X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน อาจารย์ข้าน่ารังแกที่สุด! บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 2

หลังจากฉืออิ๋งปรึกษาแผนการกับคนที่สำนักตรวจการแล้ว นางก็เห็นว่าเรื่องนี้สามารถล้มไป๋สิงเจี่ยนได้ และอีกไม่นานนางก็จะได้ขึ้นรับตำแหน่งจักรพรรดินี ได้ครอบครองอาณาจักร จุดสูงสุดของชีวิตกำลังอยู่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!

เพื่อหาข่าวจากคู่อริ นางจึงไม่หวั่นเกรงที่จะเข้าถ้ำเสือ การมาหาข่าวที่หลันไถก็เพื่อยืนยัน ‘แผนล้มไป๋’ นี้ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น นางย่อมคาดไม่ถึงว่าพอตนเองก้าวเท้าข้ามประตูมา ภาพแรกที่ได้เห็นจะเป็นไป๋สิงเจี่ยนล้มไม่เป็นท่า นี่เป็นภาพที่เหนือความคาดหมาย แตกต่างกับท่าทางในยามปกติของเขายิ่งยวด

นางตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ ใจเต็มไปด้วยความกังวล และที่น่าประหวั่นมากกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนไป๋สิงเจี่ยนจะเห็นนางแล้วเช่นกัน สายตาของเขายามกวาดผ่านไปนั้นราวกับมีกลิ่นอายมรณะ ประหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าปิดปากอย่างไรอย่างนั้น

ด้วยเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงส่ง ฉืออิ๋งย่อมเห็นคุณค่าของชีวิตตนเองยิ่งนัก นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ชักขาข้างที่ก้าวผ่านประตูกลับมา แล้วหันร่างกลับไปแสร้งทำเป็นไม่เห็นเสียเลย ก่อนจะวิ่งออกไป นางมีรูปร่างปราดเปรียวอยู่แล้วจึงเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นกระต่ายน้อยที่อยู่นิ่งไม่ได้

เมื่อไป๋สิงเจี่ยนมองเห็นดาวหายนะนี้วิ่งหนีออกไป ไม่เหมือนจะมาทำเรื่องไม่ดีสักนิด เขาก็อดโล่งใจไม่ได้ มือข้างหนึ่งกลับไปยันที่โต๊ะยาวอีกครั้ง ก่อนพยุงร่างท่อนบนขึ้น เหงื่อที่หน้าผากไหลรินลงมาตามแก้ม แล้วหยดลงมาที่หลังมือ แต่ไม่ว่าเขาจะลองอีกสักกี่ครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม เขาก้มลงมองเข่าทั้งสองข้างของตนเอง อยากให้สภาพเช่นนี้จบสิ้นเสียที

เม็ดเหงื่อไหลลงมาที่หางตา ส่งผลให้สายตาของไป๋สิงเจี่ยนพร่ามัว จู่ๆ ไม้เท้าที่เขาพยายามเอื้อมอย่างไรก็ไม่ถึงพลันเข้ามาใกล้มือมากขึ้นเสียอย่างนั้น เขาเลื่อนสายตาไปตามไม้เท้า ข้างหนึ่งของไม้เท้ามีมือเล็กขาวข้างหนึ่งจับไว้อยู่ ข้อมือที่โผล่พ้นออกจากแขนเสื้อสีรากบัวสวมสร้อยข้อมือเอาไว้ ด้ามไม้เท้าถูกยื่นมาตรงหน้าเขา

ฉืออิ๋งไปแล้วหวนกลับมา ด้วยนางรู้สึกว่าเรื่องการหกล้มของหัวหน้าสำนักหลันไถถือเป็นเรื่องหนึ่ง ช่วยเหลือคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของหัวหน้าสำนักหลันไถไม่ได้อยู่ในความคิดนางแม้แต่น้อย ในสายตานางเห็นเพียงบุรุษที่มีร่างกายบกพร่องคนหนึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือ จะกลัวไปไยว่าเขาจะยอมรับความปรารถนาดีของนางหรือไม่ แล้วยินดีให้นางเข้าใกล้หรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ด้วยกลัวว่าเขาจะเอื้อมมือมาไม่ถึง นางจึงเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว ส่งไม้เท้าให้เขา

จู่ๆ พื้นที่ส่วนตัวของไป๋สิงเจี่ยนก็ถูกรุกล้ำด้วยความอ่อนเยาว์ซึ่งเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและกลิ่นหอมโชยอ่อน การบุกรุกในครั้งนี้ของฉืออิ๋งสร้างแรงกดดันให้แก่เขาอย่างมาก เขาสะบัดมือรับไม้เท้าเอาไว้ คิดเพียงอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลเท่านั้น ที่ผ่านมากลิ่นหอมที่เข้ากับไป๋สิงเจี่ยนได้ก็มีแต่กลิ่นของดอกกล้วยไม้ ทันทีที่ได้กลิ่นหอมอันไม่คุ้นเคยนี้ก็รู้สึกมึนงง ร่างกายโอนเอน

ฉืออิ๋งเตรียมให้เหตุผลสำหรับการกระทำของตนเองในครั้งนี้แล้ว เดิมทีคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ไม่ควรฝืนตนเองมากเกินไป ควรพักผ่อนให้มากถึงจะดี นางจึงเดินเข้าไปใกล้เขาอีกสองก้าว สองมือยื่นออกไปจับที่แขนของไป๋สิงเจี่ยน แล้วประคองร่างเขานั่งลง

ตอนนี้บอกได้เพียงว่า…จิตใจของคนที่ถูกประคองอยู่นั้นได้พังทลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้แรงกดดันอันรุนแรงได้เกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่เพียงชั่วครู่มันก็เกิดขึ้นซ้ำอีกหน แขนที่ถูกสัมผัสรู้สึกคล้ายกับถูกลงทัณฑ์ เกรงว่าผิวหนังใต้แขนเสื้อของเขาคงแดงเป็นแถบแล้ว สาเหตุเพราะเขามีความรู้สึกไวต่อการถูกเนื้อต้องตัวรุนแรงยิ่งนัก และไวเกินกว่าคนปกติ ความรู้สึกของการถูกบังคับให้นั่งลงในครั้งนี้จึงเลวร้ายยิ่ง…

ฉืออิ๋งไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงฉงนใจที่ตนเองสามารถปฏิบัติต่อศัตรูได้อย่างใจกว้าง รู้สึกประทับใจกับการแสดงออกของตนเองยิ่งนัก นางเข้าถึงตัวไป๋สิงเจี่ยนถึงเพียงนี้แล้วก็ไม่เห็นเขามีท่าทางไม่ชอบใจแต่อย่างใด อีกทั้งการเข้าใกล้ในครั้งนี้ยังทำให้นางพบโดยบังเอิญว่าเขามีใบหน้าที่ชวนมองยิ่ง แม้ขาสองข้างไม่อาจเดินได้ตามปกติ แต่ด้วยรูปร่างที่สูงและท่วงท่าที่สง่างามแล้ว ก็ไม่ผิดไปจากที่เขาว่ากันเลย…ตระหง่านประดุจขุนเขาหยก

เหงื่อที่หน้าผากของไป๋สิงเจี่ยนกำลังจะเข้าไปในดวงตาของเขา ฉืออิ๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมที่หอมหวนของนางเช็ดเหงื่อให้เขา

ไป๋สิงเจี่ยนพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง เขาได้แต่ฝืนทนไม่ให้ตนเองจามออกมา กระทั่งทนจนแทบทนต่อไปไม่ไหว เขาจึงปัดมือข้างนั้นออกไปด้วยความขุ่นเคือง ถือวิสาสะเกินไปแล้ว! องค์หญิงอย่าได้หาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!

