ่นอายชีวิต ไร้เงาผู้คนตลอดทาง ยามผ่านสวนหย่อม คุณชายน้อยที่ก้าวเท้าอย่างรีบเร่งก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งเข้า ขณะที่ซวนเซอยู่นั้นเขาก็ก้มหน้าลงมอง ข้างกอดอกจิ่นขุย มีแขนเสื้อท่อนหนึ่งโผล่ออกมา

หลังจากคุณชายน้อยแหวกกอดอกไม้ออกก็เห็นศิษย์พี่ใหญ่นอนทับกอดอกจิ่นขุยที่เขารดน้ำด้วยมือตนเอง เขาในตอนนี้ดูมิต่างจากคนที่กำลังนอนหลับเลย ทว่าแต่ไรมาศิษย์พี่ใหญ่มิใช่คนชอบนอนกลางวัน เขาเป็นคนที่ขยันขันแข็ง มุ่งมั่นสืบทอดวิชาแพทย์ของสกุลไป๋เพื่อเป็นหมอรุ่นต่อมา ทว่ายามนี้เขากลับมีใบหน้าเผือดซีด มุมปากมีเลือดไหลสายหนึ่ง หลับใหลไปตลอดกาล ไม่ว่าคุณชายน้อยใช้คำพูดเย้าแหย่อย่างที่เคยใช้อยู่ทุกวันอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาได้อีก

คุณชายน้อยนั่งทึ่มทื่ออยู่ข้างกอดอกจิ่นขุยที่กำลังเบ่งบาน กลีบดอกจิ่นขุยแลดูงามตากว่าปกติ

เหลียนเซิงรีบเข้ามาพยุงคุณชายน้อยลุกขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา ใบหน้าของเหลียนเซิงขาวซีดมาก เขาสัมผัสได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอายหนึ่งปกคลุมไปทั่ว นั่นก็คือกลิ่นอายของ ‘ความตาย’ คฤหาสน์ทั้งหลังได้ตกอยู่ภายใต้เงาทะมึนนั้นแล้ว แม้แต่แสงแดดแผดจ้าก็ไม่อาจสลายความหม่นหมองและเย็นเยือกภายในเรือนได้

สุดท้ายทั้งสองก็ผลักประตูห้องโถงออก แสงแดดส่องตามเข้ามา ภาพเงาร่างของเจ้าบ้านสกุลไป๋ทั้งสองที่แขวนคอตายอยู่เบื้องหน้านี้จะสลักลึกลงในจิตใจของคุณชายน้อยจากนี้…ตลอดไป

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะดังเข้ามาภายในคฤหาสน์ที่เปี่ยมด้วยวิญญาณมรณะ

‘นายน้อย ไป๋จี้เกิงลอบทำร้ายนายใหญ่ หลักฐานชัดแจ้ง คาดว่าหนีไปไม่พ้นเมืองก่วงหลิงแน่ ไยท่านต้องเหนื่อยกายมาด้วยตนเองเล่า’

‘ไป๋จี้เกิงตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าแค่เป็นห่วงฮูหยินเท่านั้น โฉมงามตกยาก ข้าเสียดายสตรีงามล้ำผู้นั้น ตั้งใจจะมารับนางไปที่จวน’

ฟึบ…

จู่ๆ ก็มีเข็มเงินแทงตรงมา บุรุษในอาภรณ์หรูหราจึงไม่ทันปัดป้อง

‘ท่านโหวระวังขอรับ!’ องครักษ์สกัดเข็มเงินตกพื้นได้ทันเวลา ทั้งยังใช้มือกุมคอหอยของมือสังหารเอาไว้

บุรุษในอาภรณ์หรูหรายิ้มน้อยๆ ‘ข้าก็คิดว่าเป็นผู้ใดเสียอีก นี่ไม่ใช่คุณชายน้อยสกุลไป๋หรอกหรือ กลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน มารดาท่านสบายดีหรือไม่’

คุณชายน้อยไอสำลัก สีหน้าแทบไม่มีสีเลือด เขาเค้นเสียงเคียดแค้นจากในลำคอ ‘จะช้าหรือเร็วข้าก็ต้องฆ่าเจ้า!’

แววตาของบุรุษในอาภรณ์หรูหราฉายแววโหดเหี้ยม ‘เจ้าเดรัจฉานน้อย เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาส’

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งพลันรีบเข้ามารายงาน ‘ท่านโหว ไป๋ฮูหยินก็แขวนคอตายตามไป๋จี้เกิงไปแล้วขอรับ!’

บุรุษผู้นั้นสุดแสนเสียดายยิ่ง เขาได้แต่ทอดถอนใจ ‘จบกัน ข้ามาเสียเที่ยวแล้ว พวกคนสกุลไป๋นี่ช่างหัวแข็งเสียจริง!’

‘แล้ว…จะจัดการอย่างไรดี’

‘ในเมื่อกระดูกแข็งนัก เช่นนั้นก็บดกระดูกเป็นเถ้าเสียเลย ส่วนเจ้าเดรัจฉานน้อยก็ทำให้มันลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกไปชั่วชีวิต!’

 

ความทรงจำที่โกรธแค้นเข้ากระดูกดำพลันหยุดลงกะทันหันเมื่อมีเสียงดังขึ้น บาดแผลที่หัวเข่าถูกแช่อยู่ในน้ำที่เสียดแทงกระดูก เขาเจ็บจนชาหนึบไปหมดแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นในคุกน้ำ เขาก็เตรียมพร้อมรับโทษทัณฑ์ที่มีเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันทันที

มีคนเข้ามาใกล้และเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คุณชายน้อย…”

คุณชายน้อยเงยหน้าขึ้นทันที เนื่องจากคุกน้ำมืดมิดยิ่งนัก จึงได้แต่รวบรวมสายตามองไปยังต้นเสียง “เหลียนเซิง?”

“คุณชายน้อย ข้าเอง” เหลียนเซิงรู้ดีว่าคุณชายน้อยในตอนนี้มีสภาพบอบช้ำเพียงใด เขากล่าวเสียงสะอื้น “วันนั้นคุณชายน้อยบอกให้ข้าหนีเอาตัวรอด ข้าถามมาหลายทอดกว่าจะทราบว่าคุณชายน้อยถูกจับมาทรมานอยู่ในคุกน้ำของจวนโหว ข้าจะทอดทิ้งท่านหนีไปได้อย่างไรกัน ข้าจึงแฝงตัวเข้ามาอยู่จวนโหว ตอนนี้ข้าขโมยกุญแจได้แล้ว คุณชายน้อยต้องหลบหนีไปจากที่นี่ ออกจากก่วงหลิงไปฟ้องร้องที่เมืองหลวง!”

เปลือกตาของเขาหนักอึ้ง ได้แต่ปรือมอง น้ำเสียงก็อ่อนลง “เหลียนเซิง ข้าเดินไม่ได้แล้ว แล้วจะไปที่เมืองหลวงได้อย่างไร”

เหลียนเซิงพลันเช็ดน้ำตา “ข้าเตรียมรถม้าไว้แล้วขอรับ จากนี้ไปคุณชายน้อยก็ได้แต่ต้องพึ่งตัวเองแล้ว”

หลังจากเหลียนเซิงพาคุณชายน้อยหลบหนีออกมาจากคุกน้ำแล้ว เขาก็ได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง เพื่อให้เขาได้มีเวลาในการหลบหนี เหลียนเซิงจึงกลับเข้าไปในคุกน้ำ แสร้งว่าเป็นคุณชายน้อยสกุลไป๋

เหลียนเซิงทนรับการทรมานต่างๆ ทั้งยังต้องถูกแช่น้ำและทนต่อความอุดอู้ เขาสามารถตบตาบรรดาคนของจวนโหวได้ กว่าพวกเขาจะรู้ความจริงก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พอใกล้จะตาย เขาก็ไม่หวาดกลัวอะไรอีกแล้ว ด้วยเชื่อว่าคุณชายน้อยคงใกล้ไปถึงเมืองหลวงแล้ว เมื่อถึงที่นั่นก็สามารถเปิดเผยว่าก่วงหลิงโหวให้ร้ายคนสกุลไป๋อย่างไรบ้าง

คุณชายน้อยเอ็นเข่าเสียหายทั้งสองข้าง แต่เขาต้องบังคับรถม้าด้วยตนเอง ระหว่างรอนแรมเดินทางก็ประสบความยากลำบากสารพัดอย่าง จนสุดท้ายก็เข้าเขตเมืองหลวง แต่รถม้าที่เร่งเดินทางมากลับมีสภาพพังเสียหาย เขาจึงต้องลงเดินโดยพึ่งพาไม้เท้าแทน ทว่าที่ว่าการไหนเลยจะกล้ารับเรื่องร้องเรียนคดีของก่วงหลิงโหว คุณชายน้อยฉลาดเฉียบแหลมมาแต่เยาว์วัย เพื่อหลีกเลี่ยงการไปเจอขุนนางที่มีสายสัมพันธ์กับก่วงหลิงโหวจนอาจทำให้การหลบหนีของตนเองถูกเปิดเผย เขาจึงเดินไปยังสำนักตรวจการที่สามารถตรวจสอบขุนนางใหญ่โตได้ทั่วแผ่นดิน

แต่คุณชายน้อยไม่ล่วงรู้ถึงขั้นตอนการขึ้นศาลในเมืองหลวงแม้แต่น้อย อีกทั้งสำนักตรวจการก็หาใช่สถานที่ที่ชาวบ้านเดินดินจะย่างเท้าเข้าไปได้ หลังจากเดินวนเวียนอยู่หน้าสำนักตรวจการนานหลายวัน เขาก็ยังไม่ได้เดินเข้าประตูสำนักตรวจการไป มือสองข้างที่ใช้จับไม้เท้าก็เป็นแผลถลอกเลือดซิบ เขาไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะเดียว ท้องหิวจนไส้กิ่วแล้ว ขอทานที่ผ่านมาเห็นจึงแบ่งหมั่นโถวให้ครึ่งลูก เขาก้มลงหยิบหมั่นโถวที่เปื้อนฝุ่นขึ้นมา หมั่นโถวทั้งบูดทั้งแข็งแล้วแต่เขาก็ยังฝืนเคี้ยวและกลืนมันลงไปทั้งน้ำตา

อุตส่าห์มาถึงเมืองหลวงที่เฟื่องฟูแล้วแท้ๆ ที่นี่มีขุนนางนับร้อยคน แต่กลับไม่มีผู้ใดให้ความสนใจตัวเขาเลย ทุกวันจึงได้แต่นั่งอยู่ที่หน้าสำนักตรวจการ สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ระดับล่างมาขับไล่ ตำหนิว่าเขาขวางหูขวางตา

คุณชายน้อยได้แต่ค้ำร่างตนเองด้วยไม้เท้าแล้วเดินไปยังที่ว่าการทุกแห่ง เขามองเห็นขุนนางผ่านตานับร้อยคน ทว่ากลับไม่ได้เล่าเรื่องของสกุลไป๋ให้ผู้ใดฟังเลยสักคน

คุณชายน้อยถูกผู้คนมองว่าเป็นเพียงขอทานเพี้ยนๆ คนหนึ่ง ทั้งยังถูกขอทานคนอื่นๆ มองว่าเป็นพวกแปลกแยก กระนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจคำวิจารณ์ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่จดจำขุนนางทุกคนอยู่เงียบๆ ศึกษากฎระเบียบของที่ว่าการแต่ละแห่ง กระทั่งเวลายืดเยื้อมานานถึงครึ่งปี และในคืนหนึ่งที่มีหิมะตก เขาพยุงกายด้วยไม้เท้าเดินเข้าไปในตรอกด้านหลังสำนักตรวจการที่น้อยคนนักจะผ่านเข้ามา แล้วไปหยุดอยู่ตรงประตูหลัง

ทว่าสิ่งที่เขาตั้งตารออยู่ในคืนหิมะโปรยปราย หาใช่สำนักตรวจการไม่

 

ดึกดื่นมากแล้ว หิมะยังคงตกลงมา เกี้ยวหลังหนึ่งโผล่ออกมาจากหัวมุมทางเข้าตรอก ผ่านประตูหลังของสำนักตรวจการ ฉับพลันเกี้ยวก็ถูกวางลง มีคนผู้หนึ่งก้าวลงมา ท่าทีของเขาเปี่ยมด้วยความรอบรู้

“ไท่สื่อ* บุรุษหนุ่มผู้นี้พิงอยู่ที่ประตูของสำนักตรวจการ คิดว่าคงมีเรื่องถูกปรักปรำมา น่าเสียดายที่เขามาผิดทาง เกรงว่าประตูหลังบานนี้ของสำนักตรวจการคงไม่เปิดออกแน่”

“เขาคงมีวาสนากับสำนักหลันไถของข้าเป็นแน่”

บทที่ 1

ดาวหางพุ่งปราดข้ามผืนนภา…

อาลักษณ์จดบันทึกตามจริง รัชทายาทในรัชศกนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

นี่คือจุดเริ่มต้นชีวิตอันรุ่งโรจน์ของฉืออิ๋งที่เปิดเผยในบันทึก นับแต่นั้นมาฉืออิ๋งก็บังเกิดความเคียดแค้นกับหลันไถมาเป็นสิบปี

ความเคียดแค้นของฉืออิ๋งปรากฏเป็นการรวบรวมความผิดของหลันไถ แล้วยุแยงให้สหายร่วมชั้นเรียนที่สำนักศึกษาเจาเหวินคล้อยตาม บรรดาลูกหลานพวกนี้ก็จะนำเรื่องราวพวกนี้ไปถ่ายทอดให้บิดาของพวกเขาที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักฟังและเขียนฎีการ้องเรียน

ทว่าทุกครั้งที่จู่โจม หลันไถก็เป็นเหมือนวัวดินปั้นลงทะเล ไม่เคยสั่นคลอนหลันไถได้เลยสักนิด

มีเพียงครั้งเดียวที่ฉืออิ๋งใช้สำนักตรวจการเล่นงานหลันไถ ผลคือสำนักตรวจการตั้งข้อกล่าวหาอันหนักหน่วงรุนแรงในปีนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทุกคนในราชสำนัก ยกเว้น…หลันไถ

หลันไถคือดาวที่สว่างเจิดจ้าซึ่งรายล้อมด้วยศัตรู ไม่ว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ การจู่โจมทั้งหมดล้วนไร้ผล เพียงเพราะคนผู้เดียว

หัวหน้าสำนักหลันไถ…ไป๋สิงเจี่ยน

ตั้งแต่ไป๋สิงเจี่ยนเข้ามาควบคุมดูแลหลันไถ ก็ยังไม่มีผู้ใดสร้างแรงกระทบต่อหลันไถได้เลย ส่วนพวกที่สร้างความวุ่นวายให้กับหลันไถต่างก็ถูกไป๋สิงเจี่ยนตวัดปลายพู่กันเล่นงาน อย่างเบาก็ถูกลดตำแหน่งเนรเทศ อย่างหนักก็ถูกตัดหัวยึดทรัพย์

ผลลัพธ์จากการที่ฉืออิ๋งใช้สำนักตรวจการเล่นงานหลันไถก็คือทำให้สำนักตรวจการถูกเปลี่ยนยกชุด ฉืออิ๋งถูกกักบริเวณ หากไม่ใช่เพราะบิดารักนางสุดชีวิต ช่วยพูดโน้มน้าวมารดาให้จนถึงขั้นสวมบทเศร้าโศก เพื่อเป็นการปลอบประโลมบิดาแล้ว มารดาจึงยอมจบเรื่องนี้ด้วยการผ่อนโทษหนักให้นาง จากที่กักบริเวณหกเดือนก็เหลือเพียงสามเดือน ชั่วขณะนั้นฉืออิ๋งพลันรู้สึกว่าตนเองอาจไม่ใช่ลูกในไส้ของมารดาก็เป็นได้

“องค์หญิง ทรงรีบตื่นเร็วเข้า! ‘ใครผู้นั้น’ มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เดิมทีฉืออิ๋งกำลังสัปหงกท่ามกลางเสียงพูดคุยของสหายร่วมชั้นเรียน ทว่าจู่ๆ ทั้งห้องก็เงียบเสียง รวมกับที่บุตรชายของเสนาบดีกรมอาญาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังใช้เท้าเตะม้านั่งของนางจนสุดแรง นางก็ปรือตามองไปที่ประตูห้องเรียน ทันใดนั้นความงัวเงียก็พลันหายวับไป

สำนักศึกษาเจาเหวินนั้นเป็นสำนักศึกษาชั้นยอดของอาณาจักร ซึ่งรองรับผู้เรียนได้ยี่สิบคน ถือเป็นสำนักศึกษาสำหรับราชนิกุลและบุตรหลานจากตระกูลใหญ่ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้มงวดใส่ แม้แต่หัวหน้าสำนักศึกษาก็ยังเตลิดหนีไปแล้วห้าคน อาจารย์ของแต่ละวิชาแทบจะเปลี่ยนกันไม่ซ้ำหน้า แทบไม่มีใครรับหน้าที่ได้นานถึงหนึ่งปี ทว่ากลับมีผู้หนึ่งเป็นข้อยกเว้น

ไม่ผิดเลย คนผู้นั้นก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถผู้นั้น!

สองปีก่อน จักรพรรดินีที่กลัดกลุ้มจนหลับไม่ลงก็มีรับสั่งให้ไป๋สิงเจี่ยนมารับหน้าที่อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในสำนักศึกษาเจาเหวินเพิ่ม ทันทีที่ผู้เรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินทราบข่าวนี้ก็เหมือนกับฝันร้าย พวกเขาตกใจร้องไห้จนถึงขั้นอยากเลิกเรียน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ล้วนถูกบิดาผลักไสกลับมา ดังนั้นจึงมีเพียงชั้นเรียนที่ไป๋สิงเจี่ยนสอนเท่านั้นที่ผู้เรียนทุกคนต้องเงียบเสียงและอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เนื่องจากพวกเขาไม่อาจล่วงเกินคนผู้นี้ได้ นี่ก็คือการสั่งสอนด้วย ‘เลือดและน้ำตา’ ของบิดาพวกเขา

ในเวลานี้เจ้าของชื่อที่ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนอย่างไป๋สิงเจี่ยนก็กำลังเดินเนิบช้าเข้ามาในห้องเรียน อันที่จริงที่ห้องเรียนเงียบเสียงลงนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขามองเห็นไป๋สิงเจี่ยน แต่เป็นเพราะรู้ว่าเขามาถึงแล้วต่างหาก!

ก่อนหน้าที่ตัวคนจะมาถึง เสียงจากไม้เท้ากระทบพื้นหินอ่อนก็ดังเข้ามาในห้องที่มีแต่เสียงหัวเราะพูดคุยก่อนแล้ว เนื่องจากพวกเขาฝึกฝนมานับร้อยครั้งจนโสตประสาทสามารถจับเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำ จึงรับรู้ได้ว่าไป๋สิงเจี่ยนกำลังเดินอยู่บนทางเดินที่มีดอกไม้ห้อยย้อยลงมา…ห่างออกไปยี่สิบจั้ง

ฉืออิ๋งเช็ดคราบน้ำลายบนหนังสือก่อนฝืนยืดตัวตรง แล้วเหลือบตามองไป

ไป๋สิงเจี่ยนมือซ้ายถือหนังสือ มือขวาจับไม้เท้า เขาไม่ได้แต่งกายเฉกเช่นบัณฑิตทั่วไป แต่สวมชุดที่ใส่ทำงานที่หลันไถ ใช้ผ้าฝ้ายมัดผม เสื้อคลุมแขนสอบ เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้า จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าที่มือขวาช่วยพยุงกายเอาไว้จึงจะเดินได้อย่างมั่นคง

เรื่องที่ขาของไป๋สิงเจี่ยนเคลื่อนไหวไม่สะดวกนั้นทุกคนต่างรับรู้ดี แต่นอกจากเขาเดินได้ช้าแล้ว คนผู้นี้ก็แทบดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ตรงกันข้าม ต่อให้เขาจะใช้ไม้เท้าเยื้องย่างก็ยังมีหน้าตาและท่วงท่าที่สง่างามอยู่ดี ถึงกับมีคนไม่กลัวตายในเมืองหลวงกล้าขนานนามให้เขาว่า…ตระหง่านประดุจขุนเขาหยก

‘ขุนเขาลูกนี้’ ย่างเท้าเข้ามาที่โต๊ะอาจารย์ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อย่างช้าๆ พลางพิงไม้เท้าไว้กับโต๊ะ แล้วเปิดตำรา สีหน้าเอาจริงเอาจังกวาดมองไปที่บรรดาผู้เรียน

ด้วยฐานะของฉืออิ๋งแล้ว นางจึงได้นั่งอยู่แถวหน้าสุด ในตอนนี้นางยินดีที่จะเป็นรุ่นที่สองของขุนนางตระกูลชั้นสูงของบ้านใดบ้านหนึ่งเสียดีกว่า จะได้ไปนั่งอยู่แถวหลังสุด หรือไม่ต้องเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินได้ยิ่งดี พอความคิดอยากหนีไปจากแถวหน้าสุดนี้ผุดขึ้นมา นางก็คิดอะไรออกทันที

อาศัยตอนที่ไป๋สิงเจี่ยนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฉืออิ๋งก็ลุกพรวดขึ้น “อาจารย์ ศิษย์มีโรคที่ตา มองใกล้ไม่ชัด อยากขอเปลี่ยนที่นั่งกับสหายที่อยู่แถวหลังสุด”

โดยไม่รอให้ไป๋สิงเจี่ยนอนุญาต และไม่รอให้สหายร่วมชั้นที่โชคร้ายตอบตกลง นางก็เดินไปถึงแถวสุดท้ายเพื่อยึดที่นั่งของผู้อื่น ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ผู้โชคร้ายก็มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยามเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันหนักอึ้ง เขาก็ได้แต่ย้ายตนเองไปยังแถวหน้าสุด นั่งลงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยนด้วยร่างกายที่สั่นเทา

ไม่มีใครคาดคิดเรื่องการสลับที่นั่งในครั้งนี้ ทุกคนจึงล้วนเงียบเสียงกลั้นลมหายใจ พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจรอการสั่งสอนที่เข้มข้นประดุจตนเองเป็นปลาในคู อย่างไรอย่างนั้น อย่างไรเสียผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนก็ถูกหยิบยกไปกล่าวข่มขวัญเด็ก ถึงขั้นทำให้เด็กหยุดร้องไห้ในยามค่ำคืนได้เชียวนะ

กระนั้นพวกเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าหัวหน้าสำนักหลันไถที่ในหมู่ผู้เรียนเรียกแทนเวลาคุยกันว่า ‘ใครผู้นั้น’ กลับทำเป็นไม่รับรู้ถึงการสลับที่นั่งในครั้งนี้

“วันนี้ที่จะเรียนกันคือรูปแบบการจัดวางการบันทึกประวัติศาสตร์” ไป๋สิงเจี่ยนนั่งพิงพนักเก้าอี้ สายตาค่อยๆ มองออกไปนอกโต๊ะ และเอ่ยประโยคที่ทำให้เหล่าผู้เรียนเหมือนตกอยู่ในห้วงฝันร้าย “ใครจะตอบคร่าวๆ ได้บ้าง”

เหล่าผู้เรียนต่างก้มหน้าก้มตาโดยไม่ได้นัดหมาย ยามนี้ไม่มีใครกล้าประสานสายตากับไป๋สิงเจี่ยนเลยสักคน เพราะนั่นเท่ากับว่าเขารนหาที่ตายเอง

คนโชคร้ายที่ก้มหน้าช้าไปสักหน่อยก็อยู่ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์พอดี “คุณชายเมิ่ง ท่านลองพูดมา”

คุณชายบ้านเสนาบดีกรมกลาโหมเมิ่งกวงหย่วนรู้สึกว่าวันนี้เรื่องราวไม่เป็นอย่างใจสักเรื่อง โดยปกติแล้วเขาเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ เป็นบิดาที่ส่งเขามายังสำนักศึกษาเจาเหวินนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะยึดครองที่นั่งอันแสนวิเศษนั่นมาได้หลายเดือน แต่จู่ๆ กลับมาถูกองค์หญิงใช้กำลังยื้อแย่งไปเช่นนี้ ทั้งยังต้องกลายเป็นผู้เสียสละเพื่อช่วยเหลือสหายร่วมชั้นเสียอย่างนั้น

เมิ่งกวงหย่วนได้ยินเสียงถอนหายใจจากรอบข้างอย่างชัดเจน เขาเองก็ไม่กล้าผ่อนลมหายใจแรงนัก ยามตกอยู่ในความสนใจของไป๋สิงเจี่ยนเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดหยัดยืนต่อ “เรียนอาจารย์ ศิษย์โง่เขลายิ่งนัก ไม่อาจตอบได้ขอรับ”

ไป๋สิงเจี่ยนไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด “แล้วคุณชายเมิ่งคิดว่าผู้ใดสามารถตอบแทนได้”

เมิ่งกวงหย่วนทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะกวาดตามองรอบด้านด้วยความลังเล ทว่าทุกที่ที่มองไป เหล่าสหายสนิทต่างก็ส่ายหน้าระรัว ในใจของเขาพลันพังทลาย กระนั้นก็มีสายตาคู่หนึ่งเปรียบดังไข่มุกสุกสกาวจากที่ไกลมองมา…

“องค์หญิงทรงตอบแทนศิษย์ได้ขอรับ!” เมิ่งกวงหย่วนคว้าเอากอหญ้าที่ลอยน้ำมาช่วยชีวิตไว้แน่น

เดิมที ‘กอหญ้า’ ที่ถูกคว้าเอาไว้นั้นกำลังลอยคว้างในอากาศ พอได้ยินคนเอ่ยชื่อของตนเอง ฉืออิ๋งก็ชะงักไปด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมิ่งกวงหย่วนทวนคำถามของไป๋สิงเจี่ยนอีกรอบหนึ่งพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้

ฉืออิ๋งมองมาที่ไป๋สิงเจี่ยน นางพบว่าคนผู้นั้นไม่เคยมองตนเองตรงๆ เลยสักครั้ง คล้ายว่านางไร้ตัวตน นางเองก็ต่อต้านเขาประหนึ่งคู่แค้นเก่า คิดว่าเขารับรู้เรื่องที่นางถูกกักบริเวณดี ทั้งยังรู้ชัดว่าเขานั่นล่ะที่เป็นตัวการ แล้วตอนนี้ยังคิดฉวยโอกาสทำให้นางต้องมาตกหลุมพรางในห้องเรียนแห่งนี้อีก นางไม่มีวันยอมให้เขาสมหวังแน่!

“เรียบเรียงเป็นรายปี นำเสนอในเชิงประวัติของแต่ละคน นำเสนอแยกตามเหตุการณ์สำคัญ บันทึกแยกตามอาณาจักร ประวัติศาสตร์ทั่วไป ประวัติราชวงศ์” นางตอบคำถามรวดเดียวจบ ทั้งหมดนี้จำต้องยกความดีให้บิดาที่บังคับให้นางท่องจำบันทึกของคนสำคัญมาตั้งแต่สามขวบ บ่มเพาะให้นางกลายเป็นรัชทายาทที่เปี่ยมด้วยความรู้

สหายร่วมชั้นเรียนต่างคุ้นเคยกันนานแล้ว ตั้งแต่เล็กมาองค์หญิงผู้นี้ก็ถูกเหล่าผู้ปกครองนำมาใช้เรียกเป็นปกติว่า ‘เด็กน้อยบ้านคนอื่น’ ซึ่งถือเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัย กระนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาพวกเขาก็คิดอยากถามบิดามารดากลับไปเช่นกัน เหตุใดจึงไม่พูดถึง ‘ผู้ปกครองบ้านคนอื่น’ บ้างเล่า ที่ฉืออิ๋งเก่งกาจถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะบิดาของนางบ่มเพาะมาเองกับมือ ในรัชศกนี้ เขาเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นท่านชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่มีความรู้ไร้เทียมทาน สุดท้ายลูกไม้ก็ย่อมหล่นไม่ไกลต้น

แน่นอนว่าฉืออิ๋งมีความรู้ดี แล้วในเรื่องความประพฤติและคุณธรรมเล่า ชาวบ้านล้วนเรียกขานนางว่า ‘ดาวหายนะ’ เพียงดูจากความพยายามของนางที่จะโจมตีหลันไถก็ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจได้

แน่นอนว่าคำตอบของฉืออิ๋งไม่มีอะไรผิด ถึงอย่างนั้นไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยชม แม้แต่การแสดงความเห็นเพิ่มเติมอะไรก็ไม่มี หลังผ่านพ้นการตอบคำถามนี้ไป ไป๋สิงเจี่ยนก็เริ่มต้นการสอนอย่างเป็นทางการ

เป็นถึงเจ้าความรู้ แต่ต้องมาทนรับความรู้สึกของการถูกมองว่าไร้ตัวตน เทียบไม่ได้กระทั่งคนเรียนแย่อย่างคุณชายเมิ่ง เช่นนี้มัน…

ฉืออิ๋งหายใจเข้าลึกๆ วิญญูชนแก้แค้นหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่สาย

สอนจนเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ออกจากสำนักศึกษาเจาเหวิน ก่อนขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางกลับหลันไถ

เกี้ยวของหัวหน้าสำนักหลันไถก็เป็นเหมือนกับตัวเขา เพียงแค่พบเห็นยังคิดหลบแทบไม่ทันเลย ได้ยินว่าเคยมีคนไม่หลีกทางให้เกี้ยวของหัวหน้าสำนักหลันไถ พอถึงสิ้นปีคนผู้นั้นก็ถูกลดขั้น ทว่าเขาไม่ยอมรับ วิพากษ์วิจารณ์กรมปกครองว่าทำการปกปิดเรื่องเลวร้าย ร้องเรียนให้ที่ว่าการทุกแห่งตรวจสอบหาความกระจ่างอย่างดุเดือด

ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เขาปรารถนาจริงๆ กรมปกครองเปิดเผยผลการตรวจสอบ โดยติดประกาศประวัติด้านมืดของคนผู้นี้ที่มีทั้งหมดตั้งแต่อายุสิบแปดไปจนถึงสามสิบแปดปี วันเดือนปีใดขโมยวัวของหมู่บ้านข้างเคียง วันเดือนปีใดไปมีความสัมพันธ์กับแม่ม่ายในหมู่บ้านจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ คนผู้นี้ทั้งอับอายทั้งโกรธแค้นจนยากจะรับไหว เขาแทบกระอักเลือดออกมาเสียตรงนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจุดด่างพร้อยในอดีตจะถูกขุดคุ้ยออกมาได้ ภายหลังมีคนในกรมปกครองที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อเกิดเห็นอกเห็นใจเขาขึ้นมา บอกเขาว่าคำตอบเหล่านี้ล้วนมาจากสถานที่ที่เก่งกาจในการขุดคุ้ยประวัติด้านมืดของผู้อื่น เพียงแค่ออกนอกประตูแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับหลันไถ

ไม่มีใครสงสัยความสามารถในการขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ของหลันไถ กระนั้นใครบ้างที่จะไม่มีจุดด่างพร้อย โดยเฉพาะบรรดาคนใหญ่คนโตที่มีตำแหน่งสูง ในแวดวงขุนนางนี้ใครกล้าบอกว่าตนเองขาวสะอาดบ้าง ดังนั้นยิ่งมีตำแหน่งสูงและมากอำนาจเพียงใด พวกเขาก็จะยิ่งเกรงกลัวหลันไถมากเท่านั้น เนื่องจากไม่อาจรู้ได้เลยว่าวันใดหัวหน้าสำนักหลันไถจะนึกอยากเขียนบันทึกประวัติให้หรือไม่ เพราะหากมีวันนั้น เรื่องราวดำมืดทุกเรื่องในอดีตจะล้วนถูกขุดรากถอนโคนขึ้นมา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะความรักที่หัวหน้าสำนักหลันไถมีต่อคนผู้นั้นทั้งสิ้น

ดังนั้นทุกคนจึงไม่อยากให้หัวหน้าสำนักหลันไถพุ่งความสนใจมาที่ตนเอง พยายามไม่ทำให้ตนเองมีตัวตนอยู่ต่อหน้าเขา สถานที่ใดที่เกี้ยวของหัวหน้าสำนักหลันไถผ่านไปจะไม่มีคนปรากฏตัวขึ้นในรัศมีหลายสิบจั้ง คนจำนวนมากแทบจะพากันหลีกหนีประเดี๋ยวนั้นเลย

ไป๋สิงเจี่ยนจึงได้อยู่อย่างสุขสงบ เขาไม่ต้องพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งยังร่วมสมาคมอย่างไร้สาระในแวดวงขุนนางได้น้อยลง นับว่าประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย เดิมทีการไปสอนลูกหลานชนชั้นสูงที่สำนักศึกษาเจาเหวินก็มิใช่เรื่องที่เขาอยากทำสักนิด แต่เนื่องจากเป็นรับสั่งของจักรพรรดินี ต่อให้เขาต้องเสียเวลา ความคิด และแรงกายเพียงใด เขาก็จำต้องไปรับมือกับหนุ่มสาวชนชั้นสูงกลุ่มนี้

หากกล่าวถึงชื่อเสียงของเขาแล้ว เหล่าผู้เรียนกลุ่มนั้นล้วนเกรงกลัวเขาทั้งสิ้น ยกเว้น ‘ใครบางคน’ ที่คอยจ้องหาทางท้าทายเขาอยู่

ไป๋สิงเจี่ยนนั่งพิงโต๊ะตัวเล็กภายในเกี้ยวด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย เขาสอนอยู่ที่สำนักศึกษาเจาเหวินเป็นเวลานานจนหัวเข่าปวดเมื่อยไปหมดแล้ว คิดจะหาเวลาพักเพียงชั่วครู่ก็ยังยากเลย

ไป๋สิงเจี่ยนกลับมาถึงหลันไถ ประตูด้านหน้าก็เปิดกว้างรออยู่แล้ว คนทั้งหมดล้วนออกมาต้อนรับ เซ่าลิ่งสื่อ ซูลิ่งสื่อ เจี้ยวซูหลาง ต่างจัดแต่งชุดให้เรียบร้อย พวกเขายืนเรียงรายอยู่ด้านใน

หลังจากเกี้ยววางลงบนพื้น ไป๋สิงเจี่ยนก็ค้ำไม้เท้าเดินออกมา

“ไท่สื่อกลับหลันไถ!” เสียงตะโกนดังราวกับจะไปถึงชั้นฟ้า เป็นทั้งการต้อนรับและเป็นการเตือนคนทั้งหลันไถ หากมีผู้ใดแอบงีบหรือทำตัวขี้เกียจอยู่ ตอนนี้ก็ให้ตื่นตัวได้แล้ว

ด้านนอกหลันไถมีตรอกกั้นอยู่ อีกฟากของตรอกก็คืออูไถหรือสำนักตรวจการ สองฝ่ายตั้งอยู่ตรงข้ามกัน พูดได้ว่าสถานการณ์เหมือนน้ำกับไฟ ชื่อหลันไถมาจากดอกกล้วยไม้ ชื่ออูไถมาจากอีกา ฝ่ายหนึ่งให้โทษคนด้วยพู่กัน ฝ่ายหนึ่งให้โทษคนด้วยวาจา ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา

ยังดีที่ประตูหน้าของหลันไถอยู่ตรงกับประตูหลังของสำนักตรวจการ นี่จึงเลี่ยงการเผชิญหน้ากันได้ หากต้องมองเห็นหน้าทุกวันก็มีแต่ชิงชังกันเสียเปล่า และโชคดีที่หลังกำแพงสำนักตรวจการมีต้นไป่ปลูกอยู่มาก นับว่าป้องกันเสียงได้ไม่เลว ขณะเดียวกันก็ให้ความสะดวกต่อฉืออิ๋งในการปีนขึ้นยอดไม้และฟุบหมอบอยู่บนกำแพง คอยลอบสังเกตความเคลื่อนไหวของหลันไถ

“ช่างดูใหญ่โตเสียจริง มิน่าเล่าถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา!” ฉืออิ๋งพ่นเสียงออกทางจมูก

“ใช่! หยิ่งยโสและอวดเบ่งยิ่งนัก!” คนด้านข้างเอ่ยคล้อยตาม

“ให้เขาวางท่าไปเถอะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่มีจุดอ่อน” ฉืออิ๋งตอบรับเจ้าของเสียงนั้น ก่อนจะหันหน้าขวับมาทันที นางเผชิญหน้ากับบุรุษแปลกหน้าที่ฟุบหมอบบนกำแพง ก่อนกล่าวขึ้นอย่างรังเกียจ “เจ้าเป็นใครกัน แม้แต่กำแพงของสำนักตรวจการก็ยังกล้าปีนรึ”

บุรุษที่ถูกรังเกียจกล่าวอย่างตื่นตัว “อ้าว ปีนไม่ได้หรอกรึ เข้าใจแล้ว กระหม่อมเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่ ยินดีที่ได้พบองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉืออิ๋งพลันร่วงหล่นจากบนกำแพง…

อาศัยต้นไป่อายุร้อยปีในสำนักตรวจการช่วยพยุงร่างเอาไว้ ฉืออิ๋งจึงไม่ถึงกับหน้าคะมำลงบนพื้น ถึงอย่างนั้นสภาพร่างที่ร่วงลงมาก็ดูไม่ดีเลยสักนิด

“องค์หญิง พระองค์ไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่รีบผละจากกำแพงแล้วปีนต้นไม้ลงมา พลางกล่าวปลอบฉืออิ๋งที่นอนแผ่อยู่บนพื้น

“เจตนาพูดให้ตกใจเช่นนี้ ท่านตั้งใจทำร้ายข้าใช่หรือไม่!” ฉืออิ๋งจ้องสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใยของบุรุษตรงหน้าด้วยความโกรธเคือง

“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงอย่าเพิ่งเข้าพระทัยผิด พระองค์ตรัสถามว่ากระหม่อมคือผู้ใด กระหม่อมก็เพียงบอกว่ากระหม่อมเป็นผู้ใดเท่านั้น ไหนเลยจะตั้งใจทำร้ายองค์หญิงได้” หัวหน้าสำนักตรวจการหยิบใบไม้ออกจากใบหน้าของฉืออิ๋งให้อย่างเอาใจใส่

“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้ากับสำนักตรวจการของพวกท่านมีชะตาไม่เข้ากัน” จากที่ฉืออิ๋งตกใจกลัวในตอนแรกก็ฟื้นคืนท่าทีดังเดิม “ท่านยังขึ้นเสียงต่อหน้าข้าอีก!”

“ได้ยินว่าหัวหน้าสำนักตรวจการคนก่อนเข้ากับองค์หญิงได้ดี”

“ดังนั้นเขาจึงกลายเป็น ‘หัวหน้าคนก่อน’ อย่างไรเล่า”

ฉืออิ๋งเคยใช้สำนักตรวจการจู่โจมไป๋สิงเจี่ยนมาก่อน ส่งผลให้หัวหน้าสำนักตรวจการคนนั้นถูกลดขั้น กลุ่มคนที่เข้าร่วมในคดีนี้ล้วนถูกโยกย้าย สำนักตรวจการเสียกำลังคนไปมาก ด้วยเหตุนี้ฉืออิ๋งจึงถูกลงโทษและถูกห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับงานของสำนักตรวจการอีก หากยังติดต่อเกี่ยวพันกับสำนักตรวจการ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่ถูกกักบริเวณเท่านั้นแน่ ทว่าจู่ๆ เบื้องหน้าก็มีหัวหน้าสำนักตรวจการโผล่มาเช่นนี้ เห็นทีคงไม่ใช่ลางดีแน่

ฉืออิ๋งลอบเข้ามาในสำนักตรวจการเพื่อสอดแนมหลันไถ เนื่องจากต้องการเฝ้าดูไป๋สิงเจี่ยนจึงไม่อาจไม่ใช้แผนการนี้ เมื่อร่องรอยถูกเปิดเผยเช่นนี้แล้ว ฉืออิ๋งจึงคิดแค่เพียงจะออกจากสถานที่นี้ไปโดยเร็ว

โชคร้ายก็คือ…ข้อเท้าของฉืออิ๋งบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

เพราะเป็นพระธิดาคนโตของจักรพรรดินีและเฟิ่งจวิน ฉืออิ๋งจึงถูกตามใจมาแต่เด็ก นางราวกับฟูมฟักมาจากของวิเศษหายากอย่างไรอย่างนั้น ไม่เคยต้องพบเจอความยากลำบากจริงๆ ฉะนั้นเมื่อพบกับความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยก็ทนไม่ได้แล้ว หัวหน้าสำนักตรวจการจึงตกตะลึงเมื่อเผชิญกับท่าทีวางอำนาจขององค์หญิงในช่วงแรก และช่วงหลังที่น้ำตาไหลริน

“แค่พระบาทแพลงเท่านั้น ทรงทายาก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักตรวจการรีบเอ่ยปลอบโยน

แค่?…เท่านั้น?!

ฉืออิ๋งที่กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุดไม่มีทางยอมรับคำกล่าวนี้ได้แน่ น้ำตานางยิ่งพรั่งพรู เสียงร้องไห้พลันดังลั่น

หัวหน้าสำนักตรวจการถึงกับหมดหวัง หากคนอื่นๆ ได้ยินเข้าจะต้องคิดว่าเขาทำร้ายองค์หญิงเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นก็คือหลันไถอยู่ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งตรอกคั่นเท่านั้น หากพวกคนในหลันไถได้ยินเข้าล่ะก็ เขาจะมีเรื่องให้ต้องถูกบันทึก ด้วยวิธีเขียนแบบตำราชุนชิวที่ใช้อักษรเพียงไม่กี่ตัวแต่กินความมากของไป๋สิงเจี่ยนนั้นก็เพียงพอแล้ว…ฉี่ปองร้ายรัชทายาท และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเขาอยู่ด้วย…ฉี่มาจากหลูฉี่

หลูฉี่เห็นว่าตนเองไม่อาจเป็นหัวหน้าที่อยู่ในตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติของสำนักตรวจการได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องลงมือ…ปิดปากฉืออิ๋ง!

จู่ๆ เสียงร้องไห้ของฉืออิ๋งก็ถูกคนปิดปาก นางหายใจติดขัดจนใบหน้าแดงก่ำ

“หากทรงรับปากว่าจะไม่ร้อง ก็ให้องค์หญิงผงกพระพักตร์หนึ่งครั้ง!” หลูฉี่เอ่ยขอร้อง

ฉืออิ๋งไม่เคยต้อง ‘ยอม’ อะไรมาก่อน อย่างไรก็ไม่ยอมผงกศีรษะ

หลูฉี่สุดจะหมดปัญญาแล้ว

ชั่วเวลานี้ทางด้านหลังก็มีเสียงตื่นตระหนกดังขึ้น…

“ใต้เท้าหลู ต่อให้คิดแก้แค้นให้ใต้เท้าเหลียงก็ไม่ควรลงมือที่สำนักตรวจการเช่นนี้นะขอรับ”

ใต้เท้าเหลียงก็คืออดีตหัวหน้าสำนักตรวจการ

ไม่กลัวคู่ต่อสู้ระดับเทพแต่กลัวลูกน้องโง่งมภายในกลุ่ม หลูฉี่ถูกลูกน้องคนนี้ยัดเยียดข้อกล่าวหาให้จนได้ เขาจึงได้แต่คลายมือออกอย่างจนใจ

ฉืออิ๋งฉวยโอกาสนี้กัดเข้าที่มือของเขาอย่างดุดัน

“คนสารเลว! เจ้าคิดร้ายกับข้าจริงๆ” ฉืออิ๋งกัดไปคำหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ต่อ

หลูฉี่ได้แต่ปล่อยให้โชคชะตานำพาแล้ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อจะเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ทว่าการกระทำนี้กลับทำให้ลูกน้องของเขาพูดทึกทักขึ้นมาอีก

“ใต้เท้าหลูรีบหยุดมือ! จะมัดองค์หญิงไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”

ไม่เพียงแค่นั้น ลูกน้องคนนี้ยังโผเข้ามาโอบรอบขาของหลูฉี่ไว้อย่างเหนียวแน่น

ฉืออิ๋งหยุดร้องไห้ไปชั่วขณะ พลางเอ่ยปากด่าทอ “คนสารเลว! เจ้ายังกล้ามามัดข้าอีกรึ!”

หลูฉี่กัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความอัดอั้นตันใจ พูดเสียงสะอื้นกับ ‘ของ’ ที่ห้อยติดอยู่กับขา “ที่จริงแล้วเจ้าเป็นสายที่ไป๋สิงเจี่ยนส่งเข้ามาในสำนักตรวจการใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่เลย…ไม่ใช่นะขอรับ ใต้เท้าหลูคงไม่ทราบ มีแต่พวกเราที่ส่งคนแฝงเข้าหาไป๋สิงเจี่ยน อย่างเช่นเมื่อวานนี้ก็มีสายแจ้งมาว่าเซ่าลิ่งสื่อที่ไป๋สิงเจี่ยนวางใจมากคนหนึ่งทำความผิด”

หลูฉี่ลืมสะอื้น ฉืออิ๋งก็ลืมร้องไห้ ทั้งสองต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน “จะเป็นไปได้อย่างไร!”

สายของสำนักตรวจการถูกวางไว้ทั้งในและนอกราชสำนัก นี่เป็นเรื่องจำเป็นในหน้าที่ อย่างไรเสียภาระหน้าที่ของสำนักตรวจการก็คือการตรวจสอบขุนนางทุกฝ่าย หากความสามารถในการตรวจสอบตกต่ำ ไม่อาจขุดคุ้ยความลับของขุนนางทั้งหลายได้ นั่นก็หมายความว่าสำนักตรวจการบกพร่องต่อหน้าที่ ดังนั้นเพื่อการสร้างประวัติ ทำผลงาน และเพื่อรักษาชื่อเสียงของสำนักตรวจการเอาไว้ วิธีการต่างๆ ไม่ว่ามีเท่าไร จะในที่มืดหรือที่สว่างก็ล้วนถูกนำมาใช้ทั้งหมด ไม่กลัวว่าหัวหน้าสำนักตรวจการจะจิตใจสกปรก กลัวแค่เพียงจะไม่ทำอะไร เมื่อไม่ทำก็คือไร้ความสามารถ นี่คือข้อกำหนดของสำนักตรวจการ

กล่าวได้ว่าแม้แต่เหล่าขุนนางสกปรกยังถูกสำนักตรวจการตรวจสอบถึงเพียงนี้ แล้วกับหลันไถที่เป็นคู่แค้นยิ่งนั้น พวกเขาจะปฏิบัติได้อย่างขาวสะอาดหรือ ตั้งแต่วันที่ไป๋สิงเจี่ยนเข้ามาดูแลหลันไถ คนผู้นั้นก็ทำให้ราชสำนักเกิดความปั่นป่วน และยังคิดบ่อนทำลายสำนักตรวจการ สำนักตรวจการจึงตั้งใจเตรียมการตอบโต้กลับ ด้วยการส่งสายสืบและคนแฝงตัวเข้าไปในหลันไถเป็นจำนวนมาก ผลกลับกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นล้วนขาดการติดต่อ หูตาล่องหน สายลับล้มเหลว…ไม่กล่าวถึงความอนาถต่างๆ จะดีกว่า สรุปได้ว่าพวกเขาไม่เคยหาจุดอ่อนของหลันไถพบมาก่อน

ฉืออิ๋งเข้าใจเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงไม่กล้าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้

หลูฉี่เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ เดิมทีเขากำลังใคร่ครวญเรื่องจุดไฟสามคบพอดี แต่นี่ไฟคบแรกก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ช่างโชคดีจริงๆ

“เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ข่าวเชื่อถือได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือเกิดเรื่องร้ายในหลันไถขึ้นแล้ว แต่ไป๋สิงเจี่ยนกลับไม่ระแคะระคายเลยสักนิด ฮึ!” เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจยิ่ง

ฉืออิ๋งไม่กล้ามองในแง่ดีนัก “พวกท่านแน่ใจหรือว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่ระแคะระคาย ไม่ใช่ว่าเขาจงใจแกล้งไม่รู้หรอกนะ ไม่มีเรื่องใดที่จะปิดบังเขาได้ง่ายๆ”

“องค์หญิง ใต้เท้าหลู เคยได้ยินเรื่อง ’ฝันเห็นพู่กันผลิดอก’ หรือไม่”

เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการจึงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียดหนึ่งรอบ หลูฉี่และฉืออิ๋งยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น โดยเฉพาะฉืออิ๋ง นางถึงกับลืมที่มารดาสั่งห้ามไว้แล้ว เมื่อมีจุดอ่อนของไป๋สิงเจี่ยนอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ นางก็ไม่อาจต่อต้านความเย้ายวนนี้ได้เลย

 

ในเวลาเดียวกับที่สำนักตรวจการกำลังวางแผนลับอยู่นั้น หลันไถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง

หลังไป๋สิงเจี่ยนกลับมาถึงหลันไถ กิจวัตรทุกวันของเขาก็คือการสะสางงานภายใน โดยมีเซ่าลิ่งสื่อ ซูลิ่งสื่อ เจี้ยวซูหลางอยู่กันอย่างพร้อมหน้า

“ไท่สื่อ เมื่อเร็วๆ นี้สำนักตรวจการแต่งตั้งหัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่ ต้องตรวจสอบความเป็นมาของเขาหรือไม่ขอรับ” เซ่าลิ่งสื่อหนุ่มผู้หนึ่งชิงเอ่ยถามก่อน

ไป๋สิงเจี่ยนจัดแจงเสื้อคลุม ก่อนจะนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้ตัวยาว และวางท่อนแขนลงบนโต๊ะไม้หลีตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้แสดงความเห็นต่อคำถามนี้

เนื่องด้วยรอบด้านเงียบงัน ช่วงเวลาที่ไม่มีการพูดคุยกันนี้จึงยิ่งกลายเป็นความอึมครึม เซ่าลิ่งสื่อที่เอ่ยถามไว้ตอนต้นพลันรู้สึกถึงแรงกระทุ้งที่น่อง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ไป๋สิงเจี่ยนไม่ตอบเขา ไม่ใช่พูดอย่างชัดแจ้งว่าหลันไถกับสำนักตรวจการเป็นคู่แค้นกันหรอกหรือ หรือไท่สื่อนึกเมตตาสำนักตรวจการแล้ว

ดวงตาคู่นั้นของไป๋สิงเจี่ยนราวผืนน้ำในสระที่เย็นยะเยือก ซึ่งลึกเสียจนไม่เห็นก้นสระ ทั้งมองไม่เห็นระลอกคลื่น ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของเขา แต่หากทำงานที่หลันไถมานานแล้วก็ควรเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ไท่สื่อไม่ตอบกลับก็ถือว่าไว้หน้าแล้ว ควรรีบตรวจสอบตนเองว่าตรงไหนที่พูดหรือทำไม่ถูก หากผู้เรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินรู้ว่าไป๋สิงเจี่ยนเย็นชาและเข้มงวดกับคนที่หลันไถถึงเพียงนี้ พวกเขาต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเสียจนน้ำตาอาบแก้มว่าอาจารย์ไป๋ไม่เพียงพูดคุยทักทาย แต่ยังไม่เข้มงวดกับพวกเขาในชั้นเรียนด้วย

เซ่าลิ่งสื่อเหงื่อผุดขึ้นตามแผ่นหลัง ไป๋สิงเจี่ยนส่งสายตาให้ซูลิ่งสื่อคนหนึ่ง ซูลิ่งสื่อผู้นั้นเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ก่อนจะตอบด้วยเสียงดังชัดเจนและฉะฉาน

“หัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่ชื่อหลูฉี่ เป็นคนเมืองหลิงชาง มณฑลหวาโจว พ่อชื่อหลูอี้ ปู่ชื่อหลูไหวเซิ่น เขาอาศัยบารมีของปู่จึงได้เป็นผู้ตรวจการมณฑลจงโจวและกั๋วโจว สร้างผลงานไว้มากมาย สอบวัดผลออกมาอยู่ในระดับสูง ปีนี้จึงถูกโยกย้ายมาเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการ รับช่วงดูแลต่อจากเหลียงโจว หลูฉี่เป็นคนคล่องแคล่ว ผู้คุมสอบกล่าวคำชมเชยเขาเอาไว้มาก ทั้งเขายังเคยคลี่คลายคดีความมามากมาย โดยเฉพาะเรื่องการเสาะหาหลักฐานความผิดของขุนนางในราชสำนัก ส่วนวิธีการนั้น…คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้”

ประวัติส่วนตัวของคู่อริชุดนี้เพิ่งได้มาใหม่ล่าสุด ที่ทำยากนั้นมิใช่การรวบรวมข้อมูล แต่เป็นเรื่องของการเรียบเรียงประวัตินี้ด้วยความเร็วสูงสุด และเตรียมพร้อมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเสมอหากเบื้องบนสอบถาม

ในที่สุดเซ่าลิ่งสื่อก็เข้าใจว่าตนเองพลาดตรงไหน ซึ่งเขาก็ยอมรับความผิดพลาดนี้ได้

ประวัติส่วนตัวชุดนี้นำมาซึ่งความสนใจแก่เหล่าเจ้าหน้าที่ของหลันไถ ทุกคนล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ฝั่งตรงข้ามเป็นคู่อริที่แข็งแกร่ง พวกเขาต้องระวังตัวไว้ให้ดี

ไป๋สิงเจี่ยนฟังจบก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเพิ่มเติม หากวัดความสามารถในการเสาะหาหลักฐานความผิด อดีตหัวหน้าสำนักตรวจการเหลียงโจวก็ไม่ได้ด้อยกว่านัก แล้วเหลียงโจวที่ทุ่มเททั้งความคิดและชีวิตมาจู่โจมหลันไถ ในตอนนี้เขาถูกลอยแพไปถึงที่ใดแล้วเล่า

“ทุกอย่างเหมือนเดิม” ไป๋สิงเจี่ยนใช้สี่คำนี้สรุปแนวทางการรับมือ น้ำเสียงที่เอ่ยทุ้มต่ำ ทั้งไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อเข้าหูของคนฟังทั้งหลายแล้วก็เหมือนแรงกดดันอันใหญ่หลวง สามารถสงบเสียงเอะอะภายในห้องลงได้

เมื่อสะสางหัวข้อยากๆ ที่คนทั้งหลายหยิบยกในลำดับถัดมาจนลุล่วง เงาแดดก็เคลื่อนคล้อย เป็นการบอกว่าใกล้ยามอู่ แล้ว

เหล่าเจ้าหน้าที่ขอตัวลา พวกเขาต่างรู้ว่าร่างกายของไป๋สิงเจี่ยนเป็นเช่นไร ไม่ควรให้ยืนหรือนั่งนาน

รอจนคนทั้งหมดจากไปแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ลองใช้โต๊ะเล็กและโต๊ะยาวพยุงตัวยืนขึ้น แต่ไม่ว่าลองกี่ครั้งก็ล้วนกลับไปล้มนั่งลงตลอด เขาผ่อนลมหายใจออก แล้วมองไปยังไม้เท้าที่ตั้งพิงกับโต๊ะยาวอยู่ เขาจำเป็นต้องยืนขึ้นถึงจะหยิบไม้เท้านั้นมาได้…

ไม่มีอะไรที่หัวหน้าสำนักหลันไถทำไม่ได้ แต่เมื่อห่างจากไม้เท้าแล้ว แค่จะก้าวสักก้าวก็ยังลำบาก

พวกเจ้าหน้าที่ของหลันไถไม่ใช่ไม่รู้ถึงความทุกข์ทรมานของไป๋สิงเจี่ยน แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือช่วยเขาต่อหน้า ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่เป็นเพราะไม่มีใครกล้าช่วยต่างหาก แม้ไป๋สิงเจี่ยนจะมีปัญหาร่างกาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากพึ่งพาคนอื่น ยอมสิ้นเปลืองแรงตนเองก็ไม่ยอมให้ใครยื่นมือมาช่วย คนที่อยู่หลันไถมานานต่างรู้ว่าไป๋สิงเจี่ยนรังเกียจคนที่มาแตะต้องตัวเขาเพียงใด…รังเกียจมากจนถึงขั้นไร้เหตุผลเชียวล่ะ

ระหว่างที่ไป๋สิงเจี่ยนอยู่ในสถานการณ์ที่พยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนและล้มกลับไปนั่งนับครั้งไม่ถ้วนนั้น ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญก้าวเท้าข้ามประตูมา ซึ่งทันได้เห็นภาพตอนที่เขาล้มไม่เป็นท่าด้วย

ฉืออิ๋งนิ่งค้างอยู่กับที่โดยเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านในและเท้าอีกข้างอยู่ด้านนอก ขณะนี้นางตื่นตระหนกอย่างมาก ราวกับไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า ไม่แน่นางอาจจะถูกล้างแค้นด้วยความโกรธเกรี้ยว รุนแรงหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าปิดปาก!

ไป๋สิงเจี่ยนเองก็คิดไม่ถึงว่า ‘ดาวหายนะ’ จะมาปรากฏตัวที่หน้าประตูเช่นนี้…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: