บทที่หนึ่ง
ยามนี้จิตใจของไป๋ถานกลัดกลุ้มรุ่มร้อนยิ่ง เนื่องจากนางเพิ่งถูกผู้อื่นลักพาตัวมา!
เหตุเกิดขึ้นหลังมื้อค่ำของวันนี้เอง ตอนนั้นนางปรับไส้ตะเกียงให้สว่าง กำลังอ่านหนังสือในยามราตรี เมื่อถึงตอนที่สองทัพประจัญบาน นางตะเบ็งเสียงพูดตามแม่ทัพใหญ่ในเรื่องว่า ‘วันนี้ข้าคงถูกจับเป็นแน่แท้!’ แล้วจู่ๆ บนขื่อห้องก็ปรากฏคนชุดดำผู้หนึ่งโผล่ศีรษะลงมา ‘มารดามันเถอะ ข้าถึงกับถูกพบเห็นเข้าจนได้!’
ไป๋ถานกระโดดโหยงร้องตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย!’
อู๋โก้วซึ่งจะไปตักน้ำเดินผ่านห้องไป๋ถานพอดี นางจึงขานตอบหนึ่งประโยคด้วยความตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ‘อาจารย์เจ้าคะ ท่านยังสวมบทบาทเป็นผู้อื่นอยู่อีกหรือ คนออกรบหาใช่ท่านไม่!’
ไป๋ถานยังไม่ทันจะได้อธิบาย ต้นคอของนางก็ถูกสันมือของคนผู้หนึ่งฟาดสลบไปเสียก่อน
รอจนนางฟื้นคืนสติแล้วจึงพบว่าตนนั่งอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตาห้องหนึ่ง ไม่ว่าจะเสาคานซึ่งสลักเสลาวาดลายลงเคลือบเงา ทั้งฐานวางโคมไฟลงยา และฉากบังลมซึ่งทำมาจากไม้แดงฝังหยก…
นางถูกทิ้งให้อยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนบนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะนี้เพียงลำพังแล้ว…
ที่นี่มิใช่สถานที่ซอมซ่อ คาดว่าผู้ที่จับนางมาก็คงมิใช่คนธรรมดาเช่นกัน
ด้านนอกของฉากบังลมมีบุรุษสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่
คนผู้หนึ่งกล่าวว่า “เจ้ากล้าลงมือจริงหรือนี่ นางเป็นคนสกุลไป๋แห่งไท่หยวน มาจากตระกูลผู้ดีเชียวนะ ลักพาตัวคนมาเช่นนี้จะไม่เป็นเรื่องแน่หรือ”
ทว่าคนอีกผู้หนึ่งกลับเอ่ยอย่างดูแคลน “ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่จวนหลิงตูอ๋องของพวกเราไม่กล้าจับตัวอีก นางก็แค่หญิงจากตระกูลขุนนางที่ตกอับ บิดามารดาไม่รัก ยังจะกลัวนางหาอะไร ต่อให้ฆ่านางทิ้งตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนรู้ด้วยซ้ำ!”
กระทั่งสถานะของนาง อีกฝ่ายก็ยังสืบจนกระจ่างชัด ไป๋ถานพลันขนลุกซู่อยู่ในใจ ทว่าเมื่อตรองจนถี่ถ้วนแล้ว จวนหลิงตูอ๋องที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงนั้นนางกลับไม่เคยคบค้าสมาคมด้วยเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเคยไปล่วงเกินหรือไม่
ไป๋ถานนั่งขัดสมาธิยืดกายตรง ใครจะคาดว่าเพียงแค่นางเพิ่งขยับตัว ต้นคอจะเจ็บแปลบรุนแรงจนนางต้องสูดปากร้องอย่างไม่อาจข่มกลั้นได้
คงเป็นเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว บุรุษสองคนนั้นจึงยุติบทสนทนาแล้วเดินอ้อมฉากบังลมเข้ามา
ผู้เดินนำหน้าก็คือคนชุดดำที่ลักพาตัวไป๋ถานมาที่นี่ รูปร่างของเขากำยำล่ำสัน สีหน้าดำทะมึน ดวงตาดุดันวาวโรจน์ ตรงง่ามมือมีแผลเป็นจากคมอาวุธยาวต่อเนื่องมาจนถึงหลังมือ
อีกผู้หนึ่งนั้นมีรูปร่างผอมสูงกว่า ทว่าสวมชุดเกราะเช่นเดียวกับนายทหาร สีหน้าเขาซีดขาว เส้นผมแห้งกรอบจนสีผมเปลี่ยน แม้มุ่นมวยผมแล้วก็ยังแลดูยุ่งกระเซอะกระเซิงอยู่ สภาพของเขาคล้ายตั้งแต่เล็กไม่เคยได้กินอิ่มมาก่อน
คนชุดดำเคาะกรอบฉากบังลมพร้อมสีหน้าดุร้าย “เจ้าฟื้นแล้วก็ดี จงอย่าได้คิดตุกติก ขอเพียงเจ้าช่วยทำธุระเรื่องหนึ่งให้พวกเราอย่างว่าง่ายแล้วพวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากโดยเด็ดขาด”
ไป๋ถานชำเลืองมองซ้ายขวาก่อนถามอย่างรู้สถานการณ์ “ธุระอันใด”
คนชุดดำตอบ “นับตั้งแต่นี้เจ้าจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับหลิงตูอ๋อง อีกครู่จะมีคนมาสอบถามเจ้า ไม่ว่าเขาถามสิ่งใดเจ้าก็ต้องทำทีว่ารู้เรื่องนั้นดี อีกทั้งจงเลือกพูดแต่ถ้อยคำที่จะส่งผลดีต่อหลิงตูอ๋องเท่านั้น หากเจ้าทำเรื่องนี้ได้ดี พวกเราขอรับรองกับเจ้าว่าแม้แต่เส้นผมก็จะไม่สึกหรอเลยสักเส้น”
ไป๋ถานเคยได้ยินแต่ว่าจับคนไปเป็นฮูหยินค่ายโจร นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการจับคนมาเป็นอาจารย์ด้วย
หลิงตูอ๋องผู้นี้อยากได้รับการอบรมสั่งสอนมากปานนี้เชียว…
“คำถามของคนผู้นั้น…จะต้องให้ข้าเป็นผู้ตอบเท่านั้นหรือ”
“มิผิด! หากเจ้าไม่เชื่อฟังก็จะเป็นเช่นโต๊ะตัวนี้!” คนชุดดำฟาดหนึ่งฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่เบื้องหน้านางทันที โต๊ะเล็กซึ่งเขียนสีบนพื้นดำเคลือบเงาพลันหักไปมุมหนึ่งพร้อมกับเสียงดังเป๊าะ
ไป๋ถานกระถดถอยไปด้านหลังแล้วผงกศีรษะระรัวดุจลูกไก่จิกข้าวสาร “เชื่อๆ! ว่าแต่หลิงตูอ๋องนี่เป็นผู้ใดกัน”
คนผมแห้งกรอบที่เข้ามาพร้อมกับคนชุดดำร้องขึ้นอย่างตื่นตะลึง “กระทั่งท่านอ๋องของพวกเราเป็นใครนางก็ยังไม่รู้!”
คนชุดดำกอดอกพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง “คนที่หมกตัวอยู่บนภูเขาตงซานมานานปีอย่างนาง ปกตินอกจากสอนศิษย์ไม่กี่คนนั่นแล้วนางยังจะได้คบค้าสมาคมกับใครที่ไหน จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรได้อีกเล่า ไม่รู้จักท่านอ๋องของพวกเราสิจึงจะจัดการง่ายกว่า”
“ก็จริง” คนผมแห้งกรอบเกาศีรษะแกรกๆ
“เฝ้านางไว้ให้ดีล่ะ!” คนชุดดำกำชับอีกฝ่ายหนึ่งประโยคแล้วถลึงตาข่มขู่ไป๋ถานอีกครั้ง ก่อนเร่งรุดออกจากประตูไป
ไป๋ถานคาดคะเนว่าเขาน่าจะไปรับผู้สอบถามที่เอ่ยถึงผู้นั้นมา
จริงดังคาด ไม่ช้าคนชุดดำก็กลับเข้ามา ชุดดำสำหรับปฏิบัติภารกิจยามราตรีของเขาได้ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว เบื้องหลังยังนำพาคนผู้หนึ่งมาด้วย
คนผู้นั้นเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยเล็กทั้งยังซูบผอม สวมชุดลำลองแลดูคล้ายบัณฑิต ทว่าข้างเอวกลับพกกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง เขาเดินอ้อมฉากบังลมมายืนอยู่เบื้องหน้าไป๋ถาน หลังพินิจนางขึ้นลงอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งแล้วจึงผงกศีรษะกล่าว “มิผิด นางคือไป๋ถาน…คุณหนูสกุลไป๋จริงๆ”
ไป๋ถานประหลาดใจไม่น้อย นางรู้ว่าความสามารถของตนอาจจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ทว่ากลับนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตนจะเป็นที่เลื่องลือจนถึงขั้นผู้อื่นมองเพียงรอบเดียวก็จดจำได้
บุรุษผู้นั้นคารวะไป๋ถานก่อนเอ่ยชี้แจง “ขออภัยที่มาเยือนยามวิกาล สร้างความลำบากแก่คุณหนูแล้ว ข้าน้อยเกาผิง วันนี้มาขอรบกวนสอบถามคุณหนูสองสามคำถามก็จะกลับ”
คนชุดดำเดินมายืนอยู่ด้านหลังของไป๋ถานแล้วลอบขยับมือข้างหนึ่งใช้สองนิ้วจ่อที่กระดูกสันหลังของนางโดยที่เกาผิงไม่ทันสังเกต ไป๋ถานยังไม่อยากกลายเป็นคนพิการเฉียบพลันจึงยกมือเอ่ยด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการ “เชิญท่านสอบถามมาได้”
“หลิงตูอ๋องระยะนี้กล่อมเกลาจิตใจได้ผลบ้างหรือไม่” เกาผิงกล่าว
“อืม…ได้ผลสิ” ถึงขั้นต้องอบรมบ่มนิสัยกันแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่านี่มีต้นสายปลายเหตุเช่นไร
“ประเสริฐแท้ เช่นนั้นปกติคุณหนูให้ท่านอ๋องกล่อมเกลาจิตใจอย่างไรบ้าง”
“อ่านตำราจวงจื่อ* กับคัมภีร์เต้าเต๋อจิง และคัดลอกอักษรของหวังอี้เซ่า” อย่างไรเสียการกล่อมเกลาจิตใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่นางว่ามา
เกาผิงเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง “ท่านอ๋องยอมสงบใจทำสิ่งเหล่านี้เชียวหรือ คุณหนูช่างมีฝีมือโดยแท้ ไม่ทราบท่านอ๋องให้ความเคารพต่อคุณหนูหรือไม่ หากมีสิ่งใดที่คุณหนูยากจะควบคุมก็โปรดเอ่ยปากมาได้อย่างเต็มที่”
“ท่านอ๋องเคารพเชื่อฟังอาจารย์เสมอมา ไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่ให้เกียรติ” หึๆ ยังไม่ทันรู้จักกันเขาก็ลักพาตัวข้ามาแล้ว…ช่างเคารพให้เกียรติกันเสียจริง!
แววประหลาดใจบนใบหน้าของเกาผิงยิ่งเผยออกมาอย่างเด่นชัด ยามที่ไป๋ถานมองใบหน้าของเขาแล้ว จึงรู้สึกได้ว่าสีหน้าของเขาคล้ายแทรกไว้ด้วยอารมณ์ขัน ราวกับสิ่งที่นางพูดนั้นล้วนเป็นวาจาที่ไร้แก่นสาร
ความคิดนางพลันผุดวาบขึ้นในใจ หรือว่าเกาผิงจะพบเห็นเรื่องน่าสงสัยแล้ว? เช่นนั้นท่านก็เบิกตาให้กว้างๆ แล้วช่วยข้าจากการถูกลักพาตัวนี้ทีสิ!
ทว่าเกาผิงกลับมีสีหน้าเป็นปกติดุจเดิมอย่างรวดเร็ว “ต่อไปยังต้องรบกวนคุณหนูสิ้นเปลืองความคิดให้มากยิ่งขึ้น อุปนิสัยของหลิงตูอ๋องในช่วงนี้ช่างชวนให้ผู้อื่นกล่าวประณามโดยแท้ ฝ่าบาทเองก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เพียงได้ยินว่าคุณหนูยอมออกหน้าให้การอบรม ฝ่าบาทยังทรงไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ ยามนี้เห็นคุณหนูดูแลอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ ข้าน้อยก็วางใจกลับไปถวายรายงานได้อย่างหมดกังวล”
ไป๋ถานพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง ความรู้สึกนั้นคล้ายดั่งถูกผู้อื่นยัดเกล็ดน้ำแข็งหนึ่งกำมือเข้ามาในปากแล้วอุดปิดไว้ จะคายออกก็มิได้จะกลืนลงคอก็ยากลำบาก ได้แต่ปล่อยให้ความเย็นวาบแผ่ซ่านตั้งแต่ขากรรไกรจนจรดผิวแก้ม
หากรู้แต่แรกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับฝ่าบาท ต่อให้ถูกคนชุดดำตีตายนางก็จะไม่รับปากเด็ดขาด นี่มิใช่ว่านางกำลังหลอกลวงเบื้องสูงหรอกหรือ!
แต่จะว่าไปฝ่าบาททรงว่างงานมากนักหรือ หากพระองค์ทรงว่างมากจริงๆ ก็ควรไปห่วงใยตำหนักในสิ มาทรงห่วงใยอันใดกับหลิงตูอ๋อง! นางร้องถามสวรรค์ในใจ
โชคยังดีที่เกาผิงไม่ได้สอบถามเรื่องอื่นอีก หลังเอ่ยวาจาอีกสองประโยคเขาก็กล่าวขอตัว
คนผมแห้งกรอบออกไปส่งแขก ท่าทีของคนชุดดำพลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขายิ้มร่าขณะเดินอ้อมมาถึงตรงหน้าไป๋ถาน “ได้ยินมานานแล้วว่า ‘สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้าคือหนึ่งชิงกับสองไป๋’ คุณหนูสกุลไป๋สมคำเล่าลือ ที่พาเจ้ามาถือว่าข้าเลือกได้ไม่ผิดจริงๆ”
ไป๋ถานขยุ้มชายเสื้อพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ด้วยฐานะของหลิงตูอ๋องแล้ว อยากจะได้อาจารย์เช่นไรย่อมไม่มีปัญหา แค่ไปเชิญมาโดยตรงก็ได้แล้ว ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”
คนชุดดำหัวเราะร่วน “คนทั่วหล้านี้ก็มีแต่เจ้าผู้เดียวที่จะพูดเช่นนี้แล้ว หากท่านอ๋องของข้าออกหน้าไปเชิญอาจารย์จริงก็คงไม่มีผู้ใดกล้ารับหรอก ใช้หนทางนี้ยังนับว่ารวบรัดกว่า”
ไม่กล้ารับหรือ… ไป๋ถานไม่อยากจะเชื่อ ยังคงขยุ้มชายเสื้อสอบถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจะต้องเป็นข้าเล่า”
ก่อนลักพาตัวนางมา คนชุดดำยังกังวลใจว่านางจะทะนงตนหัวแข็งเหมือนที่พวกเหล่าบัณฑิตเป็นกัน หากนางเป็นเช่นนั้นจริงคงรับมือได้ยากยิ่ง ทว่ากลับไม่คาดคิดว่านางจะใจเสาะถึงปานนี้ เขาขู่เสียงเหี้ยมไปไม่กี่ประโยคนางก็ยอมอยู่ในโอวาทแล้ว เขาจึงบอกต่อนางอย่างไม่กริ่งเกรงว่า “เนื่องจากเจ้าเป็นคนมีชื่อเสียง คำพูดย่อมมีน้ำหนัก มิหนำซ้ำเจ้าก็เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน จับตัวเจ้ามาจึงเป็นเรื่องง่ายที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนเจ้ายังเคยสอนท่านอ๋องของข้าด้วย!”
“ข้าเคยสอนท่านอ๋องของเจ้าเมื่อไหร่กัน”
“ก็เมื่อก่อนอย่างไรเล่า” ใบหน้าของคนชุดดำขรึมลงในฉับพลัน “นี่หมายความว่าอย่างไร เจ้ามิได้ใส่ใจท่านอ๋องของข้าเลยหรือ”
“ไหนเลยจะเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะข้าจำท่านอ๋องของเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ…” ไป๋ถานยิ้มประจบทั้งที่ในใจดูแคลน เมื่อก่อนหรือ…หากเป็นเมื่อก่อนพวกเจ้าลองกล้าแตะข้าเช่นนี้ดูสิ!
คนชุดดำคร้านจะพูดกับนางให้มากความอีก เขาเหลือกตาแล้วเดินออกนอกประตูไปสั่งการสองประโยค จากนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งก็ยกน้ำชากับของว่างเดินเข้ามาจัดวางบนโต๊ะเล็กอย่างนอบน้อม ทั้งยังจัดเตียงให้อีกด้วย รอจนทำเสร็จแล้วนางก็ถอยออกไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสักครั้งเดียว
คนชุดดำยืนอยู่นอกประตู เขากวาดตามองเข้ามาในห้องสองหนก่อนปิดประตูดังโครม ท่าทางจะยืนเฝ้าประตูนี้ด้วยตนเอง
ไป๋ถานมุ่นหัวคิ้ว นางเพียงแสร้งทำใจเสาะเพื่อคลายความระแวงของพวกเขา ดูคล้ายว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ทำร้ายนางแล้วก็จริง ทว่าก็ดูเหมือนไม่คิดจะปล่อยนางไปเช่นกัน
การสอนในวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดีเล่า จู่ๆ คนทั้งคนก็หายตัวไป ศิษย์ทั้งหลายจะไม่ตกใจกันแย่หรือ!
นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องสองรอบพร้อมหัวใจที่ว้าวุ่นกระสับกระส่าย ขณะที่นางยังคิดหาวิธีรับมือไม่ได้นั้น นอกห้องพลันมีเสียงเรียกของคนผมแห้งกรอบจากระยะไกลจนกระทั่งเสียงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ “ฉีเฟิง ฉีเฟิง มานี่เร็วเข้า!”
คนชุดดำผละจากประตูห้องพลางตะโกนด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชติช่วง “เรียกหานายของเจ้าหรืออย่างไร! นายมา…” เสียงนั้นแผดออกไปได้เพียงครึ่งหนึ่งน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนวูบ “นายข้ามาแล้วหรือนี่ นายข้า ไฉนท่านกลับมาเอาป่านนี้เล่าขอรับ”
“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทส่งคนมาแล้ว” สุ้มเสียงอันเย็นชานั้นเจือความอ่อนเพลียเล็กน้อย
“ใช่ขอรับๆ ไม่มีเรื่องใหญ่โตอันใด คลี่คลายเรียบร้อยแล้ว”
“อืม”
ไป๋ถานลอบวิ่งไปที่ข้างประตูแล้วมองลอดช่องประตูออกไป ทว่านางกลับเห็นเพียงเลือดกองโต
คนผมแห้งกรอบชูคบไฟ ข้างเท้าของเขามีคนสองคนนอนทอดร่างลมหายใจรวยรินอยู่ เลือดเนื้อผสมเคล้ากันจนแทบแยกไม่ออก
“กู้เฉิง เอาตัวสองคนนี้ไป อย่าให้พวกมันตายเสียล่ะ” สุ้มเสียงอันเย็นชานั้นออกคำสั่งมาหนึ่งประโยค เพราะเจ้าของเสียงผู้นั้นยืนอยู่ตรงมุมอับพอดี ทำให้ไป๋ถานไม่อาจมองเห็นตัวคนได้
คนผมแห้งกรอบขานรับแล้วใช้เท้าเตะหลังของหนึ่งในสองที่นอนอยู่ “ท่านอ๋อง ดูท่าพวกมันจะทนได้ไม่พ้นคืนนี้แล้ว”
เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “ใช้ได้ที่ไหนกัน ข้ายังสนุกไม่พอเลย หากเพียงเท่านี้พวกมันก็ตายเสียแล้ว ไม่เท่ากับพวกมันได้เปรียบหรอกหรือ”
คนผมแห้งกรอบส่งเสียงอ้ออย่างรู้งาน จากนั้นจึงกวักมือเรียกให้คนมาช่วยเหลือ
สองคนนั้นถูกลากตรงไปเรื่อยๆ ทิ้งรอยเลือดไว้บนพื้นสองสาย ไป๋ถานรีบถอนสายตากลับมาด้วยความหวาดผวา
หากคนผู้นี้คือหลิงตูอ๋อง เช่นนั้นนางก็แน่ใจว่าตนไม่เคยสอนเขาอย่างแน่นอน!
ขณะที่เสียงด้านนอกเคลื่อนไกลออกไปแล้ว ประตูห้องก็พลันถูกผลักเปิด ไป๋ถานหมุนกายหนึ่งรอบก่อนจะล้มตัวลงบนพื้นด้วยความเร็วระดับฟ้าร้องยังไม่ทันยกมือป้องหู แล้วทำท่าบอบบางน่าสงสาร
คนชุดดำพรวดพราดปรี่เข้ามาคว้าตัวนางพร้อมข่มขู่ “ลุกขึ้นเร็วเข้า! ข้าจะรีบส่งเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทางที่ดีจงปล่อยให้มันเน่าคาท้องของเจ้าเสีย หาไม่วันหน้าเจ้าก็จะไม่ใช่ ‘หนึ่งชิงสองไป๋’ ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาของผู้อื่นอีก”
ไป๋ถานย่อมไม่คิดพูดออกไป หลอกลวงเบื้องสูงมีโทษถึงศีรษะหลุดจากบ่าเชียวนะ หากเทียบกับเรื่องนี้แล้วศักดิ์ศรีของสตรีจะนับเป็นอย่างไรได้
ดูจากท่าทางรีบร้อนลนลานของคนชุดดำแล้วในใจไป๋ถานก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มดุจปุยฝ้าย “เมื่อครู่คนผู้นั้นคือท่านอ๋องของเจ้าสินะ เขาไม่รู้เรื่องนี้สักนิดเลยใช่หรือไม่”
“เพ้อเจ้อ! ท่านอ๋องของข้าองอาจปราดเปรื่อง จะต้องการอาจารย์ไปเพื่ออะไรกัน หากไม่เพราะต้องรับมือกับฝ่าบาท ไหนเลยจะมีธุระกงการกับเจ้า”
ไป๋ถานฉวยจังหวะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเรื่องในวันนี้ทางที่ดีอย่าได้มีคราวหน้าอีกจะดีกว่า หาไม่…ช้าหรือเร็วก็ต้องไปถึงหูท่านอ๋องของเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะเป็นเหมือนสองคนนั้นหรือไม่เล่า…”
คนชุดดำถูกวาจาของนางทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อับจนถ้อยคำที่จะกล่าว ได้แต่กลอกตาไปมา อัดอั้นอยู่เป็นนานสองนานก็ยังคงพูดไม่ออกสักประโยค สุดท้ายจึงเลือกวิธีอันรวบรัดหมดจดใช้สันมือฟาดใส่ต้นคอของนางให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
พริบตาก่อนที่ไป๋ถานจะหมดสติ นางถึงกับมีความคิดจะละทิ้งภาพอันดีงามของคนเป็นอาจารย์เอ่ยคำทักทายไปถึงบรรพชนของอีกฝ่ายแล้ว
นอนมาถึงครึ่งคืนหลัง อู๋โก้วพลันท้องเสียจึงรีบรุดไปห้องปลดทุกข์ราวกับถูกไฟลน พอเสร็จธุระนางก็เดินผ่านหน้าประตูห้องของไป๋ถาน อาศัยแสงจันทร์อันสุกสกาวแล้วปรายตามองไปที่ประตู นางกลับรู้สึกว่าประตูห้องของผู้เป็นอาจารย์ยามนี้ดูคล้ายผิดแปลกจากแต่ก่อนอยู่บ้าง
อู๋โก้วยื่นมือผลักเบาๆ ไปที่ประตูเพียงครั้งเดียวก็อ้าออก นางเพิ่งจะพบว่าประตูนี้เพียงงับไว้เฉยๆ ไม่ได้ลงกลอนจึงเดินเข้าไปตรวจดู ก่อนจะเห็นไป๋ถานนอนทั้งเสื้อผ้าครบชุดอยู่บนเตียงโดยไม่คลุมผ้าห่ม พอนางคลำดูที่กลอนประตูอีกครั้งจึงพบว่ามันใช้การไม่ได้แล้ว
นางถอนหายใจ ก่อนคลุมผ้าห่มให้ไป๋ถาน เสร็จแล้วจึงค่อยปิดประตูตามหลังอย่างระมัดระวัง ในใจบ่นอุบไม่หยุด…วันนี้อาจารย์ช่างคึกคักเสียจริง แสดงเกินพอดีจนเตะประตูพังเลยสินะ ยังดีที่มีข้าอยู่ ไม่เช่นนั้นถูกผู้อื่นลักพาตัวไปก็คงยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เฮอะ!
ยามที่ไป๋ถานฟื้นขึ้นอีกครั้ง นางพลันรู้สึกว่าลำคอของตนใกล้จะหักอยู่รอมร่อ
แสงแดดนอกหน้าต่างส่องแยงตา ตะวันสายโด่งแล้ว ห้องชั้นนอกก็แว่วเสียงดังก๊อกแก๊กมาให้ได้ยิน
นางนวดต้นคอพลางก้าวลงจากเตียง เมื่อเดินอ้อมฉากบังลมออกมาก็เห็นอู๋โก้วกำลังเคาะๆ ตอกๆ ซ่อมประตูอยู่
อู๋โก้วหยุดมือทันทีที่มองเห็นนาง “คาดว่าเมื่อคืนอาจารย์คงเหน็ดเหนื่อยเกินไป ข้าจึงเจ้ากี้เจ้าการให้ศิษย์น้องทั้งหลายกลับไปก่อนแล้ว ท่านจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะเจ้าคะ”
ไป๋ถานชะโงกศีรษะมองเข้าไปในห้องปีกตะวันตก ไร้เงาคนจริงเสียด้วย
ยามปกติเรือนพักของนางมีศิษย์ทั้งหมดสิบกว่าคนที่เดินทางมาศึกษาเล่าเรียน มีเพียงอู๋โก้วผู้เดียวที่เป็นสตรี มีชาติตระกูลต่ำต้อย ทั้งยังตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิง นางจึงรับอุปการะอู๋โก้วไว้ข้างกายให้กินอยู่ด้วยกัน ส่วนศิษย์คนอื่นๆ นั้นล้วนแต่เป็นบุตรหลานตระกูลขุนนาง ทุกวันพวกเขาจะเดินทางมาเช้าเย็นกลับ
บางครั้งไป๋ถานก็รู้สึกว่าอู๋โก้วไร้หัวจิตหัวใจ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็เอาใจใส่นางไม่น้อย ชั่วขณะจึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางถอนหายใจแล้วไปล้างหน้าบ้วนปากผลัดเปลี่ยนชุดอยู่เงียบๆ
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ อู๋โก้วก็ยังซ่อมประตูไม่เรียบร้อย
เฉกเช่นยามว่างตามปกติ ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วเดินหมากกับตนเอง ทว่านางกลับใจลอยยกมือมาลูบต้นคอเป็นพักๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่จนบอกรสชาติของเมื่อคืนนี้ไม่ถูก สุดท้ายจึงโยนเม็ดหมากทิ้งเสียเลย
“อู๋โก้ว เจ้าไปจวนไท่ฟู่* แทนข้าสักเที่ยวเถอะ”
ฟังจบอู๋โก้วหวุดหวิดจะทุบค้อนใส่มือของตนเอง นางหันหน้าขวับมาอย่างตื่นตะลึง “จู่ๆ อาจารย์จะให้ข้าไปจวนไท่ฟู่ทำสิ่งใดกัน”
นางรู้ว่าอาจารย์อำลาจวนไท่ฟู่มานับสิบปีแล้ว ไม่ว่าวันตรุษหรือวันเทศกาลไหนๆ ก็ล้วนไม่เคยกลับไปที่นั่น คนจำนวนมากแทบจะลืมไปแล้วว่าไป๋ไท่ฟู่ยังมีบุตรสาวเป็นอาจารย์อยู่อีกคน ดูแล้ววันนี้ดวงอาทิตย์คงต้องขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่แท้
ไป๋ถานเก็บเม็ดหมากขึ้นมาพลิกไปมาระหว่างร่องนิ้ว “พักนี้ดูเหมือนจะมีโจรมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ข้าอยากขอให้ท่านพ่อส่งคนมาคุ้มกันเรือนพักเก่าแก่หลังนี้ให้มากหน่อย”
อู๋โก้วเงยหน้ามองไปนอกประตูเพื่อดูดวงตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้าสีครามก่อนขานรับคำหนึ่ง ถึงแม้นางจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราว แต่ก็รู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเรื่องหนึ่ง
ภูเขาตงซานแห่งนี้เป็นสภาพพื้นที่ที่มีความพิเศษ ทั้งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกบริเวณชานเมืองหลวงนี่เอง ทว่ากลับมีลักษณะตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากตรงสันเขาเป็นที่ตั้งของอารามเป้าผู่ซึ่งเป็นอารามหลวง ทำให้พวกโจรขโมยย่อมไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้
ที่พำนักของไป๋ถานคือเรือนพักแห่งหนึ่งของสกุลไป๋ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยหันหน้าเข้าหาอารามเป้าผู่ แม้ในเรือนจะมีบ่าวชายกับหญิงรับใช้สูงวัยเพียงแค่สามสี่คน ทว่าอาศัยบารมีของอารามเป้าผู่แล้วที่พำนักแห่งนี้จึงสงบสุขเสมอมา
แน่นอน…ว่านั่นคือเมื่อก่อน
ระยะทางเข้าเมืองหลวงเพียงสิบกว่าลี้ไม่นับว่าไกลนัก ทว่าอู๋โก้วไปคราวนี้กลับใช้เวลาจวบจนอาทิตย์ลับทิวเขาไปแล้วถึงได้กลับมา
บนภูเขาฤดูกาลนี้ ใบไม้ที่เสียดสีกันดังซ่าๆ เริ่มปลิดปลิวร่วงหล่น บนพื้นเกลื่อนไปด้วยใบไม้ที่แห้งเหลือง อู๋โก้วเพิ่งเดินมาสุดทางบันไดอันยาวเหยียดก็มองเห็นไป๋ถานยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่นอกประตูเรือน สองมือของผู้เป็นอาจารย์หดอยู่ในแขนเสื้อ ชายอาภรณ์สีฟ้าอมเทาอ่อนพัดพลิ้วล้อลม ดวงหน้าฉาบด้วยแสงเรื่อของอาทิตย์อัสดงอยู่ชั้นหนึ่ง ท่ามกลางแสงอ่อนๆ นั้นยิ่งทำให้เรียวคิ้วแลดูดำขลับ ทั้งริมฝีปากก็แลดูแดงผุดผาด
อู๋โก้วเดินตรงไปหาไป๋ถามพร้อมอารมณ์ที่ขุ่นมัว “ข้ารออยู่ตั้งหลายชั่วยามกว่าจะได้พบไท่ฟู่ ผลคือท่านผู้เฒ่าบอกแต่เพียงว่าหากท่านไม่กลับไปขอร้องเขาเอง ก็จงอยู่ข้างนอกนี้ด้วยกำลังของตนเองเถิด เขาจะไม่ส่งใครมาแม้สักครึ่งคน”
“เฮ้อ…ข้าก็เดาอยู่แล้วว่าเขาจะต้องพูดเช่นนี้” ไป๋ถานกระตุกยกมุมปากอย่างแข็งทื่อ สายตาทอดมองออกไปแสนไกล
“อาจารย์มองอะไรอยู่เจ้าคะ”
อู๋โก้วมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปจึงพบกับหอสังเกตการณ์ที่อยู่บนประตูเมืองเจี้ยนคัง* คล้ายถูกเคลือบระบายด้วยน้ำหมึกสีครามอมดำมานานแล้ว ทว่ายามนี้ภายใต้แสงอัสดงสุดท้ายกลับปกคลุมด้วยสีเหลืองทองชั้นบางๆ ซึ่งแต่งแต้มให้ภาพสีน้ำหมึกนั้นพลันมีชีวิตชีวา แม้จะยืนอยู่บนยอดเขาที่ห่างไกลแห่งนี้ก็คล้ายกับยังสามารถได้ยินเสียงรถม้าที่สัญจรขวักไขว่บนท้องถนนได้
อู๋โก้วพลันตระหนักได้ แม้อาจารย์จะไม่พูดออกจากปาก ทว่าหลายปีมานี้ย่อมจะคิดถึงครอบครัวอยู่บ้างกระมัง
“อาจารย์…” เสียงเรียกนี้ของอู๋โก้วอาบไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งและการปลอบประโลม
ไป๋ถานพลันเลียริมฝีปากล่าง “ขนมข้าวนึ่ง น้ำแกงเป็ดน้ำข้นใส่หน่อไม้เขียว เนื้อหมูย่างซีอิ๊ว เนื้อกวางต้มน้ำแกงปลา…อาหารเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในเมือง ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติมานานแล้ว” พูดจบไป๋ถานจึงค่อยได้สติ นางมองไปทางอู๋โก้ว “เอ๊ะ…เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ…” อู๋โก้วหลุบเปลือกตา “ข้าเพียงอยากบอกท่านว่า…ค่ำนี้พวกเรากินหัวไช้เท้ากัน”
ไป๋ถานสะบัดแขนเสื้อกลับเข้าเรือนอย่างหัวเสีย
ในเมื่อขอคนมาเพิ่มไม่ได้ ก็ได้แต่เรียกให้บ่าวชายที่มีอยู่ในเรือนไม่กี่คนตื่นตัวให้มากขึ้นเสียหน่อย
อันที่จริงไป๋ถานเพียงกันไว้ก่อนเท่านั้น อย่างไรเสียทางด้านฮ่องเต้ คนทางนั้นก็ได้แก้ไขสถานการณ์ไปแล้ว บางทีพระองค์อาจไม่สนพระทัยเรื่องการกล่อมเกลาจิตใจของหลิงตูอ๋องอีกก็เป็นได้ หรือยามที่ทรงนึกถึงอีกครั้งคนชุดดำนามว่าฉีเฟิงผู้นั้นก็อาจเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่ให้หลิงตูอ๋องไปแล้ว…นี่มิใช่จะเป็นไปไม่ได้
จริงดังคาด หลายวันต่อจากนั้นไป๋ถานล้วนปลอดภัยไร้เรื่องราว เหมือนว่าคลื่นลมจะสงบลงแล้ว
เหล่าศิษย์ในห้องปีกตะวันตกต่างมีน้ำใจ นึกว่าวันก่อนที่ไป๋ถานไม่ได้มาสอนเป็นเพราะล้มป่วย หลายวันนี้ยามที่เดินทางมาเล่าเรียนจึงไม่ลืมที่จะนำตัวยาบำรุงฤทธิ์อุ่นมาแสดงความกตัญญูด้วย
ไป๋ถานนั่งสง่าอยู่หลังโต๊ะ ถือพัดขนนกขาวเล่มหนึ่งโบกถ่านไฟในเตาเล็กซึ่งต้มน้ำชาอยู่ช้าๆ พลางผงกศีรษะรับของกำนัลแล้วอมยิ้มไม่เผยฟัน
อู๋โก้วที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยแก้ด้วยเจตนาดี “พวกเจ้ากำนัลสิ่งของเหล่านี้มาอาจารย์ก็ล้วนไม่ชอบสักนิด อาจารย์โปรดปรานขนมข้าวนึ่ง น้ำแกงเป็ดน้ำข้นใส่หน่อไม้เขียว เนื้อหมูย่างซีอิ๊ว แล้วก็เนื้อกวางในน้ำแกงปลามากกว่า”
“…” เหล่าศิษย์ต่างเงียบงันไปทันใด
พัดขนนกของไป๋ถานหวิดจะโบกขี้เถ้าปลิวเข้าไปในน้ำชา
บ้าบอที่สุด อาจารย์รักษาหน้าตาอยู่คิดว่าง่ายหรืออย่างไร!
วันนี้อากาศไม่ดี ไป๋ถานเพิ่งจะสอนเสร็จไม่นานนักลมก็พลันโหมกระโชก ท่าทางคล้ายฝนกำลังจะลงเม็ด ท้องฟ้าดำทะมึนในชั่วพริบตา
อู๋โก้วไปตักน้ำร้อนมา พอนางเดินผ่านกำแพงเรือนกลับโยนอ่างสำริดในมือทิ้งพลางกรีดร้องเสียงแหลมทันที
พวกบ่าวชายนึกว่าโจรที่คุณหนูเอ่ยถึงบุกเข้ามาจนได้ จึงต่างรีบรุดมาหมายจะล้อมจับโจรนั่น
ระหว่างที่ไป๋ถานถือโคมวิ่งตรงมา เสียงร้องของอู๋โก้วก็ไต่ขึ้นไปอีกหลายระดับจนแทบจะกลายเป็นท่วงทำนองอยู่แล้ว แขนของอู๋โก้วยกขึ้นสูง เอาแต่ชี้นิ้วไปที่กำแพงเรือน
พอไป๋ถานเงยหน้ามองขึ้นไปก็ผวาวูบ นอกเรือนมีเงาไม้ทึบน่าสะพรึงกลัว ขณะนั้นนางก็เห็นรางๆ ว่าบนกำแพงเรือนมีเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ ชายอาภรณ์ยาวที่ห้อยลงมาโบกไหวไปตามแรงลม…
ขงจื่อไม่เอ่ยเรื่องเหนือธรรมชาติ ไป๋ถานก็เช่นเดียวกัน นางสงบสติปลุกปลอบความกล้าของตน ก่อนชูโคมเดินตรงไปส่องดู…
หนุ่มน้อยหน้ามน…ดวงตาดอกท้อ* ไฉนมองอย่างไรก็ดูคุ้นตายิ่งนัก
เมื่อเริ่มจำคนตรงหน้าได้ มุมปากของนางก็สั่นกระตุก ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินกลับทันที
เงาร่างสีขาวรีบกระโดดผลุงลงมาคว้าแขนของไป๋ถานไว้ “พี่สาว ข้าเอง ข้าคือไป๋ต้ง เหตุใดท่านไม่ไยดีข้าเลยเล่า”
ไป๋ถานหันหน้าไปขึงตาใส่เขา “ดึกๆ ดื่นๆ เจ้ามาหมอบอยู่บนกำแพงของข้า แสร้งทำเป็นภูตผีเช่นนี้ ยังคิดจะให้ข้าไยดีเจ้าอีกหรือ”
ไป๋ต้งร้อนรุ่มจนกระทืบเท้า “ปรักปรำกันแท้ๆ ข้าเพิ่งได้ยินว่าพี่สาวไปขอคนจากท่านพ่อมาป้องกันโจรไม่ใช่หรือ ท่านพ่อไร้เหตุผลไม่ดูดำดูดี ข้าทนดูไม่ได้ที่เขาไม่ยอมส่งคนมา จึงตั้งใจมาเฝ้ายามให้พี่สาวด้วยตนเอง”
ไป๋ถานหันไปมองอู๋โก้วซึ่งยังขวัญผวาไม่หายอยู่อีกด้านแล้วหันมากล่าวกับไป๋ต้งว่า “ที่แท้เจ้าก็กำลังเฝ้ายามอยู่นี่เอง”
ไป๋ต้งรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง “เดิมข้าก็ไม่อยากกระโตกกระตากหรอก อุตส่าห์จะทำความดีไว้โดยไม่ทิ้งนามเสียหน่อย”
ไป๋ถานได้ยินเช่นนั้นก็เหลือกตา ก่อนหันร่างเดินกลับห้อง
ไป๋ต้งรีบตามมาติดๆ พลางเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “พี่สาว หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าท่านอยู่ที่นี่แล้วพบเจอโจร อย่างไรข้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้ท่านย้ายกลับไปอยู่ที่จวนแน่ แต่หนนี้ข้าจะไม่เกลี้ยกล่อม ท่านอย่าได้กลับไปเด็ดขาดเชียว”
ไป๋ถานอดแปลกใจไม่ได้จึงชะงักฝีเท้าเพื่อสอบถาม “เพราะเหตุใด”
ไป๋ต้งโมโหอยู่บ้าง “ท่านพ่อกำลังหาวิธีบังคับให้ท่านกลับไปแต่งงานอย่างไรเล่า วันนั้นที่ท่านส่งอู๋โก้วไปที่จวนก็สมใจเขาพอดี ข้าจะปล่อยให้ท่านตกหลุมพรางของท่านพ่อไม่ได้”
“ข้าอายุตั้งยี่สิบหกแล้ว ยังจะมีตระกูลขุนนางสกุลใดเหลือบุรุษอายุที่เหมาะสมพอจะมาจับคู่กับข้าอีก” นางเอ่ยอย่างรู้สึกขบขัน
“ตระกูลขุนนางอะไรกัน เป็นเชื้อพระวงศ์ต่างหาก! มิหนำซ้ำอายุก็ไล่เลี่ยกับท่านด้วย แต่จวบจนบัดนี้ที่เขายังไม่แต่งงานเป็นเพราะไม่มีใครกล้าแต่งให้ ทั้งท่านกับเขาก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันสักนิด”
ได้ยินน้องชายกล่าวเช่นนี้ไป๋ถานยิ่งรู้สึกสงสัยใคร่รู้ “ที่แท้เป็นใครกัน”
“ยังจะมีใครได้อีกเล่า ก็หลิงตูอ๋องน่ะสิ! พี่สาว ท่านเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนย่อมไม่รู้อะไร หลิงตูอ๋องผู้นั้น เขา…เขา…”
พอไป๋ถานได้ยินชื่อนี้หัวคิ้วก็พลันขมวดมุ่น ขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด ทว่ายังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว “เขาเป็นอย่างไรหรือ”
“เขาก็เป็นมารร้ายน่ะสิ! ความชอบทางทหารโดดเด่นก็จริง แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการฆ่าฟันจนติดเป็นนิสัย ได้ยินว่าตอนออกรบก็ชอบดื่มเลือดกินเนื้อคนดิบๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีเช่นมนุษย์ทั่วไปนานแล้ว ยามที่จับเชลยได้เป็นต้องทรมานจนกว่าอีกฝ่ายจะตาย ตายแล้วก็ยังเอากระดูกของพวกเขามาทำเครื่องประดับกำนัลแก่ผู้อื่น นางบำเรอในจวนของเขาล้วนต้องสวมใส่เครื่องประดับพรรค์นี้ ผู้ใดไม่ยอมทำตามก็จะถูกฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่อง ดังนั้นสตรีในจวนของเขาจึงได้สาบสูญไม่มีเหลือ ยามปกติเขาก็มักทำตามอำเภอใจยิ่ง เรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้า เจอเทพฆ่าเทพ เจอพระฆ่าพระก็ว่าได้!”
ไป๋ต้งพูดรวดเดียวมาถึงตรงนี้ก็ยกมือขึ้นกุมอกด้านซ้ายไว้ราวกับยากจะทนรับไหว “แต่งให้เขาไปพี่สาวจะต้องไม่รอดชีวิตเป็นแน่ เหตุใดท่านพ่อถึงได้ใจดำอำมหิตยิ่งนัก ทำราวกับไม่ไยดีความเป็นตายของท่านเช่นนี้…ไม่ๆ ข้าไม่เห็นพ้องด้วยเด็ดขาด คนพรรค์นั้นจะคู่ควรกับท่านได้อย่างไรกัน”
ไป๋ถานลอบกลืนน้ำลาย ที่แท้สิ่งที่ได้ยินได้เห็นในจวนหลิงตูอ๋องก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวมุมหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเมื่อมองจากอีกมุม ไป๋ต้งก็คิดมากไปโดยแท้
อย่างน้อยตอนนี้ในสายตาของฝ่าบาท นางก็เป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว อาณาจักรต้าจิ้นปกครองแผ่นดินด้วยความกตัญญู และเคร่งครัดในสามหลักปฏิบัติหกความสัมพันธ์* ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดเรื่องผิดจารีตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นงานมงคลนี้ฝ่าบาทย่อมเป็นผู้แรกที่จะทรงยับยั้งเอาไว้
ไป๋ถานตบไหล่ของน้องชาย “เอาล่ะๆ นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องเลื่อนลอย ข้าไม่มีทางแต่งให้เขาแน่ เจ้าวางใจแล้วกลับไปเถิด”
ไป๋ต้งเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง “ข้าจะกลับไปได้อย่างไร ข้าบอกแล้วว่าจะมาเฝ้ายามให้ท่าน ตราบใดที่ยังไม่กำจัดอาจโจรนั่นให้ท่านได้ ไหนเลยข้าจะวางใจ!” เขาพูดพลางก้าวยาวๆ เดินย้อนกลับไปที่เชิงกำแพง แล้วปีนกลับขึ้นไปเพื่อเขย่าขวัญผู้คนต่อ ท่าทางในการปีนป่ายของเขาดูแคล่วคล่องว่องไวไม่เบาทีเดียว
ไป๋ถานรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มน้อยเลือดร้อน ทว่าลมโหมแรงเช่นนี้ต่อให้เขาเลือดร้อนระอุเพียงใดก็ถูกลมพัดให้เย็นชืดได้ นางจึงจำใจเอ่ยประนีประนอม “ถ้าอย่างไรเจ้ามานอนที่ข้างห้องข้าก็แล้วกัน จะได้เฝ้าข้าได้อย่างใกล้ชิด”
ไป๋ต้งแน่ใจอยู่แล้วว่าผู้เป็นพี่สาวจะต้องใจอ่อนกับตน พอได้ยินวาจานี้จึงกระโดดลงจากกำแพงเรือน พลางเดินเยื้องย่างด้วยย่างก้าวที่สง่างามเข้าไปในห้องด้านข้าง ก่อนเขาจะปิดประตูยังเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “พี่สาววางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน ต่อให้โจรร้ายนั่นมีสามเศียรหกกรก็ไม่อาจทำอะไรท่านได้!”
พวกบ่าวชายต่างลอบกุมศีรษะกันเงียบๆ …มีท่านเพิ่มมาอีกผู้หนึ่งจะไปได้ความอะไร มิใช่ทำให้ภาระของพวกเราหนักหนายิ่งขึ้นไปหรอกหรือ!
จริงดังคาด เนื่องจากความน่าเชื่อถือในคำพูดของไป๋ต้งนั้นอยู่ถึงเพียงช่วงกลางดึกเท่านั้น
ไป๋ถานอ่านหนังสือมาครึ่งคืน กระทั่งจะไปเข้านอนแล้ว ทันทีที่ยืนขึ้นก็มองเห็นว่าเบื้องหลังของตนเองมีเงาดำเพิ่มมาอีกสาย นางเหลียวคอไปมองอย่างแข็งทื่อก็พบฉีเฟิงในชุดดำยืนค้ำอยู่เบื้องหลังนางดุจสนโบราณต้นหนึ่ง
เมื่อสดับฟังเสียงข้างห้องอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับได้ยินเพียงเสียงกรนสะท้านฟ้าของไป๋ต้งดังมา
เอาเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด ไหนเจ้าว่ามาซิ!
หว่างคิ้วของนางพลันย่นเข้าหากัน ยามที่ช้อนตามองอีกฝ่าย บนดวงหน้าของนางยังเผยความขลาดกลัวเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ฝ่าบาทคงไม่ทรงส่งคนมาสอบถามอีกรอบเร็วปานนี้กระมัง”
“เปล่า” ฉีเฟิงกล่าวเสียงแข็ง “ข้ามาวันนี้เพื่อจะบอกเจ้าว่าท่านอ๋องของข้าเพิ่งรับพระบัญชานำทัพไปปราบโจร ระยะนี้ท่านอ๋องจะไม่อยู่ในเมืองหลวง หากพบเจอผู้สอบถามของฝ่าบาท เจ้าอย่าได้พูดไปคนละทางจนเผยพิรุธออกไปเชียว”
ไป๋ถานฟังจบปฏิกิริยาแรกคือผ่อนคลาย ต่อจากนั้นกลับมุ่นคิ้วขึ้นมาอีก “เร็วๆ นี้ข้าก็พอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับท่านอ๋องของเจ้ามาบ้าง การที่เขานำทัพไปปราบโจรคราวนี้ ฝ่าบาทต้องทรงใช้โอกาสนี้สังเกตผลการกล่อมเกลาจิตใจของเขาเป็นแน่ หากเขายังฆ่าคนเป็นว่าเล่นอีก ความผิดย่อมตกอยู่ที่อาจารย์ ถึงตอนนั้นข้าคงไม่แคล้วต้องเคราะห์ร้ายเป็นแน่”
ฉีเฟิงหรี่ตา “อะไรกัน นี่เจ้าไม่เต็มใจหรอกหรือ” เขางัดกระบวนท่าเดิมมาใช้ ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงหน้าอย่างรุนแรง “หากเจ้าไม่เชื่อฟังจะเป็นเช่น…”
ทว่าโต๊ะเล็กตัวนั้นกลับปลอดภัยไม่สึกหรอ สีหน้าของเขาพลันเหยเก รีบเอามือที่สั่นระริกไปไพล่ไว้ด้านหลังก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในฉับพลัน
ไป๋ถานหดคอเล็กน้อยอย่างให้ความร่วมมือ จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเขาด้วยเจตนาดี “โต๊ะเล็กที่ห้องข้าหุ้มแผ่นเหล็กเอาไว้น่ะ”
ดวงตาของฉีเฟิงแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว ทว่าเป็นตายก็ไม่ยอมเสียหน้า เขายกมือที่สั่นเทิ้มและบวมฉึ่งจนกลายเป็นอุ้งตีนหมีขึ้นพร้อมคำรามต่ำๆ “จะเป็นเช่นเดียวกับมือนี้!”
“…” ไป๋ถานถึงกับไร้ถ้อยคำจะตอบโต้
นางถอนหายใจเบาๆ “หากฝ่าบาททรงสอบถามจนตำหนิมาถึงข้า ย่อมจะโยงไปถึงเรื่องที่เจ้ากระทำการเองโดยพลการด้วย ไม่รู้ว่าหลังจากท่านอ๋องของเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วจะคิดเห็นเช่นไร อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เหมือนกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟได้*”
มาดอันใหญ่โตของฉีเฟิงพลันสลายวับไปในพริบตา สีหน้าบิดเบี้ยวดุจพบเจอภูตผี ก่อนที่เขาจะสั่นเทาไปทั้งร่างราวกับคนเป็นไข้จับสั่น
ไป๋ถานแสร้งทำเป็นห่วงใย “เอ๊ะ เจ้าเป็นอะไรไป”
สีหน้าของฉีเฟิงใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “ข้าเจ็บมือ…ไม่ได้หรืออย่างไร”
ทางด้านไป๋ต้งยังคงหลับสนิทกรนสนั่น…
เขานอนเต็มอิ่มตลอดหนึ่งคืนเต็ม ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้นกลับลุกไม่ขึ้นเสียนี่ จวบจนกระทั่งยามเที่ยงถึงได้ลืมตาตื่น พอลุกขึ้นมานั่งก็ยังมึนงงอยู่อีกพักใหญ่ เขาคงอยู่ดีกินดีเกินไปแล้วจริงๆ วันนี้ยังนับเป็นหนแรกในชีวิตที่เขาต้องสวมเสื้อผ้าเอง
พอนึกได้เช่นนี้ไป๋ต้งก็สะทกสะท้อนใจสุดแสน
อันที่จริงเขากับไป๋ถานมิได้เกิดมาจากมารดาเดียวกัน ไป๋ถานเกิดจากซีฮูหยินซึ่งเป็นภรรยาเอก ส่วนเขาเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ทว่าซีฮูหยินล้มป่วยถึงแก่กรรมตั้งแต่วัยสาว ไป๋ถานแม้มีความสามารถเชิงบุ๋นแต่กลับไม่ลงรอยกับไป๋หยั่งถังผู้เป็นบิดา นางจึงลาจากบิดาก่อนจะย้ายออกมาอยู่ด้วยตนเองนานแล้ว นับจากตอนนั้นก็เป็นเวลาถึงสิบปี ทว่าบิดาและบุตรสาวคู่นี้ก็ยังไม่เคยได้พบหน้ากันอีก เปรียบกันแล้วเขาซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากอนุกลับได้รับการประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต
พอคิดมากเข้าไป๋ต้งก็เริ่มแสบจมูกนิดๆ ยามปกติข้างกายพี่สาวก็ไม่มีใครดูแลสักคน แล้วนางผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกันหนอ
กว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าเสร็จก็มิใช่ง่ายๆ ทว่าเสื้อผ้าบนร่างยังคงรุ่ยร่ายอยู่นั่นเอง โชคดีที่ไป๋ต้งมีรูปเป็นทรัพย์ ดูแล้วกลับให้ความรู้สึกผ่าเผยไม่ยึดติดกรอบธรรมเนียม
ไป๋ต้งผลักประตูเดินออกไป แสงตะวันกำลังพอเหมาะ ภายในเรือนเงียบสงบ เงาหลังของเหล่าศิษย์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องปีกตะวันตกล้วนยืดตรงเป็นระเบียบ
ดียิ่งๆ เห็นทีว่าการที่เขารักษาความเรียบร้อยอยู่ที่นี่จะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม โจรนั่นย่อมไม่กล้าปรากฏตัวอีกเป็นแน่แท้
หลังตรวจตราภายในเรือนทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วก็รู้สึกหิวเล็กน้อย เขาลูบท้องแล้วหันหน้าไป กลับปะทะเข้ากับดวงหน้าไร้อารมณ์ของอู๋โก้ว
“มัดไว้” ทันทีที่อู๋โก้วโบกมือ บ่าวชายสองคนที่ถือเชือกอยู่ต่างพุ่งปรี่เข้ามาวนรอบตัวไป๋ต้งหลายหน ชั่วพริบตาก็มัดเขาจนกลายเป็นขนมจ้างแล้ว
“นี่ พวกเจ้าทำอะไรข้า!”
“อาจารย์กำชับว่าพักนี้มีโจรมาป้วนเปี้ยนในเรือน คุณชายไป๋อยู่ที่นี่เกรงจะไม่ปลอดภัย ส่งตัวกลับจวนไท่ฟู่จะดีกว่า”
บ่าวชายสองคนรีบแบกเขาวิ่งตะบึงไปทางประตูเรือน ไป๋ต้งไหนเลยจะยินยอม สองขาที่ชี้ฟ้าอยู่พยายามปัดป่ายเปะปะ ปากก็ตะเบ็งลั่นว่าจะอยู่พิทักษ์เรือนหลังนี้ ขอสาบานจะร่วมเป็นร่วมตายกับพี่สาว ไม่ว่าถ้อยคำใดเขาก็ล้วนงัดออกมาพูดได้ทั้งสิ้น
ด้านหลังของห้องปีกตะวันตกอยู่ติดกับสวน นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูสารทภายในสวนก็ปราศจากบุปผาแดงใบไม้เขียว ดอกบัวที่เคยอยู่เต็มสระกลับหลงเหลือเพียงฝักบัว
พูดตามตรงว่าในสวนแห่งนี้ช่างไม่มีสิ่งใดชวนมองเอาเสียเลย ทว่าวันนี้หัวข้อในชั้นเรียนของเหล่าศิษย์กลับเป็นการแต่งกลอนหนึ่งบทเกี่ยวกับสวนซึ่งไร้ความงามแห่งนี้
แต่ละคนลูบคางเกาแก้ม เค้นสมองเพื่อขบคิด ทว่ากระดาษที่อยู่ตรงหน้าก็ยังขาวโล่งดุจเดิม
บุตรหลานตระกูลขุนนางล้วนเจ้าอารมณ์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ยามปกติแม้จะเคารพให้เกียรติอาจารย์เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่แคล้วมียามที่จะขาดความอดทนอดกลั้นอยู่บ้าง บางคนครุ่นคิดว่าจะไปขอร้องอาจารย์ให้เปลี่ยนหัวข้อใหม่ที่ง่ายขึ้นดีหรือไม่ ทว่ากลับมีบางคนถึงขั้นคิดจะเลิกแต่งกลอนบทนี้เสียเลย
ยังไม่ทันที่ศิษย์เหล่านี้จะลงมือได้ตามความนึกคิด บ่าวชายสองคนของเรือนพักสกุลไป๋ก็แบกหนุ่มน้อยชุดขาวผู้หนึ่งวิ่งตะบึงผ่านไปพร้อมเสียงเอ็ดตะโรซึ่งดังสับสนอลหม่าน
ทุกคนล้วนปากอ้าตาค้าง สาดสายตาตามออกไปโดยพร้อมเพรียง นั่นมิใช่ไป๋ต้งคุณชายของจวนไป๋ไท่ฟู่หรอกหรือ เขาเป็นน้องชายของอาจารย์ชัดๆ แต่กลับถูกเชือกคล้องคอมัดแขนไพล่หลังแบกออกจากประตูเรือนไปเช่นนั้นได้
อาจารย์ที่แลดูสง่างามอ่อนโยนผู้นั้น ความจริงแล้วกลับเข้มงวดเฉียบขาดถึงเพียงนี้ กระทั่งน้องชายของตนเองก็ยังลงมือได้!
เหล่าศิษย์หันหน้ากลับมาโดยไร้เสียงจะเอ่ยวาจา พวกเขาเห็นไป๋ถานนั่งคุกเข่าภูมิฐานอยู่ตรงที่นั่งด้านบน สองหูไม่ใส่ใจเหตุการณ์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง คิ้วหลุบต่ำสมาธิจดจ่อ ริมฝีปากเม้มสนิท นิ้วมือที่เรียวงามขาวหมดจดโผล่พ้นจากแขนเสื้อกว้างซึ่งขลิบขอบด้วยสีฟ้าสายชลกำลังจับหน้าหนังสือ ทันใดนั้นนิ้วมืองามพลันบิดทีหนึ่ง มุมกระดาษยับย่นเป็นก้อนในทันที
ศิษย์ทั้งหมดพลันผวาวูบ ต่างรีบก้มหน้าขยับพู่กันเขียนอย่างเร็วรี่ แรงบันดาลใจในการประพันธ์ไม่เคยพุ่งกระฉูดดุจน้ำพุเช่นนี้มาก่อน
ไป๋ถานกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย อันที่จริงนางมองหนังสืออยู่ครึ่งวันแล้ว ทว่ากลับอ่านไม่รู้เรื่องสักตัวอักษรเดียว
นางกลุ้มใจอยู่น่ะสิ!
เป็นเพราะปากเสียๆ ของฉีเฟิงช่างแม่นยำแท้ แม้ตัวเกาผิงจะไม่ได้มาสอบถามอีก ทว่าวันนี้กลับให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้นางแต่เช้า เนื้อความคือฝ่าบาททรงประกาศชัดว่าขอเพียงครั้งนี้หลิงตูอ๋องสำรวมตนก็จะตกรางวัลแก่อาจารย์เช่นนางอย่างงาม
แล้วถ้าหากเขาไม่สำรวมตนเล่า…
ช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน เดิมทีนางเพียงสอนหนังสือบนภูเขาตงซานอยู่ดีๆ ไม่เคยไปขัดแข้งขัดขาใคร เหตุใดจึงไปพัวพันกับมารร้ายผู้นั้นได้!
เหล่าศิษย์ที่ล้วนพึ่งใบบุญของไป๋ต้งต่างส่งงานของวันนี้ได้ก่อนเวลา ไป๋ถานสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงอนุญาตให้พวกเขากลับบ้าน ทั้งยังกล่าวชมเชยสองสามประโยค
ไม่คาดว่าศิษย์ทั้งหลายกลับพินอบพิเทากว่ายามปกติเสียอีก ทั้งยังไร้วี่แววผยองลำพองใจ
หัวใจของนางพลันเปี่ยมล้นไปด้วยความปลาบปลื้ม นี่สิจึงเป็นศิษย์ที่ดีของนาง ไหนเลยจะเหมือนคนสารเลวหลิงตูอ๋องนั่น!
เหล่าศิษย์หลังคารวะเสร็จแล้วก็พากันจากไปทีละคน พอถึงคราวของโจวจื่อ ไป๋ถานกลับแสดงท่าทีให้เขาหยุดรอก่อน
บิดาของโจวจื่อคือเจ้าเมืองอู๋ ไป๋ถานโปรดปรานสถานที่แห่งนั้น ทั้งใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้เป็นปราชญ์ว่างงานล่องเรือชมทะเลสาบไท่หู* ด้วยเหตุนี้ยามว่างจึงชอบพูดคุยเรื่องในเมืองอู๋กับโจวจื่อเสมอ สองศิษย์อาจารย์มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีมาตลอด
เห็นอาจารย์รั้งตนไว้ โจวจื่อจึงนึกว่าหนนี้อาจารย์ต้องการจะสนทนาเรื่องเมืองอู๋เช่นเคย ขณะที่สมองกำลังประมวลข้อมูลและเรื่องเล่าที่น่าสนใจของเมืองอู๋ กลับได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยว่า “อาจารย์ได้ยินว่าน้าชายของเจ้าเป็นข้าหลวงส่วนพระองค์ เจ้าพำนักอยู่ที่จวนของเขาคงเคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องของหลิงตูอ๋องบ้างกระมัง”
โจวจื่อหน้าซีดเผือดไปทันตา “ไยอาจารย์เอ่ยถึงมารร้ายผู้นั้นเล่า ท่านน้ากล่าวเสมอว่า ‘กาลก่อนไม่เอ่ยหู่ ปัจจุบันไม่เอ่ยจิ้น’ น้อยครั้งจะกล่าวถึงคนผู้นี้ ยิ่งไม่อนุญาตให้พวกเราเด็กรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์ได้”
ไป๋ถานซักถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “อันใดเรียกว่า ‘กาลก่อนไม่เอ่ยหู่ ปัจจุบันไม่เอ่ยจิ้น’ ”
“อาจารย์คงยังไม่ทราบกระมัง หลิงตูอ๋องผู้นี้มีนามว่าซือหม่าจิ้น เป็นคนใจคออำมหิตชมชอบการเข่นฆ่า จนกระทั่งมีกิตติศัพท์ทัดเทียมกับสือหู่** อดีตฮ่องเต้ของแคว้นทางเหนือแล้ว”
ไป๋ถานมุ่นคิ้ว สือหู่อำมหิตถึงขั้นเคยพาหญิงงามกลุ่มใหญ่เฮโลไปล้อมชมฉากสังหารบุตรชายในไส้ของตนอย่างโหดร้ายทารุณมาก่อน หากกิตติศัพท์ของหลิงตูอ๋องเทียบเท่ากับอีกฝ่ายแล้ว นั่นไม่เลวร้ายถึงขีดสุดหรอกหรือ
แลเห็นโจวจื่อชำเลืองมองตนอย่างแปลกใจ ไป๋ถานจึงรีบเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพียงพูดคุยเป็นหัวข้อสนทนายามว่างเท่านั้น หาได้มีอันใดน่าหวั่นเกรงไม่ หรือว่าพวกเจ้าที่เป็นบุรุษยังมีจิตใจที่มิอาจเทียบสตรีเช่นอาจารย์ได้?”
โจวจื่อไหนเลยจะเผยอาการขลาดกลัวต่อหน้าอาจารย์ เขารีบเอ่ยตอบโดยไม่รอช้า “อาจารย์สอนสั่งด้วยชอบแล้ว ศิษย์เพียงเคยได้ยินท่านน้าบอกว่าหลิงตูอ๋องเป็นญาติผู้น้องของฝ่าบาท เขาเชี่ยวชาญการศึกจึงเป็นที่โปรดปรานอย่างมาก ทว่าเรื่องอื่นๆ ของเขานั้นศิษย์กลับไม่ทราบกระจ่างนัก”
ไป๋ถานกล่าว “อาจารย์ได้ยินว่าเร็วๆ นี้เขานำทัพไปปราบโจร น้าชายของเจ้าพอจะรู้ความคืบหน้าหรือไม่ บัดนี้พวกเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกไม่ช้าล้วนต้องทยอยเข้ารับราชการ พวกเจ้าพึงใส่ใจเหตุการณ์ในราชสำนักไว้บ้าง”
โจวจื่อฟังจบก็พลันตระหนักได้ “อาจารย์สอนสั่งด้วยชอบแล้ว ศิษย์กลับไปจะเร่งสอบถามเรื่องนี้ดู”
ไป๋ถานยิ้มรับพลางผงกศีรษะ สนทนากับคนฉลาดย่อมไม่ต้องเหนื่อยแรง
โจวจื่อกลับไปถามมาจริงๆ วันรุ่งขึ้นเมื่อมาเข้าเรียนจึงนำข่าวสารมาแจ้งว่าคราวนี้หลิงตูอ๋องไปที่เมืองผอหยาง
โจรที่นั่นคือพรรคพวกซึ่งหลงเหลือจากการปราบปรามของหลิงตูอ๋องที่มณฑลเจียวโจว โจรซึ่งลอบหลบหนีมาเหล่านี้เป็นเสมือนเม็ดทรายที่รวมตัวกันไม่ติดจึงไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเท่าไรนัก ประกอบกับฝีมือของหลิงตูอ๋องโหดเหี้ยมเฉียบขาด ทันทีที่ไปถึงจึงคว้าชัยได้อย่างต่อเนื่องประดุจผ่าลำไผ่ คาดว่าเขาจะกลับเมืองหลวงได้เร็วกว่ากำหนดมาก
ไป๋ถานไม่แยแสสักนิดว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร สิ่งที่นางต้องการคือประเด็นสำคัญ “รู้หรือไม่ว่าปราบโจรคราวนี้เขาก่อบาปเข่นฆ่าคนเกินจำเป็นอีกหรือเปล่า”
โจวจื่อตอบได้ทันที “ไหนเลยยังต้องเอ่ยถามอีก ว่ากันว่าทุกแห่งที่เขาผ่านไปล้วนมีซากศพกองเป็นภูเขา โลหิตนองดุจท้องธาร เสียงราษฎรโอดครวญดังระงมไม่หยุด ถึงขั้นมีคนบอกว่าอเนจอนาถยิ่งกว่าภัยจากโจรผู้ร้ายเสียอีก”
ไป๋ถานหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว นี่เขาต้องการจะทำร้ายนางให้ถึงตายชัดๆ!
คนเราช่างแปลกพิกลแท้ เมื่อก่อนยามที่มิได้ให้ความสนใจใครสักคนก็คล้ายกับสัมผัสไม่ได้สักนิดถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นั้น ต่อเมื่อวันใดเริ่มให้ความสนใจขึ้นมา คล้ายกับทั่วหล้าโยงใยไปถึงเรื่องที่เกี่ยวพันกับเขาได้ทั้งสิ้น
พลบค่ำของวันนั้น ไป๋ถานเพิ่งจะย่างเท้าขึ้นมาบนระเบียงทางเดินก็ได้ยินแม่ครัวกำลังซุบซิบกับอู๋โก้วว่าพักนี้ที่อารามเป้าผู่ย่ำระฆังถี่ขึ้นเป็นเพราะเหล่านักพรตกำลังประกอบพิธีสวดส่งดวงวิญญาณ สาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากหลิงตูอ๋องมารร้ายผู้นั้นที่ก่อบาปเข่นฆ่าเกินจำเป็น
อู๋โก้วยังจดจำคำพูดของไป๋ต้งในคืนนั้นได้ พอนางชำเลืองตาเห็นไป๋ถานจึงวิ่งรี่เข้ามาโน้มน้าวทันที “อาจารย์ ท่านจะแต่งให้หลิงตูอ๋องผู้นั้นไม่ได้เด็ดขาดเชียวนะเจ้าคะ หาไม่สักวันเสียงระฆังของอารามเป้าผู่อาจตีให้ท่านก็เป็นได้”
มีศิษย์ที่แช่งอาจารย์ของตนเช่นนี้ด้วยหรือ ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ
เช้าวันนี้ดวงตะวันเพิ่งเยี่ยมหน้า ไป๋ถานก็คลุมเสื้อคลุมเดินมาจนถึงนอกห้องปีกตะวันตก เหล่าศิษย์เพิ่งจะรุดมาถึงกันพอดี
โจวจื่อยืนคารวะนางอยู่หน้าประตูโดยไม่ลืมที่จะพูดคุยกับนาง “อาจารย์ต้องระวังหน่อยนะขอรับ ได้ยินว่าปีนี้ฤดูหนาวมาเร็ว ทั้งที่เพิ่งจะต้นเดือนเก้าอากาศก็หนาวมากแล้ว”
เพิ่งผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ไป๋ถานกลับได้ยินเขาเอ่ยต่อ “ทว่าผู้คนบนท้องถนนต่างพูดกันว่าเหตุที่ปีนี้อากาศหนาวจัดมาเยือนเร็วล้วนเป็นเพราะหลิงตูอ๋องก่อบาปหนาเกินทน เสียงเคืองแค้นของผู้คนจึงดังทะลุไปถึงชั้นฟ้า เป็นเรื่องที่จนใจยิ่งนัก”
รอยยิ้มของนางพลันแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก ไยจึงมีเขาอยู่ไปเสียทุกที่!
ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างเหลือบมองโจวจื่อด้วยหางตา ท่าทางเขาจะประจบผิดที่ผิดทางเสียแล้ว สมน้ำหน้านัก!
เสียงน้ำในกาน้ำหยด* ร่วงหยดดังเผาะ เมื่อทุ่นลอยขยับขึ้นก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว
คนทั้งหมดนั่งประจำที่ พอไป๋ถานจะเริ่มสอนกลับมองเห็นอู๋โก้ววิ่งรี่มาจากระเบียงทางเดิน
เพราะนางอายุมากกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อยจึงถึงวัยที่ไม่อาจเรียนร่วมชั้นกับเหล่าศิษย์ชายได้อีก ไป๋ถานจึงแยกสอนนางตามลำพัง จู่ๆ วันนี้นางวิ่งมาที่ห้องปีกตะวันตกระหว่างเวลาเรียนเช่นนี้ ไป๋ถานย่อมอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
หลังสั่งให้เหล่าศิษย์ทบทวนตำราไปพลางก่อน ไป๋ถานก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกประตู “เป็นอะไรหรือไม่”
อู๋โก้วชี้มือไปที่ลาน ไป๋ถานมองตามไปก็เห็นเด็กหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาคือซวงเฉวียนเด็กรับใช้ประจำตัวไป๋ต้ง
เฮ้อ…เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นยังขุ่นเคืองเรื่องที่ถูกไล่กลับไปอยู่เป็นแน่
ไป๋ถานสอดสองมือเข้าในแขนเสื้อพลางก้าวเนิบๆ ทว่าตรงไปตรงมาเพื่อสอบถาม “ไป๋ต้งเป็นอะไรไปอีกล่ะ”
ซวงเฉวียนคุกเข่าพรวด ก่อนจะโขกศีรษะดังตุบๆ “คุณหนูช่วยด้วยขอรับ คุณชายไปล่วงเกินผู้อื่นเข้า น่ากลัวว่าจะไม่รอดชีวิตแล้ว!”
ไป๋ถานตะลึงงัน “ล่วงเกินผู้อื่นก็คงไม่ถึงขั้นจะเอาชีวิตกันหรอกกระมัง เหตุใดเจ้าไม่ไปขอความช่วยเหลือจากไท่ฟู่เล่า”
“นายท่านเป็นคนเรียกให้ข้ามาขอร้องคุณหนูเอง นายท่านบอกว่าใต้หล้านี้ผู้ที่จะช่วยชีวิตคุณชายได้มีเพียงคุณหนูเท่านั้น คุณหนูได้โปรดรีบไปดูหน่อยเถิด หากช้ากว่านี้เกรงว่าคงไม่ทันการณ์แล้ว!”
ลางสังหรณ์ไม่ดีวาบผ่านหัวใจของไป๋ถาน “อีกฝ่ายเป็นใคร”
“หลิง…หลิงตูอ๋องขอรับ”
“…” ไป๋ถานหลับตา
ไฉนข้าถึงเคราะห์ร้ายเช่นนี้หนอ!
บทที่สอง
นอกประตูเมืองทิศตะวันตก สายลมฤดูสารทพัดดังหวีดหวิว ทัพใหญ่จัดแถวเป็นระเบียบอยู่ริมคูเมือง กระโจมหลังหนึ่งตั้งหันหน้าเข้าหาประตูเมืองปิดทางเข้าออกของสะพานชักพอดิบพอดี
ไป๋ต้งถูกมัดแน่นหนาทิ้งให้อยู่นอกกระโจม อาภรณ์สีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เขาขบริมฝีปากล่างพลางเหลือบดวงตาดอกท้อคู่นั้นไปมา เขาฉุนเฉียวจนใบหน้าแดงก่ำ
จู่ๆ เช้านี้หลิงตูอ๋องก็กลับมาถึงเมืองหลวงเร็วกว่ากำหนดเดิมที่แจ้งไว้ในหนังสือกราบทูลหลายวัน เผอิญในวังกำลังมีการบวงสรวงฤดูสารท ฝ่าบาททรงนำขุนนางทั้งหลายไปที่ศาลบวงสรวงเพื่อขอพรให้เป็นปีที่เก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์ ด้วยไม่อาจส่งขุนนางคนใดออกไปได้ ราชโองการฉบับหนึ่งจึงถูกส่งไปยังจวนไท่ฟู่ บัญชาเป็นกรณีพิเศษให้ไป๋ต้งรับตำแหน่งชั่วคราวเป็นขุนนางฝ่ายพิธีการไปต้อนรับหลิงตูอ๋อง
ไป๋ต้งใช้นิ้วเท้าคิดดูก็รู้ได้ว่าบิดาจะต้องเป็นผู้เสนอชื่อของตนแน่ เป็นไปได้สูงว่าทำเพื่อแสดงไมตรีต่อหลิงตูอ๋อง จากนั้นจะได้จับพี่สาวแต่งให้อีกฝ่ายไป
เพียงคิดว่าพี่สาวที่แสนดีของตนกำลังจะถูกหลิงตูอ๋องมารร้ายผู้นี้แตะต้อง ไป๋ต้งพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฟ้าถล่มลงมาเสียอีก เรื่องเยี่ยงนี้บิดาทนได้ แต่น้องชายเช่นเขามิอาจทน!
ทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดราชโองการ จึงได้แต่ต่อต้านเชิงรับด้วยการไม่สวมชุดขุนนางฝ่ายพิธีการมาต้อนรับและแสดงท่าทีขาดมารยาทจนถึงขั้นโอหังไปบ้างกับอีกฝ่าย
เดิมเขานึกว่าหลิงตูอ๋องแม้จะเป็นมารร้าย แต่ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เอ่อ ไม่สิ…ตีบุตรชายยังต้องดูบิดาก่อน! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ถึงขั้นถูกลงโทษร้ายแรงอะไร
และต่อจากนั้น…เขาก็มาลงเอยในสภาพเช่นนี้!
ซวงเฉวียนรุดไปขอความช่วยเหลือกับบิดาของเขาที่ศาลบวงสรวงตั้งนานแล้ว แต่จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา
ไป๋ต้งเงยหน้ามองหอสังเกตการณ์บนกำแพงเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทหารรักษาเมืองที่อยู่ด้านบนถึงกับสุมหัวล้อมวงกันเพื่อดูเขา ช่างไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว!
ม่านกระโจมพลันถูกเปิด ฉีเฟิงก้าวยาวๆ เดินออกมาคว้าตัวไป๋ต้งหิ้วเข้าไปในกระโจม
ไป๋ต้งถูกโยนลงกับพื้น ดวงหน้าขาวเนียนเปรอะฝุ่นไปทั้งแถบ อเนจอนาถอย่างบอกไม่ถูก เขาช้อนตาขึ้นมองเห็นเงาคนที่อยู่หลังฉากบังลมกำลังถอดชุดเกราะ เสียงแขนเสื้อที่เสียดสีกันเพียงแผ่วเบากลับสะกิดให้เพลิงโทสะของไป๋ต้งไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีก เขาแทบจะกระโจนเข้าไปแลกชีวิตกับอีกฝ่าย “ซือหม่าจิ้น! เจ้านึกว่าทุกคนล้วนเกรงกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ บิดาของข้าคือไท่ฟู่คนปัจจุบัน ตำแหน่งสูงเป็นหนึ่งในสามกง กระทั่งฝ่าบาทยังทรงให้เกียรติสามส่วน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแตะต้องข้าตามอำเภอใจ!”
ฉีเฟิงพลันบังเกิดโทสะ “ชิชะ! นี่เจ้าต้องการประชันบิดาของเจ้ากับท่านอ๋องของข้าใช่หรือไม่ บิดาของท่านอ๋องข้าคืออดีตฮ่องเต้! บิดาเจ้าที่เป็นแค่สามกงจะนับเป็นตัวอะไร แม้แต่เก้ากงก็ยังไร้ประโยชน์!”
ไป๋ต้งตะลึงงัน พลันระลึกถึงสิ่งที่บิดาเคยเอ่ย…หลิงตูอ๋องเป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้ ทว่าอดีตฮ่องเต้ก่อนสวรรคตกลับมอบบัลลังก์แก่ญาติผู้พี่ของหลิงตูอ๋อง ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันถึงทรงให้ท้ายเขาสารพัดอย่าง ทั้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤติกรรมโฉดชั่วของเขา
ไป๋ต้งพลันกลืนน้ำลายไม่กล้าส่งเสียงอีก
เบื้องหลังฉากบังลมกลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง จากนั้นเสียงพูดอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งจึงถ่ายทอดออกมา “ฉีเฟิงเตือนสติข้าพอดี ตรงนี้มีภาพปักเก้าตำหนัก อยู่ผืนหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรชายของไท่ฟู่ คาดว่าคงมีความรู้อยู่พอสมควร มิสู้ให้ข้าได้ประจักษ์สักหน่อยเล่า” จบคำ ซือหม่าจิ้นก็หันหน้าไปเอ่ยเรียก “กู้เฉิง เอาภาพมาให้เขา”
ขณะที่ไป๋ต้งกำลังงุนงงสงสัยก็เห็นองครักษ์รูปร่างผอมสูงเรือนผมแห้งกรอบผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของฉากบังลม มือของอีกฝ่ายประคองผ้าไหมสีสันละลานตาผืนหนึ่งไปวางบนโต๊ะเล็ก จากนั้นเดินมาตรงหน้าไป๋ต้งแล้วแก้มัดให้เขา
เขารีบขยับแขนขายืดเส้นยืดสายก่อนก้มหน้ามองดู สีผืนผ้าไหมที่อยู่บนโต๊ะเล็กเป็นสีฟ้าอ่อน ด้านบนของผ้าปักตัวอักษรถี่ยิบด้วยเส้นด้ายสีต่างๆ มิน่าเล่าถึงได้ดูหลากสีนัก
ซือหม่าจิ้นเอ่ย “ภาพปักผืนนี้มีทั้งสิ้นเก้าตำหนัก ทุกตำหนักล้วนเป็นกลอนย้อนอักษร แต่ละตำหนักแม้จะเป็นเอกเทศ ทว่าก็เชื่อมโยงถึงกันทุกตำหนัก ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หากเฉลยคำตอบไม่ได้ ทุกหนึ่งก้านธูปข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าออกหนึ่งชิ้น”
ไป๋ต้งรีบยกมือโอบสองแขนของตน “นี่มันความชอบพิลึกพิลั่นอันใดของเจ้า ช่วงบนช่วงล่างทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีเสื้อผ้ารวมกันไม่ถึงเก้าชิ้นสักหน่อย!”
ซือหม่าจิ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “แม้ไม่มีเสื้อผ้าก็ยังมีผิวหนัง ขอแค่ใช้คมมีดกรีดเปิดจากฝ่าเท้า ถลกหนังออกมาทั้งผืนแล้วยัดฟางใส่เข้าไปก็จะเป็น ‘กระสอบหญ้าฟาง’ ขนานแท้”
“…”
เมื่อก่อนไป๋ต้งเพียงได้ยินกิตติศัพท์ของมารร้ายผู้นี้ ทว่ายังไม่เคยได้สัมผัสกับตนเองอย่างแท้จริง เมื่อครู่ที่ตนเอะอะโวยวายใส่เขาไปจึงค่อยมารู้สึกหวาดผวาเอาจนป่านนี้
เขาไม่ใช่คน เป็นมารปีศาจชัดๆ!
กู้เฉิงวางกระถางธูปไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว สิ่งล้ำค่าทั้งสี่แห่งห้องหนังสือ ก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ
ไป๋ต้งนั่งคุกเข่าตัวตรง ถือพู่กันมือสั่น แค่เปิดฉากมาด่านแรกที่ตำหนักซวิ่นเขาก็คาอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
กลอนย้อนอักษรสามารถจำแนกได้หลายชนิด เช่น ย้อนทั้งบท ย้อนเฉพาะวรรค และย้อนสองวรรค กลวิธีการคิดที่แตกต่างย่อมจะได้ความหมายที่ผิดกันลิบลับ
ที่แท้ควรใช้รูปแบบการย้อนอักษรชนิดใดมาคิดดีเล่า ทั้งที่เห็นอยู่ว่าทุกคำล้วนอ่านเข้าใจ ทว่าเขากลับไม่กล้าตัดสินความหมายออกมาส่งเดช อีกทั้งด้านหลังยังมีโจทย์อีกแปดตำหนักที่รอให้เขาต้องแก้! ไป๋ต้งกลืนน้ำลายเสียงดัง บนหน้าผากถึงกับเริ่มมีเหงื่อผุดซึม
เมื่อก่อนบิดามักตำหนิที่เขาไม่ยอมตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เทียบพี่สาวไม่ติดสักนิด ทว่าเขากลับไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ วันนี้ถึงค่อยรู้ว่าอันใดคือ ‘ยามต้องใช้จึงสำนึกว่าเรียนมาน้อย’
เขาขบกรามนึกอยากโยนพู่กันทิ้ง ทว่าผู้ที่อยู่หลังฉากบังลมกลับพลันเอ่ยปาก “หากเจ้ากล้าปฏิเสธ ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นกระสอบหญ้าฟางเดี๋ยวนี้”
“…” เขาได้แต่กระชับด้ามพู่กันอีกครั้งโดยมิอาจกล่าววาจา
เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าเวลาหนึ่งก้านธูปจะรวดเร็วปานนี้ เหลือบมองเพียงแวบเดียวธูปก็ใกล้จะไหม้หมดแล้ว ไป๋ต้งจำใจฝืนทำเก่งเขียนคำตอบที่ตนเองไม่แน่ใจลงไป
พอกู้เฉิงนำกระดาษเสี่ยวเจียน* ที่เขาเขียนเสร็จแล้วส่งไปที่ด้านหลังฉากบังลม สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาคือเสียงหัวเราะเยาะหยัน “ผิดแล้ว”
ฉีเฟิงก้าวยาวฉับๆ ตรงมากระชากเสื้อนอกของไป๋ต้งออกอย่างไม่เกรงใจ
“ตำหนักถัดไปยังมีโอกาส ไม่ต้องร้อนใจ” ซือหม่าจิ้นถึงกับพูดปลอบประโลมไป๋ต้ง ทว่าน้ำเสียงที่เจือไว้ด้วยความเยาะหยันอันแจ่มชัดนั้นบอกให้เขารู้สึกถึงความกระหายตื่นเต้นที่ซือหม่าจิ้นจะได้เห็นเลือด
ไม่ร้อนใจจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ไป๋ต้งพลันมือไม้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว หัวใจก็ยิ่งกระสับกระส่ายไร้หนทางจะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบมองไปทางกระถางธูป สมาธิของเขาไม่อาจจดจ่ออยู่ที่ตัวอักษรบนภาพได้อีกแล้ว
พอเวลาของธูปดอกที่สองหมดลง ฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เดินขึ้นหน้ามาโดยพร้อมเพรียง ประกบซ้ายขวาแล้วผลัดกันลงมือ ถลกเสื้อของไป๋ต้งออกไปอีกหนึ่งชิ้น
ดูเหมือนพวกเขาจะคาดการณ์แน่นอนแล้วว่าไป๋ต้งจะไม่มีทางไขคำตอบออก สองคนนั้นจึงคอยท่าอยู่ข้างกายเสียเลย รอให้ถึงเวลาจะได้กระชากเสื้อของเขาออกทันที
ไป๋ต้งเจ้าสำอางห่วงรูปลักษณ์ กระทั่งปลายฤดูสารทเช่นนี้ก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น บัดนี้อาภรณ์ท่อนบนถูกเปลื้องจนเหลือเพียงเสื้อตัวในชิ้นเดียวแล้ว หากถอดกางเกงชั้นในไปอีกตัวเขาก็จะถูกถลกหนังจริงๆ แล้ว
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย ทั้งแผ่นหลังยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ซวงเฉวียน เจ้าตัวบัดซบ ไปขอกองหนุนถึงบนสวรรค์หรืออย่างไร!
นอกกระโจมพลันมีเสียงทหารตวาดก้อง “บังอาจ! กระโจมนี้ให้เจ้าบุกรุกได้หรือ”
ฉีเฟิงซึ่งตั้งตารอกระชากเสื้อผู้อื่นอยู่ถูกเสียงนี้ทำเอาสะดุ้งเฮือกจึงเอ่ยสวนออกไปอย่างหัวเสีย “โหวกเหวกหาอะไร! ไม่รู้หรือว่ารบกวนความสงบของท่านอ๋อง อีกเดี๋ยวข้าจะออกไปเอาชีวิตสุนัขเช่นเจ้า!”
ด้านนอกจึงเงียบกริบในพริบตา ม่านกระโจมพลันถูกเปิดด้วยพัดขนนกขาวเล่มหนึ่ง ไป๋ถานโน้มกายเข้าสู่ด้านใน ทหารซึ่งตามหลังมาอย่างกระชั้นชิดหมายจะยับยั้ง ทว่าเท้าเพิ่งก้าวเข้ามาก็รีบถอยออกไปอย่างลนลานแล้ว
“พี่สาว!” ไป๋ต้งทิ้งพู่กันโผเข้าไปหาพร้อมน้ำตาและน้ำมูก
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อพลันระลึกได้…มารดามันเถอะ! ไยจึงลืมเสียได้ว่านางก็เป็นคนในสกุลไท่ฟู่!
ไป๋ถานลูบศีรษะน้องชายด้วยพัดขนนกก่อนช้อนตามองไปทางฉากบังลม “หลิงตูอ๋องโปรดอภัย เมื่อครู่ข้าน้อยขอพบท่านอ๋องแล้วแต่ถูกคนขัดขวาง ข้าน้อยอยู่ด้านนอกได้ยินเหตุการณ์จึงจำใจฝืนบุกรุกเข้ามา ขอท่านอ๋องโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยไขปริศนาภาพปักผืนนี้แทนผู้เป็นน้องชายด้วย”
“พี่น้องช่างผูกพันกันลึกล้ำยิ่ง” เสียงของซือหม่าจิ้นเจืออารมณ์สนุกสนานเพิ่มเข้ามา “เห็นแก่ที่เจ้ากล้าหาญน่าชื่นชม ข้าจะละเว้นความผิดฐานบุกรุกกระโจมให้เจ้าชั่วคราว แต่ในเมื่อเจ้าได้ยินเหตุการณ์แล้วก็คงรู้นะว่าหากไขคำตอบไม่ได้จะมีโทษเช่นไร”
ฉีเฟิงเห็นนางมาเพื่อช่วยคนเท่านั้นจึงลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินวาจานี้ของนาง เขายังหัวเราะทีหนึ่งอย่างไม่ประสงค์ดี คาดว่าไป๋ถานจะต้องหวาดกลัวหัวหดอีกเช่นเคย
กู้เฉิงกลับเป็นผู้ที่ซื่อตรงกว่า ยามแลเห็นผิวหน้าที่ขาวบอบบางของไป๋ถานตากลมฤดูสารทเพราะอยู่นอกกระโจมเสียนาน สองแก้มและปลายจมูกจึงล้วนแดงเรื่อ ก่อให้เขาเกิดความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมานิดๆ จึงเอ่ยเตือนเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “ไขคำตอบไม่ได้จะถูกเปลื้องผ้าถลกหนังเชียวนะ”
ไป๋ถานควงด้ามพัดกับร่องนิ้วพลางตอบ “ได้!”
ในกระโจมเงียบสงัดทันตา บรรยากาศแปลกพิกลอยู่บ้าง ไป๋ต้งอดไม่ได้ที่จะกระตุกชายเสื้อของพี่สาวหมายโน้มน้าวนางให้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อน ไม่คาดว่ากลับถูกนางใช้พัดปัดมือเขาออก ไป๋ต้งจึงเบ้ปากแล้วไปยืนด้านข้างอย่างน้อยใจ
ดวงตาของไป๋ถานจ้องเขม็งไปที่ฉากบังลม “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกล่าวแต่บทลงโทษ แต่ยังมิได้เอ่ยถึงรางวัลเลย”
ฉีเฟิงเอ่ยด้วยความขบขัน “ผู้อื่นมีความผิดติดตัว เจ้ายังคิดจะเอารางวัลอีกหรือ”
ไป๋ถานไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย “ข้าเพียงบอกว่าจะไขปริศนาแทนน้องชาย ไม่ได้พูดสักนิดว่ารางวัลจะตกเป็นของเขา ในเมื่อภาพปักผืนนี้ข้าเป็นผู้คลี่คลายคำตอบได้ รางวัลย่อมจะต้องเป็นของข้า เกี่ยวอันใดกับเขาเล่า”
ฉีเฟิงอับจนด้วยถ้อยคำ ในใจรู้สึกแปลกพิกล เหตุใดนางจึงไม่เกรงกลัวเขาเสียแล้ว จู่ๆ ก็เกิดขวัญกล้าขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้ว่าพี่สาวดีดลูกคิดรางแก้วอันใดอยู่ ไป๋ต้งอดไม่ได้ที่จะห่อเหี่ยว หน้าม่อยคอตก มือขยุ้มชายเสื้อตนเองไว้ ทว่าไม่อาจเปล่งเสียง
ซือหม่าจิ้นกลับรู้สึกสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม เขาถึงกับไม่ปฏิเสธ “ได้ อีกเดี๋ยวข้าค่อยลงโทษเขา ส่วนเจ้า หากเจ้าไขคำตอบได้จริง ต้องการสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น”
ไป๋ถานขบคิดชั่วอึดใจ “ต่อให้เปลื้องผ้าถลกหนังท่านอ๋องก็ได้เช่นนั้นหรือ”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงล้วนมีสีหน้าดุจพบเจอภูตผี…
นี่เจ้ากล้าพูดออกมาเช่นนี้เชียวหรือ!
ซือหม่าจิ้นชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงย้อมด้วยความตื่นเต้นอันแปลกประหลาด “นั่นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนี้พอหรือไม่”
ที่ข้ารออยู่ก็เพียงประโยคนี้ของเจ้า! ความคั่งแค้นในช่วงที่ผ่านมาของไป๋ถานถูกสะกิดออกมาจนหมดสิ้น เมื่อจะได้ถึงคราวชำระสะสางให้ละเอียด นางจึงเลิกชายชุดขึ้นแล้วนั่งลงคุกเข่าลงทันที
เพิ่งตั้งท่าจะยกพู่กัน กู้เฉิงคนซื่อก็วิ่งเอาธูปดอกใหม่มาเปลี่ยนกับธูปซึ่งจุดอยู่ในกระถางแล้ว
สายตาของไป๋ถานจับนิ่งอยู่ที่ภาพปักขณะเอ่ยปาก “เจ้าจุดธูปเก้าดอกพร้อมกันทีเดียวเลยก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ตั้งใจจะไขคำตอบทั้งเก้าตำหนักพร้อมกันอยู่แล้ว”
กู้เฉิงปากอ้าตาค้าง มองนางเพียงแวบหนึ่งก่อนหันหน้าไปมองทางฉากบังลม แลเห็นเลาๆ ว่าเงาร่างซึ่งเดิมทีเอนตะแคงอยู่บนตั่งเปลี่ยนมายืดกายนั่งตรงเมื่อได้ยินประโยคนี้
ไป๋ต้งย่อมเชื่อมั่นในความสามารถของพี่สาว ทว่าชั่วขณะนี้ในใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด
สายลมฤดูสารทหอบม่านกระโจมปลิวสะบัดขึ้นลงเช่นนี้ เขาวิตกว่าสายลมนั้นจะช่วยเร่งให้ธูปไหม้เร็วขึ้น จึงยืนอยู่ตรงปากทางคอยบังลมไว้ ขณะเดียวกันสายตาก็จ้องเขม็งไปที่ธูปเก้าดอกนั้น
ขี้ธูปยาวขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะร่วงลงสู่กระถาง จากนั้นยาวขึ้นแล้วร่วงหล่นลงไปอีก…
ไป๋ต้งจดจ่อจนแทบไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าหากพี่สาวเกิดแก้โจทย์นี้ไม่ออก เขาจะปกป้องความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางจนกว่าชีวิตจะหาไม่!
หลังปะทะเดือดกับมารร้ายผู้นั้นอยู่ในสมองไปหลายร้อยยกแล้ว เขาก็พลันได้ยินเสียงดังกุกกักทีหนึ่ง ยามที่เพ่งตามองไป จึงพบว่าธูปยังเหลืออยู่ท่อนเล็กๆ ขณะที่ไป๋ถานได้วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้ว
“เชิญท่านอ๋องตรวจดู” นางหยิบพัดขนนกวาดไปทางฉากบังลม
กู้เฉิงเดินมาหยิบกระดาษเสี่ยวเจียนเหล่านั้นขึ้นมาเป่าน้ำหมึกให้แห้ง ก่อนจะสาวเท้าส่งเข้าไปหลังฉาก
ซือหม่าจิ้นพลิกกระดาษจนบังเกิดเสียงเสียดสีแผ่วเบา นิ้วมือเผยพ้นขอบฉากตามท่าทางการเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราว นิ้วมือของเขานั้นเรียวยาวขาวสะอาด มองไม่ออกสักนิดว่ามือคู่นี้โปรดปรานการอาบเลือดยิ่งนัก
รอจนการเคลื่อนไหวยุติ เสียงพลิกกระดาษสงบลงแล้ว เขาจึงเอ่ยปากกล่าว “ไม่เลว แก้โจทย์ได้ทั้งเก้าตำหนัก”
ไป๋ต้งพลันหัวใจพองโต กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสริมมาว่า “แต่น่าเสียดาย เจ้าไม่ได้ไขคำตอบขั้นสุดท้าย”
ไป๋ถานปรายตามองกระถางธูป “อันตำแหน่งของเก้าตำหนัก ได้แก่สี่และสองอยู่มุมบน แปดและหกอยู่มุมล่าง ซ้ายคือสามขวาคือเจ็ด บนคือเก้าล่างคือหนึ่ง ห้าอยู่กึ่งกลาง เมื่อยึดตามตำแหน่งนี้ กลอนย้อนอักษรของตำหนักซวิ่นดึงวรรคที่สี่ ตำหนักคุนดึงวรรคที่สอง ตำหนักเกิ้นดึงวรรคที่แปด ตำหนักเฉียนดึงวรรคที่หก ตำหนักหลีดึงวรรคที่เก้า ตำหนักข่านดึงวรรคที่หนึ่ง ตำหนักกลางดึงวรรคที่ห้า ทั้งหมดเก้าวรรคประกอบเป็นกลอนย้อนอักษรบทใหม่ กลอนบทนี้บอกใบ้ถึงสถานที่แห่งหนึ่งพอดี…นั่นคือสามสิบลี้ทางตะวันออกของบึงเผิงหลี่* ทิศเหนือของภูเขาหยางซาน คาดว่านี่ก็คือคำตอบขั้นสุดท้ายที่ท่านอ๋องเอ่ยถึง” นางเว้นวรรคเล็กน้อย “ขอบังอาจเรียนถามท่านอ๋องว่าเสาะพบของดีอันใดที่สถานที่แห่งนี้หรือไม่”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างตะลึงค้างไปโดยสิ้นเชิง
พวกเขาค้นเจอภาพปักผืนนี้ได้จากศพของหัวหน้าโจร เชลยบอกว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดที่กุนซือสั่งให้ปักมามอบแด่หัวหน้า
แต่ซือหม่าจิ้นกลับรู้สึกว่าภาพปักนี้มีปริศนาแอบแฝงอยู่ หลังสั่งให้ลงทัณฑ์เค้นสอบกุนซือถึงได้ล่วงรู้ความลับว่าที่แท้นี่เป็นสถานที่ซ่อนสมบัติของพวกโจร
พวกเขาขุดพบของดีที่นั่นจริง หากไม่เป็นเช่นนี้มีหรือขณะที่บวงสรวงฤดูสารทอยู่ ฝ่าบาทยังจะส่งคนมารับท่านอ๋องของพวกเขาอีก นั่นเป็นเพราะพวกเขานำของดีกลับมาเชียวนะ!
ธูปในกระถางดับมอดในที่สุด ไป๋ถานเอียงคอพลางเอ่ยเรียก “ท่านอ๋อง?”
เจ้านึกว่าไม่ส่งเสียงก็สามารถหลบหนีได้แล้วหรือ ฮึ ช่างไร้เดียงสายิ่ง!
“ไป๋ถานหรือ”
ไป๋ถานชะงักกึก
ซือหม่าจิ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้า ยอดแพทย์ซีชิง ยอดคีตาไป๋ฮ่วนเหมย ยอดบุ๋นไป๋ถาน เรียกขานกันว่า ‘หนึ่งชิงกับสองไป๋’ ข้าน่าจะนึกถึงเจ้าได้แต่แรก”
“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว” ไป๋ถานรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูชอบกลอยู่บ้าง
“เจ้าเข้ามาสิ”
ไป๋ถานตั้งสติ ก่อนจะย่างเท้าเดินอ้อมฉากบังลมเข้าไปอย่างเนิบช้า
เบื้องหลังฉากแสงค่อนข้างมืด ซือหม่าจิ้นนั่งขัดสมาธิ สองมือวางบนหัวเข่า ชุดผ้าไหมสีขาวตัวในแหวกเปิดนิดๆ พาดเฉียงด้วยเสื้อนอกสีดำอมเขียวเข้ม รูปโฉมหมดจดกระจ่างตา คิ้วโค้ง ผิวพรรณขาวใส แววตาเจิดจ้าดุจเปลวเพลิงใต้ภูเขาไฟ
ไป๋ถานเผยอริมฝีปากนิดๆ ครองสติไม่อยู่เล็กน้อย
บุคลิกลักษณะอันเปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้มีแต่จะชวนให้ผู้อื่นนึกถึงสายลมกลางป่าสน คนรูปงามประดุจหยกท่องขุนเขา เปรอะเปื้อนคาวโลหิตอันใดกัน น่าจะไม่แปดเปื้อนกระทั่งคาวโลกีย์ถึงจะถูก!
อาจเพราะนางมองนานเกินควร บุรุษรูปงามผู้นี้จึงพลันหยักยกมุมปาก จากนั้นยกแขนแล้วดึงเสื้อนอกพร้อมทั้งเสื้อตัวในออกไปในคราวเดียว
สายตาของไป๋ถานแข็งค้างในชั่วพริบตา ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเขากำลังตกรางวัลให้ตามสัญญา
เอ่อ ขาว…ขาวยิ่งนัก!
ผู้ที่รบทัพจับศึกไฉนผิวกายจึงขาวแวววาวหมดจดเช่นนี้ได้เล่า ทว่ากล้ามแขนกับแผงอกกลับล้วนนูนเด่นเป็นมัดกำยำทั้งสิ้น น่าเสียดายที่มีรอยแผลเป็นพาดอยู่หลายสาย ช่วงท้องซึ่งได้แผลใหม่มาเพิ่มเติมถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวหนาหลายทบ เผยให้เห็นช่วงใกล้เอวเพียงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองออกถึงลายเส้นกล้ามท้องทั้งแนวตั้งแนวนอนหลายมัดนั้นได้
รักษาหน้าด้วย รักษาหน้า! นางใช้พัดขนนกบดบังมุมปากซึ่งยกขึ้นนิดๆ ขณะที่สายตายังคงวนเวียนอยู่ที่เรือนกายเบื้องหน้า
นิ้วมือของซือหม่าจิ้นพลันวางแตะบนขอบกางเกง “ถอดชิ้นนี้แล้วเจ้าก็จะถลกหนังของข้าใช่หรือไม่”
ตอนนี้เองฉีเฟิงกับกู้เฉิงซึ่งอยู่นอกฉากบังลมถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองทรุดเข่าแผดร้องเป็นเสียงเดียวกันทันที “ร่างกายอันสูงส่งล้ำค่าของท่านอ๋องจะให้ผู้อื่นหยามหมิ่นได้อย่างไรกัน!”
ดวงตาทั้งคู่ของไป๋ถานโค้งดุจดังจันทร์เสี้ยว “พวกเขากล่าวถูกต้องแล้ว ร่างกายอันสูงค่าของท่านอ๋องเป็นหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ ข้าน้อยมิกล้าหยามหมิ่น และยิ่งมิบังอาจถลกหนังของท่านอ๋องจริงๆ”
ดูเหมือนซือหม่าจิ้นจะคาดคะเนได้แต่แรกแล้วว่านางยังมีกระบวนท่าต่อท้าย เขาเอ่ยพลางฉวยเสื้อนอกขึ้นมาพาดบนร่าง “ต้องการสิ่งใดก็พูดมาตามตรงเถิด”
เมื่อไป๋ถานเบนพัดขนนกออก ดวงหน้าก็ฉาบด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าน้อยต้องการให้ท่านอ๋องกราบข้าเป็นอาจารย์ รับการอบรมจากข้าน้อยนับแต่นี้ไป”
ภายในกระโจมเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด ซือหม่าจิ้นไม่ได้ปริปาก พวกคนที่อยู่นอกฉากบังลมน่ากลัวว่าจะแปรสภาพกลายเป็นหินไปหมดแล้ว
แม้จะพูดจบแล้ว ทว่ากระทั่งตัวไป๋ถานเองยังออกอาการหวั่นใจขึ้นมาในภายหลัง
ข้าจะรับมารร้ายผู้นี้เป็นศิษย์เชียวนะ ช่างระทึกขวัญไม่เบาเลยนะนี่!
“ท่านอ๋องเคยลั่นวาจาเองกับปากว่าต้องการสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น”
ไป๋ถานหวังเหลือเกินว่าจะอ่านอะไรจากสีหน้าของซือหม่าจิ้นได้บ้าง แต่นางก็มองไม่ออก ดวงหน้าของเขาเจริญตาก็จริง ทว่านางกลับอ่านอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ครั้นมองพิจารณาอย่างละเอียดแล้วไยกลับรู้สึกว่าดวงหน้านี้ดูคุ้นตานางอยู่บ้าง…
“ได้” ซือหม่าจิ้นเอ่ยปากปุบปับจนทำให้ไป๋ถานตอบสนองไม่ทัน
“ท่านอ๋อง!” ฉีเฟิงเริ่มตะเบ็งเสียงลั่น นี่มันเรื่องอะไรกัน อาจารย์เดิมเอามาวางประดับไว้เฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว จะกราบจริงไปไย เขาอยากจะบ้าตาย!
ไป๋ถานใช้ด้ามพัดแยงหูซึ่งอื้ออึงไปด้วยเสียงดังหึ่งๆ “ในเมื่อท่านอ๋องรับปากแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะเริ่มสอนบทแรกเลย…กฎหมายบ้านเมืองเด็ดขาดเที่ยงธรรม ท่านอ๋องไม่อาจลงทัณฑ์ใครได้ตามอำเภอใจ ไป๋ต้งมีความผิดก็สมควรรีบส่งตัวให้ศาลโทษ…ใช่หรือไม่”
นิ้วมือของซือหม่าจิ้นลูบขอบตั่งไม้ที่อยู่ใต้ร่างของตนเบาๆ สายตาซึ่งจับนิ่งอยู่บนร่างของนางชวนให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย “อาจารย์มีบัญชา ข้าย่อมปฏิบัติตาม”
“ท่านอ๋อง!” กู้เฉิงสติแตกไปอีกคนเช่นกัน เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ ท่านอ๋องยังเล่นสนุกไม่พอเลย กลับไปต้องเล่นงานพวกเราตายแน่!
“เช่นนี้ดียิ่ง จบการเรียนของวันนี้แล้ว อาจารย์ขอตัวล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” ทันทีที่บรรลุจุดมุ่งหมาย ไป๋ถานก็หมุนกายออกเดิน นางไม่ลืมคว้าตัวไป๋ต้งติดมือไปด้วย ย่างก้าวเร่งรีบนิดๆ
เพียงแต่ก่อนออกจากกระโจม นางหยุดเหลือกตาใส่ฉีเฟิงทีหนึ่งอย่างไร้เจตนาก็ไม่ใช่ จงใจก็ไม่เชิง
ฉีเฟิงถูกสายตานี้ทำเอาควันออกหูระคนอัดอั้นตันใจสุดประมาณ เขาคลานเข่าตลอดทางจนไปถึงข้างฉากบังลม “เหตุใดท่านอ๋องจึงปล่อยนางไปเช่นนี้เล่า ไป๋ถานนั่นใจเสาะทั้งกลัวมีเรื่องจะแย่ ขอเพียงท่านอ๋องขู่ขวัญทีเดียวนางก็…”
“ฮึ!” ซือหม่าจิ้นพลันแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง
ฉีเฟิงตระหนักได้ทันทีว่าตนพลั้งปากไป เขารีบจรดศีรษะลงกับพื้นพร้อมเหงื่อเย็นที่ไหลท่วมแผ่นหลัง
“จวนหลิงตูอ๋องเป็นที่พำนักของข้า ต่อให้เจ้าจับมดมาสักตัวข้าก็รู้ นับประสาอะไรกับลักพาตัวไป๋ถานมา”
กู้เฉิงผวาจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงก้มหน้าก้มตาคุกเข่าศึกษาสภาพพื้นผิวที่ขรุขระของหน้าดิน
“ตอนนี้ฝ่าบาททรงเชื่อมั่นว่านางคอยชี้แนะอยู่ข้างกายข้า ต่อให้วันนี้นางไม่เอ่ยปาก ช้าหรือเร็วข้าก็ต้องรับอาจารย์ผู้นี้อยู่ดี” ซือหม่าจิ้นงอนิ้วเคาะขอบตั่งสองที “ว่ามา ใครเป็นคนออกความคิดเรื่องลักพาตัวไป๋ถาน”
ร่างของฉีเฟิงสั่นระริกดุจกระชอนร่อนแป้ง
เขาอยากเป็นลมแกล้งตายเหลือเกิน แต่เหตุใดร่างกายถึงแข็งแรงปานนี้…ไม่เป็นลมเสียทีเล่า
ภายในศาลบวงสรวง ขุนนางทั้งหลายล้วนแยกย้ายไปกันหมดแล้ว ไท่ฟู่ไป๋หยั่งถังยืนก้มศีรษะอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ หัวคิ้วขมวดแน่น จอนทั้งสองข้างคล้ายมีผมสีดอกเลาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น
รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาวังเกาผิงเร่งสาวเท้าจากนอกประตูเดินเข้ามาถวายบังคม
“เป็นอย่างไร ไป๋ถานช่วยคนได้แล้วกระมัง” ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นซือหม่าเสวียนผู้สุภาพอ่อนโยนสอบถามพร้อมรอยยิ้ม
เกาผิงประสานมือตอบ “ทูลฝ่าบาท ช่วยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ หลิงตูอ๋องส่งมอบเขาให้แก่ศาล มิได้ลงทัณฑ์เอง”
ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะ มองไปทางไป๋หยั่งถัง “ไท่ฟู่วางใจแล้วสินะ”
ไป๋หยั่งถังระบายลมหายใจอย่างโล่งอกพลางรีบกล่าวตอบรับ
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะซวงเฉวียนรุดมาขอให้เขาช่วยถึงที่นี่ เขาจึงได้แต่รับผิดต่อฝ่าบาท ทว่าฝ่าบาทกลับชี้แนะให้เขาเรียกไป๋ถานไปช่วยคน ทั้งยังรับสั่งอีกว่ามีแต่ไป๋ถานที่กำราบหลิงตูอ๋องได้
เขาร้อนใจหมายช่วยเหลือบุตรชายจึงรีบบอกซวงเฉวียนไปตามนี้ ให้อีกฝ่ายไปภูเขาตงซานเชิญไป๋ถานออกหน้า ทว่าจวบจนบัดนี้เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าทำเช่นนี้ด้วยเหตุใด
เมื่อเกาผิงถอยออกไป ซือหม่าเสวียนจึงย่างเท้าออกจากโถงโดยมีไป๋หยั่งถังคอยเดินติดตาม
“ไท่ฟู่คงแปลกใจมากว่าเหตุใดเราจึงให้ไป๋ถานไปช่วยคน”
ไป๋หยั่งถังคิดจะถามอยู่พอดี “ขอฝ่าบาททรงให้ความกระจ่าง”
ซือหม่าเสวียนแย้มยิ้ม “เพราะไป๋ถานเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้วอย่างไรเล่า”
ไป๋หยั่งถังเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง
“เจ้าประหลาดใจนั้นก็ไม่แปลก เพราะตอนแรกเราเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน นึกว่าคนข้างกายเขากล่าวอ้างกับเราอย่างขอไปทีเท่านั้น เรายังเคยส่งเกาผิงไปสอบถามถึงจวนหลิงตูอ๋องโดยเฉพาะ ก็พบว่าไป๋ถานอยู่ที่นั่นจริงๆ อีกทั้งยังตอบรับแน่ชัดเรื่องอบรมกล่อมเกลาจิตใจของหลิงตูอ๋อง ดังนั้นวันนี้เราถึงให้นางไปช่วยคนอย่างไรเล่า ในเมื่อหลิงตูอ๋องยอมฟังคำชี้แนะของนาง เช่นนั้นเขาย่อมให้ความเคารพนางอย่างสูง เรื่องปล่อยคนยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง”
“…”
เหล่าขันทียกเกี้ยวมาถวายการรับใช้ ขณะจะออกเดินทางซือหม่าเสวียนพลันนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ ก่อนหน้านี้มิใช่ไท่ฟู่บอกว่าอยากทาบทามงานมงคลให้หลิงตูอ๋องหรอกหรือ เป็นคุณหนูสกุลใดเล่า”
ไป๋หยั่งถังรู้สึกเพียงว่าตนถูกคนลอบแทงเข้าหนึ่งดาบจึงเอ่ยตอบอย่างท้อใจ “กระหม่อม…ยังหาตัวเลือกที่เหมาะสมมิได้พ่ะย่ะค่ะ” ยังจะพูดอันใดได้อีกเล่า เขาคือไท่ฟู่ผู้พึงธำรงจารีตของใต้หล้ามากที่สุด ย่อมมิอาจให้บุตรสาวของตนเป็นตัวตั้งตัวตีกระทำผิดจารีตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้โดยเด็ดขาด
ว่าแต่สองคนนี้กลายมาเป็นศิษย์อาจารย์กันได้อย่างไร
“นี่เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งทางเลือกแล้ว” ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะในห้องหนังสือ ฝั่งตรงข้ามคืออู๋โก้วซึ่งกำลังปากอ้าตาค้าง
“ดังนั้นท่านจึงรับหลิงตูอ๋องมาเป็นศิษย์หรือเจ้าคะ!” ปากของนางสามารถยัดไข่ไก่ได้หนึ่งฟองทีเดียว
ไป๋ถานหยิบพัดขนนกโบกแรงๆ ใส่อีกฝ่ายสองทีหมายปลุกให้นางมีสติมากขึ้น “ขอเพียงอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ก็ไม่ต้องแต่งงานกับเขา ทั้งไม่ต้องรอให้อารามเป้าผู่ตีระฆังส่งดวงวิญญาณให้ด้วย เจ้าควรจะดีใจมิใช่หรือ”
“แต่ว่านั่นคือหลิงตูอ๋องนะเจ้าคะ!” อู๋โก้วยกมือหนุนขากรรไกรล่างซึ่งใกล้จะหลุดออกมาอยู่แล้ว “หลิงตูอ๋องกลายมาเป็นศิษย์น้องของข้า… ข้า…ข้าขอทำใจเงียบๆ”
อู๋โก้วพูดถูกยิ่ง ไป๋ถานโบกพัดให้ตนเองแรงๆ หลายที นางก็ต้องทำใจเงียบๆ เช่นกัน อย่างไรเสียคนผู้นั้นก็เป็นมารร้ายเชียวนะ!
แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็พลิกจากรับเป็นรุกได้เสียที อารมณ์ของนางจึงนับว่าไม่เลว
เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจของอู๋โก้วอย่างรุนแรง ทำให้นางแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลังตื่นมาพบแม่ครัวจึงถือโอกาสเปรยกับอีกฝ่าย ผลก็คือตอนกินอาหารทำเอานางแสบคอจนน้ำตาไหล
ที่แท้แม่ครัวหวาดกลัวจนมือสั่น เทเกลือสำหรับกินได้ครึ่งปีลงมาในชามของนางขณะที่ปากท่องอมิตาภพุทธไม่ยอมหยุด
ด้วยเหตุนี้อู๋โก้วจึงพานโกรธไปถึงตัวการใหญ่ หลังประณามไป๋ต้งจบไปหนึ่งยกก็พูดทวงความเป็นธรรมแทนไป๋ถานต่อ “ไป๋ไท่ฟู่นี่ก็เหลือเกิน อาจารย์อุตส่าห์ยอมเสียหน้าไปขอร้องเขา เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นก็ยังไม่ช่วย แต่พอถึงคราวบุตรชายตนเองเกิดเรื่องกลับมีหน้ามาตามอาจารย์ สุดท้ายผู้ที่เคราะห์ร้ายก็คืออาจารย์อยู่ดี”
แม่ครัวเอ่ยเสริมทั้งที่ยังขวัญกระเจิงไม่หาย “ยังมีพวกเราด้วย”
“ยังมีอาหารของข้า”
“ใช่ๆ ยังมีเกลือของข้าอีก”
เดิมทีไป๋ถานตั้งใจจะแจ้งเรื่องที่ตนรับเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องต่อเหล่าศิษย์ในวันนี้ แต่พอเห็นท่าทางของสองคนนี้แล้วจึงไม่สะดวกใจจะเอ่ยปาก ด้วยเกรงว่าจะทำให้เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ตื่นตระหนกขึ้นมา
ยังดีที่อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง อาณาจักรต้าจิ้นให้ความสำคัญต่อหลักความกตัญญู แต่ไรมาไป๋ถานล้วนพักการสอนในช่วงเวลานี้หลายวันเพื่อให้เหล่าศิษย์ได้แสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ปีนี้ย่อมจะไม่งดเว้นอีกเช่นกัน ดังนั้นเรื่องของหลิงตูอ๋องนางจึงอยากเก็บไว้ก่อน ยังไม่ประกาศเป็นการชั่วคราว
พอเหล่าศิษย์จากไปแล้ว เรือนพักของไป๋ถานก็แลดูโล่งว่างวังเวง หลายวันนี้ดวงตะวันไม่แจ่มชัดนัก ประกอบกับสายลมฤดูสารทก็โหมพัดถี่จึงทำให้นางรู้สึกหนาว
อู๋โก้วเก่งกาจไม่เบา พอเช้าตรู่ก็ตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนม่านประตูห้องหนังสือของไป๋ถานจากมู่ลี่ไม้ไผ่มาเป็นผ้าทึบ ขณะยืนเก็บงานช่วงท้ายอยู่บนม้านั่งตัวสูงนางก็เห็นว่าบนระเบียงทางเดินมีบุรุษสามคนมาเยือน ผู้เดินนำหน้าสวมชุดยาวตัวหลวมรัดสายคาดเอวแถบกว้าง เรือนผมรวบไว้ด้านหลังด้วยแถบผ้าต่วนโดยไม่ได้เกล้าขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลขุนนางคนใด ดวงหน้าหล่อเหลาผ่องใสเปี่ยมราศี บุคลิกงามสง่าโดดเด่นดุจเทพเซียนในหมู่มนุษย์ ทว่าน่าเสียดายที่เขามีสีหน้าเยียบเย็นอึมครึม ท่าทางเข้าถึงได้ยาก
นางตะลึงมองอยู่ชั่วครู่ถึงเบือนหน้ามารายงาน “อาจารย์ มีแขกมาเยือนเจ้าค่ะ”
ไป๋ถานนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะ นางหันมองไปทางประตู เมื่อม่านประตูถูกเลิกขึ้นสูงก็เผยให้เห็นรองเท้าหุ้มข้อสีดำปักลายทองกับชายอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้ม รอจนอีกฝ่ายก้มตัวเข้ามาแล้วยืดกายตรง นางถึงเพิ่งมองออกว่าคนผู้นี้คือซือหม่าจิ้น
“วันนี้ข้าตั้งใจมากราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ”
สองเท้าของอู๋โก้วพลันอ่อนระทวยก่อนร่วงตกจากม้านั่ง นางนวดสะโพกที่ปวดร้าวจากการกระแทกเตรียมพร้อมเผ่นหนี ทว่ากลับถูกเสียงกระแอมของไป๋ถานตรึงฝีเท้านางไว้เสียดื้อๆ จึงจำใจเดินไปยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นอาจารย์พร้อมอารมณ์ตัดพ้อ ไม่กล้ามองผู้มาเยือนอีกแม้เพียงแวบเดียว
ก่อนหน้านี้ไป๋ถานเคยเห็นซือหม่าจิ้นแต่ในท่านั่ง ยามนี้อีกฝ่ายมายืนอยู่เบื้องหน้าสายตาของนางอย่างชัดแจ้งแล้วถึงพบว่ารูปร่างของเขาสูงเพียงนี้ นางบีบฝ่ามือแล้วนั่งนิ่งไม่ขยับ “ท่านอ๋องมาแสดงคารวะถึงที่นี่ด้วยตนเองเชียวหรือ”
“ข้าว่างเว้นจากงานพอดี” ซือหม่าจิ้นปรายตาไปมองด้านหลังของตนแวบหนึ่ง กู้เฉิงซึ่งยืนอยู่ข้างประตูรีบประคองหกภักษาไหว้ครู* ซึ่งเตรียมไว้แล้วเข้ามา
นี่คือของไหว้ครูที่มอบให้ไป๋ถาน
อู๋โก้วรับมาอย่างระมัดระวังแล้ววางไว้ ก่อนชงน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งถึงเบื้องหน้าซือหม่าจิ้น มือของนางสั่นอย่างรุนแรง ยังดีที่ไม่ได้ทำถ้วยพลิกคว่ำ
ซือหม่าจิ้นเห็นผู้อื่นมีท่าทีเยี่ยงนี้กับตนเองจนชาชินแล้ว เขาเพียงประคองถ้วยชาส่งถึงหน้าโต๊ะของไป๋ถานแล้วยกมือคารวะ มุมปากแม้ประดับยิ้มแต่กลับซ่อนความเย็นชาเอาไว้ไม่อยู่ “ศิษย์ซือหม่าจิ้นคารวะอาจารย์” กิริยาของเขางามสง่าทว่าสัมผัสถึงความจริงใจไม่ได้สักนิด
ไป๋ถานย่อมไม่อาจถือสาหาความกับเขา นางคลำหาสิ่งของในแขนเสื้อและข้างเอวก่อนยิ้มเจื่อนๆ “ท่านอ๋องมาเยือนกะทันหัน อาจารย์ยังไม่ได้เตรียมของที่จะกำนัลตอบเลยสักชิ้น”
ซือหม่าจิ้นไม่ได้ใส่ใจ “เช่นนั้นติดค้างไว้ก่อนก็ได้”
ไป๋ถานเชิญเขานั่งบนเบาะที่นั่ง “แม้ท่านจะสูงศักดิ์เป็นถึงชินอ๋อง แต่ในเมื่อเข้าสำนักแล้วอาจารย์ก็ต้องปฏิบัติตนอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องได้ตั้งชื่อรอง ไว้หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นเลิกชายชุดขึ้นแล้วนั่งลงพร้อมจับท้องบริเวณที่มีบาดแผล “ชื่อรองเชียนหลิง” เขาเอ่ยเสริมอีกประโยค “เชียนที่แปลว่าหนึ่งพัน หลิงที่แปลว่าประหารด้วยการเฉือนเนื้อ”
ไป๋ถานหนังตากระตุกวูบ ในชื่อยศก็มีอักษรหลิงอยู่แล้ว ในชื่อรองยังมีหลิงอีกหนึ่งพันตัว ไม่แคล้วฟังดูคุกคามผู้อื่นเกินควรหรอกหรือ มิน่าเล่าเจ้าของชื่อถึงมีอุปนิสัยเยี่ยงนี้ นางยกพู่กันเขียนอักษรหลิงที่แปลว่าอายุลงบนกระดาษแล้วเลื่อนไปให้อีกฝ่าย “เปลี่ยนเป็นเชียนหลิงที่แปลว่าอายุพันปีเถิด อาจารย์หวังว่าท่านอ๋องจะกล่อมเกลาจิตใจและมีอายุมั่นขวัญยืน”
ซือหม่าจิ้นไม่เอ่ยตอบ มุมปากผุดรอยยิ้มซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มีขึ้นอีกครั้ง
ไป๋ถานถูกรอยยิ้มนี้ทำเอาสันหลังเย็นวาบ นางหมุนด้ามพัดที่กุมอยู่ในมือตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะได้ยินเสียงตวาดกร้าวอย่างไม่คาดฝันดังขึ้น “คนแซ่ไป๋อย่าได้คืบจะเอาศอก! นามของท่านอ๋องให้เจ้าเปลี่ยนได้เองหรือ!”
พอนางหันหน้าไปก็เห็นฉีเฟิงถลันเข้ามาจากนอกประตูแล้ว
ไป๋ถานพลันหรี่ตา “ท่านอ๋องของเจ้ากับอาจารย์ของท่านอ๋องเจ้ากำลังสนทนากัน ถึงคราวให้เจ้าสอดปากแล้วหรือ มาทางใดก็จงกลิ้งออกไปทางนั้น!”
ในที่สุดฉีเฟิงก็มองทะลุอุบายแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ* ที่นางแสดงก่อนหน้านี้ออก ในใจเขาจึงเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าหันข้างอันเยียบเย็นของซือหม่าจิ้นแล้วก็ไม่กล้าอาละวาด ได้แต่ถอยออกไปอย่างอึดอัดคับใจ
ต้นคอที่ปวดระบมอยู่เนิ่นนานนั้นไป๋ถานยังคงจำฝังใจและขุ่นแค้นไม่หาย นางจึงเอ่ยท้วงอย่างมีเจตนา “เชียนหลิง เหตุใดอาจารย์ถึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเล่า”
ซือหม่าจิ้นมองไปทางประตู “เข้ามาซิ”
ฉีเฟิงย้อนกลับมาแต่โดยดี
“ออกไป ใช้กลิ้งเอานะ”
“…” ฉีเฟิงอัดอั้นตันใจแทบทนไม่ไหว ใบหน้าดำคล้ำแดดสลับเป็นสีแดงก่ำในฉับพลัน สุดท้ายยังคงกัดฟันนอนลงกับพื้นก่อนจะกลิ้งออกไปทีละตลบจริงๆ เขากลิ้งไปพลางแยกเขี้ยวยิงฟันไปพลาง
กู้เฉิงพูดเสียงอ่อย “ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ท่านลงโทษฉีเฟิงหนักปานนั้น เขาทนไม่ไหวหรอกขอรับ ถ้าอย่างไรให้ข้าน้อยกลิ้งแทนเขาเถิด”
ไป๋ถานไม่ได้ขุ่นเคืองกู้เฉิงเหมือนที่ขุ่นเคืองฉีเฟิง อีกอย่างจะว่าไปสีหน้าของเจ้าหนูฉีเฟิงยามนี้ก็ดูย่ำแย่ไม่น้อยแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงบังเกิดจิตเมตตาโบกมือยับยั้ง “ช่างเถิด เรียกเขากลับมาแล้วกัน”
ซือหม่าจิ้นเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “กลิ้งกลับมา”
ฉีเฟิงเพิ่งจะตะกายลุกขึ้นอย่างยากเย็นเท่านั้น พอเขาได้ยินประโยคนี้ของผู้เป็นนายจึงแทบจะร้องไห้ออกมา
หลังจากใช้ร่างกายสัมผัสสภาพพื้นบริเวณประตูห้องหนังสือทั้งนอกและในจนครบหนึ่งรอบแล้ว ในที่สุดฉีเฟิงก็ไม่เหลือมาดอันใหญ่โตต่อหน้าไป๋ถานอีก ดวงหน้าของเขาซีดเผือดขณะได้กู้เฉิงพยุงออกไปพักผ่อนที่ระเบียงทางเดิน
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้ารู้เรื่องที่ตัวบัดซบนี่ลักพาคนแล้ว เดิมทีคือการหลอกลวงเบื้องสูง แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ากราบอาจารย์แล้วก็ไม่อาจนับว่าหลอกลวงเบื้องสูงอีก”
ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง ที่แท้มิใช่นางที่กำลังเอาคืนฉีเฟิง หากแต่เป็นซือหม่าจิ้นเองที่อัดอั้นอยากจะเล่นงานเขามาแต่แรก มันก็น่าอยู่หรอก ถึงอย่างไรต้นเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ล้วนต้องโทษฉีเฟิงที่ก่อเรื่องมาตั้งแต่ต้น
ทว่าเรื่องนี้อู๋โก้วกลับยังไม่รู้ ไป๋ถานกลัวนางจะเสียขวัญจึงแสดงท่าทีให้นางออกไปก่อน
อู๋โก้วนับว่าหลุดพ้นเสียที นางถอยออกจากประตูไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่หันหน้าไปอีกทางได้ก็ชักเท้าวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง
ไป๋ถานรินน้ำชาถ้วยหนึ่งเลื่อนส่งไปฝั่งตรงข้าม “ในเมื่อท่านอ๋องรู้เรื่องแล้ว เช่นนั้นท่านกับข้าก็ถือโอกาสนี้ซักซ้อมคำพูดกันสักหน่อยดีหรือไม่ คราวหน้าเมื่อถูกสอบถามจะได้ไม่เผยพิรุธ”
นิ้วมือของซือหม่าจิ้นวางอยู่บนขอบถ้วยชา “ไม่ต้องวุ่นวายเช่นนี้หรอก อาจารย์นึกว่าข้าอยากกล่อมเกลาจิตใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
ไป๋ถานถูกวาจาของเขาตอกกลับจนชะงักไปชั่วครู่ “แต่อย่างน้อยเรื่องเวลาที่ท่านกราบข้าเป็นอาจารย์ก็ต้องพูดให้ตรงกันกระมัง”
ซือหม่าจิ้นช้อนตาขึ้นมองนาง “เช่นนั้นอาจารย์ว่าอย่างไรเล่า”
ไป๋ถานคำนวณวันก่อนตอบ “พูดว่าท่านกราบข้าเป็นอาจารย์เมื่อสามเดือนก่อนก็แล้วกัน เดือนนั้นมีสองสามวันที่ข้าไม่อยู่ในเรือน แต่งเรื่องได้พอดี เช่นนั้นที่ข้าพลันปรากฏตัวในจวนอ๋องของท่านเมื่อหลายวันก่อนถึงจะดูปกติ”
“วาจานี้ไม่ถูกต้อง” ซือหม่าจิ้นพลันโน้มกายมาเบื้องหน้า ประชิดเข้ามาใกล้จนไป๋ถานไม่ทันได้ตั้งตัว “อาจารย์เคยสอนข้าก่อนหน้านั้น ข้าจึงนับเป็นศิษย์ของท่านมานานแล้ว จะพูดว่าสามเดือนก่อนได้อย่างไรกันเล่า”
ไป๋ถานตะลึงงัน ฉุกคิดได้ว่าฉีเฟิงก็เคยพูดเช่นเดียวกันนี้มาก่อน
กลิ่นยาบนร่างของอีกฝ่ายซึ่งอ่อนจางจนคล้ายมีคล้ายไม่มีพลันแทรกซึมเข้ามาในจมูกของนาง ดวงตาคู่นั้นอยู่ใกล้เพียงแค่คืบ ทว่าอึมครึมจนน่าพรั่นพรึง นางถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง
ไม่น่าใช่กระมัง หากเขาเคยผ่านมือของนางจริง มีหรือจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
นี่ด่ากันทางอ้อมหรืออย่างไร!
“ดูจากท่าทางของอาจารย์ เห็นชัดว่าจำข้าไม่ได้แล้ว” ซือหม่าจิ้นถอยกลับไปแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เขาใช้มือข้างเดียวเลิกผ้าม่านก่อนหยุดชะงักเล็กน้อย “หากอาจารย์ลืมไปแล้วก็ช่างมันเถิด ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าอาจารย์เคยพัวพันกับข้าอยู่วันยังค่ำ ชื่อเสียงของ ‘หนึ่งชิงกับสองไป๋’ เกรงว่านับแต่นี้จะต้องด่างพร้อยเสียแล้ว”
ไป๋ถานเลิกคิ้ว ได้แต่เบิกตามองเขาเดินออกไป
นับว่านางรู้ซึ้งเสียที ดัดหลังมารร้ายผู้นี้ไปหนหนึ่ง มีหรือเขาจะปล่อยให้นางอยู่ดีมีสุขได้ บอกว่ามากราบอาจารย์ แท้จริงมากวนโทสะนางชัดๆ!
ซือหม่าจิ้นออกจากเรือนพักแล้ว ทว่าไม่ได้รีบกลับเข้าเมืองแต่อย่างใด
ภูเขาตงซานไม่สูงนัก มีทหารหน่วยหนึ่งซึ่งมาพร้อมกับเขาเฝ้าอยู่ตรงไหล่เขา พอเขาเดินไปถึงที่นั่น พวกทหารก็รีบจูงม้าของเขาออกมา ด้านหลังของหางม้าผูกคนไว้ผู้หนึ่ง ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด คลุกกับดินโคลนและเศษใบไม้ ทั้งร่างสั่นจนขดเป็นก้อนกลม แทบมองสภาพคนไม่ออก
คนผู้นี้คือหนึ่งในพวกโจร ยามที่รังเก่าถูกกวาดล้างเขาไม่ปวดใจ พี่น้องถูกเข่นฆ่าก็ไม่ปวดใจ ทว่ามาปวดใจก็เมื่อสมบัติที่ซุกซ่อนมาช้านานเหล่านั้นบัดนี้กลับตกเป็นของราชสำนักจนหมด ไหนๆ ก็ไร้ทางถอยแล้ว เขาจึงไล่ตามซือหม่าจิ้นมาตลอดทางหมายลอบสังหารอีกฝ่ายเพื่อระบายแค้นในใจ
ซือหม่าจิ้นรู้ตัวตั้งแต่แรก แต่เฝ้าอยู่สองวันแล้วก็ยังจับตัวอีกฝ่ายไม่ได้ วันนี้จึงจงใจออกนอกเมืองมากราบอาจารย์เพื่อจะจับตัวโจรได้คาหนังคาเขา
ซือหม่าจิ้นพลิกกายขึ้นม้าแล้วตบม้าให้ย่างเหยาะไปอย่างช้าๆ โจรที่อยู่บนพื้นถูกลากลงเขาไปราวกับผ้าขี้ริ้วที่ขาดรุ่งริ่งกองหนึ่ง ทุกแห่งที่เขาผ่านล้วนทิ้งคราบเลือดกระจายเปรอะไปตามหินภูเขาและหญ้าแห้ง
ทุกคนล้วนเคยชินกับเรื่องทำนองนี้กันแล้ว ตลอดทางจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งเงียบสงบไร้สุ้มเสียง
ผ่านไปสักพัก ซือหม่าจิ้นพลันรั้งบังเหียนแล้วเปรยถาม “ตายแล้วหรือ”
ขาม้าคู่หลังยั้งไม่ทันจึงเหยียบลงบนกระดูกท่อนหนึ่งของคนผู้นั้นจนหักดังลั่น เสียงร้องโหยหวนของเขาดังตามมาติดๆ ก่อนจะเค้นพลังเฮือกสุดท้ายแผดคำราม “ซือหม่าจิ้น! ต่อให้ข้าเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้า!”
“ไม่ตายก็ดี ข้าจะได้มีของให้เล่นสนุกอีก” ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ อย่างพึงพอใจแล้วกระตุ้นม้าเดินหน้าต่อไป
คนผู้นั้นเจ็บปวดแสนสาหัส กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง ลมหายใจรวยริน เสียงครวญครางที่กระจายมาตามลม อเนจอนาถจนยากจะทนรับฟังไหว
เพิ่งเดินหน้าไปได้ไม่กี่ก้าว มีคนผู้หนึ่งพลันโผล่ออกมาจากในป่า ร่างเขาสวมอาภรณ์สีคราม เรือนผมสีดำ เท้าสวมเกี๊ยะไม้ ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าคนทั้งกลุ่มได้พอดิบพอดี
ซือหม่าจิ้นมองดูเขา เขาก็มองตอบ จากนั้นชายผู้มาเยือนจึงกวาดสายตามองไปยังเบื้องหลังม้าของซือหม่าจิ้นแวบหนึ่ง สองมือของเขาสอดอยู่ในแขนเสื้อ ก่อนจะหลีกทางให้พร้อมยิ้มประจบ “โอ๊ะ ท่านอ๋องกำลังยุ่งอยู่หรือ”
“อืม”
“กินอาหารหรือยังขอรับ”
“เจ้าจะเลี้ยงข้าหรืออย่างไร”
คนผู้นั้นฉีกยิ้มกว้าง “หากข้าเลี้ยงก็ได้แต่เลี้ยงท่านอ๋องดื่มยาเท่านั้น”
ซือหม่าจิ้นยิ้มเยาะทว่าไม่มีท่าทีขุ่นเคือง “เจ้ามาทำอะไรที่ภูเขาตงซาน”
“ข้าก็มาเยี่ยมไป๋ถานน่ะสิขอรับ”
ซือหม่าจิ้นมองอีกฝ่าย “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
“พวกเราสนิทกันยิ่ง” เขากางนิ้วนับ “หลานอาของหลานอาของท่านแม่นางก็คือข้าเอง”
ฉีเฟิงกดข่มอาการบาดเจ็บทั่วร่างแค่นเสียงดังฮึ “นี่ก็เรียกว่าสนิทด้วยหรือ” ขณะที่ปากเอ่ยเช่นนี้เขากลับลอบหลิ่วตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้าจำได้ว่าฮูหยินผู้ล่วงลับของไป๋ไท่ฟู่เป็นคนสกุลซี ก็นับว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าอยู่บ้างจริงๆ” สายตาของเขากวาดจากร่างของฉีเฟิงไปยังใบหน้ายิ้มตาหยีของคนผู้นั้น “แต่เจ้าก็ยังให้ฉีเฟิงไปลักพาตัวไป๋ถาน”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนผู้นั้นพลันหุบไปทันตา เขาก้มหน้างุดแล้วรีบวิ่งขึ้นเขาโดยไม่รอช้า เสียงเกี๊ยะไม้กระทบขั้นบันไดหินดังแก๊กๆ ฟังดูแคล่วคล่องว่องไวไม่เบาทีเดียว
ฉีเฟิงนึกถึงเคราะห์กรรมที่ตนประสบในช่วงหลายวันมานี้ ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง เขาจึงตะโกนลั่นใส่เงาหลังของอีกฝ่าย “คุณชายซี เจ้าแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว! โยนหม้อดำ* ให้ข้าแบกอยู่คนเดียวแล้วยังจะวิ่งหนีอีก!”
สิ้นคำของฉีเฟิง อีกฝ่ายก็วิ่งไวกระฉับกระเฉงยิ่งกว่าเก่าเสียอีก
ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึ ขี่ม้าลงเขาต่อโดยไม่คิดไล่ตาม
ฉีเฟิงชำเลืองมองสีหน้าของผู้เป็นนายอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋องไม่เอาความแล้วหรือขอรับ”
“นั่นคือยอดแพทย์ซีชิงผู้โด่งดัง มีประโยชน์อย่างยิ่ง ช่างเถิด”
หัวใจของฉีเฟิงคล้ายถูกแทงเข้าหนึ่งดาบ ทั้งเย็นวาบและรวดร้าว
นี่แปลว่าข้าไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ…
อู๋โก้วได้ยินว่าหลิงตูอ๋องกลับไปแล้วจึงค่อยออกมายืดเส้นยืดสาย นางเพิ่งมาถึงเรือนด้านหน้าก็เห็นบ่าวชายเปิดประตูให้คนผู้หนึ่งเข้ามา คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีครามแขนกว้าง สายคาดเอวปลิวล้อลม เกี๊ยะไม้ส่งเสียงดังแก๊กๆ ถุงเท้าผ้าสีขาวหิมะเปรอะไปด้วยโคลน ลักษณะเช่นนี้นอกจากยอดแพทย์ซีชิงผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘หนึ่งในสามยอดอัจฉริยะ’ แล้วก็ไม่อาจเป็นใครอื่นไปได้อีก
นางหันหน้าไปร้องเรียก “อาจารย์ คุณชายซีมาเจ้าค่ะ”
ไป๋ถานเดินออกจากห้องมาอย่างเนิบช้า “โอ๊ะ นี่ยอดแพทย์ซีชิงมิใช่หรือ ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่ได้”
ซีชิงตอบพร้อมยิ้มตาหยี “ถึงเทศกาลฉงหยางแล้วอย่างไรเล่า ข้าก็เลยมาปีนเขาชมทิวทัศน์กับสหายเก่าไม่ได้หรือ”
ไป๋ถานฟังจบก็คลี่ยิ้ม เพราะว่านี่คือธรรมเนียมปฏิบัติอันเคยชิน นางกวักมือเรียกอู๋โก้วให้หยิบเสื้อคลุมตามมาแล้วออกจากประตูเรือนไปพร้อมกับเขา
เหตุที่ผู้คนมักกล่าวขวัญถึงสามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้ารวมกัน แท้จริงแล้วเป็นเพราะสามคนนี้มีความเกี่ยวพันที่ไม่ธรรมดา ยอดคีตาไป๋ฮ่วนเหมยคือญาติผู้พี่ในตระกูลเดียวกันกับไป๋ถาน ส่วนซีชิงคือบุตรหลานในตระกูลของมารดานาง แม้ไม่อาจนับว่าเติบโตมาด้วยกันแต่ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก
ทว่าในสามยอดอัจฉริยะนั้นไป๋ฮ่วนเหมยกลับมีความเป็นอยู่ดีที่สุด เนื่องจากนางแต่งเข้าวังไปเป็นสนมของฮ่องเต้ ได้ยินว่ายามนี้นางเลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟย แล้ว
ส่วนไป๋ถานกับซีชิงนั้นเรียกว่า…น่าสังเวช
ในสายตาของตระกูลขุนนาง อาชีพแพทย์ไม่ต่างจากนักพรตที่กลั่นยาอายุวัฒนะ เป็นเพียงวิชาหากินของพวกแสวงหาวิถีเซียน หากเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะกลัวอันใด แค่กินผงห้าศิลา เพียงเล็กน้อยก็เหนือกว่าเทวดาเดินดินแล้ว! ด้วยเหตุนี้การเรียนแพทย์ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่บุตรหลานตระกูลขุนนางพึงกระทำ ใครเรียนก็ช่างไม่รักดีแล้ว!
ทว่าซีชิงผู้มีชาติตระกูลขุนนางกลับมาหลงใหลในวิชาแพทย์ หลังลักลอบกราบอาจารย์เพื่อเรียนแพทย์แล้ว เขาก็ถูกคนจับได้ แน่นอนว่าคนในตระกูลล้วนไม่มีใครรับได้ ดังนั้นเขาจึงสะพายห่อสัมภาระออกจากจวนมาเสียเลย
ปีนั้นไป๋ถานพอจะมีชื่อเสียงเชิงบุ๋นอยู่บ้างแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบิดากลับตึงเครียดถึงขีดสุด นางจึงสะพายห่อสัมภาระแล้ววิ่งตะบึงไปบนเส้นทางที่หันหลังให้กับครอบครัว
เด็กหนุ่มกับสาวน้อยพบเจอกันที่ปากตรอกอูอี ทั้งสองสบตากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาต่างเป็นสหายร่วมอุดมการณ์จึงออกจากเมืองหลวงมาพร้อมกันอย่างเบิกบานใจ
ไม่นานนักทั้งสองก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของตน คนหนึ่งตระเวนทั่วทิศเพื่อไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ ส่วนอีกคนก็คอยค้นคว้าหาความรู้อยู่ในเรือนพักบนภูเขาตงซาน
ทว่าต่อมาซีชิงดวงขึ้นชะตาพลิกผัน บังเอิญอัครเสนาบดีหวังฟูล้มป่วยหนัก ในขณะที่เหล่าหมอหลวงกำลังอับจนหนทางกันหมดแล้ว ซีชิงที่เพิ่งไปถึงกลับสั่งยาเพียงไม่กี่เทียบก็รักษาอีกฝ่ายหายเป็นปลิดทิ้งได้ นับแต่นั้นชื่อเสียงของเขาจึงสะพัดไปไกล ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนซีชิงอีก ผู้อาวุโสในสกุลซีจึงทำได้เพียงต้อนรับเขากลับไปอย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่ไป๋ถานนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล้วนอยากตะกุยกำแพงเพื่อระบายความอัดอั้น เพราะฉะนั้นถึงว่ากันว่าเรียนหนังสือไปมีประโยชน์อันใด ฝึกทักษะที่ใช้สอยได้จริงจึงจะถูกต้องกว่า!
ระหว่างที่ต่างคนต่างเด็ดผลจูอวี๋ กำหนึ่งใส่ลงในถุง ไป๋ถานกับซีชิงก็เดินเล่นจนมาถึงยอดสูงสุดของภูเขาตงซานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลานี้เป็นยามเที่ยงพอดี แสงตะวันกำลังอุ่นสบาย อารามเป้าผู่ที่อยู่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามกับเมืองเจี้ยนคังที่อยู่ไกลออกไปต่างขับเน้นซึ่งกันและกันแลดูเพลินตา
ซีชิงกุมผลจูอวี๋ไว้ในมือ เขาเสาะหาที่สูงเพื่อเสียบก้านผลจูอวี๋พลางเอ่ย “ข้าได้ยินว่าเจ้ารับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์แล้ว”
ไป๋ถานตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ซีชิงถูมือ ดวงตาทั้งคู่ยิ้มจนกลายเป็นเส้นโค้งเรียวเล็ก “ข้าย่อมรู้แน่นอน เพราะว่าตอนที่ฉีเฟิงร้อนใจจะลักพาตัวคนไปรับมือกับฝ่าบาทนั้นก็ได้ข้าเป็นคนเตือนสติเขาให้ไปลักพาตัวเจ้าเอง”
“อะไรนะ!” ไป๋ถานหวุดหวิดจะละเลงผลจูอวี๋ในมือลงบนหน้าของเขาแล้ว “เจ้ารู้จักฉีเฟิงได้อย่างไร”
ซีชิงถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อป้องกันตัว “เมื่อสองปีก่อนหลิงตูอ๋องออกรบแล้วได้รับบาดเจ็บ มีหมอหลวงไปตรวจเขาสามคน ถูกเขาซัดคว่ำไปเสียสองคน สุดท้ายก็ได้ข้าเป็นคนรักษาให้เขา นับแต่นั้นจึงไปมาหาสู่กันเสมอ”
ไป๋ถานสีหน้าไม่ชวนมอง “เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”
“เฮ้อ คนไข้ที่ข้าเคยตรวจรักษามีมากมายนัก บางคนบนกระหม่อมขึ้นตุ่มพุพอง บางคนใต้ฝ่าเท้ามีน้ำหนองไหล ไหนเลยข้าจะเอ่ยกับเจ้าเรื่องคนไข้จนครบทุกคนได้”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องเรียกให้ฉีเฟิงมาลักพาตัวข้า”
ซีชิงยิ้มระรื่นอย่างไร้ความละอายยิ่งนัก “เพราะว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยสอนหลิงตูอ๋องแล้วอย่างไรเล่า”
ไป๋ถานตะลึงงัน
หนึ่งคนพูดเช่นนี้นางย่อมไม่เชื่อ สองคนพูดเช่นนี้นางก็เริ่มเคลือบแคลง หากสามคนล้วนพูดเช่นนี้อีกนางก็ได้แต่ต้องสงสัยตนเองแล้ว
“ข้าเคยสอนเขาจริงหรือ”
ซีชิงย้อนถาม “เจ้าลืมเรื่องในเมืองอู๋เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้วหรอกหรือ”
ลูกตาของไป๋ถานกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เช่นนั้นข้าจะเตือนสติเจ้าอีกประโยค หลิงตูอ๋องคือโอรสของอดีตฮ่องเต้”
แววเลื่อนลอยในดวงตาของไป๋ถานค่อยๆ พบเบาะแส นางพลันเบิกตาโต “ไม่จริงกระมัง หรือว่าจะเป็นเขา…”
เรื่องนี้จะว่าไปก็ผ่านมาตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงประชวร ชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ย* จึงคิดก่อการกบฏ ทำให้เมืองหลวงตกอยู่ในภาวะคับขัน
เพื่อจะไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง อดีตฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญรั้งอยู่รักษาการณ์ และให้คัดเลือกเจ้าหน้าที่กับทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันครอบครัวขุนนางและเชื้อพระวงศ์ลี้ภัยออกจากเมืองหลวง สุดท้ายคนทั้งหมดเมื่อหลบหนีมาจนถึงเมืองอู๋แล้วจึงค่อยนับว่าปลอดภัย
ในจำนวนนี้มีพระโอรสองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้รวมอยู่ด้วย
แม้ในภาวะไม่สงบ การศึกษาขององค์ชายกลับไม่อาจว่างเว้น เดิมทีองค์ชายมีอาจารย์อยู่แล้ว ทว่ากลับถูกทัพกบฏสังหารไประหว่างทาง ครอบครัวขุนนางต่างรู้ดีว่าทัพกบฏย่อมพุ่งเป้ามาที่พระโอรสของฮ่องเต้ พวกเขาจึงไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวด้วย แต่ก็ไม่อาจเอ่ยปากได้ตามตรง ดังนั้นพวกเขาจึงพากันเสนอให้ไป๋หยั่งถังผู้มีความรู้สูงสุดเป็นคนรับหน้าที่สอนองค์ชายเป็นการชั่วคราว
ทว่าจนใจที่ไป๋หยั่งถังรอนแรมเดินทางมานานจนล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่อาจทำการสอนได้
องค์ชายถูกส่งมายังที่พำนักชั่วคราวของสกุลไป๋แล้ว แต่กลับไม่มีใครออกไปสอนได้ คนสกุลไป๋ต่างร้อนใจยิ่ง
ตอนนั้นไป๋ถานเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่น* ได้ไม่นาน แลเห็นทุกคนเดินกลับไปกลับมาอย่างกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ นางจึงหันหน้ากลับเข้าไปในห้อง นำชุดบุรุษมาสวมทับแล้วเกล้ามวยผมออกไปที่เรือนด้านหน้าแทนบิดา
นางรู้เพียงว่าอีกฝ่ายคือองค์ชาย อายุก็น่าจะห่างกับนางเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นนางก็ล้วนไม่รู้แล้ว
ตอนนั้นสถานการณ์ไม่ปกติ จิตใจของทั้งสองล้วนไม่อยู่ที่การศึกษา หากบอกว่านางสอนหนังสือก็มิสู้บอกว่าไปนั่งฆ่าเวลาเป็นเพื่อนองค์ชายจะตรงกว่า
นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยสนทนากับเขานอกบทเรียนหรือไม่ ภาพซึ่งประทับติดตรึงที่สุดในหัวสมองจึงเป็นเพียงเค้าโครงอันเรียบง่าย…เขาผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะในห้องโถงข้าง รูปร่างผอมบาง ผิวขาวผมดำ ทว่ากลับไม่เปล่งเสียงแม้สักคำเดียว
เป็นเช่นนี้อยู่ไม่กี่วัน นางหลับหูหลับตาสอนหนังสือเขาส่งเดชไปได้ไม่กี่หน้า ทางเมืองหลวงก็ส่งข่าวมาว่าซือหม่าเสวียนนำทัพออกมาถวายการอารักขา พิทักษ์เมืองหลวงเอาไว้ได้ ทุกคนจึงสามารถกลับไปได้แล้ว
สิบเอ็ดปีผ่านไป ช่างเนิ่นนานเหลือเกินจริงๆ รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มที่เงียบขรึมในตอนนั้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้
“เจ้าแน่ใจว่าเป็นเขาจริงหรือ” ไป๋ถานยังคงไม่กล้าเชื่อ นี่มันคนละคนกันชัดๆ!
ซีชิงขบขัน “อดีตฮ่องเต้มีพระโอรสองค์นี้เพียงองค์เดียว หรือว่าเขายังจะสวมรอยกันได้?”
ไป๋ถานยากจะยอมรับ “แล้วเขากลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ไม่แน่ตอนนั้นเจ้าอาจสอนอะไรที่ส่งผลร้ายแรงก็เป็นได้”
“…” ไป๋ถานไม่ส่งเสียง แต่กลับเอาก้านผลจูอวี๋เสียบใส่หน้าของตัวการใหญ่ผู้นี้ทันที
บทที่สาม
หลายวันนี้โจวจื่อฉวยจังหวะที่หยุดเรียนกลับเมืองอู๋ไปเยี่ยมเยียนบิดามารดา เช้าวันนี้เขาจึงรุดกลับมาถึงเมืองหลวง ตกบ่ายก็นำเด็กรับใช้ไปที่ย่านฉางกั้น ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของชาวบ้านทั่วไปทันที
เทศกาลฉงหยางต้องแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส ซึ่งย่อมหมายรวมถึงอาจารย์ด้วย ทุกปีเขาจึงมาเลือกของกำนัลหนึ่งชิ้นที่ร้านตรงปลายถนนของย่านฉางกั้นเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์
เถ้าแก่ร้านเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นกันมานาน พอเข้าประตูร้าน โจวจื่อจึงเอ่ยทักทายอีกฝ่าย ใครจะคาดคิดว่าเขายังไม่ทันพูดจบ เถ้าแก่ร้านกลับเผ่นแน่บเข้าหลังร้านไปราวกับพบเจอภูตผีเสียแล้ว
โจวจื่อฉงนยิ่งนัก “เถ้าแก่ เจ้าไม่ขายของให้ข้าแล้วหรือ”
เถ้าแก่ร้านขอโทษขอโพยเสียงแผ่วผ่านม่านประตู “ขออภัยจริงๆ ขอรับคุณชายโจว มิใช่ข้าไม่อยากขายของให้ท่านหรอก แต่ข้าไม่กล้าจริงๆ หากของที่ขายไปเกิดไม่ถูกใจคุณหนูสกุลไป๋ขึ้นมา นางอาจไม่ทำอันใดท่าน กลัวก็แต่จะมาเล่นงานร้านซอมซ่อนี้ของข้าแทน หากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำประการใดเล่า”
โจวจื่อขบขัน “อาจารย์ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น ที่นางรับของกำนัลก็ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งใด เพียงทำตามธรรมเนียมมารยาท ไหนเลยจะถือสามากมาย เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเจ้ากลัวนางเช่นนี้ ปีนี้เจ้ากลับเป็นอะไรไป”
เถ้าแก่ร้านแหวกม่านประตูโผล่ออกมาแต่ใบหน้า “ตอนนี้นางรับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์แล้ว จะเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไรกัน”
โจวจื่อชะงักกึกก่อนจะปั้นหน้าขรึม “พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า”
เถ้าแก่ร้านหดคอ “ในเมืองลือกันทั่วแล้ว เหตุใดกลายเป็นข้าที่พูดเพ้อเจ้อเสียได้…”
โจวจื่อไม่เชื่อ ผู้ใดบ้างที่เอ่ยถึงนามของหลิงตูอ๋องได้โดยไม่สั่นสะท้าน เขาสามารถทำให้เด็กเล็กทั่วหล้าครึ่งหนึ่งผวาจนปัสสาวะรดกางเกง อีกครึ่งหนึ่งผวาจนปัสสาวะไม่ออก อาจารย์เร้นกายอยู่บนภูเขาตงซาน แต่ไรมาไม่เหยียบย่างเข้าเมืองหลวงเลยสักก้าว จะไปเกี่ยวโยงกับคนผู้นั้นได้อย่างไรกัน
“อย่ามาพูดจาเหลวไหล! อาจารย์ข้าชื่อเสียงดีงามไม่เคยด่างพร้อย หากรับมารร้ายผู้นั้นเป็นศิษย์จริงไม่เท่ากับทำลายชื่อเสียงของตนเองหรอกหรือ ขืนเจ้ายังปั้นน้ำเป็นตัวส่งเดชเช่นนี้ ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบที่ร้านซอมซ่อนี่อีก!”
โจวจื่อตวาดถ้อยคำเหล่านี้สุดเสียง ถึงกับทำให้ฝูงชนที่คลาคล่ำอยู่นอกประตูพลันเงียบกริบไปในพริบตา
ซือหม่าจิ้นซึ่งเดินผ่านมาจึงชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับมองเข้าไป
สองสามวันนี้ฉีเฟิงกำลังพยายามเยียวยาความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวอย่างยิ่งยวด เขาแทบจะกลายร่างเป็นสุนัขกัดคนให้นายไม่เลือกหน้าแล้ว พอได้ยินคำว่า ‘มารร้าย’ ไหนเลยจะทนไหว เขาจึงแหวกฝูงชนเข้าไปเพื่อสืบข่าวแล้วกลับมารายงานผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านอ๋อง เจ้าหนูนั่นชื่อโจวจื่อ เป็นบุตรชายเจ้าเมืองอู๋ หลานชายของข้าหลวงส่วนพระองค์ เขาไปเรียนหนังสือที่ภูเขาตงซานทุกวัน ดูเหมือนจะมาซื้อของกำนัลให้คุณหนูสกุลไป๋ ท่านว่าจะให้ข้า…” เขาหรี่ตาถูไม้ถูมือบอกใบ้ว่ากำลังจะไปทำเรื่องชั่วร้าย
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มกอดอก “ไปบอกเถ้าแก่ว่าให้เขาเลือกของในร้านได้ตามใจชอบ เสร็จแล้วมาคิดเงินกับข้า ถือเป็นของขวัญแรกพบจากศิษย์พี่”
ความฮึกเหิมของฉีเฟิงพลันสลายไปกว่าครึ่งในพริบตา ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
เพียงฉีเฟิงพูดไม่กี่ประโยค ฝูงชนที่รอชมเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูก็ต่างแตกฮือจากไปพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ เถ้าแก่ลนลานวิ่งออกมา เพราะไม่ทันระวังศีรษะจึงโขกกับบานประตูไม้เข้าอย่างจัง ในขณะที่ใบหน้าของโจวจื่อซึ่งเดิมทีเป็นเดือดเป็นแค้นก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขามองมาทางซือหม่าจิ้นอย่างตัวสั่นงันงก สุดท้ายเข่าอ่อนนั่งแปะลงกับพื้น ครึ่งวันเขาก็พูดไม่ออกสักคำเดียว
ซือหม่าจิ้นหันหน้าเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
เพิ่งเดินออกจากถนนสายนั้น กู้เฉิงก็ควบม้าเร็วมาถึง “ท่านอ๋อง รีบกลับเถิดขอรับ เกิดเรื่องแล้ว”
ขณะนี้ไป๋ถานหลบมาคัดอักษรเงียบๆ คนเดียวในห้องซึ่งปิดประตูหน้าต่างมิดชิด
บนโต๊ะมีกระดาษที่เขียนแล้ววางซ้อนกันเป็นปึกหนา นับจากที่รู้ว่าตนเคยสอนซือหม่าจิ้น อารมณ์ของนางก็ซับซ้อนสับสนยิ่ง จึงจำเป็นต้องสงบใจอย่างจริงจัง
ทว่าเรือนด้านหน้ากลับมีเสียงอึกทึกดังมาไม่ขาดสาย หลายครั้งที่นางรวบรวมสมาธิได้ก็ล้วนต้องถูกขัดจังหวะอยู่ร่ำไป นางจึงโยนพู่กันทิ้งเลิกคัดเสียเลย
ถัดจากวันที่พบกับซีชิง ที่นี่ก็เริ่มมีขุนนางใหญ่ทรงอำนาจจากตระกูลต่างๆ ทยอยมาเยี่ยมเยือนนางไม่ได้ขาด ทั้งหมดล้วนมาเพื่อมอบของกำนัล จุดมุ่งหมายของทุกคนเรียบง่ายยิ่ง นั่นคือเพียงต้องการผูกไมตรีกับนาง
หลิงตูอ๋องอุปนิสัยเช่นนั้น พวกเขาจึงเลิกคาดหวังที่จะประจบเอาใจอีกฝ่ายแล้ว ทว่าภายหลังข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าหลิงตูอ๋องปล่อยตัวไป๋ต้งไปเพราะไป๋ถาน ทุกคนต่างรู้สึกว่าไป๋ถานเป็นช่องทางที่ไม่เลวเลย วันหน้าหากตระกูลใดมีใครไม่ดูตาม้าตาเรือเผลอไปล่วงเกินหลิงตูอ๋องเข้า ถึงตอนนั้นเพียงยกนางออกมาอาจมีทางช่วยชีวิตตนเองก็เป็นได้
อู๋โก้วผลักประตูเดินเข้ามา “อาจารย์ คุณชายใหญ่สกุลหลิวบอกว่าเขากับท่านเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งบนหน้าท่านมีไฝกี่เม็ดเขาก็รู้ ท่านจะพบเขาหรือไม่”
ไป๋ถานชี้หน้าของตนเอง “บนหน้าอาจารย์มีไฝหรือไม่”
“เอ่อ…ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นยังต้องพูดอะไรอีก ไม่พบ!”
“อ้อ”
อู๋โก้วออกไปแล้ว ทว่าไม่ช้าก็วิ่งตึกๆ กลับเข้ามาอีก คราวนี้สีหน้าของนางส่อนัยคลุมเครือ “อาจารย์ๆ คุณชายสกุลหวนบอกว่าท่านรักชอบเขามาตั้งแต่เล็ก ท่านจะพบเขาหรือไม่”
ไป๋ถานกุมหน้าผากด้วยความหงุดหงิด ศีลธรรมเสื่อมทรามลงทุกวัน บุตรหลานตระกูลขุนนางไยจึงกลายเป็นเช่นนี้กันหมด กระทั่งวาจายังพูดกันดีๆ ไม่ได้ จะคบหาเป็นสหายได้อย่างไร
อู๋โก้วเห็นท่าทางของนางก็รู้ว่าไม่อยากพบจึงเอ่ยโน้มน้าวด้วยเจตนาดี “เหตุใดอาจารย์ไม่พบสักหน่อยเล่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่มีชาติตระกูล ไม่ไว้หน้าพวกเขาเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง”
ไป๋ถานถอนหายใจ “เจ้านึกหรือว่าข้าอยากไม่ไว้หน้าพวกเขา เรื่องที่พวกเขาจะร้องขอ ข้าไม่มีปัญญาทำได้สักนิด ช่วยไป๋ต้งสำเร็จก็เป็นเพราะโชคช่วยเนื่องจากเจอสิ่งที่ข้าถนัด หากคราวหน้าหลิงตูอ๋องจะประลองยุทธ์กับผู้อื่น ข้าไม่ต้องไปขวางดาบแทนพวกเขาหรอกหรือ”
อู๋โก้วเข้าใจแล้ว “เช่นนั้นข้าจะไปตอบพวกเขาเดี๋ยวนี้”
ไป๋ถานเรียกนางไว้ “เจ้าไปบอกว่าหลิงตูอ๋องกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว ให้พวกเขารีบไปเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์”
จริงด้วย เหตุใดข้าจึงนึกไม่ถึงนะ! อู๋โก้วสองตาสว่างวาบรีบออกไปทำตามทันที
ด้านนอกพลันเงียบสงบดังคาด
ไป๋ถานเพิ่งจะระบายลมหายใจ อู๋โก้วก็ย้อนกลับเข้ามาอีก “ผู้อื่นไปกันหมดแล้วเจ้าค่ะ มีคนเดียวที่ไม่ตกใจหนีไป เขาบอกว่าตนชื่อเกาผิง เคยพบปะกับอาจารย์แล้ว ท่านจะพบหรือไม่”
คนผู้นี้ไม่อาจหลีกลี้หนีพ้นแล้ว ไป๋ถานลุกขึ้นอย่างจนใจ “พบ”
วันนี้เกาผิงสวมเครื่องแบบของกองกำลังรักษาวัง ยืนลำตัวตรงดุจพู่กันอยู่บนระเบียงทางเดิน แม้รูปร่างของเขาจะเตี้ยเล็กและซูบผอม ทว่าเขากลับมีลักษณะท่าทางน่าเกรงขามทีเดียว
ไป๋ถานคารวะอีกฝ่ายแล้วเชื้อเชิญเกาผิงไปนั่งในเรือน ทว่าเขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าเพียงมาถ่ายทอดคำพูดเท่านั้น ประเดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว คุณหนูมิต้องลำบาก”
ไป๋ถานจำต้องยืนอยู่ด้านนอกเป็นเพื่อนเขา “ใต้เท้าเกาเชิญกล่าว”
เกาผิงเอ่ย “ฝ่าบาทเคยรับสั่งว่าหากหลิงตูอ๋องปรับปรุงความประพฤติย่อมจะตกรางวัลแก่คุณหนูอย่างงาม ทว่ายามนี้ดูเหมือนจะไม่เห็นผลแต่อย่างใด”
ไป๋ถานลอบบีบฝ่ามือ ประเสริฐแท้ มาคิดบัญชีจนได้!
“ข้าขอบอกโดยไม่ปิดบัง ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้คุณหนูเข้าวังไปสักเที่ยว ทรงต้องการหารือเรื่องนี้กับคุณหนูด้วยพระองค์เอง”
นึกอย่างไรไป๋ถานก็นึกไม่ถึงว่าคำพูดที่เขานำมาถ่ายทอดจะเป็นเช่นนี้ได้
“ขอบังอาจเรียนถามใต้เท้า นี่คือราชโองการหรือไม่”
เกาผิงส่ายศีรษะ “ฝ่าบาทตรัสว่าให้คุณหนูตัดสินใจเอง เมื่อก่อนเคยได้ยินมาว่าตลอดสิบปีนี้คุณหนูไม่เคยย่างเท้าเข้าเมืองเจี้ยนคังเลยแม้สักก้าว แต่คราวก่อนข้าก็ได้พบกับท่านที่จวนหลิงตูอ๋องจริง ด้วยเหตุนี้จึงลองมาสอบถามความเห็นของท่านดูก่อน”
คราวก่อนเป็นการถูกลักพาตัว จะเหมือนกันได้อย่างไร
ไป๋ถานยิ้มเจื่อน “ฝ่าบาททรงมีราชกิจรัดตัว ข้าขอไม่ไปรบกวนฝ่าบาทจะดีกว่า อย่างไรลำบากใต้เท้าเกาช่วยกราบทูลฝ่าบาทว่าข้าจะตั้งใจอบรมหลิงตูอ๋องอย่างเต็มที่แน่นอน”
เกาผิงเม้มปากคล้ายมีคำพูดอยากจะกล่าวอีก ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปาก เขาเพียงคารวะแล้วขอตัวจากไป
งานฉลองเทศกาลฉงหยางปีนี้ช่างเป็นปีที่สุดแสนจะครึกครื้นยิ่ง ไป๋ถานยืนมองฟ้าอยู่กลางลาน พรุ่งนี้นางจะเริ่มกลับมาสอนแล้ว น่ากลัวว่ายังมีเรื่องให้ต้องรับมืออีกหลายระลอก
จริงดังคาด วันรุ่งขึ้นยามที่เหล่าศิษย์มาถึง พวกเขาล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป อีกทั้งยังนำของกำนัลติดมือมาด้วยทุกคน
หากมอบเพียงสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่นกาลก่อนก็แล้วไปเถิด ทว่าปีนี้กลับมีศิษย์จำนวนมากที่กำนัลของด้วยแก้วแหวนเงินทองมูลค่าสูง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกคนทางบ้านบงการให้มาผูกสัมพันธ์
เงินทองเป็นของดี ทว่าเงินทองพรรค์นี้กลับไม่อาจรับไว้
ไป๋ถานอึดอัดขัดใจยิ่ง นางปั้นสีหน้าของอาจารย์ผู้เข้มงวด นั่งเงียบไม่ปริปากอยู่ตรงที่นั่งด้านบน ศิษย์ทุกคนที่มอบของล้ำค่าล้วนถูกลงโทษให้คัดบทเรียนหนึ่งร้อยจบ ไม่รู้เพราะนางโกรธเคืองพวกเขาที่มอบของกำนัลเช่นนี้ หรือโกรธเคืองตนเองที่ไม่อาจรับของเอาไว้ได้
โจวจื่อไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าเขากลับรอคอยจนกระทั่งเลิกชั้นเรียนในยามเย็น ให้ศิษย์คนอื่นกลับไปหมดสิ้นแล้วจึงค่อยเดินเนิบช้ามาจนถึงเบื้องหน้าไป๋ถานแล้วหยิบของกำนัลที่ตนเตรียมไว้ออกมา
นั่นคือปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่งซึ่งแลดูธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อมองให้ถี่ถ้วนจะพบตัวอักษรเล็กละเอียดถี่ยิบบนดอกไม้ที่ปลายปิ่น
ไป๋ถานเพ่งพินิจจดจ่อก่อนจะอุทานชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “บนนี้ถึงกับสลักประโยคในบท ‘อิสรจร’* อยู่ด้วย ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ความชอบของอาจารย์ไม่เปลี่ยน”
โจวจื่อปราศจากอารมณ์ยินดี “อันที่จริงศิษย์มิใช่ผู้กำนัลสิ่งของ หลิง…หลิงตูอ๋องเป็นผู้ชำระเงินขอรับ”
ไป๋ถานได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขวับทันที “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
โจวจื่อเล่าเหตุการณ์เมื่อวานขณะพบเจอหลิงตูอ๋องโดยบังเอิญที่ย่านฉางกั้นให้นางฟังโดยละเอียด แม้จะละส่วนที่ตนขวัญกระเจิงจนทรุดกับพื้นลุกไม่ขึ้นไว้แล้ว แต่ไป๋ถานก็ยังรู้ว่าเขาคงได้รับความตื่นตระหนกไปไม่น้อยแน่ นางจึงรู้สึกทั้งจนใจทั้งขบขัน
โจวจื่อกล่าวต่อ “จะว่าไปก็บังเอิญแท้ เมื่อวานยามกลางวันเพิ่งพบเขา ตกค่ำหลังข้ากลับไปก็ได้ยินท่านน้าบอกว่าหลิงตูอ๋องประสบเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”
“เอ๊ะ? เรื่องยุ่งยากอันใดกัน”
“ดูเหมือนอัครเสนาบดีหวังกับสมุหกลาโหมเซี่ยจะเข้าชื่อกันกล่าวโทษหลิงตูอ๋องว่าความประพฤติเขายากจะดำรงยศชินอ๋อง จึงเรียกร้องให้ฝ่าบาทปลดเขาเป็นจวิ้นอ๋อง* ขอรับ”
หวังและเซี่ยสองตระกูลขุนนางใหญ่ถึงกับเข้าชื่อกันกล่าวโทษเขา เห็นทีเรื่องนี้จะร้ายแรงไม่น้อย! ไป๋ถานตรองชั่วครู่ก่อนกล่าว “น้าชายของเจ้าบอกหรือไม่ว่าฝ่าบาททรงคิดเห็นเช่นไร”
โจวจื่อตอบ “ฝ่าบาททรงโอบอ้อมมีน้ำพระทัยกว้างขวางจนเป็นที่รู้กันทั่วหล้า ย่อมทรงประสงค์จะปกป้องหลิงตูอ๋อง ทว่าก็ต้องทรงคิดหาเหตุผลสักข้อที่พอจะปกป้องหลิงตูอ๋องให้ได้เสียก่อน”
ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง เหตุที่ฝ่าบาทพลันส่งคนมาเบิกตัวนางเข้าวังเกรงว่าจะเพื่อเรื่องนี้
ยามอาทิตย์อัสดงใกล้ลับตา อู๋โก้วยกสำรับอาหารส่งเข้ามาในห้องของไป๋ถาน แลเห็นนางนั่งหน้าเครียดอยู่หลังโต๊ะ บนโต๊ะต้มน้ำชาอยู่ ไป๋ถานถือพัดทว่ากลับลืมที่จะโบกใส่เตาเล็ก เนิ่นนานถ่านในเตาจึงไม่ติดไฟเสียที
“อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป” อู๋โก้วเลื่อนสำรับไปตรงหน้านาง “ดูสิเจ้าคะ เย็นนี้มีเนื้อด้วยนะ ไยท่านไม่ดีใจเล่า”
“เฮ้อ…เรื่องนี้จะเริ่มพูดอย่างไรดี…” ไป๋ถานกระตุกขนนกสีขาวบนพัดของตน “สรุปก็คือ…อันที่จริงแล้ว…หลิงตูอ๋องไม่อาจนับเป็นศิษย์น้อง ทว่ากลับเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้าทุกคนต่างหาก”
อู๋โก้วกำมือทุบใส่หัวเข่าทีหนึ่ง “ที่แท้เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือ นั่นจะเป็นไรไปเล่า เขาคือหลิงตูอ๋องเชียวนะเจ้าคะ อย่าว่าแต่เป็นศิษย์พี่เลย ให้เป็นอาจารย์แม่ของข้าก็ยังได้!”
ไป๋ถานโบกพัดขนนกใส่หน้าอีกฝ่าย พูดเลอะเทอะอันใดกัน
“ช่างเถิด บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” ไป๋ถานไม่มีความอยากอาหารสักนิด นางนั่งเพียงชั่วครู่ก็พลันลุกขึ้นแล้วฉวยเสื้อคลุม…มุ่งสู่เบื้องนอก
“เอ๊ะ อาจารย์ เย็นย่ำป่านนี้แล้วท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” อู๋โก้วรีบไล่ตามออกมา “ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน”
ไป๋ถานตอบ “จวนหลิงตูอ๋อง”
ฝีเท้าของอู๋โก้วหมุนขวับกลับหลังหันทันใด “อาจารย์ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ”
ไป๋ถานไม่ได้แยแสอีกฝ่าย เมื่อนางเดินมาถึงข้างประตูเรือนก็เรียกบ่าวชายสองคนให้คอยมาช่วยถือโคมคุ้มกันตนลงเขา
รอจนนางออกจากประตูเรือนไปอู๋โก้วถึงค่อยตระหนักได้
ข้าแต่สวรรค์…อาจารย์จะเข้าเมืองแล้ว!
เมื่อลงจากเขาไป๋ถานก็มุ่งตรงไปบนทางหลวง ซ้ายมือของนางคือตัวหมู่บ้านกับเรือกสวนไร่นาซึ่งทอดยาวไปแสนไกล ขวามือคือเมืองเจี้ยนคังซึ่งเริ่มจุดโคมไฟอันวิจิตรตระการตา
สิบปีมานี้ไป๋ถานลงจากเขานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าล้วนแต่เดินมุ่งไปทางด้านซ้ายเท่านั้น
ปีนั้นตอนที่ก้าวออกจากประตูใหญ่ของจวนไท่ฟู่ นางเคยลั่นคำสาบานรุนแรงว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เป็นฝ่ายย่างเท้าเข้าเมืองหลวงด้วยตนเองเป็นอันขาด เว้นเสียแต่ว่าบิดาของนางจะเปลี่ยนความตั้งใจ ก้มศีรษะแล้วเชิญนางกลับไปเท่านั้น กระทั่งครั้งก่อนตอนที่นางช่วยไป๋ต้งเขาก็เพียงแต่อยู่หน้าประตูเมือง หลังจากเสร็จธุระนางก็บ่ายหน้ากลับภูเขาตงซานทันที
ทว่าบัดนี้นางกลับย่างทีละก้าวมาจนถึงนอกประตูเมืองเจี้ยนคังด้วยตนเอง เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายบนประตูซึ่งพรางตัวอยู่ท่ามกลางแสงสลัว
เดิมทีเพียงต้องการยืนยันสถานะให้ถูกต้องถึงได้รับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์ ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าเมื่อก่อนนางก็เคยสอนมารร้ายผู้นี้ด้วย เขาพูดไม่ผิด ในเมื่อเคยพัวพัน อยากให้ชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยก็คงยากแล้ว ไม่แน่หากมีผู้อื่นล่วงรู้อดีตช่วงนี้เข้าอาจนึกเชื่อมโยงไปว่าที่เขาเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะนางอบรมสั่งสอนเขาออกมา
ปรักปรำกันแท้ๆ ตอนนั้นนางไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!
ไป๋ถานบรรจงซ่อนเรือนผมใต้หมวกปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรโดยรอบ รับโคมไฟจากมือของบ่าวชายแล้วย่างเท้าเข้าเมือง
มารร้ายน่าตาย! อาจารย์ถึงขั้นผิดคำสาบานเพื่อเจ้าเชียวนะ ขืนเจ้ายังทำตัวเหลวไหลอีกข้าจะตามราวีเจ้าไม่เลิกราแน่!
ตกค่ำ จวนหลิงตูอ๋องเงียบสงัดจนเกินเหตุ บนระเบียงทางเดินแขวนโคมสูงเพียงดวงเดียว จำนวนบ่าวชายและสาวใช้ที่เดินผ่านไปมามีน้อยจนน่าสังเวช ทั้งบรรยากาศก็อึมครึมและน่าสะพรึงกลัวดังที่ผู้คนภายนอกเล่าลือกัน
แสงไฟในห้องหนังสือสว่างไสว ซือหม่าจิ้นเพิ่งเปลี่ยนยารักษาบาดแผลเสร็จจึงคลุมเสื้อนอกแล้วนั่งอยู่หลังโต๊ะ มุมปากของเขายังคงประดับยิ้ม
อันที่จริงซือหม่าจิ้นอยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ วันก่อนระหว่างที่ตนลากตัวโจรผู้นั้นลงจากภูเขาตงซานกลับเข้าเมืองหลวงก็ทำให้ชาวเมืองแตกตื่นกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผลคืออัครเสนาบดีหวังฟูกลับบอกว่าในจำนวนคนเหล่านี้มีมารดาวัยเจ็ดสิบของเขารวมอยู่ด้วย
ว่ากันว่าค่ำนั้นพอมารดาของเขากลับไปก็เจ็บไข้ไม่หาย พวกเขาเชิญซีชิงมาตรวจอาการ แต่ซีชิงกลับบอกว่าคนถึงอายุขัยแล้วควรทำใจตระเตรียมงานศพไว้
ทว่าหวังฟูไม่ยอมเชื่อ คิดปักใจแค่ว่าที่มารดาของเขาล้มป่วยเพราะถูกซือหม่าจิ้นทำให้เสียขวัญ วันรุ่งขึ้นจึงวิ่งโร่ไปหาสมุหกลาโหมเซี่ยโฉว ชักแม่น้ำทั้งห้าให้อีกฝ่ายร่วมเข้าชื่อถวายหนังสือกล่าวโทษซือหม่าจิ้น
บรรดาที่ปรึกษาของซือหม่าจิ้นซึ่งสอดสองมือในแขนเสื้อกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ส่วนใหญ่ได้เสนอแผนเพื่อรับมือกับเรื่องลดชั้นยศแล้ว ทว่าใจความก็แทบไม่แตกต่าง ล้วนไม่พ้นอยากให้เขายอมก้มศีรษะ ชายชาตรีเหล่านี้พอพูดจบแล้วต่างหักข้อนิ้วตนเองอย่างเคร่งเครียด อย่างไรเสียการให้ท่านอ๋องยอมก้มศีรษะก็เป็นไปได้มากว่าจะทำให้พวกตนต้องหัวขาดก่อน…
“ท่านอ๋อง ประทับตราเถิดขอรับ” ที่ปรึกษาผู้หนึ่งเอ่ยโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง “หวังฟูไม่เคยมีความแค้นอันใดกับท่านอ๋อง เมื่อก่อนก็ไม่เคยยุ่มย่ามเรื่องของท่าน ยามนี้เพียงแต่มีโทสะชั่วแล่นไปเท่านั้น สกุลหวังและเซี่ยต่างทรงอิทธิพลด้วยกันทั้งคู่ ท่านอ๋องจะปะทะด้วยกำลังเสมอไปมิได้ พวกเราได้ร่างหนังสือขออภัยไว้แล้ว เพียงท่านประทับตราเสร็จพวกเราก็จะส่งไปทันที ไม่มีผลเสียหายอันใดกับท่านเลย”
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มเยียบเย็น “หากข้าขอโทษ ไม่เท่ากับยอมรับหรือว่าที่มารดาของเขาล้มหมอนนอนเสื่อไม่หายเช่นนี้เป็นความผิดของข้า”
“…” ที่ปรึกษาตะลึงตาค้าง เดิมทีก็เป็นเพราะท่านอยู่แล้ว ที่แท้ท่านยังไม่อยากจะยอมรับนี่เอง!
หัวหน้าที่ปรึกษาฝางเพ่ยอายุถึงวัยห้าสิบแล้ว เขาอยู่ข้างกายซือหม่าจิ้นมานานที่สุดจึงไม่ขลาดกลัวอีกฝ่ายเช่นคนอื่นๆ เขาลูบเคราสีดอกเลาก่อนเอ่ย “ท่านอ๋องได้รับยศชินอ๋องมิใช่เพียงเพราะฐานันดรที่สูงศักดิ์เท่านั้น หากยังได้มาจากความดีความชอบในสนามรบซึ่งท่านสั่งสมทีละเล็กละน้อยมาช้านาน ไยเพียงบอกว่าจะริบก็เป็นริบได้เล่า หวังฟูที่ยึดมั่นหลักกตัญญูจึงไม่แคล้วบันดาลโทสะไปชั่ววูบ เคราะห์ยังดีที่ฝ่าบาทมีพระทัยปกป้องท่าน เรื่องนี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าแล้ว หาไม่จะได้ผลตรงกันข้าม อีกทั้งบัดนี้ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของไป๋ถานก็มิสู้ให้นางเป็นผู้ออกหน้าให้แทน”
“ไป๋ถาน?” ซือหม่าจิ้นสั่นศีรษะ “นางเป็นศิษย์อาจารย์กับข้าก็เพียงเพื่อปกป้องตนเอง ไหนเลยจะยอมไปทำเรื่องเช่นนี้เพื่อข้า”
เพิ่งขาดคำ กู้เฉิงก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง “ท่านอ๋อง คุณหนูสกุลไป๋มาขอรับ”
ไป๋ถานตามหลังเขาเดินเข้าประตูมา นางยกมือถอดหมวกม่านแพรนั้นออก เผยให้เห็นดวงหน้าขาวกระจ่างหมดจด
ซือหม่าจิ้นชำเลืองตาไปทางด้านข้างแวบหนึ่ง ฉีเฟิงพลันกระโดดโหยงราวกับถูกเข็มทิ่มตำ “คราวนี้ข้าน้อยมิได้ลักพาตัวนางมานะขอรับ!”
ไป๋ถานไม่ปล่อยทุกโอกาสที่จะได้เล่นงานฉีเฟิงไป นางเปรยขึ้นเสียงเย็น “วันนี้ช่างแปลกใหม่โดยแท้ ข้าได้เดินเข้าบ้านศิษย์ทางประตูใหญ่เป็นครั้งแรกเชียวนะ”
ฉีเฟิงถลึงตาใส่นาง รู้จักจบจักสิ้นบ้างหรือไม่ ยุแหย่ข้าสนุกใหญ่แล้ว!
ซือหม่าจิ้นกล่าว “อาจารย์มาเยี่ยมเยือนเช่นนี้ มีอันใดจะชี้แนะข้าหรือไม่”
ไป๋ถานคลี่ยิ้ม “ได้ยินว่าท่านอ๋องถูกคนกล่าวโทษ อาจารย์จึงมิได้มาเพื่อแสดงความยินดี อย่างไรเสียก็ต้องระลึกถึงความผูกพันระหว่างศิษย์อาจารย์มาช่วยเหลือท่านอ๋องสักครา”
ฝางเพ่ยสองตาพลันสว่างวาบ รีบสาวเท้าเดินขึ้นหน้าไป เขาฉีกยิ้มจนรอยย่นบนใบหน้าเผยออกมาจนหมดสิ้น “คุณหนูมาได้จังหวะพอดี ยามนี้ทุกสิ่งล้วนพร้อมแล้ว รอเพียงคุณหนูยื่นมือช่วยเหลือเท่านั้น”
ไป๋ถานผงกศีรษะ แสดงท่าทีให้เขาไปสนทนากันด้านข้าง
ฝางเพ่ยตามนางไปที่มุมห้อง กระซิบกระซาบครู่หนึ่งไป๋ถานจึงรู้ที่มาที่ไป นางชำเลืองมองซือหม่าจิ้นก่อนกวักมือเรียกฉีเฟิง “เจ้า ไปหยิบเครื่องเขียนมาให้ข้าที”
ฉีเฟิงไหนเลยจะยอมให้นางเรียกใช้โดยง่าย ขณะที่เขาเตรียมระเบิดโทสะก็พลันนึกถึงความขมขื่นที่ตนเองต้องกลิ้งไปกลิ้งมาในวันนั้น เขาจึงฝืนข่มอารมณ์เดินไปด้านข้างหยิบเครื่องเขียนมาวางบนโต๊ะแต่โดยดี
ไป๋ถานถอดเสื้อคลุมนั่งลงหลังโต๊ะ เลิกแขนเสื้อตวัดพู่กันเขียนสองหน้ากระดาษเต็มอย่างต่อเนื่องลื่นไหล พอนางลงชื่อเสร็จแล้วก็หยิบตราประจำตัวจากในแขนเสื้อออกมาประทับอย่างบรรจง
“เรียบร้อย”
ฝางเพ่ยรับมาอ่านโดยละเอียดจนจบจึงค่อยวางใจได้เสียที
ความจริงแล้วนี่คือหนังสือรับรองของไป๋ถาน หลักใหญ่ใจความคือเลี่ยงเอ่ยประเด็นหนักแล้วรับผิดในประเด็นเบา จากนั้นให้คำรับรองว่าต่อไปนางจะอบรมซือหม่าจิ้นเป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ซ้ำรอยเป็นอันขาด
อันที่จริงฝ่าบาททรงแย้มพรายมาแต่แรกแล้วว่าให้ซือหม่าจิ้นร่วมมือสักนิดจะได้ปกป้องเขาง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังทรงเปรยว่าให้ไป๋ถานเป็นผู้ออกหน้าชี้แจงต่อหวังฟูและเซี่ยโฉว อย่างไรเสียตั้งแต่ต้นจนจบสองคนนี้ก็มิได้คาดหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงอันใดจากซือหม่าจิ้นอยู่แล้ว
ยามนี้ในเมืองหลวงจึงโจษจันกันทั่วว่าไป๋ถานสามารถกำราบซือหม่าจิ้นได้ ในเมื่อนางออกหน้าให้คำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะควบคุมเขาให้ดีเช่นนี้แล้ว ไหนเลยยังมีอันใดให้ตั้งแง่อีก ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดพอจะพิสูจน์ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังอาการหนักเพราะซือหม่าจิ้น
ซือหม่าจิ้นนิ่งเงียบมาตลอด ยามนี้เพียงกวาดตามองรอบด้านแวบหนึ่ง ผู้คนทั้งซ้ายขวาก็รู้ความหมายของเขาจึงเดินเรียงแถวออกไปทันที ครู่เดียวในห้องก็เหลือเพียงเขากับไป๋ถาน
“อาจารย์เร่งเดินทางมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเชียวหรือ”
เสียงโอดครวญเอ่อล้นหัวใจของไป๋ถาน ทว่าไร้ที่จะระบายทุกข์ “ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็เป็นศิษย์ในสำนักข้า”
หลายปีที่ผ่านมา กว่านางจะสร้างชื่อเสียงอันดีงามจนไร้จุดด่างพร้อยเช่นนี้ได้ง่ายดายเสียเมื่อไร! ในเมื่อเหตุพัวพันในอดีตนั้นอย่างไรก็ตัดไม่ขาดแน่แล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าตนมิใช่พวกที่จะชักนำให้บุตรหลานของผู้อื่นเสียคน นับจากนี้ก็มีแต่พยายามดึงให้ซือหม่าจิ้นกลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องเท่านั้น หาไม่วันใดที่เรื่องที่นางรับเขาเป็นศิษย์ตั้งแต่สิบเอ็ดปีก่อนนี้แพร่งพรายออกไปย่อมทำให้บรรดาศิษย์ของนางแตกตื่นเตลิดหนีหายไปกันหมด นางมิต้องกินลมต่างข้าวหรอกหรือ!
ซือหม่าจิ้นลุกขึ้นยืน เสื้อนอกซึ่งแต่เดิมพาดอยู่บนร่างจึงร่วงกองไปอยู่ที่พื้น เสื้อตัวในเนื้อบางสีขาวแหวกเปิดนิดๆ เขาเดินผ่อนคลายมาจนถึงเบื้องหน้าไป๋ถานพร้อมเรือนผมยาวที่ไม่ได้รวบมัด “เหตุใดอาจารย์ต้องช่วยข้า”
ไป๋ถานมองดูลักษณะของเขาในเวลานี้ เพียงรู้สึกว่าหยกเนื้องามถลำลงสู่ความมืดมัวแล้ว นางพลันระลึกถึงเงาร่างของเขาในอดีตซึ่งแลคล้ายภาพสีน้ำหมึกอ่อนจาง ในใจจึงสะทกสะท้อนสุดแสน “อาจารย์เชื่อว่าท่านอ๋องยังรักษาหัวใจดวงเดิมที่บริสุทธิ์นั้นเอาไว้อยู่ มิใช่หมดทางเยียวยา”
ซือหม่าจิ้นคล้ายได้ยินเรื่องขบขัน “แต่ไรมาข้าทำสิ่งใดเพียงยึดเอาตามความชอบ ไม่เคยคำนึงถึงหัวใจดวงเดิมอะไรนั่น”
“เช่นนั้นความชอบของท่านอ๋องคือสิ่งใด”
“เลือด…เสียงครวญครางของคนใกล้ตาย…ท่าทางกระเสือกกระสนของคนสิ้นหวัง…สภาพน่ารังเกียจของคนหัวแข็ง ยิ่งหัวแข็งเพียงใดสุดท้ายก็ยิ่งต้องคลานตัวซีดตัวสั่นอยู่แทบเท้าข้าให้ได้…เหล่านี้คือความชอบของข้าทั้งสิ้น”
“…” ไป๋ถานถึงกับเงียบไป คนผู้นี้ที่แท้กินอะไรโตมากันแน่
“เป็นอะไร อาจารย์กลัวข้าแล้วหรือ”
ไป๋ถานขยับนิ้วมือที่แข็งทื่อเล็กน้อย “ถึงอย่างไรอาจารย์ก็เป็นผู้ที่รอดพ้นเงื้อมมือของทัพกบฏเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนมาเช่นกัน มีหรือจะเกรงกลัวง่ายดายปานนั้น”
ซือหม่าจิ้นเลิกคิ้ว “ที่แท้อาจารย์ก็จำได้แล้ว?”
“เดิมทีก็ไม่เคยลืมเลือน จึงได้แต่บอกว่าท่านอ๋องคนก่อนกับคนหลังเปลี่ยนไปมากเสียจนอาจารย์ไม่ได้นึกโยงถึงเรื่องในอดีตเลยสักนิด”
“อาจารย์ก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ตอนนั้นปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อย สามารถปะปนกับบุรุษจริงได้ทีเดียว ทว่าตอนนี้…” สายตาของเขาพลิ้วมาจ้องอยู่ที่หน้าอกของนาง ก่อนที่รอยยิ้มจะลึกล้ำขึ้นอีกส่วน “เป็นสตรีเต็มตัวแล้ว”
ไป๋ถานหางตาสั่นกระตุก เอียงกายหันแผ่นหลังเกินครึ่งให้กับเขา
อันที่จริงรูปร่างของนางยอดเยี่ยมยิ่ง ประกอบกับได้รับการอบรมที่ดีมาแต่เล็ก ไม่ว่าจะยืนหรือจะนั่งล้วนมีกิริยางามชดช้อย เพียงแต่นางสวมชุดยาวแขนกว้างซึ่งปกปิดมิดชิดเป็นประจำจึงยากจะเห็นทรวดทรงได้ชัดเจน อีกทั้งยังเร้นกายใช้ชีวิตตามลำพังตั้งแต่เป็นเด็กสาว ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้นางจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แม้แต่ในยามที่ซือหม่าจิ้นพินิจพิจารณานางขึ้นๆ ลงๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายสักเท่าไร เพียงรู้สึกว่าเกียรติของตนในฐานะอาจารย์กำลังถูกท้าทาย ช่างเสียหน้ายิ่งนัก!
สองฝ่ายต่างไร้ถ้อยคำจะเอ่ย มีเพียงเงาร่างใต้แสงเทียนในห้องอันเงียบเชียบ ทว่าตอนนี้เองท้องของไป๋ถานกลับพลันร้องจ๊อกขึ้นมา นางตะลึงงันก่อนที่ดวงหน้าจะแดงวาบในพริบตา
จนป่านนี้นางยังไม่ได้กินอาหารค่ำเลย!
ซือหม่าจิ้นหัวเราะขัน ก่อนจะเดินไปที่ข้างประตูเรียกกู้เฉิงให้ไปเตรียมสำรับอาหาร
ไป๋ถานรู้สึกอับอาย เดิมทีไม่คิดจะอยู่กินอาหารที่นี่ ทว่าไม่ช้ากู้เฉิงก็นำสาวใช้เข้ามาแถวหนึ่ง แต่ละคนล้วนยกอาหารเลิศรสซึ่งนางระลึกถึงอยู่ทุกเช้าค่ำ นางว้าวุ่นใจเพียงชั่วครู่ พริบตาต่อมาก็เลิกดิ้นรนขัดขืนแล้ว
แม้จะหิวโหยอย่างยิ่ง ทว่ายามกินอาหารการเคลื่อนไหวของนางยังคงไม่ช้าไม่เร็ว นั่งกินอยู่หลังโต๊ะอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงเคี้ยวเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย บางครั้งจะผ่อนความเร็วในการเคี้ยวและกลืน คิ้วตาผ่อนคลายเผยสีหน้าอิ่มเอมนิดๆ
ซือหม่าจิ้นยืนพิงข้างประตู สายตาจับอยู่บนร่างของนางก่อนจะค่อยๆ เบนออกไป
นางคือผู้ซึ่งอาบอวลด้วยกลิ่นหอมของน้ำหมึกจากตำรา ทว่าเขากลับแช่ร่างอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตและภูเขาซากศพ ยามนี้สามารถอยู่ร่วมห้องเดียวกันได้ก็นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งแล้ว
รอจนกินอิ่มราวเจ็ดในสิบส่วน ไป๋ถานจึงชะงักตะเกียบแล้วเช็ดปาก เอ่ยกับกู้เฉิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างว่า “ไปเตรียมการที ข้าจะพาท่านอ๋องของพวกเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
กู้เฉิงตกตะลึง “ท่านอ๋องจะไปที่ใดกัน”
“ภูเขาตงซาน…อารามเป้าผู่”
ซือหม่าจิ้นได้ยินเช่นนั้นก็หันมามอง “เพราะเหตุใด”
ไป๋ถานเอ่ยเต็มปากเต็มคำราวกับมันสมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว “อาจารย์เป็นผู้รับรองให้ท่านอ๋องแล้ว นับจากนี้ก็ย่อมต้องจับตาดูท่านไม่ให้คลาดสายตา ท่านก็ต้องติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์คอยรับฟังคำตักเตือนทุกเมื่อ ดังนั้นตั้งแต่นี้ท่านต้องไปกล่อมเกลาจิตใจที่อารามเป้าผู่เพื่อสะดวกแก่การอบรมทุกเวลา”
ซือหม่าจิ้นเอ่ยพร้อมเหยียดยิ้ม “ไม่ไป”
ใบหน้าของไป๋ถานขรึมลงทันที “เรื่องนี้อาจารย์แจ้งไว้ในหนังสือกราบทูลแล้ว ฉะนั้นท่านอ๋องจะไปพร้อมอาจารย์หรือจะตามไปเองภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องไป”
ซือหม่าจิ้นจับจ้องใบหน้าของนาง แววตาวาววับเยียบเย็นคล้ายซ่อนประกายดาบที่ชวนให้ใจคนหนาวสั่น
ไป๋ถานลอบหยิกฝ่ามือตนเองทีหนึ่ง ก่อนฝืนประคองร่าง วางท่าทีที่เข้มงวดลงไป “เห็นทีว่าท่านอ๋องตัดสินใจจะไปเอง เช่นนั้นก็ช่างเถิด อาจารย์ล่วงหน้ากลับไปก่อนก้าวหนึ่งก็แล้วกัน”
ขณะเอ่ยวาจาฝีเท้าของไป๋ถานก็ขยับแล้ว พอเดินเฉียดไหล่เขาออกไปก็พุ่งตรงสู่นอกจวน ตลอดทางนางไม่แม้แต่จะหยุดพัก กระทั่งจ้ำอ้าวมาถึงนอกประตูใหญ่นางถึงค่อยระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมาแรงๆ
แทบจะเอาชีวิตกันชัดๆ!
ชาติที่แล้วต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินสรรพชีวิตทั่วหล้าไว้เป็นแน่ ชาตินี้ถึงได้มาพบเจอกับศิษย์ที่เป็นเช่นนี้!
ใกล้จะถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว บ่าวชายสองคน คนหนึ่งถือโคมนำหน้า คนหลังคุ้มกันนางเดินทาง ฝีเท้าของทุกคนเร่งเร็วอยู่บ้าง
บนกำแพงเมืองที่อยู่เบื้องหลังเงียบสงัด เงาจันทร์ในคูเมืองสั่นไหวตามระลอกน้ำ ไป๋ถานย่างเท้าเดินข้ามสะพานชัก จู่ๆ ใต้ฝ่าเท้าก็บังเกิดเสียงทุ้มแผ่ว ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าควบตะบึงก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง พื้นสะพานพลันสั่นสะเทือน นางหันไปมองแวบหนึ่งก่อนที่สายตาซึ่งถอนกลับมาแล้วจะตวัดกลับไปมองซ้ำอีกหนในทันที
ซือหม่าจิ้นควบม้ามาถึงเบื้องหน้า ข้างกายของเขามีกู้เฉิงติดตามเพียงคนเดียว
“ที่แท้อาจารย์เดินเท้ามาตลอดทางเลยหรือนี่”
ไป๋ถานมองค้อน “หรือท่านอ๋องมาเพื่อส่งอาจารย์กลับขึ้นเขา”
รอยยิ้มของซือหม่าจิ้นสลายไปกับสายลมที่หนาวเย็น “ข้าเปลี่ยนใจจะเดินทางไปพร้อมอาจารย์ แต่หากเดินเท้าเช่นเดียวกับท่านจะต้องเดินถึงเมื่อไรกัน ข้าไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนั้น” เขาประชิดเข้ามาสองก้าวก่อนหยุดม้าพลางโน้มกายลงรวบเอวของไป๋ถานแล้วออกแรงฉุดร่างนางขึ้นสู่ม้าในคราวเดียว
ไป๋ถานตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หวุดหวิดจะร่วงตกลงไป “เหลวไหล! ข้าเป็นอาจารย์ของท่าน ไยให้ท่านล่วงเกินได้เช่นนี้!”
วงแขนของซือหม่าจิ้นรัดนางไว้อย่างมั่นคง “ข้าดูเหมือนคนที่จะเคารพเชื่อฟังอาจารย์เช่นนั้นหรือ”
“…” ไป๋ถานเงียบไปทันใด แน่นอนล่ะ…ไม่เหมือนสักนิด!
ตลอดทางกระทั่งมาถึงภูเขาตงซาน ไป๋ถานไม่พูดไม่จาเลยสักนิด เมื่อแผ่นหลังของนางแนบชิดกับแผงอกของผู้เป็นศิษย์ ความรู้สึกนั้นดุจดังนั่งบนพรมเข็ม มิหนำซ้ำเบื้องหลังยังมีกู้เฉิงติดตามมาด้วย
ส่วนบ่าวชายสองคนของนาง คาดว่ายามนี้คงเดินเท้าอยู่กลางทางพลางวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติอันไม่เหมาะไม่ควรของนางอยู่
เฮ้อ…แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว!
ยังดีที่ซือหม่าจิ้นไม่ได้ส่งเสียงเช่นกัน ดูแล้วคล้ายเพียงต้องการเร่งความเร็วถึงได้อุ้มนางขึ้นม้า เช่นนี้ค่อยทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตามที
กู้เฉิงล่วงหน้าไปแจ้งข่าวที่อารามเป้าผู่ก่อน ยามที่ไป๋ถานกับซือหม่าจิ้นลงม้าและเดินเท้าไปถึงไหล่เขาก็แลเห็นแสงไฟซึ่งทอดยาวอยู่บนยอดเขาค่อยๆ ลดเลี้ยวลงมา
“ท่านอ๋องโปรดสำรวมกายใจบ้าง บัดนี้เกียรติของอาจารย์ผูกโยงกับท่านอ๋องแล้วย่อมจะรุ่งเรืองเสื่อมเสียไปด้วยกัน” ไป๋ถานกำชับประโยคหนึ่ง นางไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็เลี้ยวขึ้นไปบนทางแยกที่มุ่งสู่เรือนพักของตน เนื่องจากนางไม่มีโคมไฟจึงต้องเดินไปอย่างทุลักทุเล
เดินมาได้ครึ่งทางก็พบเจออู๋โก้วซึ่งถือโคมออกมารอรับพอดี
“อาจารย์กลับมาได้เสียที” นางพูดพลางชะเง้อมองยอดเขาฝั่งตรงข้าม “เหตุใดอารามเป้าผู่จึงดูคึกคักยิ่ง”
ไป๋ถานรู้ว่าอู๋โก้วกลัวซือหม่าจิ้นนางจึงตอบเฉไฉ “ผู้ใดจะรู้เล่า พวกเรากลับกันเถิด”
คนของอารามเป้าผู่ซึ่งรับหน้าที่มาต้อนรับซือหม่าจิ้นนั้นคือศิษย์คนโตของเจ้าอารามเสวียนหยางจื่อนามว่าเฉินหนิง แม้เขาจะผูกมิตรสนิทสนมกับไป๋ถานพอสมควร แต่ก็ไม่ปรารถนาจะข้องเกี่ยวใดๆ กับมารร้ายผู้นี้ ทว่าจนใจที่เสวียนหยางจื่อเก็บตัวเข้าฌานอยู่ เหล่าศิษย์น้องก็ล้วนหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันทั้งสิ้น เขาจึงได้แต่ต้องออกหน้าเองแล้ว
เพื่อแสดงความเคารพ เฉินหนิงจึงยกห้องของตนให้กับซือหม่าจิ้น หลังส่งอีกฝ่ายเข้าห้องอย่างระมัดระวังแล้วเขาก็ถอยออกมาพร้อมเริ่มบ่นอุบอยู่ในใจ
มารร้ายผู้นี้มีหรือจะยินยอมพร้อมใจมาที่นี่ ต้องเป็นเรื่องดีงามที่ไป๋ถานก่อไว้แน่!
ซือหม่าจิ้นอยู่ไม่สบายสักนิด…
เนื่องจากเฉินหนิงเลี้ยงนกไว้หลายตัวใส่กรงแขวนอยู่ในห้อง ไม่รู้เพราะมีคนแปลกหน้ามาอยู่แทนใช่หรือไม่ พวกมันถึงร้องจิ๊บๆ ไม่หยุดหย่อน
ซือหม่าจิ้นเดิมก็รังเกียจกลิ่นของพวกมันอยู่แล้ว พอถูกเสียงก่อกวนจนนอนไม่หลับเช่นนี้เขาจึงชักกระบี่ฟันใส่ทันที
ในที่สุดทั้งห้องก็เงียบสงบ เขาสอดกระบี่คืนฝักแล้วพลิกตัวนอนต่อ
วันรุ่งขึ้นยามที่ฉีเฟิงนำราชการทหารของผู้เป็นนายมาส่งที่อารามเป้าผู่ แสงอรุณเพิ่งจะเบิกฟ้า
ในโถงแสดงธรรมเห็นเพียงด้านหลังของศีรษะที่แลดูดำเป็นพืด นั่นคือเหล่านักพรตซึ่งกำลังทำวัตรเช้า ส่วนกู้เฉิงพิงประตูสัปหงก น้ำลายยืดย้อยแทบจะนองพื้นอยู่แล้ว
ฉีเฟิงถีบใส่เขาหนึ่งเท้า “ท่านอ๋องอยู่ข้างในหรือ”
กู้เฉิงพลันสะดุ้งตื่น เช็ดปากแล้วผงกศีรษะ
ได้ยินนักพรตทั้งคณะท่องบทสวดงึมงำ ฉีเฟิงเอ่ยถาม “พวกเขาพูดว่าอะไร”
กู้เฉิงขยี้ผมแห้งกรอบบนศีรษะของตน “ดูเหมือนจะเป็นวาจาไร้สาระทำนอง ‘รักถนอมสรรพชีวิตในใต้หล้า อย่าได้ก่อบาปเข่นฆ่าตามอำเภอใจ’ อะไรนี่แหละ”
“ชิชะ เจ้าพวกจมูกโค* เจ้าเดาซิว่าท่านอ๋องจะเล่นงานพวกมันถึงตายหรือไม่”
กู้เฉิงบุ้ยปากไปด้านใน “ข้าว่าท่านอ๋องตั้งใจฟังทีเดียว ดูเหมือนไม่มีความคิดจะเล่นงานใคร”
ฉีเฟิงชะโงกศีรษะเข้าไปมอง ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่ด้านหลังสุด ศอกยันบนหัวเข่า มือหนุนแก้ม ดวงตาเบิกเป็นปกติทว่าขาดจุดรวมศูนย์ไร้ซึ่งชีวิตชีวา นั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายรับฟังจนใจลอย
ฉีเฟิงหัวเราะพรืด “นั่นเรียกว่าท่านอ๋องตั้งใจฟังเสียเมื่อไร เจ้าดูอีกรอบให้ถี่ถ้วนเถอะ”
กู้เฉิงยื่นหน้าไปมองซ้ำถึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง
พอเหล่านักพรตท่องบทสวดจนจบบท เฉินหนิงจัดแต่งชุดนักพรตก่อนนั่งตรงตำแหน่งประธานที่ด้านบน มือประคองคัมภีร์แล้วเริ่มเทศนาธรรม
อันที่จริงทุกคนในที่นี้ใจคอล้วนไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ขอเพียงนึกได้ว่ามีมารร้ายที่ฆ่าคนไม่กะพริบตานั่งอยู่เบื้องหลังก็จะรู้สึกใจสั่นด้วยความกลัวทันที
เฉินหนิงพอจะสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เขาลดคัมภีร์ในมือลงก่อนเอ่ย “หากหลิงตูอ๋องไม่ปรารถนาจะฟังต่อก็สามารถจากไปได้ทันที มิจำเป็นต้องนั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ขอรับ”
ซือหม่าจิ้นไม่ได้ออกไป ยังคงนั่งตัวเอียงดุจเดิม ทว่าดวงตาซึ่งเบิกเป็นปกติกลับมองไปยังจุดเดียวแน่วนิ่ง เขาน่าจะขบคิดเรื่องในใจอันใดอยู่
ในที่สุดอารมณ์ขุ่นมัวในใจของเฉินหนิงก็บรรเทาเบาบางลงหลายส่วน เห็นทีมารร้ายผู้นี้ก็มิได้แล้งน้ำใจไร้เหตุผลเฉกเช่นที่ภายนอกโจษจันกัน บางทีอาจสามารถจุดประกายอีกฝ่ายให้รู้ซึ้งถึงหลักธรรมได้
เมื่อคิดเช่นนี้ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มพูนเป็นเท่าตัว เสียงเทศนาพลันดังกังวานขึ้นหลายส่วน
ภายในเรือนพักสกุลไป๋ เมื่อไป๋ถานสอนจนจบบทเรียนช่วงเช้าแล้วก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง บ่าวรับใช้ของแต่ละตระกูลเพิ่งมาส่งสำรับอาหารที่ร้อนกรุ่น เหล่าศิษย์ล้วนไปกินอาหารกันแล้ว นางจึงตัดสินใจเจียดเวลามุ่งไปตรวจสอบคนที่อารามเป้าผู่
ยังดีที่นางจัดให้ซือหม่าจิ้นพำนักที่อาราม หากอยู่ที่นี่เกรงว่าเหล่าศิษย์ของนางไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจกินอาหารได้อีก คงผวาจนอิ่มทิพย์ไปแล้ว
เรือนพักหลังนี้แท้จริงเป็นสินเดิมของซีฮูหยิน ซีฮูหยินนับถือลัทธิเต๋า ตอนนั้นจึงให้สร้างทางเล็กสายหนึ่งเชื่อมตรงสู่อารามเป้าผู่โดยเฉพาะ บัดนี้ทางเล็กสายนี้จึงอำนวยความสะดวกแก่ไป๋ถานได้พอดี
ไม่ช้าไป๋ถานก็มาถึงหน้าประตูเล็กท้ายอารามเป้าผู่ นางเคาะประตูเรียกคนมาเปิดแล้วตรงไปยังโถงแสดงธรรม แลเห็นแต่ไกลว่าฉีเฟิงกับกู้เฉิงยืนเฝ้าซ้ายขวาอยู่หน้าประตูดุจเทพทวารบาลสององค์
นางเดินตรงไปก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา “ท่านอ๋องของพวกเจ้าเล่า”
ฉีเฟิงเชิดคางนิดๆ “ก็กำลังฟังเทศน์อยู่อย่างไรเล่า นักพรตแซ่เฉินนั่นบอกว่าท่านอ๋องของพวกเรามีปัญญารู้ธรรม นี่ก็เทศน์ให้ท่านอ๋องฟังตลอดเช้าเลย”
ไป๋ถานเดินเข้าไปในโถงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นักพรตรูปอื่นๆ ล้วนไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงเฉินหนิงซึ่งนั่งตรงที่นั่งด้านบน มือประคองคัมภีร์อธิบายไม่หยุดปาก ด้านล่างมีซือหม่าจิ้นเพียงคนเดียว เขานั่งตัวเอียงมือหนุนแก้มไม่ไหวติง ดูคล้ายตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
ไป๋ถานหมุนพัดขนนกในมือพลางเดินวนตัวเขาสองรอบ มองอย่างไรก็ดูแปลกชอบกล
ให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้จริงหรือ
เฉินหนิงช้อนตาขึ้นเห็นไป๋ถานจึงปิดคัมภีร์ในมือ ก่อนลุกขึ้นจิกข้อนิ้วพร้อมเอ่ยคำ ‘ซานอู๋เลี่ยง’* ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “เจ้าวิตกมากไปโดยแท้ ไยต้องเชิญท่านอ๋องมากล่อมเกลาจิตใจถึงในอารามด้วย อาตมาเห็นว่าท่านอ๋องมิได้ดุร้ายดังเช่นคำลือภายนอกสักนิด จะลงเขาไปเดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้”
พูดให้ชัดคือไม่อยากให้เขารั้งอยู่ที่นี่กระมัง
เอ่ยจบประโยคนี้เฉินหนิงจึงหันไปมองซือหม่าจิ้น นึกว่าเขาจะมีปฏิกิริยาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่คาดว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน
ไป๋ถานพบว่านี่ไม่ถูกต้อง นางจึงประชิดเข้าไปใกล้ นางมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพลันหรี่ตา ก่อนจะตีพัดลงบนหัวไหล่ของเขา
ซือหม่าจิ้นเคลื่อนไหวในฉับพลัน มือซ้ายบีบเค้นหัวไหล่ของไป๋ถาน มือขวายึดกุมลำคอของนางไว้
ไป๋ถานถูกกำราบราบคาบ กระดุกกระดิกไม่ได้แม้เพียงน้อยนิด ไม่อาจเปล่งเสียงใดเล็ดลอดออกจากปาก ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เฉินหนิงสะดุ้งเฮือก ร้องตะโกนแตกตื่น “ท่านอ๋องหยุดมือ!”
ซือหม่าจิ้นคลายมือออกก่อนหน้านั้นแล้ว “ที่แท้เป็นอาจารย์ ข้าก็นึกว่าใครกันไม่กลัวตายกล้ารบกวนฝันดีของข้า”
ไป๋ถานซวนเซไปหลายก้าว ลูบลำคอไอโขลกอยู่นานสองนานกว่าอาการจะทุเลา นางใช้พัดชี้ใส่เขาอย่างโมโห “อาจารย์ดูเบาท่านอ๋องไปแล้วจริงๆ ยังอุตส่าห์ลืมตานอนหลับได้ นับเป็นคนแรกที่ข้าเคยพบโดยแท้!”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่อยู่นอกประตูสบตากันลอบหัวเราะอยู่ในใจ
เท่านี้นับเป็นอย่างไรได้ ท่านอ๋องของพวกเขายังสามารถนอนหลับอยู่หน้าแนวรบด้วยซ้ำ!
ตอนนั้นซือหม่าจิ้นยกพลสู้ศึกทัพฉิน** ที่เมืองอี้หยาง ขณะที่ทัพศัตรูตะโกนด่าทออยู่หน้าแนวรบ คนทั้งหมดล้วนใกล้จะข่มอารมณ์ไม่ไหว ทว่าเขากลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่น้อย
บรรดารองแม่ทัพต่างกระซิบกระซาบกันว่าท่านอ๋องของพวกเขาช่างหนักแน่นเยือกเย็นยิ่งนัก ไม่คาดกลับเห็นเขาพลันขยับร่างแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “พวกมันด่าจบหรือยัง นี่ข้าหลับจนตื่นแล้วนะ”
คนทั้งหมดปากอ้าตาค้าง ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย
หลังเสร็จศึกมานึกๆ ดูก็ให้รู้สึกหวั่นใจภายหลัง นี่ถ้าหากเปิดฉากรบกันแล้วไม่แย่หรือ!
เฉินหนิงซึ่งอยู่ในโถงเซถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่อยากเชื่อ มือกุมอกอย่างเจ็บปวดหัวใจ “ที่แท้ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องนอนหลับมาตลอดเลยหรือ”
ซือหม่าจิ้นบิดต้นคอพลางยืดเส้นยืดสาย “เดรัจฉานหลายตัวในห้องเจ้าหนวกหูเกินทน เดิมทีข้าก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่”
เฉินหนิงตะลึงงันไปชั่วอึดใจก่อนจะยกชายชุดวิ่งไปที่ห้องของตน
ซือหม่าจิ้นลุกขึ้นยืดสองแขนแล้วมองดูไป๋ถาน “เมื่อครู่ข้าพลั้งมือ หวังว่าอาจารย์อย่าได้ถือสา”
ไป๋ถานนวดลำคอตนเองพลางโกรธฮึดฮัด “อาจารย์สอนหนังสือมานานปี วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าคนเป็นอาจารย์ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสังเวยชีวิตเพราะศิษย์!”
“ใครต้องสังเวยชีวิตหรือ” ซีชิงเดินเข้ามาจากนอกประตู เมื่อเห็นคนทั้งสองล้วนอยู่ที่นี่แล้วจึงมีสีหน้าประหลาดใจ “โอ๊ะ ท่านอ๋องก็อยู่ด้วยหรือขอรับ ข้าก็ว่าเหตุใดฉีเฟิงกับกู้เฉิงถึงอยู่ข้างนอก” เขากล่าวพลางโค้งคำนับ
ไป๋ถานมองพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นลง พอเห็นในมือเขาถือห่อกระดาษมาด้วยหลายห่อก็แค่นเสียงฮึก่อนกล่าว “มาขายยาปลอมอีกแล้วสินะ”
ซีชิงเหลียวซ้ายแลขวาอย่างตื่นเต้นเคร่งเครียด “เอาความจริงมาพูดส่งเดชได้อย่างไร เจ้าทำเช่นนี้ข้ายังจะขายยาออกอีกหรือ!”
ในอารามเต๋าต้องกลั่นยาอายุวัฒนะอยู่บ่อยครั้ง ตัวยาจำนวนมากล้วนซื้อหาจากซีชิง แต่เขากลับสับเปลี่ยนส่วนผสมอยู่เสมอ
ทว่ากล่าวด้วยคำพูดของเขาคือหวังดีต่อเหล่านักพรต หากใช้สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องจริง คาดว่าคงมีคนกินตายไปนานแล้ว ฉะนั้นที่เขาขายยาปลอมจึงเป็นการสร้างประโยชน์สุขแก่อารามเต๋า
ซีชิงถลึงตาใส่ไป๋ถานเสร็จก็รีบชี้แจงต่อซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋องวางใจได้ ยาที่ข้าให้ท่านอ๋องกินล้วนเป็นของจริงอย่างแน่นอน”
ไป๋ถานเลิกคิ้วมองไปทางซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋องยังกินยาอยู่อีกหรือ”
ซีชิงเอ่ยแก้ทันควัน “เปล่าๆ ท่านอ๋องไม่เคยกินยาเลย” เขาพูดจบก็คำนับซือหม่าจิ้นแล้วรีบร้อนขอตัวไปทำการค้าที่เรือนด้านหลังทันที
ไป๋ถานเห็นเขาไปแล้ว ในที่สุดนางก็สามารถวางมาดผู้อาวุโสที่พร่ำเตือนด้วยความหวังดีได้เสียที “เชียนหลิงเอ๋ย อาจารย์หวังดีต่อเจ้าหรอกนะ เกียรติของพวกเราศิษย์อาจารย์บัดนี้ผูกโยงร่วมกันแล้ว เจ้าจะให้ความร่วมมือกับอาจารย์สักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ “หากข้าไม่ให้ความร่วมมือกับอาจารย์ ไยจะต้องมาอยู่ที่นี่”
ไป๋ถานถอนหายใจ เดินกลับไปกลับมาสองรอบก่อนเอ่ยอย่างดุดัน “คืนนี้คัดลอกบทสวดสิบจบ พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะต้องได้เห็น!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามด้วยโทสะของเฉินหนิงพลันแผดดังมาแต่ไกล “ไป๋ถาน! เป็นเพราะเรื่องดีงามที่เจ้าก่อไว้ทั้งสิ้น!”
นางชะงักกึก จับต้นชนปลายไม่ถูก
ยังคงเป็นซือหม่าจิ้นที่ตอบสนองอย่างว่องไว “คาดว่าเขาคงเห็นนกที่ถูกข้าฟันตายเหล่านั้นแล้ว”
กระทั่งนกไม่กี่ตัวเจ้าก็ยังไม่ละเว้น!
สติของไป๋ถานกำลังจะพังทลายแล้ว เฉินหนิงรักนกเป็นชีวิตจิตใจ อีกฝ่ายต้องกำลังโทษนางที่ส่งมารร้ายผู้นี้มาแน่ นางไม่กล้ารั้งอยู่ต่อแล้วจึงรีบก้าวยาวๆ จากไปโดยไม่รอช้า แต่พอมาถึงข้างประตูก็ยังหันขวับไปทิ้งท้ายหนึ่งประโยค “ห้ามฆ่าฟันอีกเด็ดขาด!” จบคำนางก็เผ่นแน่บไม่เหลือเงาดุจดังควันสายหนึ่ง
เฉินหนิงพุ่งเข้าประตูมาติดๆ เขารวบชายของชุดนักพรตขึ้นมารองร่างนกที่ตายอนาถแล้วหอบไว้แนบช่วงท้อง สายตาสอดส่ายซ้ายขวาอย่างไรก็ไม่พบเห็นไป๋ถาน ทว่าเขาก็ไม่กล้าระบายโทสะใส่ซือหม่าจิ้น จึงได้แต่กระทืบเท้าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น “นกของอาตมา! นกของอาตมา!”
ซีชิงออกมาพอดี พอได้ยินคำพูดของเขาก็เลื่อนสายตาผ่านสองมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อ กวาดมองลงไปแวบหนึ่งแล้วกระแอมให้โล่งคอ “ท่านนักพรต หากไม่ถือสา ข้าน้อยสามารถตรวจอาการให้ท่านโดยละเอียดได้ รับรองว่าได้ยาแล้วจะหายเป็นปลิดทิ้ง”
เฉินหนิงสีหน้าแข็งค้าง สะบัดศีรษะวิ่งออกจากประตูไปทั้งน้ำตา รังแกกันเกินไปแล้วกระมัง!
นี่เป็นความจงใจของซีชิง เขายิ้มตาหยีก้าวเนิบนาบมาถึงเบื้องหน้าซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋อง ท่านน่าจะเข้าใจกระมังว่าเหตุใดข้าถึงสิ้นเปลืองความคิดชักใยดึงไป๋ถานมาอยู่ตรงหน้าของท่าน”
ซือหม่าจิ้นปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “หากไม่เข้าใจ เจ้าจะยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยโดยไม่สึกหรอได้หรือ”
ซีชิงลูบจมูกอย่างวางหน้าไม่สนิท “เช่นนั้นยามที่ควรยอมนาง ท่านก็ยอมนางสักหน่อยเถอะขอรับ”
บทที่สี่
หลังจากไป๋ถานกลับมาก็ไม่ได้ไปเยือนอารามเป้าผู่อีก
เฉินหนิงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญพรต ทว่าความเจ้าอารมณ์กลับไม่ด้อยไปกว่าปุถุชน ยามนี้เมื่อเขาถูกซือหม่าจิ้นเล่นงานจนสุดทนแล้ว ย่อมจะพานโกรธนางด้วย
ทว่าหากไม่ไปนางก็ไม่อาจตรวจสอบควบคุมซือหม่าจิ้นได้ ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
อากาศกำลังหนาวเย็นขึ้นทุกที ยามสอนไป๋ถานจึงต้องปิดหน้าต่างและม่านประตูให้มิดชิด
ขณะที่ไป๋ถานนั่งว้าวุ่นใจอยู่ตรงที่นั่งด้านบน เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแต่ละคนก็มีความในใจเช่นกัน แม้เบื้องหน้าของพวกเขาจะกางตำราอยู่ ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนที่อ่านรู้เรื่อง
“ตำราที่เมื่อครู่บอกให้พวกเจ้าอ่านได้อ่านกันหรือยัง” ไป๋ถานเอ่ยพร้อมสีหน้าอันเคร่งขรึม “ได้ข้อคิดอันใดบ้าง ตอนนี้อาจารย์อยากฟังสักหน่อย”
ด้านล่างไม่มีใครขานตอบ นางจึงสุ่มเลือกศิษย์คนหนึ่งขึ้นมา “หลิวทง เจ้าลองว่ามา”
หลิวทงผู้ถูกเรียกชื่อ ในยามปกติมักเป็นหนุ่มน้อยที่หัวไวและกระตือรือร้นมากคนหนึ่ง แต่วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอีกฝ่ายกลับอ้าปากอึกอัก สุดท้ายถึงได้เอ่ยกับไป๋ถานด้วยใบหน้าที่แดงซ่านว่า “อาจารย์ขอรับ พรุ่งนี้…พรุ่งนี้ศิษย์จะไม่มาแล้ว”
“เป็นอะไร เจ้ามีธุระหรือ”
“เปล่าขอรับ…คือต่อไปนี้ศิษย์จะไม่มาอีกแล้ว”
ไป๋ถานมุ่นคิ้วถาม “เพราะเหตุใด”
หลิวทงตอบ “ท่านพ่อบอกว่าศิษย์โตขึ้นมากแล้ว ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่เหมาะที่จะศึกษากับอาจารย์อีก”
วาจานี้เห็นชัดว่าเป็นเพียงข้ออ้าง หากกริ่งเกรงในเรื่องนี้ก็คงไม่ส่งเขามาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ไป๋ถานกระจ่างแจ้งแก่ใจ นี่ต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาอยากผูกมิตรกับตนแต่ถูกปฏิเสธเป็นแน่ ยามนี้จึงตัดสินใจที่จะขีดเส้นความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเสียเลย
นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ทว่ายังไม่ทันรอให้นางเอ่ยปากศิษย์อีกสองคนก็ยืนขึ้นตามมาติดๆ “อา…อาจารย์ ต่อไปพวกเราก็จะไม่มาแล้วเช่นกัน…”
ประเสริฐแท้ ยังไม่ทันดึงมารร้ายคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้อง นางก็ต้องกินลมต่างข้าวก่อนแล้ว
ไป๋ถานจับหน้าหนังสือพลางถอนหายใจ “ข้ากับพวกเจ้าสามารถเป็นศิษย์อาจารย์กันก็นับเป็นวาสนาแล้ว อย่างไรพวกเจ้าล้วนเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน สมควรตัดสินใจได้ด้วยตนเอง จะอยู่หรือไปอาจารย์จะไม่บังคับเป็นอันขาด”
เดิมทีเรื่องราวในโลกล้วนเรียบง่ายเช่นนี้เอง สิ่งที่ตนเลือก เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นมาสนับสนุน ในเมื่อนางเลือกจะยืนเคียงข้างมารร้าย ย่อมไม่อาจบังคับใจผู้อื่นให้รั้งอยู่ไม่ทอดทิ้งไปได้
ชั้นเรียนซึ่งเดิมทีดำเนินอยู่ดีๆ ถูกเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศประดักประเดิด ภายในห้องเงียบกริบไร้สรรพเสียง ศิษย์สามคนที่ยืนอยู่พลันหันขวับไปมองโจวจื่อแล้วหลิ่วตาบุ้ยใบ้กับเขา
โจวจื่อยังคงนั่งเฉย นิ้วมือเขี่ยกันไปมา เขามองไปทางไป๋ถานหลายหนหมายจะเอ่ยปาก ทว่าสุดท้ายก็ชะงักไป
อันที่จริงน้าชายผู้เป็นข้าหลวงส่วนพระองค์ก็บอกเช่นกันว่าให้เขาลาออก อีกทั้งยังใช้ถ้อยคำรุนแรงอย่างยิ่ง เช้านี้ตอนจะขึ้นเขา เขากับสหายร่วมชั้นสามคนนี้ได้พูดคุยกันไว้แล้ว ยามนี้เมื่อพวกเขาเอ่ยปากกันหมดก็ย่อมจะเร่งเร้าให้เขารีบแสดงท่าทีขึ้นมาเช่นกัน
ไป๋ถานแลเห็นสีหน้าท่าทางของโจวจื่อ หัวใจก็เย็นชืดไปครึ่งดวงอย่างช่วยไม่ได้ ทว่ายังคงประดับยิ้มไว้บนใบหน้า “โจวจื่อ มีสิ่งใดอยากพูดก็พูดออกมาพร้อมกันเถิด”
โจวจื่อลุกขึ้นมือขยุ้มแขนเสื้อไว้ก่อนจะเงยหน้ากล่าว “อาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น จะตั้งใจรับคำสั่งสอนของอาจารย์อยู่ที่นี่”
ศิษย์สามคนที่อยู่ด้านข้างต่างมีสีหน้าตกตะลึง พอมองไปทางไป๋ถานอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าละอายใจอยู่บ้าง
ในใจไป๋ถานพลันอุ่นวาบ ขณะนางจะเอ่ยวาจา ม่านประตูกลับถูกแหวกเปิดในคราวเดียว ฉีเฟิงชะโงกศีรษะเข้ามามองแล้วหดกลับไป ชั่วอึดใจนั้นซือหม่าจิ้นก็เลิกผ้าม่านพลางก้มศีรษะเข้ามา
“อาจารย์กับศิษย์น้องทั้งหลายล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ในที่สุดข้าก็ได้พบหน้าทุกคนเสียที” วันนี้เขาสวมชุดชาวหู* ปกตั้งแขนสอบ เกล้ามวยผมครอบเกี้ยวทอง หน้าอกกับช่วงเอวเข้ารูปรัดกระชับ เปรียบกับชุดหลวมยาวแขนกว้างที่เคยสวมใส่ย่อมแลดูน่าเกรงขามกว่ามากโข
ศิษย์ในห้องที่เคยพบเขาแล้วย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ศิษย์ที่ไม่เคยพบฟังจากคำพูดของเขาก็คาดเดาฐานะออกแล้ว ไหนเลยจะกล้าส่งเสียง ทุกคนล้วนมองเขาอย่างระมัดระวัง ชวนเอ็นดูยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
“เมื่อครู่ดูเหมือนข้าได้ยินใครบอกว่าต่อไปจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว อะไรกัน ดูแคลนที่จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกับข้าเช่นนั้นหรือ” ซือหม่าจิ้นกวาดสายตาไปยังคนทั้งหมดในที่นี้พลางจับมีดสั้นฝักทองคำซึ่งห้อยอยู่ที่ข้างเอวอย่างเบามือ
ศิษย์สามคนที่ยืนอยู่ล้วนขวัญหนีจนหน้าไร้สีเลือด ต่างสั่นศีรษะเป็นพัลวัน พูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
“ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเห็นทีว่าข้าจะเข้าใจผิดไปเอง” ซือหม่าจิ้นยกมุมปากขึ้นนิดๆ เขารูปงามปานเทพเซียน ทว่ารอยยิ้มดุจมัจจุราช
ไป๋ถานไม่อาจทนมองต่อไปจึงกระแอมเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ในเมื่อได้พบศิษย์ร่วมสำนักแล้ว ท่านอ๋องก็ตามอาจารย์ไปสนทนาที่ห้องหนังสือเถิด”
ซือหม่าจิ้นกวาดตามองบรรดาศิษย์น้องของเขาอีกแวบหนึ่ง ทว่าพอกวาดตามาถึงโจวจื่อแล้วเขากลับหยุดมองซ้ำสองหนจึงค่อยตามไป๋ถานออกจากประตูไป
“ท่านอ๋องมาที่นี่ด้วยเหตุใด” เท้าเพิ่งก้าวเข้าประตูห้องหนังสือ ไป๋ถานก็เอ่ยปากถามแล้ว
ซือหม่าจิ้นรับกระดาษปึกหนึ่งจากมือฉีเฟิงก่อนเดินตรงมา “อาจารย์สั่งให้ข้าคัดลอกบทสวดสิบจบไม่ใช่หรือ”
ไป๋ถานพลันระลึกได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง อีกทั้งนางยังบอกด้วยว่าจะขอดูในเช้าวันรุ่งขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมัวแต่พะวงเรื่องเฉินหนิงจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
ซือหม่าจิ้นตระหนักได้เองเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก ไป๋ถานสุ่มพลิกกระดาษปึกนั้นด้วยความปลาบปลื้มยิ่ง แต่แล้วรอยยิ้มที่มุมปากของนางกลับค่อยๆ เลือนหายไป
ลายมือบนกระดาษทุกแผ่นล้วนแตกต่างกัน นี่เขาคิดว่านางตาบอดหรืออย่างไร!
“ท่านอ๋องคงไม่ได้เรียกนักพรตสิบรูปมาคัดลอกให้คนละหนึ่งชุดหรอกกระมัง”
ซือหม่าจิ้นรับมาดูแวบหนึ่ง “อาจารย์เพียงบอกให้ข้าคัดลอกสิบจบ ไม่เคยบอกสักนิดว่าห้ามผู้อื่นเขียนแทน นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้ความปานนี้ กระทั่งลายมือยังไม่รู้จักตรวจเทียบ”
อย่าบอกเชียวว่าไม่เพียงให้ผู้อื่นคัดลอกแทน กระทั่งตนเองยังไม่เคยแม้แต่จะชายตาเหลือบแลสักครั้งก่อนนำมาส่งนาง!
ไป๋ถานกุมหน้าผาก รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า “ดูท่าท่านอ๋องกลับไปยังจะสั่งสอนนักพรตเหล่านั้นด้วยกระมัง อาจารย์เคยบอกแล้วว่าห้ามท่านอ๋องฆ่าฟันอีก”
ซือหม่าจิ้นวางกระดาษปึกนั้นลงบนโต๊ะก่อนหันหน้าเดินออกจากประตู “เช่นนั้นก็ไม่ฆ่า ข้าเองก็ไม่ชอบให้คนตายเร็วเกินไป”
ไป๋ถานรีบเอ่ยทันควัน “ช่างเถิดๆ ท่านยังไม่ต้องกลับอารามเป้าผู่ อยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน”
ซือหม่าจิ้นชะงักฝีเท้า
ไป๋ถานไม่อยากให้นักพรตในอารามเป้าผู่ต้องประสบเคราะห์กรรมไปจริงๆ ถึงตอนนั้นเฉินหนิงคงไม่แคล้วมาแลกชีวิตกับนางแน่ ไป๋ถานเดินกลับไปที่ข้างโต๊ะหยิบหมึกพู่กันจัดวางเรียบร้อยก่อนกล่าว “ท่านอ๋องจงคัดลอกบทสวดอยู่ที่นี่ให้ครบสิบจบ หาไม่ก็ห้ามจากไป”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นคล้ายหงุดหงิดอยู่บ้าง
ไป๋ถานเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง “ท่านอ๋องเป็นผู้เดินทางมากราบอาจารย์ด้วยตนเอง วาจาของอาจารย์ ท่านอ๋องฟังไม่เข้าหูแม้สักครึ่งคำใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้กล่าวได้เฉียบขาด เป็นลักษณะของอาจารย์ผู้เข้มงวดโดยแท้ ซือหม่าจิ้นพลันยกยิ้มซึ่งบอกไม่ถูกว่าแฝงความหมายใด ทว่ายังคงเดินไปนั่งที่หลังโต๊ะ
ไป๋ถานมองเขาอยู่ด้านข้างพักใหญ่ จนแน่ใจว่าเขายกพู่กันถึงวางใจเดินออกจากประตูกลับไปยังห้องปีกตะวันตกอีกครั้ง
ไม่ช้าอู๋โก้วซึ่งกำลังจะออกไปข้างนอกก็พบว่าซือหม่าจิ้นมาที่นี่ เพราะเขาออกจากประตูห้องหนังสือเพื่อมาเรียกนางโดยเฉพาะ
เขาถาม “ปกติอาจารย์สอนเสร็จเมื่อไร”
ขณะนั้นอู๋โก้วพลันรู้สึกเลื่อมใสอาจารย์ของตนสุดประมาณ เพราะนางพบว่ามีเพียงไป๋ถานเท่านั้นที่สามารถพูดจาฉะฉานเบื้องหน้าท่านอ๋องผู้นี้ได้
“ปก…ปกติคือยามเซิน* เจ้าค่ะ”
ซือหม่าจิ้นคำนวณเวลาแล้วเรียกกู้เฉิงมาเฝ้าตรงนี้ ส่วนตนเองพาฉีเฟิงกลับอารามเป้าผู่
เขามิใช่จะกลับไปคิดบัญชีกับเหล่านักพรต แม้ว่าอยากจะทำเช่นนั้นมากก็ตามที อย่างไรเสียในมือของเขาก็ยังมีราชการทหารสั่งสมอยู่เป็นกองพะเนิน ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างไปเล่นสนุกกับมดปลวกเหล่านั้นชั่วคราว
กู้เฉิงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเอาเท้าเขี่ยพื้นอย่างเบื่อหน่ายพลางคิดอยู่ในใจ …ท่านอ๋องต้องกลับมานะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าคนเดียวจะรับมือกับพระโพธิสัตว์ไป๋ได้อย่างไร
‘พระโพธิสัตว์ไป๋’ คือสมญานามที่เขากับฉีเฟิงแอบตั้งให้ไป๋ถาน เรียกคุณหนูสกุลไป๋หรืออาจารย์ไป๋ล้วนไม่เหมาะสมเท่าพระโพธิสัตว์ไป๋ เพราะนางจ้องแต่จะกำราบมารร้ายเช่นท่านอ๋องของพวกเขาอยู่เสมอ
เอ๊ะ เมื่อครู่ในใจใช่พูดคำว่ามารร้ายไปหรือไม่
กู้เฉิงพลันสลัดศีรษะ เปล่านะเปล่า! ไม่เคยพูด ข้าซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านอ๋อง ไม่เคยด่าทอนายในใจสักนิด!
เมื่อเลิกชั้นเรียนในยามเซินแล้ว เหล่าศิษย์ของนางต่างเก็บของเพื่อเตรียมตัวลงจากเขา
ศิษย์สามคนซึ่งก่อนหน้านี้ขอลาออกล้วนมารุมล้อมที่ข้างกายไป๋ถาน พวกเขาล้วนเอ่ยคำสำนึกผิดซ้ำไปมาพลางบอกว่าขอยกเลิกการตัดสินใจเดิม
ไป๋ถานไม่คิดอยากบังคับใจใคร นางใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยนปลอบประโลมพวกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจซือหม่าจิ้น ทว่าพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะอยู่ต่อ ทุกคนแทบจะคุกเข่าขอร้องนางให้รับพวกเขาไว้ด้วยซ้ำ
เอาเถิด เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ใส่ใจ
กว่าจะกล่อมให้พวกเขาสบายใจได้มิใช่ง่ายๆ รอจนคนทั้งหมดจากไปแล้วไป๋ถานจึงค่อยนึกถึงซือหม่าจิ้น นางลุกขึ้นจัดเครื่องแต่งกาย ก่อนจะเดินมุ่งไปยังห้องหนังสือทันที
เมื่อแลเห็นแต่ไกลว่าหน้าประตูมีกู้เฉิงยืนอยู่เพียงผู้เดียว นางก็รู้สึกตงิดใจชอบกล รีบเร่งสาวเท้าตรงไป เมื่อผลักเปิดประตูในคราวเดียวแล้วกลับเป็นนางที่ชะงักกึก
ซือหม่าจิ้นนั่งเรียบร้อยอยู่ในห้อง มือยังคงจับพู่กันคัดบทสวดตามต้นฉบับที่เหล่านักพรตช่วยเขาคัดลอกก่อนหน้านี้ ปากเอ่ยโดยไม่เงยศีรษะขึ้น “ดูเหมือนอาจารย์จะรีบร้อนอยู่บ้าง”
ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อ แววตาของนางพลันสว่างวาบเมื่อเดินไปดูที่ข้างกายเขา
อักษรของซือหม่าจิ้นนั้นปลายพู่กันเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ทิศทางเฉียบคม แม้ลักษณะจะดูคุกคามผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่กระทบต่อเอกลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งยังเผยบุคลิกเฉพาะของผู้มีชาติตระกูลอันสูงส่ง อักษรเช่นนี้ย่อมเคยได้รับการชี้แนะด้วยความทุ่มเท คาดว่านอกจากการสอนไม่กี่วันในกาลก่อนของเด็กเมื่อวานซืนเช่นนางแล้ว หลังกลับเมืองหลวงเขาย่อมต้องได้รับการปลูกฝังอย่างดีเยี่ยมเป็นแน่
หยางสยง* แห่งราชวงศ์ฮั่นเคยกล่าวไว้ว่าอักษรคือภาพวาดซึ่งสะท้อนจิตใจ อักษรเช่นเดียวกับตัวบุคคล ซือหม่าจิ้นสามารถเขียนอักษรที่แข็งแกร่งและเที่ยงตรงเช่นนี้ได้ ไฉนเมื่อตัวคนเติบใหญ่ขึ้นจึงเฉออกนอกลู่นอกทางไปได้เช่นนี้เล่า
“เหตุใดตลอดบ่ายท่านอ๋องจึงเขียนได้เพียงไม่กี่แผ่น” ไป๋ถานจับจ้องเขาอย่างเคลือบแคลง “สิบจบเท่านั้น น่าจะคัดลอกเสร็จนานแล้ว”
ปลายพู่กันของซือหม่าจิ้นมิได้หยุดชะงัก “หากอาจารย์รู้สึกว่าชักช้าเสียเวลาเกินควรก็สามารถสั่งยุติเร็วขึ้นได้”
ไม่มีทางเสียล่ะ… แรกสุดตอนที่ไป๋ถานเริ่มสอนหนังสือ ในมือมีบุตรหลานตระกูลขุนนางที่เกกมะเหรกเข้ามาเป็นศิษย์อยู่จำนวนไม่น้อย พวกเขาล้วนมิใช่ถูกนางขัดเกลาอุปนิสัยจนสิ้นเหลี่ยมคมหรอกหรือ นางไม่มีทางอ่อนข้อผ่อนปรนในสิ่งที่ตนเคยลั่นวาจาไว้อย่างแน่นอน
ไป๋ถานนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเล็ก “ท่านอ๋องมิต้องร้อนใจไป กินอาหารค่ำแล้วก็ยังคัดลอกต่อได้ คัดเสร็จเมื่อไรค่อยกลับอารามเป้าผู่เมื่อนั้น” นางคำนวณเวลาเสียดิบดี ในอารามเริ่มย่ำระฆังทำวัตรเย็นแล้ว อีกไม่ช้าเหล่านักพรตก็จะไปพักผ่อนกันหมด ซือหม่าจิ้นกลับไปถึงอารามตอนนั้นคงไม่ถึงขั้นว่างพอไปคิดบัญชีพวกเขาเพื่อแก้เบื่อกระมัง
ผ่านไปราวเกือบครึ่งชั่วยาม** ฉีเฟิงก็มาผลัดแทนกู้เฉิง แจ้งว่าตนเพิ่งกินอาหารเสร็จมาจากอารามเป้าผู่ ไป๋ถานจึงรู้ว่าได้เวลาอาหารแล้ว
อู๋โก้วยกน้ำร้อนมาให้ทั้งสองล้างมือ ซือหม่าจิ้นวางพู่กันลงชั่วคราว แต่กระนั้นเขาก็เพิ่งจะคัดลอกไปได้เพียงสามจบเท่านั้น
สำรับอาหารที่ถูกยกเข้ามา แน่นอนว่ามีสองชุด ไป๋ถานจุปากอุทานคำหนึ่งด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดียิ่ง “ค่ำนี้ถึงกับมีทั้งเนื้อทั้งปลาครบถ้วน”
อู๋โก้วเก็บกล่องใส่อาหารอย่างจนใจ นั่นเป็นเพราะมีแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้อยู่น่ะสิเจ้าคะ
ซือหม่าจิ้นปรายตามองไป๋ถานแวบหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาพลันนึกถึงสีหน้าท่าทางของนางวันก่อนเมื่อยามที่กินอาหารอยู่ในจวนของเขา คุณหนูตระกูลขุนนางมีความเป็นอยู่เช่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้ แค่อาหารมื้อเดียวก็หน้าชื่นตาบานแล้ว
หลังทั้งสองกินอาหารเสร็จเงียบๆ ก็ต่างบ้วนปากล้างมือ ไป๋ถานรีบเรียกให้ซือหม่าจิ้นคัดลอกบทสวดต่อทันที
“หากข้าคัดลอกไม่เสร็จ ใจคออาจารย์จะให้ข้านั่งอยู่ในห้องหนังสือที่หนาวเย็นนี้ทั้งคืนหรือ”
ไป๋ถานถือตำราเล่มหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เกลื่อนใบหน้า “วางใจได้ อาจารย์จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนถึงที่สุด”
ซือหม่าจิ้นเม้มปากแน่น สุดท้ายยังคงจับพู่กันขึ้นมา
อู๋โก้วย่อมจะไม่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอาจารย์ ฉีเฟิงก็ไม่ยินดีจะเห็นหน้าไป๋ถาน เขายอมตากลมหนาวอยู่ด้านนอกยังดีเสียกว่าเข้ามายืนในห้อง ด้านในจึงมีเพียงพวกเขาสองคน แสงไฟจากตะเกียงดวงเดียวดุจดังเมล็ดถั่ว นอกจากเสียงพลิกหน้ากระดาษแล้วก็คือเสียงอันแผ่วเบาของพู่กันที่จรดลงบนกระดาษ
ไป๋ถานอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว จู่ๆ ในตะเกียงพลันเกิดประกายไฟขึ้นวูบหนึ่งดึงความสนใจให้นางหันไปมอง แม้สายตาของซือหม่าจิ้นจะจับนิ่งอยู่บนกระดาษตรงเบื้องหน้า ทว่าพู่กันในมือกลับไม่ขยับเขยื้อน
นางวางตำราแล้วค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้พลางมองสำรวจใบหน้าของเขาทั้งซ้ายขวาอย่างถี่ถ้วน
คนผู้นี้คงมิได้ลืมตานอนหลับอยู่อีกกระมัง
นางถือพัดขนนกหมายตีลงไป พอเงื้อมือขึ้นกลับฉุกคิดได้ว่าวันนั้นถูกเขาบีบคอแทบตาย นางยกมือลูบลำคอไปตามจิตใต้สำนึกก่อนหันไปมองเขาอีกครั้งอย่างลังเล ไม่คาดว่าซือหม่าจิ้นกลับจับจ้องนางอยู่ ทำเอานางตกใจสะดุ้งจนตัวโยน
“ที่แท้ท่านอ๋องมิได้นอนหลับหรือ”
“ข้าแค่กำลังมองดูว่าเนื้อความท่อนนี้ใช่คัดซ้ำหรือไม่” ซือหม่าจิ้นจรดสายตาอยู่ที่มือของนางซึ่งกำลังลูบลำคออยู่ ชั่วขณะประกายในดวงตาของเขาพลันสั่นไหวนิดๆ “ที่แท้วันนั้นข้าลงมือหนักถึงเพียงนี้”
บนลำคอของไป๋ถานมีรอยฟกช้ำเด่นชัด หากมิใช่อยู่ใกล้ก็จะถูกคอเสื้อบดบังไว้จนแทบมองไม่เห็น
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ไป๋ถานก็มีโทสะ นางเป็นคนกลัวเจ็บมากกว่าผู้อื่นมาแต่กำเนิด ทีแรกตอนที่ฉีเฟิงมาลักพาตัวนางแล้วใช้สันมือตีใส่ต้นคอนั้นนางเจ็บจนคอแทบหักมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงจดบัญชีแค้นมาตลอด ต่อมายังถูกซือหม่าจิ้นทำร้ายซ้ำสองอีก แค่คิดก็เกินพอแล้ว!
ซือหม่าจิ้นพลันยื่นมือมา ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือกดบนลำคอของนาง
ไป๋ถานพลันตระหนกวูบ สองตาเบิกกว้าง
นิ้วมือซึ่งเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งของเขากดอยู่บนลำคอที่ร้อนลวกของนาง เขานวดคลึงแรงๆ หลายรอบก่อนจะถูขึ้นลงอีกหลายครั้ง
ไป๋ถานตามหาเสียงของตนพบจนได้ “นี่ท่านอ๋องกำลังทำอะไร”
“คลายฟกช้ำ”
ไป๋ถานกลืนน้ำลายตามจิตใต้สำนึกเมื่อท้องนิ้วไล้ผ่านลำคอ
ซือหม่าจิ้นชักมือกลับไป เขาถูนิ้วมือก่อนหยิบพู่กันขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับรู้สึกว่าบนนิ้วมือของตนยังคงหลงเหลือสัมผัสอันเรียบลื่นเนียนละเอียดนั้นอยู่เล็กน้อย ความรู้สึกนั้นทำให้เขามุ่นคิ้วนิดๆ
ไป๋ถานขยับออกไปนั่งไกลขึ้น แล้วรินน้ำถ้วยหนึ่งเพื่อปลอบขวัญตนเองก่อน
เมื่อครู่นางเกือบนึกว่าเขาจะฆ่าตนเสียแล้ว อาจารย์ผู้นี้เปลี่ยนมาเลี้ยงชีพบนความเสี่ยงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ค่ำคืนนี้หลังตื่นตกใจแล้วทว่ากลับไร้ซึ่งอันตรายนั้น ไป๋ถานก็ค้นพบวิธีการที่ดีวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือยามกลางวันให้ซือหม่าจิ้นคอยรับการอบรมสั่งสอนอยู่ข้างกายนาง ยามกลางคืนก็ค่อยให้เขากลับไปพำนักที่อารามเป้าผู่
เช่นนี้นางก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเฉินหนิงแล้ว ทั้งยังสามารถตรวจสอบควบคุมซือหม่าจิ้นได้ นับว่านางยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
บัดนี้ย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี ราชการทหารยุ่งวุ่นวายยิ่ง ไป๋ถานเข้าใจสถานการณ์ หลายวันนี้จึงไม่ได้จับตาดูซือหม่าจิ้นเข้มงวดนัก ขอเพียงเขาเอ่ยปากว่ากำลังสะสางราชการทหาร นางก็จะไม่เรียกให้เขามาที่นี่
อย่างไรเสียสะสางงานราชการก็นับเป็นการกล่อมเกลาจิตใจประการหนึ่ง ขอเพียงไม่ก่อบาปเข่นฆ่า อย่างไรก็ล้วนดีทั้งสิ้น
กระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดเรียนพอดี ซือหม่าจิ้นจึงไม่ได้มา ไป๋ถานอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ขณะเตรียมจะพาอู๋โก้วออกไปเดินเล่น ซีชิงกลับมาเยือนเสียก่อน
ด้านนอกแสงตะวันงามตาท้องฟ้าแจ่มใส เขาสวมอาภรณ์สีครามกับรองเท้าหุ้มข้อ เรือนผมมุ่นมวยหลวมด้วยปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่ง แลดูภูมิฐานเข้าทีกว่ายามปกติมากโข
“ข้ามาส่งยาให้เจ้า” ทันทีที่เข้ามาในห้องหนังสือ เขายิ้มตาหยีพลางหยิบยาขี้ผึ้งตลับหนึ่งออกจากแขนเสื้อ “ได้ยินว่าวันนั้นเจ้าเกือบถูกหลิงตูอ๋องบีบคอหัก เหตุใดไม่รีบบอกข้าเล่า เมื่อครู่ข้าไปที่อารามเป้าผู่ฟังเฉินหนิงเล่ามาถึงได้รู้เรื่อง”
ไป๋ถานถือโอกาสสอบถามหนึ่งประโยค “เขาดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“รวดร้าวดุจเสียบุพการี”
“…” ไป๋ถานได้แต่เงียบงัน เอาเถิด ไม่ถามเสียยังจะดีกว่า
ซีชิงขยับเข้ามาใกล้ มองดูลำคอของนางแล้วผงกศีรษะ “ดูท่าคราวนี้ไม่ได้รุนแรงมากนี่นา ด้วยพื้นฐานร่างกายของเจ้า แต่ก่อนถ้าไม่ผ่านไปห้าหกวันก็ไม่มีทางหายฟกช้ำ แต่คราวนี้กลับจางไปเกือบหมดแล้ว”
ไป๋ถานจุปากอุทาน “มารร้ายผู้นั้นเป็นคนนวดคลายช้ำให้ข้าเชียวนะ”
ซีชิงตื่นตะลึง “จริงหรือ!”
“ก็จริงน่ะสิ ตอนนั้นข้ายังนึกว่าเขาจะบีบคอฆ่าข้าด้วยซ้ำ มันช่าง…เฮ้อ คำเดียวบรรยายไม่หมดสิ้น”
ซีชิงขบคิดก่อนยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่แปลกหรอก ท่านอ๋องแม้ดุร้าย แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เคยสอนเขามา อีกทั้งสถานการณ์ในปีนั้นผู้อื่นล้วนไม่กล้าใส่ใจเขา กลับมีเพียงเจ้าที่ยอมอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมองเจ้าดีกว่าผู้อื่น”
ไป๋ถานกล่าวอย่างขบขัน “เช่นนั้นข้าไม่เท่ากับได้ ‘ราชโองการเว้นโทษตาย’ จากเขาหรอกหรือ”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินเลย” ซีชิงกระตุกแขนเสื้อของนางก่อนเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “เมื่อครู่ตอนขึ้นเขาข้าบังเอิญเจอคนผู้หนึ่ง ไป…ข้าจะพาเจ้าไปดู”
ไป๋ถานไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ นางเพียงแค่ตามเขาออกจากประตูเรือน เดินไปได้ไม่ไกลนัก พอลงไปถึงไหล่เขาแล้วเลี้ยวหนึ่งครั้งเส้นทางบนภูเขาก็เริ่มขรุขระขึ้น เบื้องหน้ามีสระขนาดย่อมอยู่แห่งหนึ่ง เมื่อข้ามเขตนี้ไปจะเป็นเรือนพักซึ่งปลูกสร้างโดยชนชั้นสูงตระกูลอื่น
ซีชิงดึงตัวไป๋ถานมานั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้แล้วชี้มือไปที่ริมสระ “รีบดูนั่น”
ไป๋ถานชะเง้อคอยาว เห็นเพียงเงาหลังของคนคู่หนึ่งซึ่งอิงแอบแนบชิดกัน เสียงกระซิบกระซาบสองสามประโยคแว่วมาเป็นพักๆ ก่อนจะแทรกด้วยเสียงหัวเราะหวานเยิ้มของสตรี
“นั่นใครกัน”
“เจ้าไม่รู้จักหรอกหรือ นั่นคือหวังฮ่วนจือคุณชายสกุลหวังอย่างไรเล่า” ใบหน้าด้านข้างซึ่งผอมเรียวของซีชิงยื่นไปข้างหน้า สองตาที่เรียวยาวเผยประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังตายแล้ว เดิมทีเขาควรจะไว้ทุกข์ แต่กลับพานางบำเรอมาขลุกอยู่ที่นี่”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวัง? คงมิใช่คนที่ถูกหลิงตูอ๋องทำเสียขวัญจนล้มป่วยไปหรอกกระมัง”
ซีชิงผงกศีรษะรับ “ฝ่าบาทยังทรงให้เกาผิงไปถ่ายทอดรับสั่งถึงอารามเป้าผู่โดยเฉพาะ ให้หลิงตูอ๋องอย่าเพิ่งเข้าเมืองชั่วคราว หวังฟูจะได้ไม่หาเรื่องเขาอีก”
ไป๋ถานคิดในใจ มิน่าไม่เห็นเขาแวะมา คาดว่าคงเดือดดาลกับเรื่องนี้อยู่
ซีชิงผลักนางเบาๆ “นี่ๆ พูดนอกเรื่องแล้ว ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อดูหวังฮ่วนจือนะ”
เพียงเห็นชายหญิงคู่นั้นนั่งอยู่บนพื้นหญ้าริมสระพลางพลอดรักกันไปมา ไป๋ถานพลันรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่งจึงค้อนขวับซีชิงเตรียมจากไป แต่ซีชิงกลับยุดแขนเสื้อของนางไว้ในปราดเดียว “อย่าเพิ่งไปสิ เจ้าจะไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าเหตุใดถึงเรียกเจ้ามาดูเขา”
ไป๋ถานยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของชายหญิงทางด้านนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง สุ้มเสียงของสตรีเริ่มกระชั้นเร่งร้อน เปล่งเสียงครางหวานหูคละเคล้ากับเสียงหอบหายใจอันแหบห้าวหนักหน่วงของหวังฮ่วนจือผู้นั้น ยามที่ไป๋ถานมองไป คนทั้งคู่ล้มตัวกอดกันกลม ต้นหญ้าใต้ร่างถูกบดขยี้ระเนระนาด…
คนโง่งมก็ยังรู้ว่าคนตรงนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ ไป๋ถานพลันหน้าแดงเข้มในพริบตา
นี่มันกลางวันแสกๆ นะ!
“เอ่อ…” ซีชิงวางหน้าไม่สนิท “ข้าไม่ได้อยากจะให้เจ้ามาดูสิ่งนี้หรอก”
ไป๋ถานถูกเสียงความเคลื่อนไหวซึ่งเร่าร้อนขึ้นทุกขณะทำเอาทนอยู่ต่อไปไม่ไหว นางลุกพรวดแล้วออกเดินทันที ซีชิงรีบติดตามมา “เจ้าอย่าโกรธเลยนะ ข้าเพียงอยากจะให้เจ้ามาดูหวังฮ่วนจือคนนี้สักหน่อย ปีก่อนภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคภัย ข้าบังเอิญไปได้ยินมาว่าบิดาของเจ้ามีความคิดจะแต่งเจ้าเป็นภรรยาคนที่สองของเขา”
ไป๋ถานหันขวับ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“บิดาของเจ้ากับสกุลหวังลอบหารือกันอยู่ หลายวันนี้ข้าไปเตร็ดเตร่ที่สกุลหวังเป็นประจำจึงพอจะได้ยินข่าวไม่มากก็น้อย”
ไป๋ถานหน้าขรึมลงทันที ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้แล้วบิดาของนางก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ซีชิงยิ้มละไม “เจ้าก็เห็นแล้วว่าหวังฮ่วนจือมีความประพฤติอย่างไร เจ้าติดตามเขายังไม่สู้มาติดตามข้า ข้ารู้ว่าบิดาของเจ้ารังเกียจที่ข้าไร้อำนาจทั้งยังไร้อิทธิพล แต่ข้านิสัยดี อย่างน้อยก็เหนือกว่าหวังฮ่วนจือนั่นนัก”
ไป๋ถานร้องเพ้ยคำหนึ่ง “อย่ามาทำกะล่อน ใจเจ้าคิดถึงแต่เหมยเหนียง นึกว่าข้าไม่รู้หรือ”
ตอนนั้นที่ไป๋ถานรู้จักกับซีชิงก็เป็นเพราะเขามักวิ่งไปหาไป๋ฮ่วนเหมยญาติผู้พี่ของนางอยู่เสมอ บ้างก็ไปกำนัลบทบรรเลง บ้างก็ไปกำนัลเครื่องดนตรี จนกระทั่งเขาลักลอบเรียนแพทย์แล้วถูกจับได้ถึงไม่มาปรากฏตัวอีก ต่อมาตอนที่หนีออกจากจวนจึงพบกับนางโดยบังเอิญ
บัดนี้ไป๋ฮ่วนเหมยเข้าวังไปสิบปีแล้ว เขาก็ยังครองตนเป็นโสด นี่มิใช่แสดงชัดว่าใจของซีชิงยังคะนึงหาอีกฝ่ายอยู่หรอกหรือ
ซีชิงแสร้งทำเป็นห่อเหี่ยว “เจ้าไม่ยอมก็แล้วไปเถิด ยังจะขุดคุ้ยแผลเก่าของข้าอีกให้ได้อะไร ข้าว่าในใจเจ้าคงห่วงหาผู้อื่นอยู่มากกว่ากระมัง”
ไป๋ถานเม้มปากไม่พูดไม่จา ก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับเรือนพัก
ขงจื่อว่าไว้…ผิดจารีตไม่ควรมอง นางต้องรีบกลับไปเอาน้ำล้างตาสักหน่อย จะได้ไม่เป็นตากุ้งยิง
ซีชิงยังคงตามนางมาติดๆ “เจ้าอย่าได้รับปากบิดาออกเรือนไปเชียว ข้าเคยเกลี้ยกล่อมหลิงตูอ๋องให้ยอมเชื่อฟังเจ้ามากขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็รู้จักกันมาหลายปี คำพูดของข้า เขาต้องฟังเข้าหูบ้างเป็นแน่ รอจนเจ้าชักนำเขากลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาทต้องทรงตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม เจ้าก็จะมีทั้งเงินทองทั้งฐานะ ถึงตอนนั้นข้าจะมาเกาะชายกระโปรงของเจ้าแน่นอน”
ไป๋ถานรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางยกชายชุดทำท่าจะเตะอีกฝ่าย ซีชิงเห็นเช่นนั้นถึงได้วิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะร่วน
ในอารามเป้าผู่ ทุกสิ่งยังคงเป็นปกติ มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เฉินหนิงที่ยังคงโศกเศร้าจากการสูญเสียนกอันเป็นที่รักจนไม่มีแก่ใจจะเทศนาธรรมแก่ทุกคนอีก ทุกวันเอาแต่นอนหน้าเศร้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ภายในห้องเท่านั้น
ฝ่ายซือหม่าจิ้นเองก็เก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อสะสางราชการทหาร ตั้งแต่เช้าจรดเย็นล้วนไม่ยอมเผยโฉม
ด้วยเหตุนี้คนทั้งอารามจึงระบายลมหายใจได้อย่างโล่งอก ยามสนทนากันก็กล้าที่จะเปล่งเสียงดังขึ้น
นักพรตกลุ่มหนึ่งกำลังถกความเห็นกันยกใหญ่ ทอดถอนใจว่าเมื่อไรจะอัญเชิญมารร้ายผู้นี้ลงเขาไปได้เสียที กู้เฉิงจึงยื่นศีรษะที่เต็มไปด้วยผมแห้งกรอบเบียดแทรกเข้าไปพลางเอ่ยปลอบด้วยเจตนาดี “พวกเจ้าไม่ใช่ทั้งเชลยศึกและนักโทษ ขอเพียงไม่ไปตอแยท่านอ๋องของข้า ท่านก็ไม่เอาชีวิตของพวกเจ้าแล้ว”
เหล่านักพรตพร้อมใจกันถอยกรูดไปสามเชียะ* แตกกระเจิงดุจฝูงนกที่ตื่นกลัว
นั่นคือผู้ที่กล้าบีบคอกระทั่งอาจารย์ของตนเอง ยังมีนกของศิษย์พี่ใหญ่พวกเขาอีก นั่นนับเป็นหนี้เลือดเชียวนะ!
ฉีเฟิงพลันรู้สึกว่ากู้เฉิงช่างทึ่มเข้าขั้น กับจมูกโคพวกนี้มีอันใดน่าสนทนากัน เขายอมไปเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าประตูเสียยังจะดีกว่า
เขาวิ่งไปที่หน้าประตูโถงจริงๆ พร้อมหยิบผลไม้ในเครื่องเซ่นไหว้ติดมือมาด้วย กัดไปพลางนั่งยองบนหินก้อนใหญ่ ก่อนก้มมองผู้ศรัทธาในลัทธิเต๋าที่เดินทางเข้าออกซุ้มประตูตรงทางขึ้นอาราม
บนทางภูเขามีบุรุษสองคนเดินชนกัน ต่างฝ่ายต่างเอะอะโวยวายไม่ยอมอ่อนข้อ ดึงดูดให้ผู้คนไปล้อมชมจำนวนมาก
คนหนึ่งตวาดกร้าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาข้าเป็นใคร กล้าพูดจากับข้าเช่นนี้!”
อีกคนกลับลำพองตนยิ่ง “บิดาเจ้าเป็นใครข้าไม่สน พี่สาวข้าเป็นใครเจ้ารู้หรือไม่ นางก็คือไป๋ถานบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม เจ้ากล้าพูดจากับข้าเช่นนี้หรือ!”
อีกฝ่ายไร้เสียงไปในพริบตา
ฉีเฟิงหันขวับไปมอง ผลไม้ในปากพลันถูกพ่นพรวดออกมา เจ้าหนูสำอางชุดขาวนั่นมันน้องชายของไป๋ถานมิใช่หรือ!
ชิชะ เดี๋ยวนี้เจ้าหนูนี่ไม่ประชันบิดาแต่เปลี่ยนมาประชันพี่สาวแทนแล้ว!
ไม่ถูกสิ ที่ประชันขันแข่งอยู่นี่มันชื่อเสียงบารมีท่านอ๋องของข้าชัดๆ!
โทสะพลุ่งขึ้นในใจของฉีเฟิงทันที เพียงแต่เพิ่งคิดจะตรงไปจับตัวอีกฝ่ายไปพบผู้เป็นนาย เขากลับเห็นไป๋ต้งชักเท้าแล้ววิ่งไปยังทางสายเล็กที่อยู่ด้านข้างตรงทางขึ้นเสียก่อน ปากเอ่ยร้องเรียกเด็กรับใช้ผู้ติดตามไม่หยุด “เร็วๆ มาทางนี้ นี่เป็นทางลัด ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวไปไม่ทัน”
ขณะมองด้วยความฉงน ฉีเฟิงพลันบังเกิดอารมณ์สนุก จึงรีบวิ่งกลับไปรายงานซือหม่าจิ้น
ยามที่ไป๋ถานได้ยินเสียงดังสนั่นที่เกิดจากประตูเรือนนั้น นางกำลังตั้งอกตั้งใจวาดภาพวิถีชีวิตกลางขุนเขา ขีดตวัดที่สำคัญถูกเสียงนี้ลากเฉไปจนภาพเละเทะไม่เหลือดี นางจึงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
พอลุกพรวดออกไปดู ที่แท้ผู้มาเยือนก็คือไป๋ต้ง นางแค่นเสียงดังฮึ “ก่อเรื่องจนถูกกักตัว เพิ่งจะได้ออกมาวันนี้หรอกหรือ”
“นี่ข้าแอบหนีออกมาเชียวนะ” ไป๋ต้งดึงไป๋ถานไว้อย่างรีบร้อนลนลาน เหลียวซ้ายแลขวาก่อนเอ่ยต่อ “พี่สาว รีบหนีเร็วเข้า ท่านพ่อมาแล้ว!”
ไป๋ถานตะลึงงัน “เขามาทำอะไร”
“มารับท่านกลับไป”
ไป๋ถานนึกถึงคำพูดของซีชิงได้ในพริบตา “กลับไปแต่งให้หวังฮ่วนจือหรือ”
ไป๋ต้งตกตะลึง “นี่ท่านรู้แล้ว!? เช่นนั้นเหตุใดยังไม่รีบหนีอีก คราวก่อนท่านพ่อคิดจะจับท่านแต่งให้หลิงตูอ๋อง ต่อมาท่านกลับรับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์ ท่านพ่อจึงเอาแต่ตำหนิข้าที่คาบข่าวมาบอกก่อนทำให้ท่านมีโอกาสล้มงานมงคลได้ คราวนี้ที่ท่านพ่อขังข้าไว้ตั้งนานก็เพราะกลัวว่าข้าจะมาแจ้งข่าวต่อท่าน นี่ท่านพ่อก็ใกล้จะมาถึงแล้ว”
“ให้เขามา ข้ารออยู่” ไป๋ถานหันหน้ากลับเข้าห้องหนังสือ
อู๋โก้วยืนมองอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอาจารย์มีท่าทีเช่นนี้
ไป๋หยั่งถังมาถึงเร็วยิ่ง เขานำบริวารเข้าประตูมาด้วยห้าหกคน บ่าวชายในเรือนพักเมื่อเห็นแล้วก็ไม่กล้าขัดขวาง
เขายืนมองพิจารณาอยู่กลางลาน เรือนพักแห่งนี้ไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปี ทว่ากลับเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็ล้วนตัดแต่งเข้าที คาดว่าไป๋ถานน่าจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด เขารู้ว่าบุตรสาวคนนี้โปรดปรานสิ่งหย่อนใจเหล่านี้มาก แต่ว่านางกลับไม่รู้จักทำในสิ่งที่ตนพึงกระทำเสียเลย
ไป๋ถานเดินออกมาจากห้องหนังสือ ไป๋ต้งซึ่งซ่อนกายอยู่ในห้องลอบเกาะประตูมองดูอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อมาเยือนกะทันหันเช่นนี้มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือไม่”
ไป๋หยั่งถังแลเห็นบุตรสาวคิ้วตาหมดจดสดใส เรือนผมเรียบลื่นดุจดังปุยเมฆ สวมอาภรณ์แขนกว้างยืนอย่างสง่าอยู่เบื้องหน้าระเบียงทางเดิน ไม่พบพานมานานถึงสิบปี ยามนี้นางมีท่วงท่าอันงามสง่าของหญิงสาวแล้ว
สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึง “มารับเจ้ากลับไป”
“ข้ามีคุณธรรมความสามารถอันใดที่จะย่างเท้าเข้าสู่จวนไท่ฟู่ได้หรือ”
ไป๋หยั่งถังขมวดคิ้ว “นิสัยนี้ของเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ดูคล้ายไม่เก็บสิ่งใดมาใส่ใจ ทว่ากลับดื้อรั้นแข็งกร้าวเป็นที่สุด เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา เหตุใดจึงได้ผิดคำสาบาน ทีแรกเจ้าพูดชัดถ้อยชัดคำมิใช่หรือว่าจะไม่เป็นฝ่ายย่างเท้าสักก้าวเข้าเมืองหลวงด้วยตนเองเป็นอันขาด ยามนี้ในเมื่อเข้าเมืองไปช่วยหลิงตูอ๋องแล้วไยต้องยึดติดกับอดีตไม่ปล่อยวาง อย่างไรก็รีบตามข้ากลับไปแล้วกัน”
“เพราะข้าผิดคำสาบานเข้าเมือง ท่านพ่อจึงนึกว่าข้าจะเปลี่ยนนิสัยจากในอดีต ปล่อยให้ท่านจับออกเรือนได้ตามใจเช่นนั้นหรือ”
ไป๋หยั่งถังชะงักกึกก่อนเหลียวมองรอบทิศและระเบิดเสียงตวาดก้องในฉับพลัน “ไป๋ต้ง! เจ้าจงออกมาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋ถานกล่าว “ท่านพ่อไม่ต้องตำหนิอาต้ง เรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นคนบอกข้า หลายปีปานนี้แล้วท่านเองก็ไม่เปลี่ยนมิใช่หรือ ท่านไม่เคยคำนึงถึงความปรารถนาของผู้อื่น ในสายตามีเพียงอำนาจและอิทธิพล” นางผายมือออก “ไท่ฟู่เชิญกลับเถิด ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น”
ไป๋หยั่งถังหน้าอกยุบพองด้วยโทสะทว่ายังฝืนกดข่มไว้ “บัดนี้เจ้าเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงถามถึงเสมอ หากพำนักอยู่ที่เรือนพักแห่งนี้ตลอดไปก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม”
“ก็เพราะข้าคืออาจารย์ของหลิงตูอ๋องถึงยิ่งไม่อาจจากไป ข้าไปแล้วยังจะอบรมเขาได้อย่างไรเล่า” ไป๋ถานเหยียดยกมุมปาก “อย่างไรเสียข้าก็เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือ ไม่นึกว่าจะเข้าตาสกุลหวังได้”
ผู้คนตรงนี้มีพวกบ่าวรวมอยู่ด้วย ทว่าบุตรสาวกลับไม่ไว้หน้าตนสักนิด ปล่อยให้ยืนสนทนาอยู่กลางลานเช่นนี้โดยไม่แม้แต่จะเชิญตนเข้าห้อง ไป๋หยั่งถังโกรธเกรี้ยวจนสีหน้าเขียวคล้ำนานแล้วจึงโบกมือทีหนึ่งเรียกให้บ่าวที่อยู่ด้านหลังของตนตรงไปมัดตัวคน
ไป๋ถานเพิ่งจะหมุนกายก็ถูกมือหลายคู่ควบคุมตัวจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ดวงหน้าของนางพลันเผยโทสะแล้วเช่นกัน
ไป๋ต้งพลันพุ่งปราดออกมาขวางเบื้องหน้านางทันใด “นี่ท่านพ่อจะทำอะไร คิดจะมัดพี่สาวกลับไปอย่างนั้นหรือ”
ไป๋หยั่งถังเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ตัวบัดซบ! รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่ ตำรับตำราไม่รู้จักตั้งใจศึกษา แต่ฝีมือปีนกำแพงหลบหนีของเจ้ากลับหัดได้เก่งนัก”
บ่าวเหล่านั้นเรี่ยวแรงมากเหลือเกิน ไป๋ต้งดึงไป๋ถานออกมาเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก อารามร้อนใจจึงนอนลงกับพื้นเสียเลย “หากท่านพ่อจะทำกับพี่สาวเช่นนี้จริงก็ข้ามศพข้าไปแล้วกัน”
ไป๋ถานมุมปากสั่นกระตุก “ตายแล้วถึงจะเรียกว่าศพ!”
“ไม่สนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้พวกเขามัดท่านไปเช่นนี้มิได้”
ไป๋หยั่งถังเดือดดาล บุตรหลานตระกูลขุนนางไหนเลยจะมีท่าทางเช่นนี้ได้ เขาถลึงตาใส่คนบนพื้น “จงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋ต้งไม่เพียงไม่ลุกขึ้น ซ้ำยังเกลือกกลิ้งหลายตลบจนชุดสีขาวเปรอะไปด้วยฝุ่น
ไป๋หยั่งถังโกรธจนเคราสั้นตรงปลายคางพลันสั่นกระเพื่อมขณะตวาดอย่างแค้นใจ “ไม่ต้องแยแสเขา มัดคนไป!”
บ่าวเหล่านั้นฉุดดึงไป๋ถานก่อนพาเดินไปสู่เบื้องนอก ทว่าเพิ่งมาถึงหน้าประตูพวกเขากลับหยุดชะงักไปทันที
ซือหม่าจิ้นยืนกอดอกพิงข้างประตู แววตาลุ่มลึก มุมปากประดับยิ้ม “นี่ข้ามาไม่ถูกเวลาหรอกหรือ”
รอบทิศมีแต่ความเงียบในทันใด
ซือหม่าจิ้นถูกฉีเฟิงยุยงให้มาที่นี่
ในมุมมองของฉีเฟิง หากมิใช่ทีแรกไป๋ต้งล่วงเกินท่านอ๋องของตนก่อน ไป๋ถานก็จะไม่ถูกดึงให้ออกหน้ามาช่วยเหลือจนมีโอกาสบีบบังคับท่านอ๋องของตนกราบเป็นอาจารย์ และส่งผลให้ยามนี้พวกตนต้องลำบากมาอยู่ร่วมกับพวกจมูกโคบนยอดเขาเฮงซวยที่แสนคับแคบนี่
สรุปคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลต้องโทษไป๋ต้งแต่เพียงผู้เดียว!
ฉะนั้นเขาจึงทุ่มสุดกำลังยุยงซือหม่าจิ้นให้มาสั่งสอนไป๋ต้ง พูดยกเมฆเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนว่าเรือนพักสกุลไป๋กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอันใดขึ้น
ซือหม่าจิ้นสะสางราชการทหารเสร็จพอดีจึงตัดสินใจมาดูด้วยตนเองสักหน่อย
ความจริงก่อนที่เขาจะเผยตัวได้นำฉีเฟิงกับกู้เฉิงมายืนอยู่นอกกำแพงเรือนสักพักแล้ว บทสนทนาระหว่างบิดากับบุตรสาวที่ด้านในจึงได้ยินเกือบทั้งหมด
น่าประหลาดใจยิ่ง ซือหม่าจิ้นนึกไม่ถึงว่าค่ำนั้นที่ไป๋ถานเดินทางไปเยือนจวนอ๋องของเขายังมีเบื้องหลังที่ผูกโยงไปถึงคำสาบานที่ว่านั้นด้วย
ทว่าเรื่องประหลาดใจนี้มิได้เกินเลยไปจากความคาดหมายของเขาเท่าไหร่นัก นางก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่สอนเขาเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้ว แม้เขาจะไม่พูดจาและไม่แยแสในสิ่งที่นางพูด แต่นางก็ยังมุ่งมั่นที่จะอธิบายไปทีละคำโดยไม่มีท่าทีจะถอดใจสักนิด
คาดว่านางคงเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนเช่นนี้เอง เพียงเพื่อจะฉุดดึงคนเช่นเขาให้กลับคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้อง ต่อให้ผิดคำสาบานก็ต้องเข้าเมือง
ซือหม่าจิ้นเยาะหยันอยู่ในใจ อันใดคือวิถีทางที่ถูกต้อง ไยต้องยึดมั่นถือมั่นด้วยเล่า
พวกบ่าวสกุลไป๋ซึ่งคุมตัวไป๋ถานอยู่ไม่รู้จักซือหม่าจิ้นแต่อย่างใด เพียงประเมินจากอาภรณ์และเครื่องประดับของอีกฝ่ายก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินแล้ว ต่างพากันหันกลับไปมองนายท่านของตน
ยังคงเป็นไป๋ต้งที่มีปฏิกิริยารุนแรงกว่าใคร เขาพลันดีดร่างลุกขึ้นยืนในคราวเดียว “หลิงตูอ๋อง! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ไป๋หยั่งถังเร่งสาวเท้าตรงขึ้นมาคำนับ
ซือหม่าจิ้นไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย เขายืดกายตรงแล้วเดินเนิบนาบไปถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน กวาดตามองทั้งสองคนที่จับร่างนางไว้ก่อนวางมือข้างหนึ่งลงบนบ่าของคนที่อยู่ใกล้ตน “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เมื่อครู่บ่าวผู้นั้นได้ยินถนัดชัดเจนจึงผวาจนหน้าซีดเผือดตั้งแต่แรกแล้ว ในใจเอ่อล้นด้วยความขมขื่น คนที่ถูกมารร้ายผู้นี้เลือกไยจึงเป็นตนเสียได้ เพียงรู้สึกว่าบ่าส่วนที่ถูกมือของอีกฝ่ายวางอยู่หนักอึ้งดุจเหล็กตันกดทับ เขาเอ่ยปากตอบตะกุกตะกัก “ระ…รู้ขอรับ หลิงตูอ๋อง”
ซือหม่าจิ้นชี้มือไปทางไป๋ถาน “รู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“ปะ…ไป๋ถานคุณหนูสกุลไป๋ของข้าน้อยเอง”
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มบางๆ “แล้วอย่างไรอีก”
บ่าวผู้นั้นไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร บนหน้าผากเหงื่อแตกพลั่ก จนกระทั่งแรงกดทับบนบ่าทวีความรุนแรงขึ้นทุกที สมองของเขาถึงพลันแล่นฉิว “ยังเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ท่านอ๋องด้วยขอรับ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซือหม่าจิ้นขรึมลงในฉับพลัน “รู้ว่าเป็นอาจารย์ของข้า พวกเจ้าก็ยังกล้าจับมัดนางเช่นนี้ ช่างขวัญกล้าไม่เบานี่” เขากวักมือไปด้านหลัง ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพลันเข้าใจความนัย พวกเขาก้าวยาวๆ ตรงไปซ้ายขวาจับกุมคนละหนึ่งคนไว้ทันที
จับกุมเสร็จพวกเขาสองคนก็พลันนึกฉงน
…ไม่ถูกสิ พวกเราไม่ได้มาชมเรื่องสนุกแล้วถือโอกาสสั่งสอนเจ้าหนูแซ่ไป๋นั่นหรอกหรือ…ไยเหตุการณ์จึงพลิกมาเป็นเช่นนี้ได้เล่า
บ่าวคนอื่นๆ เห็นแล้วไหนเลยยังจะกล้าควบคุมตัวไป๋ถานอีก พวกเขาต่างพากันคลายมือปล่อยเชือกกันจนหมด
ไป๋หยั่งถังมุ่นคิ้วสืบเท้าขึ้นหน้ามาคารวะ “ท่านอ๋องโปรดอภัย นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยภายในครอบครัวของข้าน้อย มิกล้ารบกวนท่านอ๋องหรอกขอรับ”
ซือหม่าจิ้นคล้ายเพิ่งจะสังเกตเห็นเขาเดี๋ยวนี้เอง “ไท่ฟู่อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องในครอบครัวของเจ้าจึงเป็นการมาจับมัดอาจารย์ของข้า”
ไป๋หยั่งถังถูกคำพูดของเขาตอกกลับจนเป็นใบ้ไร้วาจา
สายตาของซือหม่าจิ้นจับอยู่บนร่างของบ่าวเหล่านั้น “มาได้จังหวะพอดี ข้าอยู่ที่นี่เบื่อหน่ายมาหลายวัน ในที่สุดก็มีความบันเทิงบ้างเสียที”
พวกบ่าวล้วนขวัญกระเจิง ต่างกลัวจะรั้งท้ายรีบแย่งกันคุกเข่าด้วยอาการตัวสั่นงันงก
พอซือหม่าจิ้นโบกมือ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็ผลักบ่าวสองคนที่จับตัวไว้ลงบนพื้นทันที จากนั้นจึงไล่ทุกคนไปรวมกลุ่มดุจต้อนฝูงเป็ด
ฉีเฟิงยิ่งแสดงท่าทีเกินจริงด้วยการดึงเชือกเรียวยาวเส้นหนึ่งออกจากข้างเอว ทำราวกับจะมัดพวกเขาทุกคนแล้วเอาตัวกลับไปด้วย
ไป๋ถานขยับแขนยืดเส้นยืดสายพลางมองดูพวกเขาอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ…ท่าทางคึกคักคล่องแคล่วปานนี้ทำให้ผู้อื่นได้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ เคยปฏิบัติจริงนับร้อยครั้งแล้วสินะ
ไป๋หยั่งถังไร้ถ้อยคำจะตอบโต้ ซือหม่าจิ้นอุปนิสัยแปลกประหลาดยากคาดเดายิ่งนัก ซ้ำยังลงมือเฉียบขาดโหดเหี้ยม หากมีเรื่องกันจริง ตนรังแต่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าบ่าวเหล่านั้นต่างขวัญหนีดีฝ่อร้องขอความช่วยเหลือจากเขาไม่ขาดปากแล้ว เขาจึงจำใจฝืนทำเก่งเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง
“ข้าน้อยเพียงต้องการพาบุตรสาวลงเขากลับจวน เพราะความร้อนใจเพียงชั่ววูบถึงได้มัดคน ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
ซือหม่าจิ้นยืนเอามือไพล่หลัง “ไท่ฟู่ต้องการรับบุตรสาวกลับเป็นเรื่องในครอบครัวก็จริง ไม่เหมาะที่ข้าจะสอดมือก้าวก่าย ทว่าบัดนี้ข้าต้องอยู่ข้างกายอาจารย์คอยรับฟังคำชี้แนะทุกวัน ไหนเลยจะแยกจากนางได้”
ไป๋หยั่งถังมุ่นคิ้วขบคิด “หากท่านอ๋องไม่รังเกียจ ต่อจากนี้สามารถไปที่จวนไท่ฟู่ได้ ข้าน้อยย่อมทุ่มเทรับใช้ท่านอ๋องอย่างเต็มที่มิให้บกพร่องแม้เพียงน้อยนิดเด็ดขาด”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “ข้าก็อยากไปหรอกนะ แต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเป็นพิเศษให้ข้ากล่อมเกลาจิตใจอยู่ที่นี่ ห้ามกลับเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเจตนาดีของไท่ฟู่ข้าจึงไม่อาจรับไว้ได้”
“…” สรุปว่าพูดไปพูดมาก็คือจะไม่ให้เขาพาคนไปนั่นเอง
ไป๋หยั่งถังเม้มปากแน่น ปรายตามองไป๋ถานแวบหนึ่ง เห็นบุตรสาวมองตนอยู่เช่นกัน สายตาของนางเย็นยะเยียบดุจเดียวกับยามที่ลาจากจวนไท่ฟู่ในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน
ทางด้านฉีเฟิงกับกู้เฉิงยังคงเปล่งเสียงฮึบๆ เป็นระยะขณะวุ่นกับการออกแรงสั่งสอนพวกบ่าว ในลานยามนี้จึงอื้ออึงไปด้วยเสียงคร่ำครวญโอดโอย
ไป๋ถานสังเกตการณ์มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็แน่ใจว่าซือหม่าจิ้นกำลังช่วยนางอยู่ ดังนั้นนางจึงลูบสาบเสื้อที่ถูกดึงจนยับย่นก่อนเอ่ยปาก “เชียนหลิง อาจารย์เคยสอนเจ้าว่าห้ามก่อบาปเข่นฆ่าอีกไม่ใช่หรือ ไยจึงดื้อรั้นไม่ยอมแก้ไข”
ซือหม่าจิ้นถอนหายใจ ยกมือยับยั้งการกระทำของฉีเฟิงกับกู้เฉิง “อาจารย์กล่าวชอบแล้ว เชียนหลิงน้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอน”
วาจานี้พอเปล่งออกมา สีหน้าของทุกคนในที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไป๋หยั่งถังยากจะทำใจเชื่อ ไป๋ต้งปากอ้าตาค้าง มีเพียงฉีเฟิงที่แค้นใจจนแทบจะทิ่มสองตาของตนเอง
เป็นไปไม่ได้ ท่านอ๋องของข้าไม่มีทางเชื่อฟังคำพูดของไป๋ถาน นี่คือผู้ที่แม้แต่ฝ่าบาทยังปวดเศียรเวียนเกล้าเชียวนะ!
ไป๋ถานเหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะพบว่าพวกบ่าวซึ่งนั่งยองอยู่กับพื้นเหล่านั้นล้วนไม่มีใครกล้าสบตานางตรงๆ แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ช่วยส่งแขกแทนอาจารย์ที บิดาของอาจารย์สูงวัยแล้ว ขึ้นเขาสักเที่ยวคงจะเหนื่อยล้า จำไว้ว่าต้องพยุงออกไปให้ดี” นางมองดูไป๋หยั่งถังก่อนหันหน้ามุ่งสู่ระเบียงทางเดิน
“อาจารย์มีบัญชา เชียนหลิงไหนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง”
ขณะที่ไป๋หยั่งถังอ้าปากหมายจะร้องเรียกไป๋ถาน ทว่าฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างก็ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้ว พวกเขาต่างพุ่งมากระหนาบซ้ายขวาพยุงแขนของไป๋หยั่งถังไว้ จากนั้นกึ่งลากกึ่งหิ้วปีกเขาส่งออกไปนอกประตูเรือน
จวบจนพ้นประตู สองเท้าของเขาถึงเพิ่งได้สัมผัสพื้น ไหนเลยจะมีโอกาสได้พูดจา ไป๋หยั่งถังโกรธจนร่างส่ายโคลง โชคดีที่ไป๋ต้งตามออกมาพยุงเขาได้ทันท่วงที
“ตัวบัดซบ!” เขาพลันสลัดมือไป๋ต้งออก หยุดหอบเล็กน้อยก่อนหันหน้ามองเข้าไปในเรือน ซือหม่าจิ้นหรี่สองตามองออกมา ดูคล้ายยังอารมณ์ค้างไม่จุใจ พวกบ่าวต่างวิ่งล้มลุกคลุกคลานจนมาถึงข้างกายนายท่านของตน ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าประตูเรือนอีกแม้สักก้าวเดียว
วันนี้ดันมาเจอมารร้ายที่นี่เสียได้! ไป๋หยั่งถังกำมือแน่น ในที่สุดก็สะบัดแขนเสื้อลงเขาไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
หัวใจของฉีเฟิงพลันแหลกสลายแล้ว เขาคิดไม่ตกว่าเรื่องวางอำนาจที่เขาวาดฝันไว้ในสมองเหล่านั้นเหตุใดถึงไม่ได้ทำเลยสักอย่าง ไยพวกเขากลับกลายเป็นเพียงลูกสมุนของไป๋ถานไปเสียได้
ไป๋ต้งยังยืนอยู่หน้าประตูเรือน หลังมองส่งบิดากับพวกบ่าวจนเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงพลันหันขวับมาเอ่ยกับฉีเฟิง “นึกไม่ถึงว่าพี่สาวข้าจะสยบท่านอ๋องของเจ้าได้แล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจได้เสียที นับจากนี้ข้าจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อพวกเจ้านายบ่าวเสียใหม่” จบคำเขาประสานมือคารวะแล้วบ่ายหน้าลงเขาไปด้วยท่าทีอันเยือกเย็น บุคลิกอันสง่างาม แม้ว่าทั้งร่างจะมอมแมมไปด้วยฝุ่นดินก็ตามที
“…” ฉีเฟิงถูกน้ำเสียงอันสุขุมลุ่มลึกของอีกฝ่ายสะกดให้ตกตะลึง ชั่วอึดใจต่อมาก็พลันฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเผ่นหนีจึงรีบตวาดลั่น “หยุดนะ!”
ไป๋ต้งโยนท่าทีอันสูงส่งทิ้งในพริบตาพลางยกชายชุดแล้วพุ่งเตลิดสุดฝีเท้า ลงเขาด้วยความเร็วระดับนี้เพียงครู่เดียวก็มองไม่เห็นเงาคนแล้ว
อู๋โก้วต้มน้ำชาให้ไป๋ถานอยู่ในห้องหนังสือ เฝ้าดูเหตุการณ์เรื่อยมาจนถึงตอนนี้ ผลสุดท้ายอาจารย์ก็ไม่ได้ถูกพาตัวไป นางจึงค่อยวางใจได้เสียที
ในใจนึกยินดีที่วันนี้เลิกชั้นเรียนไปแล้ว หาไม่หากถูกศิษย์น้องทั้งหลายพบเห็นฉากแหวกขนบจารีตเช่นนี้เข้าคงแตกตื่นกันน่าดู
นางชำเลืองมองซือหม่าจิ้นซึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง พลันรู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น อย่างน้อยเขาก็ยังยอมช่วยเหลืออาจารย์
ตัวไป๋ถานเองไหนเลยจะไม่ประหลาดใจ นางนวดข้อมือพลางเอ่ย “วันนี้ท่านอ๋องถึงกับยื่นมือช่วยเหลือ อาจารย์รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก”
“อาจารย์ก็เคยช่วยเหลือข้า ข้าแค่ตอบแทนหนี้น้ำใจเท่านั้น” ซือหม่าจิ้นเป็นคนที่สุขใจกับการได้ทรมานผู้อื่น ทว่ากลับไม่ชอบติดค้างหนี้น้ำใจใคร ติดค้างเมื่อไรจะต้องรีบใช้คืน
ไป๋ถานกลอกลูกตารอบหนึ่งแล้วเอ่ยปนยิ้ม “คราวก่อนอาจารย์ทำเพื่อช่วยเหลือท่านอ๋องจนผิดคำสาบานที่เคยลั่นไว้ ครั้งนี้จึงถูกบิดานำจุดอ่อนนี้มาบีบคั้นได้ ดังนั้นหากท่านอ๋องอยากตอบแทนด้วยการกระทำเพียงเล็กน้อยเท่านี้อาจจะฟังไม่ขึ้นนัก”
ซือหม่าจิ้นมองดูนาง “เช่นนั้นอาจารย์ยังมีข้อเรียกร้องใดหรือ”
ไป๋ถานตอบ “อาจารย์หวังว่าต่อไปท่านอ๋องจะให้ความร่วมมือกับการอบรมของอาจารย์เฉกเช่นในวันนี้ อีก ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะทำได้หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นพลันแค่นเสียงดังฮึ “อาจารย์ไม่ได้แซ่ไป๋กระมัง”
“ไม่ได้แซ่ไป๋จะแซ่อะไรเล่า”
“แซ่ได้คืบ ชื่อจะเอาศอก”
“…” ไป๋ถานมองฟ้า เมื่อครู่รสชาติของการได้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* ช่างหอมหวานเหลือเกิน หากไม่ฉวยจังหวะเสนอข้อเรียกร้องนี้ออกมา จะมิเป็นการเสียโอกาสไปเปล่าๆ หรอกหรือ
ซือหม่าจิ้นพลันกระชับสาบเสื้อ ดวงตะวันฤดูสารทที่นอกหน้าต่างฉายรัศมีไล้ผ่านปลายคิ้วของเขาไปสู่หางตา สายลมโชยมาให้ความรู้สึกพิเศษยิ่ง คล้ายแสงตะวันคิดจะพึ่งพาบารมีของเขา ทว่าสุดท้ายกลับเหลือเพียงเงารางๆ ชั้นหนึ่งที่ทอดตัวอยู่บนขอบหน้าต่าง
“อาจารย์ไม่รู้สึกว่าแปลกพิกลหรือ ชั่วดีอย่างไรบิดาของท่านก็เป็นถึงไท่ฟู่ คนในเมืองหลวงล้วนกล่าวขวัญว่าเขาเป็นบุคคลแถวหน้าของสกุลไป๋แห่งไท่หยวนผู้เพียบพร้อมด้วยความสามารถเชิงบุ๋นและจรรยามารยาท ทว่าวันนี้กลับทำเรื่องมัดตัวบุตรสาวแท้ๆ เสียได้”
คิดแล้วไป๋ถานก็รู้สึกว่าแปลกจริงๆ มิใช่ว่าสิบปีมานี้บิดาของนางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องออกเรือน แม้ว่าทุกครั้งจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่เขาก็ไม่เคยพาตนเองเดินทางมาถึงที่นี่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องใช้กำลังเพื่อมัดนางกลับไปดังเช่นวันนี้
นางจึงเอ่ยคาดคะเน “บางทีในเมืองหลวงอาจเกิดเรื่องบางอย่างถึงทำให้เขาร้อนใจเช่นนี้กระมัง”
ซือหม่าจิ้นถาม “ไท่ฟู่ร้อนใจจะให้อาจารย์ทำอะไรหรือ”
ไป๋ถานเบ้ปาก “ออกเรือน”
ซือหม่าจิ้นมองมาพร้อมรอยยิ้มซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี “คราวนี้ตัวเลือกเป็นใครอีกเล่า”
“คนสกุลหวัง หวังฮ่วนจือ” ไป๋ถานเอ่ยถึงคนผู้นี้ก็ปวดศีรษะตุบๆ จากนั้นพลันชะงักกึก “เหตุใดใช้คำว่า ‘อีก’ ”
ซือหม่าจิ้นตอบ “หากจำไม่ผิด ดูเหมือนไท่ฟู่จะเคยพิจารณาข้าด้วย”
ไป๋ถานนึกไม่ถึงสักนิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ข้างหูของนางคล้ายได้ยินเสียงของบางสิ่งพังทลายดังโครม นั่นคือภาพอาจารย์ที่นางสู้อุตส่าห์รักษาไว้อย่างยากเย็น กระทั่งอู๋โก้วยังส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมาให้
กู้เฉิงพลันเดินเข้ามากระซิบสองสามประโยคที่ข้างหูผู้เป็นนาย
ซือหม่าจิ้นเตรียมจะก้าวเท้าออกจากประตู ทว่ายามที่เดินผ่านข้างกายไป๋ถานนั้น เขากลับหยุดแล้วคลี่ยิ้มลุ่มลึก “เปรียบกับหวังฮ่วนจือแล้ว ข้าเพียงแต่มีความชอบที่พิเศษสักหน่อยเท่านั้น หากอาจารย์รู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมา ข้าก็พร้อมยิ้มรับทุกเมื่อ”
“…” นั่นเจ้าเรียกว่าความชอบพิเศษแค่นั้นหรือ แล้วเจ้ายังไม่มีสำนึกว่าอะไรคือจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์ด้วยซ้ำ!
ซือหม่าจิ้นพลันยื่นมือมาจับแขนของนาง “เมื่อครู่อาจารย์ถูกมัดตรงนี้หรือ”
ไป๋ถานรีบหดแขน “ท่านอ๋องถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด”
ซือหม่าจิ้นแย้มยิ้มก่อนส่งสายตาให้กู้เฉิง “ไม่มีอะไร ข้าแค่จะเปลี่ยนที่มัดเท่านั้น”
ไป๋ถานยังไม่ทันตอบสนอง กู้เฉิงก็หยิบเชือกมาคล้องตัวนางแล้ว
อู๋โก้วตระหนกจนปัดเตาต้มน้ำชาพลิกคว่ำ นางรีบร้อนจะตรงมาช่วยเหลือ ทว่าเพียงถูกซือหม่าจิ้นปรายตามองเพียงผ่านๆ ก็ทำให้นางตื่นตกใจจนจังหวะก้าวชะงักกึก พอได้สติคืนมา ไป๋ถานก็ถูกเขาช้อนร่างขึ้นแล้วเดินออกจากประตูไปโดยไม่หยุดยั้งฝีเท้าแล้ว
บทที่ห้า
จุดประสงค์ของซือหม่าจิ้นเรียบง่ายยิ่ง นั่นคือกลับเมืองหลวง เดิมทีเขาก็วางแผนจะกลับเมืองหลวงมาตลอด อย่างไรเสียอยู่ที่ใดก็มิอาจมีอิสระเทียบจวนอ๋องของเขาได้
การปรากฏตัวของไป๋หยั่งถังในวันนี้สร้างจุดเปลี่ยนให้แก่เขาพอดี ไม่ผิดจากที่เขาคาดคิด ในเมืองหลวงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาย่อมต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อกลับไป
ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยไป๋ถานอย่างน่าประหลาด ราวกับเชื่อมั่นว่านางจะสามารถอบรมตนให้ดีขึ้นได้ ไม่มีทางเลือก เขาจะกลับไปก็ต้องพาไป๋ถานไปด้วย
ยามที่ไป๋ถานถูกยัดใส่เข้าไปในรถม้า ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ฉีเฟิงซึ่งบังคับรถอยู่ด้านนอกถูกเหตุการณ์ช่วงบ่ายทำเอามึนงงไปทีเดียว ยามนี้พอได้ยินว่าจะกลับเมืองหลวงจึงปลุกความคึกคักของตนเองคืนมาได้ทันทีพลางเงื้อแส้ม้าร้อง ‘ย่าห์!’ อย่างเบิกบานใจ
ซือหม่าจิ้นกับไป๋ถานนั่งอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะเดิมเขาก็เป็นคนแขนขายาวอยู่แล้ว ประกอบกับห้องโดยสารแห่งนี้คับแคบ ไป๋ถานจึงแทบจะพิงร่างครึ่งซีกอยู่บนลำตัวของเขา นางจึงทั้งขุ่นเคืองทั้งร้อนใจ “ท่านอ๋องจะกลับเมืองหลวงก็พูดกันตรงๆ เถิด ไยถึงปฏิบัติต่ออาจารย์เช่นนี้ การกล่อมเกลาจิตใจช่วงที่ผ่านมาช่างเสียแรงเปล่าโดยแท้!”
ซือหม่าจิ้นหาได้สะทกสะท้านไม่ “พูดตรงๆ อาจารย์ย่อมปฏิเสธ ข้าชอบวิธีที่รวบรัดเช่นนี้มากกว่า”
ไป๋ถานอยากถกเถียงเหตุผลกับเขา ทว่าพอหันหน้าไปก็ได้กลิ่นกายของอีกฝ่ายซึ่งปะปนด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยา นางจำได้ว่าคราวก่อนก็เคยได้กลิ่นนี้ ตอนนั้นบนร่างเขามีบาดแผล นางจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่นี่ผ่านมาหลายวันปานนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าเขาได้แผลใหม่มาเพิ่มหรอกหรือ
ช่างสมกับเป็นพวกเลียเลือดบนคมดาบ* นางคิดไปคิดมาจึงกลืนถ้อยคำซึ่งมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้วกลับลงไป หลีกเลี่ยงการปะทะกับเขาชั่วคราวก่อนเป็นยอดดี
“อาจารย์ยังจำเรื่องเมื่อคราวนั้นได้หรือไม่” ซือหม่าจิ้นพลันเอ่ยปากอยู่ข้างใบหน้าของนางนี่เอง “มีอยู่ครั้งหนึ่งทัพกบฏแฝงตัวเข้าเมืองอู๋มาค้นหาข้า พวกเราสองคนต่างซ่อนตัวอยู่ด้วยกัน รูปการณ์แทบไม่ต่างจากตอนนี้”
“เอ๋?” ไป๋ถานขบคิด “…ดูเหมือนจะมีเรื่องเช่นนี้”
แท้จริงนางจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนั้นนางก็ต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่เสมอจนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างกับอาหารที่กินอยู่ทุกมื้อ ยามนี้เมื่อใต้หล้าสงบสุขแล้ว ผู้ใดจะตั้งใจไปหวนระลึกถึงฝันร้ายในช่วงนั้นกันอีกเล่า
นางคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน “ความจำของท่านอ๋องดียิ่งนัก”
สายตาของซือหม่าจิ้นจับจ้องอยู่บนดวงหน้าด้านข้างของนางราวกับได้กลิ่นของคาวเลือดในช่วงเวลานั้น ตอนนั้นเขาถูกนางดันร่างเข้าไปในกองฟืน เจ็บปวดไปทั้งตัวจนเผลอเปล่งเสียงออกมาเล็กน้อย นางพลันหันขวับพร้อมโถมร่างมาเอามือปิดปากเขาไว้ ดวงตาสองคู่ซึ่งแทบจะแนบชิดติดกันล้วนเผยอาการตกตะลึงระคนหวาดหวั่น
เขายังจำได้ว่าต่อมาเพราะถูกนางปิดปากแน่นจนอึดอัด เขาจึงดึงมือของนางมากุมเอาไว้ มือเล็กซึ่งนุ่มนิ่มและเย็นเฉียบนั้นค่อยๆ อุ่นขึ้นในฝ่ามือของเขา นางเอาแต่สมาธิจดจ่อเพ่งมองความเคลื่อนไหวที่ด้านนอกโดยตลอดจึงไม่ทันคิดจะสลัดมือออก
บัดนี้เมื่อมองดูมือทั้งคู่ของตนอีกครั้ง มันกลับถูกโลหิตสดๆ แทรกซึมไปทุกอณู ปราศจากไออุ่นที่จะให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่นได้อีกแล้ว
เดิมเขาก็นึกว่าตนจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว ทว่ายามที่ได้อยู่กับนางกลับสะกิดภาพในอดีตขึ้นมาเสมอ บางทีความจำของเขาอาจดีเกินไปจริงๆ
รถม้าเข้าเมืองมาทันเวลาห้ามออกนอกเคหสถานพอดี
เมื่อเข้ามาในจวนอ๋องแล้วไป๋ถานจึงถูกแก้มัด สาวใช้กลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาห้อมล้อมแล้วพานางไปพักผ่อนที่ห้อง ทั้งปรนนิบัติด้วยน้ำชาดีอาหารเลิศรส ถึงนางอยากจะโกรธเพียงใดก็ยังต้องข่มกลั้นไว้ก่อน
กู้เฉิงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้มาคอยเฝ้าอยู่ด้านข้างไป๋ถาน หลังจากยืนเหลอหลาเป็นนานสองนานถึงได้เอ่ยโน้มน้าวนางหนึ่งประโยค “คนบนภูเขาตงซานล้วนเป็นศิษย์ของคุณหนู ท่านอ๋องก็เช่นเดียวกัน คุณหนูก็ดีกับท่านอ๋องของข้าสักหน่อยเถิด อยู่รับรองให้นายข้าที่นี่สักหลายวันจะเป็นอะไรไปเล่า พักให้สบายใจก่อนแล้วกัน”
ไป๋ถานกำลังกินอาหาร เมื่อได้ยินคำพูดของกู้เฉิงก็หวุดหวิดจะสำลักข้าวตาย
ถูกพวกเจ้าจับตัวมาจนไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแล้ว ยังเรียกว่าข้าไม่ดีต่อนายเจ้าอีกหรือ ยังรู้จักเหตุผลกันอยู่หรือไม่!
อย่างไรเสียนางก็เป็นครูบาอาจารย์ ความอดทนย่อมจะมีแน่นอน ไป๋ถานแม้หงุดหงิดแต่ก็ไม่กังวลเท่าไรนัก ซือหม่าจิ้นมิใช่ฉีเฟิง ต่อให้ฝีมือโหดเหี้ยมเพียงใดก็ไม่มีทางไร้สมองเช่นนั้น อยู่ที่นี่อย่างมากก็แค่สองสามวัน รอให้ทางด้านฝ่าบาทผ่อนคลายลงเมื่อไร ทันทีที่เขามีอิสระแล้วย่อมจะปล่อยนางไปเอง
อย่างมากต่อจากนี้ขอเพียงนางไม่ไปยุ่มย่ามกับเขาอีก เขาอยากจะทำเรื่องชั่วร้ายต่อไปอย่างไรก็เชิญเลย นางไม่ต้องการชื่อเสียงอันใดแล้ว หากทุกคนหาว่านางเป็นผู้สอนเขาให้ออกมาเป็นเช่นนี้ก็ให้เป็นไปตามนั้นเถิด นางเพียงอยากจะกลับภูเขาตงซานเท่านั้น
หนังสือรับรองที่ยามนั้นเขียนอย่างต่อเนื่องลื่นไหลยังคงเก็บอยู่ที่ฝ่าบาท ดังนั้นการตัดสินใจนี้ของไป๋ถานทำไปด้วยความเจ็บแค้นเพียงใดแค่นึกดูก็รู้ได้ เจ็บแค้นเสียจนนางกินข้าวสวยเพิ่มอีกชามเลยทีเดียว
หลังกินเสร็จอารมณ์ของไป๋ถานก็พลันสงบตาม นางสั่งให้กู้เฉิงไปแจ้งอู๋โก้วที่ภูเขาตงซานสองสามประโยค เนื่องจากซือหม่าจิ้นไม่รู้ว่าอู๋โก้วเป็นเด็กซื่อคนหนึ่ง จู่ๆ อุ้มคนออกจากประตูมาต่อหน้าเช่นนั้นไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายจะสติแตกเพียงใด
เมื่อกู้เฉิงออกไปข้างนอก นางตัดสินใจจะพักออมแรงก่อนแล้วค่อยไปถกเหตุผลกับซือหม่าจิ้น ด้วยเหตุนี้เพียงศีรษะถึงหมอนนางก็นอนหลับไปทันที
ฉีเฟิงยังจงใจมาเดินเตร่รอบหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อได้ยินว่านางกินข้าวไปถึงสองชามซ้ำยังหลับสนิทนอนสบาย มุมปากเขาก็สั่นกระตุกระลอกหนึ่ง
ท่าทางบอบบางตอนที่เขาลักพาตัวนางมาในทีแรกช่างเสแสร้งได้น่าสงสารยิ่งนัก หากเขาค้นพบแต่แรกว่าที่จริงในตัวนางมีเนื้อแท้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ถึงขั้นถูกนางดัดหลังเอาหรอก
น่าแค้นใจนัก เช่นนี้บัญชีที่เขาต้องกลิ้งไปมาคราวนั้นเมื่อไรถึงจะได้ชำระคืนเล่า!
วันรุ่งขึ้นไป๋ถานตื่นเช้าเป็นพิเศษ สิ่งแรกที่นางทำคือต้องรีบล้างหน้าบ้วนปากเพื่อเตรียมตัวเข้าสอน ผลคือพอลุกจากเตียงแล้วสาวใช้หนึ่งแถวก็โผล่ออกมาจากด้านข้างโดยพร้อมเพรียง นางถึงค่อยจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้
ทันทีที่จำได้นางก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กาย ช่วงบ่ายถูกบิดาจับมัด ตกเย็นยังถูกศิษย์มัดอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าใต้หล้านี้นางคงจะเป็นคนแรกแล้ว
“ท่านอ๋องของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
ทุกคนพร้อมใจกันสั่นศีรษะ
“เช่นนั้นกู้เฉิงกับฉีเฟิงเล่า”
ทุกคนยังคงสั่นศีรษะ
ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ
อยู่ที่นี่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำ ยังดีว่าในห้องพักแขกที่นางพำนักอยู่นี้มีภาพอักษรจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีแบบคัดอักษรของเว่ยฮูหยิน* กับตำราทำนองเพลงโบราณอีกหลายเล่มพอให้นางใช้เป็นสิ่งฆ่าเวลาเฉพาะหน้าได้
จวบจนหลังเที่ยงแล้วนางก็ยังไม่เห็นตัวซือหม่าจิ้น ไป๋ถานแสร้งทำทีเดินเล่นอยู่ในลานพลางขบคิดว่าจะลอบหนีกลับภูเขาตงซานได้หรือไม่ ทว่าน่าเสียดายที่ทั้งประตูหน้าและหลังล้วนมีการเฝ้าคุมเข้มงวดยิ่ง
มีฐานะก็ดีเช่นนี้เอง ไหนเลยจะเหมือนเรือนพักของนาง เรียกว่าคนนอกล้วนไปมากันได้ตามใจปรารถนา นางในฐานะเจ้าของเรือนยังถูกคนจับมัดจนสิ้นอารมณ์โกรธแล้วด้วยซ้ำ
จวนแห่งนี้แม้ในยามกลางวันยังพอมีทิวทัศน์ให้ชมอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่พื้นที่กลับโล่งกว้างเกินไปจึงดูไร้ชีวิตชีวา ไป๋ถานพลันนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ไป๋ต้งเคยบอกนางว่าซือหม่าจิ้นนิยมกำนัลเครื่องประดับจากกระดูกคนแก่นางบำเรอ หากมีใครที่ไม่ใส่ก็จะถูกฆ่า ไม่แน่ว่าอาจมีร่างของพวกนางฝังอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นในที่นี้ก็เป็นได้
พอนึกเช่นนี้แผ่นหลังของไป๋ถานก็พลันเย็นวาบ นางหมุนร่างเตรียมเดินหนี พอดีเห็นเกาผิงเดินมาตามระเบียงทางเดินเสียก่อน
“คุณหนูอยู่ที่นี่จริงเสียด้วย” เขาประสานมือคำนับ “ฝ่าบาททรงได้ยินว่าหลิงตูอ๋องกลับจวนแล้วจึงรับสั่งให้ข้าน้อยมาดูโดยเฉพาะ คุณหนูเขียนหนังสือรับรองว่าจะพาท่านอ๋องไปกล่อมเกลาจิตใจที่ภูเขาตงซานมิใช่หรือ เหตุใดกลับมาอยู่ที่นี่ได้เสียเล่า”
ไป๋ถานได้แต่ตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จ “จะให้ท่านอ๋องเดินสู่วิถีทางที่ถูกต้องหาใช่เรื่องทำได้ภายในวันสองวันไม่ เขาเป็นเพียงปุถุชนจึงยากจะใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งอาศัยอยู่บนเขาก็ไม่สะดวกอยู่หลายประการ อย่างไรทุกสิ่งล้วนถือเป็นการฝึกฝน เขากลับเมืองหลวงก็สามารถกล่อมเกลาจิตใจได้เช่นเดียวกัน ข้าย่อมจะอยู่ข้างเขาคอยเร่งรัดควบคุมให้มากขึ้น”
เฮ้อ…พูดกับตนเองเสียดิบดีว่าจะไม่ยุ่งยากกับเขาอีกแล้วไม่ใช่หรือ!
เกาผิงถูกนางกล่อมเสียอยู่หมัด “คุณหนูมีทัศนะเหนือผู้อื่น ข้าน้อยฟังแล้วละอายยิ่งนัก”
ไม่ๆ ข้าละอายยิ่งกว่าท่านเสียอีก ไป๋ถานลอบมองฟ้า
เกาผิงมาเยือนแล้ว ไป๋ถานจึงรู้สึกว่าภารกิจของตนเองได้เสร็จสิ้นลง ไม่มีเหตุผลที่นางจะรั้งอยู่ต่อแล้วจริงๆ
ทว่านางยังคงไม่ได้พบซือหม่าจิ้นอยู่นั่นเอง
กระดาษขาวที่อยู่บนโต๊ะเขียนเต็มไปด้วยอักษร ‘เจิ้ง’** นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าพรุ่งนี้จะได้พบซือหม่าจิ้นหรือไม่นางก็จะกลับ การสอนนี้จะลากยาวต่อไปอีกไม่ได้
บัดนี้เป็นช่วงปลายฤดูสารท สายลมยามราตรียิ่งหนาวยะเยือก ในเมื่อเตรียมจะกลับในวันพรุ่งนี้แล้ว ไป๋ถานย่อมรีบพักผ่อน ทว่านางเพิ่งตั้งท่าจะเอนกายลงนอน ประตูห้องกลับถูกผลักเปิดในฉับพลัน
ขณะที่นางรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง อีกฝ่ายก็หอบลมหนาวประชิดมาถึงหน้าเตียงแล้ว
“อาจารย์นอนแล้วหรือ”
ไป๋ถานเลิกวาดหวังแล้วว่าชาตินี้จะได้เห็นเขาในด้านที่เคารพเชื่อฟังอาจารย์ นางไม่พูดไม่จาขณะกระชับสาบเสื้อแล้วเดินไปนั่งบนม้านั่งเตี้ยที่ด้านข้าง “ข้ามิใช่นั่งอยู่นี่หรอกหรือ”
“ข้าเพิ่งกลับเข้าจวน ตั้งใจมาเพื่อแจ้งอาจารย์ว่างานมงคลระหว่างท่านกับหวังฮ่วนจือล้มเลิกไปแล้ว”
ไป๋ถานตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไร”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “เหตุที่เมื่อวานไท่ฟู่ขึ้นเขาไปมัดตัวท่านถึงเรือนเป็นเพราะตระกูลขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงหลายสกุลกำลังผูกสมัครพรรคพวกกันอยู่ สกุลหวังหมายจะถ่วงดุลกับข้าจึงต้องการทำให้ท่านกลายเป็นคนของตน สาเหตุเรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง ข้าย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นมาดึงแข้งดึงขาได้ ดังนั้นจึงตีหวังฮ่วนจือพิการไปแล้ว”
ไป๋ถานเอียงศีรษะ “ท่านอ๋องบอกว่า…ทำอะไรเขานะ!”
นั่นคือคุณชายสกุลหวังแห่งหลางหยา* เชียวนะ ‘หวังและหม่า ครองใต้หล้า’ นี่เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้วกระมัง!
ซือหม่าจิ้นหัวเราะทีหนึ่งก่อนยืดเส้นนิ้วมือ “เมื่อช่วงหัวค่ำ ตระกูลขุนนางใหญ่หลายสกุลนำทหารในสังกัดของตนออกมาต่อสู้กันในเมือง ข้าจึงยกทัพไปปราบจลาจล ก่อนจะตัดศีรษะไปยี่สิบกว่าคนแล้วพลั้งมือทำเขาพิการก็เท่านั้น เรื่องนี้ต่อให้ฟ้องร้องไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทก็ถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง ข้าเพียงแต่รักษาความสงบของเมืองหลวงเท่านั้น”
“…” ไป๋ถานไร้ถ้อยคำจะตอบโต้ เพราะเขาช่าง ‘พลั้งมือ’ ได้ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน
ซือหม่าจิ้นถอดเสื้อคลุมแล้วโยนส่งๆ ไปด้านข้าง “เป็นอย่างไร อาจารย์ถูกข้ามัดมาคราวนี้ไม่เสียเปล่าแล้วกระมัง อย่างน้อยไป๋ไท่ฟู่ก็ไม่กล้าคิดที่จะเอาท่านมาเล่นงานข้าอีก”
ไป๋ถานนวดคลึงหน้าผากตนเอง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง “ท่านอ๋องช่างพิเศษไม่เหมือนใครเสียจริง คนเป็นอาจารย์ของท่านคงไม่กล้าออกเรือนตามใจชอบแล้ว”
ซือหม่าจิ้นมองนางเล็กน้อย “วาจานี้พูดได้ถูกต้องยิ่ง อย่างไรเสียคนที่ข้าล่วงเกินก็นับว่ามีจำนวนมาก ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากกดข่มข้าไว้ทั้งสิ้น ดังนั้นหากวันหน้าอาจารย์จะออกเรือนก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากข้าก่อนถึงจะออกเรือนได้”
ประเสริฐแท้ นอกจากบิดาของนาง ตอนนี้ยังมีคนห่วงใยเรื่องแต่งงานของนางเพิ่มอีกคนแล้ว
ซือหม่าจิ้นพูดจบก็หมุนกายเดินไปทางประตู ไป๋ถานลุกขึ้นไปส่งแขก ในใจคิดว่าไหนๆ ก็จะสลัดมือเลิกยุ่งกับเขาแล้ว เช่นนั้นเอ่ยเรื่องกลับภูเขาตงซานในวันพรุ่งนี้เสียเลยแล้วกัน ทว่าจู่ๆ นางกลับเห็นเขาพลันงอเอวแล้วใช้มือยึดจับวงกบประตูเพื่อทรงกายไว้
“ท่านอ๋องบาดเจ็บหรือ” นางตรงไปพยุงเขาด้วยเจตนาดี จากนั้นมือของนางก็พลันถูกซือหม่าจิ้นคว้าไปพร้อมกับที่เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงมาส่วนหนึ่ง นางพลันตระหนกวูบ มือของเขาร้อนลวกราวกับจุ่มแช่ในน้ำเดือดมาอย่างไรอย่างนั้น
หรือจะเป็นเพราะโกรกลมหนาวนานเกินไปจนเป็นไข้? ไป๋ถานไม่รอช้าตั้งท่าจะออกไปเรียกคน “ท่านอ๋องอดทนอีกสักนิด อาจารย์จะเร่งไปตามหมอมาให้”
ซือหม่าจิ้นออกแรงบีบมือไป๋ถานยับยั้งการเคลื่อนไหวของนาง “ไม่…ไม่ต้อง ปิดประตู”
เขายืมแรงจากนางเพื่อทรงกายยืนตรง ทว่าดูเหมือนสองขาจะไม่อาจใช้แรงได้ หลังทดลองอยู่หลายหนแล้ว สุดท้ายก็ทำได้เพียงพิงร่างอยู่ข้างประตูพลางหายใจหอบแผ่ว มือข้างหนึ่งยังคงกุมนิ้วมือของนางแนบแน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลอันน่าตระหนก
แม้รู้สึกว่ามือของตนใกล้จะพิการอยู่รอมร่อ แต่ไป๋ถานก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ อย่างไรเสียท่าทางของเขาในยามนี้ก็แลดูทุกข์ทรมานสุดแสน นางจึงได้แต่ปิดประตูตามความต้องการของเขา
ซือหม่าจิ้นยันหน้าผากกับหลังประตู เขากัดฟันแน่นจนเกิดเสียงดังกรอด จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ลองเล่าเรื่องสักเรื่องเพื่อมาดึงสมาธิของข้าที”
ไป๋ถานชะงักกึกก่อนจะรีบเค้นสมองเล่าตำนานสั้นๆ ที่เคยเล่าให้เหล่าศิษย์ฟังในชั้นเรียน
ซือหม่าจิ้นสั่นสะท้านเบาๆ ไปทั้งร่าง ก่อนค่อยๆ ไหลรูดลงไปนั่งแล้วเอ่ยปากถาม “ไม่มีเรื่อง…ชวนขันหน่อยหรือ”
ชวนขัน? ไป๋ถานได้แต่หลับตาพยายามขบคิดแล้วเล่าให้เขาฟังใหม่อีกเรื่อง
“เป็นอย่างไร ดีขึ้นบ้างหรือยัง” นางสอบถามอย่างระมัดระวัง
ซือหม่าจิ้นช้อนตาทั้งคู่มองนาง คงเพราะถูกเขาทำให้ตกใจ ดวงหน้าใต้แสงไฟจึงซีดเผือดไร้สีเลือด ทว่าดวงตาของนางยังคงจับจ้องเขาไม่ละวาง ลูกตาของนางกลอกไปมา ไม่เหลือท่าทีของผู้เป็นอาจารย์ในยามปกตินานแล้ว
เขาพลันตระหนักได้ว่าเหตุใดตนเองจึงมักถูกนางสะกิดภาพในอดีตขึ้นมาเสมอ นั่นเพราะสีหน้าท่าทางของนางในบางครั้งแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเลย
อากัปกิริยาที่นางไม่ได้ตั้งใจนี้กลับสลักชัดอยู่ในหัวใจของเขา
ไป๋ถานเล่าตำนานต่อเนื่องอีกหลายเรื่อง บ้างลึกซึ้งบ้างขบขัน ทว่าซือหม่าจิ้นล้วนไม่ส่งเสียง ทำเพียงจ้องนางตาเขม็งพร้อมหอบไม่หยุด ไม่รู้ว่าที่แท้ฟังเข้าหูไปบ้างหรือไม่
นางจนแต้มแล้ว จะให้นางเล่าเรื่องตลกสัปดนคงไม่ได้หรอกนะ! นางเล่าไม่เป็นสักหน่อย ตามซีชิงมายังพอว่า
จวบจนกระทั่งมือของไป๋ถานใกล้จะหมดความรู้สึกอยู่แล้วนั้น ในที่สุดซือหม่าจิ้นก็พลันหยุดหอบ ทั้งร่างก็ผ่อนคลายลง เสื้อด้านหลังเปียกชุ่ม
“ท่านอ๋องไม่ต้องตามหมอมาตรวจดูจริงๆ หรือ” ไป๋ถานชักมือออกมานวดคลึงเบาๆ เขาลงมือหนักเสียจริง นางเจ็บราวกับถูกแทงหัวใจเลยทีเดียว
“ซีชิงจะมารักษา” ความร้อนในร่างกายซือหม่าจิ้นกำลังลดลงเรื่อยๆ สีแดงจัดซึ่งระบายอยู่บนดวงหน้าก็อ่อนจางลงทีละน้อย เขาชำเลืองมองมือของนางแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ ขออาจารย์โปรดเก็บเป็นความลับด้วย”
ในใจไป๋ถานอดไม่ได้ที่จะคิดคำนวณ “เช่นนั้นอาจารย์จะได้ประโยชน์อันใดเล่า”
ซือหม่าจิ้นแหงนศีรษะพิงประตูแล้วหลับตา หยดเหงื่อบนปลายคางดุจไข่มุกกลิ้งผ่านลูกกระเดือกก่อนจะร่วงลงไปในสาบเสื้อ “นับจากนี้ไป ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อย่างแน่นอน ไม่ตระบัดสัตย์เป็นอันขาด”
ไป๋ถานนึกไม่ถึงจริงๆ เพียงแค่เจ็บป่วยเท่านั้น ไยเขาต้องห่วงหน้าตาตนเองถึงเพียงนี้ แม้จะผิดที่เขาปิดบังไม่ตามหมอมารักษาในทันที ทว่าสำหรับนางกลับเป็นโอกาสงามที่หาได้ยากยิ่ง
“เช่นนั้นเห็นทีว่าอาจารย์คงสามารถเปลี่ยนชื่อแซ่เป็น ‘ได้คืบจะเอาศอก’ แล้วสินะ”
ยามที่ซีชิงหลบเข้าจวนหลิงตูอ๋องมาทางประตูหลัง ฟ้ายังไม่ทันสว่าง
ฉีเฟิงซึ่งถือโคมรอรับเขาอยู่หน้าประตูหนาวจนถูมือไม่หยุด “คุณชายซีเหตุใดคราวนี้ถึงมาช้าไปหนึ่งวันเล่า ไม่ใช่ข้าต่อว่าเจ้านะ แต่เจ้าเกียจคร้านกว่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ”
ซีชิงไม่ได้พาลูกมือมาด้วย เขาสะพายล่วมยาอันหนักอึ้งด้วยตนเอง สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้ามีหนทางเสียเมื่อไร ตกค่ำท่านอ๋องคนดีของเจ้าซ้อมคุณชายสกุลหวังปางตาย อัครเสนาบดีหวังจึงลากข้าไปที่จวนของเขากลางดึก กระทั่งกางเกงข้ายังเกือบใส่ไม่ทัน จะมีเวลาว่างมาที่นี่ได้อย่างไรเล่า”
ฉีเฟิงผู้กระตือรือร้นกับเรื่องซุบซิบทุกประเภทรีบซักถามทันใด “แล้วคุณชายหวังนั่นตายหรือยัง”
“เจ้าหลอกด่าข้าสินะ มีข้าอยู่ทั้งคนเขาจะตายได้หรือ” ซีชิงหันหน้ามุ่งสู่เรือนด้านหลังพลางเอ่ยถาม “อาการของท่านอ๋องน่าจะยังไม่กำเริบกระมัง”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอก จนป่านนี้ท่านอ๋องยังอยู่ในห้องของพระโพธิสัตว์ไป๋ นี่ก็อยู่มาหนึ่งคืนเต็มๆ ได้แล้ว…” ฉีเฟิงพลันชะงักหัวข้อสนทนา เปลี่ยนมาพูดอย่างมีลับลมคมใน “หรือว่าท่านอ๋องจะ…”
ซีชิงตะลึงงันก่อนจะชักเท้าวิ่งสู่เรือนด้านหลังทันที
ประตูห้องของไป๋ถานถูกเตะเปิดในเท้าเดียว ซีชิงวิ่งหอบกระทั่งมาถึงด้านหลังฉากบังลม พบว่าซือหม่าจิ้นนอนหงายอยู่บนเตียง สองตาปิดสนิท ไป๋ถานนั่งเท้าคางอยู่ด้านข้างพร้อมขอบตาที่ดำคล้ำสองวง
“เจ้ามาได้เสียที” ไป๋ถานหน้าเซื่องซึม “ท่านอ๋องบอกว่าเจ้าจะมารักษา ข้ายังนึกว่าเขาพูดไปเช่นนั้นเอง”
ซีชิงมองนางด้วยอาการเหลือเชื่อ “เจ้าไม่เป็นไรเลยหรือ ตอนที่ท่านอ๋องอาการกำเริบจะดุร้ายมาก แค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่เลวแล้ว นี่ถึงกับยังนั่งสบายดี” เขาผลักฉีเฟิงทีหนึ่ง “เจ้าไปดูข้างนอกทีว่าใช่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไม่”
ฉีเฟิงยื่นมือมาตีมือของอีกฝ่ายออก “ฟ้ายังไม่สว่างเลย”
ไป๋ถานเผยมือซ้ายที่บวมเป่ง “ข้าไม่เห็นว่าเขาคิดจะทำอะไรข้า มีแต่มือนี่ที่ใกล้จะพิการอยู่รอมร่อแล้ว”
“นั่นนับว่าดีแล้ว” ซีชิงสาวเท้าไปที่ข้างเตียง ตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นอย่างละเอียด เปิดดูเปลือกตาของเขาก่อนเอ่ยถามนาง “เขานอนเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว”
“เพิ่งจะหลับไป ก่อนหน้านี้เขาไข้ขึ้นตลอด” ไป๋ถานรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “นี่มันโรคอะไรกัน เขาอาการกำเริบเป็นประจำเลยหรือ”
ซีชิงเดินไปที่หลังโต๊ะ เขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้ฉีเฟิง รอจนอีกฝ่ายออกจากประตูถึงค่อยกวักมือเรียกไป๋ถานมาใกล้ๆ “ท่านอ๋องคงบอกเจ้าแล้วกระมังว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ”
ไป๋ถานผงกศีรษะ “ข้าไม่ได้คิดจะแพร่งพรายออกไป เพียงสอบถามสาเหตุดูเท่านั้น”
“ยังจะมีสาเหตุอะไรได้อีกเล่า ก็เป็นโรคที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิดน่ะสิ โรคนี้มีอาการแปลกพิกล หนึ่งปีจะต้องกำเริบสองถึงสามครั้ง ทุกครั้งที่กำเริบเขาจะดุร้ายกว่ายามปกติ ฆ่าคนหรือทำให้คนเลือดตกยางออกจนเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้เจ้าถึงกับไม่สึกหรอแม้เพียงเส้นผม ดูท่าเจ้าจะได้ ‘ราชโองการเว้นโทษตาย’ จากเขาจริงๆ”
ไป๋ถานสะท้านวูบไปทั้งร่าง เมื่อคืนที่เขาอดกลั้นอย่างทุกข์ทรมานปานนั้น ที่จริงเขากำลังอยากฆ่าคนอย่างนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ก็ชวนให้นางเข็ดขยาดแล้ว
“หรือว่าเขากลายมาเป็นคนโหดเหี้ยมชอบเข่นฆ่าก็เพราะโรคนี้?” ไป๋ถานชำเลืองมองเงาคนที่อยู่หลังฉากบังลมก่อนถามเสียงเบา
ซีชิงผงกศีรษะ “ประมาณนั้น”
“แต่ตอนลี้ภัยอยู่ที่เมืองอู๋เขาไม่มีวี่แววอาการกำเริบเลยนะ”
“โรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิดก็ต้องมีปัจจัยกระตุ้นถึงจะกำเริบ บางทีเหตุการณ์ที่เมืองอู๋ตอนนั้นอาจกระตุ้นเขาก็เป็นได้” ซีชิงขยับศีรษะเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบากว่านางเสียอีก “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าในราชวงศ์มีคนที่ผิดแปลกอยู่มากมาย ในอดีตเซี่ยวฮุ่ยฮ่องเต้* มีสติปัญญาโง่ทึบ ต่อมาอานฮ่องเต้** ก็โฉดเขลาผิดธรรมดา ตำราประวัติศาสตร์จารึกว่าอานฮ่องเต้กระทั่งฤดูกาลทั้งสี่ก็ยังแยกแยะได้ไม่ชัดเจน แม้แต่ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ได้ยินว่าทรงเป็นโรคลับๆ ที่บอกต่อผู้อื่นไม่ได้ หลิงตูอ๋องอย่างน้อยสมองก็เป็นปกติ ด้านนั้นก็ไม่มีปัญหา แค่นี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“…ดูเหมือนเจ้าจะพอใจในสภาพของเขามากเลยนะ”
“ใช่แล้ว”
ไป๋ถานค้อนใส่เขาวงหนึ่ง ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะซักไซ้ “ฝ่าบาททรงเป็นโรคลับๆ จริงหรือ”
ซีชิงขึงตาใส่นาง “ข้าก็ได้ยินมาอีกที ไม่เช่นนั้นจนป่านนี้ไหนเลยจะไร้ทายาท ข้าก็ไม่เคยทดสอบเองเสียหน่อย!”
“เช่นนั้นเจ้าถือดีอะไรมาบอกว่าหลิงตูอ๋องไม่มีปัญหา เจ้าเคยทดสอบแล้วหรือ”
“เอ๋? จริงด้วยสิ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างไรเจ้าไปทดสอบดีหรือไม่”
ไป๋ถานเตะใส่อีกฝ่ายหนึ่งเท้า เขารีบกอดปลีน่องทำเป็นกระโดดโหยงสองที
ไป๋ถานคร้านจะคุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วจึงอ้อมฉากบังลมไปดูซือหม่าจิ้น
ระหว่างที่นั่งเฝ้ามาทั้งคืน นางนึกทบทวนและตระหนักได้ว่าคราวก่อนในอารามเป้าผู่ ซีชิงบอกว่าไม่มีทางให้ซือหม่าจิ้นกินยาปลอมเด็ดขาด นางยังนึกว่าเขาพูดเล่นไปเช่นนั้นเอง ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องจริง
เช่นนั้นก็ไม่แปลกเลยที่นางมักได้กลิ่นยาบนร่างของเขา นางนึกว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขาบาดเจ็บเสียอีก
ไม่นานฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เตรียมยาเสร็จ กู้เฉิงไปป้อนยาซือหม่าจิ้น ส่วนฉีเฟิงยืนอยู่ด้านข้างจ้องไป๋ถานตาเขม็ง
ไป๋ถานถูกเขาจ้องจนต้องลูบใบหน้า “เป็นอะไรไป ข้าดูเหมือนคนที่จะออกไปป่าวร้องว่าท่านอ๋องของเจ้ามีโรคประจำตัวหรอกหรือ ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ของข้า”
เช่นนี้เองฉีเฟิงถึงได้ถอนสายตากลับไปอย่างพึงพอใจ “ข้าเคยลั่นคำสาบานไว้ว่าจะพิทักษ์เกียรติของท่านอ๋องด้วยชีวิต เจ้ารู้กาลเทศะเช่นนี้เป็นดีที่สุด”
เฮอะ พูดราวกับท่านอ๋องของเจ้ามีเกียรติด้วย ไป๋ถานคิดในใจ
หลังกู้เฉิงป้อนยาจนหมด ซีชิงจึงตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นอีกครั้ง เขาค่อยสังเกตเห็นว่าบนแขนของซือหม่าจิ้นยังมีบาดแผลซึ่งพันไว้เพียงลวกๆ คาดว่าคงได้มาช่วงค่ำตอนปราบจลาจล ซีชิงจึงต้องหายารักษาบาดแผลมาทำแผลให้เขาใหม่
หลังวุ่นวายจนเสร็จ ทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ฉีเฟิงกับกู้เฉิงเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศสลายกลิ่น กระทั่งบ่าวในจวนพวกเขาก็ไม่ยอมให้มีผู้ใดได้ล่วงรู้
เมื่อเห็นฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว กำลังพลที่ไปปราบจลาจลยังมีงานต่อเนื่องที่ต้องจัดสรร ทว่าซือหม่าจิ้นยังนอนอยู่ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงจึงได้แต่ทำหน้าที่แทนแล้ว
เดิมทีพวกเขาคาดหวังว่าซีชิงจะอยู่ดูแลต่อที่นี่ ใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายเพียงกำชับสองสามประโยคก็ทิ้งยารักษาบาดแผลไว้ให้ไป๋ถานแล้วสะพายล่วมยาเตรียมจากไป
ฉีเฟิงไหนเลยจะยอมปล่อยซีชิง ขยุ้มแขนเสื้อเขาไว้ไม่ยอมให้ไป
ซีชิงสลัดมืออีกฝ่ายออกอย่างฉุนเฉียว “ข้าจะกลับไปนอนชดเชย!” จบคำเขาก็วิ่งเร็วรี่ออกไปนอกประตูทันที
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายต่างก็สาดสายตามาจับอยู่ที่ร่างไป๋ถานโดยพร้อมเพรียง
ไป๋ถานรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่รู้เรื่องนี้พวกเขามองนางอย่างไรกัน ไฉนนางเพิ่งจะรู้เรื่องกลับถูกใช้งานอย่างคล่องมือเช่นนี้เสียได้
สถานการณ์ที่จวนหลิงตูอ๋องก็เป็นเช่นนี้ ส่วนบนภูเขาตงซานนั้นก็ใกล้จะยุ่งเหยิงแล้วเช่นกัน
ภายหลังที่อู๋โก้วได้รับแจ้งจากกู้เฉิง แรกเริ่มนางยังสามารถเรียกให้เหล่าศิษย์น้องทบทวนตำราไปด้วยตนเองก่อนได้ ทว่านี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วยังคงไม่เห็นอาจารย์กลับมาเสียที พวกเขาจึงชักข่มอารมณ์กันไม่ไหว
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลิงตูอ๋องมือสั่นพลั้งฆะ…”
“ไม่หรอกๆ น่าจะแค่กักบริเวณมากกว่า”
“หลังจากกักบริเวณล่ะ”
“ก็คงจะเริ่มทารุณ”
“แล้วต่อจากนั้นอีกล่ะ”
“อืม…เรื่องนี้…”
โจวจื่อขัดจังหวะความคิดเพ้อฝันของสหายร่วมชั้นอย่างหงุดหงิด “ข้าว่าพวกเจ้าใกล้จะแต่งเรื่องได้เรื่องหนึ่งแล้ว อาจารย์รู้เข้าต้องโกรธมากแน่”
แต่ละคนวางหน้าไม่สนิท เพียงแค่แสร้งทำเป็นอ่านตำราต่อ ทุกคนล้วนกลัวว่าวันหลังโจวจื่อจะเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ ก็ใครใช้ให้เขาสนิทกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวเล่า
ไป๋ต้งเดินผ่านหน้าประตู ชะโงกศีรษะเข้ามามองแวบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นไป๋ถาน เขาจึงทักทายเหล่าศิษย์พอเป็นพิธีแล้ววิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลังเพื่อหาอู๋โก้ว
อู๋โก้วกำลังซักผ้าอยู่ นางสลัดน้ำบนมือออกเมื่อเห็นเขามาเยือน
“พี่สาวข้าล่ะ เหตุใดหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบนาง” ไป๋ต้งเดินตรงมาพลางเอ่ยถาม
อู๋โก้วมีสีหน้าไร้ความรู้สึก “ที่แท้คุณชายไป๋ยังไม่รู้หรอกหรือ อาจารย์ถูกหลิงตูอ๋องอุ้มไปที่จวน จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“อะไรนะ!” ไป๋ต้งฟังจบก็พลันเดือดดาล “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร”
“วันนั้นหลังจากไท่ฟู่จะมัดอาจารย์กลับไป หลิงตูอ๋องช่วยอาจารย์ไว้ จากนั้นก็มัดตัวนางแล้วพาไปเลย”
ไป๋ต้งกระทืบเท้าอย่างหัวเสีย “หากรู้แต่แรกข้าก็คงไม่จากไปหรอก ขอเพียงมีข้าอยู่ ต่อให้พวกเขาเหยียบศพข้าข้ามไปก็ต้องรั้งตัวพี่สาวไว้ให้ได้!”
อู๋โก้วเตือนสติเขาด้วยสีหน้าที่จริงจังยิ่ง “ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้เป็นอันขาด เรื่องเหยียบศพท่านข้ามไปหลิงตูอ๋องสามารถทำได้แน่นอน”
ไป๋ต้งถูกคำพูดของนางทำเอาเบื้อใบ้ไร้วาจา คิดในใจว่าเด็กนี่นับวันยิ่งไม่น่าเอ็นดูแล้ว เขาสะบัดหน้าเดินออกจากประตู ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องไปช่วยพี่สาวให้ได้
แม้จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด แต่ถึงอย่างไรชีวิตของพี่สาวก็สำคัญกว่า
ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไป๋ถานแจ้งว่าซือหม่าจิ้นพักผ่อนอยู่ในห้องของนาง ให้สาวใช้ส่งสำรับอาหารเข้ามา ทว่ากลับเรียกสายตาชอบกลของคนได้ทั้งกลุ่มแทน
นางรู้สึกจนใจยิ่ง ทุกคนคิดมากเกินไปแล้ว นางไม่ได้พูดสักคำว่าสองคนพักผ่อนด้วยกัน นางกับเขาคือศิษย์อาจารย์ที่เปิดเผย เข้าใจกันหรือไม่!
ตอนนี้เองที่ด้านนอกคล้ายมีเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล คาดว่าซือหม่าจิ้นที่อยู่บนเตียงคงถูกเสียงนั้นรบกวน เบื้องหลังฉากบังลมจึงแว่วเสียงเสียดสีแผ่วเบากับเสียงเขาระบายลมหายใจ
ไป๋ถานจุดไฟสว่าง พอหันกายไปก็สะดุ้งจนตัวโยน ซือหม่าจิ้นลุกจากเตียงแล้ว เขายืนเอามือข้างหนึ่งจับฉากบังลมพยุงกาย สาบเสื้อพลันแหวกเปิด ผิวกายบนหน้าอกถูกแสงไฟฉายส่องจนเป็นสีแดงเรื่อ
ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อก่อนเบนสายตาไป “ท่านอ๋องฟื้นได้เสียที รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่” ขณะหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้เขา นิ้วมือของนางบังเอิญสัมผัสถูกผิวกายที่ข้างลำคอของเขาซึ่งยังคงร้อนลวกอยู่จึงเอ่ยด้วยความตระหนก “เหตุใดยังมีไข้อยู่อีก”
“ทุกครั้งอาการจะกำเริบกลับไปกลับมาเช่นนี้ อาจารย์ไม่ต้องตื่นตกใจไป” ซือหม่าจิ้นสุ้มเสียงแหบพร่า ใบหน้าเริ่มปรากฏสีแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาพลันออกแรงกำหมัดแล้วมุ่งหน้าไปทางประตู
“ท่านอ๋องจะไปที่ใด” ไป๋ถานร้องเรียกเขา “ซีชิงกำชับไว้ว่าอาการของท่านตอนนี้จำเป็นต้องพักฟื้น”
“แล้วซีชิงได้กำชับหรือไม่ว่ายามที่อาการของข้ากำเริบจะดุร้ายผิดธรรมดา” ซือหม่าจิ้นหันหน้ามาพร้อมสายตาซึ่งต่างจากยามปกติอย่างยิ่ง “ข้าไม่ทรมานเท่าเมื่อคืนตอนกำเริบใหม่ๆ แล้ว แต่ถ้าหาความบันเทิงสักเล็กน้อยก็คงจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้”
ไป๋ถานรู้สึกว่ากระทั่งสองตาของเขาก็เริ่มแดงแล้ว หากปล่อยไปท่าจะไม่ดีเป็นแน่แท้ นางรีบก้าวตรงไปรั้งแขนเสื้อของเขาไว้ “ท่านอ๋องตั้งใจจะหาใครสักคนแล้วเอาชีวิตเขาหรืออย่างไร”
“ข้าไหนเลยจะกระทำเช่นนั้น ในจวนนี้คุมขังคนที่ชั่วช้าสามานย์ไว้กลุ่มหนึ่ง คนที่ยังไม่ถูกเล่นสนุกถึงตายก็พอมีอยู่ การได้ทรมานพวกมันทีละนิดไม่เพียงทำให้ข้าเบิกบานสำราญใจ ยังได้ผดุงคุณธรรมแทนฟ้า ไยข้าจะไม่ยินดีกระทำเล่า” พอเขาขยับเท้า แขนก็ถูกไป๋ถานคว้าจับไว้ทันที
“ในเมื่อเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์ก็สมควรส่งมอบให้ทางการลงโทษตามอาญาบ้านเมืองมิใช่หรือ ท่านอ๋องจะละเลยกฎหมายเข่นฆ่าทารุณคนตามอำเภอใจได้อย่างไร”
ร่างกายของซือหม่าจิ้นเริ่มสั่นสะท้านและทวีความรุนแรงจนยากจะควบคุม เขาพลันพลิกมือยึดกุมข้อมือของนางไว้
มือที่บาดเจ็บของไป๋ถานยังไม่ทันได้ทายา ทันทีที่ถูกสัมผัสอีกครั้งจึงเจ็บปวดสาหัสดุจถูกแทงหัวใจซ้ำสอง นางเซถอยหลังติดกันหลายก้าวจนชนฉากบังลมพลิกคว่ำ แผ่นหลังกระแทกพื้นล้มไม่เป็นท่า
ซือหม่าจิ้นพลอยถูกฉุดล้มมาอยู่ข้างกายไป๋ถานด้วยเช่นกัน พอพลิกร่างมาเห็นสีหน้าของนาง เขากลับเผยรอยยิ้ม “อาจารย์ ข้าไม่อยากจะทำร้ายท่านเลยจริงๆ ท่านเองก็อย่าได้เผยสีหน้าเช่นนี้ นั่นมีแต่จะทำให้ข้าอดกลั้นไม่ไหว”
ร่างครึ่งซีกถูกเขาทาบทับอยู่ ไป๋ถานกดข่มความเจ็บปวดนี้ไว้พลางปั้นสีหน้าเป็นปกติ “ท่านอ๋องผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แค่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะไม่อาจเอาชนะได้เชียวหรือ”
“อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย? อาจารย์มาลิ้มลองรสชาตินี้ดูบ้างดีหรือไม่…” ซือหม่าจิ้นหายใจหอบ ขณะยันกายขึ้นบาดแผลบนแขนเขาพลันปริแยก เลือดสดๆ ไหลออกมา เขาคิดจะดึงผ้าพันแผลออกทว่ากลับถูกไป๋ถานกดไว้อย่างมือไวตาไว เลือดหลายหยดจึงไหลผ่านร่องนิ้วแล้วร่วงเผาะลงบนใบหน้าของนาง
ไป๋ถานแทบจะกัดฟันด้วยความขุ่นแค้นนิดๆ “ท่านอ๋องรับปากเองมิใช่หรือว่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ ตอนนี้อาจารย์สอนว่าไม่อาจเข่นฆ่าทารุณผู้อื่นได้ หรือว่าท่านอ๋องจะตระบัดสัตย์?”
ซือหม่าจิ้นไม่ได้ขานตอบ เขาพลันสิ้นแรงฟุบอยู่บนร่างนาง
ไป๋ถานถูกทับจนหายใจติดขัด เพียงรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรุนแรงกับความร้อนทั่วร่างของเขา กลิ่นยาคละเคล้ากับกลิ่นคาวเลือดวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ใบหน้าของเขาซึ่งแนบชิดอยู่ด้านข้างถูกยกขึ้นช้าๆ เขาเพ่งมองนางด้วยสายตาอันลุ่มลึกชวนให้ผู้อื่นถลำลงไป
ไป๋ถานประหวั่นลนลานนิดๆ อย่างไรเสียคนเรายามตกอยู่ในห้วงอันทุกข์ทรมาน ไม่ว่าสิ่งใดล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น
ดวงหน้าของซือหม่าจิ้นประชิดเข้ามาทุกขณะ ลมหายใจพลันหนักหน่วง นิ้วมือจับอยู่ที่ลำคอของนาง
ไป๋ถานมือเท้าเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ในใจคิดหาวิธีรับมือนับไม่ถ้วน ทว่าปากกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ทันใดนั้นใบหน้าของนางพลันร้อนวาบ ซือหม่าจิ้นใช้ลิ้นเลียหยดเลือดที่อยู่บนหน้าของนาง “ข้าน้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์” ช่างคล้ายสัตว์ดุร้ายที่กินอิ่มแล้วเอ่ยวาจาอันน่าฟังยิ่ง
แต่ไป๋ถานกลับนิ่งงันเป็นไก่ไม้*
ตอนนี้เองไป๋ต้งเพิ่งจะบุกมาถึงหน้าประตู ทว่ากลับถูกฉีเฟิงกับกู้เฉิงไล่ตามมากระหนาบซ้ายขวาแล้วหิ้วปีกลากเขาออกไปเบื้องนอก ไป๋ต้งทันเหลือบมองเข้าไปในห้องเพียงแวบเดียว แต่พริบตานั้นเขาคล้ายดั่งถูกสายฟ้าฟาด ภาพที่เขาเห็นคือซือหม่าจิ้นทาบทับอยู่บนร่างพี่สาวของตน
“พวกเจ้าปล่อยข้านะ ข้าจะไปแลกชีวิตกับซือหม่าจิ้น!”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงเห็นอีกฝ่ายอารมณ์พลุ่งพล่านถึงเพียงนี้จึงพร้อมใจกันหันขวับมองเข้าไปในห้อง จากนั้นต่างยืนตะลึงตาค้างไปทันที
ไป๋ถานได้ยินเสียงน้องชายแล้ว ทว่าไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ ซือหม่าจิ้นซึ่งฟุบอยู่บนร่างของนางก็ค่อยๆ หายใจสม่ำเสมอคล้ายหลับใหลไปแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ด้านนอกเคลื่อนไกลออกไปเรื่อยๆ ครู่เดียวก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของไป๋ต้งอีก เขาคงถูกจับโยนออกนอกประตูไปแล้วเป็นแน่
ฉีเฟิงย้อนกลับมารวดเร็วกว่าใคร เขารีบพยุงร่างซือหม่าจิ้นขึ้นไปบนเตียง เช่นนี้เองไป๋ถานถึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนที่นางจะคลานขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า
ไม่นานนักซีชิงซึ่งนอนชดเชยอิ่มแล้วก็ครวญเพลงพลางย่ำแสงสนธยามาตรวจติดตามอาการ ทันทีที่เข้าประตูมาเขาก็นิ่งงันไป
บนพื้นคือฉากบังลมซึ่งล้มเสียหาย บนฉากยังทิ้งคราบเลือดซึ่งแห้งกรังเป็นสีน้ำตาล ซือหม่าจิ้นนอนอยู่บนเตียง ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะ มือหนึ่งประคองเอว อีกมือหนึ่งปิดหน้า
“นี่เกิดอะไรขึ้น” เขารีบเดินมุ่งไปที่เตียง ถามพลางเลิกแขนเสื้อซือหม่าจิ้นขึ้นเตรียมตรวจชีพจร
ดวงตาทั้งคู่ของซือหม่าจิ้นเบิกขึ้นในฉับพลัน “รักษาอาจารย์ก่อนเถิด”
ซีชิงสะดุ้งโหยง “ท่านอ๋อง นี่ท่านมิใช่มีสติแจ่มใสดีหรอกหรือ เหตุใดอาละวาดรุนแรงเช่นนี้ได้”
ซือหม่าจิ้นเบือนหน้าไปมองไป๋ถานโดยไม่พูดไม่จา คาดว่าอาการกำเริบคงผ่านพ้นไปแล้วเขาจึงเยือกเย็นลงมาก
ซีชิงได้แต่ไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ไป๋ถานก่อน ยามที่เขาเลิกแขนเสื้อของนางขึ้นก็มองเห็นเรียวแขนจรดหลังมือล้วนเต็มไปด้วยรอยสีม่วงเขียวแล้ว เขาก็ไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ถึงอย่างไรเมื่อเปรียบนางกับหลายคนที่ผ่านมาก็ล้วนดีกว่ามากนัก
นอกจากรอยแผลเหล่านั้นแล้ว ส่วนอื่นบนเรียวแขนของนางล้วนขาวผุดผาดดุจรากบัวอ่อนๆ ขณะที่ฉีเฟิงรอชมอยู่ด้านข้างอย่างคึกคักก็พลันได้ยินซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ซีชิงเป็นหมอ เจ้าเป็นอะไร ชายหญิงต้องรักษาระยะห่าง แค่นี้ก็ไม่รู้หรือ ไสหัวออกไป!”
ฉีเฟิงรีบวิ่งออกจากประตูพร้อมเหงื่อเย็นที่แตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง ท่านอ๋องของเขามีความคิดเรื่องชายหญิงต้องรักษาระยะห่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อครู่เป็นท่านอ๋องที่ทาบทับผู้อื่นอยู่ด้วยซ้ำ เช่นนั้นไม่ต้องตบแต่งนางหรอกหรือ!
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่กล้าจินตนาการผลที่จะตามมาหากไป๋ถานกลายเป็นชายาของหลิงตูอ๋องขึ้นมาจริงๆ ถึงยามนั้นเขาต้องถูกเล่นงานจนตายแน่ๆ!
ซีชิงช่วยทายาบนแขนและต้นคอของไป๋ถาน ส่วนหลังเอวเขาไม่อาจมองได้ จึงพยุงนางออกจากประตูแล้วเรียกหาสาวใช้คนหนึ่งให้ไปช่วยนาง
ไป๋ถานเอาแต่ลูบแก้มตรงที่ถูกซือหม่าจิ้นไล้เลีย ก่อนออกจากประตูนางขมวดคิ้วก่อนจะมองเขาแวบหนึ่งด้วยดวงหน้าสีแดงสดปานจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้
ที่แท้ต้องทำอย่างไรถึงจะให้มารร้ายผู้นี้เข้าใจคำว่าเคารพเชื่อฟังอาจารย์เสียที ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของอาจารย์เกือบจะ…
ช่างเถิด พูดมากไปก็มีแต่น้ำตา
หลังส่งไป๋ถานออกไปแล้ว ซีชิงจึงย้อนกลับมาตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นก่อนเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “ท่านอ๋อง คราวนี้ท่านถึงกับควบคุมตนเองได้แล้ว”
ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึเบาๆ เสียงนั้นเจือความอ่อนล้าอย่างชัดเจน เขาเบือนหน้าไปโดยไม่พูดกล่าวสักคำ
ไป๋ถานได้สาวใช้พยุงไปที่ห้องพักแขกอีกห้อง กว่าจะทำความสะอาดและทายาเสร็จก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
นางไม่อยากอาหารจึงลากสังขารที่ปวดระบมไปถึงข้างเตียงแล้วทิ่มศีรษะล้มตัวลงไป นางถูใบหน้าด้วยความขุ่นแค้นราวกับต้องการจะถูเอาความร้อนจากปลายลิ้นนั้นออกไปให้ได้ก็ไม่ปาน
หวังว่าพรุ่งนี้อาการป่วยของเขาจะหายดี หาไม่คราวนี้คือเลีย คราวหน้าเปลี่ยนเป็นกัดจะทำอย่างไรดีเล่า
ไม่ได้ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องกลับภูเขาตงซาน
หนนี้ซีชิงรั้งอยู่ที่จวนอ๋อง
หลังจากนั้นอาการของซือหม่าจิ้นก็ไม่กำเริบอีก เขาเพียงนอนหลับไปสิบกว่าชั่วยามเต็มๆ รอจนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นยามบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั้งยังกินอาหารเหลวได้เล็กน้อย สีหน้าก็ดีขึ้นแล้ว ดูท่าครั้งนี้เขาจะอดทนจนผ่านพ้นไปได้
ซีชิงรู้สึกว่าตนช่างน่าสงสารยิ่งนัก กว่าจะได้นอนชดเชยจนเต็มอิ่มมิใช่ง่ายๆ ก็ต้องมาอดหลับอดนอนทั้งคืนอีก อยากคุยเล่นกับไป๋ถานสักสองสามประโยค แต่นางกลับไม่แยแสตนเลยสักนิด ไม่รู้โกรธหรือหงุดหงิดอะไรอยู่
เขาจึงได้แต่วิ่งกลับมาเฝ้าซือหม่าจิ้นต่อ
“ท่านอ๋อง ท่านบอกข้าหน่อยเถิด ที่แท้ท่านทำอะไรไป๋ถานไปกันแน่”
ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่ที่หัวเตียง ดื่มยาเต็มชามจนหมดแล้วยกนิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปาก “เลียไปหนึ่งที”
ซีชิงตกตะลึงพรึงเพริดก่อนจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ขยับเข้ามามองพิจารณาเบื้องหน้าเขา “ท่านอ๋องอาการกำเริบหนนี้ต่างจากที่ผ่านมา ทั้งยังควบคุมตนเองได้ดียิ่ง ท่านคงไม่ได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นต่อไป๋ถานหรอกกระมัง”
นิ้วมือของซือหม่าจิ้นเสียดสีกับขอบชามเบาๆ เม้มปากไม่เอ่ยตอบ ทว่ากลับสะบัดมือขว้างชามในฉับพลัน
ซีชิงยืนตรงทันใด ก่อนก้มหน้างุดตามองแต่ปลายจมูกของตน
“เจ้าก็รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในใจข้าคืออะไร ต่อไปอย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้อีก”
“ขอรับ” ซีชิงลอบชำเลืองมองเขาหนหนึ่ง “ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องมองไป๋ถานเป็นอาจารย์เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเด็ดขาด”
ซือหม่าจิ้นมุ่นคิ้ว หน้าตาเย็นชาไม่พูดจา
ขณะนั้นฉีเฟิงพลันพุ่งปราดเข้ามา เท้าเหยียบถูกเศษกระเบื้องเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนรีบประสานมือรายงานโดยไม่อาจมัวพะวงเหตุการณ์ภายในห้อง “ท่านอ๋อง พระโพธิ… เอ่อ ไม่ใช่ คุณหนูไป๋วิ่งหนีกลับภูเขาตงซานไปแล้วขอรับ!”
ซือหม่าจิ้นช้อนตามองมา “พวกเจ้าก็ปล่อยให้นางวิ่งหนีไปอย่างนั้นหรือ”
ฉีเฟิงวางหน้าไม่ถูก “ข้าน้อยจะจับตัวนางไว้ แต่ฉุกคิดได้ว่าท่านอ๋องให้ชายหญิงรักษาระยะห่าง ข้าน้อยจึงไม่กล้าแตะต้องนาง นางจึงฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีออกจากประตูไปขอรับ”
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้ พวกเจ้ามองดูนางวิ่งหนีกลับไปแล้วไม่รู้จักเตรียมรถม้าไปส่งนางหรือ”
ฉีเฟิงตะลึงงันก่อนรีบวิ่งออกไปเรียกกู้เฉิงเตรียมรถม้าไล่ตามคนไป
ซีชิงปรายตามองซือหม่าจิ้นอีกแวบหนึ่ง นั่นแน่ ไหนพูดเสียดิบดีว่ามองอีกฝ่ายเป็นเพียงอาจารย์เท่านั้นมิใช่หรือ…
เดิมทีไป๋ถานเพียงแค่ทดลองดู แต่นึกไม่ถึงว่ายามที่ฉีเฟิงโง่งมขึ้นมานางจะรับมืออีกฝ่ายได้ง่ายดายยิ่งนัก เขาถึงกับปล่อยให้นางเผ่นหนีออกมาได้จริงๆ
ชั่วดีอย่างไรนางก็ขึ้นลงเขามานานปี มิได้เปราะบางเฉกเช่นสตรีตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ฝีเท้าของนางจึงนับว่ารวดเร็วยิ่ง ยามที่ฉีเฟิงบังคับรถม้าไล่ตามมาจนทัน นางก็ใกล้จะถึงประตูเมืองอยู่แล้ว
“คุณหนูไป๋ ขอร้องท่านล่ะ ท่านขึ้นรถเถิดนะ หากท่านไม่ขึ้นรถข้ากลับไปต้องถูกถลกหนังเป็นแน่”
ไป๋ถานยกแขนที่บาดเจ็บขึ้นกอดอกแล้วส่งยิ้มให้ “ตายจริง ตอนแรกที่เจ้ามาลักพาตัวข้าก็วางท่าจองหองนักมิใช่หรือ ตอนนี้เหตุใดจึงรู้จักขอร้องข้าเสียได้”
ฉีเฟิงใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นางช่างใจแคบเหลือเกิน เหตุใดยังจำไม่ลืมเสียทีเล่า!
สุดท้ายไป๋ถานยังคงเดินเรื่อยมาจนถึงภูเขาตงซาน ส่วนฉีเฟิงกับกู้เฉิงซึ่งไล่ตามเพื่อโน้มน้าวนางมาตลอดทางนั้นกลับได้แต่บังคับรถที่ว่างเปล่า
หัวใจอันสิ้นหวังคือที่สุดแห่งความเศร้า ทั้งสองหน้าม่อยคอตกกลับไป เตรียมตัวเตรียมใจรอรับโทษ
พออู๋โก้วได้ยินว่าอาจารย์กลับมาก็วิ่งอย่างเร็วเพื่อออกมาต้อนรับ
เหล่าศิษย์ในห้องปีกตะวันตกที่ได้เวลาเลิกชั้นเรียนต่างกำลังเตรียมตัวกลับพอดี ทันทีที่ได้ยินข่าวทุกคนจึงกรูออกมาดุจฝูงผึ้ง
โจวจื่อเดินนำหน้าออกมาต้อนรับไป๋ถาน พอกลับเข้าห้องแล้วจึงอ้าปากถามโดยไม่รอช้า “อาจารย์ หลายวันนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกระมัง”
“ไม่มีอะไรๆ” ไป๋ถานลูบใบหน้าอย่างร้อนตัว
โจวจื่อระบายลมหายใจแล้วกล่าว “อาจารย์ไปเสียตั้งหลายวัน ยังดีที่สุดท้ายท่านก็กลับมาแล้ว หากยังไม่กลับมาอีกพวกศิษย์เตรียมจะรวมตัวกันไปเยี่ยมอาจารย์ที่จวนหลิงตูอ๋องแล้ว”
คนทั้งหมดพากันมองฟ้า… เปล่าสักหน่อย มีเจ้าเตรียมไปอยู่คนเดียวกระมัง!
ไป๋ถานคิดในใจว่ายังดีที่ตนหาโอกาสหลบหนีออกมาก่อน ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาไปเจอซือหม่าจิ้นตอนที่อาการกำเริบพอดี เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาอาจต้องสังเวยให้อีกฝ่ายกันทั้งหมด
เวลาเย็นย่ำมากแล้ว ทุกคนสนทนาสัพเพเหระไม่กี่ประโยคก็แยกย้ายกันกลับไป
อู๋โก้วยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ทั้งบอกไป๋ถานว่าเย็นนี้ตนจะต้องเข้าครัวทำน้ำแกงข้นด้วยตนเองเพื่อต้อนรับที่นางกลับมาอย่างปลอดภัย
ไป๋ถานมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เจ้าจงพูดมาตามตรงเถิด ที่แท้อาจารย์ทำผิดอะไรกันแน่เจ้าถึงต้องทำน้ำแกงให้ดื่ม”
อู๋โก้วไร้เดียงสายิ่ง “อาจารย์ไม่ได้ทำผิดอันใดนี่เจ้าคะ”
แม้ว่าน้ำแกงของอู๋โก้วยากที่จะกลืนลงคอได้ แต่การได้กลับมาภูเขาตงซานก็เพียงพอจะทำให้ไป๋ถานจิตใจชื่นบานแล้ว
ทว่าเข้าสอนได้ไม่ถึงสองวันเหล่าศิษย์พลันพบเห็นรอยแผลบนมือของนาง จึงถกความเห็นกันโขมงโฉงเฉงลับหลังนางทันที ต่างรู้สึกว่านิยายที่แต่งกันก่อนหน้านี้น่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว
“หลิงตูอ๋องเหี้ยมโหดเหลือเกิน ถึงกับทารุณอาจารย์จนเป็นเช่นนี้”
“อาจารย์เก่งกาจยิ่งนัก ยังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้”
“เขาจะมาจับอาจารย์ไปทรมานอีกหรือไม่”
ไป๋ถานอ่อนใจ ได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยินความเห็นเหล่านี้
นางกลับมาได้พอเหมาะพอเจาะยิ่ง สภาพอากาศนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน สองวันก่อนลมฤดูสารทยังพัดมาแผ่วเบา เช้านี้เพียงผลักเปิดประตูออกไปกลับเห็นในลานเริ่มมีปุยหิมะเล็กละเอียดโปรยปรายลงมาแล้ว
บนภูเขาต่างจากในเมืองหลวง ที่นี่ช่างสงบสุขอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อหิมะตกจึงยิ่งรู้สึกว่าฟ้าดินช่างเงียบสงัด รอยแผลภายนอกเพียงเล็กน้อยของไป๋ถานดีขึ้นมากแล้ว นางหลับตาพริ้มสูดอากาศหนาวเข้าลึกๆ รู้สึกเพียงว่าไอเย็นสดชื่นแล่นผ่านจากฝ่าเท้าพุ่งขึ้นสู่ศีรษะทำให้นางรู้สึกโล่งสบาย จึงยกชายชุดพลางเดินเข้าไปต้อนรับหิมะแรกในลานเสียเลย
บนพื้นมีหิมะสะสมชั้นอยู่บางๆ แล้ว นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็หวุดหวิดจะลื่นล้ม ขณะที่ร่างโงนเงนหมายจะทรงตัวให้ได้นั้นกลับมีมือข้างหนึ่งประคองนางไว้อย่างมั่นคง
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นซือหม่าจิ้นห่อร่างอยู่ในเสื้อคลุมยืนอยู่เบื้องหน้านาง ภายใต้เสื้อคลุมคือชุดเข้าเฝ้าสีม่วงอมแดงอันภูมิฐาน เรือนผมบรรจงเกล้ามวยครอบด้วยเกี้ยวทรงสูง ดวงหน้าเย็นชาไม่แสดงความรู้สึก
มาจับตัวนางเร็วปานนี้เชียว แต่ก็ไม่เห็นต้องแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้กระมัง ไป๋ถานชักแขนกลับด้วยความตระหนก “ท่านอ๋องหายดีแล้วหรือ”
“เช่นที่อาจารย์เห็น เป็นปกติเช่นกาลก่อน”
ไป๋ถานพินิจพิจารณาเขาขึ้นลงหลายรอบ อีกฝ่ายดูเปี่ยมราศี ทั้งยังดูกระปรี้กระเปร่าดังเดิมแล้วจริงๆ ราวกับอาการที่กำเริบครั้งนั้นคือภาพมายาก็ไม่ปาน
“วันนั้นอาจารย์ห่วงใยเหตุการณ์บนเขาจึงจากมาโดยมิได้ล่ำลา ขอท่านอ๋องอย่าได้ตำหนิ” นางย่อมไม่อาจพูดว่าตนวิ่งหนีกลับมาเพราะถูกเขาเลียหนึ่งที ใบหน้าถูกเลียได้ แต่ความเป็นอาจารย์ไม่อาจละทิ้ง!
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้ามีท่านเป็นอาจารย์เพียงคนเดียว ทว่าท่านกลับมีศิษย์อยู่ที่ภูเขาตงซานมากมาย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
ไป๋ถานเอ่ยอย่างรู้สึกขบขัน “ท่านอ๋องคาดหวังให้อาจารย์สอนท่านเพียงคนเดียวหรืออย่างไร”
“ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้นจริง” สายตาของซือหม่าจิ้นพลันสว่างเจิดจ้า ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าส่งมอบนักโทษอุกฉกรรจ์ที่คุมขังอยู่ในจวนให้ศาลลงโทษแล้ว อาจารย์วางใจได้”
คิ้วตาของไป๋ถานระบายไปด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องทำตามวาจาของอาจารย์จริงหรือนี่”
“ข้าไม่เคยตระบัดสัตย์”
ไป๋ถานสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ในที่สุดท่านอ๋องก็มองข้าเป็นอาจารย์ด้วยความจริงใจ ข้าถูกท่านจับไปที่จวนอ๋องหลายวันนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว”
ซือหม่าจิ้นนึกถึงคำพูดของซีชิงในทันที ‘มองนางเป็นอาจารย์?’ เขาเม้มปากชั่วครู่พลันเอ่ยวาจา “ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อเชิญอาจารย์ตามข้าลงเขาเข้าวัง”
ไป๋ถานตกตะลึง “เข้าวังหรือ”
ซือหม่าจิ้นหยิบสารฉบับหนึ่งในแขนเสื้อยื่นส่งให้นาง “นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”
ไป๋ถานคลี่สารออกอ่าน ถึงกับเป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ซือหม่าเสวียน
ซือหม่าจิ้นส่งมอบนักโทษแก่ศาล นี่คือการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ซือหม่าเสวียนเห็นว่าไป๋ถานอบรมเขาได้ผลจึงพิจารณาที่จะพระราชทานสิ่งของเป็นรางวัลแก่นาง
เดิมทีฝ่าบาททรงตัดสินใจจะตกรางวัลเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทว่านางเป็นปัญญาชนผู้มีความสามารถเชิงบุ๋นโดดเด่นจึงรู้สึกว่าการมอบสิ่งเหล่านี้จะเป็นดูดาษดื่นเกินไป ประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระองค์เอง ในวังจัดงานเลี้ยง ซือหม่าเสวียนจึงเรียกให้ซือหม่าจิ้นเชิญไป๋ถานเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงเสียด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ซือหม่าจิ้นจึงมาปรากฏตัวที่นี่
ไป๋ถานถอนหายใจเบาๆ ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดโดยแท้ อันที่จริงนางมีความชมชอบที่ต่ำยิ่ง พระราชทานแก้วแหวนเงินทองก็ดีอยู่แล้ว นางไม่อยากไปกินอาหารอะไรในวังหลวงซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบหยุมหยิมนั่นเลยสักนิด!
“อาจารย์ไม่อยากไปหรือ”
ไป๋ถานยิ้มเจื่อน “ทรงมีพระบัญชาด้วยลายพระหัตถ์ลงมาแล้ว ใครเลยจะกล้าไม่ไปได้”
นางกลับห้องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านและประทินโฉมอีกเล็กน้อย หลังบอกอู๋โก้วคำหนึ่งก็ติดตามซือหม่าจิ้นออกจากประตูลงเขาไป
กู้เฉิงกับฉีเฟิงจูงม้าและรถรอคอยอยู่ที่เชิงเขาแล้ว พอเห็นนางปรากฏตัว ทั้งสองต่างมีสีหน้าตัดพ้อชัดเจน… วันนี้คงนั่งรถของพวกเราแล้วกระมัง!
ไป๋ถานมองทั้งสองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ขณะจะก้าวเท้าขึ้นรถ ซือหม่าจิ้นพลันเรียกนางไว้ เขาถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้บนร่างนาง จากนั้นยื่นมือประคองเพื่อส่งนางเหยียบขึ้นม้านั่งสำหรับหยั่งเท้า
อากัปกิริยาเหล่านี้เป็นไปอย่างลื่นไหลต่อเนื่องในรวดเดียว ไป๋ถานยืนอยู่ข้างรถพลางกระชับเสื้อคลุมอย่างงุนงงเล็กน้อย
เห็นทีเขาป่วยคราวนี้จะไม่เลวทีเดียว ในที่สุดนางก็ตามหาเกียรติของผู้เป็นอาจารย์กลับคืนมาได้บ้างแล้ว เอาเถิด ไม่ถือสาหาความที่วันก่อนถูกเขาเลียหนนั้นแล้วก็ได้
ตอนที่ซือหม่าจิ้นชักมือกลับ บังเอิญสัมผัสถูกปลายนิ้วของนางเข้าพอดี เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง นิ้วมือหดนิดๆ ก่อนจะยืดออกเบาๆ
การเข้าวังต่างจากกลับเมืองหลวงคราวก่อน ชายหญิงย่อมไม่อาจโดยสารรถคันเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงจารีตได้อีก หลังจากไป๋ถานก้มศีรษะเข้าไปในรถ ซือหม่าจิ้นก็ขึ้นม้า
สายลมหอบม่านรถพัดพลิ้ว อาชาแผดเสียงออกเดินทาง
วันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท ทั่วเมืองหลวงต่างกวดขันอย่างเข้มงวด ประกอบกับหิมะตก บนถนนจึงมีผู้สัญจรไปมาเพียงน้อยนิด
ผ่านประตูเมืองทิศเหนือข้ามสะพานตงเหมิน ตัดเลียบอุทยานเล่อโหยวไปข้ามสะพานหนานอิ่น กำแพงวังก็จะอยู่ใกล้ในระยะสายตาแล้ว
ไป๋ถานเลิกม่านมองดูแวบหนึ่ง อย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตนจะมีวันได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ อีกทั้งมาในฐานะอาจารย์ของหลิงตูอ๋องด้วย
หลังเข้าวังทางประตูตงหยาง รถม้าก็จอดนิ่ง ไป๋ถานออกจากรถลงมาเดินเท้า
ซือหม่าจิ้นปัดเกล็ดหิมะบนร่างของตนก่อนเดินนำหน้าเล็กน้อยหนึ่งก้าว ไป๋ถานลอบชำเลืองมองเขา รู้สึกว่าอีกฝ่ายสำรวมกว่ายามปกติมากโข จริงดังคาด สถานที่เช่นวังหลวงนี้เมื่อเข้ามาแล้วย่อมจะได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว
ขันทีออกมารอต้อนรับพวกเขาแต่แรกแล้ว พอเห็นซือหม่าจิ้นก็แทบอยากจะก้มเอวให้ถึงพื้นอย่างระมัดระวังสุดขีด “ท่านอ๋องค่อยๆ เดินขอรับ ระวังพื้นใต้ฝ่าเท้าด้วย”
ซือหม่าจิ้นไม่พูดแม้สักคำ ขันทีจึงยิ่งตัวสั่นงันงก ไม่กล้าบกพร่องเชื่องช้าแม้แต่น้อย
เมื่อเข้าสู่เขตวังชั้นใน เบื้องหน้าสายตาก็พลันสว่างไสว โคมชาววัง* แขวนประดับสูงเด่น เหล่าขุนนางเดินไปมากันขวักไขว่ เบื้องหน้าตำหนักใหญ่ที่อยู่ไกลตามีพื้นที่ที่ยกขึ้นสูงตระหง่านตั้งอยู่
คนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนผู้หนึ่งเดินผ่านระเบียงทางเดินไปในระยะไกล ไป๋ถานชะงักฝีเท้าหยุดมองตามสัญชาตญาณ เพียงแลเห็นเงาหลังของคนผู้นั้น เขาสวมอาภรณ์หลวมยาวสีดำ มวยผมครอบเกี้ยวทองอร่าม
นางออกอาการเหม่อลอยเล็กน้อย เพียงรู้สึกว่าภาพนี้ซ้อนทับกับเงาร่างของผู้ซึ่งขี่ม้ามาบนถนนเมื่อหลายปีก่อน เขาทั้งสุภาพอ่อนโยน ทั้งบริสุทธิ์สูงส่งน่าประทับใจ นางพึมพำออกจากปากโดยไม่รู้ตัว “อวี้จางอ๋อง?”
ซือหม่าจิ้นมองดูตามสายตาของนาง “อาจารย์ อย่าได้เรียกขานส่งเดช นั่นไม่ใช่อวี้จางอ๋องนานแล้ว พระองค์คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน”
ไป๋ถานพลันได้สติคืนมา นางนิ่งเงียบพลางเพ่งมองเงาหลังของฝ่าบาทเคลื่อนไกลออกไปพร้อมหัวใจที่เศร้าสร้อย
นั่นคือวัยสาวที่ล่วงเลยไป แล้วก็…เงินของนางด้วย
บทที่หก
อันที่จริงหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน หัวข้อที่ผู้คนทั่วหล้าถกความเห็นกันเซ็งแซ่มิใช่หลิงตูอ๋องซือหม่าจิ้นอย่างแน่นอน หากแต่เป็นอวี้จางอ๋องซือหม่าเสวียน
ในฐานะหลานชายผู้มีสายเลือดใกล้ชิดกับอดีตฮ่องเต้มากที่สุดและเป็นญาติผู้พี่ของซือหม่าจิ้น ซือหม่าเสวียนไม่เพียงเฉลียวฉลาดใฝ่เรียนมาตั้งแต่เล็ก เขายังเป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ไม่น้อย วัยหนุ่มก็รูปงามเหนือใคร ทั้งถ่อมตนเปี่ยมมารยาท ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกล้วนดึงดูดให้คนเดินถนนมาล้อมชมเขากันนับไม่ถ้วน จำนวนสตรีที่นิยมชมชอบยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ด้วยเหตุนี้ยามที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบราชบัลลังก์แก่เขาก่อนสิ้นพระชนม์ จึงไม่แปลกที่ตระกูลขุนนางจะพากันสนับสนุน
ไป๋ถานย่อมรู้ว่าตอนนั้นซือหม่าเสวียนขึ้นสืบราชบัลลังก์ ทว่าไม่พบกันนานปีเช่นนี้ในใจของนางกลับยังคงแยกซือหม่าเสวียนในช่วงที่เป็นอวี้จางอ๋องกับซือหม่าเสวียนภายหลังขึ้นเป็นฮ่องเต้ออกเป็นสองคนอยู่ดี
ในขณะที่นางมองฝ่าบาทเป็นคนแปลกหน้า ก็เพียงหวังว่าพระองค์จะปกครองบ้านเมืองอย่างเที่ยงธรรม มีตำหนักในที่ปรองดองกลมเกลียว ทว่ายามที่นางมองอวี้จางอ๋องเป็นสหายเก่า จวบจนทุกวันนี้ในหัวสมองยังคงจารึกท่าทางอันสุภาพอ่อนโยนและช่างจำนรรจาในยามที่อีกฝ่ายสนทนาสัพเพเหระกับผู้คนได้ไม่ลืมเลือน
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกพิกลนัก
“อาจารย์รู้จักฝ่าบาทหรือ”
ไป๋ถานถูกคำถามของซือหม่าจิ้นดึงความนึกคิดของตนกลับคืนมา นางถูนิ้วมือที่หนาวจนแข็ง “ตอนอายุยังน้อยอาจารย์ชอบคบหาสหาย ได้รู้จักกับบุตรหลานตระกูลขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์สักคนสองคนก็ไม่แปลกสักนิด” จบคำนางก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน
ท่าทางนี้ให้ความรู้สึกว่ายิ่งปกปิดกลับยิ่งชัดแจ้ง ซือหม่าจิ้นอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่ซือหม่าเสวียนจากไปอีกครั้ง
ไป๋ถานฝีเท้าเร่งรีบ ไม่ช้าก็ก้าวขึ้นขั้นบันได ทว่าพลันถูกคนผู้หนึ่งรั้งไว้ พอหันขวับมานางก็สบเข้ากับดวงตาดอกท้อของน้องชาย
“พี่สาว ท่านมาด้วยหรือนี่! ท่านไม่เป็นไรกระมัง” ไป๋ต้งกระตุกแขนของนางแล้วเขย่าแรงๆ ระลอกหนึ่ง
ไป๋ถานถูกเขย่าจนใกล้จะเวียนศีรษะแล้วจึงย้อนถามไปหนึ่งประโยค “แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ขุนนางขั้นหนึ่งพาบุตรธิดาเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงได้” ไป๋ต้งสองตาพลันสว่างวาบ “หรือว่าท่านพ่อตั้งใจเรียกพี่สาวมา”
ไป๋ถานตีมือของเขาออก “ข้าเข้าวังมาในฐานะอาจารย์ของหลิงตูอ๋อง เกี่ยวข้องอันใดกับท่านพ่อเล่า”
ไป๋ต้งขานดังอ้ออย่างผิดหวัง จากนั้นพลันประชิดเข้ามาใกล้ เหลือบมองซือหม่าจิ้นก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ตกลงท่านเป็นอะไรหรือไม่ วันนั้นข้าเห็นเต็มสองตาว่าเขา… ‘อย่างนั้น’ ท่านอยู่”
ไป๋ถานรู้สึกว่าจุดนั้นของแก้มร้อนลวกดุจถูกไฟเผาอีกแล้ว นางรีบเฉไฉส่งเดชทันที “ไม่มีอะไร ตอนนั้นข้าหกล้ม ท่านอ๋องเพียงเข้ามาพยุงข้าเท่านั้นเอง”
“พยุงท่านจำเป็นต้องเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยด้วยหรือ”
“…” ไป๋ถานได้แต่นิ่งงันเอ่ยคำใดไม่ออก
เจ้าเด็กหน้าเหม็น รู้มากไปแล้วนะ!
ซือหม่าจิ้นเดินตรงมาเนิบๆ “หากเจ้าไม่วางใจข้า คราวหน้ายามที่เจ้ามาพำนักในจวนอ๋องสักระยะก็จะได้รู้ว่าข้าปฏิบัติต่อพี่สาวของเจ้าอย่างไร”
ไป๋ต้งพลันขนลุกซู่ นี่คือการข่มขู่สินะ นี่ต้องเป็นการข่มขู่กันแน่ๆ!
ไป๋ถานตัดบทคนทั้งสองทันที “รีบไปกันเถิด อย่าให้ผิดเวลา”
งานเลี้ยงของวังหลวงจัดขึ้นในตำหนักเหวินหวา ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าไปก็มองเห็นซีชิง นางนึกไม่ถึงว่าวันนี้อีกฝ่ายจะแต่งกายเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ ทั้งเขากำลังคุยจ้ออยู่ท่ามกลางบุตรหลานตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งอยู่
ไป๋ถานไม่อาจร่วมวงจึงหันหน้ามองไปทางกลุ่มสตรี ทว่านางก็แทบไม่รู้จักใครในที่นั้นเลยสักคน
เฮ้อ ดังนั้นถึงได้บอกว่าไยต้องให้ข้าเข้าวัง มิสู้พระราชทานเงินทองมาจะจริงแท้แน่นอนกว่า!
ขันทีเดินออกมาพลางสะบัดแส้ปัด ก่อนจะยืนประกาศด้วยเสียงกังวานอยู่ด้านบนให้ขุนนางทั้งหลายนั่งประจำที่
ไป๋ถานงุนงงไปชั่วขณะ นางไม่ได้มากับไป๋หยั่งถังและไม่มียศขุนนาง เช่นนี้จะนั่งที่ใดอีกเล่า
“อาจารย์” ซือหม่าจิ้นเรียกนางแล้วชี้มือที่ข้างกายตน
ไป๋ถานลังเลอยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจยืนเฉยจนดึงดูดสายตาผู้อื่นอยู่เช่นนี้ได้ นางจึงจำใจเดินไปนั่งลง
แม้จะรู้ว่าไม่ค่อยเหมาะสมเอาเสียเลย ทั้งนั่งตำแหน่งนี้ก็ยิ่งไม่ดูคล้ายคนเป็นอาจารย์ กลับคล้ายภรรยาเสียมากกว่า
แต่เมื่อนางอยู่ข้างกายหลิงตูอ๋องแล้วเป็นเรื่องแน่นอนว่าต่อให้ตำแหน่งที่นั่งจะไม่เหมาะสมเพียงใดก็ย่อมไม่มีใครกล้าสอดปาก
อันที่จริงคนที่นั่งใกล้ๆ ซือหม่าจิ้นก็เป็นแม่ทัพสองคนที่ล้วนพูดน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งดูจะรู้จักมักคุ้นกับเขาอย่างดี หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่กล้าเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ
บรรดาสตรีตระกูลขุนนางซึ่งนั่งหลังม่านอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามในยามนี้กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่
ที่ผ่านมาหลิงตูอ๋องมักเผยโฉมต่อหน้าผู้คนน้อยครั้งยิ่ง อีกทั้งยังไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ที่ผ่านมาพวกนางเพียงเคยได้ยินคำเล่าลือ วันนี้เมื่อได้ยลโฉมกับตาตนเองจึงพากันอุทานด้วยความตื่นตะลึงมิรู้หาย
อาภรณ์ม่วงเกี้ยวทองคำ หล่อเหลาเปี่ยมสง่าราศี แลดูเช่นนี้คล้ายไม่ได้น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ก็เห็นเขาช้อนตาขึ้นกวาดมองมา ไอเย็นเฉียบดุจน้ำค้างแข็งปะทะใบหน้า ประหนึ่งถูกดาบเดียวเชือดลำคอ
เหล่าสตรีพลันหน้าเผือดสีไปในพริบตา ตายแล้วๆ พวกนางช่างไร้เดียงสาเสียจริง…
อันที่จริงคนที่ซือหม่าจิ้นมองมิใช่สตรีเหล่านั้น หากแต่เป็นอัครเสนาบดีหวังฟูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงหวังฮ่วนจือซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของผู้เป็นบิดา
ทั้งที่เห็นอยู่ว่าศัตรูพบหน้าควรจะมีท่าทีโกรธแค้น ทว่าหวังฮ่วนจือกลับยังคงแย้มยิ้ม ซ้ำยังคอยชำเลืองมองไป๋ถานที่อยู่ข้างกายซือหม่าจิ้นเป็นพักๆ
เดิมทีไป๋ถานเพียงกลอกลูกตากวาดมองไปรอบๆ ยามรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองตนอยู่จึงช้อนตามองไป ก่อนจะเห็นบุรุษตระกูลขุนนางในอาภรณ์สีน้ำเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังส่งยิ้มมาให้ เมื่อสบเข้ากับสายตาของนางเขายังผงกศีรษะพลางหลุบตาแสดงคารวะอย่างเรียบง่ายอีกด้วย
ไป๋ถานจึงค้อมกายนิดๆ เป็นการคารวะตอบ ทว่ากลับได้ยินซือหม่าจิ้นที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา
“ท่านอ๋องเป็นอะไรไป”
“นั่นคือหวังฮ่วนจือ หรืออาจารย์ยังอยากรู้จักกับเขา?”
ไป๋ถานตะลึงงัน “ท่านอ๋องบอกว่าตีเขาพิการไปแล้วมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นเห็นทีว่าข้าจะลงมือเบาไปกระมัง”
“…” ไฉนจึงรู้สึกว่าท่าทางของเขายังคิดจะซ้อมอีกฝ่ายอีกสักรอบเล่า
ในที่สุดซือหม่าเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าบัลลังก์ทองที่อยู่ด้านบน ชุดประชุมขุนนางสีดำบนร่างแลดูภูมิฐานและเข้มงวด ทว่ามุมปากของเขากลับประดับรอยยิ้มอันอ่อนโยน ทันทีที่ยืนนิ่งก็มองมาทางซือหม่าจิ้น ก่อนที่สายตาจะจรดอยู่บนร่างไป๋ถาน รอยยิ้มของเขายิ่งทวีความลึกล้ำขึ้นขณะขยิบตาให้นางนิดๆ
เดิมนี่ถือเป็นอากัปกิริยาที่เล็กละเอียดถึงขีดสุด ผู้อื่นไม่อาจสังเกตเห็นได้ ทว่าไป๋ถานซึ่งจับจ้องเขาอยู่ตลอดย่อมจะมองเห็น
นางหลุบตาลง เมื่อก่อนตอนที่อายุยังน้อยเขาก็มักลอบส่งสายตาให้นางเช่นนี้ และนางก็คาดเดาความหมายของเขาออกทุกครั้ง
ขณะที่ในใจกำลังหวนระลึกถึงอดีต นางกลับเหลือบไปเห็นนิ้วมือของซือหม่าจิ้นซึ่งวางอยู่บนขอบโต๊ะเล็กกำลังเคาะเบาๆ ไปเรื่อยเปื่อย นางเบือนหน้าไปมองก็พบว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่บนร่างซือหม่าเสวียน
ตายแล้ว สายตาเมื่อครู่นี้คงไม่ถูกเขาเห็นเข้าหรอกนะ
โชคดีที่ขันทีร้องประกาศให้ถวายบังคม คนทั้งหมดจึงลุกขึ้นแสดงความเคารพ เสียงโห่ร้องดังสะท้านแก้วหูอยู่ชั่วขณะ สั่นสะเทือนจนความนึกคิดเล็กน้อยของนางเมื่อครู่นี้พลันหายวับไปจนสิ้น
พอถวายบังคมเสร็จ ขันทีก็ประกาศเปิดงานด้วยระบำแปดแถว* อธิษฐานขอพรต่อเชื้อพระวงศ์บนสรวงสวรรค์ คนทั้งหมดจึงรวบรวมสมาธิ ปั้นหน้าเคร่งขรึมจริงจังเพื่อแสดงออกซึ่งความเคารพยกย่อง
ไป๋ถานหิวโหยมานานแล้ว ทว่าในวังก็เป็นเช่นนี้เอง กฎระเบียบมากมายจนไม่อาจรับไหว นางแค้นใจจนแทบจะกลับภูเขาตงซานไปดื่มน้ำแกงที่อู๋โก้วต้มเสียเดี๋ยวนี้!
หลังจากชมระบำจนจบยังตามมาด้วยวาจาอันไร้แก่นสารอีกหนึ่งยก สำรับอาหารถึงค่อยวางขึ้นโต๊ะได้ในที่สุด ไป๋ถานคิดในใจว่าค่ำคืนนี้ตนเองจะต้องกินให้มากหน่อย ชั่วดีอย่างไรนี่ก็คือสิ่งที่แลกเปลี่ยนมาจากรางวัลเหล่านั้น ไหนเลยจะไม่รู้คุณค่าได้
ใครจะคาดคิดว่านางเพิ่งขยับตะเกียบไปได้ไม่กี่ที การแสดงชุดใหม่ก็เริ่มต้น นางเงยหน้าด้วยความคับแค้น ก่อนจะเห็นไป๋ฮ่วนเหมยญาติผู้พี่ของตนอุ้มกู่ฉิน** นั่งลงที่เบื้องล่างถัดจากบัลลังก์ทอง
ไม่พบพานกันหลายปี บัดนี้อีกฝ่ายได้กลายเป็นสตรีออกเรือนผู้แลดูสุขุมเปี่ยมเสน่ห์ไปแล้ว คิ้วตาประดับรอยยิ้มบางเบานุ่มนวล หลังประสานสายตากับซือหม่าเสวียนเล็กน้อยนางจึงก้มหน้าบรรเลงพิณ
ไป๋กุ้ยเฟยสำแดงฝีมือ มีผู้ใดบ้างที่จะกล้าไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าไป๋ถานยิ่งตั้งอกตั้งใจสดับฟังด้วยความปลื้มปีติเป็นพิเศษ
ไป๋ฮ่วนเหมยโตกว่านางหนึ่งปี ทว่ากลับเป็นคนหัวอ่อนจึงถูกรังแกได้ง่าย เมื่อก่อนยามที่ไป๋ถานอยู่ร่วมกับนางจึงมักรู้สึกว่าตนต่างหากที่เป็นพี่สาว ทว่าที่ญาติผู้พี่ของนางมีอุปนิสัยเช่นนี้คงเหมาะสมกับซือหม่าเสวียนที่สุดแล้วกระมัง
ไป๋ถานถอนสายตากลับมา หมุนจอกสุราในมือเบาๆ
“อาจารย์มีใจให้ฝ่าบาทหรือ”
ข้างหูแว่วเสียงถามอันแผ่วเบา ไป๋ถานสะดุ้งเฮือกก่อนมุ่นคิ้วมองไป “ท่านอ๋องอย่าได้พูดจาส่งเดช”
ซือหม่าจิ้นหรี่ตานิดๆ “ข้าพูดจาส่งเดชแน่หรือ”
ไป๋ถานเม้มปาก
ตอนนั้นนางเคยวาดฝันถึงอวี้จางอ๋องจริง แน่นอนว่าเดิมทีสตรีซึ่งเคลิ้มฝันในตัวเขาย่อมมีอยู่มิใช่น้อย
ทว่านางไม่เคยวาดฝันถึงผู้ที่เป็นถึงฝ่าบาทเลยสักนิด เพราะนางไม่มีทางใช้ชีวิตในวังหลวงอันเงียบเหงาเยี่ยงนั้นได้
ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตของนางคือการไปใช้ชีวิตที่เมืองอู๋ ยามอารมณ์ดีก็เพียงสอนหนังสือสักหลายหน้าหน่อย อารมณ์ไม่ดีก็ออกไปล่องเรือในทะเลสาบไท่หู ความสุขสูงสุดในชีวิตของนางก็คงมีเพียงเท่านี้
แต่ถึงกระนั้นตอนแรกที่ซือหม่าเสวียนเพิ่งขึ้นครองราชย์ ตอนที่ได้ยินว่าเขาจะเลือกสตรีสกุลไป๋เข้าวัง นางก็ยังแอบนึกอยู่ลึกๆ ว่าจะเป็นตนที่ถูกเลือกหรือไม่
สรุปคนที่เขาเลือกคือไป๋ฮ่วนเหมย นางทั้งผิดหวังทั้งโล่งใจระคนกัน พูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกใด ในยามนั้นนางเพียงจับตัวไป๋ต้งน้อยซึ่งกำลังกลมดิกขาวนุ่มนิ่มมาขยำแรงๆ รอบหนึ่งจึงเป็นอันยุติ
ฉะนั้นหากจะบอกว่านางมีใจให้ฝ่าบาทจึงไม่อาจนับได้ ผู้ที่นางมีใจให้อย่างแท้จริงคืออวี้จางอ๋องที่เคยรู้จักต่างหาก เขาคือผู้ที่ในตอนนั้นสนทนากันถูกคอ คุยกันได้ทุกเรื่อง
มาถึงวันนี้ทุกสิ่งจึงนับเป็นเพียงเรื่องเก่าที่ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว
“อย่างมากอาจารย์ก็เพียงแต่สนิทกับฝ่าบาทมากกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อย อย่างไรเสียก็นับเป็นสหายเก่า”
“เช่นนั้นกับข้า ไยอาจารย์จึงไม่มีความสนิทสนมเช่นนี้บ้าง หรือว่าพวกเรามิใช่สหายเก่า?”
ไป๋ถานตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมา
เข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ยังคิดจะให้อาจารย์สนิทกับเจ้าอีกหรือ เท่านี้อาจารย์ก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว รู้บ้างหรือไม่!
ซือหม่าจิ้นเห็นสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่านางหาได้ยินดีไม่ หน้าตาเขาพลันเย็นชาไม่พูดไม่จา ก่อนสะบัดหน้ามองไปทางไป๋ฮ่วนเหมยซึ่งดีดบรรเลงเพลงพิณอยู่ด้านบน
ไป๋ฮ่วนเหมยได้รับฉายานามว่ายอดคีตา ความลึกซึ้งของท่วงทำนองและอารมณ์เพลงย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ทว่าบทเพลงที่เลือกกลับทำให้ไป๋ถานประหลาดใจ
เมื่อก่อนตอนที่ไป๋ฮ่วนเหมยยังไม่ได้เข้าวัง ยามที่ทุกคนมาร่วมบรรเลงดนตรี ไม่ว่าเมื่อไรเพลงที่นางชอบเป็นพิเศษก็ล้วนเป็นท่วงทำนองที่ให้ความรู้สึกสูงส่งกว้างไกล บทเพลง ‘ก่วงหลิงส่าน’* ที่นางบรรเลงเต็มไปด้วยความฮึกเหิมก้องกังวาน หางเสียงดังสะท้อนเนิ่นนานไม่จางหาย ทว่าวันนี้นางกลับบรรเลงท่วงทำนองที่สะท้อนความรู้สึกอันลึกซึ้งของสตรีในห้องหอ อ่อนหวานไพเราะจับใจ พัวพันไม่ขาดสาย นางช้อนตาชำเลืองมองฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบนเป็นระยะ สายตาซึ่งถ่ายทอดตามท่วงทำนองเพลงนั้นพลันพรั่งพรูออกมาด้วยความรักอันพอเหมาะพอดี
ไป๋ถานไม่ชำนาญด้านอารมณ์เพลง แต่ก็พอรู้จักจำแนกแยกแยะได้ สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์เพลงนี้เฉกเช่นบทกวีและภาพวาด ล้วนเป็นไปตามสภาพจิตใจของผู้บรรเลง บัดนี้ความสามารถของไป๋ฮ่วนเหมยยังคงอยู่ แต่จิตใจคงแปรเปลี่ยนไปแล้วกระมัง
ทว่านี่ก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ อีกฝ่ายอาศัยอยู่ในวังหลวงมานานเช่นนี้ ซ้ำดำรงตำแหน่งสูงเป็นถึงกุ้ยเฟย ไหนเลยจะสามารถกระทำตามใจนึกเช่นแต่ก่อนตอนที่อยู่นอกวังได้อีก
ไป๋ถานหันหน้าเพื่อค้นหาคน ในที่สุดนางก็พบเห็นซีชิง สายตาของเขาไม่ได้จับอยู่บนร่างของไป๋ฮ่วนเหมย ทว่าเขาเพียงแค่ยกจอกสุราพลางก้มหน้าจิบทีละนิด
นางไม่เคยกินอาหารหนึ่งมื้อแล้วรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้มาก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือทั้งที่เหนื่อยเช่นนี้ไป๋ถานก็ยังกินไม่อิ่ม
ยามที่งานเลี้ยงยุติลงก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว รอจนขุนนางทั้งหลายถอยออกไปจนหมด ไป๋ถานถึงลุกขึ้นเดินไปทางประตูตำหนักอย่างเชื่องช้า
เพิ่งเดินไปถึงประตู เบื้องหลังก็พลันมีคนเรียกนาง พอหันไปก็พบว่าอีกฝ่ายคือซือหม่าเสวียนซึ่งยังไม่จากไป นางจึงตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนจะรีบคำนับอีกฝ่าย
“ไม่มีคนนอกแล้ว ไม่ต้องมากพิธีหรอก” สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนดุจเดียวกับสายลมวสันต์ซึ่งโชยไล้ใบหน้านางที่นอกเมืองเจี้ยนคังในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน
ไป๋ถานมองดูไป๋หยั่งถังกับไป๋ต้งที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย หน้าประตูในตอนนี้ก็มีเพียงซือหม่าจิ้น ดูแล้วก็พอจะนับได้ว่าไม่มีคนนอกอยู่แล้วจริงๆ
ซือหม่าเสวียนยิ้มพลางเอ่ย “เรามองไม่ผิดโดยแท้ หลิงตูอ๋องได้เจ้าเป็นผู้ชี้แนะเช่นนี้ จากนี้เราก็วางใจได้เสียที” จบคำเขาจึงหันหน้าไปกล่าวกับไป๋หยั่งถัง “ไท่ฟู่อบรมบุตรีได้ดียิ่งนัก”
ไป๋ถานรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับบิดาของนางสักนิดไม่ ยามเอ่ยชมนางไยต้องโยงไปถึงวงศ์ตระกูลด้วย
ไป๋หยั่งถังมีสีหน้าอีหลักอีเหลื่อพอสมควรขณะเอ่ยวาจาถ่อมเนื้อถ่อมตัว ซือหม่าจิ้นซึ่งยืนกอดอกพิงประตูอยู่ก็พลันเอ่ยปาก “ไท่ฟู่อบรมบุตรีย่อมทำได้ดี แต่หากเป็นเขาที่มาชี้แนะข้าด้วยตนเองแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะเห็นผลอันใดไม่”
สีหน้าของไป๋หยั่งถังพลันแข็งค้าง ยิ้มตอบอย่างวางหน้าไม่สนิท “ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้วขอรับ”
ซือหม่าเสวียนเองก็อับจนปัญญากับอุปนิสัยเช่นนี้ของญาติผู้น้อง จึงทำเพียงคลี่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เอาเถิด ไม่เอ่ยวาจาให้มากความไปกว่านี้แล้ว วันหน้าหากไป๋ถานมีเวลาว่างก็หมั่นเข้ามาในวังสักหน่อยเถิด จะได้เยี่ยมเยียนญาติผู้พี่ของเจ้าบ้าง”
ไป๋ถานขานรับ ทว่านางกลับเห็นเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด
ซือหม่าจิ้นพลันยืดกายออกเดินไปก่อน
ไป๋ถานไม่ทันสังเกต รอจนส่งซือหม่าเสวียนไปแล้ว ทว่าพอนางหันหน้ามากลับหาคนไม่พบ นางจึงได้แต่เดินออกจากวังไปเองด้วยความจนใจ
หิมะหยุดตกนานแล้ว แต่บนพื้นกลับมีหิมะสะสมพอจะกลบมิดหน้ารองเท้า
ไป๋ถานย่ำหิมะดังสวบสาบจนมาถึงประตูวัง มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งยองอยู่บนทางเดินซึ่งโล่งว่างไร้ผู้คน อาภรณ์สีครามแขนกว้างคลุมอยู่บนพื้นหิมะ เขานั่งโดดเดี่ยวเดียวดายดุจรูปปั้น สีหน้าปราศจากชีวิตชีวาเช่นยามปกติ ทั้งยังแลดูห่อเหี่ยวว้าเหว่ หงอยเหงาเศร้าตรมยิ่งนัก
“ซีชิง?” ไป๋ถานเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้ามองเขา “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ข้าพลันพบว่าตนเองไม่ได้รักชอบเหมยเหนียงแล้วอย่างไรเล่า”
ไป๋ถานตะลึงงัน
“วันนี้เจ้าได้ฟังเสียงพิณของเหมยเหนียงหรือไม่” เขาสูดจมูกพลางกอดอกแน่น “ข้ารู้สึกว่านางได้เปลี่ยนไปแล้ว”
ไป๋ถานเข้าใจแจ่มแจ้งจึงถอนหายใจอย่างลึกล้ำ “เจ้านึกว่าพวกเรายังเป็นเด็กน้อยเมื่อสิบกว่าปีก่อนอยู่อีกหรือ วัยแรกรุ่นผกผันดุจสุนัขสีหม่น* แท้จริงจิตใจคนได้ป้อนสุนัขไปสิ้นแล้ว!”
“กลอนดี” ซีชิงสูดจมูกอีกหนก่อนจะแหงนหน้ามองนาง “ข้าตัดสินใจแล้วว่าต่อแต่นี้ไปข้าจะชอบเจ้าก็แล้วกัน”
ไป๋ถานเหลือกตาใส่ “ความชอบของเจ้าช่างมาอย่างมักง่ายยิ่งนัก”
ซีชิงหาได้ใส่ใจนางไม่ เขากลับเอ่ยไปทางเบื้องหลังของนางแทน “ท่านอ๋อง วันหน้าหากข้ากับไป๋ถานลงเอยกัน ท่านคงไม่ถือสาที่จะเรียกข้าว่าอาจารย์พ่อกระมัง”
ไป๋ถานหันหลังขวับ พบว่าซือหม่าจิ้นกำลังเดินตรงมาที่พวกนางทีละก้าว แสงเรืองจากพื้นหิมะสะท้อนสองตาอันเยียบเย็นของเขา
“ไสหัวไป!”
เมืองเจี้ยนคังพอเข้าสู่ฤดูหนาวก็คล้ายดั่งตกลงไปในสระน้ำแข็ง ไอหนาวราวกับสามารถทะลวงเข้ามาในโพรงกระดูกได้ก็ไม่ปาน
ดูจากสีท้องฟ้าแล้วยังพบว่าเป็นเวลาเช้าอยู่ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงถูมือขยี้เท้าพลางเบียดร่างเข้ามาอยู่ด้วยกัน พวกเขารู้สึกเลื่อมใสอย่างศิโรราบขณะชมดูท่านอ๋องของตนฝึกยุทธ์อยู่ที่ลานท้ายจวน
ซือหม่าจิ้นเหงื่อออกทั้งตัว ซ้ำยังเปลื้องอาภรณ์ท่อนบน ท่ามกลางสายลมหนาวสะท้านนี้ ท่วงท่าของเขากลับไม่มีเนิบช้าเลยแม้แต่น้อย
“นี่ๆ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพักนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ค่อยจะดี” ฉีเฟิงใช้ข้อศอกยันกู้เฉิง
“ท่านอ๋องเคยอารมณ์ดีด้วยหรือ” กู้เฉิงย้อนถามอย่างจริงจังยิ่ง
ฉีเฟิงแทบกระอักตายเพราะอีกฝ่าย “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตั้งแต่งานเลี้ยงในวังคืนนั้นสีหน้าของท่านอ๋องก็อึมครึมมากเพียงใด”
“ท่านอ๋องก็สีหน้าอึมครึมมากมาตลอดมิใช่หรือไร”
ยามนี้ฉีเฟิงใกล้จะถูกอีกฝ่ายยั่วโมโหจนตายแล้ว หากไม่ใช่ติดว่าหนาว เขาต้องชกต่อยกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน นี่จะคุยกันดีๆ ได้หรือไม่!
ซือหม่าจิ้นหลังฝึกยุทธ์เสร็จก็สะบัดมือปักกระบี่ลงพื้นแล้วกลับเข้าห้อง ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาผูกสายรัดเสื้อนอกพลางเดินออกไปเบื้องนอก
ยามนี้กู้เฉิงไม่ทึ่มทื่ออีก รีบไปเตรียมรถอย่างรู้งาน
อากาศแม้จะหนาวเย็น ทว่าดวงตะวันกลับสดใสยิ่ง
รถม้าของซือหม่าจิ้นหยุดตรงริมแม่น้ำฉินไหว* เขาเหยียบไม้กระดานซึ่งวางพาดอยู่ก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวเรือสำราญลำหรูที่อยู่ในแม่น้ำ
ซีชิงกำลังรับไออุ่นจากเตาเล็กซึ่งต้มน้ำชาอยู่ พอเขาเห็นอีกฝ่ายเข้ามาก็พลันคลี่ยิ้มจนดวงตาแทบจะมองไม่เห็น “ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ไสหัวไปไกลเท่าไรก็รีบกลับมาแล้ว นี่ใช่ท่านยังโกรธเคืองข้าอยู่หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นเลือกนั่งตรงริมหน้าต่างโดยไม่แยแสเขา
“เฮ้อ…อย่างน้อยท่านอ๋องยังยอมมาพบปะกันที่นี่ ก็ไม่นับว่าตัดเยื่อสิ้นใยนัก” ซีชิงถูมือสองข้างพร้อมกับพลิกไปมา “แต่จะว่าไป ท่านอ๋อง ที่แท้หัวใจของท่านหวั่นไหวต่อไป๋ถานตั้งแต่เมื่อใดกัน คงไม่ได้ห่วงหานางมาตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้วหรอกกระมัง”
ซือหม่าจิ้นถูกใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายทำเอาหงุดหงิด อ้าปากถามโดยไม่ตอบ “งานของเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
ซีชิงเบ้ปาก นี่ก็แปลว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้สินะ “วางใจได้ ข้าทำงานของท่านอ๋องอยู่ หากเอ่ยถึงเรื่องตีสนิทตระกูลขุนนางแล้วยังจะมีผู้ใดทำงานได้สะดวกยิ่งกว่าข้าอีก”
ขณะเอ่ยวาจาก็มีคนผู้หนึ่งก้มร่างเดินเข้ามาในประทุนเรือ เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงินปกเป็นขนจิ้งจอก เรือนผมปล่อยสยาย สาบเสื้อคลายหลวมเผยผิวกายบริเวณหน้าอกสีแดงเรื่อ สว่างใสจนแทบจะเปล่งประกายออกมา บนดวงหน้าซึ่งมีคิ้วตาหมดจดนั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
ซีชิงเอ่ยทักทันทีที่เห็นอีกฝ่าย “คุณชายหวังเพิ่งกินผงห้าศิลามากระมัง”
ผู้มาก็คือหวังฮ่วนจือ สายตาของเขาจับอยู่บนร่างของซือหม่าจิ้น ซือหม่าจิ้นเพิ่งฝึกยุทธ์มาไม่นานจึงแต่งตัวตามสบาย สาบเสื้อของเขาแหวกเปิดนิดๆ เช่นกัน ทว่าผิวกายตรงหน้าอกกลับเป็นสีขาวดุจหิมะ
หวังฮ่วนจือร้องเอ๊ะด้วยความประหลาดใจ “หลิงตูอ๋องกินผงยาชนิดใดกัน บอกกล่าวให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยเถิด”
ซือหม่าจิ้นหยักยกมุมปากเล็กน้อย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หวังฮ่วนจือหัวเราะฮ่าๆ สองทีก่อนยกแขนซ้ายที่แข็งทื่อนิดๆ ขึ้นมา “ข้าน้อยมาขอบคุณท่านอ๋องที่วันนั้นยั้งมือไว้ไมตรีให้อย่างไรเล่าขอรับ”
“ทั้งที่รู้ว่าข้ายั้งมือให้เจ้ายังจะกล้ามาที่นี่อีก ไม่กลัวพิการไปจริงๆ หรืออย่างไร”
“เหตุใดท่านอ๋องจึงพูดเช่นนี้เล่า ที่ท่านยั้งมือมิใช่เพื่อรอให้ข้าน้อยมาพบท่านเช่นนี้หรือ” หวังฮ่วนจือเลิกชายชุดแล้วนั่งคุกเข่า มองเขาพร้อมยิ้มละไม “ข้าน้อยก็เหมือนกับท่านอ๋อง ชอบกระทำสิ่งใดตามอารมณ์ไม่รักษาจารีต หากรู้เร็วกว่าคงจะคบหากันตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยก็ต่างจากบิดา ย่อมไม่มีเคยมีอคติต่อท่านอ๋องแม้แต่น้อย”
ซือหม่าจิ้นชำเลืองมองซีชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้
เขาคือสกุลหวังแห่งหลางหยาเชียวนะ เป็นผู้ช่วยที่หาได้ยากยิ่งโดยแท้
หวังฮ่วนจือเป็นคนที่ไม่ยึดถือกฎเกณฑ์จริงดังที่ว่ามาเสียด้วย เขายกกาน้ำชาขึ้นจากเตารินแล้วให้ตนเองถ้วยหนึ่งโดยไม่สนใจซือหม่าจิ้นกับซีชิง จากนั้นจึงจิบหนึ่งคำก่อนกล่าว “สตรีที่พบในวังหลวงคืนนั้นคือยอดบุ๋นไป๋ถานกระมัง ข้าน้อยสงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าสตรีเช่นไรที่สามารถเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องได้ วันนั้นหลังได้พบกันก็รู้สึกว่านางก็เพียงแค่นั้นเอง น่าเสียดายแท้ นางหาได้ตรงกับความชอบของข้าน้อยไม่”
ซือหม่าจิ้นเลิกคิ้วนิดๆ “หรือเจ้ายังคาดหวังให้นางตรงกับความชอบของเจ้า?”
หวังฮ่วนจือยิ้มตอบ “ท่านอ๋องรูปงามเช่นนี้ข้าน้อยกลับมีใจใฝ่ฝันถึง เปรียบกับไป๋ถานแล้วท่านตรงกับความชอบของข้าน้อยยิ่งกว่า”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ ก่อนใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ “ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าใครมาสักพักแล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะทดลอง?”
หวังฮ่วนจือหัวเราะร่วนจนหัวคว่ำคะมำหงาย
ซีชิงลูบแก้ม นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นคนหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าตนเอง น่าละอายนักที่เขามิอาจเทียบอีกฝ่ายได้…น่าละอายใจเหลือเกิน หากเปรียบเทียบกันเช่นนี้ก็นับว่าตนยังมีความสำรวมเหลืออยู่บ้าง
หวังฮ่วนจือเอ่ยเมื่อหัวเราะจบจึงเอ่ย “จะว่าไปก็บังเอิญนัก เมื่อครู่ระหว่างทางที่ข้าน้อยมาที่นี่ก็ได้พบกับไป๋ถานเข้า ดูเหมือนนางจะถูกเกาผิงรับตัวเข้าวังไปแล้ว”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นขรึมลงทันที
คราวก่อนเขายังรู้สึกว่าท่าทางของนางหาได้เต็มใจเข้าวังไม่ เหดุใดคราวนี้เพียงแค่ฝ่าบาทเรียกตัวนางก็ยินดีไปเช่นนี้ได้เล่า หรือนี่คือความสนิทสนมระหว่างสหายเก่าที่นางพูดถึง
ขณะนี้ไป๋ถานกำลังไปเข้าวังก็จริง ทว่านางกลับไม่ได้ยินยอมพร้อมใจเลยสักนิด
วันนี้อากาศหนาวเหลือเกิน เพิ่งเลยยามเที่ยงนางก็เลิกชั้นเรียนแล้ว นึกไม่ถึงว่าเหล่าศิษย์เพิ่งจะกลับไป ในวังก็ส่งเกาผิงมาบอกว่าญาติผู้พี่อยากพบนาง
แต่ไรมาการวางตัวเข้าวังย่อมเหน็ดเหนื่อยกว่าการวางตัวเป็นอาจารย์อย่างเทียบไม่ติด ทว่าไป๋ถานก็ไม่สะดวกใจจะทำให้ญาติผู้พี่เสียหน้าจึงจำต้องรับปากไป
ก่อนออกเดินทางไป๋ถานหักดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่เพิ่งแย้มบานในสวนด้านหลังติดตัวไปด้วย เตรียมจะมอบให้แก่ไป๋ฮ่วนเหมย เพราะครั้งหนึ่งดอกเหมยจากต้นที่นางเคยดูแลในจวนไท่ฟู่เคยได้รับคำชมจากอีกฝ่ายมาก่อน นางจึงตั้งใจมอบดอกเหมยจากต้นที่ตนดูแลด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่งบนเขาตงซานนี้เป็นของกำนัล นี่คงไม่ทำให้นางดูยากไร้ถึงเพียงนั้นกระมัง
เอาเถิด สาเหตุหลักก็มาจากความยากจนอยู่ดี
เกาผิงพาไป๋ถานเข้าวังทางประตูด้านข้าง ตลอดทางเลือกใช้แต่เส้นทางลัด ไม่นานก็เข้าเขตวังชั้นใน เมื่อหยุดฝีเท้าเบื้องหน้าประตูตำหนักเขาจึงกล่าว “คุณหนู เชิญขอรับ”
ไป๋ถานเงยหน้ามองแผ่นป้ายเหนือประตู “นี่มิใช่ห้องทรงพระอักษรหรอกหรือ”
เกาผิงกล่าว “มิผิดขอรับ ก็คือที่นี่ คุณหนูโปรดรีบเข้าไปเถิด”
ไป๋ถานจำต้องเดินเข้าไป ภายในตำหนักว่างเปล่าไร้ผู้คน ขณะที่นางยังนึกแปลกใจก็มองเห็นดวงหน้าของซือหม่าเสวียนซึ่งเงยขึ้นมาจากเบื้องหลังหนังสือกราบทูลที่กองสูงอยู่บนโต๊ะ
“ฝ่าบาทประทับอยู่พระองค์เดียวหรือเพคะ” นางประหลาดใจเสียจนโพล่งถามจบแล้วค่อยรีบถวายบังคม
ซือหม่าเสวียนวางพู่กัน คลี่ยิ้มพลางกวักมือเรียกนาง “อะไรกัน หรือข้าอยู่คนเดียวก็ไม่อาจพบเจ้าแล้ว?”
ได้ยินอีกฝ่ายแทนตนเองว่า ‘ข้า’ ตามสบายเช่นนี้ ไป๋ถานยิ่งไม่กล้าเลินเล่อ นางเพียงเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพียงไม่กี่ก้าว รอให้ห่างจากที่ประทับของเขาอย่างน้อยหนึ่งจั้ง* แล้วก็ไม่กล้าขยับอีก
ซือหม่าเสวียนเห็นเช่นนั้นจึงเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินมาถึงเบื้องหน้านางเสียเอง “ไม่พบกันนานถึงสิบปี คราวก่อนที่เจ้าเข้าวังก็ไม่ได้สนทนากันอย่างเต็มที่ วันนี้ยากนักที่ข้าจะมีเวลาว่าง จึงเชิญเจ้าเข้าวังมาเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญสักหน่อย”
ไป๋ถานชำเลืองมองโต๊ะของเขา หนังสือกราบทูลกองสูงเกือบสามเชียะเช่นนี้ยังเรียกว่ามีเวลาว่างอีกหรือ
“ฝ่าบาทเชิญตรัส ไป๋ถานน้อมรับฟังเพคะ”
ซือหม่าเสวียนถอนหายใจพลางกล่าว “เจ้าจะทำตัวเหินห่างเช่นนี้ไปไย เรียกข้าว่าซั่นซิวเหมือนเมื่อก่อนนี้ก็ได้”
ซั่นซิวคือชื่อรองของเขา เขาเกรงอกเกรงใจกับนางมากนัก แต่นางไม่กล้าเรียกเขาอย่างส่งเดชโดยเด็ดขาด หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้านางจะทำเช่นไร อย่างไรนางก็ยังรักและถนอมชีวิตน้อยๆ ของตนยิ่ง!
ซือหม่าเสวียนเห็นนางไม่ส่งเสียงจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ช่างเถิด ข้าจะพูดอย่างชัดเจนเลยแล้วกัน วันนี้ที่เชิญเจ้ามาเพราะข้ามีราชโองการลับจะถ่ายทอดต่อเจ้า”
ไป๋ถานรีบย่อกายคุกเข่าคำนับ
สุ้มเสียงของซือหม่าเสวียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เราบัญชาให้เจ้าอบรมหลิงตูอ๋องให้ดี ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดก็ต้องทำให้เขากลับตัวแล้วเข้าสู่วิถีทางที่ถูกต้องให้จงได้”
ไป๋ถานพลันเงยหน้าขึ้น “ไยฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหลิงตูอ๋องถึงเพียงนี้เพคะ” นางรู้สึกแปลกใจมานานแล้ว แรกเริ่มหากมิใช่เพราะเขาใส่ใจความประพฤติของซือหม่าจิ้นเช่นนี้ นางก็คงไม่ถูกลักพาตัวไปที่จวนหลิงตูอ๋อง
ซือหม่าเสวียนกดเสียงพูดให้เบาลง “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดข้าประทานราชทินนามแก่เขาว่าหลิงตู”
เรื่องนี้ไป๋ถานก็แปลกใจมากเช่นกัน เพราะโดยปกติอ๋องเจ้าศักดินา* ล้วนได้รับราชทินนามตามชื่อเขตปกครองของตน เช่นเดียวกับราชทินนามอวี้จางอ๋องของเขาในอดีต ทว่าหลิงตูอ๋องกลับไม่ใช่เช่นนั้น
“หรือว่าความหมายของหลิงตูคือปกครองเหนือเมืองหลวง?”**
ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะกล่าว “ข้าได้เลือกเขาเป็นผู้สืบราชบัลลังก์มานานแล้ว”
สองตาของไป๋ถานพลันเบิกกว้าง แย่แล้ว ดูเหมือนข้าจะรับรู้ความลับที่ร้ายแรงใหญ่โตเข้าแล้ว!
ซือหม่าเสวียนคลี่ยิ้ม “เจ้าไม่ต้องตกใจไป ราชบัลลังก์นี้เดิมก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ได้รับความไว้วางใจจากอดีตฮ่องเต้และตระกูลขุนนางถึงได้นั่งตำแหน่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นจนบัดนี้ข้าก็ยังไร้ทายาท จึงสมควรวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ”
ไป๋ถานนึกได้ว่าซีชิงเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ตอนนั้นนางยังซักไซ้อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ทว่าอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันถึงความลับส่วนตัว นางจึงรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง “ฝ่าบาทยังทรงอยู่ในวัยฉกรรจ์ จะต้องมีทายาทเป็นแน่ ไม่จำเป็นต้องด่วนพิจารณาเรื่องผู้สืบราชบัลลังก์หรอกเพคะ”
ซือหม่าเสวียนยื่นมือพยุงนางลุกขึ้นตามมารยาท “วันหน้าต่อให้มีทายาทข้าก็ยังตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าจงรับราชโองการเถิด”
ไป๋ถานหลุบตา “ไป๋ถานรับราชโองการเพคะ”
อันที่จริงไม่ต้องมีราชโองการลับนางก็ตั้งใจทุ่มเทเต็มที่อยู่แล้ว อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ได้รู้แล้วว่าที่ซือหม่าจิ้นดุร้ายนั้นมีสาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงนางดึงเขากลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าสำหรับเขาหรือนางก็ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
นางรู้สึกนับถือซือหม่าเสวียนยิ่งนัก เขานั่งสูงอยู่บนตำแหน่งที่สามารถก้มมองสรรพชีวิตได้เช่นนี้ ทว่ากลับไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ใช่ว่าใครก็สามารถกระทำเยี่ยงเขาได้ ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้แล้วเขาก็ยังคงเป็นอวี้จางอ๋องที่บริสุทธิ์ยุติธรรมน่าประทับใจคนเดิมผู้นั้นไม่เปลี่ยน
ซือหม่าเสวียนมิใช่คนอมทุกข์ เรื่องไร้ทายาทเยี่ยงนี้เมื่อพูดออกมาแล้วเขาก็หาได้เก็บมาเป็นอารมณ์ไม่ เพียงไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ราชโองการลับนี้มีแต่เจ้ากับข้าที่รู้ รอให้เขากลับคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้องแล้ว เจ้าอยากได้รางวัลใดข้าก็ล้วนรับปากทั้งสิ้น”
เพื่อไม่ให้เขาหวาดระแวง ไป๋ถานจึงคลี่ยิ้มตามอย่างสดใสเปิดเผย “ในเมื่อได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันทูลขอที่ดินพระราชทานที่เมืองอู๋สักผืนได้หรือไม่ ถึงตอนนั้นเมื่อหม่อมฉันได้อยู่ที่เมืองอู๋ก็ไม่ต้องพะวงเรื่องความเป็นอยู่แล้วเพคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าเสวียนพลันเลือนหายไปทันที “เจ้าจะไปเมืองอู๋หรือ”
“เพคะ หม่อมฉันใฝ่ฝันจะไปอยู่ที่นั่นนานยิ่งแล้ว”
“ต้องไปให้ได้เลยหรือ” เขามุ่นคิ้วพลางยื่นมือมาหานาง ทว่าสิ่งที่นิ้วมือของเขาสัมผัสกลับเป็นกิ่งไม้อันแห้งแข็งท่อนหนึ่ง
ที่แท้ยามที่ไป๋ถานเห็นเขายื่นมือมา ตัวนางก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้ว ก่อนจะพลันตระหนักได้ว่าเสียมารยาทจึงยื่นกิ่งเหมยกิ่งนั้นวางใส่มือของเขาไปตามสถานการณ์ “ฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรว่าหม่อมฉันจะมอบดอกไม้นี้แก่พี่สาว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่รบกวนฝ่าบาทแล้วเพคะ” พูดจบนางจึงย่อกายคำนับแล้วรีบหันหลังออกจากประตูไปอย่างเร่งร้อนจนคล้ายว่าหนีเตลิดอยู่บ้าง
เกาผิงเดินเข้ามาหลังจากนางออกไป พอเห็นดอกเหมยในมือซือหม่าเสวียนจึงประสานมือกล่าว “ฝ่าบาทจะทรงให้กระหม่อมสั่งบ่าวไพร่นำดอกไม้นี้ไปถวายที่ตำหนักกุ้ยเฟยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าเสวียนสั่นศีรษะ แววตายังคงเจืออาการตกตะลึงไม่หาย
ไป๋ถานวิ่งตลอดทางจนมาถึงประตูวังแล้วจึงค่อยรู้สึกได้ว่าตนค่อนข้างมุทะลุยิ่ง ซือหม่าเสวียนอาจไม่มีเจตนาอื่นใดก็เป็นได้ มิใช่นางเป็นกระต่ายที่ตื่นตูมเกินไปสักหน่อยหรือ
แม้สำหรับส่วนรวมเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่ส่วนตัวเขาก็ยังเป็นพี่เขย หากนางจะรักษาระยะห่างไว้บ้างก็ย่อมเป็นการสมควร
อย่างไรเสียระหว่างนางกับเขาก็ต่างถูกลิขิตให้ไม่อาจได้ลงเอยกันอยู่แล้ว…
เกาผิงให้คนมาส่งนางกลับภูเขาตงซาน เพียงย่างเท้าเข้าเรือนนางก็เห็นซือหม่าจิ้นยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน
“ท่านอ๋องมาได้จังหวะพอดี อาจารย์กำลังจะไปหาท่านอยู่เชียว” บัดนี้นางเป็นผู้สนองราชโองการลับแล้วย่อมต้องขยันขันแข็งมากกว่าแต่ก่อน
ซือหม่าจิ้นหันหน้ามองมา สีหน้าเขาอึมครึมดุจท้องฟ้าที่ไร้วี่แววของแสงตะวัน
ไป๋ถานเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็อับจนถ้อยคำ นับตั้งแต่เข้าวังคืนนั้นก็ไม่เคยเห็นเขามองตนด้วยสีหน้าที่ดีอีกเลย แปลกแท้ คนที่ล่วงเกินเขามิใช่ซีชิงหรอกหรือ ไฉนจึงดูเหมือนนางพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วยได้
นางกระแอมให้โล่งคอก่อนเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าเขา “ต่อไปนี้อาจารย์จะทุ่มเทเพื่อท่านอ๋องอย่างเต็มที่ วันหน้าหากท่านอ๋องยากจะข่มกลั้นความคิดสังหารต้องรีบบอกอาจารย์ทันที ห้ามปกปิดเก็บซ่อนอารมณ์โดยเด็ดขาด”
นี่มิใช่นางมีนางเจตนาดีหรอกหรือ อย่างไรเสียซือหม่าจิ้นก็ทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยแล้ว คงไม่แคล้วมียามที่ไม่อาจระงับยับยั้งได้บ้าง ขอเพียงนางมีการเตรียมพร้อมก็จะรับมือกับอาการของเขาได้ง่ายขึ้นมาก ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ ไม่แน่อาจกำลังคิดทำเรื่องชั่วร้ายอะไรอยู่ก็เป็นได้
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “ตอนนี้ข้ามีความคิดสังหารอยู่พอดี อาจารย์อยากฟังหรือไม่”
ไป๋ถานรีบเอ่ยพร้อมสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ว่ามาสิ”
ซือหม่าจิ้นถูนิ้วมือ เพลิงกองหนึ่งซึ่งสุมอยู่ในใจได้ถูกกระตุ้นจนลุกโชนโชติช่วง แผดเผาให้เขาเจ็บปวดจนยากที่จะขจัดได้ เขาคุ้นชินแต่กับการเคี่ยวกรำผู้อื่น มองดูผู้อื่นทนทุกข์ทรมาน ทว่ายามนี้ตนกลับพลัดตกเข้าสู่เงื้อมมือมารเสียเอง
เขาพลันโน้มกายมาประชิดข้างหูของไป๋ถาน พ่นลมอันน่าพรั่นพรึงก่อนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าแทบอยากฉีกอาจารย์แล้วกลืนกินท่านลงท้องไปเสียถึงจะพอใจ”
ไป๋ถานสะดุ้งจนตัวโยน นางป้องหูพร้อมถอยหลังติดกันไปหลายก้าว เพิ่งจะปั้นหน้าขรึมเตรียมแสดงความน่าเกรงขามของผู้เป็นอาจารย์ออกมา เงาร่างสีขาวสายหนึ่งก็พลันพุ่งมาถึง ก่อนกระโจนปราดเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
“พี่สาวไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาคิดไม่ซื่อกับท่าน!” ไป๋ต้งเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นซือหม่าจิ้นกระซิบกระซาบข้างหูพี่สาวแล้ว ไหนเลยจะทนไหว เขาแค้นใจจนแทบจะเอาพี่สาวไปซ่อนไว้ถึงจะยอมเลิกรา
ซือหม่าจิ้นกลับไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย เพ่งตาจับจ้องเพียงไป๋ถานอยู่ผู้เดียว “ขอเรียนถามอาจารย์ เช่นนี้ท่านจะอบรมข้าเช่นไร”
ในฐานะปัญญาชนคนหนึ่ง ก่อนอื่นไป๋ถานจำต้องวิเคราะห์ความหมายตามตัวอักษรและนัยแฝงของคำว่า ‘ฉีกกินลงท้อง’ ทว่าสุดท้ายเมื่อนำอุปนิสัยอันพิสดารและโหดร้ายของซือหม่าจิ้นมาพิจารณาประกอบร่วมแล้ว นางก็เลือกที่จะตีความตามตัวอักษร จากนั้นนางก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างทันที
ตายแน่แล้ว หรือเรื่องที่โจษจันกันว่าเขาดื่มเลือดกินเนื้อคนในสนามรบจะเป็นความจริง!
เห็นทีตอนนี้ตนจะต้องแสดงฝีมือด้านการแสดงเสียแล้ว นางรีบสลับสีหน้าในฉับพลัน ขบริมฝีปากปั้นหน้าตรอมตรมระคนขุ่นเคือง “ช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจารย์ทำเพื่อท่านอ๋องจนต้องบาดเจ็บมาแล้วเท่าไร ได้รับความลำบากมากมายเพียงใด ไยท่านอ๋องถึงกับจะปฏิบัติต่ออาจารย์เช่นนี้…”
ช่างเป็นคำร้องทุกข์อันโศกสลดทุกถ้อยคำ ไม่ว่าเขาจะจับนางกินจริงหรือไม่ เมื่อกล่าววาจานี้ออกมาก็เพียงพอจะทำร้ายคนแล้ว!
ไป๋ต้งพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกคำรบ “พี่สาว ท่านถึงกับบาดเจ็บเพื่อเขา! พี่สาว ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่!”
ไป๋ถานแทบอยากจะยกเท้าเตะน้องชาย รู้จักดูบรรยากาศบ้างหรือไม่ พี่สาวเจ้ากำลังแสดงบทบาทมาถึงช่วงสำคัญแล้ว!
ดูเหมือนซือหม่าจิ้นจะถูกคำกล่าวอ้างของนางทำให้หวั่นไหวบ้างแล้ว เขาจึงเอ่ยพร้อมสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สิ่งที่อาจารย์อุทิศเพื่อข้า ข้าล้วนจดจำใส่ใจ วันหน้าจะขอแทนคุณเป็นเท่าทวีไม่ลืมเลือนจนชั่วชีวิตแน่นอน”
ไป๋ถานระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นท่านอ๋องยังมีความคิดสังหารอาจารย์อยู่หรือไม่”
“ความคิดสังหารของข้ามีเพียงอาจารย์ที่สามารถระงับยับยั้งได้ ฉะนั้นมีหรือไม่มีล้วนดูว่าอาจารย์จะอบรมข้าอย่างไรแล้ว” ซือหม่าจิ้นพูดจบก็เดินเข้าห้องหนังสือของนางไปตามอำเภอใจ
ไป๋ต้งไม่รอช้า ม้วนแขนเสื้อของตนขึ้นเตรียมจะไล่ตามเข้าไป “นี่เขาหมายความว่าอย่างไร เห็นที่นี่เป็นเรือนของตนเองแล้วใช่หรือไม่”
ไป๋ถานคว้าคอเสื้อของน้องชายได้ในปราดเดียว “ตกลงเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่”
สีหน้าของไป๋ต้งเปลี่ยนเป็นจืดเจื่อนในพริบตา “เอ่อ…ข้าเพียงแต่มาเยี่ยมเยือนพี่สาวเท่านั้น”
ไป๋ถานหรี่ตา “พูดมาตามตรง”
ไป๋ต้งหัวเราะแหะๆ “ท่านพ่อคิดจะเรียกท่านกลับไปอีกแล้ว”
ไป๋ถานไม่ประหลาดใจสักนิด “คราวนี้ด้วยเรื่องอะไรอีก”
“ท่านพ่อบอกว่าใกล้ครบรอบวันสิ้นบุญของแม่ใหญ่แล้ว จะให้พี่สาวกลับจวนไปร่วมพิธีอุทิศส่วนกุศล”
สิ่งที่ไป๋ถานชังที่สุดคือบิดาเอามารดาของนางมาพูดอ้าง นางเอ่ยตอบด้วยเสียงอันเย็นชา “เจ้ากลับไปบอกท่านพ่อว่าข้าระลึกถึงท่านแม่อยู่ในใจเสมอ ไม่อาจไปร่วมพิธีกรรม ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะจัดการเรื่องพิธีอุทิศส่วนกุศลนี้ด้วยตนเอง”
ไป๋ต้งหน้ายุ่ง “พี่สาว ข้าไม่เข้าใจเลย เมื่อก่อนท่านไม่เข้าเมืองหลวงก็แล้วไปเถิด แต่เดี๋ยวนี้กระทั่งในวังท่านก็เคยไปมาแล้ว เหตุใดจึงดึงดันไม่ยอมกลับจวนเสียทีเล่า”
ไป๋ถานถอนหายใจก่อนลูบศีรษะเขา “สักวันเจ้าจะเข้าใจเอง”
ไป๋ต้งถูกลูบจนความคิดล่องลอย ทว่าใจยังพะวงถึงคนที่อยู่ในห้องหนังสือ “ในเมื่อพี่สาวไม่กลับ เช่นนั้นข้าก็ไม่กลับ ข้าจะอยู่ที่นี่คอยจับตาดูมารร้ายนั่น!”
ไป๋ถานไม่รับน้ำใจ “รีบกลับไปเสีย! ขืนเจ้าไม่ไป ท่านพ่อมาเยือนซ้ำสองจะทำอย่างไรกันเล่า หรือเจ้าอยากให้ข้าถูกมัดกลับไป?”
ไป๋ต้งย่อมไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น หลังวุ่นวายใจเพียงพริบตาเดียวก็ยอมแพ้ในที่สุด ถลึงตาใส่ห้องหนังสืออย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “หากมารร้ายนั่นกล้าทำอะไรท่าน ข้าไม่มีทางละเว้นเขาแน่!”
อู๋โก้วซึ่งซ่อนกายลอบดูอยู่บนระเบียงทางเดินแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ทีหนึ่ง
ไป๋ถานมองส่งน้องชายออกจากประตูเรือนจึงค่อยเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะกำลังดูหนังสือที่นางพลิกอ่านไปแล้วครึ่งเล่ม ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านเข้าสมองไปสักกี่หน้า
นางใคร่ครวญก่อนเอ่ยปาก “อาจารย์คิดได้แล้วว่าจะอบรมท่านอ๋องอย่างไร อีกสามวันให้หลังท่านอ๋องตามอาจารย์ไปอารามเป้าผู่สักเที่ยวเถิด”
ซือหม่าจิ้นไม่พิรี้พิไร ปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นเดินไปทางประตู “เช่นนั้นอีกสามวันข้าค่อยมาใหม่”
“ท่านอ๋อง” ไป๋ถานเอ่ยเรียกขณะที่เขาเฉียดผ่านข้างกายไป ในที่สุดนางก็ซักถามในสิ่งที่ตนฉงนมาตลอดหลายวันนี้ “พักนี้ท่านเป็นอะไรกันแน่ ใช่ท่านชิงชังรังเกียจอาจารย์หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นชะงักเล็กน้อยก่อนเดินออกจากประตูไปโดยไม่ตอบแม้สักคำ
กระทั่งวาจายังไม่ยินดีจะพูดกับนาง ไป๋ถานอึดอัดคับข้องใจยิ่ง
เหตุที่เลือกอีกสามวันให้หลัง เพราะวันนั้นคือวันครบรอบวันตายของซีฮูหยินมารดาของนาง
แปลกพิกลแท้ นับตั้งแต่ซือหม่าจิ้นกลับไปท้องฟ้าก็แจ่มใสติดกันทุกวัน ทว่าพอถึงวันครบรอบที่เขาต้องมากลับเริ่มมีหิมะหนาทึบโปรยปรายลงมาไม่หยุด
แน่นอนว่านางต้องหยุดชั้นเรียนหนึ่งวัน ไป๋ถานตื่นแต่เช้าแล้วเลือกสวมชุดยาวสีขาวซึ่งปกปิดมิดชิด รัดเอวเข้ารูป ปล่อยเรือนผมให้ยาวสยาย ดวงหน้าหมดจดไม่ประทินโฉม ประดับเพียงปิ่นไม้ไผ่ที่โจวจื่อมอบให้อันนั้นแล้วเรียกอู๋โก้วให้นำเครื่องเซ่นไหว้มุ่งหน้าสู่อารามเป้าผู่
ตลอดทางนางภาวนาต่อดวงวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของมารดา ขอให้มารร้ายผู้นั้นกลับใจละทิ้งความชั่วแล้วหันมาทำความดีในเร็ววัน ทั้งขอให้เฉินหนิงลืมนกของเขาแล้วด้วยเถิด…
เดินมาถึงครึ่งทางจึงเห็นว่าซือหม่าจิ้นมารออยู่ก่อนแล้ว กู้เฉิงกับฉีเฟิงเดินนำหน้าเขาไปก่อน คาดว่าคงล่วงหน้าเพื่อไปเตรียมการที่อารามเป้าผู่
ไป๋ถานอ้าปากระบายลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว “ท่านอ๋องมาเช้ายิ่งนัก”
ซือหม่าจิ้นคลุมเสื้อนอกตัวหนา มือซึ่งสอดอยู่ในแขนเสื้อประคองเตาเล็กสำหรับอุ่นมือ เขายืนหน้าตาเย็นชาอยู่บนขั้นบันไดหินของทางเดินขึ้นเขา “ไม่เช้าหรอก ข้าเพิ่งจะมาถึง”
ไป๋ถานเดินตรงเข้าไปเอ่ยหยอกเย้า “คนที่รูปกายกำยำเช่นท่านอ๋องก็ยังต้องใช้เตาอุ่นมือหรือนี่”
“ฮึ ใช่ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ของพรรค์นี้สักนิด” ซือหม่าจิ้นยัดเตาเล็กนั้นใส่มือของนางก่อนยกเท้าเดินมุ่งขึ้นเขาไป
ไป๋ถานมองเตาอุ่นใบเล็กที่อยู่ในมืออย่างตกตะลึง ท่าทางนางจะพูดผิดไปหรือไม่ คนที่กำยำแข็งแรงเพียงใดก็กลัวหนาวได้เช่นกัน ทว่าเตานี่ช่างอบอุ่นดีจริงเชียว คงหักใจคืนให้เขาไม่ได้เสียแล้ว
นางไล่ตามเขาไป ก่อนจะสังเกตว่าฝีเท้าของซือหม่าจิ้นค่อยๆ ผ่อนช้าลงแล้ว เพียงไม่นานนางก็เดินนำหน้าเขาหนึ่งก้าว
เดินไปได้สักพักนางจึงปรายตามองไปด้านหลังแวบหนึ่ง กลับเห็นซือหม่าจิ้นแทบจะแนบร่างกว่าครึ่งของเขามาค่อนชิดแผ่นหลังของนาง เสื้อนอกตัวหนาอ้าออกนิดๆ เพียงพอจะบังลมและหิมะเหนือหัวไหล่ของนางขึ้นมาได้พอดี
ไป๋ถานรู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย “นี่ท่านอ๋องกำลังบังหิมะให้อาจารย์อยู่หรือ”
ซือหม่าจิ้นหัวคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าไป “อาจารย์คิดมากไปหรือไม่”
“…” จริงด้วย เรื่องเคารพเชื่อฟังอาจารย์เขาย่อมไม่มีทางทำแน่
เหล่านักพรตในอารามเป้าผู่กำลังกวาดหิมะที่สะสมอยู่บนขั้นบันไดหิน ทันทีที่เห็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงทั้งหมดก็หน้าพลันถอดสี ต่างกลัวว่าตนจะรั้งท้ายรีบแย่งกันวิ่งไปหาศิษย์พี่ใหญ่เฉินหนิงทันที
ยามที่ไป๋ถานเดินเข้าสู่โถงใหญ่ก็มองเห็นสีหน้าตัดพ้อของเฉินหนิงในปราดเดียว
“ขอเรียนถามว่าคุณหนูไป๋ให้เกียรติมาเยือนอารามแห่งนี้ด้วยเรื่องอันใด”
“สหายเก่ากันแท้ๆ เหตุใดเจ้ายังตำหนิข้าอยู่อีกเล่า”
“ไม่ตำหนิเจ้าแล้วให้อาตมาตำหนิใคร” เฉินหนิงชำเลืองมองซือหม่าจิ้นที่อยู่ข้างกายนางพลางคิดในใจว่า…อาตมาจะกล้าตำหนิมารร้ายผู้นั้นหรือ!
ไป๋ถานเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว แสดงท่าทีให้เขาไปสนทนากันที่มุมห้อง
เฉินหนิงแม้ไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจนัก แต่ยังคงเดินตามนางไป
ทั้งสองกระซิบกระซาบกันพักใหญ่ ไป๋ถานชักแม่น้ำทั้งห้าจนริมฝีปากใกล้จะเปื่อยอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยประกอบพิธีกรรมให้กับมารดาของนาง
“เอาเถิด” เฉินหนิงพาดแส้ปัดกับวงแขน “เรื่องมาถึงขั้นนี้ พูดอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ หลังทำพิธีเสร็จเจ้าก็ให้ค่าเหนื่อยมาสักหน่อยเป็นพอ”
ไป๋ถานผงกศีรษะเป็นพัลวัน “นั่นย่อมแน่นอน”
เฉินหนิงถอนหายใจก่อนขยับปากขมุบขมิบสองสามประโยคสวดส่งดวงวิญญาณให้แก่นกน้อยที่ตายอย่างอนาถของเขาเหล่านั้น จากนั้นจึงค่อยสั่งการให้เหล่าศิษย์ตั้งโต๊ะบูชาเพื่อตระเตรียมเครื่องใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม
รอจนจัดวางกระถางธูปเชิงเทียนบนโต๊ะครบถ้วนแล้ว เฉินหนิงจึงนำศิษย์หลายคนมานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลมแล้วเริ่มสวดมนต์ภาวนาโดยพร้อมเพรียง
ซือหม่าจิ้นถามไป๋ถาน “นี่กำลังทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้ใครหรือ”
ไป๋ถานตอบเสียงเบา “มารดาผู้ล่วงลับ”
“ที่แท้คือซีฮูหยิน เช่นนั้นข้าย่อมต้องเซ่นไหว้สักหน่อย” ซือหม่าจิ้นสั่งให้ฉีเฟิงหยิบธูปมาสามดอก เขาลงมือจุดแล้วปักบนกระถางธูปด้วยตนเอง
ปฏิกิริยาของเขาอยู่ในความคาดหมายของไป๋ถาน แต่นางก็ยังจงใจเอ่ยถามหนึ่งประโยค “เหตุใดท่านอ๋องพอได้ยินว่าเป็นมารดาของอาจารย์แล้วจึงเซ่นไหว้เล่า”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “วัยเด็กข้าเคยได้ยินเสด็จแม่รับสั่งว่านางสามารถรู้จักกับเสด็จพ่อได้เป็นเพราะมีซีฮูหยินเป็นผู้แนะนำ”
ไป๋ถานย่อมรู้เรื่องนี้แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ “อาจารย์เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก วัยเด็กเพียงได้ยินมาตลอดว่าอดีตฮ่องเต้กับอดีตฮองเฮาทรงเป็นคู่ที่รักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้งยิ่ง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกี่ยวข้องกับมารดาของอาจารย์ด้วย”
ซือหม่าจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “เสด็จพ่อทรงปฏิบัติต่อชนชั้นปกครองอย่างเฉียบขาดรุนแรงจนเป็นเหตุให้ชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยก่อกบฏ คนรุ่นหลังจึงประณามกล่าวโทษเขาเป็นส่วนใหญ่ ทว่ากลับมีเพียงตำหนักในที่ร่มเย็น นับเป็นข้อดีของเสด็จพ่อ”
มีบุตรชายที่ใดวิจารณ์บิดาตนเองเช่นนี้บ้าง ไป๋ถานพลันรู้สึกผิดหวัง เดิมทีนางคาดหวังจะอาศัยพิธีกรรมของมารดาสะกิดให้เขาหวนระลึกถึงบุพการีของตนเอง อย่างไรเสียต่อให้เขาเป็นคนที่เลือดเย็นเพียงใดก็ต้องมีความรู้สึกรักและเคารพต่อบุพการีไม่มากก็น้อย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการปรับปรุงความประพฤติของเขาได้อย่างแน่นอน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าคำประเมินจากปากของเขาที่มีต่ออดีตฮ่องเต้จะเป็นเช่นนี้
ไป๋ถานเอ่ยต่อด้วยหัวข้อสนทนาของเขาโดยไม่คิดถอดใจ “ได้ยินว่าตอนนั้นทัพกบฏข้ามแม่น้ำบุกเข้าเมืองเจี้ยนคังได้ก็ตรงไปคุกคามที่กำแพงวังทันที อดีตฮองเฮาทรงเผชิญวิกฤติในยามนั้นโดยไม่ครั่นคร้าม ตวาดประณามทัพกบฏเสียงกร้าว ทรงห้าวหาญเฉียบขาดเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่อดีตฮ่องเต้จะทรงโปรดปรานยิ่งกว่าผู้ใด”
ซือหม่าจิ้นเอียงหน้าไปมองนาง “อาจารย์อยากบอกว่ามีมารดาเช่นนี้ไยจึงมีทายาทเยี่ยงข้าได้ใช่หรือไม่”
ทั้งที่ถูกเขาพูดเปิดโปงความในใจของนางออกมา ทว่าไป๋ถานก็ยังมีสีหน้าซื่อตรงดุจเดิม “เชียนหลิงเอ๋ย อาจารย์จิตใจดีงามยิ่ง ไม่เคยกระทบกระเทียบศิษย์ของตนในใจมาก่อน เจ้าพูดถึงอาจารย์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าจิ้นไม่แสดงท่าทีใดๆ เพียงหันหน้าไปเหลียวมองรอบด้าน “นี่ก็คือการอบรมที่อาจารย์เอ่ยถึงหรือ”
ไป๋ถานรู้สึกอับจนปัญญาอยู่บ้าง นางยกชายชุดแล้วนั่งคุกเข่าบนเบาะกลม ผินหน้ามามองเขา “ในเมื่อท่านอ๋องให้ความเคารพต่อมารดาของข้า เช่นนั้นต่อหน้าดวงวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของนางก็ควรจะยิ่งซาบซึ้งถึงหลักเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ตายล่วงลับไม่กลับคืน ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พึงเคารพ’ ต่อไปก็สมควรระงับยับยั้งความคิดสังหารของตนให้ได้”
สำคัญที่สุดคือต้องระงับยับยั้งความคิดที่จะแตะต้องอาจารย์!
ซือหม่าจิ้นไม่พูดไม่จา แม้ท่าทางไร้ความสนใจ แต่กลับไม่เห็นอาการหงุดหงิดเอือมระอา
เฉินหนิงท่องบทสวดจบก็ประกอบพิธีในช่วงท้ายต่ออีกครู่หนึ่ง รอจนเสร็จสิ้นแล้วจึงสะบัดแส้ปัดเดินมาถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน “อีกไม่กี่วันราชสำนักจะจัดงานล่าสัตว์ฤดูหนาว เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่”
ไป๋ถานชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อยู่ในราชสำนักจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เฉินหนิงกล่าวต่อ “วันนั้นอาตมาจะตามเสด็จไปที่อุทยานเล่อโหยว ถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องมาด้วย”
ไป๋ถานรู้สึกขบขัน “ข้าล่าสัตว์ไม่เป็นสักนิด เจ้าเรียกข้าไปทำอะไร”
เฉินหนิงแสดงท่าทีให้นางลุกขึ้น จากนั้นชี้แจงสาเหตุต่อนางอย่างละเอียดชัดแจ้ง
เจตนาของเขาคือให้ไป๋ถานไปไถ่ชีวิตเหยื่อที่ถูกล่ามาได้ ก่อนหน้านี้ซือหม่าจิ้นฟันนกของเขาไปกี่ตัว วันนั้นนางก็ต้องไถ่ชีวิตสัตว์ตามจำนวนนกที่ตายไป นี่เรียกว่าหนึ่งชีวิตชดเชยหนึ่งชีวิต นับเป็นการสร้างกุศลเช่นกัน
ไป๋ถานรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เช่นนี้ข้าไม่ต้องไปหัดล่าสัตว์ก่อนหรืออย่างไร”
เฉินหนิงเชิดคาง “เจ้าล่าสัตว์ไม่เป็น แต่ศิษย์ที่เจ้าสอนล่าเป็นนี่ สรุปว่านี่คือค่าเหนื่อยของพิธีกรรมวันนี้ เจ้าคิดดูเองก็แล้วกัน” สายตาของเขาล่องลอยไปทางซือหม่าจิ้นอย่างไม่ค่อยเด่นชัด
ไป๋ถานเลื่อมใสในสมองของเฉินหนิงยิ่งนัก อยากสั่งสอนซือหม่าจิ้นก็พูดมาตรงๆ เถิดไยต้องเอานางมาอ้างด้วย!
ทว่ามองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เป็นโอกาสที่จะให้ซือหม่าจิ้นได้กล่อมเกลาจิตใจ สุดท้ายนางจึงผงกศีรษะรับปากอยู่ดี
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้มไม่พูดไม่จา เขาไหนเลยจะไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมายของเฉินหนิง
เฉินหนิงเดินจากไปอย่างพออกพอใจ ไป๋ถานไหว้คารวะไปทางโต๊ะวางกระถางธูปอีกครั้งก่อนยืดกายเดินจากมา เพิ่งจะออกจากซุ้มประตูทางขึ้นอารามก็ปะทะเข้ากับไป๋หยั่งถังและไป๋ต้ง
พวกเขานำคนกลุ่มหนึ่งพร้อมธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้กำลังจะขึ้นไปบนอาราม
เดิมสีหน้าของไป๋หยั่งถังก็ไม่นับว่าดี พอมองเห็นนางจึงไม่ชวนมองยิ่งขึ้นอีกส่วน “กระทั่งวันครบรอบวันตายของมารดาตนเองก็ยังไม่กลับไป ครอบครัวใดมีบุตรสาวเยี่ยงเจ้าบ้าง” เนื่องจากพะวงว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย เขาจึงกดเสียงพูดให้เบาลงเล็กน้อย
ใบหน้าของไป๋ถานพลันขรึมลง นางยกเท้ามุ่งไปเบื้องหน้า “ท่านพ่ออย่าได้เอ่ยถึงท่านแม่จะเป็นการดีที่สุด หาไม่ท่านและข้า กระทั่งบิดากับบุตรสาวก็อาจเป็นไม่ได้”
ไป๋หยั่งถังถูกนางยั่วโทสะจนแค่นหัวเราะเย็นชาติดกันหลายหน “ไม่เสียทีที่ได้เป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋อง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นบิดาอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว”
ไป๋ถานชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับไป “ใช่แล้ว ตอนนั้นท่านพ่อคงคาดหวังเหลือเกินที่จะได้เห็นข้าใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกแล้วซมซานกลับไปขอร้องท่านกระมัง ทว่าน่าเสียดาย ยิ่งทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจสมดังที่ท่านปรารถนา ท่านคงผิดหวังมากใช่หรือไม่”
ไป๋หยั่งถังกลับไม่มีโทสะเช่นนั้นแล้ว เขาเอามือไพล่หลังพลางพูดประโยคเดียวอย่างเย็นชา “ใช่ ผิดหวังถึงขีดสุด”
ประโยคซึ่งสุ้มเสียงไม่หนักไม่เบานี้กลับเป็นเช่นใบมีดอันคมกริบสุดแสนที่กรีดปากแผลซึ่งตกสะเก็ดมานับสิบปีให้เปิดออกอีกครั้ง ไป๋ถานเม้มปากสนิท นางกำเตาอุ่นที่อยู่ในมือไว้แน่น แต่ก็ยังรู้สึกว่านิ้วมือของตนยังเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
ตลอดหลายปีที่ไม่พึ่งพิงผู้อื่น ชีวิตบนเส้นทางอันยากแค้นแสนลำบากนี้ ในสายตาของเขากลับเป็นเพียงการนั่งชมเรื่องสนุกเท่านั้น เขาเพียงเฝ้ารอดูพริบตาที่นางจะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน นางไม่ได้สลดหดหู่ เพียงแต่ก้นบึ้งของหัวใจกลับกระจ่างทะลุปรุโปร่งแล้วเท่านั้น
“ผิดหวังที่ใดกัน ข้ารู้สึกว่าพี่สาวเก่งกาจมากต่างหาก” ไป๋ต้งทนไม่ไหวนานแล้ว เพิ่งตั้งท่าจะวิ่งไปปลอบโยนไป๋ถานสักสองสามประโยค กลับเห็นซือหม่าจิ้นเดินออกมาจากด้านในของซุ้มประตูเสียก่อน ไป๋ต้งพลันเบิกตาจนกลมโตในทันที “เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ด้วย!”
ซือหม่าจิ้นเพียงกวาดตามองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว เขาไม่แยแสการคารวะของไป๋หยั่งถัง เพียงเดินลงเขามาอย่างไม่รีบร้อนทว่าก็ไม่ชักช้า “ข้ามาเซ่นไหว้มารดาของอาจารย์โดยเฉพาะ มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ”
ไป๋ต้งร่างเซวูบ หวุดหวิดจะนั่งแปะลงบนพื้นหิมะ เขามองอู๋โก้วที่ยืนอยู่อีกด้านโดยไร้สุ้มเสียง อีกฝ่ายสีหน้าไร้ความรู้สึกขณะพยักหน้าให้เขา ยืนยันว่าประโยคนี้เป็นความจริง
ไม่นะไม่ ตนไม่อาจยอมรับได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวสักหน่อยเขาจะมาเซ่นไหว้อะไร เหตุใดพี่สาวจึงพาเขามาด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้ชิดถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เด็กรับใช้นามซวงเฉวียนวิ่งมาพยุงผู้เป็นนายแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณชายเก็บน้ำตาไว้ก่อนเถิด ยังไม่ถึงเวลาเซ่นไหว้เลยนะ”
ไป๋ต้งหลั่งน้ำตาสองสายอย่างอับจนถ้อยคำ
บทที่เจ็ด
สภาพอากาศแย่ลงทุกที ถึงขั้นมีเค้าว่าเส้นทางบนภูเขาจะถูกหิมะปิดผนึก เหล่าศิษย์บนภูเขาตงซานล้วนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางขึ้นลงเขาทุกวัน ทว่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่คอยรับส่งกลับยากลำบากยิ่งกว่า
แม้ที่ผ่านมาไป๋ถานจะวางตัวเคร่งขรึมเข้มงวดต่อหน้าเหล่าศิษย์อยู่เสมอ ทว่าส่วนลึกในใจยังคงรักและถนอมพวกเขาเป็นอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อนนางคงหยุดชั้นเรียนไม่ให้พวกเขาตรากตรำเดินทางนานแล้ว ทว่าปีนี้นางกลับไม่มีความคิดจะหยุดชั้นเรียนแต่อย่างใด
เมื่อดูศิษย์เหล่านี้เติบใหญ่จนกระทั่งกลายเป็นหนุ่มน้อยที่สง่างามกันแล้ว บางทีพวกเขาอาจต้องลาจากข้างกายนางในอีกไม่ช้า นางจึงรู้สึกอาวรณ์อยู่บ้าง สามารถสอนเพิ่มได้เท่าไรย่อมจะสอนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ผลจากทุกวันที่นางห่วงแต่เข้าสอน ทำให้ลืมเลือนนัดหมายกับเฉินหนิงไปเสียสนิท จวบจนมีศิษย์หลายคนมาขอลาหยุดกับนาง
โจวจื่อเป็นหัวหน้ายกน้ำชาหนึ่งถ้วยมาให้นางถึงบนโต๊ะเล็ก จากนั้นเอ่ยชี้แจงสาเหตุ “ราชสำนักกำลังจะจัดงานล่าสัตว์ฤดูหนาว ปีนี้พวกศิษย์อายุถึงเกณฑ์แล้ว ต้องติดตามผู้ใหญ่ไปเรียนรู้ที่อุทยานเล่อโหยว หวังว่าอาจารย์จะอนุญาตให้ลาหยุดขอรับ”
ไป๋ถานเพิ่งจะนึกถึงเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นได้จึงรีบเอ่ยถาม “ล่าสัตว์ฤดูหนาวกำหนดไว้วันใดหรือ”
โจวจื่อตอบ “พรุ่งนี้แล้วขอรับ”
ไป๋ถานลูบหน้าผาก สั่งการให้อู๋โก้วรีบไปเตรียมตัวทันที
จริงดังคาด วันรุ่งขึ้นเฉินหนิงพานักพรตน้อยรูปหนึ่งมาถึงตั้งแต่เช้า เขายืนอยู่ข้างประตูสะบัดแส้ปัดขับไล่ไอหนาวพลางร้องเร่งนางให้รีบออกเดินทางโดยไม่ขาดปาก
อย่างไรเสียงานนี้จะมีตระกูลขุนนางใหญ่ปรากฏตัวจำนวนมาก ไป๋ถานไม่อาจดูซอมซ่อได้ นางเลือกหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีแดงสดตัวเดียวที่มีอยู่ออกมา ดวงหน้ายังแต้มชาดและแป้งผัดหน้าอีกเล็กน้อย พิถีพิถันยิ่งกว่าไปงานเลี้ยงในวังคืนนั้นเสียอีก
เดิมทีนางตัดสินใจจะไปเองคนเดียว ต่อมาคิดว่าไม่สะดวกจึงยังคงพาอู๋โก้วไปด้วยจะดีกว่า
อารามหลวงย่อมได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง เฉินหนิงเดินทางไปคราวนี้มีคนมารับส่งเขาโดยเฉพาะ ทั้งรถม้าก็ช่างกว้างขวางจนชวนให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนยิ่ง
ขณะไป๋ถานนั่งอยู่บนรถม้าในใจยังนึกกังขาไม่หาย ผู้อื่นออกไปล่าสัตว์ ผู้บำเพ็ญพรตเช่นเขาจะโผล่ไปผสมโรงด้วยเหตุอันใด เหยื่อที่ล่าได้ยามถูกฆ่าตัวหนึ่งก็ให้สวดส่งดวงวิญญาณทีหนึ่งหรืออย่างไร
บนท้องฟ้าฉายแสงตะวันอันอบอุ่น กระนั้นหิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นกลับยังไม่ละลายหมดสิ้น
หลังเข้าเมืองทางประตูทิศเหนือ ข้ามสะพานตงเหมินก็มาถึงหน้าประตูอุทยานเล่อโหยว ไป๋ถานผูกเชือกเสื้อคลุมเสร็จจึงเดินลงจากรถ เพิ่งเข้าสู่ด้านในของอุทยานก็เห็นไป๋ต้งขี่ม้ารวมกลุ่มมากับบุตรหลานตระกูลขุนนาง
ไป๋ถานกังวลใจว่าบิดาจะมาด้วยจึงจงใจเรียกอู๋โก้วให้เดินช้าลงเพื่อหลบเลี่ยงพวกเขา
ตำหนักประทับในอุทยานได้รับการปัดกวาดจนทั่วแล้วรอบหนึ่ง นอกจากเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่าน บริเวณอื่นยังคงมีหิมะสะสม บนก้อนหินสีเทาและต้นสนสีเขียวล้วนปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนจนกลายเป็นทัศนียภาพในอีกรูปแบบหนึ่ง
ช่วงเวลานี้ฮ่องเต้ย่อมไม่ประทับในโถงตำหนัก หากทรงตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา เพราะผืนป่าด้านบนก็คือลานล่าสัตว์
เฉินหนิงฝีเท้ารวดเร็ว พอเดินไปถึงหน้ากระโจมก็กวักมือเรียกไป๋ถานอยู่ไกลๆ
ไป๋ถานรู้ว่าเขาจะไปถวายการรับใช้ข้างกายฮ่องเต้จึงจงใจอ้อยอิ่งอยู่บนทางเดินพลางหาโอกาสปลีกตัว นึกไม่ถึงว่าซือหม่าเสวียนจะเพิ่งมาจากข้างนอก เกี้ยวเคลื่อนมาถึงตรงหน้าจึงพบกันเข้าพอดี
นางตั้งสติถวายบังคม
ซือหม่าเสวียนได้ยินเฉินหนิงถวายรายงานแต่แรกว่าจะพานางมาจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด เขาไม่ได้ลงจากเกี้ยว เพียงเอียงกายเล็กน้อยมาพิงบนที่เท้าแขนแล้วเอ่ยเสียงเบา “วันนั้นเราบุ่มบ่ามเกินไป เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”
ไป๋ถานเอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้วเพคะ หม่อมฉันลืมไปหมดแล้ว”
ซือหม่าเสวียนอมยิ้ม ริมฝีปากที่หุบปิดเผยอขึ้นทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก่อนโบกมือเป็นความหมายให้ออกเดินทางต่อ
ไป๋ถานมองส่งอีกฝ่ายเข้าสู่กระโจมฮ่องเต้ เดิมนางยังรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง พอเห็นเฉินหนิงอยู่หน้าประตูกระโจมลอบจับจ้องเหยี่ยวที่เลี้ยงจนเชื่องในมือขององครักษ์ไม่วางตาแล้ว อารมณ์ของนางก็พลันสลายวับในพริบตา
รายนั้นคงไม่คิดจะเลี้ยงเหยี่ยวหรอกกระมัง ถอดใจเสียเถิด เหยี่ยวก็ต่อกรกับมารร้ายไม่ไหวอยู่ดี!
ทุกปีช่วงเวลาที่เหมาะแก่การล่าสัตว์อย่างแท้จริงคือยามวสันต์และฤดูสารท ที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักของการล่าสัตว์ในฤดูหนาวก็เพื่อให้บุตรหลานตระกูลขุนนางได้ยืดเส้นยืดสายสำแดงฝีมือเชิงบู๊กันบ้าง
ภายในป่าเขาสุมไปด้วยใบไม้ปนหิมะ เพื่อต้อนรับการล่าสัตว์ฤดูหนาว ระยะนี้จึงหยุดให้อาหารสัตว์ป่าเป็นการเฉพาะ สองสามวันนี้จึงเป็นช่วงที่สัตว์ป่ากำลังดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
พอซือหม่าเสวียนเข้าไปในกระโจม บุตรหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ก็รีบเรียกพวกพ้องจับกลุ่มเพื่อจะเข้าไปถวายบังคม แต่ละคนสวมชุดชาวหูกับรองเท้าหุ้มข้อทรงสูง แขนคล้องคันศรยาว ภายในกลุ่มนี้มีโจวจื่อกับหลิวทงศิษย์ของไป๋ถานรวมอยู่ด้วย
ซือหม่าจิ้นสวมชุดชาวหูสีดำสนิทตลอดร่าง นั่งคร่อมอยู่บนหลังอาชามองดูพวกเขาอยู่ไกลๆ ดวงหน้าถูกสีดำขับเน้นให้ผิวพรรณยิ่งแลดูขาวกระจ่าง ริมฝีปากก็แดงเปล่งปลั่ง ทว่าข้างเอวกลับพกกระบี่ แผ่นหลังสะพายคันศร ต่อให้รูปโฉมหล่อเหลาเพียงใดก็ถูกองค์ประกอบเหล่านี้ขับให้เขาดูเย็นชาไร้ไมตรีขึ้นหลายส่วน
หวังฮ่วนจือขี่ม้ามาอย่างเนิบช้า บนร่างกลับอยู่ในอาภรณ์หลวมยาวแขนกว้าง ผู้ที่ไม่รู้อาจนึกไปว่าเขามาเที่ยวชมธรรมชาติมากกว่ามาล่าสัตว์ “จุ๊ๆ เปรียบกับที่ผ่านมา วันนี้ท่านอ๋องกลับมีรูปงามขึ้นอีกส่วนแล้ว ไม่ไหวๆ ต่อไปข้าน้อยคงไม่กล้าจับจ้องท่านอ๋องตรงๆ เป็นแน่”
ซือหม่าจิ้นคร้านจะแยแสปากไม่มีหูรูดของอีกฝ่ายแล้ว เขาเพียงยกแส้ม้าที่อยู่ในมือชี้ไปยังบุตรหลานตระกูลขุนนางกลุ่มนั้น “เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่”
หวังฮ่วนจือหรี่ตามองไป “หน้าตาไม่เลว ทว่าห่างชั้นกับท่านอ๋องลิบลับ” เขามีนิสัยรักชอบสิ่งสวยงาม ปราดแรกจึงมองแต่รูปโฉมภายนอกไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นชายหรือหญิง
ซือหม่าจิ้นกล่าว “เขาชื่อโจวจื่อ ดูจากอายุอีกไม่นานก็จะได้เวลาเข้าสู่วงราชการ เจ้าจำไว้แล้วคอยสังเกตเขาด้วย”
ขณะนี้หวังฮ่วนจือทำงานอยู่ในกรมปกครอง วาจานี้ย่อมแปลว่าให้เขาดูแลเส้นทางราชการของอีกฝ่ายให้ราบรื่น ซึ่งหมายถึงซือหม่าจิ้นต้องรู้สึกว่าคนผู้นั้นใช้การได้ เขาตั้งใจมองโจวจื่ออีกสองสามหนก่อนที่สายตาจะพลันเหลือบไปยังบริเวณที่ไกลออกไป ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นล้วนเป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งครอบเกี้ยวทองบนมวยผมและห้อยแถบผ้าไหมคล้องเครื่องประดับยศที่ข้างเอว ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่จะเข้ามาทักทายซือหม่าจิ้น
“ยามนี้อ๋องเจ้าศักดินาที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมีไม่ต่ำกว่าห้าหกคน ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องที่แท้แล้วคือผู้ใดในหมู่พวกเขา”
ซือหม่าจิ้นชำเลืองมองผ่านๆ แล้วถอนสายตากลับมา “หากเป็นคู่ต่อสู้ เขาก็จะเผยโฉมออกมาเอง”
หวังฮ่วนจือคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะ “ได้ยินว่าในเมืองหลวงมีคนน่าสงสัยปะปนเข้ามาจำนวนหนึ่ง อย่างไรท่านอ๋องต้องระวังตัวด้วย” จบคำเขาก็ปั้นหน้าบูดบึ้งแล้วขี่ม้าหันกลับไปอีกทาง ท่าทางคล้ายเพิ่งจะมีปากเสียงกับซือหม่าจิ้นมา อย่างไรเสียในสายตาของผู้อื่นพวกเขาก็เหมือนเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ไม่มีทางคาดคิดแน่ว่าเมื่อครู่บรรยากาศการสนทนาของพวกเขาจะสนิทสนมกลมเกลียวเช่นนี้
ซือหม่าจิ้นกระตุ้นม้าเตรียมมุ่งหน้าเข้าสู่ผืนป่า ม้าเหยาะย่างไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เหลือบเห็นเงาร่างสีแดงสดสอดมืออยู่ในแขนเสื้อกำลังก้าวเดินไปช้าๆ สีขาวของหิมะที่อยู่เบื้องหลังช่วยขับเน้นสีแดงของเสื้อคลุมให้โดดเด่นขึ้น สีที่เข้าคู่กันนี้ดุจเดียวกับของว่างที่เขาได้ลิ้มรสเมื่อวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน เพียงมองนางก็นึกอยากกัดชิมดูสักคำ
เขาไล้เลียริมฝีปากเบาๆ ทว่าชั่วอึดใจต่อมากลับพบว่าทิศทางที่นางเดินไปคือกระโจมของฮ่องเต้ ใบหน้าของเขาพลันบึ้งตึงในพริบตา มือหวดแส้ม้าดังขวับก่อนควบทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงไป๋ถานไม่ได้จะไปที่กระโจมของฮ่องเต้ ทว่านางจะไปที่กระโจมของกุ้ยเฟยซึ่งตั้งอยู่หลังจากนั้น
เมื่อครู่ขันทีผู้หนึ่งมาแจ้งว่าไป๋กุ้ยเฟยให้เชิญนางไปพบ นางถึงได้รู้ว่าไป๋ฮ่วนเหมยก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนก็ไปล่าสัตว์กันหมด ยังไม่มีเหยื่อให้นางได้ไถ่ชีวิต ตอนนี้ไปพบปะญาติผู้พี่ก่อนก็ดีเหมือนกัน
นางกำนัลสองคนเลิกม่านกระโจมขึ้น ไป๋ถานแสดงท่าทีให้อู๋โก้วรออยู่ด้านนอกก่อนก้มกายเข้าไป ชั่วพริบตานั้นนางก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ภายในกระโจมจุดกำยาน ถ่านไฟลุกไหม้โชติช่วง
ไป๋ฮ่วนเหมยสวมชุดชาววังสีม่วงอ่อน ดวงหน้าแต่งแต้มประทินโฉมอย่างประณีตบรรจง พออีกฝ่ายเห็นไป๋ถานเข้ามาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับทันที “อาถาน ข้าไม่ได้พบเจ้าตั้งหลายปี” นางประคองไป๋ถานซึ่งตั้งท่าจะย่อกายคำนับไว้ จากนั้นแสดงท่าทีให้บ่าวไพร่ที่อยู่รอบข้างถอยออกไปแล้วจูงญาติผู้น้องนั่งลง “หลายปีมานี้เจ้าอยู่บนภูเขาตงซานตัวคนเดียวสุขสบายดีหรือไม่”
ไป๋ถานอมยิ้มพลางผงกศีรษะ “ข้านั้นสุขสบายดียิ่ง แสนจะอิสรเสรี”
“เจ้า…” ไป๋ฮ่วนเหมยพลันอึกอัก “ ทีแรกเป็นเพราะฝ่าบาททรงเลือกข้าเข้าวัง เจ้าถึงได้ออกจากจวนไปใช่หรือไม่”
ไป๋ถานมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “ไยพี่สาวจึงพูดเช่นนี้เล่า ที่ข้าออกจากจวนเป็นเพราะไม่ลงรอยกับท่านพ่อ ท่านไม่ใช่ไม่รู้นี่”
ไป๋ฮ่วนเหมยกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าสนิทกับฝ่าบาท ยังนึกว่าเจ้ามีใจให้พระองค์มาตลอด”
ไป๋ถานกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “พี่สาวก็รู้ว่าตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ใครบ้างตอนอายุยังน้อยจะไม่มีภาพเคลิ้มฝัน หากข้ามีใจเช่นนั้นจริง วันนี้ไหนเลยจะมีหน้ามาพบท่านได้ ยามนี้ข้าเพียงแต่เลื่อมใสในความเป็นสุภาพบุรุษของฝ่าบาทเท่านั้น ไม่มีอื่นใดอีก พี่สาวอย่าได้คิดมากเป็นอันขาด”
นี่คือวาจาจริง นางไม่ใช่คนที่จะกระบิดกระบวนกับเรื่องของความรู้สึก กระทั่งสายใยครอบครัวนางยังละทิ้งได้ ความคิดคำนึงเพียงเล็กน้อยเท่านี้นางย่อมปล่อยวางไปนานแล้ว
ไป๋ฮ่วนเหมยถอนหายใจ “เจ้าอย่าได้นึกว่าข้าถือสาถึงได้ถามเช่นนี้ อันที่จริงข้าไม่ถือสักนิด เดิมเรื่องของฝ่าบาทข้าก็ไม่ค่อยยุ่มย่ามอยู่แล้ว ข้ายังคิดว่าขอเพียงเจ้ามีใจต่อฝ่าบาทจริง เช่นนั้นเข้าวังมาข้าก็จะได้มีเพื่อน”
ไป๋ถานตกตะลึง “ข้าเห็นงานเลี้ยงในวังคืนนั้นพี่สาวบรรเลงเพลงถ่ายทอดอารมณ์ลึกซึ้ง เห็นชัดว่ารักใคร่ผูกพันกับฝ่าบาทดียิ่ง ไยจึงกล่าววาจาเช่นนี้เล่า”
ไป๋ฮ่วนเหมยหลุบตาลง “ในวังหลวงพูดถึงรักแท้อันใดกันเล่า คืนนั้นข้าเพียงแต่แสดงให้ทุกคนดู หาได้ใส่ใจฝ่าบาทถึงเพียงนั้นไม่ ฝ่าบาทก็ทรงปฏิบัติต่อข้าตามหน้าที่ของสามี ต่างฝ่ายต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง”
นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของไป๋ถานโดยแท้ นางนึกว่าญาติผู้พี่ถูกวังหลวงพันธนาการความสามารถไปแล้วเสียอีก กลับนึกไม่ถึงเลยว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่อีกฝ่ายจงใจแสดงออกมา
“ในเมื่อฝ่าบาททรงเลือกพี่สาวเข้าวังก็ย่อมต้องมีความรัก เพียงแต่อุปนิสัยของพระองค์อาจเรียบเฉยเก็บอารมณ์ไปบ้าง ดังนั้นพี่สาวถึงได้รู้สึกเช่นนี้กระมัง”
ไป๋ฮ่วนเหมยสั่นศีรษะ “ข้ารู้แจ้งแก่ใจดี ทีแรกที่ทรงเลือกข้าล้วนเป็นเพราะฐานะของข้าเท่านั้น”
“เพราะท่านคือยอดคีตาหรือ” ไป๋ถานขบคิด…เมื่อก่อนก็ไม่เห็นซือหม่าเสวียนชมชอบเสียงเพลงสักเท่าไรนักนี่
ไป๋ฮ่วนเหมยเพียงกุมมือของนางแน่นโดยไม่เอ่ยตอบ “ข้าอิจฉาความกล้าหาญของเจ้ามาโดยตลอด ไม่เหมือนกับข้า ได้แต่ยอมเข้าวังมาเป็นสนมตามการจัดการ”
ที่ผ่านมาไป๋ฮ่วนเหมยเป็นคนที่นุ่มนวลกว่าใคร ตอนแรกที่จะให้เข้าวังก็ไม่เห็นนางต่อต้านเลยสักนิด ไป๋ถานจึงนึกมาตลอดว่านางเต็มใจ
“พี่สาว วาจานี้ผิดแล้ว หากข้าออกจากบ้านเป็นความกล้าหาญ ท่านเข้าวังเพื่อวงศ์ตระกูลไยมิใช่เป็นความกล้าหาญในอีกรูปแบบหนึ่งเล่า”
ไป๋ฮ่วนเหมยฟังจบก็ตะลึงงัน นางพลันยกมือขึ้นปิดหน้า หยาดน้ำตาหยดใหญ่พรั่งพรูลงมาตามร่องนิ้วแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
หลายปีที่อยู่ในวังหลวง คนในตระกูลมีแต่ย้ำเตือนให้นางเอาพระทัยฝ่าบาทอย่างไร รักษาฐานะไว้อย่างไร ทว่าไม่เคยมีใครเอ่ยวาจาเข้าอกเข้าใจนางเช่นนี้มาก่อน
จวบจนบัดนี้ฝ่าบาทยังทรงไร้ทายาท สกุลใหญ่เช่นหวังกับเซี่ยย่อมจะส่งสตรีเข้าวังมาในไม่ช้านี้แล้ว ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังเว้นว่างอยู่ สกุลไป๋แห่งไท่หยวนเพิ่งรุ่งเรืองขึ้นไม่กี่ปีนี้เท่านั้น จะต่อสู้กับสองตระกูลใหญ่นั้นได้อย่างไรไหว ภาระบนบ่าของนางหนักหนาขึ้นทุกวัน ไหนเลยจะไม่รู้สึกคับแค้นบ้าง
ชั่วขณะนั้นอารมณ์ทั้งหลายประดังเข้ามาในใจของไป๋ถาน นางเอ่ยพลางลูบหลังอีกฝ่าย “ฝ่าบาททรงพระปรีชา บุคลิกราศีดุจพญาหงส์มังกร ไยมิใช่คู่ครองที่ดีเล่า ขอเพียงพี่สาวเปิดใจให้พระองค์ วันหน้าท่านต้องได้รับผลที่ดีแน่”
ไป๋ฮ่วนเหมยถือผ้าเช็ดหน้าบรรจงซับหางตาก่อนประดับรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง “อย่าพูดเรื่องข้าอีกเลย พูดถึงเจ้าบ้างดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว คนผู้นี้รับมือยากมากใช่หรือไม่”
ไป๋ถานบีบนวดหว่างคิ้ว “พักนี้รับมือยากอยู่บ้างจริงๆ…”
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!
พูดมาถึงตรงนี้นอกกระโจมพลันเกิดเสียงดังสับสนอลหม่าน จากนั้นขันทีผู้หนึ่งก็วิ่งปราดเข้ากระโจมมารายงานอย่างรีบร้อน “ทูลกุ้ยเฟย! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเสือตัวหนึ่งบุกออกจากป่า ใกล้จะมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว”
ไป๋ฮ่วนเหมยผุดลุกขึ้นด้วยความตระหนก ดวงหน้าซีดขาวลงหลายส่วน
ไป๋ถานเดินไปสังเกตการณ์ที่ข้างประตูกระโจม ก่อนจะมองเห็นซือหม่าเสวียนซึ่งเปลี่ยนมาสวมชุดชาวหูขี่ม้าตรงมาพร้อมเปล่งเสียงตะโกนแต่ไกล “อารักขากุ้ยเฟย!”
เกาผิงนำองครักษ์รุดมาอย่างรวดเร็ว หมายคุ้มกันกุ้ยเฟยเพื่อจะพาจากไป
ไป๋ฮ่วนเหมยชะงักเพียงชั่วอึดใจ ยามออกเดินท่าทางของนางก็กลับมาภูมิฐานสง่างามดังเดิมแล้ว “ถวายอารักขาฝ่าบาทเป็นสำคัญ ข้าจะรุกและถอยไปพร้อมกับฝ่าบาท” พูดประโยคนี้จบนางถึงติดตามองครักษ์ออกจากประตูไป
ไป๋ถานเดินตามออกไปนอกกระโจมจึงเห็นซือหม่าเสวียนจับมือไป๋ฮ่วนเหมยมุ่งหน้าจากไปด้วยกัน
นี่สิจึงเป็นทิศทางที่มือของเขาควรจะยื่นไป วันนั้นที่มือเขายื่นมาหานาง บางทีอาจเกิดจากความรู้สึกดี หรือบางทีอาจเกิดจากมิตรภาพที่มีมาช้านานเท่านั้น แต่ไม่ว่าความรู้สึกใดก็ล้วนต้องอยู่ในขอบเขตของจารีต หากเขาไม่ควบคุมแม้แต่น้อยก็เท่ากับอาศัยพระราชอำนาจกระทำการตามอำเภอใจ แต่เห็นชัดว่าเขามิใช่คนเช่นนั้น เขายังรู้จักคำนึงถึงผู้อื่น และรู้จักหน้าที่ของตนเอง
ซือหม่าเสวียนที่เป็นเช่นนี้เปรียบกับอวี้จางอ๋องในอดีตยิ่งคู่ควรที่นางจะเคารพนับถือ
ลมหนาวกระโชกแรงจนดังอื้ออึงอยู่บ้าง เสียงตัดพ้อของอู๋โก้วพลันดังตามมา “อาจารย์ไม่รู้สึกหรือว่าท่านลืมอะไรไป”
ไป๋ถานได้สติกระทืบเท้าทันใด “จริงด้วย ใครจะมาคุ้มกันข้าเล่า”
อู๋โก้วชักเท้าออกวิ่งโดยไม่รอช้า “รีบหนีกันเถิดเจ้าค่ะ”
ไป๋ถานเพิ่งจะย่างเท้าออกไปก็พลันได้ยินเสียงกีบม้าถี่กระชั้นดังขึ้นที่เบื้องหลัง นางยังไม่ทันได้หันไปมองก็รู้สึกว่าช่วงเอวตึงวูบ ร่างถูกหอบขึ้นไปทั้งตัว นางยื่นมือคว้าจับตามสัญชาตญาณ สิ่งที่คว้าได้คือแถบผ้าไหมประดับหยก ทันทีที่เงยหน้าก็สบเข้ากับดวงตาทั้งคู่ของซือหม่าจิ้น
“อาจารย์อย่าห่วงแต่จะมองฝ่าบาทจนไม่เหลียวแลกระทั่งชีวิตของตนเอง”
ไป๋ถานไม่มีเวลาถือสาหาความกับคำพูดนี้ของเขา นางเพียงหันหน้าเพื่อจะไปมองอู๋โก้ว ทว่ากลับมีธนูลับดอกหนึ่งเฉียดผ่านจอนผมไป ทำเอานางผวาจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย
“ท่านอ๋องระวัง! มีคนจะลอบสังหาร!”
ซือหม่าจิ้นกดร่างนางเข้าสู่อ้อมกอด หมอบกายลงต่ำพร้อมหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณอาจารย์ที่ห่วงใย แต่คนที่พวกมันคิดจะฆ่าน่าจะเป็นท่านมากกว่า”
ไป๋ถานใช้คุณธรรมชั่วชีวิตเป็นประกันว่าไม่เคยล่วงเกินใคร ดังนั้นนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะมีใครมาลอบสังหารนางเพราะเหตุใด
ทว่าต่อให้ในใจฉงนสงสัยมากเพียงใด ตอนนี้ก็หาใช่เวลาสนทนาไม่
ซือหม่าจิ้นพานางควบม้าห้อตะบึงไปตลอดทาง ทว่าทั้งสองไม่ได้มุ่งหน้าออกจากอุทยานเล่อโหยว ตรงกันข้ามกลับมุ่งขึ้นเขาเข้าไปในป่า
ระหว่างทางพวกเขาเห็นเหล่าองครักษ์วิ่งไปมาขวักไขว่ แต่ทั้งหมดล้วนวุ่นวายอยู่กับการจับเสือและถวายการอารักขา ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นธนูลับดอกนั้นสักนิด
ในป่าหิมะสุมหนายิ่ง เขาจำต้องรั้งบังเหียนเพื่อหยุดม้า ซือหม่าจิ้นอุ้มไป๋ถานลงมาแล้วกุมมือนางเดินมุ่งหน้าต่อ
ชั่วขณะนั้นไป๋ถานได้ยินเสียงย่ำหิมะดังสวบสาบ นางนึกห่วงพะวงอู๋โก้วจึงเหลียวหลังกลับไปมอง เท้าไม่ทันระวังจึงพลิกวูบหวุดหวิดจะหกล้ม ทันใดนั้นธนูลับอีกดอกก็ยิงมาอย่างพอดิบพอดี ก่อนถากแผ่นหลังของนางไปฉิวเฉียด สะกิดเสื้อคลุมขาดไปรูหนึ่ง
นางหวาดผวาหนัก ไม่กระมัง พุ่งเป้ามาที่ข้าจริงหรือนี่!
ซือหม่าจิ้นดึงร่างนางกระชับแน่น จังหวะก้าวเร่งยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น สองฟากพลันมีเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามาอย่างเร่งร้อน คมดาบหนาวยะเยือกแทงกระหนาบเข้ามาทั้งซ้ายขวา
ขณะที่นางได้แต่เบิกตามองโดยไร้หนทางจะหลบเลี่ยง ซือหม่าจิ้นกลับว่องไวยิ่งกว่าสองคนนั้น เขาชักกระบี่เชือดคอคนผู้หนึ่งไปในปราดเดียว ทั้งคุ้มกันไป๋ถานให้อยู่เบื้องหลังแล้วเปลี่ยนมือปาดออกไปอีกหนึ่งกระบี่ สองคนนั้นจึงถูกปลิดชีพในพริบตา ร่างทรุดลงบนพื้นโดยไม่ทันได้เปล่งเสียงใดๆ
ไป๋ถานปิดปากตนเองอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ปีนั้นตอนที่ลี้ภัยอยู่เมืองอู๋นางเคยพบเห็นเหตุการณ์ทัพกบฏฆ่าสังหารผู้คนมาแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นในระยะใกล้ปานนี้ กระทั่งนางถูกฉุดวิ่งไปไกลแล้วก็ยังมีอาการมึนงงอยู่ไม่หาย
ไม่นานนักเบื้องหน้าก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมา เป็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงนำกำลังพลรุดมาถึง
“ท่านอ๋องขอรับ บนเขาพบความผิดปกติ” ฉีเฟิงประสานมือคำนับก่อนหรี่ตาอันลุ่มลึก
ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึกล่าวอย่างเย็นชา “กว่าจะรอพวกเจ้ารู้สึกตัว ข้าก็คงจบชีวิตไปนานแล้ว”
ตอนนี้เองฉีเฟิงถึงจะสังเกตเห็นคราบเลือดบนปลายกระบี่ของผู้เป็นนาย ใบหน้าของเขาเหยเกในพริบตา ยังนึกว่าจะได้รับคำชมว่าตนหลักแหลมเสียอีก ที่แท้ตนก็บกพร่องในหน้าที่ไปแล้ว
“ไปโยกย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งมาตรวจค้นภูเขา” ซือหม่าจิ้นสั่งกู้เฉิงพลางจูงไป๋ถานเดินไปถึงไหล่เขาโดยไม่หยุดชะงักฝีเท้า
ตรงนั้นซือหม่าจิ้นตั้งกระโจมไว้ชั่วคราวสำหรับพักระหว่างล่าสัตว์ มีองครักษ์หน่วยเล็กเพียงหนึ่งหน่วยคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก
ถึงกระนั้นไป๋ถานก็ยังใจชื้นขึ้นมาบ้าง นางรีบเอ่ยกับซือหม่าจิ้นทันทีที่เข้ามาในกระโจม “สถานการณ์คับขันยิ่ง ทว่าพวกเราก็ไม่อาจพะวงมัวแต่หลบซ่อนเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือท่านอ๋องควรรีบทูลแจ้งฝ่าบาท หากมีอันตรายไปถึงฝ่าบาทและกุ้ยเฟยจะทำประการใด”
ซือหม่าจิ้นพลันคลายมือออกจากมือนาง “ต่อให้อีกฝ่ายโง่งมเพียงใดก็ไม่ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทในอุทยานเล่อโหยวกระมัง อาจารย์เพียงห่วงตนเองให้ดีเป็นพอ”
จวบจนตอนนี้ไป๋ถานถึงรู้ตัวว่าถูกเขาจูงมือมาตลอดทาง นางหดนิ้วมือกลับเข้าไปในแขนเสื้ออย่างขัดเขิน “เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาต้องลอบสังหารข้าเล่า”
ซือหม่าจิ้นกำลังจะออกจากกระโจม ได้ยินเช่นนี้จึงชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมา “อาจารย์ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตนคืออัญมณีเม็ดหนึ่ง”
“อะไรนะ!”
เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ในมือของอาจารย์กุมราชสำนักในอนาคตครึ่งหนึ่งอยู่”
ไป๋ถานตะลึงงันก่อนจะพลันรู้สึกขบขัน “ในมือของข้าสอนบุตรหลานตระกูลขุนนางอยู่กลุ่มหนึ่งก็จริง ทว่าวันหน้าพวกเขามีแต่จะรับใช้วงศ์ตระกูลของตน ต่อให้เคารพเชื่อฟังอาจารย์เพียงใด วาจาของข้าไหนเลยจะไปเทียบกับผลประโยชน์วงศ์ตระกูลของพวกเขาได้”
ซือหม่าจิ้นเอ่ย “วาจานี้อาจารย์กล่าวกับข้าย่อมไม่มีประโยชน์ ทว่าในสายตาของผู้อื่น ท่านคือบุตรีของไท่ฟู่ เป็นญาติผู้น้องของกุ้ยเฟย ในมือมีสายสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งท่านยังกลายมาเป็นอาจารย์ของข้า ย่อมจะมีคนรู้สึกว่าท่านคือสิ่งกีดขวางของพวกเขาเป็นแน่”
ไป๋ถานเข้าใจแล้ว “ฟังท่านอ๋องพูดเช่นนี้ ที่สุดแล้วเป้าหมายของนักฆ่าก็ยังคงเป็นท่านอ๋อง”
“กว่าพวกมันจะหาโอกาสลงมือได้ไม่ใช่ง่ายๆ ข้าเองก็รอคอยมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้สบช่องกระชากตัวพวกมันออกมาพอดี”
มิน่าถึงพาข้ามุ่งขึ้นเขาเข้ามาในป่า!
ไป๋ถานโกรธเคืองอยู่บ้าง “นี่ท่านอ๋องจะใช้อาจารย์เป็นเหยื่อล่อหรืออย่างไร”
“อาจารย์วางใจได้ ตราบที่ข้ามีลมหายใจอยู่ อาจารย์จะไม่เป็นอะไรเด็ดขาด” ซือหม่าจิ้นพูดจบก็ถือกระบี่ออกจากประตูไป
ไป๋ถานรู้สึกปวดศีรษะ จริงอยู่นางคือบุตรีของไท่ฟู่และญาติผู้น้องของกุ้ยเฟย ทว่านางก็แยกตัวออกจากสกุลไป๋มาเนิ่นนานแล้ว ฐานะเหล่านี้จึงเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น จริงอีกเช่นกันที่นางมีศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง ทว่าเหล่าศิษย์ก็ไม่แน่ว่าจะมีหน้ามีตาอยู่ในราชสำนักได้ทุกคน ต่อให้มีหน้ามีตาขึ้นมาจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันเดือนปีใด!
นักฆ่าพวกนี้ก่อนปฏิบัติการลอบสังหารจะสืบสถานะของนางสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ
หลังจากกู้เฉิงโยกย้ายกำลังพลมาถึงแล้ว ซือหม่าจิ้นก็นำทหารออกไปลาดตระเวนในป่าด้วยตนเองอยู่หลายรอบ บุตรหลานตระกูลขุนนางจำนวนมากยังคงล่าสัตว์อยู่เช่นเดิมโดยไม่ทันได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้บางคนพอจะรู้หรือระแคะระคายบ้างก็เพียงแต่นึกว่าเพราะเสืออาละวาดจึงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
สถานการณ์เช่นนี้ยากยิ่งที่จะเสาะหาและจับกุมคนร้าย
ไป๋ถานรอคอยอยู่ในกระโจม ใกล้จะถึงยามเที่ยงแล้ว จวบจนบัดนี้แม้อาหารและน้ำยังไม่ตกถึงท้อง กระนั้นนางก็เป็นห่วงอู๋โก้วจนไม่รู้สึกหิวสักนิด
นางนั่งลงข้างโต๊ะ ยื่นมือไปอังใกล้ๆ กระถางไฟ จู่ๆ พลันได้ยินเสียงตวาดก้องขององครักษ์ที่อยู่เบื้องนอก จากนั้นฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่เฝ้าประตูอยู่ก็พุ่งปราดออกไปในพริบตา
ไป๋ถานกังวลว่าหากเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำย่อมไม่อาจรั้งอยู่ตามลำพัง นางจึงรีบวิ่งตามพวกเขาออกไปโดยไม่รอช้า
ผลคือยังไล่ตามไปไม่ทันก็เห็นคนทั้งหมดย้อนกลับมาพร้อมสีหน้าที่คว้าน้ำเหลวแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
กู้เฉิงตอบ “เห็นชัดๆ ว่ามีคนผลุบๆ โผล่ๆ แต่กลับไล่ไม่ทัน ขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”
ฉีเฟิงตำหนิอีกฝ่าย “หากไม่ใช่เพราะเจ้ายืดยาดข้าก็จับมันได้แล้ว ไม่เห็นหรือพวกเรามีกันเป็นโขยง!” เขายืนแสดงท่าทางประกอบอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง “เมื่อครู่มันนั่งยองอยู่ตรงนี้ ข้าเห็นเองกับตา โอกาสงามออกปานนั้น!”
ไป๋ถานปรายตามองตามมือของเขาไปยังต้นไม้ต้นนั้น นางตระหนกวูบรีบสาวเท้าเดินตรงไป
บนต้นไม้มีอักษรตัวหนึ่งสลักอยู่ นางยื่นมือลูบดูพบว่ายังมีความชื้นจากลำต้น เห็นชัดว่าเพิ่งสลักไว้ไม่นานนัก
ฉีเฟิงเห็นนางมองจดจ่อจึงกระเถิบมาดูบ้าง “นี่คืออะไร”
ไป๋ถานชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ตัวอักษรอย่างไรเล่า นี่เจ้าดูไม่ออกเลยหรือ”
ฉีเฟิงถูกน้ำเสียงของนางที่บอกชัดว่าเขาสมควรจะดูออกทิ่มแทงใจยิ่งนัก เขาเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ตัวอักษรที่รู้จักนั้นใช้มือข้างเดียวก็นับได้ถ้วนแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับนางได้! ทว่าเขาก็ไม่ยอมแพ้ รีบกวักมือเรียกกู้เฉิง “เจ้ามาดูซิว่ารู้จักหรือไม่”
กู้เฉิงขยับเข้ามาดูอย่างละเอียด ก่อนเกาแกรกๆ บนศีรษะซึ่งเต็มไปด้วยผมแห้งกรอบพลางส่ายหน้า
“ฮึ!” ฉีเฟิงค่อยรู้สึกเท่าเทียมขึ้นมา เขาแค่นเสียงฮึหนักๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจ
ไป๋ถานตีหน้าผากตนเองทีหนึ่ง “ข้าลืมไปเสียสนิท นี่คืออักษรจิน* สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก พวกเจ้าดูไม่ออกก็ไม่แปลก” นางพลันนึกแผนการขึ้นได้จึงเอ่ยกับกู้เฉิง “รีบไปเชิญท่านอ๋องของเจ้ากลับมา บอกว่าข้ามีวิธีจับนักฆ่านั่นแล้ว”
กู้เฉิงลงเขาไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไป๋ถานกวักมือเรียกฉีเฟิง “ไป พวกเราไปตั้งกระโจมที่อื่นกัน”
ฉีเฟิงกอดอกไม่ขยับเขยื้อน
ไป๋ถานเลิกคิ้ว “ข้าคืออาจารย์ของท่านอ๋องเจ้านะ ขอเพียงข้ายินดี ต่อให้สั่งเจ้ากลิ้งจากบนเขาตรงนี้ไปกลับรอบหนึ่งก็ยังทำได้ เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า”
“…” ฉีเฟิงขบริมฝีปากแน่น เชื่อหมดใจเชียวล่ะ!
ซือหม่าจิ้นไม่ได้กลับมาตามลำพัง เขายังพาซีชิงกับองครักษ์หนึ่งหน่วยในอุทยานเล่อโหยวมาด้วย
หลังจากค้นหารอบหนึ่งจึงพบกับไป๋ถาน ส่วนฉีเฟิงนำคนไปตั้งกระโจมตามบัญชาของนางเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังยืนหน้าบูดบึ้งหัวเสียอยู่
ซีชิงสอดมืออยู่ในแขนเสื้อพลางเดินมาหยอกเย้าใกล้ๆ “ถานจ๋า แม้เจ้าจะหวาดกลัว แต่ก็ไม่เห็นต้องสร้างรังให้ตนมากเช่นนี้เลย”
ไป๋ถานขึงตาใส่เขาก่อนเอ่ยกับซือหม่าจิ้น “นักฆ่าได้ส่งคนมาสอดแนมบริเวณที่พักของพวกเราและทิ้งอักษรตัวหนึ่งไว้เป็นสัญลักษณ์ คาดว่ากำลังรอรวมพลแล้วค่อยลงมือ แต่เป็นเพราะท่านอ๋องตรวจค้นป่าทั้งภูเขาจึงบีบให้พวกเขาจำต้องกระจายตัว ดังนั้นอาจารย์จึงมาตั้งกระโจมอีกแห่งอยู่ที่นี่ ท่านอ๋องสามารถนำคนไปดักซุ่มอยู่ละแวกกระโจมเดิมได้ บางทีอาจรวบอีกฝ่ายเข้าสู่ตาข่ายได้หมดในคราวเดียว”
ซีชิงอดไม่ได้ที่จะขบขัน “ถึงกับกล้าทิ้งตัวอักษรไว้? ใต้หล้าไหนเลยจะมีนักฆ่าที่โง่งมปานนั้น”
ไป๋ถานปรายตามองเขา “ถ้าหากตัวอักษรที่ทิ้งไว้คืออักษรจินสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกเล่า”
ซีชิงอับจนถ้อยคำไปทันที เอาเถิด เช่นนั้นก็ไม่แปลกแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเข้าคงนึกว่าเป็นยันต์กันผี** คงมีแต่นางที่จะรู้จัก
เบาะแสนี้สะกิดความทรงจำของซือหม่าจิ้น ชั่วขณะจึงไม่ทันได้ขยับตัว
ไป๋ถานนึกว่าเขาคลางแคลงในคำพูดของตนจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ยามที่อาจารย์หัดเดินได้ก็เริ่มจดจำตัวอักษรจินแล้ว ไม่มีทางจำผิดเป็นอันขาด ท่านอ๋องถึงกับไม่เชื่อถืออาจารย์เชียวหรือ”
ซือหม่าจิ้นโพล่งขึ้น “อาจารย์ยังจำเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนได้หรือไม่ ตอนที่ทัพกบฏส่งคนแฝงตัวเข้ามาค้นหาข้าในเมืองอู๋ก็เคยสลักอักษรทิ้งสัญลักษณ์ไว้เช่นเดียวกับตอนนี้”
ไป๋ถานชะงักกึก ใบหน้าว่างเปล่างุนงง
ซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงขรึม “ช่างเถิด ถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่เคยเก็บเรื่องในตอนนั้นมาใส่ใจแม้เพียงน้อยนิด”
ไป๋ถานมองเขาหมุนกายจากไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นางสอบถามซีชิง “ความจำของข้าดีสู้เขาไม่ได้ก็ผิดด้วยหรือ”
ซีชิงมองฟ้า “สรุปไม่ใช่ความผิดของข้าก็แล้วกัน”
ซือหม่าจิ้นนำกำลังพลเต็มอัตรารุดไปดักซุ่มอยู่บริเวณกระโจมเดิม ซีชิงรู้สึกว่าตนไม่ใช่เป้าหมายจึงลงเขาไปตรวจสอบสถานการณ์อย่างสบายอารมณ์
ไป๋ถานได้แต่รอคอยอยู่ในกระโจมที่เพิ่งตั้งใหม่ คาดว่าเป็นเพราะตื่นเต้นผิดธรรมดา นางจึงยังกระชุ่มกระชวยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือหิวโหยเลยแม้แต่น้อย
จวบจนยามฟ้าใกล้มืด ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องนอก
ลมหนาวหอบม่านกระโจมจนปลิวสะบัด ไป๋ถานรีบลุกพรวด ปลายจมูกได้กลิ่นคาวเลือดที่ฉุนแรงลอยมาทันที
ซือหม่าจิ้นมือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือลากคนที่ร่อแร่ปางตายผู้หนึ่งเข้ามาแล้วโยนส่งๆ ลงกับพื้น บริเวณที่ร่างนั้นถูกลากผ่านล้วนทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวสายหนึ่ง
ไป๋ถานหวุดหวิดจะอาเจียนออกมา สองมือของคนผู้นั้นถูกกุดขาดสะบั้น ทว่ายังไม่ถึงแก่ชีวิต ร่างเขาบิดเกร็งเป็นก้อนอยู่บนพื้น ไป๋ถานขมวดคิ้วแล้วเบนสายตาไป
“ท่านอ๋องตั้งใจจะทำอะไร”
“สอบสวนมัน”
ตอนที่เพิ่งจับอีกฝ่ายได้นั้นซือหม่าจิ้นก็ใช้กำลังกะเทาะเอายาพิษที่ซุกซ่อนอยู่หลังซี่ฟันของคนร้ายออกมาก่อนแล้ว บัดนี้อีกฝ่ายอยู่อย่างทุกข์ทรมานซ้ำยังถูกตัดหนทางตายของตนเองไปแล้ว สภาพจิตใจเสมือนอยู่บนขอบเหวที่ใกล้จะพังครืนลงมาเต็มที
ซือหม่าจิ้นฉวยมีดสั้นเล่มบางออกมาจากรองเท้าหุ้มข้อ ก่อนย่ำหนึ่งเท้าใส่ข้อมืออีกฝ่ายตรงรอยขาด “ผู้บงการหลังม่านเป็นใคร บอกออกมาแล้วข้าจะให้เจ้าไปสบาย”
คนผู้นั้นพลันแผดเสียงร้องโหยหวน
ไป๋ถานอุดหูอย่างทนไม่ไหว “ท่านอ๋อง!”
ซือหม่าจิ้นหันมามองนางอย่างเยือกเย็น “อาจารย์ก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าเขาอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าไม่ฉวยจังหวะเค้นสอบเขาตอนนี้ หรือยังสามารถยื้อจนส่งตัวให้ศาลได้?”
ไป๋ถานย่อมเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี และไม่มีทางที่นางจะบังเกิดจิตเมตตากับนักฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ต้องเค้นสอบให้ได้คำตอบโดยไม่สนวิธีการใด ทว่าระยะนี้กว่าที่เขาจะสงบเสงี่ยมขึ้นบ้างไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อใดที่นางปล่อยปละ ซือหม่าจิ้นก็อาจเข่นฆ่าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นกาลก่อนอีก นางจึงจำต้องเตือนสติเขา
“อาจารย์เพียงหวังว่าท่านอ๋องอย่าได้ตามใจตนจนเกินขอบเขต ทำตามหลักเกณฑ์เป็นพอ”
“ข้าจดจำไว้แล้ว ทว่าฉากต่อจากนี้อาจารย์อย่าดูจะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าจิ้นคลายแถบรัดมวยผมออก ก่อนจะเดินพร้อมเรือนผมที่ยาวสยายมาถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน เขาใช้แถบผ้านั้นผูกปิดสองตาของนางก่อนกดไหล่เบาๆ ให้นางนั่งลง
ไป๋ถานหันหลังไป ไตร่ตรองเพียงเล็กน้อยก็ยกมืออุดหู
แต่กระนั้นเสียงร้องแหลมสูงโหยหวนก็ยังคงแทรกเข้าหูมาเป็นระยะ
ไป๋ถานอกสั่นขวัญผวา ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดในที่สุดจึงไม่ได้ยินเสียงอีก หัวใจนางเหนื่อยล้ายิ่ง จึงเอนร่างไปด้านหลังเพื่อพิงกับขอบโต๊ะ
ซือหม่าจิ้นเค้นสอบเสร็จก็ลากตัวคนออกไป จึงพบกับซีชิงที่ขึ้นเขามาพอดี
เขาลงไปสืบข่าวจึงพบว่าซือหม่าเสวียนไม่ได้ไปจากอุทยาน เสือก็ถูกจับได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ ซือหม่าเสวียนนั่งบัญชาการอยู่ในโถงตำหนัก รอจนเบิกตัวคนทั้งหมดมาพบเพื่อตรวจนับจำนวน แล้วถึงค่อยพบว่าซือหม่าจิ้นกับไป๋ถานหายไป
“ฝ่าบาททรงส่งเกาผิงมาสนับสนุนแล้ว ยามนี้ท่านอ๋องลงเขาได้แล้วขอรับ” ซีชิงกล่าวพลางชำเลืองมองซือหม่าจิ้น เรือนผมของอีกฝ่ายปล่อยสยาย บนร่างของเขาเปรอะด้วยโลหิต แลดูน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดโดยแท้
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “เขามาสนับสนุนข้าหรือมารับไป๋ถานกันแน่”
ซีชิงตะลึงงัน “ย่อมต้องมาสนับสนุนท่านอ๋องอยู่แล้ว”
เสียงของซือหม่าจิ้นเบาลงหลายส่วน “หรือเจ้าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนนี้ไป๋ถานกับฝ่าบาทมีไมตรีคบหากัน?”
ซีชิงขบคิดเล็กน้อยก็พลันตระหนักได้ “ตอนอายุยังน้อยไป๋ถานมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับอวี้จางอ๋องจริง แต่หลายปีมานี้ไม่เห็นนางจะเคยเอ่ยถึง” เขาเหลือบมองซือหม่าจิ้นก่อนทุบกำปั้นอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงทำเช่นนี้ สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้าพระองค์ตั้งใจจะยึดครองไปสองคนเลยหรืออย่างไร หากไป๋ถานเข้าวัง เช่นนั้นวันหน้าข้ามิต้องเข้าวังไปด้วยหรือ”
ซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงเย็นชา “หากจะเข้าวังไปเป็นขันที ข้าพร้อมส่งเสริมเจ้าทุกเมื่อ”
ซีชิงยิ้มเจื่อน เผ่นหนีไว้ก่อนเป็นยอดดี
ซือหม่าจิ้นหมุนกายเดินกลับเข้ากระโจม เห็นไป๋ถานยังพิงร่างกับขอบโต๊ะ ก้มหน้านิดๆ ดูคล้ายอ่อนเพลียอยู่บ้าง
“ท่านอ๋องสอบสวนเสร็จแล้วหรือ”
ซือหม่าจิ้นไม่ตอบ กลับเดินไปนั่งยองเบื้องหน้านาง สองตาของนางยังถูกปิดด้วยแถบผ้า จอนผมหลายเส้นกระจายปรกข้างแก้ม เห็นนางหดคอคล้ายรู้สึกหนาว
เข้าวังหรือ ฮึ!
เขาจับปลายคางของนางแล้วแนบริมฝีปากลงไปทันที
ไป๋ถานพลันตระหนกวูบ ริมฝีปากถูกกดประทับหนักหน่วง ลมหายใจร้อนผ่าวไล้ใบหน้าขณะที่สายตากลับมีแต่ความมืดมิด ทันทีที่เผยอริมฝีปากหมายจะร้องอุทานกลับทำให้อีกฝ่ายสบช่องรุกล้ำเข้ามา มือข้างหนึ่งของเขารวบอยู่ที่เอวของนาง นางปรารถนาจะดิ้นให้หลุด ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับเป็นพันธนาการที่ดุดันยิ่งขึ้น
ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้ว่ามือของนางยังเป็นอิสระ จึงยื่นมือเลิกแถบผ้าบนดวงตาออกก็พลันสบเข้ากับสองตาอันเยียบเย็นของซือหม่าจิ้น
อีกฝ่ายปล่อยผมสยายคลุมไหล่ ทั้งสาบเสื้อก็เปื้อนเลือด เขาค่อยๆ ผละห่างออกไปอย่างเนิบช้า ไล้เลียริมฝีปากคล้ายยังอารมณ์ค้างไม่จุใจ
ทว่าปฏิกิริยาแรกของไป๋ถานกลับเป็นการลูบริมฝีปากพลางสอบถาม “บนปากของอาจารย์มีเลือดหรือ”
ประกายตาของซือหม่าจิ้นหม่นลง “ไม่มี”
ไป๋ถานตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง สีหน้าขรึมลงในฉับพลัน “ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้หมายตาอาจารย์กระมัง”
ใต้หล้านี้ไม่มีศิษย์คนใดกล้าจุมพิตอาจารย์ของตนส่งเดชหรอก ยามที่ไป๋ถานถามประโยคนี้ออกไป ส่วนลึกในใจก็เริ่มว้าวุ่น เพราะไม่ว่าคำตอบใดนางล้วนรู้สึกว่าไม่เหมาะสมยิ่ง
หากตอบว่าใช่ การกระทำนี้ก็ขัดต่อจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์ แต่หากตอบว่าไม่ใช่…ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าจุมพิตข้าด้วยเหตุใดเล่า!
ทว่านางนึกไม่ถึงสักนิดว่าซือหม่าจิ้นจะไม่ตอบใดๆ มาสักคำ เขาทำเพียงคลี่ยิ้มแฝงนัยลุ่มลึกก่อนลุกขึ้นเดินออกจากกระโจมไป
ถัดจากนั้นฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เข้ามาเชิญนางลงเขา
ตลอดทางตั้งแต่ออกจากกระโจมจวบจนเดินลงเขามาแล้ว ไป๋ถานก็ยังคงครุ่นคิดตีความรอยยิ้มนั้น จนกระทั่งซีชิงเอ่ยเรียกนางถึงได้สติ
เขายืนอยู่ที่เชิงเขาชูคบไฟเดินตรงมาพินิจสีหน้าของนางโดยละเอียด “เจ้าเป็นอะไรไป”
ไป๋ถานมองดูเงาหลังของซือหม่าจิ้นที่ขี่ม้าจากไปไกลก่อนหรี่ตาเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่หลิงตูอ๋องจะชอบพอข้า”
คิ้วตาของซีชิงสั่นไหวนิดๆ “เขาเผยความรู้สึกกับเจ้าแล้วหรือ”
“เปล่า”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงพูดประโยคนี้”
“หากการกระทำของเขาชัดแจ้ง ทว่าเก็บงำถ้อยคำเล่า”
ซีชิงยิ้มเฝื่อน เขามองซือหม่าจิ้นอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง
ยอดฝีมือชัดๆ กระบวนท่ายั่วเย้านี้ไม่เพียงทำให้ไป๋ถานยากจะตอบโต้ ยังทำให้หัวใจทั้งดวงของนางผูกโยงอยู่ที่ตัวเขาอีกด้วย ไยเมื่อก่อนตนจึงไม่เคยพบว่าท่านอ๋องเฉียบแหลมถึงขั้นนี้นะ
ราตรีดึกสงัด ทว่าซือหม่าเสวียนยังคงไม่เข้านอน
ไป๋ฮ่วนเหมยนั่งอยู่ด้านข้าง หัวคิ้วขมวดแน่น นางกล่าวตำหนิตนเองไปแล้วนับพันครั้ง
หากมิใช่ยามนั้นเป็นเพราะตนไม่ได้คิดถึงไป๋ถานเลย ยามนี้คงไม่ถึงกับไม่รู้แม้แต่น้อยว่านางไปอยู่หนใด หลิงตูอ๋องอยู่กับนางด้วยหรือไม่ก็สุดที่จะรู้ได้ ทั้งสองคนจะมีอันตรายอันใดหรือไม่…
ซือหม่าเสวียนมองออกว่าอีกฝ่ายกลัดกลุ้มทุกข์ใจจึงเอ่ยปลอบไปหลายประโยค พอหันหน้ากลับมาอีกครั้งก็เห็นเกาผิงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแล้ว
“ทูลฝ่าบาท หาคนพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยังมีอ๋องเจ้าศักดินา ขุนนางสำคัญกับบุตรหลานในตระกูลอีกไม่น้อยที่รอคอยเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ยามนี้ล้วนพักผ่อนเบียดเสียดอยู่ในโถงด้านข้าง
ซือหม่าจิ้นขี่ม้ามาถึงก่อน เขาปลดกระบี่ก้าวขึ้นบันไดเตรียมจะไปเข้าเฝ้าในโถงใหญ่ ขณะนั้นสายตาของเขาพลันกวาดไปยังทิศทางของโถงด้านข้าง อ๋องเจ้าศักดินาหลายคนที่ชะโงกศีรษะออกมามองต่างถอนสายตากลับไปอย่างวางหน้าไม่สนิท ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่ถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจล่าถอย
ไป๋ต้งเกาะวงกบประตูปลุกปลอบกำลังขวัญพลางเอ่ยถาม “พี่…พี่สาวของข้าเล่า”
ซือหม่าจิ้นปรายตามองไปเบื้องหลังก่อนยกเท้าเข้าสู่โถงใหญ่
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ก่อนหน้านี้ซือหม่าเสวียนจึงมีบัญชาห้ามทุกคนไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ ทว่ายามนี้ไป๋ต้งไม่สนใจแล้ว เขาลอบย่องออกจากประตูตำหนักแล้ววิ่งซอยเท้าไปตลอดทาง ไม่ช้าก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งชูคบไฟเดินมาจากทิศทางของผืนป่า
ระหว่างทางไป๋ถานยังคงว้าวุ่นใจ เพิ่งจะเดินมาถึงบริเวณใกล้ตำหนัก เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาที่เบื้องหน้าสายตา ไป๋ต้งได้โถมร่างมาอยู่ต่อหน้านางแล้ว
“พี่สาว ท่านหายไปที่ใดมา ข้าเป็นห่วงท่านแทบตาย!”
ไป๋ถานไหนเลยจะมีแก่ใจตอบ นางเพียงเหลียวมองก่อนเอ่ยถาม “อู๋โก้วเล่า”
ไป๋ต้งร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว “นางกลับไปกับนักพรตเฉินตั้งแต่ตอนที่เสืออาละวาดแล้ว นี่พี่สาว ตกลงท่านหายไปที่ใดมากันแน่ รีบบอกข้ามาเร็ว!”
ตอนนี้เองก็มีขันทีผู้หนึ่งมาเชิญไป๋ถาน นางจึงถือโอกาสนี้ชี้มือไปทางซีชิง “ถามเขาแล้วกัน” จบคำนางก็ติดตามขันทีมุ่งหน้าไปยังบันไดตำหนัก
เพิ่งมาถึงหน้าประตูตำหนักก็ปะทะกับซือหม่าจิ้น เขายืนตระหง่านท้าลม พอประสานสายตากับนางก็หยักยกมุมปากนิดๆ
รอยยิ้มเช่นนี้อีกแล้ว!
ได้ แสร้งทำลุ่มลึกกับอาจารย์ใช่หรือไม่!
ไป๋ถานหน้าคว่ำก่อนจะก้มศีรษะเดินไป
ไป๋ฮ่วนเหมยเป็นคนเรียกพบไป๋ถานเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นนางวางใจไม่ได้จริงๆ
ก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้รบกวนการสนทนาระหว่างซือหม่าเสวียนกับซือหม่าจิ้น นางจึงไปรออยู่ที่โถงด้านข้าง ตอนนี้ยืนคอยท่าอยู่ตรงประตู พอแลเห็นไป๋ถานเดินมาแต่ไกลจึงรีบออกจากประตูมาต้อนรับ
“ได้ยินว่าเกิดเรื่อง ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นางกุมมือของไป๋ถาน “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง รีบร้อนจากไปจนถึงกับไม่ได้ดูแลเจ้า”
ไป๋ถานเอ่ยปลอบโยนอีกฝ่ายติดกันหลายคำก่อนเลือกเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญบนเขาให้นางฟัง
“ยังดีที่มีหลิงตูอ๋องอยู่ด้วย นึกไม่ถึงว่าในอุทยานเล่อโหยวยังมีคนที่ช่างบังอาจเช่นนี้”
ไป๋ถานเพียงได้ยินชื่อเรียกนั้นก็ปวดศีรษะตุบๆ
ใช่แล้ว ดีเหลือเกินที่มีเขาอยู่ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางจึงถูกทำลายจนไม่เหลือดีแล้ว…
ไป๋ฮ่วนเหมยเห็นนางเหม่อลอยจึงนึกว่านางยังเสียขวัญ เดิมทีตั้งใจจะรั้งนางเพื่อค้างแรมที่นี่ ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทคงไม่คิดประทับอยู่นาน จะต้องเสด็จกลับวังเป็นแน่ ไป๋ฮ่วนเหมยจึงได้แต่เลิกล้มความคิดนั้นไป
ขณะสั่งการให้ขันทีจัดเตรียมคนไปส่งไป๋ถาน นางมองออกไปเบื้องนอก ก่อนจะมองเห็นซีชิงที่ยืนรออยู่ใต้แสงจันทร์เข้าพอดีจึงเอ่ยยิ้มๆ “ซีชิงใส่ใจเจ้าเสมอมา จนป่านนี้ก็ยังคอยเจ้าอยู่ เกิดเรื่องคราวนี้เขาต้องวิตกมากแน่ ข้ายังจำได้เขามักพูดเย้าว่าชอบเจ้า หากเจ้าลงเอยกับเขาได้เมื่อใดก็ย่อมเป็นเรื่องดีเช่นกัน”
ไป๋ถานคลี่ยิ้มอีหลักอีเหลื่อ “พี่สาวผิดแล้ว หากชมชอบคนผู้หนึ่งจริงไหนเลยจะหักใจเอามาพูดล้อเล่นจนติดปากได้เล่า” …คนที่เขาชมชอบด้วยใจจริงคือท่านต่างหาก เขาจึงซุกซ่อนท่านไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจไม่กล้าไปแตะต้องง่ายๆ กระทั่งความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพียงนิดเดียวของท่านก็ยังทำให้เขาเศร้าใจจนต้องนั่งยองอยู่บนพื้นหิมะเป็นนานสองนาน
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจบอกต่อไป๋ฮ่วนเหมย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นกุ้ยเฟยไปแล้ว
ไป๋ถานกล่าวลาก่อนหันหน้ามุ่งออกจากประตูตำหนัก
ทางด้านไป๋ต้งหลังเพิ่งฟังซีชิงเล่าเหตุการณ์จนจบ ขณะที่เขายังตื่นตระหนกไม่หายก็เห็นไป๋ถานได้องครักษ์หลายนายคุ้มกันมุ่งไปทางประตูใหญ่ของอุทยานแล้ว
ได้ยินว่าเป็นซือหม่าจิ้นที่ยื่นมือช่วยชีวิตพี่สาวของตนไว้ ไป๋ต้งแม้ไม่เต็มใจแต่ก็ยังยกมือคารวะทันทีที่พบอีกฝ่าย “เรื่องครั้งนี้ข้าขอบคุณท่านอ๋องยิ่งนัก”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ ตอนนี้ยังกล่าวขอบคุณเขาได้ หากรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำอะไรกับพี่สาวของตนไปบ้างเกรงว่าคงต้องเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกเป็นแน่
เขาส่งสายตาให้ฉีเฟิง ฉีเฟิงคอตกอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะรีบลากกู้เฉิงไล่ตามไป๋ถานไปทันที
ระหว่างทางกลับไป๋ถานเป็นห่วงอู๋โก้วอยู่ตลอด ไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง ตนไม่อยู่ข้างกายเช่นนั้น ยามนี้คงเสียขวัญแย่แน่กระมัง
ทว่าทันทีที่นางย่างเท้าหนึ่งข้างเข้าสู่เรือนพักก็แลเห็นอู๋โก้วยกน้ำแกงร้อนกรุ่นชามหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าห้องของตน พอเหลือบเห็นนางยังเอ่ยทักด้วยความประหลาดใจยิ่ง “เอ๊ะ อาจารย์เพิ่งกลับมาหรือเจ้าคะ ข้าหิวยิ่งจึงไปต้มน้ำแกงรอบดึก ท่านจะรับสักหน่อยหรือไม่”
“…” ไป๋ถานไร้เสียง ยึดจับวงกบประตูไว้เพื่อทรงกาย ไยนางถึงมีศิษย์ที่ไร้หัวจิตหัวใจได้ถึงเพียงนี้ สิ้นเปลืองความห่วงใยเสียเปล่าโดยแท้
ทว่านางก็หิวโซมากแล้วจริงๆ ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย
“เช่นนั้นก็รับสักหน่อยแล้วกัน”
คนของไป๋ฮ่วนเหมยส่งไป๋ถานเสร็จก็กลับไป ทว่าคนที่ฉีเฟิงกับกู้เฉิงนำมายังคงอยู่เฝ้ารอบเรือนพักอย่างแน่นหนา
ฉีเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เขายืนเคี้ยวขนมเปี๊ยะกรอบท่ามกลางลมหนาวที่พัดหวีดหวิวพลางเอ่ยกับกู้เฉิง “ตอนที่ข้าลักพาตัวนางไปทีแรก ทั้งยังตีนางให้สลบ ข้าก็นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ต้องมาคุ้มครองนาง!”
กู้เฉิงตบบ่าฉีเฟิงเป็นการปลอบใจก่อนฉวยโอกาสบิขนมเปี๊ยะในมืออีกฝ่ายไปครึ่งแผ่น
เรื่องตามจับนักฆ่าที่ลอบสังหารอาจารย์ของหลิงตูอ๋องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมากย่อมไม่อาจปิดข่าวได้ วันรุ่งขึ้นในราชสำนักจึงโจษจันอย่างเซ็งแซ่
โจวจื่อกับศิษย์หลายคนล้วนออกจากอุทยานเล่อโหยวในช่วงชุลมุนที่สุดขณะเกิดเหตุเสืออาละวาด พอได้ยินข่าวนี้ถึงรู้ว่าอาจารย์เกิดเรื่องขึ้น
คนทั้งคณะจึงตั้งใจรุดมาที่ภูเขาตงซานโดยเฉพาะ เดิมทีเมื่อเห็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงเฝ้าอยู่ยังรู้สึกว่าเรื่องราวร้ายแรงยิ่ง ทว่าเมื่อได้เห็นอาจารย์กลับพบว่านางปลอดภัยไม่ระคายแม้เพียงเส้นผม
อย่างน้อยไป๋ถานก็รู้สึกว่าตนได้รับความตื่นตระหนกจึงตั้งใจจะหยุดพักชั้นเรียนสักสองสามวัน ดังนั้นเมื่อได้พบหน้าเหล่าศิษย์จึงเอ่ยสั่งเพียงไม่กี่ประโยคก็ให้พวกเขากลับไป
ทว่ารอจนเหล่าศิษย์จากไปหมดสิ้นแล้วนางกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาอีก ยามนี้ในเรือนพักอันกว้างใหญ่จึงได้แต่สนทนากับอู๋โก้วเพียงผู้เดียว ประเด็นสำคัญคือบอกอีกฝ่ายว่าตนถูกลอบสังหาร แต่อู๋โก้วกลับทำท่าคล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“อาจารย์ ท่านมีสิ่งใดคุ้มค่าพอที่จะให้นักฆ่าลงมือหรือเจ้าคะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดไป๋ถานจึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายฟังแล้วชวนให้รู้สึกว่าน่าหงุดหงิด
สุดท้ายความเงียบเหงานี้ก็มิได้ดำรงอยู่นาน เช้าวันนี้เพียงนางเปิดประตูเรือนก็มีคนสามคนพร้อมใจกันเบียดร่างเข้ามา พวกเขาคือเฉินหนิง ไป๋ต้ง และซีชิง
เฉินหนิงได้ยินเรื่องที่นางถูกลอบสังหารจึงรู้สึกเป็นห่วงยิ่ง ทั้งยังนำพานักพรตน้อยมาถามไถ่ปลอบขวัญโดยเฉพาะ
ด้านนอกอากาศหนาวยะเยือก ไป๋ถานยิ้มตาหยี ทว่ากลับกันเฉินหนิงให้ยืนอยู่นอกห้อง “เรื่องที่เจ้าพาข้าไปอุทยานเล่อโหยวได้บอกกับใครบ้าง”
เฉินหนิงซื่อตรงยิ่ง ตอบพลางถูมือกับแส้ปัด “อาตมาบอกกับผู้คนมากหน้าหลายตาทีเดียว ใครที่แวะเวียนมาจุดธูปอาตมาล้วนคุยจ้อด้วยหลายประโยค ว่าแต่มีอะไรหรือ”
ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ
ยังมีหน้าถามว่ามีอะไรอีก เรื่องที่นางไปอุทยานเล่อโหยวมีไม่กี่คนที่รู้ หากไม่ใช่เขาพูดพล่าม ไหนเลยจะรู้ไปถึงนักฆ่านั่นได้
คาดว่าเฉินหนิงคงเพิ่งตระหนักได้ถึงความผิดของตน เขาจึงร้องครวญครางเบาๆ ก่อนเอ่ย “เรื่องนกจบไปก็แล้วกัน วันหน้าอาตมาจะไม่เอ่ยถึงอีก”
ไป๋ถานทอดถอนใจ “ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกือบต้องสังเวยไปด้วยเจ้าถึงจะยอมลืม ข้าซาบซึ้งเจ้าจนน้ำตาไหลทีเดียว”
ไป๋ต้งที่อยู่ด้านข้างกระตุกแขนเสื้อไป๋ถานไม่หยุด “พี่สาว กลับไปกับข้าเถิดนะ ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว คราวนี้เกิดเรื่องถึงเพียงนี้เขาเองก็หวังว่าท่านจะกลับไป”
ไป๋ถานตีมือเขาออก “ท่านพ่อเห็นด้วยก็เพราะเจ้าลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้นอีกแล้วกระมัง”
ไป๋ต้งถูกนางพูดเปิดโปงจึงอารมณ์เสียพลางปรายตามองฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่อยู่ด้านนอก “พวกเขามีหรือจะปกป้องท่านได้ ข้าไม่เห็นว่าพวกเขาจะใส่ใจสักเท่าไร!”
ซีชิงชี้มือไปที่ประตูเรือน “ดูนั่น ท่านผู้นี้ใส่ใจเจ้าแน่นอน”
ผู้ที่มาคือซือหม่าจิ้น ทว่าคราวนี้เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังพาบ่าวรับใช้มาด้วยอีกหลายคน แต่ละคนล้วนยกหีบมาด้วยหนึ่งใบ
พอมองเห็นเขา สีหน้าของไป๋ถานก็ไม่ชวนมองแล้ว
ฮึ ยังมีหน้าโผล่มาอีก!
“นี่ท่านอ๋องจะย้ายบ้านหรืออย่างไร” นางออกมายืนที่ระเบียงทางเดินด้วยท่าทางไม่ยินดีต้อนรับเขาอย่างยิ่ง
ซือหม่าจิ้นเดินมาถึงเบื้องหน้านาง คนอื่นที่อยู่ด้านข้างล้วนรีบพาร่างหลีกห่างสามเซ่อ* ในทันที
“อาจารย์เกือบเกิดเรื่องขึ้นก็ล้วนเป็นความรับผิดชอบของข้า หากจะเชิญอาจารย์ไปพักที่จวนอ๋องย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังมีเหล่าศิษย์น้องที่อาจารย์ต้องคอยอบรมสั่งสอนอยู่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ลดฐานะตนเองมาทำหน้าที่คุ้มครองอาจารย์ที่นี่แล้ว”
ไป๋ถานหนังตาเต้นตุบๆ “ไม่ดีกระมัง ถึงอย่างไรท่านอ๋องกับอาจารย์ต่างก็รุ่นราวคราวเดียวกัน พำนักร่วมชายคาเดียวกันเช่นนี้คงไม่แคล้วถูกผู้อื่นครหาเอาได้”
ซือหม่าจิ้นหาสะทกสะท้านไม่ “อาจารย์คาดหวังให้ข้าเคารพเชื่อฟังท่านมาตลอดมิใช่หรือ เหตุใดพอข้าจะเคารพเชื่อฟังท่านจริงๆ ไยอาจารย์กลับไม่ยินยอมเสียแล้ว”
เขาว่าอะไรนะ เขายังมีหน้าพูดว่าเคารพเชื่อฟังอาจารย์อีกหรือ!
ไป๋ถานถูกเขายั่วโมโหจนเกือบกระอักเลือด ได้แต่เบิกตามองเขาเดินเข้าสู่เรือนด้านหลังโดยพูดไม่ออกแม้สักคำ
นางไม่เคยพบเคยเจอใครที่หน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
ไป๋ต้งข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว แค่ขอบคุณเขาคำเดียวเท่านั้น เขาถึงกับได้คืบจะเอาศอก!
ขณะที่ไป๋ต้งม้วนแขนเสื้อเตรียมจะไล่ตามซือหม่าจิ้นไป ซีชิงก็พลันคว้าแขนดึงอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน “เจ้าอย่าได้ไปตอแยท่านอ๋องผู้นั้นจะดีกว่า เคยถูกเขาเล่นงานมาแล้วยังไม่รู้จักเข็ดหลาบอีกหรือ แต่จะว่าไป เจ้ารู้สึกว่าข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยเป็นอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ากับพี่สาวเจ้ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ข้ามาเป็นพี่เขยเจ้าดีหรือไม่ มาๆ น้องชาย เรียกพี่เขยให้ฟังสักคำเถิด”
ไป๋ต้งโกรธจนผลักเขาออก “ใครเป็นน้องชายท่าน ไปห่างๆ ข้าเลย ท่านไหนเลยจะคู่ควรกับพี่สาวของข้า!”
“ข้าไม่คู่ควรที่ใดเล่า”
“สรุปคือใครก็ล้วนไม่คู่ควรกับพี่สาวของข้า!”
“ชิ!” ซีชิงหันหน้าขยับไปใกล้ไป๋ถาน กระตุกแขนเสื้อนางพลางแย้มยิ้มจนดวงตาหรี่เป็นเส้น “ถานจ๋า ข้าเชื่อมั่นในคุณธรรมประจำใจเจ้าจริงๆ ต่อให้เจ้าอยู่ร่วมชายคาเดียวกับท่านอ๋องแล้วอย่างไร ก็เป็นเพียงความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์ ข้าเชื่อเจ้ายิ่งนัก!”
บทที่แปด
ไป๋ถานกลัดกลุ้ม แต่ก็หามีผู้ใดล่วงรู้ความทุกข์ใจของนางไม่
นางถูกศิษย์ขโมยจุมพิต มิหนำซ้ำยังไม่อาจพูดออกไป แม้ซีชิงจะบอกว่าเชื่อนางเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถช่วยยับยั้งมารร้ายผู้นี้ไม่ให้เข้าพักอาศัยอยู่ในเรือนได้ ท้ายที่สุดนางจึงทำได้เพียงอดกลั้นเท่านั้น
กลับเป็นสภาพจิตใจของอู๋โก้วต่างหากที่พังทลายยิ่งกว่าใคร เมื่อก่อนนางยังออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่เรือนด้านหน้าได้ ทว่าตั้งแต่ซือหม่าจิ้นปรากฏตัวนางก็ได้แต่อาศัยอยู่ที่เรือนด้านหลัง คราวนี้ช่างดีงามแท้ พื้นที่ซึ่งนางสามารถเคลื่อนไหวได้จึงเหลืออยู่แต่ในห้องครัวแล้ว
แม่ครัวทำอาหารไปพลางเนื้อตัวสั่นระริกไปพลาง “เจ้าว่าหลิงตูอ๋องชอบรสชาติอาหารเช่นไร หากข้าทำเค็มไปหรือจืดไปจะถึงตายหรือไม่”
อู๋โก้วไร้ถ้อยคำจะเอ่ย มิสู้ให้ตนไปหาเฉินหนิงแล้วขอออกบวชอยู่ที่อารามเป้าผู่เสียเลยจะดีกว่า
สุดท้ายความวิตกกังวลของแม่ครัวผู้นั้นก็ได้รับการคลี่คลายในไม่ช้า เพราะซือหม่าจิ้นเรียกคนครัวในจวนอ๋องมาที่นี่จนงานส่วนใหญ่ของนางแทบจะไม่ต้องทำอะไรแล้ว
แม้ไป๋ถานจะต่อต้านพฤติกรรมการย้ายเข้ามาอยู่อย่างเปิดเผยของซือหม่าจิ้นเพียงไร ทว่ากลับไม่อาจต่อต้านอาหารเลิศรสที่เขาจัดหามาให้ได้แม้แต่น้อย ผ่านไปไม่กี่มื้อ ท่าทีคัดค้านสุดตัวของไป๋ถานก็แปรเปลี่ยนเป็นเพิกเฉยก่อนจะมองข้ามเขาไปในที่สุด
ยังดีที่เวลาส่วนใหญ่ของซือหม่าจิ้นล้วนอยู่ในห้องเพื่อสะสางราชการทหารตามลำพัง เมื่อตาไม่เห็น ใจก็ย่อมไม่ขุ่นมัว
ผ่านไปไม่กี่วันชั้นเรียนก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ เหล่าศิษย์ล้วนกลับมาเข้าเรียนกันแล้ว
ความกระตือรือร้นของทุกคนต่อเรื่องนักฆ่ายังคงพลุ่งพล่านอยู่ ระหว่างพักจึงถกความเห็นกันอย่างออกรส
“ใครกันที่จะทำร้ายอาจารย์”
“ต้องเป็นคนที่หลิงตูอ๋องล่วงเกินไว้แน่ เขาฆ่าคนมากออกปานนั้น จะมีศัตรูก็ไม่เหนือความคาดหมาย”
“เฮ้อ ไยอาจารย์จึงต้องรับคนเยี่ยงนี้มาเป็นศิษย์ด้วย”
“ดีที่อาจารย์ไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องโทษหลิงตูอ๋องคนเดียวแล้ว!”
โจวจื่อถอนสายตาคืนจากนอกหน้าต่าง เอ่ยเตือนสหายร่วมชั้นด้วยเจตนาดี “พวกเจ้าจงดูข้างนอกก่อนว่านั่นเป็นใคร”
คนทั้งหมดหันขวับไปโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะมองเห็นซือหม่าจิ้นเดินผ่านลานมุ่งหน้าออกจากประตูเรือนไปพอดี
“…เมื่อครู่พวกเราถกความเห็นกันถึงกลอนบทไหนแล้วนะ”
“ใช่ๆ กลอนบทไหนนะ”
ศิษย์ทั้งหลายพากันก้มหน้าก้มตาพลิกตำราอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทว่าเหล่าอ๋องเจ้าศักดินากลับยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ซือหม่าเสวียนจึงออกคำสั่งห้ามทุกคนที่ปรากฏตัวในอุทยานเล่อโหยวออกจากเมืองหลวงโดยพลการเด็ดขาด
แน่นอนว่าเว้นเพียงซือหม่าจิ้น เนื่องจากเรื่องที่เขาพำนักอยู่บนภูเขาตงซานได้ถูกเหล่าศิษย์แพร่กระจายออกไปแล้ว
พอไป๋ถานได้ข่าวก็สำนึกเสียใจจนแทบจะเอาศีรษะโขกกำแพง
เหตุใดนางจึงนึกไม่ถึงเล่าว่าต้องเตือนเหล่าศิษย์ไว้ไม่ให้แพร่งพรายต่อคนนอก
สำนึกได้เมื่อสายแท้ๆ
ทันทีที่เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปย่อมมีผลกระทบที่ละเอียดอ่อนยิ่ง
ระหว่างทางกลับจวนในยามอาทิตย์อัสดง ซีชิงพบเจอไป๋หยั่งถังโดยไม่คาดฝัน ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนตั้งใจมาเพื่อดักรอพบเขา
ทั้งสองสนทนากันสักพักซีชิงก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายจึงเร่งรุดมาเยือนภูเขาตงซานเป็นการเฉพาะ
เหล่าศิษย์เพิ่งเลิกชั้นเรียนกลับไป ซือหม่าจิ้นหายหน้าไปยังไม่พบเห็นร่องรอย ยามนี้ไป๋ถานจึงอยู่ว่างกำลังเดินหมากกับตนเองภายในห้อง
พอซีชิงเดินเข้ามาก็อ้าปากพูดทันที “นี่ วันนี้ท่านพ่อเจ้าถึงกับมาหาข้าเพื่อขอร้องให้เกลี้ยกล่อมเจ้ากลับไปเชียวนะ”
ไป๋ถานเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจ้ารู้สึกว่าข้าจะตอบรับหรือ”
ซีชิงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อก่อนนั่งลงตรงข้ามนาง “ท่าทางของท่านพ่อเจ้าดูมีความจริงใจมากทีเดียว ประการแรกย่อมเป็นเพราะเหตุลอบสังหารครั้งนี้บานปลายใหญ่โต ฝ่าบาทเองก็ทรงให้ความสำคัญยิ่ง เขาในฐานะบิดาหากไม่แสดงท่าทีก็ไม่ถูกต้องแล้ว ประการที่สองเป็นเพราะคำนึงถึงชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเจ้า อย่างไรเสียหลิงตูอ๋องก็ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ ทั้งเจ้ากับเขาก็อายุไล่เลี่ยกันเกินไป บุรุษยังไม่สมรส สตรียังไม่ออกเรือน ดูไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ”
ไป๋ถานมองไปทางอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาเป็นตัวแทนเพื่อเจรจาจริงหรือนี่”
ซีชิงสั่นศีรษะพร้อมยิ้มละไม “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าแค่รับปากมาถ่ายทอดคำพูดให้เขาอย่างเดียว เนื้อความก็มีเพียงเท่านี้ ถ่ายทอดจบแล้วเจ้าก็คิดดูเอาเองเถิด”
ไป๋ถานตอบอย่างรวบรัดหมดจด “ไม่กลับ”
ซีชิงพลันรู้สึกสงสัยใคร่รู้ “ที่ผ่านมาข้ายังไม่รู้เลยว่าทีแรกเหตุใดเจ้าจึงออกจากบ้าน ที่แท้ระหว่างเจ้ากับบิดาเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไป๋ถานวางเม็ดหมากในมือลงไปหนึ่งเม็ด “ไม่มีอะไร เพียงอุดมการณ์แตกต่างไม่อาจร่วมทางก็เท่านั้น”
วัยเด็กยามที่บิดาสอนนางเล่าเรียนเขียนอ่านมักเน้นเสมอว่าความรู้มีไว้ยกระดับจิตใจคน ทว่าต่อมาตัวเขาเองกลับทำเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลจนเดินห่างไกลจากคำกล่าวนี้ออกไปทุกที
สิ่งที่เขาต้องการคือผู้ที่สามารถรับราชการเป็นผู้ช่วยของวงศ์ตระกูลได้ ทว่านางกลับเป็นสตรี ต่อให้มีชื่อเสียงทางเชิงบุ๋นเลื่องลือยิ่งกว่านี้จะไปมีประโยชน์อันใด ดังนั้นต่อให้ใช้บุตรสาวคนนี้เป็นเครื่องมือเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ก็ยังดีกว่าปล่อยไว้บนหิ้งให้ผู้คนยกย่องในความสามารถเพียงอย่างเดียว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางกลับรู้สึกว่ายอมให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องย่อยยับไปเสียยังจะดีกว่า จะได้ตัดความคิดพรรค์นั้นของบิดาทิ้งไปเสียที
ซีชิงเอามือข้างหนึ่งหนุนแก้ม จ้องใบหน้าของนางตาเขม็ง “เพียงแค่นี้เองหรือ”
ไป๋ถานไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง “อืม แค่นี้เอง”
“ข้ายังนึกว่าเกี่ยวข้องกับซีฮูหยินเสียอีก”
มือของไป๋ถานชะงักกึกก่อนจะวางเม็ดหมากลงไปอีกเม็ดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซีชิงหยิบเม็ดหมากดำจากโถขึ้นมาคลึงในมือแล้วเอ่ยปาก “ถึงอย่างไรสตรีตระกูลขุนนางก็ยังต้องหาที่พึ่งพิงซึ่งมีอำนาจและอิทธิพลไว้จึงจะถูก ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นเช่นเดียวกับซีฮูหยินสักนิด”
“เอ๊ะ?” ไป๋ถานเงยหน้าขึ้นมองเขา
ซีชิงกลับทำเหมือนไม่เคยพูดอะไร วางหมากเม็ดนั้นลงบนกระดานดังแปะแล้วเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “มาๆ ข้าจะเดินหมากกระดานนี้จนจบเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
วันนี้ซือหม่าจิ้นตั้งใจไปเยือนศาลโดยเฉพาะ
อุปนิสัยของเขาเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา ย่อมไม่มีทางได้รับผิดชอบคดีนี้ เปลือกนอกคดีนี้ศาลรับหน้าที่ไต่สวน แต่แท้จริงสมุหกลาโหมเซี่ยกลับเป็นผู้ควบคุมดำเนินการ ซือหม่าจิ้นมาที่นี่เพียงเพื่อสอบถามความคืบหน้าและถือโอกาสแย้มพรายเบาะแสที่มีเขามีเพียงเล็กน้อย
วันนั้นเขาเตรียมการไว้แต่แรก การกระชากตัวผู้บงการหลังม่านครั้งนี้เป็นสิ่งที่เขาหมายมั่นปั้นมือ ยามเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วจึงเริ่มเห็นเค้าชัดเจนขึ้นได้ตามลำดับ
หลังออกจากศาล เขาไปที่ริมแม่น้ำฉินไหว พบว่าผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง เรือสำราญหรูหราที่จอดอยู่ริมฝั่งลำนั้นจึงกลายเป็นดุจหอที่นิ่งสนิทอยู่หลังหนึ่ง
วันนี้หวังฮ่วนจือที่อยู่ในประทุนเรือประแป้งประทินโฉมอย่างพิถีพิถันไม่น้อย เขานั่งอยู่หลังโต๊ะรินน้ำชาให้ซือหม่าจิ้นถ้วยหนึ่งก่อนกล่าว “เรื่องที่ท่านอ๋องให้ข้าไปสืบนั้นได้ความแล้ว ในราชสำนักมีอ๋องเจ้าศักดินาที่โปรดปรานศึกษาตัวอักษรโบราณอยู่จริงๆ”
ซือหม่าจิ้นยื่นนิ้วมือออกจากเสื้อนอกตัวหนาไปรับถ้วยชา “ใคร”
“ตงไห่อ๋อง”
“เป็นมันดังคาด” ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงเย็นชา
ตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยนับตามลำดับอาวุโสแล้วก็มีศักดิ์เป็นอาของเขา ทว่าแต่ไรมาเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เคยมีความผูกพันฉันญาติที่สนิทสนมอันใดอยู่แล้ว กลับห่างเหินกันเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ
หวังฮ่วนจือกล่าว “ได้ยินว่าเหตุกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยในครั้งนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน ทว่าหลายปีที่ผ่านมากลับลอยนวลเหนือกฎหมายอยู่ได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“แน่นอนว่าเป็นความจริง ข้ารอจัดการมันมาสิบเอ็ดปีแล้ว”
ซือหม่าจิ้นวางถ้วยชาลง พอลุกขึ้นหมายจากไปก็ถูกหวังฮ่วนจือเรียกไว้
“ได้ยินว่าตอนนี้ท่านอ๋องพำนักอยู่ที่เรือนพักสกุลไป๋บนภูเขาตงซาน ก่อให้เกิดเสียงลือเซ็งแซ่หนาหู เหตุใดท่านไม่คำนึงถึงตนเอง หรือว่าไม่คำนึงถึงชื่อเสียงอันดีงามไม่ด่างพร้อยของอาจารย์ท่านบ้าง?”
“ไยต้องคำนึงถึง ในเมื่อช้าหรือเร็วนางก็ต้องเป็นคนของข้า”
ซือหม่าจิ้นยกเท้าก้าวออกจากเรือสำราญไปแล้ว ทว่าหวังฮ่วนจือกลับยังไม่คืนสติจากห้วงแห่งความตกตะลึงเมื่อครู่นี้
ฉะนั้นเมื่อครู่ความหมายของอีกฝ่ายใช่คิดจะแตะต้องอาจารย์ของตนเองหรือไม่
หวังฮ่วนจือยกมือตบฉาดลงบนโต๊ะเล็กก่อนหัวเราะจนหัวคว่ำคะมำหงาย “วิเศษ! วิเศษแท้ เลือกคนไม่ผิดจริงๆ นิสัยเช่นนี้ช่างตรงกับความชอบของข้ายิ่ง เกิดเป็นคนทั้งทีก็อย่าได้ผูกมัดตนเองมากนัก ขนบจารีตอันใดช่างมันปะไร!”
ยามที่ซือหม่าจิ้นกลับถึงภูเขาตงซาน ซีชิงยังคงไม่จากไป หมากกระดานนั้นยังไม่ยุติ
พอเห็นอีกฝ่ายเข้าประตูมา ซีชิงก็คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นคารวะ “สองสามวันนี้ท่านอ๋องงานล้นมือ ใช่รู้ฐานะของผู้บงการหลังม่านแล้วหรือไม่”
ซือหม่าจิ้นนั่งลงบนเบาะที่นั่งแล้วอังมือใกล้กระถางไฟ “คืนนั้นตอนที่ข้าสอบสวนนักฆ่านั่น จวบจนสิ้นใจมันก็ไม่ยอมปริปากบอกว่าใคร บอกแต่เพียงว่าอ๋องคนหนึ่งเป็นผู้บงการ ซึ่งผู้ที่สามารถส่งสารด้วยอักษรจินสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกได้ย่อมต้องแตกฉานในด้านนี้ ข้าสั่งคนไปสืบมาแล้ว นอกจากตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยก็ไม่มีใครอื่นอีก”
ซีชิงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง เขามองดูไป๋ถานและพบว่านางไม่ได้ช้อนตาขึ้นแม้สักครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะผลักนางเบาๆ ทีหนึ่ง “ไยเจ้าไม่มีท่าทีอยากรู้เลยแม้แต่นิดเดียว”
ไป๋ถานตอบ “เจ้ากับท่านอ๋องเปลี่ยนไปสนทนาที่อื่นจะเป็นการดีที่สุด ข้าไม่สนสักนิดว่าเป็นฝีมือของอ๋องคนใด ข้าสนแต่เพียงว่าเมื่อไรจึงจะปิดคดีนี้ได้ เมื่อนั้นข้าจะได้สอนหนังสือต่ออย่างสบายใจเสียที”
อย่างไรเสียนางก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องแก่งแย่งชิงดีไร้สาระในราชสำนักเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้าเข้าใจความหมายของอาจารย์ เหตุที่เอ่ยต่อหน้าท่านเป็นเพราะในอดีตตงไห่อ๋องเคยสนับสนุนชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยก่อกบฏ ดังนั้นทีแรกที่ทัพกบฏมาค้นหาตัวข้าในเมืองอู๋สามารถส่งสารด้วยการสลักอักษรได้จึงไม่น่าแปลกใจแล้ว”
ได้ยินดังนี้ไป๋ถานถึงได้เงยหน้าขึ้น นางขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก “ที่ตงไห่อ๋องมุ่งร้ายต่อท่านอ๋องในทีแรกแล้วใช้วิธีการนี้ยังพอฟังขึ้น ทว่าครั้งนี้เป้าหมายที่จะทำร้ายคือข้า หรือเขาไม่คิดบ้างว่าข้าจะรู้จักตัวอักษรนั่น? ในเมื่อเขาสามารถสนับสนุนทัพกบฏแล้วลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ก็ต้องไม่ใช่พวกกระจิบกระจอกเป็นแน่ มีหรือจะทิ้งหลักฐานที่ข้ารู้จักไว้เพื่อเปิดโปงตนเอง”
ซีชิงผงกศีรษะเห็นพ้อง “นี่อาจเป็นการป้ายความผิด”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “เป็นการป้ายความผิดก็ยิ่งดี ข้าจะได้จัดการสองคนนั้นในคราวเดียว ประหยัดแรงไปไม่น้อย เพียงหวังว่าคราวนี้ฝ่าบาทจะทรงรู้จักแข็งกร้าวขึ้นบ้าง ตัดสินพระทัยลงโทษพวกมันได้เสียที”
ไป๋ถานทำปากยื่น “ต่อให้ฝ่าบาทไม่ทรงแตะต้องพวกเขาก็น่าจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว พระองค์จะต้องมีเหตุผล มิใช่เต็มพระทัยปกป้องให้ท้ายอย่างแน่นอน”
ซือหม่าจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “จริงดังคาด ในสายตาของอาจารย์ ฝ่าบาททรงดีไปเสียทุกอย่าง”
ไป๋ถานมุ่นคิ้วมองอีกฝ่าย แต่ไรมาแม้อารมณ์ของเขาจะแปรปรวนยากคาดเดา ทว่าก็ไม่เหมือนกับตอนนี้ เขาชักเอาใหญ่แล้ว ถึงกับไม่ให้ความเคารพต่อฝ่าบาท ช่วงที่ผ่านมานางอุตส่าห์ทุ่มเทอบรมจนเริ่มเห็นผลแล้วแท้ๆ เหตุใดเขากลับพูดจาบจ้วงเบื้องสูงขึ้นมาได้
ซีชิงดึงสายตาของนางกลับมาด้วยเสียงกระแอมแห้งๆ ก่อนจะลุกขึ้นขอตัวกลับ
ตอนที่เขาจากไปฟ้ามืดสนิทแล้ว ไม่ช้าบ่าวรับใช้ก็นำสำรับอาหารมาส่ง เดิมทีไป๋ถานนึกว่าตนจะกินอาหารมื้อนี้ตามลำพัง ไม่คิดว่าซือหม่าจิ้นกลับรั้งอยู่ที่นี่นั่งตรงข้ามกับนางแล้วกินอาหารกันคนละโต๊ะ
ทั้งสองกินอาหารอย่างเงียบเชียบไม่พูดจาแม้สักคำ ไป๋ถานเงยหน้าขึ้นมาบ้างในบางที ทว่าเกือบทุกครั้งจะชำเลืองเห็นสายตาของซือหม่าจิ้นซึ่งทอดมองมาอย่างจงใจ แต่ก็คล้ายเป็นเพียงความบังเอิญเสมอ
ในใจนางรู้สึกว่าเรื่องนี้ชอบกลยิ่ง เดิมทีเรื่องก่อนหน้านั้นนางก็เก็บงำไว้ในใจมาหลายวันแล้ว ยามนี้ยากนักจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังจึงเริ่มอดกลั้นไว้ไม่อยู่
หลังกินอาหารเสร็จซือหม่าจิ้นยังนั่งดื่มชาอยู่หลังโต๊ะโดยไม่มีท่าทีจะจากไป
ในห้องไม่มีใครอื่น ไป๋ถานจึงกระแอมให้โล่งคอก่อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เชียนหลิง มีบางคำพูดที่อาจารย์จะต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน…เจ้าไม่อาจชอบพออาจารย์”
ซือหม่าจิ้นช้อนตามองมา รอยยิ้มอาบไปทั่วดวงตาทีละน้อย “อาจารย์รู้สึกว่าข้าชอบพอท่านหรือ”
“…” ไป๋ถานรู้สึกว่าพวงแก้มร้อนวูบวาบ นางพูดออกไปเช่นนี้ไม่คล้ายหลงตนเองอยู่บ้างหรอกหรือ พอถูกเขาย้อนถามก็ยิ่งบ่งชัดว่านางกำลังทึกทักเข้าข้างตนเองไปฝ่ายเดียวแล้ว
ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อ “อาจารย์เพียงบอกให้ชัดแจ้งไว้ก่อน ไม่ว่าการกระทำบนเขาในวันนั้นของท่านอ๋องเกิดจากเจตนาใด สรุปคือท่านอ๋องไม่อาจชอบพออาจารย์”
“เพราะเหตุใด”
“ยังต้องถามอีกหรือ” ไป๋ถานรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเหลวไหลสิ้นดี “พวกเราเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างไรเล่า!”
ราชโองการลับที่ซือหม่าเสวียนบัญชาต่อนางไม่ต่างจากภูเขาที่ยังกดทับอยู่บนศีรษะ นางไหนเลยจะกล้าฝ่าฝืนตามอำเภอใจ และในเมื่อเป็นราชโองการลับก็ย่อมไม่อาจป่าวประกาศตามใจนึก เพียงรู้แน่แก่ใจตนเป็นพอ
พฤติกรรมแหวกขนบฉีกจารีตไม่อาจยอมรับได้สำหรับผู้สืบราชบัลลังก์ ซึ่งนางกำลังสนองราชโองการอบรมให้เขากลายเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เดิมความประพฤติของเขาก็เหลวแหลกมากพออยู่แล้ว หากยังเพิ่มข้อหาผิดจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์เข้าไปอีกเรื่อง คาดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาอีก
ไป๋ถานตอกย้ำอีกประโยคอย่างเฉียบขาด “สรุปคืออาจารย์หวังดีต่อท่านอ๋อง”
ซือหม่าจิ้นลูบถ้วยชาที่อยู่ในมือ น้ำเสียงคล้ายเปรยไปเช่นนั้นเอง “อาจารย์มีความสนิทสนมทางกายกับข้าแล้ว เมื่อใดที่เรื่องนี้แพร่ออกไปท่านจะไม่สามารถออกเรือนกับผู้ใดได้อีก หรือท่านไม่กังวลใจเลยสักนิด?”
ไป๋ถานไม่กังวลแต่อย่างใด “ข้าอายุถึงวัยนี้ไม่มีความคิดจะออกเรือนนานแล้ว หากท่านอ๋องหยอกเย้าเพราะนึกสนุก อาจารย์ย่อมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเหตุนี้ ทว่าหากเกิดจากการชอบพอ…เช่นนั้นก็ขอยืนยันประโยคเดิม ท่านอ๋องไม่อาจชอบพออาจารย์!”
“อาจารย์บังคับจิตใจผู้อื่นเกินไปหน่อยแล้ว อบรมขัดเกลาความประพฤติก็ช่างเถิด นี่กระทั่งข้าจะชอบพอใครก็ยังจะสอนอีกหรือ”
ไป๋ถานมีสีหน้าเจ็บปวด “คำพูดนี้นับเป็นความหมายใด กำกวมคลุมเครือยิ่ง หรือว่าท่านอ๋องยอมรับแล้ว?”
“ข้ายอมรับหรือไม่ล้วนอยู่ที่อาจารย์คิดอย่างไร”
“…” นี่จะกวนโทสะข้าให้ตายใช่หรือไม่!
คาดว่าซือหม่าจิ้นคงอ่อนใจจึงพานทิ้งคำตอบอันคลุมเครือไว้ก่อนวางถ้วยชาแล้วเดินออกจากประตู
สายตาของไป๋ถานหยุดอยู่ตรงประตูที่เงาหลังของเขาเพิ่งลับตา จิตใจของนางทั้งฉุนเฉียวยากสงบทั้งอับจนปัญญาระคนกัน นางลูบสัมผัสริมฝีปากคล้ายดั่งความรู้สึกเมื่อตอนนั้นยังคงอยู่ ทั้งที่เป็นคนที่เลือดเย็นออกปานนั้น ทว่ากลีบปากทั้งคู่กลับอุ่นซ่านเสียได้
กระแสความคิดพลันชะงักกึก นางเคาะจานฝนหมึกที่อยู่ข้างมือทีหนึ่งอย่างหัวเสีย มัวคิดฟุ้งซ่านเหลวไหลอะไรอยู่! หวนระลึกถึงรสสัมผัสนั้นอีกแล้วสินะ!
วันสิ้นปีใกล้จะมาถึงแล้ว ทว่าในราชสำนักกลับถูกกำหนดให้ไม่อาจเฉลิมฉลองกันได้อย่างเป็นปกติสุข
เหล่าอ๋องเจ้าศักดินาล้วนรั้งอยู่ในเมืองหลวง ยังดีที่ช่วงปลายปีของทุกปีอ๋องจากทุกพื้นที่ต้องเข้าเมืองหลวงมาถวายของกำนัลอยู่แล้ว การพำนักอยู่ของพวกเขาจึงมิใช่เรื่องแปลกพิสดารอันใด
ทว่าคดีนั้นก็ไม่อาจให้ยืดเยื้อต่อไปได้ หาไม่เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเมื่อไรก็จะไม่มีเหตุผลพอที่จะกักตัวพวกเขาไว้อีก
ช่วงนี้หวังฮ่วนจืออาศัยอยู่ในเรือนพักสกุลหวังที่เชิงเขาตงซานฝั่งตะวันตก วันนี้เขาครึ้มอกครึ้มใจจนถึงกับดั้นด้นมาถึงเขตเรือนพักสกุลไป๋
ไป๋ถานเริ่มหยุดชั้นเรียนตั้งแต่วันนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าศิษย์ที่ภูมิลำเนาอยู่ไกลได้ออกจากเมืองหลวงกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว ขณะที่นางกำลังรับการคารวะอำลาจากเหล่าศิษย์อยู่ในห้องปีกตะวันตก เมื่อนางหันหน้าไปก็เห็นบุรุษในอาภรณ์หลวมยาวแขนกว้างผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงประตู
ไป๋ถานชะงักไปชั่วครู่กว่าจะระลึกได้ว่าคนผู้นี้คือหวังฮ่วนจือซึ่งเคยพบกันที่งานเลี้ยงในวัง
“เหตุใดคุณชายหวังจึงให้เกียรติมาเยือนเรือนอันซอมซ่อแห่งนี้ได้”
“ระยะนี้ข้าน้อยพำนักอยู่ที่ภูเขาตงซานมาตลอด ดังนั้นจึงแวะมาเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงสักหน่อย” พอหวังฮ่วนจือกวักมือเรียก เด็กรับใช้ที่อยู่เบื้องหลังก็นำเทียบคารวะกับของกำนัลแรกพบมามอบให้อย่างเป็นทางการทันที
บนกระดาษที่มีลวดลายงามวิจิตรนั้นเขียนอักษรอันทรงพลังพลิกพลิ้วประดุจหงส์ร่อนมังกรทะยาน ทว่านางยังไม่เคยพบเห็นใครมาเยือนถึงที่แล้วค่อยยื่นเทียบคารวะเช่นนี้มาก่อน นี่มิใช่ประหารก่อนกราบทูลทีหลัง* หรอกหรือ
ไป๋ถานแม้รู้สึกจนใจแต่ก็จำต้องลุกขึ้นมาเพื่อต้อนรับขับสู้ นึกไม่ถึงว่าหวังฮ่วนจือจะตั้งมือเอ่ยยับยั้ง “คุณหนูมิต้องมากพิธี ข้าน้อยยังมีแผลเก่าติดตัว ตั้งใจมาหาซีชิงเพื่อขอรับการรักษาเท่านั้น” จบคำเขาก็มุ่งไปทางเรือนด้านหลังด้วยตนเอง
ซีชิงมาถึงเรือนพักสกุลไป๋ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ยามนี้อยู่ที่เรือนด้านหลังกำลังชมซือหม่าจิ้นฝึกกระบี่
ก่อนหน้านี้ไป๋ถานเพียงชะโงกศีรษะมองดูเขาแวบหนึ่ง แล้วก็พบว่าร่างท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าของซือหม่าจิ้นนั้นช่างงามจับตาเหลือเกินจริงๆ นางต้านทานไม่ไหวจึงได้แต่หลบลี้หนีห่างออกมา
หวังฮ่วนจือผู้นี้ก็พิลึกคนโดยแท้ เขาไม่ขยาดกลัวเลยหรือว่าซือหม่าจิ้นจะซ้อมเขาอีกยกหนึ่ง ทว่าแต่ไรมาคนในราชสำนักเหล่านี้ล้วนไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร ทุกประการเพียงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เท่านั้น ไป๋ถานจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะแปลกพิสดารอะไร
ซือหม่าจิ้นฝึกกระบี่เสร็จแล้วก็คลุมเสื้อตัวนอกพลางนั่งเช็ดกระบี่ยาวอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน
พอเห็นหวังฮ่วนจือเดินมาแต่ไกล ซีชิงพลันนึกถึงเรื่องซุบซิบที่ตนเคยถกความเห็นกับไป๋ถาน จึงลองหยั่งเชิงซือหม่าจิ้น “ที่ผ่านมาท่านอ๋องไม่ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อไป๋ถาน ไม่ว่าข้าจะกระตุ้นยั่วเย้าอย่างไรท่านอ๋องก็ปิดปากไม่เอ่ยถึง พักนี้จู่ๆ นางก็ดูฟุ้งซ่านว้าวุ่นใจขึ้นมา หรือว่าท่านอ๋องจะเผยความในใจต่อนางแล้ว”
ซือหม่าจิ้นยังคงเช็ดกระบี่อย่างเยือกเย็นดุจเดิม “ข้าจะมีความในใจอันใดได้ เพียงไม่อยากให้นางเข้าวังกลายไปเป็นผู้ช่วยมือดีของซือหม่าเสวียนก็เท่านั้น”
ซีชิงสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หลุบคิ้วตาลงต่ำ ประดับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า “ข้าก็พอคาดเดาได้ว่านี่เป็นความจงใจของท่านอ๋อง ท่านอ๋องทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว ทุกเรื่องผลประโยชน์ต้องมาเป็นอันดับแรก เช่นนี้ถึงจะเป็นผู้กระทำการใหญ่”
ซือหม่าจิ้นพลันยกกระบี่ขึ้นขวาง คมกระบี่ใต้ประกายแดดเรืองแสงปลาบสะท้อนดวงหน้าอันเยียบเย็นของเขา ทำเอาซีชิงหุบปากไม่เอ่ยถึงไป๋ถานอีกเลย
หวังฮ่วนจือเดินมาถึงเบื้องหน้าแล้วทอดถอนใจ “ท่านอ๋อง คราวนี้คงจะจัดการได้ยากแล้ว ตงไห่อ๋องมีทหารกุมพื้นที่อยู่แถบหนึ่ง ซ้ำยังค้าเกลือเถื่อนในราคาสูงจนมั่งคั่งไม่แพ้คลังหลวง พยานที่ท่านอ๋องจับตัวได้มาก็ล้วนตายหมดสิ้นแล้ว หลักฐานไม่เพียงพอยากจะสั่นคลอนอีกฝ่ายได้”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ไม่มีหลักฐานก็ให้คนสร้างหลักฐานขึ้นมาเสีย หากยังติดว่าความผิดเบาไปก็ยัดข้อหาอื่นให้มันอีกสักสองสามข้อหา”
พอดีศิษย์คนหนึ่งในห้องปีกตะวันตกของเรือนด้านหน้ากำลังสอบถามไป๋ถาน เสียงนั้นก้องกังวานดังมาแต่ไกล “อาจารย์ขอรับ ‘ระบำแปดแถวถวายโอรสสวรรค์ ทว่าหกแถวสำหรับเจ้าผู้ครองแคว้น’ ขนบพิธีเช่นนี้ปัจจุบันยังมีอยู่หรือไม่”
ขณะที่ไป๋ถานชี้แจงคำตอบ ซือหม่าจิ้นเหลือบมองหวังฮ่วนจือแวบหนึ่ง “ระบำแปดแถวถวายโอรสสวรรค์เท่านั้น ดูเอาเถิด นี่มิใช่ความผิดที่สมบูรณ์อยู่แล้วหรอกหรือ”
หวังฮ่วนจืออับจนหนทางกับพฤติกรรมเอาแต่ใจตนของอีกฝ่าย แต่ก็ยังต้องผงกศีรษะชื่นชม “ท่านอ๋องปรีชายิ่งนัก”
ซือหม่าจิ้นพลันถือกระบี่กลับห้อง “จำไว้ว่าเก็บมันไว้ให้ข้า”
ซีชิงมองไปทางห้องปีกตะวันตก เรื่องนี้นับว่าไป๋ถานช่วยเหลืออีกแรงเช่นกัน
คาดว่าตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยอาจรู้สึกได้ว่าตนถูกคนหมายหัว หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกว่าฤดูหนาวอันแสนยาวนานนี้ตนอยู่ว่างจนหงุดหงิด เขาจึงบังเกิดความคิดพิสดารเชื้อเชิญคนกลุ่มหนึ่งมากินเลี้ยงที่เรือนพักของตนเพื่อแสดงออกว่าตนหาสะทกสะท้านไม่ ทั้งไร้ซึ่งความประหวั่นลนลานแม้แต่น้อย ได้ยินว่าบนโต๊ะอาหารยังดื่มสุรารวดเดียวถึงสองไห ผ่าเผยห้าวหาญดีทีเดียว
สุดท้ายก็มีขุนนางใหญ่วิ่งซอยเท้าเข้าวังไปฟ้องร้องต่อหน้าซือหม่าเสวียนภายในวันเดียวกัน
“แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตงไห่อ๋องผู้นั้นช่างกำเริบยิ่งนัก เขาเป็นเพียงอ๋องเจ้าศักดินาถึงกับบังอาจใช้ระบำบวงสรวงแปดแถว นี่เป็นการกระทำอันคิดคดทรยศอย่างร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ!”
ซือหม่าเสวียนพลันพิโรธหนัก เรื่องนี้ย่อมต้องสืบสาว สืบจนกว่าจะถึงที่สุด!
ถัดจากนี้หากตรวจค้นไม่พบฉลองพระองค์กับมงกุฎประดับมุกระย้าสิบสองเส้นอันเป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะของฮ่องเต้ ย่อมจะทำให้เหล่าขุนนางที่ชะเง้อคอเฝ้ารอต้องผิดหวัง
ซือหม่าเหว่ยยังไม่ทันสร่างเมาก็พุ่งปรี่เข้ามาในวังหลวง หลั่งน้ำตากอดขาซือหม่าเสวียนพลางพูดล้างมลทินให้แก่ตนเอง บอกว่าในอดีตนั้นเพื่อปราบกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยแล้ว กระทั่งชีวิตของบุตรชายตนยังต้องสังเวยไปด้วย บัดนี้กลับถูกฝ่าบาททรงคลางแคลงว่าซ่อนแฝงเจตนาร้าย ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์หดหู่ใจโดยแท้!
วาจานี้เดิมทีไม่มีอันใด ทว่าเมื่อแพร่มาถึงหูของไป๋ถานกลับรู้สึกว่าผิดปกติ
ขณะที่ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพูดคุยเรื่องนี้อยู่ในลาน บังเอิญนางได้ยินเข้าจึงสะกิดถูกเรื่องในอดีตที่อยู่ในความทรงจำของนางขึ้นมาทันที
นางรีบยกชายชุดวิ่งกลับเข้าห้อง พลิกหีบรื้อตู้เสาะหาไปทั่วจนกระทั่งค้นเจอภาพม้วนหนึ่ง นางรีบนำม้วนภาพไปหาซือหม่าจิ้น ทว่ากลับช้ากว่าเขาไปก้าวหนึ่ง เขาพากู้เฉิงไปฝึกไพร่พลที่ค่ายทหารแล้ว
เนื่องจากเรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวงจริงๆ นางจึงสั่งการให้ฉีเฟิงที่รั้งอยู่หน้าประตูนำทางไปพบเขา
ฉีเฟิงยืนพิงประตูเรือนเหลือกตาใส่นาง “พระโพธิสัตว์ไป๋ วันทั้งวันเจ้าคอยจับตาท่านอ๋องของข้าให้เขากล่อมเกลาจิตใจก็แล้วไปเถิด ไฉนกระทั่งเขาไปค่ายทหารก็ยังจะตามไปให้ได้อีก”
ไป๋ถานผูกเชือกเสื้อคลุมพลางกล่าว “เจ้าอย่าได้อิดออดไม่เต็มใจเลย ขืนชักช้าไปจะเสียการ ถึงตอนนั้นสำนึกเสียใจขึ้นมาก็ไม่ทันแล้ว”
ฉีเฟิงนึกถึงพฤติกรรมของนางที่มักอาศัยท่านอ๋องมากลั่นแกล้งตน ก่อนจะพยายามกดข่มอารมณ์ไว้ในที่สุดและพานางออกเดินทางไปแต่โดยดี
ทัพหลักที่ซือหม่าจิ้นบัญชาการไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงทั้งหมด กองทหารซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหลวงสามสิบลี้นี้เป็นเพียงกองหนึ่งในจำนวนนั้น
แรกเริ่มตอนที่เพิ่งเข้าสู่กองทัพ ซือหม่าจิ้นประจำการอยู่ที่อี้หยางซึ่งเป็นเมืองชายแดนมาตลอด ต่อมาเขาสร้างความชอบโดดเด่นหลายครั้งจนกระทั่งได้กุมตราจอมทัพ ทว่าเนื้อแท้ที่ชมชอบการเข่นฆ่านั้นกลับค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย ตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งซึ่งกุมไพร่พลของเมืองหลวงอยู่ในมือจึงคอยหาเรื่องจับผิดกล่าวโทษอย่างรุนแรงหมายจะริบอำนาจทหารของเขา
ซือหม่าจิ้นไม่พูดให้เปลืองน้ำลาย กลับเมืองหลวงมาพบคนเหล่านั้นพร้อมนำศีรษะแม่ทัพใหญ่ของแคว้นศัตรูสิบกว่าหัววางเรียงแถวเบื้องหน้าอีกฝ่าย นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดมากอีกแม้สักครึ่งประโยค
ภายหลังเขาจึงดึงไพร่พลกองหนึ่งมาประจำการอยู่ละแวกเมืองหลวงเสียเลย ซึ่งซือหม่าเสวียนก็เห็นดีเห็นงามด้วย คาดว่าเป็นเพราะยังหวั่นเกรงจะเกิดเหตุทัพกบฏบุกเข้าเมืองหลวงซ้ำรอย มีมารร้ายผู้นี้อยู่ ไยมิใช่เป็นการข่มขวัญผู้คนอีกทางหนึ่งหรอกหรือ
ซือหม่าจิ้นเข้มงวดวินัยในกองทัพจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา ยามที่ไป๋ถานโดยสารรถมาถึง เขากำลังลงโทษทหารสองนาย ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บนี้เขาถึงกับจับคนแขวนห้อยบนราวไม้นอกกระโจมแล้วโบยด้วยแส้ที่จุ่มน้ำเกลือ บรรดาทหารที่อยู่รอบด้านล้วนไม่กล้ากระทั่งจะระบายลมหายใจแรง ทว่าก็ยังต้องเบิกตามองดู
ฉีเฟิงเข้ามารายงานที่กระโจมใหญ่ของจอมทัพ พอซือหม่าจิ้นออกจากกระโจมก็เห็นไป๋ถานยืนอยู่นอกรั้วไม้ของประตูค่าย กำลังจับจ้องคนที่ถูกลงโทษตาเขม็ง
ซือหม่าจิ้นถามขึ้นประโยคหนึ่ง “โบยไปกี่ทีแล้ว”
กู้เฉิงซึ่งเดิมทีนับจำนวนอยู่พลันได้สติ มองฟ้าทบทวนความทรงจำ “น่าจะสามสิบขอรับ”
ผู้ที่ถูกโบยทนไม่ไหวถึงกับตะโกนตอบด้วยตนเอง “สี่สิบสามแล้วขอรับ! ท่านอ๋อง คราวหน้าท่านอย่าให้รองแม่ทัพกู้เป็นผู้นับจำนวนจะได้หรือไม่ ข้าน้อยทนรับไม่ไหวแล้ว!”
ซือหม่าจิ้นเอ่ย “โบยครบห้าสิบทีแล้วค่อยปล่อยลงมา”
อย่างไรเสียก็ไม่เหมาะที่ไป๋ถานจะยุ่มย่ามเรื่องการคุมทัพของเขา นางจึงทำได้เพียงมองดู
ซือหม่าจิ้นเดินไปหาไป๋ถาน แต่กลับไม่เชิญนางเข้ามาในค่าย ที่นี่มีแต่ทหารเนื้อตัวมอมแมมย่อมมิใช่สถานที่ซึ่งสตรีควรจะอยู่ เขาเดินออกจากประตูใหญ่พานางเดินมุ่งไปด้านนอกหลายก้าวแล้วค่อยเอ่ยถาม “อาจารย์มาหาข้าถึงที่นี่ด้วยเหตุใด”
“มาสนทนาเรื่องในอดีตกับท่านอ๋อง” ไป๋ถานเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าคนในค่ายไม่อาจมองเห็นได้แล้วจึงเขย่งปลายเท้ากระซิบที่ข้างหูของเขา
ซือหม่าจิ้นรู้สึกข้างหูคันยุบยิบชวนอ่อนระทวยยิ่งนัก ความรู้สึกนั้นคล้ายดั่งแล่นทะลวงเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ แต่เขาก็ยังต้องปลุกปลอบสมาธิเพื่อให้รับฟังคำพูดของนางได้
ปีนั้นขณะที่ลี้ภัยอยู่เมืองอู๋ สกุลไป๋พบว่าบนกำแพงเรือนของตนคล้ายถูกสลักอักษร พวกเขาแคลงใจว่าสถานที่ซ่อนกายขององค์ชายอาจถูกพบเห็นเข้าแล้ว จึงตัดสินใจย้ายที่พำนักกันอย่างเร่งด่วน
ไป๋ถานกับซือหม่าจิ้นเดินทางไปด้วยกัน ในภาวะที่ยากลำบากไม่มีกระทั่งรถม้าสักคันนั้น ไม่คาดว่าระหว่างทางกลับถูกลอบจู่โจม นางจึงฉุดดึงซือหม่าจิ้นวิ่งเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งแล้วซ่อนกายอยู่ในกองฟืน
ไม่นานนักก็มีคนกลุ่มหนึ่งค้นหาจนมาถึงที่นี่ ไป๋ถานจดจำผู้เป็นหัวหน้าได้แจ่มชัดเป็นพิเศษ เพราะเครื่องแต่งกายของเขาวิจิตรหรูหราผิดธรรมดา สิ่งที่ประทับติดตรึงอยู่ในความทรงจำลึกซึ้งที่สุดคือไต้เม่า* ซึ่งประดับอยู่บนหน้ารองเท้าของเขานั้นสุดแสนจะสะดุดตา มีเพียงเขตเมืองตงไห่ที่ผลิตไต้เม่าได้เป็นจำนวนมาก ทั้งคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ล้วนเรียกขานเขาว่าซื่อจื่อ**
หลังหนีรอดกลับไป ไป๋ถานวาดภาพคนผู้นี้ไปให้ผู้อาวุโสหลายคนระบุตัว พวกเขาล้วนบอกว่านี่คือบุตรชายของตงไห่อ๋อง อีกทั้งกล่าวชื่นชมว่านางวาดได้เหมือนจริงอย่างยิ่ง
ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คนทั้งหมดล้วนบอกว่าวันนั้นตงไห่อ๋องซื่อจื่อเป็นผู้ที่มาช่วยเหลือพวกตน ไป๋ถานจึงนึกว่าตนเข้าใจผิดไปเอง แล้วคิดไปว่าพวกเขาไม่ใช่ทัพกบฏแต่อย่างใด
ถัดจากนั้นหลังเหตุกบฏยุติ ซื่อจื่อผู้นี้เนื่องจากพลีชีพในสมรภูมิจึงได้รับการอวยยศและปูนบำเหน็จตามหลัง
จนกระทั่งบัดนี้ตงไห่อ๋องพลันเอ่ยถึงบุตรชายขึ้นมา ไป๋ถานจึงฉุกคิดได้ว่าเรื่องราวที่เดิมเคยเข้าใจอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว
หากตงไห่อ๋องมีส่วนร่วมในเหตุกบฏตามที่ซือหม่าจิ้นกล่าว บุตรชายของเขาย่อมเป็นศัตรูมิใช่มิตร
นางฉวยภาพม้วนนั้นออกจากแขนเสื้อพลางคลี่กางให้ซือหม่าจิ้นดู “ท่านอ๋องดูก่อน อาจารย์จำไม่ผิดกระมัง นี่คือคนที่ไล่ล่าพวกเราในตอนนั้นใช่หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นแทบไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว เรื่องในอดีตเขาจดจำได้แจ่มชัด ทว่านางคล้ายลืมเลือนไปหมดสิ้น นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับพลันจดจำขึ้นมาได้ เรียกว่าหลิวครึ้มบุปผาเด่น* ก็ไม่ผิด
“นี่อาจารย์ยังเก็บภาพนี้ไว้อีกหรือ”
ไป๋ถานทอดถอนใจ “ท่านอ๋องไม่รู้อะไร อาจารย์ไม่เคยพบเห็นไต้เม่าที่งดงามเพียงนั้นมาก่อน วาดออกมาแล้วจึงหักใจโยนทิ้งไปไม่ได้”
ซือหม่าพลันจิ้นหัวเราะ “โค่นล้มตงไห่อ๋องคราวนี้ ข้าจะขนไต้เม่าในจวนของเขามามอบให้อาจารย์ทั้งหมดเลยแล้วกัน”
“ท่านอ๋องต้องการให้อาจารย์เป็นพยานชี้ตัวตงไห่อ๋องก็มิใช่ว่าไม่ได้” ไป๋ถานก้มหน้าถูนิ้วมือที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง “เพียงแต่อาจารย์มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
ซือหม่าจิ้นเดินไปถึงข้างรถม้าแล้ว “อาจารย์เชิญกล่าว”
“ได้ยินว่าในราชสำนักจะมีการคัดเลือกผู้ทรงธรรมเป็นประจำทุกสิ้นปี ผู้ใดมีใจกตัญญูสูงสุดจะได้รับรางวัลจากราชสำนัก อาจารย์เสนอชื่อท่านอ๋องไปด้วยเหตุผลที่ท่านกตัญญูเคารพต่ออาจารย์คงจะได้กระมัง”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นบึ้งตึงในฉับพลัน เดิมทีเขากราบอาจารย์เป็นการส่วนตัว ทว่าการกระทำนี้ของนางกลับต้องการอวดโอ่ต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าว่าพวกเขาคืออาจารย์การุณย์กับศิษย์กตัญญู นางปรารถนาจะตอกย้ำความสัมพันธ์นี้ต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักเชียวหรือ
“อาจารย์กับข้าช่างแบ่งแยกกันชัดเจนนัก”
ไป๋ถานสบสายตากับเขา “พวกเราเดิมทีก็เป็นศิษย์กับอาจารย์ และจะเป็นได้แค่ศิษย์กับอาจารย์เท่านั้น”
นางกำลังใช้วาจานี้ตอบโต้ท่าทีอันคลุมเครือของเขา ซือหม่าจิ้นสะบัดหน้ากลับเข้าค่ายโดยไม่คิดจะตอบแม้สักคำ
ไป๋ถานระบายลมหายใจพลางถูฝ่ามือ สุดท้ายยังคงก้าวขึ้นรถม้ามุ่งหน้าเข้าวังไปเป็นพยาน
ที่ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง ซือหม่าเสวียนตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ยินว่าไป๋ถานเป็นฝ่ายมาขอเข้าเฝ้า เขาผลักราชกิจที่มีอยู่เต็มโต๊ะออกเพื่อมาพบนางโดยเฉพาะ จวบจนกระทั่งได้เห็นนางปรากฏกายอยู่เบื้องหน้ากับตาของตนเองแล้ว เขาก็ยังไม่ค่อยได้สติขึ้นมานัก
รอจนไป๋ถานถวายบังคมขานเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว เขาถึงรวบรวมสมาธิเพื่อฟังนางเอ่ยจุดประสงค์ที่เข้าวังได้
“เรารู้สึกมาตลอดว่าบรรดาอ๋องเจ้าศักดินามีรากฐานหยั่งลึกจนยากจะสั่นคลอนได้ ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าเจ้ายังกล้าหาญกว่าเราเสียอีก” เขายิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกจนใจไม่น้อย
ไป๋ถานกล่าว “ที่ฝ่าบาททรงอดกลั้นย่อมเป็นเพราะมีสิ่งที่พระองค์ต้องคำนึงถึง ไป๋ถานเพียงทูลความจริงไปตามตรง ทว่าจะจัดการเช่นไรล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเพคะ”
สายตาของซือหม่าเสวียนพลันนุ่มนวลขึ้น “ก็มีแต่เจ้าที่เชื่อมั่นในตัวเราเช่นนี้”
ไป๋ถานสะทกสะท้อนอยู่ในใจ…เช่นนั้นทรงเห็นแก่ที่หม่อมฉันเชื่อมั่นในพระองค์ ให้อภัยหม่อมฉันที่ไม่อาจอบรมญาติผู้น้องของพระองค์ให้ดีจะได้หรือไม่เพคะ…
หลังสนทนาเรื่องงานจบ ซือหม่าเสวียนก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ “เราบอกให้เจ้าหมั่นเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพี่สาวมิใช่หรือ เหตุใดกลับไม่เห็นเจ้าเข้าวังมาเสียทีเล่า”
“หม่อมฉันยังหาเวลาว่างมาไม่ได้เพคะ อย่างไรเสียหม่อมฉันก็ต้องสอนเหล่าศิษย์ทุกวัน” นี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ไป๋ถานฝืนยิ้มก่อนรีบถวายบังคมทูลลา
ที่นางไม่มาย่อมเป็นเพราะไม่ชอบวังหลวง นางเข้ากับที่นี่ไม่ได้เลยสักนิด
ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะโดยไม่พูดอะไร
พอออกจากห้องทรงพระอักษรไป๋ถานก็พุ่งตรงไปที่ประตูวัง เพิ่งมาถึงหน้าประตูกลับมองเห็นรถม้าของซือหม่าจิ้นจอดอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งของเขาพลันเลิกม่านรถแล้วมองตรงมา แสงจันทร์กระจ่างดุจสายน้ำไหล รูปโฉมของเขาดุจดังจันทร์สกาวเหนือขุนเขาขจียามวสันต์
นี่ก็เป็นอีกคนที่เข้ากับนางไม่ได้ในทุกกรณี เขากับนางล้วนมิใช่คนบนเส้นทางเดียวกันสักนิด เขากุมทหารจำนวนมากอยู่ในมือ ทั้งอุปนิสัยแปรปรวนเอาแน่มิได้ ส่วนนางก็เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือเท่านั้น อย่าได้เข้าไปพัวพันด้วยจึงจะเป็นการดีที่สุด
ไป๋ถานขึ้นรถโดยไม่พูดจาสักคำ ซือหม่าจิ้นเองก็ไม่ส่งเสียง ตลอดทางภายในรถม้าจึงเงียบกริบโดยสิ้นเชิง
เมื่อกลับถึงเรือนพัก นางเห็นอู๋โก้วถือหัวไช้เท้านั่งยองกับพื้นกำลังป้อนกระต่ายขนเทาตัวหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างคือไป๋ต้ง
นับตั้งแต่ถูกไป๋ถานไล่ตะเพิดไปเมื่อครานั้น นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขามาเยือน สายตายามมองซือหม่าจิ้นแม้ยังคงไม่เป็นมิตร ทว่าก็สำรวมขึ้นมาก อย่างน้อยเขาก็ยังรู้จักคารวะอีกฝ่าย
“พี่สาวไปที่ใดมา ข้าล่ากระต่ายตัวหนึ่งมาขุนบำรุงท่านช่วงฤดูหนาว” ไป๋ต้งพลันหิ้วกระต่ายตัวนั้นมามอบให้ให้ไป๋ถานโดยไม่รอช้า
อู๋โก้วคล้ายหักใจไม่ได้อยู่บ้าง จับจ้องกระต่ายอย่างไม่อาจละสายตา
ไป๋ถานพลันบังเกิดความคิด หิ้วกระต่ายตัวนั้นใส่อ้อมกอดของฉีเฟิง
ฉีเฟิงยินดีจนออกนอกหน้า นึกว่าค่ำนี้ตนจะได้ลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่แล้ว ใครจะรู้ว่าไป๋ถานกลับเอ่ยตามมาติดๆ “กระต่ายตัวนี้มอบให้ท่านอ๋องเลี้ยงดู ห้ามเลี้ยงตายเป็นอันขาด เลี้ยงผอมก็ไม่ได้เช่นกัน”
เดิมทีซือหม่าจิ้นกำลังมุ่งหน้าไปทางเรือนด้านหลัง พอได้ยินเช่นนี้จึงชะงักฝีเท้าพลันหมุนกายขวับ “ข้าไม่มีอารมณ์ทำเรื่องไร้สาระนั่น”
ไป๋ถานกล่าว “หากท่านอ๋องไม่อาจลงมือกับกระต่ายตัวหนึ่งแล้ว เช่นนั้นกับชีวิตคนก็ย่อมจะยับยั้งชั่งใจได้”
ซือหม่าจิ้นพลันชักกระบี่ขว้างออกไปทันใด ฉีเฟิงหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ทว่ากระต่ายในมือกลับถูกเสียบตรึงอยู่ที่พื้นแล้ว
เขาเดินตรงมาดึงกระบี่ออกแล้วปาดเช็ดเลือดกับขนกระต่าย จากนั้นจึงเดินไปยังเรือนด้านหลังโดยไม่เหลียวกลับมาอีก
อู๋โก้วโยนหัวไช้เท้าทิ้งก่อนจะสะบัดหน้าจากไปทั้งน้ำตาทันที
ขณะที่ไป๋ถานถอนหายใจ ศีรษะของไป๋ต้งก็เบียดเข้ามาใกล้ “พี่สาว มารร้ายนั่นเป็นอะไรไป”
ฉีเฟิงกระทืบเท้าอยู่ด้านข้าง “เจ้าถึงกับบังอาจเรียกท่านอ๋องของข้าว่ามารร้ายเชียวหรือ!”
ไป๋ต้งซักถามต่อโดยไม่แยแสอีกฝ่าย “พักนี้เขามีพฤติกรรมเกินเลยอันใดบ้างหรือเปล่า”
ไป๋ถานโพล่งขึ้นในฉับพลัน “ข้ารู้สึกว่าน้ำแกงงูน้ำข้นน่าจะอร่อยกว่า”
หากเอ่ยถึงอย่างอื่น ไป๋ต้งต้องขันอาสาไปหามาให้นางแน่ ในเมื่อฤดูกาลนี้งูล้วนจำศีลแล้ว ล้วนจับมาได้ง่ายยิ่ง ทว่าเขากลับกลัวงูเป็นที่สุด หนุ่มน้อยจึงหน้าซีดเผือดทันตา
“พี่สาว นี่ไม่เท่ากับกลั่นแกล้งกันหรอกหรือ” ไป๋ต้งเดินหน้าตูมออกจากประตูไป
ในที่สุดก็ไปแล้ว…
ไป๋ถานกลับเข้าห้องของตน ห้องฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องกันคือห้องที่ซือหม่าจิ้นเลือกด้วยตนเอง ภายในยังจุดไฟสว่างไสว ไม่รู้เขากำลังทำอะไรอยู่
นางสั่นศีรษะ หมู่นี้เขาอารมณ์แปรปรวนเอาแน่ไม่ได้ยิ่งนัก ทั้งท่าทีก็ส่อนัยคลุมเครือ นับวันเขายิ่งอบรมยากขึ้นทุกที
เพียงไม่กี่วันเท่านั้นตงไห่อ๋องก็ถูกนำตัวไปไต่สวนที่ศาล
ดังคำที่ว่าคนเราจะพลาดท่าเสียทีมิได้ เพราะเมื่อใดที่พลาดพลั้ง ไม่ว่าเรื่องใดก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ข้อหาเพิ่มมาอีกหลายข้อหาในคราวเดียว
หวังฮ่วนจือลอบไปพบเขาเป็นการส่วนตัวและแย้มพรายว่าข้อหาฉกรรจ์ในคดีที่เขาลอบสังหารไป๋ถานนั้นได้ยั่วโทสะหลิงตูอ๋องเข้าให้แล้ว
ฝีมือของซือหม่าจิ้น ตงไห่อ๋องย่อมเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เขาจึงรีบปฏิเสธเป็นพัลวันว่ามิได้ทำเรื่องนี้ จากนั้นก็เริ่มลากผู้อื่นลงน้ำอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่ว่าใครที่เคยติดต่อกับเขาในช่วงนี้ล้วนถูกกัดจนถ้วนทั่ว
หวังฮ่วนจือสืบไปตามเบาะแสที่ได้รับจนสามารถกระชากตัวซินอานอ๋องออกมาได้อีกคน
ซินอานอ๋องเป็นลูกพี่ลูกน้องของซือหม่าจิ้น ตอนแรกเคยแย่งชิงอำนาจทหารกับเขา ทว่าจนใจที่พ่ายศึกในสนามรบซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากแย่งชิงอย่างไรก็สู้อีกฝ่ายไม่ไหว
มิหนำซ้ำซือหม่าจิ้นยังเป็นที่โปรดปรานและไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้ ทั้งที่ในบรรดาอ๋องเจ้าศักดินาทั้งหมดซือหม่าจิ้นกลับแหวกขนบฉีกจารีตยิ่งกว่าใคร แต่กลับได้รับเขตปกครองละแวกเมืองหลวงและราชทินนามหลิงตู นี่เท่ากับเป็นการประกาศพระประสงค์ต่อใต้หล้าก็ว่าได้ ซินอานอ๋องย่อมผูกใจเจ็บเป็นธรรมดา
การที่ไป๋ถานออกหน้าเป็นพยาน แม้ไม่อาจนับว่าเกิดผลสำคัญใหญ่หลวง ทว่าก็ทำให้ซือหม่าเสวียนตัดสินใจได้เด็ดขาดที่จะโค่นล้มบรรดาอ๋องเจ้าศักดินา
ตระกูลขุนนางใหญ่ล้วนไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้ บรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์อยากสู้รบตบมือกันอย่างไรก็เชิญตามสะดวก พวกเขาเพียงวางเฉยเตรียมฉลองปีใหม่กันเป็นพอ
ไป๋ถานก็ไม่ต่างจากตระกูลขุนนางเหล่านั้น เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข่าวสารที่ได้ยินมา ตนไม่ได้แยแสสักนิด
เรื่องของอ๋องที่มีอิทธิพลใหญ่โตสองคนยังไม่ทันปิดฉาก เวลาก็ดำเนินมาถึงวันสิ้นปีแล้ว
เช้าวันสิ้นปีปุยหิมะขนาดใหญ่เท่าขนห่านเริ่มโปรยปรายลงมา ไป๋ถานตื่นแต่เช้านำอู๋โก้วไปกวาดลานด้วยตนเอง อีกทั้งคอยควบคุมให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่า ทุกคนล้วนงานยุ่งจนมือเป็นระวิงทีเดียว
หลังซือหม่าจิ้นกลับมาจากค่ายทหารก็มองเห็นนางอยู่ในชุดทะมัดทะแมงรัดเอวเข้ารูปเกล้ามวยขึ้นสูงกำลังจัดเก็บโต๊ะในห้องปีกตะวันตกอยู่ ลักษณะท่าทางเช่นนี้ไหนเลยจะมองออกว่านี่คือคุณหนูตระกูลขุนนาง
พอเห็นเขากลับมา ไป๋ถานก็หยุดงานในมือแล้วเดินมาถามตรงประตู “คืนนี้ท่านอ๋องไม่กลับจวนหรือ”
ซือหม่าจิ้นโยนแส้ม้าในมือให้ฉีเฟิงที่อยู่เบื้องหลัง “อะไรกัน อาจารย์ติว่าข้าขัดตาหรืออย่างไร”
ไป๋ถานตอบอย่างจนใจ “ความหมายของอาจารย์คือมีคนมาเพิ่มก็ต้องเตรียมอาหารให้มากหน่อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการฉลองปีใหม่”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นค่อยดูดีขึ้น เขาปรายตาไปด้านหลัง ยามนี้กู้เฉิงได้ยกตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งเข้ามาแล้ว ภายในบรรจุวัตถุดิบในการปรุงอาหารจนเต็มตะกร้า
ไป๋ถานเพียงเห็นก็น้ำลายสอ ทว่าดวงหน้ายังคงแสร้งเป็นการเป็นงานเต็มที่ “ท่านอ๋องกตัญญูโดยแท้”
ซือหม่าจิ้นได้ยินคำนี้ก็ออกอาการไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาพลันเดินหน้าตาเย็นชากลับห้องไป
มื้อเที่ยงเพียงกินรองท้องอย่างง่ายๆ ทว่ามื้อค่ำย่อมจัดขึ้นโต๊ะอย่างเต็มที่
เมื่อก่อนไป๋ถานเคยฉลองปีใหม่กับอู๋โก้วเพียงสองคน บรรยากาศเงียบเหงายิ่ง ยากนักที่ปีนี้จะมีคนมาเพิ่มหลายคน นางจึงเรียกฉีเฟิงกับกู้เฉิงมาร่วมกินอาหารด้วยเสียเลย
กู้เฉิงยังดียิ่ง ขณะที่ฉีเฟิงเข้าขั้นตื่นตระหนก จู่ๆ พระโพธิสัตว์ไป๋พลันบังเกิดจิตเมตตาเช่นนี้ จะคิดร้ายอะไรอยู่หรือไม่
ซือหม่าจิ้นเข้ามานั่งประจำที่สายยิ่ง เขาสวมเสื้อนอกขนจิ้งจอกสีขาวหิมะ ทันทีที่นั่งมั่นคงแล้วไป๋ถานก็พลันสะทกสะท้อนใจ นางรู้เสียทีว่า ‘เปรียบอัญมณีข้างกาย ละอายว่าตนซอมซ่อ’* เป็นความรู้สึกเช่นไร
บุรุษเช่นนี้หากมิใช่มีกิตติศัพท์ความน่าสะพรึงกลัวลือลั่นไปทั่ว เกรงว่ามีแต่จะชวนให้เหล่าสตรีเข้ามารุมล้อมไล่ตามดุจฝูงเป็ด
ซือหม่าจิ้นสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าไป๋ถานกำลังจับจ้องตนอยู่ ทว่าเขาไม่ได้มองตอบ
ตอนที่ราชสำนักคัดเลือกผู้ทรงธรรม นางยังเขียนหนังสือกราบทูลถวายต่อซือหม่าเสวียนเสียดิบดี แน่นอนว่าชื่อเสียงเช่นเขาย่อมไม่มีทางได้รับรางวัลจากราชสำนัก ทว่าสองวันก่อนซือหม่าเสวียนยังเรียกเขาไปชมเชยหลายประโยคเป็นการเฉพาะ
นี่ก็คือความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่นางต้องการ ทั้งแน่ชัดและขีดเส้นแบ่งไว้อย่างชัดเจน
เขาน่าจะเข้าใจได้แต่แรกแล้วว่านางหาได้มีใจให้ไม่ หาไม่ไหนเลยนางจึงไม่คิดถึงเรื่องราวในอดีตแม้แต่น้อย
ทว่าถึงกระนั้นแล้วอย่างไร กว่าซีชิงจะเชื่อมโยงสายสัมพันธ์เส้นนี้ให้เขากับนางได้ก็มิใช่ง่ายๆ เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นคว้าอัญมณีเม็ดนี้ไปครอง
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงถือจอกมาคารวะสุราผู้เป็นนาย ซือหม่าจิ้นเพียงกวาดตามอง ร่างของทั้งสองก็หดกลับไปโดยพร้อมเพรียง
“โอ๊ะ คืนนี้ยังต้องอยู่จนโต้รุ่ง ท่านอ๋องค่อยๆ กิน พวกเราขอตัวก่อนขอรับ” ฉีเฟิงวางจอกสุราแล้วคว้าตัวกู้เฉิงออกไปทันที
อู๋โก้วอยู่ต่อไม่ไหวนานแล้ว จวบจนป่านนี้ยามที่นางมองเห็นซือหม่าจิ้นก็ยังนึกถึงกระต่ายที่น่าสงสารตัวนั้นไม่หาย นางวิ่งออกมาหลังเอ่ยเสียงเบาว่าจะไปยกน้ำแกง
ไป๋ถานเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ว่าคืนนี้คงไม่ได้ดื่มน้ำแกงนั้นแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหิมะตกหนักยิ่งขึ้น
ไป๋ถานลุกขึ้นเติมถ่านก้อนหนึ่งลงในกระถางไฟก่อนหันหน้าไปจุดกำยานในเตา
เพิ่งจัดวางเรียบร้อย ซือหม่าจิ้นพลันโน้มกายมาคว้าเตากำยานขว้างออกไปนอกหน้าต่าง
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นที่ด้านนอก ไป๋ถานรีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่างก็เห็นไป๋ต้งยืนขึ้นกุมหน้าผากด้วยสีหน้าตัดพ้อ
“ข้าซ่อนตัวมิดชิดออกปานนี้ยังถูกพบเห็นได้อีกหรือ” เขาขึงตาใส่ซือหม่าจิ้นอย่างไม่ยอมรับนับถือ
“ข้าไม่ได้พบเห็น เพียงแต่ไม่ชอบกลิ่นของกำยานเท่านั้น” ซือหม่าจิ้นแหงนคอดื่มสุราในจอกจนหมดโดยไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่าย
ไป๋ถานแทบอยากจะตีไป๋ต้งสักยก หิมะตกหนักเช่นนี้เขาถึงกับนั่งอยู่เบื้องนอกได้เยี่ยงไร
“รีบกลับไปเร็วเข้า!”
ไป๋ต้งทำปากยื่น “ข้าอยากมาคารวะพี่สาวนี่นา”
“เอาล่ะ เจ้าคารวะเสร็จแล้วจงรีบกลับไปเสีย อีกเดี๋ยวหากหิมะปิดเส้นทางลงเขาขึ้นมา เจ้าอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว”
ไป๋ต้งยังไม่อยากไปจริงๆ ทว่าไป๋ถานยืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ เขาอับจนหนทางแล้วจึงทำได้แค่นวดคลึงหน้าผากพลางเดินจากไป
ไป๋ถานคิดแล้วไม่วางใจ ฉวยเสื้อคลุมตัวหนึ่งไล่ตามออกไปมอบให้น้องชาย พอกลับมาถึงซือหม่าจิ้นกลับนั่งโกรกลมหนาวอยู่ริมหน้าต่าง กระทั่งเกล็ดหิมะปลิวม้วนเข้ามาเกาะพราวอยู่บนเส้นผม เขาก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ไป๋ถานไม่รบกวนอีกฝ่าย เพียงรวบเก็บชามตะเกียบแล้วตั้งเตาเล็กเพื่อต้มน้ำชา ขณะกำลังวุ่นอยู่นั้น แขนของนางพลันถูกกระตุกวูบ ทั้งร่างซวนเซไปด้านข้างจนศีรษะชนเข้ากับแผงอกที่แน่นกระชับของเขา
ซือหม่าจิ้นก้มหน้ามองนาง “อาจารย์รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่อยู่ด้วยง่ายหรือ”
“…” ดูจากท่าทางนี้ก็ไม่ใช่น่ะสิ!
ไป๋ถานรีบดิ้นรนหมายผละถอยห่าง ทว่าเขากลับยิ่งออกแรงฉุดรั้งอีกครั้งจนนางเข้ามาแนบชิด “หรือท่านรู้สึกว่าแค่ใช้คำว่าศิษย์อาจารย์ก็สามารถขับไล่ข้าไปได้?”
“ท่านอ๋อง!” ไป๋ถานตระหนกระคนโกรธกรุ่นไม่น้อย
ซือหม่าจิ้นไหนเลยจะเห็นอารมณ์เพียงเท่านี้ของนางอยู่ในสายตา อันที่จริงเขาชอบที่จะเห็นท่าทางของนางยามมือเท้าปั่นป่วนแต่ก็ยังฝืนทำเยือกเย็นนี้ยิ่งนัก นางทำให้เขาเพลิดเพลินใจยิ่งกว่าการได้ทรมานคนเสียอีก
เนื่องจากอยู่ใกล้กันมากเหลือเกิน เขามองเห็นปลายจมูกที่ต้องไอหนาวจนแดงเรื่อของนาง ตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าไปสะกิดถูกความคิดเช่นไรของตนเองเข้า จึงได้อ้าปากขบปลายจมูกจิ้มลิ้มนั้นเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนคลายมือจากนางเดินออกนอกประตูไปอย่างพึงพอใจ
ไป๋ถานป้องจมูกตนเองอย่างรู้สึกขยาดอยู่พักหนึ่ง ชาตินี้นางคงไม่มีทางคาดเดาความนึกคิดอันแปลกพิกลของเขาได้เลยจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นหวังฮ่วนจือก็มาเคาะประตูใหญ่ของเรือนพักสกุลไป๋ ก่อนจะโยนร่างของตงไห่อ๋องในชุดนักโทษไว้ที่หน้าประตู
ซือหม่าจิ้นผูกเชือกเสื้อคลุมพลางมองดูร่างของอีกฝ่ายที่สั่นเกร็งจนขดเป็นก้อน ในที่สุดก็มีเรื่องที่พอจะทำให้เขาเบิกบานใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ลากไปที่ค่ายทหาร” เขาฉวยแส้ม้าเตรียมตัวลงเขา
หวังฮ่วนจือเอ่ยเตือนด้วยถ้อยคำเปี่ยมความหวังดี “ท่านอ๋อง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอ๋องเจ้าศักดินาเชียวนะ”
ซือหม่าจิ้นชะงักฝีเท้า “เจ้าพูดถูก เช่นนั้นข้าจะลงมือด้วยตนเอง” ไม่ทันขาดคำเขาก็กระชากเรือนผมของตงไห่อ๋องแล้วลากอีกฝ่ายมุ่งลงเขาไป เสียงร้องโหยหวนดังสนั่นทั่วป่าเขาในทันที
วันเดียวกันนั้นไป๋ถานก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง
ซือหม่าเสวียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเดินกลับไปกลับมาไม่หยุดยั้ง รอกระทั่งเห็นนางมาถึงแล้วจึงค่อยชะงักฝีเท้าพลางอ้าปากสอบถามโดยไม่รอช้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิงตูอ๋องได้ลอบกักตัวตงไห่อ๋องไว้หรือเปล่า”
ไป๋ถานยังไม่ทันได้ถวายบังคมก็สั่นศีรษะเป็นพัลวัน
ตงไห่อ๋องสมควรอยู่ในคุกของศาลมิใช่หรือ
มารร้ายนั่นคงจะไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนอีกกระมัง!
จริงดังคาด ไม่ช้านางก็เห็นเกาผิงวิ่งซอยเท้ามาตลอดทางตั้งแต่เข้าประตูตำหนัก “ทูลฝ่าบาท ได้ยินว่าตงไห่อ๋องถูกหลิงตูอ๋องลากตัวไปที่ค่ายทหารแล้ว ทว่ากระหม่อมไปตรวจสอบในค่ายทหารกลับสืบไม่พบร่องรอยของเขา น่ากลัวว่าจะ…”
ซือหม่าเสวียนนวดคลึงขมับพลางกล่าว “พูดมา!”
เกาผิงก้มหน้างุดพูดอึกๆ อักๆ จนจบใจความตอนท้าย “น่ากลัวว่าจะ…เสียชีวิตไม่พบศพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าเสวียนตะลึงงัน เท้าพลันเซวูบ ไป๋ถานรีบยื่นมือพยุงไว้ เขากุมมือของนางแต่ดูเหมือนรู้สึกว่าไม่เหมาะควรจึงคลายออก ทว่าพอคลายมือร่างของเขาก็ทรุดฮวบทันที
ไป๋ถานตื่นตระหนกรีบร้องเรียกเกาผิงมาช่วยเหลือ ตอนนี้เองอีกฝ่ายจึงขึ้นหน้ามาช่วยพยุงอย่างแตกตื่น
ฝ่าบาทถูกหลิงตูอ๋องยั่วโทสะจนประชวรเฉียบพลัน เรื่องนี้ทำเอาในวังโกลาหลประดุจกระทะน้ำมันที่เดือดพล่าน
ไป๋ฮ่วนเหมยบีบผ้าเช็ดหน้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ข้างเตียง แววกระวนกระวายบนดวงหน้าไม่คล้ายแสร้งทำออกมา
ไป๋ถานไม่เหมาะจะรั้งอยู่ที่ตำหนักชั้นใน ทว่าก็ไม่อาจจากไปโดยไม่ไยดีได้ นางจึงคอยฟังข่าวอยู่นอกตำหนักแทน
ในใจนางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เมื่อก่อนมารร้ายผู้นั้นต่อให้ก่อเรื่องนอกลู่นอกทางเพียงใดก็ไม่เคยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเช่นครั้งนี้
ตงไห่อ๋องไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครองที่ทรงอำนาจในพื้นที่แถบหนึ่ง หากยังเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซือหม่าและเป็นอาของเขาเอง กระทั่งคนในวงศ์ตระกูลเขายังลงมือได้ ไม่แปลกเลยที่ฝ่าบาทจะปวดพระทัยจนประชวร
เห็นทีว่าการอบรมบ่มนิสัยในช่วงที่ผ่านมาของนางยังคงสูญเปล่า ผลที่ผ่านมาดุจถูกสายน้ำซัดพาไปหมดสิ้น
คาดว่าเป็นเพราะบรรดาหมอหลวงไม่ค่อยได้ความ ไป๋ฮ่วนเหมยจึงส่งคนไปเชิญซีชิงมา
ซีชิงสะบัดแขนเสื้อกว้างเดินเนิบนาบมาถึงหน้าตำหนัก พอเห็นไป๋ถานอยู่ที่นี่เขาก็ประชิดเข้ามาพูดกระซิบทันที “เจ้าดูเอาเถิด ในที่สุดเหมยเหนียงก็รู้เสียทีว่าข้าเก่งกาจกว่าแพทย์ฝีมือตื้นเขินในสำนักแพทย์หลวงเหล่านั้น”
ไป๋ถานเหลือกตาอย่างสุดทน
ขันทีที่อยู่ด้านข้างซอยเท้าย่ำอยู่กับที่เตรียมพร้อมวิ่งตะบึงได้ทุกเมื่อ “โอ๊ย! คุณชายซี ท่านอย่ามัวสนทนาอยู่เลย พระวรกายของฝ่าบาทจะชักช้าไม่ได้นะขอรับ!”
เช่นนี้เองซีชิงถึงได้บอกลาไป๋ถานแล้วเร่งรุดเข้าตำหนักไป
รอคอยคราวนี้ยาวนานถึงหลังเที่ยง ซีชิงจึงค่อยออกมาได้เสียที เขาแสดงท่าทีให้นางไปกับเขา
ไป๋ถานไม่อาจจากไปเช่นนี้ จึงเข้าไปกล่าวลากับไป๋ฮ่วนเหมยก่อนออกมา
ตลอดทางซีชิงล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลงเป็นพักๆ ชวนให้ผู้อื่นรู้สึกว่ารูปการณ์ไม่สู้ดี
ไป๋ถานอดกลั้นไว้ จวบจนออกจากประตูวังมาแล้วถึงได้รีบสอบถาม “พระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดีใช่หรือไม่”
ซีชิงส่ายหน้าติดๆ กัน “แค่ไฟในตับลุกโชนจนเป็นเหตุให้เลือดลมปะทะกันเท่านั้น ยังจะมีอะไรได้อีก ก็เพราะไม่มีอะไรเช่นนี้ข้าถึงไม่พอใจอย่างไรเล่า” ทว่าถัดจากนั้นเขากลับคลี่ยิ้มกริ่ม “แต่ว่าฝ่าบาททรงมีทายาทไม่ได้ เรื่องนี้ข้าก็ยังปลาบปลื้มใจไม่น้อย”
หรือว่านี่ก็คือใจริษยาของบุรุษที่เล่าขานกัน?
น่าหวาดเสียวโดยแท้ หากถูกคนนอกได้ยินเข้า เขาต้องถูกตัดสินโทษบั่นศีรษะแน่นอน!
ยามที่กลับมาถึงภูเขาตงซาน ซือหม่าจิ้นไม่อยู่ ทหารเฝ้าประตูบอกว่าเขาไปค่ายทหารแล้ว
ไป๋ถานมีความอดทนพอ หลังเติมท้องให้อิ่มอย่างลวกๆ ก็ไปนั่งรอในห้องของเขา
นางอยากถามดูว่าตอนนี้เขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทั้งที่พูดดิบดีว่าจะร่วมมือกับการอบรมของนาง ทว่ายังไม่ทันไรกลับก่อเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมาอีก!
แต่รอคอยจนกระทั่งดวงตะวันลับทิวเขาไปแล้ว แม้เงาของเขานางก็ไม่พบเห็น
จวบจนค่ำมืด ฉีเฟิงถึงนำความมาแจ้งว่าซือหม่าจิ้นกลับจวนหลิงตูอ๋องไปแล้ว สองสามวันนี้จะไม่มาที่นี่
ประเสริฐแท้ นี่เขาจงใจใช่หรือไม่ ถึงกับไม่โผล่หน้า!
ไป๋ถานฉุนเฉียวกลับห้องก็ปิดประตูดังโครม ฝึกคัดอักษรสามหน้าเต็มถึงนับได้ว่าใจเย็นลง
ที่แท้การรับมารร้ายผู้นี้มาเป็นศิษย์ นางต่างหากที่ต้องกล่อมเกลาจิตใจมากที่สุด!
เยือกเย็น เยือกเย็นเข้าไว้…
ซือหม่าจิ้นหายไปไม่เห็นเงา ทว่าในราชสำนักยังต้องมีบทสรุปให้กับคดี
ซือหม่าเสวียนพักฟื้นอยู่สองวันจนอาการทุเลาลงบ้างแล้ว เขาเรียกตัวขุนนางสำคัญจำนวนหนึ่งเข้าวังมาหารือ อย่างไรเสียตงไห่อ๋องก็เป็นถึงอ๋องเจ้าศักดินา ไหนเลยจะปล่อยให้อีกฝ่ายสาบสูญโดยไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้ได้ ทุกคนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องไปทวงถามคนจากหลิงตูอ๋อง
ซือหม่าเสวียนเอ่ยถาม “เช่นนั้นพวกท่านใครจะเป็นคนไป”
ทุกคนล้วนเงียบเสียงทันที ราวกับข้อเสนอเมื่อครู่นี้ไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ซือหม่าเสวียนจึงเบิกตัวคนของศาลเข้ามาแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเราจะปิดคดีนี้ ขุนนางทุกท่านคงไม่มีความเห็นต่างกระมัง”
คนทั้งหมดล้วนตระหนักได้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้ท้ายหลิงตูอ๋องอีกแล้ว
ช่างโจ่งแจ้งเหลือเกิน ต่อให้จะเข้าข้างปกป้องมารร้ายผู้นั้น อย่างน้อยสงวนท่าทีสักนิดก็ยังดี!
เพียงไม่กี่วันราชสำนักก็ประกาศราชโองการตามผลการสืบสวน เนื้อความบอกเพียงว่าซินอานอ๋องเจตนาลอบสังหารอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้วป้ายความผิดแก่ตงไห่อ๋อง คิดการชั่วช้าสมควรถูกประหาร
ทว่าตงไห่อ๋องเองก็ขาดความสำรวม อยู่ในเมืองหลวงมีพฤติกรรมกำเริบละเมิดเบื้องสูง ซ่อนแฝงเจตนาร้าย มีใจคิดคดทรยศ ซ้ำยังเคยเข้าร่วมในเหตุกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน หลักฐานชัดแจ้ง บัดนี้ได้ฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุกแล้ว
เพิ่งส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ยังไม่ทันเปิดท้องพระโรงสะสางงานราชการด้วยซ้ำ ข่าวที่ประกาศออกมาในเดือนแรกของปีเช่นนี้ทำเอาราษฎรทั่วหล้าตระหนกตกใจอย่างแท้จริง
ในเมืองตงไห่ก็อื้ออึงไปด้วยเสียงโจษจันเช่นกัน ชายาของตงไห่อ๋องถือกำเนิดในสกุลเซียวแห่งหลันหลิงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจ มิใช่หญิงที่ไร้เขี้ยวเล็บ เดิมทีนางนึกว่าผู้เป็นสามีเพียงไปศาลพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายแรงอันใด แต่นึกไม่ถึงว่าคนกลับเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ แค้นนี้ไหนเลยจะกดข่มไว้ได้ นางถึงขั้นเตรียมตัวพาบุตรธิดามาซักถามฮ่องเต้ถึงเมืองหลวงแล้ว
ทว่านางยังไม่ทันออกเดินทาง ไพร่พลของซือหม่าจิ้นก็มาถึงเมืองตงไห่แล้ว ทหารห้าหมื่นขวางอยู่หน้าประตูเมือง เจ้าเมืองตงไห่วิ่งตะบึงตลอดทางออกมาต้อนรับ ทั้งที่ฤดูหนาวยังไม่ผ่านพ้นกลับเหงื่อแตกพลั่กเต็มศีรษะ
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงควบม้าเข้าเมืองไปเองโดยไม่ได้แยแสเจ้าเมือง มุ่งตรงไปตรวจค้นยึดทรัพย์จวนตงไห่อ๋อง ขนย้ายของดีที่อยู่ภายในออกมาจนสิ้น
โทสะพลันพุ่งจู่โจมหัวใจ ชายาเซียวล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงก็ยังร้องก่นด่าซือหม่าจิ้นไม่ขาดปาก
‘อดีตองค์ชายไร้ประโยชน์ที่เคยหลบหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วเมืองอู๋ดุจตัวตุ่นที่อยู่แต่ในรูผู้นั้น บัดนี้พอได้กุมทหารก็เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้คน สวรรค์ช่างมีตาแต่ไร้แวว ถึงกับปล่อยปละให้มารร้ายนี่กระทำชั่วสารพัดเช่นนี้!’
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างแสดงพฤติกรรมอันดีงามในการปราบโจรกบฏยึดสมบัติ พวกเขาคุมทรัพย์สินเต็มสองคันรถกลับจวนหลิงตูอ๋องมารายงานผู้เป็นนาย พร้อมนำวาจานี้กลับมาด้วย
ซือหม่าจิ้นอยู่ในคลังเก็บอาวุธ ไม่สะดุ้งสะเทือนกับวาจาด่าทอเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงสั่งให้พวกเขาขนสิ่งของเข้ามา
กู้เฉิงสั่งลูกน้องยกหีบสี่ห้าใบที่บรรจุของจนเต็มเข้ามา ซือหม่าจิ้นยกเท้าเปิดฝาหีบออกใบหนึ่ง พลันแหย่กระบี่ในมือเข้าไปกวนดูก่อนเอ่ยปากถาม “ไม่มีไต้เม่าหรือ”
“ไต้เม่า?”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพร้อมใจกันโถมร่างตรงไปรื้อค้นหีบทุกใบดูรอบหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าให้ผู้เป็นนายพร้อมสองมือที่ว่างเปล่า
“กระทั่งไต้เม่าก็ยังไม่มี พวกเจ้าเอาสิ่งของเหล่านี้มาจะมีประโยชน์อันใด” ซือหม่าจิ้นโยนกระบี่แล้วเดินออกจากคลังเก็บอาวุธ
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ท่านอ๋องเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ นี่มันเงินทั้งนั้น ทองคำแท้เหลืองอร่าม เงินตำลึงขาวแวววาวกับแก้วแหวนอัญมณี จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร
ขณะนี้หวังฮ่วนจือกำลังยืนเลี้ยงปลาอยู่ข้างสระในสวนท้ายจวนหลิงตูอ๋อง บนร่างสวมชุดยาวตัวหลวมรัดสายคาดเอวแถบกว้าง สีหน้าท่าทางผ่อนคลายไม่ยึดติดกรอบธรรมเนียม
ยากนักที่จวนแห่งนี้จะมีแขกมาเยือน อีกทั้งเป็นคุณชายตระกูลขุนนางผู้มีรูปโฉมสง่างาม เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดสาวใช้จำนวนมากให้ลอบชะเง้อคอมอง
น่าเสียดาย ทันทีที่ซือหม่าจิ้นย่างเท้าขึ้นมาบนระเบียงทางเดิน พวกนางทั้งหมดก็กลับไปอยู่ในระเบียบ ก้มหน้าลงต่ำรีบวิ่งซอยเท้าตลอดทางจนลับตาไป
หวังฮ่วนจือโปรยอาหารปลาหนึ่งกำมือลงในสระก่อนหันหน้ามองมาทางซือหม่าจิ้น “ข้าน้อยมาแสดงความยินดีกับท่านอ๋องโดยเฉพาะ กำจัดอ๋องเจ้าศักดินาได้สองคนในคราวเดียว เส้นทางราบเรียบขึ้นโดยพลัน”
สายตาของซือหม่าจิ้นทอดข้ามกำแพงลานมองไกลไปยังวังหลวงซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ “เจ้าถือดีอะไรจึงแน่ใจว่าอ๋องสองคนนี้ถูกโค่นล้มเพื่อข้า”
หวังฮ่วนจือกระจ่างแจ้งแก่ใจ หากเดิมซือหม่าเสวียนไร้ความคิดที่จะจัดการคนทั้งสองอยู่แล้ว ไหนเลยจะสามารถโค่นล้มได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ต่อให้เขามีอุปนิสัยอ่อนโยนสักเพียงใด ทว่าคนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้อยู่ดี ยอมให้ผู้อื่นมากำเริบเสิบสานในอาณาจักรของตนต่างหากเล่าจึงจะแปลก
“ท่านอ๋องต้องเฝ้าดูอาจารย์ของท่านอย่างใกล้ชิดแล้ว” หวังฮ่วนจือเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ในมือนางกุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของราชสำนักในอนาคตอยู่ ยิ่งคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องน้อยลงก็จะมีคนมองเห็นนางมากขึ้นเรื่อยๆ”
ซือหม่าจิ้นยืนอยู่ข้างสระ ทอดสายตามองปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำโดยไม่พูดแม้สักคำ
คู่ต่อสู้ของเขาก็เฉกเช่นปลาเหล่านี้ ไป๋ถานคือเหยื่อล่อ เดิมเขาควรจะเป็นเพียงคนที่นั่งตกปลาอยู่ข้างสระเท่านั้น ทว่ายามนี้ดูเหมือนเขาชักจะใส่ใจเหยื่อล่อนี้มากเกินควร
แม้จะคลุมเครือไม่ชัดแจ้งไปบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรคดีของตงไห่อ๋องในยามนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดแล้ว
ผู้ที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังยังพอทำเนา ทว่าผู้ที่ล่วงรู้สายสนกลในล้วนหวาดผวายิ่ง
หลังจากสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว บรรดาผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงต่างแสดงท่าทีว่ากลับไปแล้วจะต้องตักเตือนบุตรหลานในตระกูลของตนให้ดี อย่าได้ตอแยมารร้ายนั่นเข้าเด็ดขาด ผู้ที่สามารถลงมือกับคนในวงศ์ตระกูลของตนยังจะมีเรื่องใดที่ทำไม่ได้อีกเล่า!
ด้วยเหตุนี้ไป๋ต้งถึงกับถูกไป๋หยั่งถังหิ้วตัวไปที่ห้องหนังสือพลางกำชับกำชาอย่างจริงจังรอบหนึ่ง
ไป๋ต้งยังมีอุปนิสัยของหนุ่มน้อย ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ประกอบกับถูกประคบประหงมตามใจมาแต่เล็กจึงไม่รู้จักขอบเขตอันควร ทั้งยังไร้มารยาทต่อหน้าซือหม่าจิ้นเสมอมา เหตุที่ซือหม่าจิ้นไม่แตะต้องเขาอาจเป็นเพราะเขาคือน้องชายของอาจารย์ หรืออาจเพราะคร้านจะถือสาหาความ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่อาจแตะต้อง ฉะนั้นหากวันหน้าเขายโสโอหังยิ่งกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเคราะห์ร้ายเป็นแน่
ไป๋ต้งแม้ปากตะโกนว่า ‘ข้าไม่เกรงกลัวเขาหรอก!’ แต่ก็ไม่ได้ไปเยือนภูเขาตงซานอีกพักใหญ่
เดือนอ้ายใกล้จะสิ้นสุดลง เหล่าศิษย์ก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ทว่ากลับยังคงไม่เห็นเงาของซือหม่าจิ้น
ในที่สุดไป๋ถานก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว เรียกอู๋โก้วไปเยือนจวนหลิงตูอ๋องด้วยกันสักเที่ยวหนึ่งแต่ก็ยังไม่พบคน นางจึงได้แต่บ่ายหน้าไปที่ค่ายทหาร
ในค่ายทหารก็ไม่พบเขาอีกเช่นกัน มีเพียงกู้เฉิงที่อยู่ในกระโจม เขาบอกนางว่าซือหม่าจิ้นไปล่องทะเลสาบ จะไม่กลับมาในเวลาอันสั้นนี้
เกิดเรื่องถึงขั้นนี้เขายังมีแก่ใจล่องทะเลสาบ?! ไป๋ถานแทบจะโมโหตายอยู่แล้ว
กู้เฉิงย่อมเอาใจใส่ผู้อื่นมากกว่าฉีเฟิง จึงเสนอตัวเป็นคนนำทางให้พวกนางโดยเฉพาะ
ทะเลสาบนั้นอยู่ไม่ไกล ติดกับค่ายทหารนี่เอง ปกติน้ำที่เหล่าทหารใช้อุปโภคบริโภคก็ล้วนมาจากทะเลสาบแห่งนี้
ยามที่ไป๋ถานไปถึงจึงมองเห็นฉีเฟิงอยู่ริมตลิ่ง ทันทีที่เห็นไป๋ถานเขาก็กุมศีรษะอย่างระทมทุกข์ขณะที่ปากโอดครวญไม่หยุดว่า “เหตุใดกระทั่งที่นี่เจ้าก็ยังไล่ตามมาอีกเล่า”
ไป๋ถานเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยังไม่พบซือหม่าจิ้นจึงเอ่ยถาม “ท่านอ๋องของเจ้าเล่า”
ฉีเฟิงชี้มือส่งๆ ไปยังใจกลางทะเลสาบ “ไปหาดูเอาเอง”
หาเองก็หาเองสิ!
ฤดูกาลนี้มีคนออกมาจับปลาแล้ว เพียงเปรียบเทียบชีวิตอันลำเค็ญของชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองกับความเป็นอยู่อันฟุ้งเฟ้อของตระกูลขุนนางชนชั้นสูงในเมืองก็ทำให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำได้อย่างชัดเจน
ไป๋ถานเช่าเรือลำหนึ่งกับชาวประมงที่อยู่ริมฝั่งก่อนเรียกอู๋โก้วให้พายเรือไปยังใจกลางทะเลสาบ
ภูมิลำเนาเดิมของอู๋โก้วคือเมืองอู่หลิง เนื่องจากอาศัยอยู่ริมทะเลสาบต้งถิง ใกล้ชิดกับน้ำแต่เล็กจนโต สำหรับนางเรื่องเพียงเท่านี้จึงไม่ต่างจากกับแกล้มจานเล็ก นางรีบม้วนแขนเสื้อไปโยกไม้พายไปโดยไม่รอช้า
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ไป๋ถานนั่งเรือเล็กชนิดนี้ เมื่อก่อนยามอากาศหนาวจัดนางกับซีชิงยังเคยพายเรือเล็กล่องทะเลสาบสีอู่ที่อยู่ในเมืองด้วยกัน ช่วงปลายเหมันต์ต้อนรับวสันต์เช่นนี้ การได้ชมตัวเรือแหวกผ่านเศษน้ำแข็งแผ่นบางบนผิวน้ำก็เป็นความเพลิดเพลินในอีกอารมณ์หนึ่ง
อู๋โก้วโยกไม้พายพลางเอ่ยถาม “อาจารย์ ต่อให้ท่านหาหลิงตูอ๋องพบจริงจะทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะ ที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว หากเขาไม่ฟัง ท่านก็ต้องอับจนหนทางแล้ว”
พลังแห่งความเที่ยงธรรมพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างของไป๋ถาน “ผู้เป็นอาจารย์ไหนเลยจะบังเกิดความเกียจคร้านเหนื่อยหน่ายเพียงเพราะศิษย์ยากจะอบรมได้เล่า ถึงเขาไม่ฟังอาจารย์ก็ต้องพูด อาจารย์เรียบเรียงเนื้อความอัดแน่นจนเต็มท้องแล้วด้วยซ้ำ!”
อันที่จริงอู๋โก้วไม่อยากไปตอแยซือหม่าจิ้นสักนิด ทว่าเห็นผู้เป็นอาจารย์แน่วแน่เช่นนี้จึงได้แต่ฝืนทำเก่งและพายเรือมุ่งหน้าต่อไป
ฉีเฟิงที่อยู่บนฝั่งยังส่งเสียงให้กำลังใจพวกนางอย่างคึกคักสนุกสนาน ช่างยียวนชวนคันกำปั้นเสียจริง
ยังไม่ทันที่พวกนางจะพายไปถึงใจกลางทะเลสาบ อู๋โก้วพลันหยุดมือพลางชี้มือไปเบื้องหน้าพร้อมร้องตะโกน “แย่แล้ว มีคนพลัดตกน้ำ!”
ไป๋ถานหันหน้าไปมองก็เห็นคนตกน้ำจริงๆ ดูท่าทางคล้ายเด็กสาวชาวประมงคนหนึ่ง แขนที่เรียวเล็กนั้นปัดป่ายเปะปะไม่หยุดจนเรือประมงที่อยู่ด้านข้างส่ายโคลงเบาๆ นางไม่มีเพื่อนร่วมทาง น่าจะเพิ่งพลัดตกลงไป
เรือประมงลำอื่นล้วนอยู่ไกลยิ่ง ทั้งละแวกใกล้เคียงแม้จะมีเรือเล็กลำหนึ่งอยู่ก็จริง ทว่าด้านบนกลับไม่มีใครสักคน
ไป๋ถานรีบเรียกให้อู๋โก้วพายเรือตรงไป
อู๋โก้วใช้มือวักน้ำสองทีจึงค่อยฉุกคิดได้ว่าตนมีไม้พาย ยามนี้นางร้อนใจจนมึนงงไปเสียแล้ว
พวกนางอยู่ไกลเหลือเกินจริงๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป กว่าจะไปถึงตรงนั้นแม่นางน้อยก็คงไม่รอดชีวิตแล้ว
ไป๋ถานเพ่งมองความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นไม่วางตา ขณะจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายพลันมองเห็นในเรือเล็กซึ่งเดิมทีนึกว่าไม่มีใครอยู่นั้นกลับมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง เขาโน้มกายกระตุกดึงเพียงทีเดียว ร่างของเด็กสาวที่ตกน้ำก็พลันลอยพ้นผิวน้ำ พอคนผู้นั้นออกแรงสะบัดมืออีกครั้งก็เหวี่ยงร่างของเด็กสาวผู้นั้นขึ้นสู่เรือประมงที่อยู่ตรงกันข้ามได้สำเร็จ
เรือประมงส่ายโคลงสองทีพร้อมกับเสียงดังตุบ คาดว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะกระแทกพื้นเรือแรงไม่เบา ครึ่งวันถึงยังไม่ขยับเขยื้อน
การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้เรือเล็กลำนั้นโคลงเคลงรุนแรงจนหวุดหวิดจะพลิกคว่ำ ทว่าคนผู้นั้นกลับนอนลงไปดังเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไป๋ถานลุกพรวดยืนบนเรือในอาการตกตะลึงพรึงเพริด ฝ่ายอู๋โก้วก็ตระหนกตกใจจนโยนไม้พายทิ้ง
“อาจารย์ เมื่อครู่ใช่ข้าตาฝาดไปหรือไม่”
“อาจารย์ก็รู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปเช่นกัน…”
หากมองไม่ผิด คนในเรือเล็กลำนั้นก็คือ…ซือหม่าจิ้น!
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.