เวลาเดียวกันนั้นตันชิงก็เข้ามาเจอกับภาพเหตุการณ์ที่ตลอดชีวิตของเขาจะไม่มีวันลืม…ไท่สื่อถูกสาวน้อยที่งามดั่งเทพธิดามาพัวพัน ตอนที่จับแขนแล้วก็เช็ดเหงื่อให้นั้นเป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงยิ่ง ถึงอย่างนั้นก็แสนจะดูเย้ายวนชวนเคลิบเคลิ้ม ภาพนั้นสวยงามเหลือเกิน สวย…จนแทบไม่กล้าดู!

มือของตันชิงสั่นไหว จานชามที่อยู่บนถาดพลันกระทบกันจนส่งเสียงดัง

ไป๋สิงเจี่ยนกับฉืออิ๋งถึงได้พบว่าตันชิงอยู่ตรงประตู สีหน้าของไป๋สิงเจี่ยนเขียวคล้ำ ดวงตาของฉืออิ๋งแดงก่ำ เมื่อครู่นี้เขาตีมือนางจนเจ็บ

“ทรงมีเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของไป๋สิงเจี่ยนเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธที่กลั้นไว้ไม่อยู่ และเพลิงนี้ก็ได้ลามไปถึงศีรษะของตันชิงแล้ว

ตันชิงที่มาปรากฏตัวอย่างไม่ถูกเวลายังคงก้าวตรงมา เขารีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะยาว ตาไม่เลื่อนมอง “ไท่สื่อควรรับอาหารกลางวันแล้วขอรับ”

ฉืออิ๋งมองไปที่โต๊ะยาว นางเห็นว่าอาหารในถาดนั้นมีปริมาณน้อยมาก จึงเอ่ยเสียงดังทันทีว่า “หลันไถของพวกท่านไม่รับแขกหรือ แล้วอาหารของข้าเล่า”

ตันชิงฟังแล้วถึงกับตกตะลึง เนื่องจากหลันไถของพวกเขาไม่ได้รับแขกมานาน ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่อยากรับแขก แต่เป็นเพราะไม่มีใครกล้าเข้ามากินอาหารในหลันไถต่างหาก นานวันเข้า ห้องครัวของหลันไถจึงใช้กฎนับจำนวนคนเพื่อเตรียมอาหาร คนที่จะไปทำงานนอกสถานที่ต้องแจ้งต่อห้องครัวก่อน หัวหน้าสำนักหลันไถเกลียดการฟุ่มเฟือยและเหลือของทิ้งอย่างสูญเปล่า โดยเห็นได้ชัดจากอาหารที่เขากินว่ามีอยู่น้อยมาก

ฉืออิ๋งไม่รู้เรื่องพวกนี้ ที่จริงนางก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องกฎที่เขายึดถือกันมา เพราะปกติเมื่อถึงเวลาอาหาร แต่ไรมาไม่เคยมีใครไม่ส่งอาหารมาให้นาง

ไป๋สิงเจี่ยนยื่นมือเลื่อนถาดอาหารออกไปทางด้านข้าง แล้วใช้ไม้เท้ายันร่างขึ้น เขาไม่มีท่าทางจะกินอาหาร

ฉืออิ๋งมองออกว่าสิ่งที่ไป๋สิงเจี่ยนกระทำคือการยกอาหารให้นางกิน นางสับสนไปเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็ผลักอาหารมาให้เช่นนี้ คิดกล่าวเชิญสักคำก็ไม่มี ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ข้าไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ นะ!

เมื่อไป๋สิงเจี่ยนเดินออกห่างจากโต๊ะยาวแล้ว ฉืออิ๋งก็นั่งลง มือซ้ายหยิบตะเกียบขึ้นมา นางรู้สึกสนุกกับการเขี่ยอาหารในจานเพื่อดูว่าอาหารของที่หลันไถกับในวังแตกต่างกันอย่างไร ไป๋สิงเจี่ยนเหลือบตามองดูกิริยาของนาง ไม่เข้าใจสักนิดว่าเฟิ่งจวินที่มาจากตระกูลใหญ่สอนบุตรสาวอย่างไรกัน สอนสั่งจนได้เด็กหัวดื้อคนหนึ่งเช่นนี้ คนธรรมดายังรู้เรื่องกิริยามารยาท ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘กิริยามารยาท’ คืออะไร!

ตันชิงยืนมองอย่างตกตะลึง ทว่าไม่ใช่เพราะท่าทางการกินของฉืออิ๋ง แต่เป็นเรื่องที่หัวหน้าสำนักหลันไถยกอาหารให้ผู้อื่นต่างหาก เขามาอยู่หลันไถได้สี่ห้าปีแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้นแทบจะเข้าใกล้ศูนย์ ยิ่งกว่านั้น สาวน้อยนักกินผู้นี้ก็ยังสามารถกินอาหารอยู่ข้างตัวไป๋สิงเจี่ยนได้เหมือนข้างกายนางไม่มีใครอยู่ ความกล้าหาญเช่นนี้ช่างน่านับถือยิ่ง

ฉืออิ๋งเขี่ยกับข้าวสองอย่างไปมา เป็นลักษณะอาหารเจโดยแท้ เนื้อสัตว์สักนิดก็หาไม่พบ นางคีบผักชิ้นบางส่งเข้าปาก จืดชืดไร้ความมัน นี่เป็นอาหารของหัวหน้าสำนักหลันไถหรือ ฉืออิ๋งขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าแสดงออกถึงความรังเกียจ

ไป๋สิงเจี่ยนเดินไปที่ข้างตู้หนังสือ ยามที่หยิบหนังสือมาอ่านเขาก็คอยเหลียวมองฉืออิ๋งไปด้วย ได้แต่เฝ้ารอให้นางวางตะเกียบแล้วจากไปด้วยตนเอง ความสงบจะได้กลับคืนมาเสียที

ตันชิงคาดเดาว่าสาวน้อยผู้นี้น่าจะเป็นดาวหายนะที่ผู้คนเล่าลือกัน เป็นทั้งปีศาจน้อยจอมทำลาย ฝันร้ายของราชสำนัก จอมเกเรของสำนักศึกษาเจาเหวิน และยังเป็นรัชทายาทที่มีเกียรติของพวกเขาด้วย เพราะอย่างนี้หัวหน้าสำนักหลันไถจึงได้ปฏิบัติต่อนางอย่างเยือกเย็นยิ่ง

อาหารการกินของหลันไถไม่ได้แย่จนกลืนยากถึงเพียงนั้น แต่ที่อาหารไม่ได้ดั่งใจฉืออิ๋งเป็นเพราะนางกินอาหารส่วนที่เป็นของไป๋สิงเจี่ยนเข้าไป รสชาติอาหารที่เขากินพิเศษยิ่ง ทั้งยังไม่กินเนื้อสัตว์ อาหารถาดนี้ที่ส่งจากห้องครัวจึงทำให้เขาโดยเฉพาะ

ฉืออิ๋งยอมวางตะเกียบลงในที่สุด นางหยิบเอาหมั่นโถวที่อยู่ในถาดอาหารมาหนึ่งลูกพลางงับไปคำหนึ่ง ก่อนจะถือหมั่นโถววิ่งร้องไห้ออกไป “ฮือ ห้องครัวของพวกท่านอยู่ที่ใด”

ไป๋สิงเจี่ยนปิดหนังสือในมือ เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะยาวช้าๆ หลังจากมองดูจานกับข้าวที่ถูกเขี่ยจนยุ่งเหยิงแล้ว เส้นเลือดตรงขมับเขาก็เต้นตุบๆ

ตันชิงเห็นเช่นนั้นก็ทำท่าจะเก็บสำรับ แต่เห็นไป๋สิงเจี่ยนหยิบเอาตะเกียบที่ทิ้งไว้ในสำรับขึ้นมาเสียก่อน แล้วยื่นไปที่จานกับข้าว…คีบผักชิ้นหนึ่งเข้าปาก

สมองของตันชิงราวกับถูกฟ้าผ่าลงมา ต้องเป็นเพราะวันนี้ข้าส่งอาหารไม่ดูทิศทางให้ดีเป็นแน่!

พอไป๋สิงเจี่ยนได้กินผักแล้ว ความแคลงใจของเขาก็หายไป คนครัวของหลันไถก็ไม่ได้เปลี่ยนคน ผักนี่ก็ยังเป็นรสชาติที่คุ้นเคย…อะไรจะกินยากปานนั้น

เพื่อจะทำให้เรื่องนี้แจ่มชัด ไป๋สิงเจี่ยนจำต้องแลกกับอาหารของตนเอง เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นดู บนแขนมีผื่นเกิดขึ้นมาแถบหนึ่ง สาเหตุเป็นเพราะมีคนมาสัมผัสตัวและใช้ตะเกียบที่มีคนใช้แล้ว

ในใจตันชิงอดต่อว่าไม่ได้…ท่านทำไปทำไม แต่ปากกลับไม่กล้าพูดออกมา เขาเพียงเร่งรีบไปหายาจากกล่องยาที่มุมห้อง แล้วนำยากลับมาทาให้ที่หลังมือของไป๋สิงเจี่ยน

จู่ๆ คนครัวคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบแล้วกระโดดข้ามธรณีประตูเข้ามา

“ไท่สื่อ! ในห้องครัวยุ่งไปหมดแล้ว ท่านรีบไปดูทีเถิดขอรับ!”

 

“พูดง่ายๆ ก็คือ…หลันไถของพวกท่านปฏิเสธไม่ยอมทำอาหารพื้นๆ สักมื้อหนึ่งให้ข้า?”

“เงินค่าอาหารของหลันไถมีอยู่จำกัด ไม่สามารถทำอาหารเพิ่มให้องค์หญิงได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเงินของหลันไถใช้จ่ายไปกับเรื่องใดเล่า”

“ของต่างๆ ล้วนมีราคาแพง ค่าใช้จ่ายของหลันไถก็มีอยู่ไม่น้อย ในเมื่อประหยัดเรื่องอาหารการกินได้ก็ต้องประหยัด อาหารหนึ่งมื้อที่องค์หญิงตรัสมาเทียบได้กับค่าอาหารของหลันไถครึ่งปีเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ”

“พูดจาเหลวไหล จงรีบนำอาหารมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าหิวตายหรือไร!”

พอไป๋สิงเจี่ยนเร่งมาถึง ภายในห้องครัวก็มีผู้คนยืนอยู่จนเต็ม ทั้งที่ถึงเวลาอาหารแล้วแต่พวกเขากลับไม่สามารถเข้าไปเอาอาหารมากินได้ ทั้งหมดจึงได้แต่ล้อมดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง คนที่ถูกล้อมดูกลับไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอาหารตัวใหญ่ แสดงสีหน้ารังเกียจไปพลางกัดหมั่นโถวในมือไปพลาง แม้คนครัวจะอธิบายไม่หยุด แต่ก็ยังพยายามลำเลียงอาหารดีที่สุดที่หาได้ในวันนี้มาขึ้นโต๊ะโดยไม่รอช้า

“ไท่สื่อมา!” บรรดาเจ้าหน้าที่ของหลันไถพลันเปิดทางให้ไป๋สิงเจี่ยน

เมื่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว ฉืออิ๋งจึงเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหาร พอมองเห็นใบหน้าของไป๋สิงเจี่ยนที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กำลังเดินตรงมาที่นางช้าๆ ฉืออิ๋งจึงเอาหมั่นโถวอีกครึ่งลูกยัดเข้าปากในคราวเดียวจนเกือบสำลัก นางรีบหยิบช้อนที่อยู่ด้านข้างมากินน้ำแกงเข้าไปคำหนึ่ง

ไป๋สิงเจี่ยนใช้ไม้เท้าค้ำเดินเข้ามาใกล้ สายตากวาดมองจานชามบนโต๊ะที่มีปริมาณอาหารมากเกินกำลังของฉืออิ๋งเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายเพียงใด ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ยิ่งดูไม่ได้

“อาหารมื้อนี้ที่องค์หญิงเสวยที่หลันไถให้จดบันทึกไว้ทั้งหมด แล้วรายงานต่อฝ่าบาท ให้กองคลังทำเรื่องจ่ายคืนมาที่หลันไถ”

ฉืออิ๋งที่เคี้ยวหมั่นโถวอยู่ถึงกับตะลึงงัน

คนครัวรับคำสั่ง เขารีบไปหาพู่กันกับกระดาษมาอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มตรวจนับอาหารที่อยู่ต่อหน้าฉืออิ๋งด้วยท่าทางแข็งขันเหมือนกำลังคิดเงินกับคนกิน

ไป๋สิงเจี่ยนยังไม่ยอมรามือเพียงแค่นั้น เขาถามไปที่คนครัวอีกคน “เมื่อครู่องค์หญิงเรียกร้องอะไร”

“องค์หญิงมีรับสั่งให้หลันไถทำ ‘อาหารพื้นๆ’ ให้หนึ่งมื้อขอรับ”

“อาหารพื้นๆ แบบใด”

“แป้งม้วนไส้ไข่ปู หนีอวี๋ ย่าง เป็ดห่านย่าง น้ำแกงข้นกีบอูฐ ไก่ฉีก ขาแพะตุ๋น เนื้อตากแห้งเสียบไม้ เนื้อแพะแล่บาง ขนมบัวลอย…”

เจ้าหน้าที่ของหลันไถผ่านวันเวลาที่เรียบง่ายจนคุ้นชิน สำหรับอาหารพิสดารที่ฉืออิ๋งร้องขอมานั้น อย่าว่าแต่เคยชิมเลย กระทั่งชื่อก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

ไป๋สิงเจี่ยนตั้งใจฟังคนครัวแจ้งรายชื่ออาหารตามที่จดจำได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนจนจบ เขาจึงสั่งการซูลิ่งสื่อคนหนึ่ง “นำสมุดปกเขียวมา”

เมื่อเจ้าหน้าที่ของหลันไถไดัยินคำพูดนี้ก็พากันตกตะลึง น่าสงสารที่ฉืออิ๋งยังไม่รู้สถานการณ์ของตนเอง นางเพียงมองดูพวกเขารับคำสั่งของไป๋สิงเจี่ยนและไปเตรียมพู่กันกับหมึกมาอย่างงงๆ

ไม่เสียทีที่หลันไถเป็นหอบันทึกประวัติศาสตร์ แม้แต่ยามที่อยู่ในห้องครัวก็ยังสามารถหาพู่กันกับหมึกมาได้ เพียงเปิดหน้าโต๊ะขึ้นมาก็จะเห็นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ

ซูลิ่งสื่อนำสมุดปกเขียวเล่มใหม่เอี่ยมมา ก่อนจะเปิดสมุดปกเขียวด้วยสองมือแล้ววางไปบนโต๊ะ ไป๋สิงเจี่ยนมือหนึ่งจับไม้เท้า มือหนึ่งรับพู่กันมา ข้อมือของเขายกขึ้นเล็กน้อย ปาดหมึกบนแท่นฝนหมึกที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนถือไว้

“สมุดปกแดงบันทึกผลงาน ปกเขียวบันทึกเรื่องราว วันนี้องค์หญิงเสด็จมาที่หลันไถ ทุกอิริยาบถและคำพูดจะต้องให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ตามจริง แล้วนำเก็บไว้ในหอเพื่อเตรียมตรวจสอบ” หลังจากชี้แจงการกระทำของตนเองจนจบแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็เขียนลงในสมุด การเคลื่อนไหวล้วนเฉียบขาด ท่วงท่าสง่างาม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้แสดงความเห็นแม้แต่น้อย

ในตอนแรกฉืออิ๋งยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ภายหลังเมื่อใคร่ครวญจนเข้าใจแล้ว นางก็ตกตะลึงในทันที นี่เป็นการข่มขู่กันชัดๆ หากเรื่องนี้กระจายออกไป ข้าก็ไม่ใช่รัชทายาทตัวจริงแล้ว!

คนทั้งหมดเห็นฉืออิ๋งกระโดดลงจากเก้าอี้ เคลื่อนไหวว่องไวประดุจกระต่าย นางวิ่งด้วยสีหน้าแตกตื่นมาจนถึงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยน…

ตุบ…นางคุกเข่าแล้วเข้ากอดขาเขาเอาไว้!

“ตัวศิษย์เพียงแค่เล่นสนุกเท่านั้น อาจารย์ไม่ใช่สอนให้ศิษย์ต้องคอยสอดส่องชีวิตราษฎรหรอกหรือ ศิษย์มาที่ห้องครัวของหลันไถก็เพื่อสังเกตเท่านั้น จนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยกินแป้งม้วนไส้ไข่ปู หนีอวี๋ย่าง เป็ดห่านย่าง น้ำแกงข้นกีบอูฐ ศิษย์เลยอยากจะนำของเหล่านี้มาให้พวกเขาได้ชิมรสชาติเท่านั้น เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ”

ตุบ ตุบ ตุบ…เสียงหมั่นโถวในมือเจ้าหน้าที่ของหลันไถพลันร่วงตกลงพื้นหมด

ยามนี้หมั่นโถวในมือจะตกลงพื้นก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะทุกคนในหลันไถล้วนพุ่งจุดสนใจไปที่ขาของหัวหน้าสำนักหลันไถต่างหาก แม้แต่แมวที่เลี้ยงในหลันไถจนเชื่องยังไม่กล้ากระโดดมาที่ขาของหัวหน้าสำนักหลันไถ กระทั่งแมวที่เป็นเพียงสัตว์ยังตระหนักรู้ว่าที่ตรงนั้นคือเขตหวงห้าม…แมวยังรู้ แล้วคนจะไม่รู้หรือ!

นอกจากรุกล้ำเขตหวงห้ามแล้วยังแสดงอาการฉอเลาะไม่ถูกเวลา องค์หญิงเคยได้ยินชื่อเสียงที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนของไป๋สิงเจี่ยนหรือไม่ ช่างอ่อนเยาว์เสียจริง

สำหรับฉืออิ๋งแล้ว การต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องนี้นั้นนางไม่เป็นกังวลสักนิด ต่อให้ภายหลังจะถูกด่าว่าก็ดี หรือได้ชื่อว่าเลวก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความเลื่อนลอยทั้งสิ้น ทว่าก้นของนางถือเป็นเรื่องสำคัญ ขอเพียงไป๋สิงเจี่ยนบันทึกเรื่องของนางลงสมุดปกเขียว รับรองว่าไม่เกินหนึ่งก้านธูป บิดามารดาที่ดูไม่เหมือนเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้านั้นจะต้องสั่งให้คนมาพาตัวนางกลับวังแน่นอน ทางหนึ่งจะแสดงความรักต่อหน้าอย่างจอมปลอม อีกทางหนึ่งก็จะโบยตีลูกน้อย โดยพวกเขาจะแบ่งหน้าที่กันอย่างดี คนหนึ่งจะตีลูกด้วยท่าทางอันเจ็บปวดรวดร้าวจนอยากตาย อีกคนหนึ่งก็จะปลอบโยนสุดกำลัง แสดงให้เห็นว่าการมีลูกที่หัวรั้นไม่รู้กาลเทศะผู้นี้ถือเป็นความผิดของตนเอง ทั้งสองล้วนแสดงบทบาทกันอย่างเต็มที่ ลูกน้อยที่ถูกตีเช่นนางกลายเป็นเพียงตัวประกอบ ทั้งยังห้ามแสดงท่าทีต่อต้านด้วย

ไป๋สิงเจี่ยนยืนนิ่งดุจภูเขาไท่ซาน ใบหน้าเขาปราศจากสีเลือด ไอเย็นคล้ายบึงน้ำในฤดูหนาวพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง มือที่จับไม้เท้าเกร็งจนเส้นเขียวขึ้น

“ทรงปล่อยพระหัตถ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คำเรียบๆ สองคำหลุดออกจากริมฝีปากของไป๋สิงเจี่ยน ฟังไม่รู้ชัดเจนว่ามีความรู้สึกใด ถึงกระนั้นการรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายยะเยือกจากร่างเขาก็มากพอที่จะทำให้คนต้องออกห่างแล้ว

บรรยากาศในตอนนี้อย่าว่าแต่ฉืออิ๋งที่กลัวเกรงเลย กระทั่งหัวหน้าสำนักตรวจการที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงอีกฝั่งของตรอกคั่นก็ยังหนาวจนร่างสั่นเทาในชั่วพริบตา “นี่หลันไถจะมีลูกไม้อะไรอีก หรือว่าแผนการขององค์หญิงถูกเปิดโปงแล้ว”

การที่ฉืออิ๋งวู่วามไม่ได้หมายความว่านางทึ่มทื่อ เมื่อใจกล้าขนาดกอดขา ‘เสือ’ แล้ว นางก็ย่อมตระหนักดีว่าตนเองต้องยอมกลายเป็นอาหารเสือ นางนั่งลงไปบนพื้นแล้วปล่อยมือแต่โดยดี ทั้งยังช่วยจัดแจงชายชุดของไป๋สิงเจี่ยนที่มีรอยยับราวกับขอคืนดี ด้วยคิดว่าทำเช่นนี้แล้วก็ถือว่าหายกัน

ในห้องครัวที่มีคนล้อมดูอยู่จนเต็มนั้นพลันเงียบกริบ พลันทุกคนได้ยินเสียงเพียะดังขึ้น มือสองข้างของฉืออิ๋งถูกสมุดปกเขียวตีเข้าให้ ทำให้นางและไป๋สิงเจี่ยนแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

ที่ถูกตีนั้นไม่มีทางที่ฉืออิ๋งไม่เจ็บ เพียงแต่นางอดทนเอาไว้

เมื่อขจัดตัวที่เกาะหนึบออกไปแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ยื่นสมุดปกเขียวที่เขียนเสร็จแล้วให้ซูลิ่งสื่อคนหนึ่ง ก่อนจะขยับไม้เท้าพาร่างที่มีสภาพกรุ่นโกรธหมุนตัวจากไป

ฉืออิ๋งกระโจนร่างมาแย่งเอาสมุดปกเขียวจากมือของซูลิ่งสื่อ นางรีบเปิดออกดู เห็นเพียงแถวตัวอักษรของอาลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งราชสำนักเขียนไว้ว่า

 

‘หยวนสี่ปีที่สิบหก ฤดูใบไม้ผลิ…แข็งแกร่งอ่อนโยน กล้าหาญยืนยง คนดั่งอักษร ทะนงมุ่งมั่น’

 

ฉืออิ๋งหัวเราะหึๆ นางไม่ใช่เพิ่งเคยเห็นลายมือของไป๋สิงเจี่ยนเสียหน่อย นางเคยเห็นจากฎีกาที่เขาเสนอแก่มารดาของนางมาก่อน ความเห็นที่ลงไว้ในสมุดการบ้านนางก็เห็นมาไม่น้อย แต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนรอดตายจากเหตุร้ายเช่นนี้มาก่อน ราวกับตายแล้วได้เกิดใหม่ คล้ายชีวิตได้รอดพ้นจากหายนะ หลังจากฉืออิ๋งเห็นตัวอักษรเหล่านี้แล้ว จิตใจนางก็เกิดความเบิกบานขึ้นมา แม้แต่ตัวอักษรของไป๋สิงเจี่ยนก็ถูกมองเสียใหม่

แน่นอนว่าจิตใจนางเบิกบานก็ด้วยเหตุผลที่แน่วแน่อีกประการหนึ่ง

ฉืออิ๋งพลิกมือโยนสมุดปกเขียวทิ้งไป มือของนางควานหากุญแจดอกหนึ่งที่เก็บไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะกระโดดข้ามธรณีประตูห้องครัวออกไปด้วยก้าวย่างที่งดงาม

ผู้คนในห้องครัวเห็นดาวหายนะจากไปเช่นนี้ก็ผ่อนลมหายใจตามๆ กัน ต่างหาที่นั่งแล้วนั่งลงกินอาหารไปพลางใคร่ครวญเรื่องสมุดปกเขียวเมื่อครู่นี้ไปพลาง

“พวกเจ้าว่าไท่สื่อคิดจะบันทึกคำพูดและการกระทำขององค์หญิงลงสมุดปกเขียวจริงๆ หรือ”

“แล้วจะไม่จริงได้อย่างไร ท่าทางแบบนั้นไม่เหมือนว่าแค่ข่มขู่เสียหน่อย! อีกอย่าง พวกเจ้าเคยเห็นไท่สื่อพูดแล้วไม่ทำด้วยหรือ”

“แล้วเหตุใดจึงไม่บันทึกเล่า หรือว่าถูกองค์หญิงทำให้โกรธ”

“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเคยเห็นมีผู้ใดกล้าโอบขาไท่สื่อบ้าง ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่โกรธแล้ว บางทีอาจถึงขั้นโกรธจนแผ่นดินสะเทือน ไท่สื่อคอยพูดอยู่เสมอว่ายามที่โกรธจัดอย่าได้ด่วนตัดสิน อย่าเขียนเรื่องราว”

ผู้คนทั้งหลายพลันกระจ่างในทันใด…ไท่สื่อช่างเป็นคนที่มีหลักการลึกล้ำจริงๆ!

พวกที่ออกความเห็นกันอยู่นั้นกลับมองข้ามความจริงสำคัญไปข้อหนึ่ง คนที่เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องยุ่งยากจนสามารถทำให้หัวหน้าสำนักหลันไถโกรธกระทั่งเกือบได้เรื่องนั้นจะเป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ หรือ

เวลาอาหารกลางวัน ภายในหลันไถจึงเงียบสงัดยิ่ง มีเพียงดอกกล้วยไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

ฉืออิ๋งลัดเลาะเข้าไปจนถึงตึกด้านในของหลันไถ ระหว่างทางนางไม่พบเจอผู้ใดเลยสักคน กระทั่งเข้าไปถึงอาคารสีแดงหลังหนึ่งที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา เหลียวมองรอบด้านยังคงไม่เห็นผู้ใด นางเงยหน้าขึ้นมองเห็นป้ายเขียนไว้ว่า…หอไท่สื่อ

หอลับที่มีเพียงไท่สื่อเท่านั้นถึงเข้าได้ ต่อให้เป็นถึงจักรพรรดินีแห่งต้าอิ่นก็ไม่อาจเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามนี้ได้

 

ตันชิงจัดอาหารกลางวันชุดใหม่ให้กับไป๋สิงเจี่ยน ก่อนจะส่งตรงเข้าไปที่ห้องหนังสือ แล้ววางลงที่เบื้องหน้าตั่งของเขา

หัวหน้าสำนักหลันไถโกรธจนต้องเอนตัวนอนบนตั่ง

ต่อให้เป็นวันที่ฟ้าครึ้มฝนตก อากาศเย็นชื้น ทำให้หัวหน้าสำนักหลันไถเจ็บเข่าจนไม่อาจทนได้ไหว เขาก็ยังไม่ยอมเอนร่างนอนบนตั่งเช่นนี้เลย เห็นทีวันนี้ความอดกลั้นของเขาคงเกินขีดความอดทนไปแล้ว

เมื่อตันชิงเดินเข้ามาในห้องหนังสือก็ได้กลิ่นยาเข้มข้น ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ได้ว่าไป๋สิงเจี่ยนทายาให้ตนเองเรียบร้อยแล้ว จากระดับความเข้มของกลิ่นยาที่ลอยอยู่ในอากาศ คาดว่ายาที่ใช้คงมากพอดู ตันชิงจดจำไว้เงียบๆ ว่าเขาจะต้องไปร้านขายยาเพื่อซื้อยามาเพิ่ม เตรียมเผื่อไว้ในยามที่ผู้เป็นนายต้องการใช้

“ไท่สื่อ รับอาหารขอรับ” ตันชิงนำอาหารวางในบริเวณที่มือของไป๋สิงเจี่ยนเอื้อมถึง

“ไม่หิว เอาออกไป” ไป๋สิงเจี่ยนไม่ได้อารมณ์เสีย เพียงแต่เขาไม่รู้สึกหิวจริงๆ ร่างกายรู้สึกไม่สบายยิ่งแล้ว ยังจะมาพูดเรื่องกินอะไรได้อีก เป็นเพราะเอี้ยวตัวไปยังโต๊ะไม่สะดวก เขาจึงหยิบหนังสือขึ้นมาถือไว้แล้วบันทึกความเห็นลงไป

“กินสักเล็กน้อยเถอะขอรับ” ตันชิงทำใจกล้าเอ่ยขึ้น “ไท่สื่ออย่าไปถือสากับเด็กน้อยเลย”

พู่กันสีแดงของไป๋สิงเจี่ยนพลันหยุดชะงัก สายตาเขาเบนจากหนังสือมาที่ตันชิง แววตาทั้งมืดทั้งลึกล้ำจนอ่านไม่ออก “ข้าน่ะหรือถือสานาง นางมีค่าอะไรให้ข้าถือสากัน”

ตันชิงถึงกับสำลัก “เช่นนั้นไท่สื่อ…”

“เป็นเพียงการสั่งสอนขั้นเบา หวังว่าภายหลังนางจะมาวุ่นวายที่หลันไถให้น้อยลงหน่อย”

“อย่างไรเสียองค์หญิงก็เป็นถึงรัชทายาท ภายหลังหากขึ้นครองบัลลังก์แล้วนางก็ต้องปกครองหลันไถนะขอรับ!” ตันชิงคิดไปไกลมาก แม้ว่าไท่สื่อจะมีพู่กันอยู่ในมือ กระทั่งฝ่าบาทยังต้องเกรงกลัวถึงสามส่วน แต่นี่เป็นเพราะได้พบกับจักรพรรดินีที่มากความสามารถ ทำให้ใต้หล้าเฟื่องฟู แต่หากพบกับจักรพรรดินีที่ไร้ความสามารถ เกรงว่าคนที่ประสบเคราะห์กรรมคนแรกก็คือไท่สื่อ พูดอีกอย่างคือตันชิงจัดให้รัชทายาทผู้นี้เป็นว่าที่จักรพรรดินีที่ไร้ความสามารถ

“แม้หลันไถอยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดินี ถึงอย่างนั้นอำนาจของไท่สื่อก็เป็นอิสระ ต่อให้เป็นจักรพรรดินีก็ไม่มีสิทธิ์มาตรวจดูบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นความลับสุดยอดได้” ไม่มีผู้ใดไม่ประจักษ์ชัดถึงการทำงานของไป๋สิงเจี่ยน ตัวเขามีฐานะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นก็จริง ทว่าแต่ไรมากลับไม่เคยเห็นจักรพรรดินี องค์ชาย แม่ทัพ หรือเสนาบดีอยู่ในสายตา

จะเป็นพวกที่มีตำแหน่งมากอำนาจก็ดี หรือเป็นจักรพรรดินีก็ช่าง แต่ละคนล้วนเฝ้ารอเพียงการบันทึกตัวอักษร ดังนั้นแต่ไรมาไป๋สิงเจี่ยนจึงไม่คำนึงว่าใครจะคิดเห็นอย่างไร หรือไปล่วงเกินคนจำนวนมากเพียงใด เป็นเพราะว่าเขามีฐานะเป็นถึงหัวหน้าสำนักหลันไถ แทบทุกคนล้วนเกรงกลัว กระทั่งแวดวงขุนนางมีคำกล่าวกันว่า…สำนักตรวจการฝังคนอย่างมากก็หนึ่งชั่วอายุคน ทว่าหลันไถกลับสามารถฝังคนได้หลายชั่วอายุคน ถึงขั้นลูกหลานหมดสิ้นการสืบทอด แล้วใครจะกล้าไปหาเรื่องเขา

ตันชิงเป็นคนตื่นตัวเรื่องอันตรายได้เร็ว แม้การบอกให้ไป๋สิงเจี่ยนกลับใจจะไม่ต่างจากฝันกลางวัน กระนั้นโชคชะตาของหลันไถทั้งหมดก็ล้วนเกี่ยวพันถึงการรับมือกับคนที่จะเป็นใหญ่ในวันหน้าผู้นั้น เขาจึงต้องเอ่ยเพื่อเตือนสติบ้าง

“เมื่อก่อนอดีตไท่สื่อเคยเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยชุนชิว ด้วยความเคืองแค้นจวงกง ขุนนางใหญ่แคว้นฉีนามว่าชุยจู้จึงปลงพระชนม์ ไท่สื่อของแคว้นฉีบันทึกตามจริงว่าชุยจู้ปลงพระชนม์จวงกง ชุยจู้โกรธเคืองสั่งฆ่าไท่สื่อ น้องชายไท่สื่อลำดับที่สองก็บันทึกเรื่องชุยจู้ปลงพระชนม์อีก ชุยจู้ก็สั่งฆ่าอีก น้องชายไท่สื่ออีกคนลำดับที่สามก็บันทึกเรื่องชุยจู้ปลงพระชนม์ ชุยจู้ก็ฆ่าอีก น้องชายไท่สื่อลำดับที่สี่ก็บันทึกเรื่องปลงพระชนม์ ถึงครานั้นชุยจู้จึงยอมล้มเลิก นิทานเรื่องนี้จบท้ายด้วยว่า…เพราะอาลักษณ์ยืนหยัดการรักษาการบันทึกประวัติศาสตร์ตามจริงไว้ให้ได้ แต่สำหรับอาลักษณ์แล้ว ค่าของการแลกมานั้นช่างหนักหนาสาหัส”

ไป๋สิงเจี่ยนฟังตันชิงพูดแล้วนิ่งไปชั่วครู่ก่อนออกแรงลุกนั่ง ตันชิงมองดูความยากลำบากของเขาแล้วก็ไม่กล้าช่วยพยุง ได้แต่กระวนกระวายรออยู่ด้านข้าง พูดกันว่าหัวหน้าสำนักหลันไถพลิกฝ่ามือเป็นเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นฝน* มีอำนาจล้นฟ้า ทว่ายามนี้มืออันเรียวเล็กคู่นั้นกลับค้ำร่างได้เพียงครึ่งตัวเท่านั้น

“หากเจ้ารู้สึกว่าหลันไถมีภัยก็สามารถจากไปได้ทุกเวลา ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าหน้าที่หลันไถคนอื่นๆ ก็ไปได้ทุกคน ข้าจะไม่ขัดขวางผู้ใดทั้งนั้น” คำพูดของไป๋สิงเจี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย ไม่ว่ากับใครหรือเรื่องใดก็เหมือนไม่อาลัยทั้งสิ้น รวมถึงตันชิงที่ถูกเก็บมาเลี้ยงดูและอบรมกว่าห้าปี

ตันชิงพลันตื่นตระหนก เขาคุกเข่าลงเสียงดังตุบ พลางฟุบอยู่ข้างเท้าของไป๋สิงเจี่ยน “แต่ไรมาตันชิงไม่เคยคิดจะจากไป จะขออยู่รับใช้ท่านจนกว่าท่านจะแต่งงานมีลูกเลยขอรับ!”

“ชีวิตของข้ามอบให้แก่หลันไถแล้ว ไม่เคยคิดแต่งภรรยามีลูก เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระนี้หรอก ลุกขึ้นเถิด แล้วก็เอาอาหารกลับไปด้วย”

ไป๋สิงเจี่ยนอดไม่ได้ที่จะลอบใคร่ครวญกับตนเอง ไยจึงทำให้คนคิดไปได้ว่าหลันไถจะล่มสลายเล่า เป็นเพราะหัวหน้าสำนักตรวจการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือ อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ของหลันไถก็เป็นเพื่อนบ้านกับพวกสำนักตรวจการมานาน จะว่าไปก็ควรเคยชินกับที่หัวหน้าสำนักตรวจการคิดใช้วิธีการสกปรกไม่หยุดอยู่แล้วนี่ หรือเป็นเพราะเรื่องของฉืออิ๋งในวันนี้ เห็นองค์หญิงก่อกวนหลันไถ พวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงอันตรายหรือ

พิจารณาตามเหตุผลแล้ว หัวหน้าสำนักหลันไถก็หาคำตอบได้ เนื่องจากที่ผ่านมาหลันไถจะปฏิบัติต่ออันตรายที่มาคุกคามด้วยวิธีการสืบให้รู้ถึงต้นตอเสมอ

“นางไปจากหลันไถหรือยัง” ไป๋สิงเจี่ยนพลันสังหรณ์ใจขึ้นมา ราวกับว่าตนเองมองข้ามบางอย่างไป

“ไม่เห็นเลยขอรับ คิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว หลังความวุ่นวายรอบนี้ องค์หญิงคงพบว่าหลันไถไม่มีอะไรให้เล่นอีก” แม้ไป๋สิงเจี่ยนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยฉับพลัน ทั้งไม่ได้กล่าวถึงชื่อแซ่ ถึงอย่างนั้นคำว่า ‘นาง’ ก็บอกได้อย่างชัดเจนแล้ว ตันชิงย่อมรู้ได้โดยสัญชาตญาณ พร้อมกับลองเดาใจรัชทายาทของพวกเขาด้วย

ไป๋สิงเจี่ยนรู้สึกวางใจลงได้บ้าง แม้ลึกๆ จะยังสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่ก็ตาม คงเป็นเพราะร่างกายไม่ค่อยสบายกระมัง สติข้าจึงไม่ค่อยนิ่ง

ตันชิงก็รู้สึกว่าผู้เป็นนายสติไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไรนัก เพราะตอนที่เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะยาวนั้น หนังสือก็ไปชนถูกชามน้ำแกงที่อยู่ในถาดอาหารเข้าโดยไม่ทันระวัง น้ำแกงที่มีอยู่เต็มชามจึงหกใส่หนังสือจนเปียกชุ่มในพริบตา

หัวหน้าสำนักหลันไถไม่เคยให้คุณค่าต่อสิ่งใดมากไปกว่าหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นบันทึกเรื่องราว และที่ไป๋สิงเจี่ยนกำลังอ่านอยู่นั้นก็เป็นบันทึกที่ทำการแก้ไขใหม่ โดยให้ชุยซั่งซึ่งเป็นเซ่าลิ่งสื่อที่พึ่งพาได้ที่สุดนำกลับมาจากป๋อหลิง เพื่อแก้ไขบันทึกฉบับนี้แล้ว ชุยซั่งต้องถูกส่งตัวไปเก็บรวบรวมเรื่องราวถึงสองปีเต็ม ความยากลำบากนี้มีเพียงตัวชุยซั่งเท่านั้นที่เข้าใจได้ และยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีชุยซั่งเองก็ถือว่ามีสายเลือดของสกุลชุยอยู่ แต่เนื่องจากมีมารดาเป็นนางโลม ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนสกุลชุยที่มีชื่อเสียง เกิดมามีฐานะยากจน ยามไปทำงานที่ป๋อหลิงก็พบเจออุปสรรคมากมาย กระนั้นเขาก็ไม่เคยท้อถอย สามารถทำงานตามที่รับมอบหมายจากไป๋สิงเจี่ยนจนสำเร็จลุล่วง บรรลุตามหน้าที่ของเซ่าลิ่งสื่อในที่สุด

ไป๋สิงเจี่ยนให้ความสำคัญต่อบันทึกที่ทรงคุณค่านี้อย่างมาก เขารีบยกชามน้ำแกงออก ก่อนจะยกหนังสือขึ้น เทน้ำแกงที่อยู่ด้านบนหนังสือออกไป แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดส่วนที่ยังเปียกอยู่

ตันชิงร้องในใจว่าแย่แล้ว น้ำแกงชามนี้เข้มข้นนัก หกไปบนกระดาษ เกรงว่าจะทำลายหนังสือไปหลายหน้าแล้ว สมองเขาทึ่มทื่อไปในฉับพลัน…หากข้ารีบนำสำรับออกไปตั้งแต่แรกล่ะก็…

ไป๋สิงเจี่ยนรู้ว่าส่วนที่เปียกน้ำแกงไม่มีทางช่วยอะไรได้แล้ว ในชีวิตนี้เขาชังเรื่องการทำร้ายหยาดเหงื่อผู้อื่นยิ่งนัก ทว่าวันนี้กลับตาลปัตร เป็นตัวเขาที่กลายเป็นคนน่าชังผู้นั้นเสียเอง

ไป๋สิงเจี่ยนยกแขนเสื้อออกจากหนังสือด้วยความขุ่นเคืองใจ สายตามองไปที่หนังสืออย่างหมดหวังและจำนน เชื่อว่ามันต้องเลอะเทอะมากแน่ ก่อนที่ตัวเขาจะนิ่งค้างไม่ไหวติงในทันใด ตรงที่น้ำแกงหกรดใส่ ตัวอักษรเดิมกลับไม่ลบเลือนเลยแม้แต่น้อย อักษรทุกตัวยังคงเห็นได้ชัด…แจ่มชัดอย่างยิ่ง

นี่เป็นเรื่องดียิ่ง ตันชิงที่พบเห็นเหตุการณ์อันไม่คาดคิดนี้ก็แสดงความยินดีจนออกนอกหน้า และที่น่าแปลกยิ่งก็คือเมื่อเขามองไปที่ไป๋สิงเจี่ยนแล้วกลับไม่พบความยินดีบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับเห็นเพียงสีหน้าที่เย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็ง สติและจิตใจล้วนล่องลอย

“ไท่สื่อ?” ตันชิงเอ่ยเรียก

ไป๋สิงเจี่ยนปล่อยให้หนังสือที่มากคุณค่าในมือหล่นลงพื้น เขายื่นมือไปคลำหาไม้เท้า ทว่าเมื่อมือผ่านช่วงเอวลงไปเขาก็หยุดนิ่งในทันที

 

ฉืออิ๋งจามครั้งหนึ่ง…นางสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก ยังคงเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือที่เรียงเป็นแถวๆ กลิ่นเหม็นอับของน้ำหมึกและกองกระดาษเก่าที่เก็บมานานปี รมนางจนมึนศีรษะไปหมดแล้ว

ฉืออิ๋งทั้งมึนศีรษะและตาลาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหนังสือมากมายปานนี้ คาดเดาจากสายตาแล้วน่าจะมีเป็นหมื่นเล่ม เป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากทุกราชสำนักทุกรัชศกและจากพื้นที่ต่างๆ ของอาณาจักรจิ่วโจว ในยุคโบราณ แม้แต่ประวัติศาสตร์โพ้นทะเลก็ล้วนเก็บรวบรวมไว้ที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ ที่หอไท่สื่อไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาข้างในเป็นเพราะที่นี่เก็บรักษาบันทึกเรื่องราวของผู้คนในปัจจุบันเอาไว้

ต่อให้ฉืออิ๋งอยากขโมยอ่านเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนเขียนถึงมารดาของนางมากเพียงใด แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด นางจึงอยู่ที่นี่นานไม่ได้ บนชั้นหนังสือสีเหลืองจางเบื้องหน้ามีป้ายเขียนแยกแยะตามตระกูลที่มีชื่อเสียง บางทีอาจมีที่เกี่ยวพันทางสายเลือดของข้า นางมองไปก็เห็นบันทึกของ ‘สกุลเจียงแห่งซีจิง’ นางไม่อาจบังคับสองมือของตนเองไว้ได้ รีบหยิบหนังสือออกจากชั้นมาพลิกเปิดอ่าน และชื่อแรกที่ขึ้นต้นก็เป็นบิดาของนางจริงๆ แต่ไม่ได้บันทึกรายละเอียดอะไรมากมาย เพียงเขียนอธิบายไว้ว่าบันทึกไว้ใน ‘ชีวประวัติสนมชายา‘ ?!

ฉืออิ๋งเกือบจะฉีกหนังสือทิ้ง หลันไถช่างไม่รู้จักการปรับเปลี่ยนเลย ไม่คาดคิดว่าจะบันทึกเรื่องราวบิดาของนางไว้ใน ’ชีวประวัติสนมชายา’ เช่นนี้ เนื่องจากมารดาของนางไม่อยากให้บิดาต้องสูญเสียความนับถือตนเองไป จึงฉีกกฎที่มีอยู่แต่เดิมแล้วจัดตั้งตำแหน่งเฟิ่งจวินขึ้น ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางเองก็เรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อ อีกอย่าง มารดาของนางก็ต้องผ่านความยากลำบากมามากกว่าจะยกย่องเสด็จพ่อขึ้นเป็นกษัตริย์ในทุกแห่งหนเช่นนี้ได้ แต่นี่กลายเป็นว่าเมื่อมาถึงหลันไถแล้ว ที่ตบแต่งไว้เบื้องหน้าก็ถูกฉีกขาดเสียสิ้น อาณาจักรไม่อาจมีกษัตริย์สองคน กษัตริย์องค์ที่สองก็คือสนมชายา

ในเวลาเดียวกับที่ฉืออิ๋งกำลังหาความเป็นธรรมให้กับบิดาของนางอยู่นั้น นางก็อดนึกถึงตนเองขึ้นมาไม่ได้ หากว่านางขึ้นครองราชย์และแต่งงานขึ้นมา เฟิ่งจวินของนางก็ต้องถูกบันทึกอยู่ในชีวประวัติสนมชายาด้วยหรือ

ช่างเถิด เรื่องนี้ถือว่ายังมีเวลาคิด แม้ว่าระยะนี้มารดานางจะกำลังกลุ้มใจที่หาสามีให้กับนางไม่ได้ ถึงอย่างนั้นบิดานางกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะหาสามีให้กับนางตั้งแต่ตอนนี้ นี่น่าจะเป็นความรู้สึกของมารดาทุกคนที่รู้สึกว่าลูกสาวของตนแต่งไม่ออก ขณะที่บิดาก็จะคอยกีดกันบุรุษทุกคนที่มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาเป็นลูกเขย

ฉืออิ๋งเห็นว่าตนเองยังเที่ยวเล่นไม่สาแก่ใจ นางจึงทำเป็นหูทวนลม ไม่นำพาต่อคำของมารดาที่ให้รีบเร่งหาตัวเลือกสักหนึ่งหรือสองคนจากสำนักศึกษาเจาเหวิน พวกลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูงในที่นั้นจะมีใครกล้ามาเป็นสามีนางอีก

ฉืออิ๋งดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางวางบันทึกของสกุลเจียงแห่งซีจิงที่เกี่ยวกับบิดากลับเข้าที่เดิม แล้วก็ควานหากองหนังสือที่วางบนชั้นไม้แดงต่อไป พวกทายาทจากตระกูลใหญ่ที่น่าชังช่างมีมากมายนัก นางใช้เวลาพลิกอ่านอยู่เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา* จึงเจอของที่คิดอยากได้ ‘สกุลชุยแห่งป๋อหลิง’ มีทั้งหมดสามสิบเล่ม

หมึกเป็นของใหม่ กระดาษก็ของใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งนำมาเก็บได้ไม่นาน

ฉืออิ๋งได้รับการยืนยันว่าไป๋สิงเจี่ยนละเลยเรื่องนี้จริงๆ สามสิบเล่มล้วนอยู่ที่นี่โดยไม่ขาดสักเล่ม นั่นก็หมายความว่าไป๋สิงเจี่ยนยังไม่สงสัย เขาจึงได้เอากลับเข้ามายังหอไท่สื่อแห่งนี้

 

ตันชิงไม่เคยเห็นไป๋สิงเจี่ยนมีอาการฉุนเฉียวเช่นนี้มาก่อน ย่างก้าวแต่ละก้าวเร็วจนน่าแปลกใจ ตันชิงได้แต่เดินกึ่งวิ่งตามมาข้างหลังด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดจะไปตามคนมาช่วย แต่ก็กลัวว่าผู้เป็นนายจะรีบร้อนจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เขาจึงตามติดกระชั้นชิดต่อไป

เห็นไป๋สิงเจี่ยนมุ่งไปทางหอไท่สื่อ ตันชิงก็รู้สึกได้อยู่ลึกๆ ว่าเห็นทีคงจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้นแน่

บนทางเดินมีเจี้ยวซูหลางสองคนผ่านมา กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเห็นหัวหน้าสำนักหลันไถสวนทางมา เสื้อที่ใส่ถึงขั้นกระพือลมยามย่างก้าว ทั้งสองก็ตระหนกวูบในทันที ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

ตันชิงที่อยู่ข้างหลังไป๋สิงเจี่ยนตะโกนบอกกับ ‘หุ่นไม้สองตัว’ นั้นว่า “รีบหลีกทางเร็วเข้า!”

ทั้งสองคนจึงได้คืนสติ ขณะที่ไป๋สิงเจี่ยนเกือบจะชนพวกเขาอยู่แล้วนั้น ทั้งสองก็รีบกระโจนร่างออกไปจากทางเดิน ร่างของพวกเขาทั้งคู่เข้าไปอยู่ในกอดอกกล้วยไม้ทันที

เจี้ยวซูหลางทั้งสองหันร่างกลับไปมอง บนศีรษะของพวกเขายังมีดอกกล้วยไม้ติดอยู่ ทั้งสองเห็นเพียงท่าเดินอันเร่งรีบของไป๋สิงเจี่ยนมุ่งหน้าไปยังหอไท่สื่อ ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก เมื่อครู่ตอนพวกเขากินอาหารพลางพูดคุยกันสนุกปากอยู่นั้น หรือว่าได้เผลอละเลย ‘ดาวหายนะ’ ไป

ประตูสีแดงทั้งสองบานของหอไท่สื่อปิดอยู่ ทว่ากุญแจลับที่อยู่ด้านบนกลับเปิดเอาไว้ ไป๋สิงเจี่ยนค้ำไม้เท้าหยุดตรงหน้าประตู หน้าอกพลันกระเพื่อมขึ้นลง ตอนแรกเขาเพียงหวังว่าตนเองจะกังวลมากเกินไปเอง บางทีเขาอาจแค่ไม่ระวังเผลอทำกุญแจหล่นหายไป ทว่าทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับมุ่งไปสู่ทิศทางที่เลวร้ายที่สุด

ไป๋สิงเจี่ยนยกมือซ้ายจับไปที่ห่วงประตูพลางออกแรงผลักออก แล้วเดินก้าวเข้าไปข้างใน

ชั้นหนังสือตั้งเรียงซ้อนๆ กัน เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจู่ๆ ที่แห่งนี้ก็มีเงาคนเพิ่มขึ้นมา

ฉืออิ๋งนั่งอยู่บนพื้น เดิมทีนางกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอย่างติดพัน ก่อนจะต้องตกใจกับการเข้ามาของไป๋สิงเจี่ยน หนังสือในมือนางพลันตกลงบนพื้น

ไป๋สิงเจี่ยนไม่พูดอะไรสักคำ เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงเก็บหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา หน้าปกมีอักษรตัวใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ชีวประวัติสนมชายา’ และที่เปิดอ่านค้างไว้ก็คือประวัติของเฟิ่งจวิน…เจียงเหมี่ยน

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เองหรือ

ฉืออิ๋งหยิบกุญแจมาลากไปบนพื้นพลางบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “ใจแคบ! ข้าจะทูลฟ้องเสด็จพ่อ บอกว่าท่านบันทึกเรื่องของพระองค์ไว้ในชีวประวัติสนมชายา!”

ไป๋สิงเจี่ยนพลันรู้สึกว่าหากฉืออิ๋งไม่ได้เป็นรัชทายาท เขาคงได้เอาไม้เท้าตีก้นนางเป็นแน่! เขาก้มตัวลงอีกครั้งแล้วฉวยเอากุญแจในมือนางคืนมา พยายามยิ่งยวดที่จะไม่ให้ถูกนิ้วมือของนาง ปิดหนังสือแล้ววางคืนที่เดิม

พอไป๋สิงเจี่ยนหันหลังให้เช่นนี้ ฉืออิ๋งก็วิ่งไปในระหว่างชั้นหนังสือ ตั้งใจจะออกไปทางประตู

“ทรงหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!”

ร่างของฉืออิ๋งพลันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะแสร้งทำเป็นหูทวนลมด้วยการวิ่งต่อไป อย่างไรเสียประตูก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ขอเพียงแค่วิ่งต่อไปอีกนิด!

“วันนี้องค์หญิงทรงคิดว่าจะเสด็จออกไปจากหลันไถได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยขึ้นมาอีก

ฉืออิ๋งหยุดชะงักแล้วหันร่างกลับมา แสงจากภายนอกส่องให้เห็นใบหน้าชุ่มน้ำตา “อาจารย์คิดจะทำอย่างไรกับศิษย์หรือ”

“หลันไถมีกฎ คนที่แอบเข้าหอไท่สื่อให้ควักดวงตาออกมาทั้งสองข้างและอยู่เป็นข้ารับใช้ที่นี่ ตลอดชั่วชีวิตห้ามก้าวออกจากหลันไถแม้แต่ก้าวเดียว”

“ท่านกล้ารึ!” ฉืออิ๋งจ้องเขาทั้งน้ำตา สองตาพร่ามัว นางในยามนี้ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก “ข้าเป็นถึงรัชทายาทเชียวนะ!”

“ในเมื่อรัชทายาททรงประพฤติผิดก็จำต้องรายงานแก่ฝ่าบาท แจ้งเรื่องผิดคุณธรรม ติดประกาศทั่วหล้า” ไป๋สิงเจี่ยนนิ่งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยเพิ่มว่า “ปลดรัชทายาท”

ฉืออิ๋งตื่นตระหนกจนร้องไห้ไม่ออกแล้ว “ใครเป็นคนออกกฎกัน!”

ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “กระหม่อมออกเอง…เมื่อครู่นี้”

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: