X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก

หน้าที่แล้ว1 of 16

บทที่หนึ่ง

โอรสสวรรค์สุนัข

ภายในตำหนักกลางของวังปี้เซียว (เมฆมรกต) ขันทีน้อยในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งวางกรงทองในมือลงแล้วถวายบังคมเต๋อเฟย* ซึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน

พื้นของตำหนักปูด้วยศิลาทองคำอันหรูหรา แต่ถึงแม้จะเรียกว่าศิลาทองคำ ทว่าในความเป็นจริงมันกลับมีสีดำ พื้นผิวเรียบลื่นเกลี้ยงเกลา เปล่งประกายวาววับราวกับสายธาร ขันทีน้อยอดหรี่ตาลงไม่ได้ ราวกับว่าแสงเจิดจ้าของศิลาทองคำสว่างละลานตาเกินไป เขาเงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองไปทางรองเท้าปักลายของเต๋อเฟยที่อยู่เบื้องหน้า

นี่คือรองเท้าปักดิ้นเงินดิ้นทองลายวิหค ด้านบนประดับตกแต่งด้วยอัญมณีเม็ดเล็กสีแดงสีเขียวเรียงต่อไปตามปีกและหางของตัวนกเป็นแนวคล้ายกระแสน้ำวนวาววับพร่างพราย สีสันแพรวพราวสดใส สวยงามน่ามองยิ่งนัก

เขาเคยได้ยินว่าแบบของรองเท้าคู่นี้เต๋อเฟยวาดขึ้นในยามว่าง เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นก็ตรัสชมเชยเป็นการใหญ่ ทั้งยังมีรับสั่งเป็นพิเศษให้ช่างฝีมือจากแดนสยามเร่งเย็บปักทั้งวันทั้งคืนเพื่อพระราชทานให้ในวันคล้ายวันเกิดของเต๋อเฟย ทำให้เหล่าบรรดาสนมชายาทั้งหลายต่างอิจฉาตาร้อน เพราะแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ ชีวิตความเป็นอยู่ก็ยังได้รับความสนพระทัยจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้ เต๋อเฟยเป็นที่โปรดปรานมากน้อยเพียงไรก็เห็นได้จากเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ มิน่าเล่าแม้แต่หลี่กุ้ยเฟยผู้ปกครองหกวัง ยังต้องหลบรัศมีของนาง

เมื่อคิดถึงตรงนี้สีหน้าของขันทีน้อยก็ยิ่งทวีความเคารพนอบน้อมมากยิ่งขึ้น

เต๋อเฟยสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบชาววังสีน้ำเงินสด บนอาภรณ์ปักลายนกยูงอันสลับซับซ้อนด้วยเส้นไหมสลับสีเงินทอง พาให้ทุกอากัปกิริยาของนางเปล่งประกายเจิดจ้า รัศมีขจรขจาย ทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ถึงแม้นางจะมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี ยังถือว่าอยู่ในวัยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาอย่างที่สุด แต่บุคลิกสูงส่งน่าเกรงขามกลับลบเลือนความเยาว์วัยของนางไปจนสิ้น นัยน์ตาดำตัดขาวอย่างชัดเจน หางตาของดวงตาหงส์คู่นั้นยกขึ้นน้อยๆ เนื่องจากใช้ดินสอถ่านวาดขอบให้หนาขึ้น แววตาจึงแลดูคมปลาบยิ่งกว่าเดิม แม้ไม่แสดงอาการบันดาลโทสะก็ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงได้

ขันทีน้อยเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วไม่กล้ามองอีก ในใจลอบหวาดหวั่น เป็นบุคคลที่เทียบเทียมได้กับเทพเซียนเช่นนี้ มิน่านางเข้าวังมาเพียงแค่สามปีก็ไต่เต้าจากตำแหน่งกุ้ยเหรินเล็กๆ โผทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตำแหน่งราชชายาชั้นเฟยทั้งสี่ แม้แต่ฮองเฮาก็ต่อสู้แย่งชิงกับนางจนตัวตาย จะนับประสาอะไรกับหลี่กุ้ยเฟยผู้ถวายงานมาตั้งแต่ยังอยู่วังรัชทายาทจนรูปโฉมโรยราไม่เป็นที่โปรดปราดเช่นเดิมคนนั้น เมื่อรอให้แม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยบิดาของเต๋อเฟยปราบปรามกองทัพชาวหมาน แล้วนำชัยชนะกลับมาสู่ราชสำนักได้คราวนี้ ตำหนักในแห่งนี้ยังจะมิใช่อยู่ใต้กำมือของเต๋อเฟยอีกหรือ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะทรงดีพระทัยจนแต่งตั้งเต๋อเฟยเป็นฮองเฮาก็เป็นได้

บนใบหน้าของขันทีน้อยเผยรอยยิ้มประจบประแจง หลังจากเต๋อเฟยเรียกให้ลุกขึ้นก็ถือกรงทองเดินเข้าไป ก่อนจะชี้ลูกสุนัขสองสามตัวที่อยู่ในกรงพลางแนะนำอย่างกระตือรือร้น

นี่คือสุนัขซีซือสีขาว ขนเรียบนุ่มเป็นประกายมันวาวด้วยเพราะใช้แปรงหวีอย่างพิถีพิถัน เพราะเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน สุนัขจึงมีรูปร่างเล็กยิ่ง เมื่อเบียดอยู่รวมกันก็ราวกับเป็นก้อนหิมะก็ไม่ปาน ดูแล้วชวนให้คนรักใคร่สงสารเหลือเกิน

ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋หรี่ลงน้อยๆ แววตาพลันสว่างวาบ หลังที่ตั้งตรงโน้มไปด้านหน้า มองไปยังกรงสัตว์

“นี่คือ…” คิ้วงามของนางขมวดเล็กน้อย นิ้วชี้ไปยังร่างสีน้ำตาลสองก้อนตรงมุมสุดของกรง แล้วเอ่ยถามด้วยความลังเล

“ทูลเต๋อเฟย สุนัขพันธุ์นี้ชนชาติต่างแดนที่มีชื่อเรียกว่า ‘เกาหลู’ ได้มอบเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่ราชวงศ์ต้าโจวเราเมื่อครึ่งปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าเป็นสุนัขประจำราชสำนักของพวกเขา เป็นสายพันธุ์ที่มีค่าเลื่องชื่อ บังเอิญสุนัขพันธุ์นี้ออกลูกพอดี กระหม่อมคิดว่าอาจจะมีเจ้านายท่านใดชื่นชอบ จึงนำเข้ามาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยตอบอย่างพินอบพิเทา

เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์จิงปาและพันธุ์ซีซือ ขนของสุนัขต่างแดนพันธุ์นี้ค่อนข้างหยิกและกระเซอะกระเซิง มองดูรกรุงรังยิ่งนัก ทั้งขนยังเป็นสีน้ำตาลเข้มราวกับดินโคลนก็ไม่ปาน ช่างไม่เข้ากับมุมมองด้านความงามของราชวงศ์ต้าโจว ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่งดงามน่ามอง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ถือกำเนิดจากสายพันธุ์มีชื่อ บางคราบรรดาสนมชั้นล่างที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเพราะมิได้รับเลือกให้ถวายงานก็จะมีความสุขกับการรับสุนัขไปเลี้ยง เมื่อใคร่ครวญถึงสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว ก่อนออกเดินทางมาขันทีน้อยจึงเลือกลูกสุนัขพันธุ์นี้มาด้วยอีกสองตัว

เกาหลู? ใช่ประเทศฝรั่งเศสหรือไม่ แววตาของเมิ่งซังอวี๋เป็นประกายเล็กน้อย ริมฝีปากแดงขยับเอ่ยเบาๆ “ยกกรงเข้ามา ให้ข้าดูอย่างละเอียด”

ขันทีน้อยขานรับเสียงเบา แล้วอุ้มกรงพลางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอย่างเชื่อฟังคำสั่ง

เมิ่งซังอวี๋จดจ้องไปยังก้อนกลมๆ สีน้ำตาลสองตัวในกรงเขม็ง นี่เป็นสุนัขพันธุ์กุ้ยปินของฝรั่งเศสจริงดังคาด ขนปุยหยิกฟูสีเฉี่ยวเค่อลี่ ดูน่ากินได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจึงเปล่งประกายเป็นมันวาว แลดูมีสุขภาพแข็งแรงยิ่ง ลูกตาสีดำขลับฉ่ำน้ำ จะมองอย่างไรก็พาให้รักให้หลง

นางทะลุมิติมาสู่ราชวงศ์ต้าโจวเพราะอุบัติเหตุ และเข้ามาอยู่ในร่างของเมิ่งซังอวี๋ที่เพิ่งลืมตาดูโลก ในชาติก่อนนางเคยเห็นสุนัขพันธุ์ต่างๆ มามากมาย จึงไม่รู้สึกว่าลูกสุนัขสองตัวนี้อัปลักษณ์แม้แต่น้อย กลับชื่นชอบมากเสียด้วยซ้ำไป

จากที่เมิ่งซังอวี๋ใช้สายตาตรวจสอบ เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลที่มีรูปร่างผอมกว่าเล็กน้อยดูเหมือนไม่ใคร่จะสบายใจนัก มันขยับกายเข้าไปที่มุมกรง ยกก้นที่มีขนปุกปุยให้นางได้ชื่นชม แผ่นหลังที่ขดเป็นรูปทรงกลมนั้นเหมือนจะเผยให้เห็นถึงความสับสนมึนงง พี่น้องข้างกายมันคล้ายกับรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ จึงเหยียดขาหน้าออกมาหมายจะโอบกอดมัน แต่กลับถูกมันใช้อุ้งเท้าตะปบเข้าให้ ท่าทางโอหังเฉียบคมอย่างบอกไม่ถูก ทว่าเมื่อประกอบเข้ากับร่างกลมตัวเล็กๆ และอุ้งเท้าเล็กป้อมแล้วกลับน่าขบขันยิ่งนัก

เมิ่งซังอวี๋กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ มือหนึ่งหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายมาปิดบังรอยยิ้มที่มุมปาก อีกมือหนึ่งก็ชี้ไปยังก้อนกลมตัวน้อยในกรงพลางเอ่ย “ตัวนี้ฉลาดแสนรู้ยิ่ง เอาไว้ที่นี่”

ขันทีน้อยขานรับ เขาจับก้อนกลมสีน้ำตาลก้อนนั้นออกมาจากกรง มอบให้ปี้สุ่ยนางกำนัลซึ่งอยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งกำชับเรื่องควรระวังในการเลี้ยงดูมากมาย สุดท้ายก็รับถุงเงินหนักๆ ใบหนึ่งจากมือปี้สุ่ยใส่แขนเสื้อ แล้วออกจากวังปี้เซียวไปด้วยความยินดีปรีดา

รอจนขันทีน้อยเดินจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ซึ่งนั่งตัวตรงที่ตำแหน่งประธานก็ผ่อนคลายอิริยาบถทันที นางเอียงตัวพิงเก้าอี้กุ้ยเฟย* แล้วดึงปลอกเล็บสีทองอร่ามบนนิ้วทิ้ง ก่อนจะยื่นมือไปหาปี้สุ่ย เอ่ยปากอย่างเร่งร้อน “รีบนำมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า!” กลิ่นอายสูงส่งน่าครั่นคร้ามบนกายนางราวกับถูกลมพัดปลิวหายไปในพริบตา มลายสิ้นไปอย่างไร้ร่องรอย

“เต๋อเฟยทรงระวังหน่อยนะเพคะ สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ดุร้ายอยู่บ้าง อุ้มยากยิ่งนัก” ปี้สุ่ยจับเจ้าสุนัขตัวน้อยที่ดิ้นไม่หยุดเอาไว้ จากนั้นจึงส่งให้ผู้เป็นนาย แต่นางกลับไม่ทันสังเกตว่ายามที่เอ่ยคำว่า ‘สัตว์เดรัจฉาน’ ลูกสุนัขในมือก็ชะงักนิ่งไปชั่วครู่

กระทั่งเจ้าลูกสุนัขได้สติกลับคืนมา มันก็ถูกย้ายไปอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋เสียแล้ว ปลายนิ้วเรียวยาวขาวนวลเนียนของเมิ่งซังอวี๋ไล้ผ่านแผ่นหลังของมันอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน นำพาความรู้สึกชาหนึบและสั่นเทิ้มมาด้วย ทำให้มันร้องครางหงิงๆ อย่างกลั้นไม่อยู่

“มันกำลังอ้อนอยู่ด้วย น่ารักเสียจริง!” น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนน่าหลงใหลของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยความขบขันอย่างเข้มข้น

เจ้าลูกสุนัขหลับตาพริ้ม เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่ชั่วครู่ร่างกายก็พลันแข็งชะงัก สลัดดิ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง

“เจ้าตัวน้อย อย่าขยับมั่วซั่วสิ เดี๋ยวจะตกไปบาดเจ็บเอานะ!” เมื่อเห็นเจ้าลูกสุนัขกระโจนออกจากอ้อมกอดของตน เมิ่งซังอวี๋ก็ตื่นตระหนก ยื่นมือออกไปคว้าอย่างร้อนรน

ทว่านางยังช้าไปหนึ่งก้าว พอเจ้าลูกสุนัขทะยานออกจากอ้อมแขนของนางก็ตกลงไปด้านล่าง ถึงแม้จะมีพรมขนแกะหนานุ่มเป็นสิ่งผ่อนแรงปะทะ แต่อย่างไรมันก็เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ร่างกายยังคงอ่อนแอบอบบางมาก ครานี้ตกลงไปไม่เบานัก จึงนอนคว่ำอยู่บนพรมลุกไม่ขึ้น ปากเล็กๆ ที่แม้แต่ฟันน้ำนมก็ยังขึ้นไม่ครบอ้าออกน้อยๆ หอบหายใจดังฟืดฟาด แลดูน่าสงสารยิ่งนัก

เมิ่งซังอวี๋รีบยอบตัวอุ้มมันเข้าสู่อ้อมอก ตรวจดูร่างกายและขาทั้งสี่อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเรียกให้ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยไปเชิญหมอหลวงมาอย่างเร่งร้อน

กระทั่งหมอหลวงมาและจากไปแล้ว เจ้าลูกสุนัขก็ปล่อยให้คนจับไปจับมาอย่างสงบ ไม่ดิ้นหนีอีก

“เด็กดี” เมื่อแน่ใจว่าเจ้าลูกสุนัขไม่ได้บาดเจ็บอันใด ใบหน้าเรียวที่เคร่งขึงของเมิ่งซังอวี๋จึงผลิยิ้มออกมา นางใช้ปลายนิ้วขยี้ศีรษะลูกสุนัข พูดสั่งอย่างเข้มงวดจริงจัง “ตอนนี้เจ้ายังเล็กอยู่ หากอยากจะออกไปดูโลกภายนอกก็ยังไม่ต้องรีบ รอให้เจ้าโตกว่านี้อีกหน่อย เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว เจ้าอยากจะไปที่ใดล้วนได้ทั้งนั้น”

เจ้าลูกสุนัขเงยหน้าขึ้นมา ลูกตาดำขลับจ้องนางเขม็ง แววตาสลับซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมายราวกับมนุษย์ไม่มีผิด แลดูฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด เมิ่งซังอวี๋รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ แต่ครั้นจะมองดูให้ละเอียดอีกทีเจ้าลูกสุนัขก็ก้มหน้าลงและนอนซบอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้ว ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้สิ้นเรี่ยวแรง ให้ความรู้สึกเหมือนมันจนใจกระทั่งปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต

เมิ่งซังอวี๋รู้สึกว่าตนคิดมากเกินไป นางลูบแผ่นหลังของเจ้าลูกสุนัขพลางสั่งให้แม่นมเฝิงไปต้มโจ๊กหมูมาให้ถ้วยหนึ่ง

โจ๊กหมูหอมกรุ่นต้มเสร็จในเวลาไม่นาน แม่นมเฝิงรอให้โจ๊กเย็นลงก่อนแล้วจึงยกมายังวังปี้เซียว จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะแปดเซียน ซึ่งทำจากไม้มะเกลือตัวหนึ่ง

เมิ่งซังอวี๋เดินเข้าไป วางเจ้าลูกสุนัขลงบนโต๊ะ แล้วชี้ไปยังโจ๊กพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าตัวน้อย รีบกินเสีย”

เจ้าลูกสุนัขเดินเข้าไปราวกับอดใจไม่ไหว จากนั้นก็นั่งมองโจ๊กหมูแวบหนึ่ง มองพวกเมิ่งซังอวี๋อีกแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใดอีก

เมิ่งซังอวี๋ยื่นมือไปดันก้นของเจ้าลูกสุนัขเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนละมุน “เจ้าตัวน้อย เมื่อครู่ยังท้องร้องอยู่เลย ไฉนตอนนี้ถึงไม่กินเล่า”

เจ้าลูกสุนัขขยับตัว แต่ยังคงนั่งนิ่งต่อไป ไม่ชำเลืองหางตามองโจ๊กหมูเลยด้วยซ้ำ

ดวงตาคู่งามของเมิ่งซังอวี๋ทอประกายน้อยๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ยกมือออกคำสั่งกับนางกำนัล “ฝ่าบาททรงบาดเจ็บสาหัส รักษาพระวรกายอยู่ที่วังเฉียนชิง (ฟ้ากระจ่าง) ยาในแต่ละวันไม่อาจขาดตกบกพร่อง ไป จงตามเราไปเลือกโอสถที่จะถวายที่คลังเก็บของ”

บรรดานางกำนัลขานรับอย่างพร้อมเพรียง เดินตามหลังเมิ่งซังอวี๋ออกไปจากตำหนักกลาง ภายในตำหนักจึงเงียบสงัดลงอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ โจ๊กหมูเย็นชืดเสียแล้ว แต่กลิ่นหอมหวนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของเจ้าลูกสุนัขอย่างไม่หยุดหย่อน มันกลืนน้ำลาย ก่อนจะหันหน้ามองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าไร้ผู้คนจึงยกอุ้งเท้าอวบอ้วนขึ้น เดินเตาะแตะไปข้างถ้วย จมูกเล็กๆ ดมฟุดฟิดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแลบลิ้นสีชมพูเลียชิมไปหนึ่งคำ ครั้นพบว่ารสชาติดีกว่าที่จินตนาการไว้ มันก็ส่งเสียงครางหงิง แล้วก้มหน้าก้มตากิน

“คิกๆ ที่แท้เจ้าตัวน้อยก็อายนี่เอง” เมิ่งซังอวี๋ซึ่งแอบมองอยู่หลังประตูหัวเราะจนเกือบจะล้มคะมำ บรรดาข้ารับใช้ประจำตัวนางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวเช่นกัน

พอเจ้าลูกสุนัขได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเป็นระลอกร่างกายก็พลันชะงักนิ่งไป ศีรษะซึ่งฝังลงในถ้วยไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ อาจจะเป็นเพราะทำใจได้แล้วมันจึงขยับไปอีกทางหนึ่ง หันก้นให้พวกเมิ่งซังอวี๋ แล้วก้มหน้าผลุบๆ โผล่ๆ กินต่อไป วางท่าทีไม่แยแสสนใจ

เมิ่งซังอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ไม่แอบซ่อนอีกต่อไป เดินหัวเราะคิกคักออกมาจากหลังประตู นั่งลงหน้าโต๊ะ เอียงศีรษะ แล้วใช้มือหนึ่งเท้าคาง มองชื่นชมท่าทางยามกินอันน่ารักน่าชังของเจ้าลูกสุนัขอย่างออกรสออกชาติ

แรกเริ่มเดิมทีเจ้าลูกสุนัขยังเหลือบมองนางเป็นระยะๆ แต่พอเห็นนางนั่งอยู่เงียบๆ นิ่งๆ อีกด้านจึงลดความระแวงลง ตั้งอกตั้งใจกินอาหาร

ครั้นเจ้าลูกสุนัขกินโจ๊กหมูจนหมด เมิ่งซังอวี๋จึงอุ้มมันลงจากโต๊ะ แล้วพาไปเดินย่อยอาหารรอบๆ วังปี้เซียว ครึ่งชั่วยาม ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท้องนภาค่อยๆ มืดลง เมิ่งซังอวี๋รีบกำชับให้นางกำนัลตระเตรียมน้ำอุ่นและกระถางไฟ จากนั้นก็เช็ดตัวให้เจ้าลูกสุนัขด้วยตัวเอง

ลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดไม่สามารถอาบน้ำได้ ต้องหลังจากอายุสี่เดือนขึ้นไปถึงจะลงน้ำได้ แต่เจ้าลูกสุนัขนี้ถูกเลี้ยงในโรงเลี้ยงสัตว์ บรรดาข้าหลวงมิได้ตั้งใจดูแลเป็นพิเศษ บนตัวจึงมีกลิ่นเหม็นคาว ครั้นเมิ่งซังอวี๋ดมๆ ดูก็ตัดสินใจนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดให้เจ้าลูกสุนัขครั้งหนึ่ง

มันไม่ขยับตัวดิ้นเหมือนลูกสุนัขตัวอื่นๆ และยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตลอดทุกกระบวนการ ทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก

“ข้าดูไม่ผิดจริงๆ เจ้าตัวน้อยตัวนี้แสนรู้ ซ้ำยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย!” เมิ่งซังอวี๋เช็ดอุ้งเท้าของมัน น้ำเสียงมีแววภาคภูมิใจอยู่บ้าง ทั้งยังเจือแววรักใคร่ การเลี้ยงสัตว์ต้องดูพรหมลิขิต นางรู้สึกว่าตัวเองกับเจ้าตัวน้อยตัวนี้ต้องมีวาสนาต่อกันเป็นแน่ มิฉะนั้นเหตุใดนางจึงหลงรักในชั่วพริบตาเช่นนี้ได้เล่า

“เต๋อเฟย พวกเราจะเอาแต่เรียกเจ้าตัวน้อยๆ ไม่ได้นะเพคะ ตั้งชื่อให้มันสักชื่อเถิด” อิ๋นชุ่ยแนะนำพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

“อืม” ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋หรี่ลงเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “เรียกอาเป่าก็แล้วกัน แก้วตาดวงใจ ของข้า”

อาเป่า? ร่างของเจ้าลูกสุนัขแข็งทื่อทันที เพียงแต่เมิ่งซังอวี๋มิได้รู้สึกถึงเลยแม้แต่น้อย นางยื่นมันที่ตัวเปียกหมาดๆ ส่งให้ปี้สุ่ยซึ่งยืนถือผ้าแห้งอยู่อีกด้าน

กระถางไฟใบใหญ่ๆ สองใบที่มีไฟแผดเผาลุกโชนช่วยขับไล่ความหนาวเย็นของช่วงต้นสารทฤดู อาเป่าซึ่งเช็ดตัวจนสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้วถูกห่อหุ้มด้วยผ้าแห้ง นอนหมอบอยู่บนหัวเข่าของเมิ่งซังอวี๋ ด้านหนึ่งกำลังฟังบทสนทนาของนางกับนางกำนัลอย่างเงียบๆ อีกด้านก็จดจ้องกระถางไฟจนเหม่อลอย ผ่านไปไม่นานก็เปิดเปลือกตาไม่ขึ้น

“อาเป่าหลับไปแล้ว ยกที่นอนของมันเข้ามา นำมาไว้ในตำหนักบรรทมของข้านั่นแหละ” เมื่อเห็นสองตาของเจ้าลูกสุนัขปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ขนก็แห้งสนิทเช่นเดียวกัน เมิ่งซังอวี๋จึงหยุดพูดคุยและออกคำสั่งเสียงเบา

แม่นมเฝิงรีบยกตะกร้าใบเล็กซึ่งสานขึ้นจากกิ่งหลิว ภายในตะกร้าปูด้วยผ้าฝ้ายอ่อนนุ่มเข้ามาวางไว้ที่มุมของตำหนักบรรทม จากนั้นเมิ่งซังอวี๋ก็วางอาเป่าลงไปอย่างระมัดระวัง ทั้งยังดึงผ้าฝ้ายผืนหนึ่งขึ้นปิดท้องเล็กๆ ของมันไว้อย่างเอาใจใส่

จนกระทั่งนางจากไปอย่างเงียบเชียบแผ่วเบา อาเป่าซึ่งเดิมทีหลับตาสนิทก็พลันลืมตาขึ้นในทันใด แววตาสว่างวาบและคมกริบเปี่ยมไปด้วยพลังในการมองทุกสิ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อประกอบกับร่างอวบกลมเล็กๆ จึงแลดูแปลกพิกล

 

ในความเป็นจริง ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้อาเป่าก็มิใช่อาเป่าตัวเดิมอีกแล้ว ร่างเล็กๆ ของมันมีวิญญาณของกู่เซ่าเจ๋อ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบันเข้ามาสิงสถิต ถึงแม้จะมีวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรถึงเพียงนี้ แต่อาเป่าก็ยังเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นลูกสุนัขต่างแดนที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาด

นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘พยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแก มังกรเกยหาดตื้นถูกกุ้งกลั่นแกล้ง’ กระมัง

ครึ่งเดือนก่อนกู่เซ่าเจ๋อเดินทางไปยังเขาเชียนฝอ (สหัสพุทธ) เพื่อเยี่ยมเยือนไทเฮา (พระพันปี) ระหว่างทางกลับวังไม่ทันระวัง ม้าจึงตกใจจนสลัดเขาร่วงลงมา พอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นลูกสุนัขตัวหนึ่งในโรงเลี้ยงสัตว์เสียแล้ว

เมื่อคิดถึงว่าครึ่งเดือนมานี้เขาถูกขังอยู่ในกรง ร่วมกินร่วมอยู่กับเหล่าสัตว์เดรัจฉาน ทั้งยังถูกบังคับให้ดื่มน้ำนมจากแม่สุนัขตัวหนึ่ง ใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็เขียวคล้ำเล็กน้อย โชคดีที่เป็นสุนัขขนดกหนา ต่อให้แสดงสีหน้าเหยเกแปลกพิลึกออกมาพวกข้าหลวงในโรงเลี้ยงสัตว์ก็ไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายแล้วโดนนำไปเผาตั้งนานแล้ว

ผู้เป็นฮ่องเต้ย่อมมีสติปัญญาและความเด็ดเดี่ยวสูงส่งเหนือคนทั่วไป หลังจากผ่านความตื่นตระหนก หวาดกลัว ลังเล และสับสนในตอนแรกมาได้ กู่เซ่าเจ๋อก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งไม่ปล่อยให้ตนหิวตายและมิได้ปลิดชีพตัวเองในทันที เพียงแต่เพราะไม่ยอมดื่มนมและไม่ชอบกินอาหารสุนัขบดละเอียด ร่างกายจึงผ่ายผอมกว่าลูกสุนัขทั่วไปเล็กน้อย

โรงเลี้ยงสัตว์ตั้งอยู่ในวังหลวง ขันทีน้อยในโรงเลี้ยงสัตว์จะสนทนาเรื่องราวในวังหลวงบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากคอยแอบฟังมาครึ่งเดือน เขาก็ได้รู้ว่าตนยังไม่ตาย ทว่าบาดเจ็บสาหัสไม่ได้สติ แต่สิบวันก่อนได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว และยามนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่วังเฉียนชิง แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงเป็นเช่นไรไม่มีผู้ใดทราบได้

เขาฟื้นแล้วจริงหรือไม่ หรือว่าจะมีสภาพเดียวกับอาเป่า ร่างกายถูกวิญญาณภายนอกเข้ายึดครอง? แล้ววิญญาณที่ยึดครองร่างกายของเขาเป็นคนหรือเป็นมาร? จะเป็นภัยต่อแว่นแคว้นหรือไม่ คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจของกู่เซ่าเจ๋อ ทำให้เขาจะกินจะนอนก็ไม่สงบใจ หากมิใช่เพราะร่างกายอ่อนแอบอบบาง อีกทั้งถูกขังเอาไว้ในกรง ป่านนี้เขาคงจะวิ่งไปสืบเสาะหาความจริงที่วังเฉียนชิงตั้งนานแล้ว

จนกระทั่งเมื่อเช้านี้ขันทีน้อยตั้งอกตั้งใจคัดเลือกลูกสุนัข ทั้งยังเอาแต่พูดว่าจะมอบให้พระสนมในวังต่างๆ เขาก็รู้ว่าโอกาสที่ตนจะได้เดินออกจากกรงมาถึงแล้ว จึงเปลี่ยนท่าทีจากสงบเสงี่ยมเป็นร่าเริงและน่าเอ็นดู วิ่งเข้าหาขันทีน้อยอย่างไม่ลดละ กอปรกับมีดวงตาฉ่ำน้ำที่มีแววแสนรู้เต็มเปี่ยมคู่นั้น พอขันทีน้อยเห็นก็ถูกใจทันทีดังคาด พาเขาไปยังตำหนักในด้วย

เขาถดตัวไปอยู่ในมุมหนึ่งของกรง มองดูทางเดินใต้เท้าซึ่งทอดยาวไปไม่หยุด ผ่านขั้นบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าที่แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกว่าสูงชัน แต่มาบัดนี้กลับแลดูสูงเสียเหลือเกิน จิตใจของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสับสนอย่างยิ่ง

หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูสูงตระหง่านและสามารถมองเห็นศิลาทองคำสีดำที่ส่องแสงวาววับรางๆ กู่เซ่าเจ๋อจึงรู้ว่าตนได้มาถึงตำหนักในแล้ว แต่เพราะมองไม่เห็นทัศนียภาพทั้งหมด และมองไม่เห็นป้ายที่แขวนไว้บนประตู เขาจึงไม่รู้แน่ชัดว่าที่นี่คือที่ใดกันแน่ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาและเผชิญหน้ากับสตรีในชุดแต่งกายเต็มยศซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานผู้นั้น เขาก็รู้ว่าที่นี่คือวังปี้เซียว วังของเต๋อเฟยผู้เป็นอันดับหนึ่งในราชชายาชั้นเฟยทั้งสี่

เมิ่งซังอวี๋เป็นชายาที่เขา ‘โปรดปราน’ ที่สุด ในวังหลวงที่ผู้คนพากันเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่ที่สูงแห่งนี้ ขันทีน้อยให้นางได้เลือกก่อนก็ดูสมเหตุสมผล

ดวงตาของสุนัขมองไม่เห็นสีสันใด ในสายตาของพวกมันโลกทั้งใบมีเพียงสีขาวกับดำเท่านั้น หากมิใช่เพราะประสบเคราะห์กรรมคราวนี้ กู่เซ่าเจ๋อก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่องนี้ เขาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอันสลัวรางไร้ที่สิ้นสุดมาครึ่งเดือน ครั้นได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เผลอเหม่อมองดวงหน้าของสตรีบนที่นั่งอย่างลืมตัว

หญิงสาวในชุดแต่งกายเต็มยศโน้มกายลงเล็กน้อยพลางมองมาทางเขา เส้นผมสีดำสนิทราวกับจุ่มหมึกนั้น ผิวพรรณใสกระจ่างราวกับหิมะนั้น ดวงตาหงส์ที่เป็นสีขาวดำตัดกันอย่างชัดเจนนั้น ท่วงท่าสูงส่งเยียบเย็นนั้น ทั้งหมดมีแค่คำคำเดียวที่สามารถใช้บรรยายได้ นั่นก็คือคำว่างดงาม เป็นความงามที่เหนือกว่าปกติสามัญ งดงามเสียยิ่งกว่ายามที่ตัวนางมีสีสัน อาจจะเป็นเพราะมุมมองแตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจไม่เหมือนเดิม ชั่วพริบตานั้นเขาจึงสับสนงงงวยอยู่บ้าง

สาวงามตรงหน้าที่ดุจดั่งเดินออกมาจากภาพวาดผู้นี้เป็นสนมของเขา แต่เขากลับพบหน้านางในสภาพของสุนัข เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ เขาก็ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว หันกายขดเป็นก้อนกลมๆ ในทันใด อยากจะหายตัวไปใจจะขาด

ทว่าเทวดาฟ้าดินไม่ได้ยินคำขอ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้หายตัวไป แต่ยังถูกนางเลือกอีกด้วย ขันทีน้อยหิ้วคอยกเขาออกมา ส่งไปยังมือของนางกำนัลผู้หนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นเอาแต่เรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉาน เขาตัวแข็งไปทั้งร่าง อยากจะพ่นไฟแต่ก็ไม่อาจทำได้

ในชั่วขณะที่จิตใจล่องลอยเขาถูกเมิ่งซังอวี๋อุ้มไว้ อ้อมกอดของนางอบอุ่นนุ่มละมุน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจางๆ แตกต่างจากกรงขังที่หนาวเหน็บและมีกลิ่นประหลาดอย่างสุดขั้ว ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่อยู่ เกือบจะหลับสนิทภายใต้สัมผัสลูบไล้อันอ่อนโยนของนาง แต่ทันใดนั้นพอนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นถึงเจ้าแผ่นดินผู้สูงส่งน่าเกรงขามแต่กลับถูกสนมของตนอุ้มเล่นอยู่บนตักก็รู้สึกโกรธเคืองและอับอายเต็มหัวใจ เขาจึงเริ่มสะบัดหนีอย่างรุนแรงทันที

เมื่อหลุดออกจากอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋แล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง เขาถึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนมิใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นแค่ลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ความเจ็บปวดรุนแรงทั่วร่างกำลังเตือนสติเขาว่าหากหลีกหนีจากการปกป้องของสตรีผู้นี้ เขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ในวังหลวงได้อย่างแน่นอน ในยามที่ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ในวังเป็นคนหรือเป็นผีและจะเป็นภัยต่อแว่นแคว้นหรือไม่เขาก็ไม่อาจตายได้

ดังนั้นเขาจึงละทิ้งความไม่พอใจและหยุดดิ้นรนขัดขืน สะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวและอับอายในใจไว้ ปล่อยให้คนจับเล่นตามใจชอบ ในช่วงเวลานี้การเปลี่ยนแปลงของเมิ่งซังอวี๋ทำให้เขาประหลาดใจ

สตรีผู้นี้ตระเตรียมโจ๊กหมูหอมกรุ่นให้เขาอย่างเอาใจใส่ ทำให้เขาซึ่งกินอาหารสุนัขมาครึ่งเดือนแทบจะหลั่งน้ำตา นางถึงกับยอมให้เขากินอาหารบนโต๊ะ หาใช่ขับไล่ไปยังมุมมืด สตรีผู้นี้อาบน้ำให้เขาด้วยตัวเอง ซ้ำอากัปกิริยายังอ่อนโยนแผ่วเบา ไม่เหมือนกับความหยาบกระด้างและน่ารำคาญใจของเหล่าข้าหลวงในโรงเลี้ยงสัตว์พวกนั้นเลยแม้แต่น้อย สตรีผู้นี้พูดคุยกับเขาด้วยเสียงอ่อนหวาน ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรราวกับปฏิบัติต่อคนคนหนึ่ง หากพูดให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นก็คือราวกับปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่ง

กู่เซ่าเจ๋อมองดวงตาซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋เขม็ง จิตใจเขาสับสนถึงขีดสุด นี่ใช่เมิ่งซังอวี๋ที่พูดแค่คำสองคำก็บังคับขู่เข็ญฮองเฮาจนตาย กดหัวกุ้ยเฟยจนกระทั่งได้รับความโปรดปรานที่สุดในหกวัง นิสัยแข็งกร้าวชอบทำตามอำเภอใจผู้นั้นหรือ? นางที่แย้มยิ้มอย่างงดงามเพริศพริ้ง สดใสมีชีวิตชีวาเช่นนี้ เขาแทบจะไม่รู้จักเลยสักนิด

ทว่าหลังจากผ่านความทรมานมาทั้งวันเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสืบเสาะ ภายใต้ความร้อนของกระถางไฟที่อุ่นสบาย ภายใต้สัมผัสลูบไล้อันอ่อนโยนแผ่วเบาของเมิ่งซังอวี๋ เขาก็หลับไปอย่างรวดเร็วด้วยสติอันรางเลือน หลับลึกและหลับสนิทเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือนที่ผ่านมา

ทว่ายามที่เมิ่งซังอวี๋วางเขาลงในตะกร้าอย่างระมัดระวัง เขาซึ่งมีความตื่นตัวสูงกว่าคนปกติก็ตื่นขึ้นมาทันที จนกระทั่งนางค่อยๆ ย่องออกไป เขาถึงได้ลืมดวงตาสีดำสนิทขึ้น ใช้แววตาอันสลับซับซ้อนจ้องมองเงาร่างของนางเนิ่นนาน

เขาปัดผ้าฝ้ายบนท้องออก รำพึงว่าตนครั้นกลายเป็นสุนัขก็มีชื่อน่าสังเวชเสียแล้ว เขาทั้งรู้สึกจนใจ โกรธเกรี้ยว และไม่สบายใจอยู่ไม่น้อย

อาเป่า แก้วตาดวงใจ? นี่มันชื่ออะไรกัน สมกับที่เป็นพยัคฆ์สาวสกุลขุนศึกจริงๆ ไม่มีศิลป์ในการตั้งชื่อเลยแม้แต่น้อย! เขาอยากจะหัวเราะสักครา ทว่าหลังจากพบว่าเสียงที่ตนเปล่งออกมาเป็นเสียงครางหงิงที่ทั้งอ่อนนุ่มและน่าเอ็นดู ใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันซีดในชั่วพริบตา เขาใช้อุ้งเท้าตบผ้าฝ้ายผืนเล็กๆ ด้วยความโมโห จากนั้นจึงค่อยๆ หลับตาลง

บทที่สอง

สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเต๋อเฟย

ยามอิ๋น สามเค่อ ท้องนภายังคงมืดครึ้ม ทว่าแสงสีขาวได้โผล่ขึ้นมาทางบูรพาทิศ ผ่านไปไม่นานแสงอรุณรุ่งอันอบอุ่นก็สาดส่องทั่วทั้งปฐพี พอถึงยามเหม่า ก็ควรได้เวลาไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย

หนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ฮองเฮาทรงเกิดภาวะคลอดบุตรยาก เป็นองค์ชายน้อยที่เสียชีวิตระหว่างประสูติกาล เวลาผ่านไปไม่นานฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์จากไปด้วยความคับแค้นพระทัย เหลือไว้เพียงพระธิดาองค์โตซึ่งมีพระชนมายุเพียงเจ็ดพรรษาเท่านั้น ซึ่งก็คือองค์หญิงสี่

ส่วนไทเฮาทรงเหน็ดเหนื่อยทดท้อพระทัยเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงในสมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนครองราชย์ จึงย้ายไปอยู่ที่เขาเชียนฝอและหันหน้าเข้าสู่พระพุทธศาสนา ไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอก ดังนั้นตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งสองของตำหนักในจึงว่างลง หลี่กุ้ยเฟยซึ่งมีลำดับศักดิ์สูงสุดย่อมกุมอำนาจไว้ในมือ เป็นตัวแทนปกครองดูแลหกวังเป็นธรรมดา

บิดาของหลี่กุ้ยเฟยคืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายในรัชกาลปัจจุบัน อำนาจของสกุลหลี่แผ่ไกลไปทั้งในราชสำนักและในหมู่มวลประชาชน อีกทั้งหลี่กุ้ยเฟยยังได้ให้กำเนิดองค์ชายรองและองค์หญิงสาม คนหนึ่งมีพระชนมายุสิบสองพรรษา อีกคนสิบพรรษา ทั้งสองพระองค์มีพระวรกายแข็งแรง ฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง อำนาจ โอรสหรือธิดา หลี่กุ้ยเฟยล้วนครอบครองทุกสิ่งที่สนมชายาทุกคนต่างเฝ้าฝันปรารถนาถึง กล่าวได้ว่านางเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในตำหนักในอย่างแท้จริง

แต่บุคคลอันดับหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเต๋อเฟยเมิ่งซังอวี๋ ความมั่นใจกลับหดหายไปหลายส่วน

ปีนี้เมิ่งซังอวี๋อายุสิบเจ็ดปี อยู่ในวัยที่กำลังเบ่งบานราวกับบุปผา เป็นหญิงงามสะคราญโฉม เมิ่งจ่างสยงบิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยแห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้มีชื่อเสียงขจรขจาย ในมือกุมกองทัพทหารนับร้อยหมื่นนาย ประจำการอยู่นอกด่านเป็นเวลาหลายปี ที่ราชวงศ์ต้าโจวสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ภายใต้การรุกรานอย่างไม่หยุดหย่อนของชนเผ่าหมานล้วนอาศัยกองทัพสกุลเมิ่งอันไร้เทียมทานของเมิ่งจ่างสยง

สกุลเมิ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นด้วยความดีความชอบทางการทหาร ความสามารถในการสู้รบยอดเยี่ยมเป็นเลิศ ในสมัยพระเจ้าโจวไท่จู่สกุลเมิ่งก็ได้รับลำดับศักดิ์เป็นขุนนางชั้นสูง สืบทอดบรรดาศักดิ์เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง ในราชวงศ์ต้าโจวนี้ยังไม่ต้องพูดถึงอัครเสนาบดีผู้แผ่อำนาจปกคลุมทั้งในราชสำนักและหมู่มวลประชา เพราะแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องทรงไว้หน้าเขาถึงสามส่วนเช่นเดียวกัน

เมิ่งซังอวี๋ที่มีทั้งอำนาจและรูปโฉมพอเข้าวังมาก็กลายเป็นหนามยอกอกของสนมชายาในวังทันที แต่ต่อสู้แก่งแย่งมาได้สามปี พวกนางไม่เพียงไม่สามารถดึงหนามยอกอกนี้ออกไปได้ แต่ยังปล่อยให้อีกฝ่ายเหยียบย่ำตนแล้วปีนสูงขึ้นไปยิ่งขึ้น แม้แต่ฮองเฮาก็ทรงถูกขู่เข็ญจนสิ้นพระชนม์ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ยังไม่ใคร่จะสนพระทัย แล้วใครจะกล้าไปแตะต้องตัวโชคร้ายนี้เล่า?

ต่อหน้าเต๋อเฟยผู้ก้าวร้าวดุดัน เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และมีนิสัยโหดเหี้ยม บรรดาสนมชายาทั้งหลายก็รู้สึกไร้สิ้นกำลังอยู่ไม่น้อย

ยามนี้เมิ่งซังอวี๋ ‘ชายาคนโปรด’ ผู้มีลูกไม้ชวนให้คนพรั่นพรึงเป็นที่กล่าวขวัญค่อยๆ ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกปลุกเบาๆ ของแม่นมเฝิง นางหยัดกายขึ้น เอนพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาหงส์คู่นั้นสะลึมสะลือหรี่ปรือน้อยๆ ปล่อยให้แม่นมเฝิงหยิบผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ เช็ดหน้าเช็ดแขนให้นาง

จนกระทั่งใบหน้าสะอาดสดชื่น นางจึงเดินเท้าเปล่าไปสวมรองเท้าปักลายคู่หนึ่งแล้วเดินเหยียบส้นมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้นางกำนัลหวีสางเส้นผมให้ ร่างท่อนบนของนางสวมเอี๊ยมตัวน้อยสีแดง ปกปิดทรวงอกกลมกลึงได้พอดี ท่อนล่างสวมใส่กางเกงผ้าไหมทรงหลวมสีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาแนบสนิทกับผิวซึ่งขับเน้นเรียวขางามเด่นของนางให้เกิดเป็นโครงร่างรางเลือน

กึ่งปิดกึ่งเปิดเช่นนี้ยั่วยวนใจเสียยิ่งกว่าถอดอาภรณ์ออกจนหมดสิ้นเสียอีก นางกำนัลหลายนางที่คอยปรนนิบัติอยู่อีกด้านใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ทว่าก็ยังมองไปยังสตรีผู้งดงามดึงดูดอีกคราอย่างอดใจไม่ไหว

“เต๋อเฟยเพคะ เริ่มเข้าสารทฤดูแล้ว ยามเช้าอากาศหนาวเย็นนัก พระองค์สวมอาภรณ์เพิ่มอีกตัวเถอะเพคะ” ลมเย็นๆ สายหนึ่งโชยเข้ามาในตำหนักบรรทมจากช่องหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง หัวคิ้วของแม่นมเฝิงพลันขมวดมุ่น รีบหยิบชุดคลุมยาวบางเบาสวมให้เมิ่งซังอวี๋ทันที

เมิ่งซังอวี๋ปล่อยให้แม่นมเฝิงจับแต่งตัวตามใจ ครั้นเห็นปี้สุ่ยเดินอุ้มอาเป่าเข้ามาแววตาเบื่อหน่ายรำคาญใจของนางก็พลันเปล่งประกายทันใด

เมื่อคืนกู่เซ่าเจ๋อหลับลึกยิ่ง จนกระทั่งปี้สุ่ยเข้ามาใกล้ตะกร้า ยื่นมือหมายจะเลิกผ้าฝ้ายผืนน้อยออก เขาถึงได้ตื่นขึ้น

เมื่อเห็นอาเป่าตื่นแล้ว ปี้สุ่ยจึงอุ้มมันขึ้นทันที แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าเช็ดปากและเล็บของมัน จากนั้นจึงอุ้มเข้าไปตำหนักบรรทม เต๋อเฟยชื่นชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เพียงไร ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าปี้สุ่ยอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงคาดเดาได้ว่าถ้าเต๋อเฟยได้เห็นอาเป่าแต่เช้าจะต้องดีใจอย่างแน่นอน

กู่เซ่าเจ๋อดิ้นรนขัดขืนอยู่ในมือของปี้สุ่ย เดิมทียังคิดจะก่นด่า แต่ก็จนใจที่ลูกสุนัขตัวหนึ่งอย่างเขาทำได้เพียงส่งเสียงร้องครวญดังเอ๋งๆ หงิงๆ ดังนั้นพออ้าปากขึ้นจึงหุบลงทันใด ทว่าในใจยังคงโมโหขุ่นเคือง

เพิ่งจะเข้ามาในตำหนัก กลิ่นหญ้าเขียวหอมสดชื่นสบายจมูกก็ลอยมาปะทะ พาให้ปลุกเร้าจิตใจผู้คน ไม่เหมือนกลิ่นหอมฉุนจมูกของไม้จันทน์ในตำหนักอื่น และไม่เหมือนกับกลิ่นหอมเข้มข้นของอำพันทะเลในวังเฉียนชิง เมื่อได้กลิ่น กู่เซ่าเจ๋อซึ่งอาศัยร่างสุนัขที่มีประสาทดมกลิ่นฉับไวกว่าแต่ก่อนจึงหยุดขัดขืนต่อต้าน ทำเพียงเงยหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หน้ากระจก

นางนั่งหันข้าง อาภรณ์สีขาวดุจหิมะแซมด้วยสีแดงชาดซึ่งในสายตาของเขาเห็นเป็นสีขาวและสีเทาเข้ม หลังจากสีสันอันสวยสดงดงามกลายเป็นสีทางเดียวกลับทำให้ภาพที่เห็นดูสูงส่งเหนือสามัญ โดยเฉพาะเส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกที่เหยียดยาวลงมาถึงข้อเท้าราวกับน้ำตกนั้น มันเปล่งประกายเงาวาวน้อยๆ งดงามเสียจนกระทบจิตวิญญาณของผู้คน

หลังจากผ่านวันคืนอันสลัวรางและน่ากังวลใจมาสิบกว่าวัน ภาพยามเช้าอันธรรมดาสามัญอย่างที่สุดภาพนี้กลับเปี่ยมไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวามากที่สุดในสายตาของกู่เซ่าเจ๋อ ราวกับว่าเขายังคงเป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ปรีชาสามารถซึ่งกำลังรอให้สนมชายามาปรนนิบัติเปลี่ยนอาภรณ์ล้างหน้าหวีผม

แต่ทว่าเขาก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว เพราะหญิงสาวหน้ากระจกยื่นมือมาอุ้มเขาขึ้น ก่อนจะก้มหน้าจรดจุมพิตลงบนเปลือกตา กลีบปากอ่อนนุ่มไล้ผ่านไปราวกับปีกผีเสื้อ ทำให้เกิดอาการชาวาบและคันยุบยิบ ทั้งยังเจือด้วยกลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์

นี่คือจุมพิตที่ผู้เป็นนายมีให้สัตว์เลี้ยง หาใช่จุมพิตที่สตรีมีให้บุรุษ ชั่วพริบตานั้นในใจของกู่เซ่าเจ๋อพลันสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังโมโหที่ยามนี้ตนเผยความอ่อนแอออกมา เขาจึงเริ่มดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“โอ๊ย อย่าขยับส่งเดชสิ ระวังจะตกลงไปนะ!” หลังมือของเมิ่งซังอวี๋ถูกเล็บข่วนเข้าหนึ่งแผล นางจึงรีบย่อตัววางอาเป่าลงเพื่อเลี่ยงไม่ให้มันทำให้ตนบาดเจ็บ

“เต๋อเฟยทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ” อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยถามขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

แม่นมเฝิงพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธแค้น เหยียดเท้าออกหมายจะเตะอาเป่าให้ปลิว

“แม่นม อย่า! ข้าไม่เป็นไร!” เมิ่งซังอวี๋เห็นท่าไม่ดีจึงรีบห้ามเอาไว้ แล้วยกหลังมือเพื่อแสดงให้ดูว่าตนไม่ได้รับบาดเจ็บ

ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบเป็นรอยแดงทว่าไม่ได้มีเลือดไหล แต่ก็ทำให้แม่นมเฝิงเจ็บปวดหัวใจเป็นหนักหนา นางหยิบยาทาผิวกระปุกหนึ่งออกมาบรรจงทาให้เมิ่งซังอวี๋ ในน้ำเสียงต่ำลึกยังคงเจือด้วยความขุ่นเคือง “สัตว์เดรัจฉานตัวน้อยนี้ดุร้ายยากจะสั่งสอนให้เชื่อง สมกับที่เป็นสุนัข! เต๋อเฟยทรงส่งมันคืนโรงเลี้ยงสัตว์เถอะเพคะ แล้วพวกเราค่อยเลือกสุนัขพันธุ์ซีซือที่นิสัยว่าง่ายสักตัวกลับมาเลี้ยงแทน”

ไม่มีใครรู้ตัวว่าอาเป่าซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงมุมห้องกำลังใช้สายตาประดุจคมมีดมองทิ่มแทงไปยังแม่นมเฝิง เพราะสายตาคมกริบนี้ถูกขนดกหนาของมันปิดบังเอาไว้ กอปรกับร่างกายเล็กจ้อยน่าเอ็นดูไร้ซึ่งแววอาฆาตมาดร้าย จึงมิได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในตำหนัก

ร่างกายของกู่เซ่าเจ๋อแข็งทื่อ หันหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ รอคอยคำตัดสินของนาง

เขาทำพลาดไปเสียแล้ว ในเมื่อตัดสินใจว่าจะพึ่งพาอาศัยเต๋อเฟยเป็นการชั่วคราว เขาก็จำเป็นต้องประนีประนอมและยอมอ่อนข้อให้ ยามนี้เขามิใช่ฮ่องเต้ผู้อยู่สูงส่งเหนือผู้คน แต่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง และสัตว์เลี้ยงก็ควรจะว่านอนสอนง่าย ต้องรู้ว่าจะประจบเอาใจผู้เป็นนายอย่างไร ครั้นพอคิดขึ้นว่าเมื่อก่อนมีแต่สตรีเหล่านี้ที่ต้องใช้สารพัดวิธีมาเอาอกเอาใจเขา กู่เซ่าเจ๋อก็พลันรู้สึกรันทดใจที่ถูกกรรมตามสนอง

“จะเลี้ยงสัตว์ก็ต้องดูที่พรหมลิขิต ข้าเห็นอาเป่าเพียงครั้งแรกก็หลงรักมันเลย ไม่เปลี่ยนหรอก!” เมิ่งซังอวี๋ส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “อาเป่ายังเล็กนัก จะกลัวคนแปลกหน้าก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง รอให้พวกเราอยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะสนิทกันไปเอง สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกนี้ ขอแค่เจ้าจริงใจต่อมัน มันก็จะจริงใจต่อเจ้าเช่นกัน ดีกว่ามนุษย์ส่วนมากมากมายนัก”

ครั้นกู่เซ่าเจ๋อได้ยินเช่นนั้น จิตใจที่เครียดขึงจึงผ่อนคลายลง เขาใช้แววตาสลับซับซ้อนมองประเมินใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเต๋อเฟยที่เด็ดขาดไร้ปรานีต่อผู้คนจะมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อสัตว์ถึงเพียงนี้ และเขาก็รู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสุนัขตัวหนึ่ง นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้ง ดังนั้นนี่จึงเป็นความคิดที่แท้จริงของนาง

ใจเขาหวั่นไหวอย่างที่สุด ไม่อาจไม่ยอมรับว่านางกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก บนโลกนี้ใจคนเป็นสิ่งที่ยากจะคาดคะเนที่สุด อันตรายที่สุด บางทีอาจเป็นเพราะนางมองได้ทะลุปรุโปร่งเกินไป เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ยามที่อยู่ต่อหน้าสัตว์ที่ใสซื่อบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ทำเช่นนั้นบ้างเล่า…

พอคิดถึงตรงนี้แววตาที่มองไปยังเมิ่งซังอวี๋ก็เผยแววสงสารอยู่หลายส่วนอย่างไม่อาจห้าม สตรีผู้นี้มิได้น่ารังเกียจอย่างที่เขาคิด นางยังมีข้อดีที่มาทดแทนกันได้

เมื่อเห็นอาเป่าหลบอยู่ที่มุมห้องทั้งยังจ้องมองตนอย่างนิ่งเงียบ ร่างน้อยๆ ช่างดูน่าสงสารเวทนา ในใจของเมิ่งซังอวี๋ก็อ่อนยวบ นางสั่งให้นางกำนัลจัดอาหารเช้าพลางกวักมือเรียกอาเป่า “อาเป่ารีบมานี่เร็วเข้า ได้เวลากินอาหารเช้าแล้ว”

ร่างกายนี้เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ไม่อาจทนต่อความหิว กู่เซ่าเจ๋อจึงมิได้ต่อต้าน เดินเตาะแตะไปตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋แล้วเงยหน้ามองนาง

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ ลูบแผ่นหลังของมันพลางมองไปทางแม่นมเฝิง ยิ้มกล่าวว่า “แม่นม เจ้าดูสิ ที่จริงอาเป่าของข้าว่านอนสอนง่ายยิ่ง”

เมื่อเห็นผู้เป็นนายชื่นชอบอาเป่าจริงๆ ต่อให้ความไม่พอใจของแม่นมเฝิงมีมากเท่าใดก็สลายหายไปจนสิ้น พูดเออออตามด้วยความรักใคร่เมตตา

อาเป่าวางเท้าป้อมสั้นทั้งสี่ข้างลง นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะตามคำสั่งทุกประการ ด้านหนึ่งมัวเมากับสัมผัสลูบไล้ด้วยความรัก อีกด้านก็ลอบเตือนตัวเองว่าอย่าถูกสตรีผู้นี้สั่งสอนจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงไร้อนาคตตัวหนึ่ง

อาหารเช้าถูกยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว กู่เซ่าเจ๋อได้กลิ่นหอมของโจ๊กหมูมาแต่ไกล เขาทำจมูกฟุดฟิด ในปากขับน้ำลายออกมาอย่างรวดเร็วกระทั่งร่วงหยดลงบนโต๊ะ นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์ ต่อให้เป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ปรีชาชาญก็ไม่อาจควบคุมได้

“คิก”เมิ่งซังอวี๋ปิดปากหัวเราะเสียงเบา พร้อมทั้งกวักมือเรียกพวกนางกำนัล “เร็วๆ หน่อย อาเป่าหิวแล้ว”

กู่เซ่าเจ๋อปิดปากสนิทพลางกลืนน้ำลายลงคอ เขารู้สึกว่าพวงแก้มแดงเห่อ อยากจะใช้เล็บขุดรูมุดหนีไปใจจะขาด โชคดีที่ขนของเขาดกหนาจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติ

“เต๋อเฟยทรงให้อาเป่าลงมากินข้างล่างเถอะเพคะ มิฉะนั้นมันจะทำให้โต๊ะเปื้อนจนพระองค์หมดความอยากอาหาร” อิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังยกโจ๊กหมูมาวางเอ่ยแนะนำเสียงเบา

“ไม่เป็นไร ข้าชอบให้อาเป่ากินข้าวเป็นเพื่อน” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ รับถ้วยโจ๊กมาวางไว้ตรงหน้าอาเป่าด้วยตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงอบอุ่น “กินสิ”

สตรีผู้นี้ยอมให้สุนัขขึ้นมากินอาหารบนโต๊ะ? กู่เซ่าเจ๋อมองนางแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ในใจรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้มีอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่อาจคิดให้มากความ สัญชาตญาณของสัตว์กระตุ้นให้เขาฝังศีรษะลงแล้วเลียกินคำโตๆ ในทันที

เมิ่งซังอวี๋เห็นอาเป่ากินอย่างเอร็ดอร่อยจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาจะทานอาหาร ตัวนางมีน้ำตาลในเลือดต่ำ ปกติแล้วยามเช้าไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรนัก เพียงแต่เพราะเช้านี้มีอาเป่าอยู่ด้วยจึงทานโจ๊กไก่ฉีกหนึ่งถ้วยและขนมอีกจานเล็กๆ หมดอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้แม่นมเฝิงดีใจจนหน้าชื่นตาบาน

เมิ่งซังอวี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากและเท้าคางมองชื่นชมท่าทางยามกินของอาเป่าด้วยแววตาอมยิ้ม ขนาดของลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดได้หนึ่งเดือนไม่ใหญ่เท่าปากถ้วย เวลานี้ร่างครึ่งหนึ่งของมันจึงมุดลงไปในถ้วย มองดูแล้วน่าขบขันเป็นอย่างมาก มันเลียกินคำแล้วคำเล่า ไม่ช้าไม่เร็ว แผ่กลิ่นอายสุภาพสง่างามออกมา

เมิ่งซังอวี๋เลิกคิ้ว กล่าวกับอิ๋นชุ่ยว่า “ดูสิ อาเป่าของข้าไม่ทำโต๊ะสกปรกเสียหน่อย ท่าทางยังสง่างามเสียยิ่งกว่าราชาราชสีห์ อีกนะ!”

ราชาราชสีห์? มันคืออะไรกันเล่า ในใจกู่เซ่าเจ๋องุนงง แต่คำว่า ‘ราชา’ ก็ทำให้เขาพอใจที่นางนำผู้เป็นราชามาเปรียบกับตน

อิ๋นชุ่ยหัวเราะพลางขานรับ เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้วจึงปรนนิบัติเมิ่งซังอวี๋แต่งหน้าแต่งกาย เตรียมไปคารวะหลี่กุ้ยเฟยที่วังเฟิ่งหลวน (พญาหงส์)

เสื้อคลุมชั้นนอกตัวกว้างถูกถอดออก เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการอันสุภาพเรียบร้อยงามสง่า ผมดำขลับก็เกล้าขึ้นเป็นมวย เสียบปิ่นปักผมอันหรูหราสวยงามลงไป สุดท้ายจึงใช้ดินสอถ่านปลายเรียวแหลมวาดหางตาที่ยกขึ้นให้หนามากยิ่งขึ้น ปกปิดท่าทีเลื่อนลอยที่นางอาจเผลอแสดงออกมา ยามนี้เต๋อเฟยผู้มีสีหน้าเยียบเย็นเปี่ยมด้วยพลังอำนาจกดดันจึงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้คน

เมื่อมองดูสตรีที่บุคลิกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย กู่เซ่าเจ๋อซึ่งเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยก็ตะลึงงันไป เขาไม่เข้าใจ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ เติมแต่งเครื่องประทินโฉมอีกเล็กน้อย ไฉนนางถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนได้เช่นนี้ เขาออกจะคิดถึงเต๋อเฟยคนเมื่อครู่ที่ปล่อยตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า

เมิ่งซังอวี๋เดินมาที่โต๊ะ ลูบหัวน้อยๆ ของอาเป่า ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาเป่าเป็นเด็กดีรออยู่ในวังนะ ห้ามหนีไปไหน ข้าออกไปครู่เดียวก็กลับมาแล้ว”

ไปวังเฟิ่งหลวน? กู่เซ่าเจ๋อไม่ใคร่จะสนใจนัก เขาวางแผนไว้ว่ารอให้เต๋อเฟยออกไปแล้วก็จะแอบเข้าไปดูที่วังเฉียนชิง วังปี้เซียวอยู่ใกล้กับวังเฉียนชิงมาก ใช้เวลาเดินไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา แต่คำพูดต่อมาของนางกลับทำลายแผนการของเขาจนแตกกระจุยอย่างรวดเร็ว

เมิ่งซังอวี๋มองไปยังนางกำนัลสองสามคนที่คอยเฝ้าปรนนิบัติอยู่ข้างโต๊ะ แล้วสั่งอย่างรอบคอบ “พวกเจ้าดูอาเป่าไว้ให้ดีๆ อย่าปล่อยให้หนีออกไปจากวังปี้เซียวเชียว มันยังเล็กนัก ระหว่างทางอาจมีคนมองไม่เห็นแล้วเดินเตะหรือเหยียบเอาได้ง่ายๆ”

เหล่านางกำนัลน้อมรับอย่างพร้อมเพรียง ทำให้กู่เซ่าเจ๋อหงุดหงิดเล็กน้อย

ราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์เศร้าซึมของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋อุ้มมันขึ้นมาแล้วหอมจมูกเปียกชื้นของมัน ยิ้มพลางกล่าวว่า “รออาเป่าโตแล้วข้าจะพาอาเป่าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ในอุทยานหลวงทั้งสวยงามทั้งกว้างขวาง มีที่น่าสนุกมากมายเลยล่ะ อาเป่าจะต้องชอบแน่ๆ”

ท่าทีรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้มันคืออะไรกัน ไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยง แต่เหมือนกับปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่ง ทว่าเขาก็พร่ำบ่นไม่ได้ ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงกู่เซ่าเจ๋อรู้สึกซาบซึ้งใจไปชั่วขณะ

“เอาล่ะ ทำงานได้แล้ว แสดงมาดสูงส่งเย็นชาของพวกเจ้าให้ข้าดูเดี๋ยวนี้!” เมิ่งซังอวี๋ส่งอาเป่าให้นางกำนัลผู้หนึ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นสีหน้าก็พลันเคร่งขรึม ปรบมือพร้อมกับออกคำสั่ง

“เพคะ!” บรรดานางกำนัลที่อยู่ด้านหลังนางทั้งหลายพากันปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วจึงยืดเอวยืดหลังตั้งตรง เชิดคาง มีท่าทีคล้ายใช้จมูกมองดูผู้คนอยู่รางๆ ในแววตาอันคมปลาบปรากฏความเย่อหยิ่งและหยามหยัน รัศมีของความยโสโอหังแผ่กระจายเข้ามา

กู่เซ่าเจ๋อตกใจจนนิ่งอึ้ง แข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของนางกำนัล มองดูพวกเมิ่งซังอวี๋เดินจากไปอย่างโอ่อ่าเกรียงไกรด้วยความตะลึงงัน

เต๋อเฟยและนางกำนัลที่เป็นเช่นนี้ถึงจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยในยามปกติ คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่การแสดง เป็นลักษณะที่เต๋อเฟยจงใจสร้างออกมา นางทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน

พอไตร่ตรองดูเล็กน้อยเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นแค่วิธีปกป้องตัวเองของนางเท่านั้น นางไม่อยากโอ้อวดแต่ก็ไม่อาจไม่โอ้อวด ไม่อยากโหดเหี้ยมแต่ก็ไม่อาจไม่โหดเหี้ยม การทำเช่นนี้ถึงจะสามารถสยบศัตรูเอาไว้ได้ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าลงมือได้ง่ายๆ อย่างน้อยหากมิได้มีลำดับถึงขั้นฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยก็ไม่อาจมีความสามารถถึงขนาดที่ลงมือให้สำเร็จได้ในคราวเดียว คนรอบด้านย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือง่ายๆ เพราะกลัวจะแบกรับการล้างแค้นจากเต๋อเฟยไม่ไหว การทำเช่นนี้สามารถลดปัญหายุ่งยากที่ไม่จำเป็นลงไปได้มาก

กู่เซ่าเจ๋อไม่อาจไม่ยอมรับ เดิมทีเขาไม่คิดว่าสตรีที่ความคิดไม่ซับซ้อน ใช้กลอุบายหยาบกระด้างจะมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวเช่นนี้ และเมื่อยิ่งคิดให้ไกลอีกหน่อย เขาก็ยิ่งตกตะลึง เป็นความจริงที่นางอวดตนวางอำนาจ มีสนมที่ถูกนางเล่นงานมากมายนับไม่ถ้วน แต่นางก็รู้ว่าใครสามารถล่วงเกินได้ และใครไม่อาจล่วงเกินได้ นางเหยียบอยู่บนขีดจำกัดของเขามาโดยตลอด ไม่เคยข้ามเส้น ดังนั้นถึงแม้ว่าในใจจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ยอมมอบเกียรติยศและอำนาจให้นางในระดับหนึ่ง นี่คือผลลัพธ์จากการวางแผนอย่างลำบากยากเย็นของนาง

สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้กระทั่งเขาก็ถูกหลอก! กู่เซ่าเจ๋อทอดถอนใจ ยิ่งทวีความหวั่นเกรงที่มีต่อสกุลเมิ่ง แต่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความรังเกียจที่ตนมีต่อเต๋อเฟยกำลังลดน้อยลง

สตรีฉลาดมักจะทำให้ผู้คนสรรเสริญชื่นชม สตรีที่ทั้งฉลาดทั้งงดงามยิ่งทำให้ผู้คนยากจะต้านทาน หากอยู่ร่วมกับสตรีเช่นนี้ทุกเช้าสายบ่ายเย็นก็จะถูกครอบครองหัวใจได้ในไม่ช้าก็เร็ว

 

หลังจากเมิ่งซังอวี๋เดินออกไป กู่เซ่าเจ๋อก็คิดจะแอบหนีออกไปหลายครั้งหลายครา แต่จนปัญญาเพราะนางกำนัลที่คอยดูแลเขาซื่อตรงต่อหน้าที่อย่างยิ่ง แค่เดินไปไม่กี่ก้าวก็มักจะถูกอุ้มกลับมา ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย หลังจากพยายามมาสิบกว่าครั้ง ร่างกายอันอ่อนแอของลูกสุนัขก็ทนรับไม่ไหว เขาจึงจำต้องยอมแพ้

เขากระแทกเท้าหน้าทั้งสองข้างลงกับพื้น นั่งรอเมิ่งซังอวี๋กลับมาอยู่หน้าประตูด้วยความอดทน หากมีเต๋อเฟยอยู่ด้วย ความกระวนกระวายและความไม่สบายใจในหัวใจของเขาจะลดน้อยลงไปมาก อาการติดเจ้านายถูกปลูกฝังลงในก้นบึ้งของหัวใจของเขาตั้งแต่ยามที่เห็นนางเป็นครั้งแรกหลังจากที่กลายเป็นสุนัข แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึก

ยามซื่อ

 

สามเค่อ เมิ่งซังอวี๋พานางกำนัลเดินนวยนาดเข้ามา พอเห็นเงาร่างของนางดวงตาสีดำสนิทของกู่เซ่าเจ๋อก็สว่างวาบ เดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ หางปุกปุยด้านหลังสะบัดซ้ายทีขวาที เผยจิตใจอันเบิกบานมีความสุขออกมาจนหมดสิ้น ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกตัวว่าตนยับยั้งท่าทีไว้ไม่อยู่ จึงชะงักไปทั้งร่าง ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมอย่างลังเล

ในขณะเดียวกันเมิ่งซังอวี๋ก็เห็นก้อนกลมน้อยๆ สีน้ำตาลตรงหน้าประตู นางก้าวเดินอย่างรวดเร็ว แล้วช้อนก้อนกลมตัวน้อยๆ เข้าสู่อ้อมกอด สุ้มเสียงใสกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี “อาเป่ารอข้ากลับมาหรือ เป็นเด็กดีจริงๆ!”

กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่าหน้าผากของตนถูกนางหอมแรงๆ สองที เต๋อเฟยผู้เปิดเผยอบอุ่นเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน สตรีผู้นี้เปรียบเสมือนภูเขาไฟ หัวใจอันอ่อนโยนร้อนเร่าถูกหินผาที่เย็นเฉียบหนาแน่นครอบเอาไว้เป็นชั้นๆ ไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น พอตระหนักได้ถึงจุดนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจของเขาจึงพลันรัดแน่น แม้ไม่เจ็บปวดแต่กลับอึดอัดอยู่ไม่น้อย

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่ากลับไปภายในตำหนัก พอเห็นว่าคราวนี้อาเป่ามิได้ดิ้นหนีในใจก็รู้สึกลิงโลดเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของอาเป่าครั้งแล้วครั้งเล่า ความเคลื่อนไหวทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน ในวังหลวงอันหนาวเหน็บแห่งนี้มีเพียงเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกเท่านั้นที่เป็นของนางอย่างแท้จริง ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมันหักหลัง

ด้านกู่เซ่าเจ๋อ ทางหนึ่งก็เตือนตัวเองไม่ให้เคลิบเคลิ้มมัวเมา อีกทางหนึ่งก็หลับตาพริ้ม เสพสุขกับการลูบไล้อันแผ่วเบาของนาง สัญชาตญาณของสัตว์แกร่งกล้ามากเกินไป เขายากจะต้านทาน

แม่นมเฝิงถือชากาหนึ่งเดินเข้ามา รินให้ผู้เป็นนายจนเต็มถ้วย ก่อนจะกล่าวด้วยความพะว้าพะวัง “ตั้งแต่ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก็พักผ่อนรักษาพระวรกายเป็นเวลาหลายวันแล้ว ไฉนยังไม่ออกว่าราชการ ทั้งยังไม่เรียกสนมชายาเข้าเฝ้าด้วยเล่า คงมิใช่ว่าพระวรกายมีปัญหาใหญ่กระมัง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปแผ่นดินต้าโจวของพวกเราจะต้องวุ่นวายเป็นแน่”

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งยังคงต่อสู้กับสัญชาตญาณได้สติขึ้นมาในพริบตา หูตั้งสนใจฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง

เมิ่งซังอวี๋ยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก จิบเบาๆ หนึ่งคำ แล้วกล่าวอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก “คนใต้บังคับบัญชาของฝ่าบาทมีฝีมือเก่งกาจยอดเยี่ยม แผ่นดินต้าโจวยังไม่วุ่นวายในเร็ววันนี้หรอก พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเป็นห่วง พอถึงเวลาก็จะรู้เอง”

“ไฉนการเป็นห่วงเป็นใยฝ่าบาทถึงเป็นการเปลืองแรงไปได้เล่าเพคะ ดีร้ายอย่างไรพระองค์ก็ควรใส่ใจเสียหน่อย” แม่นมเฝิงปวดหัวเล็กน้อย นางเอ่ยโน้มน้าวอย่างเข้มงวดจริงจังเพราะความปรารถนาดี “พระองค์ดูสิเพคะ สนมทั่วทั้งวังมีผู้ใดไม่ส่งคนไปถามพระอาการอยู่ทุกวันบ้าง ทั้งโอสถ น้ำแกง และถุงหอมก็มีส่งไปไม่ได้ขาด อย่างหลี่กุ้ยเฟยเองก็นั่งคุกเข่าอยู่นอกวังเฉียนชิงตั้งครึ่งวัน ได้ยินว่าหลายวันนี้คัดลอกพระคัมภีร์ไปแล้วหลายเล่มเพื่อขอพรให้ฝ่าบาท เต๋อเฟยจะยอมผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!”

ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยได้ยินวาจากระตุ้นให้ผู้เป็นนายไปประจบขอความโปรดปรานของแม่นมเฝิงจนเบื่อแล้ว ทั้งสองจึงสบตากันแวบหนึ่งแล้วเผยสีหน้าเหนื่อยใจออกมา แม่นมเฝิงผู้นี้มีสายตาคับแคบ ไม่เข้าใจสถานภาพของผู้เป็นนาย แต่ใจภักดีที่นางมีต่อเจ้านายกลับไม่มีข้อกังขา

เมิ่งซังอวี๋ก้มหน้าดื่มชา แอบลอบกลอกตาหนึ่งที ทว่ากลับถูกอาเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดเห็นเข้าเต็มสองตา

นี่คือสีหน้าอะไรกัน ดูแคลนเราอย่างนั้นหรือ เขาขมวดคิ้ว ความรู้สึกอึดอัดในอกกระทั่งหายใจยังลำบากปรากฏขึ้นอีกครา

เมิ่งซังอวี๋วางถ้วยชาลง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความจนปัญญา “โอสถ น้ำแกง ถุงหอม พระคัมภีร์ ยันต์คุ้มภัย มีสิ่งใดบ้างที่ข้ามิได้ส่งไป เรื่องพวกนี้ทำให้เห็นแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว หากทำมากไปกลับจะพานให้คนรำคาญ ตอนนี้ฝ่าบาททรงจำเป็นต้องพักผ่อนเงียบๆ แล้วที่พวกนางทำตัวเช่นนี้เป็นการห่วงใยหรือทำร้ายฝ่าบาทกันแน่ พวกเราอย่าทำตัวอวดฉลาดเป็นการดี”

ไม่เพียงฉลาดเฉลียว แต่ยังเอาใจใส่อย่างยิ่งอีกด้วย! ความรู้สึกอึดอัดในอกกู่เซ่าเจ๋อพลันสลายหายไป เขาลอบรู้สึกพออกพอใจ แต่พอคิดขึ้นได้ว่าคนที่ได้รับความทุ่มเทเอาใจใส่เช่นนี้เป็นภูตผีปีศาจที่มีที่มาไม่ชัดเจนตนหนึ่งโทสะก็โถมทะลักเข้ามาในใจเขาอีกครา

พอแม่นมเฝิงได้ไตร่ตรองเล็กน้อยก็รู้สึกว่าผู้เป็นนายพูดมีเหตุผลจึงปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่เอ่ยถึงอีก

หลังจากพูดให้แม่นมเฝิงสงบลง กลีบปากแดงชาดของเมิ่งซังอวี๋ก็ยกขึ้นน้อยๆ จนเกือบจะมองไม่เห็น เผยแววลำพองใจและเจ้าเล่ห์เพทุบายออกมา ทำให้ดวงหน้าที่งามล้ำของนางแต่งแต้มไปด้วยความฉลาดเฉียบแหลม กู่เซ่าเจ๋อเก็บสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ของนางเข้าสู่ก้นบึ้งความทรงจำ นัยน์ตาสีดำสนิทเป็นประกายน้อยๆ

เมื่อดูอย่างนี้แล้ว เต๋อเฟยก็มิใช่ไม่มีความน่ารักไปเสียทั้งหมด เขาลอบครุ่นคิดในใจ แต่ไม่นานนักการกระทำของนางก็ทำให้เขาเก็บความคิดกลับไปแทบไม่ทัน

“กระบะทรายเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง” เมิ่งซังอวี๋มองไปยังปี้สุ่ยซึ่งอยู่ข้างกาย

“ทูลเต๋อเฟย เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ” ปี้สุ่ยโค้งกายตอบกลับ แล้วกวักมือเรียกขันทีน้อยตรงหน้าประตู

ขันทีน้อยพยักหน้า ก่อนจะยกถาดทองแดงที่เต็มไปด้วยทรายเม็ดละเอียดเข้ามาแล้ววางไว้ที่มุมหนึ่งในตำหนัก

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเดินเข้าไป ย่อกายวางมันลงข้างกระบะทราย จิ้มศีรษะเล็กๆ ของมันเบาๆ พลางเอ่ยถาม “อาเป่า รู้หรือไม่ว่าถาดนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร”

กู่เซ่าเจ๋อถูไถตัวกับนิ้วมืออุ่นร้อนของนางอย่างไม่รู้ตัว แต่ต่อมาก็โมโหที่การควบคุมตัวเองของตนอ่อนด้อยนัก จึงใช้สายตาไม่พอใจจ้องถลึงใส่นาง

สายตานี้ถูกเมิ่งซังอวี๋ทึกทักเอาเองว่าเป็นสายตาฉงนสนเท่ห์ นางจึงจิ้มจมูกของมัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “สิ่งนี้เอาไว้ให้อาเป่าใช้ฉู่ฉู้อึอึ๊ ถ้าเกิดอาเป่าฉู่ฉู้อึอึ๊ไม่เป็นที่แล้วทำให้ในตำหนักมีกลิ่นเหม็น ข้าก็จะลงโทษไม่ให้อาเป่ากินข้าวหนึ่งมื้อ รู้หรือไม่”

ฉู่ฉู้อึอึ๊คือสิ่งใดกัน กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้ว กระทั่งได้ยินประโยคหลังถึงได้เข้าใจ จากนั้นทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อ เขาใช้สายตาที่ราวกับพ่นไฟได้จ้องไปยังสตรีตรงหน้าเขม็ง นี่เป็นการลบหลู่! นี่เป็นการลบหลู่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้เก่งกาจปรีชา

นางอ่านสายตา ‘เร่าร้อน’ ของอาเป่าผิดพลาดอีกครั้งจึงพยักหน้าอย่างชื่นบาน ตบศีรษะน้อยๆ ของมันอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเอ่ยชื่นชม “ไม่เลวเลย อาเป่าของพวกเราฉลาดจริงๆ!”

“พรืด” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยซึ่งอยู่ด้านหลังกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

ปี้สุ่ยเก็บรอยยิ้ม กล่าวด้วยความขบขัน “เต๋อเฟยทรงรู้ได้อย่างไรเพคะว่าอาเป่าฟังรู้เรื่อง”

“ไม่ว่ามันจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ข้าก็จะชมเชยมัน สัตว์ก็มีความคิดความรู้สึกเช่นกัน ซ้ำยังมีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกเก่งกว่าพวกเราเสียอีก เจตนาดีเจตนาร้ายในวาจาของพวกเราพวกมันล้วนรับรู้ได้ ข้าชมเชยมัน มันจะได้รู้สึกมีความสุข จากนั้นก็จะเติบโตได้อย่างแข็งแรง ห้ามด่าทอหรือทุบตีตามแต่ใจแค่เพียงเพราะสัตว์ตัวน้อยๆ เหล่านี้ไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ หลายๆ ครั้งเข้ามันก็จะเรียนรู้จดจำ สุนัขฉลาดยิ่ง ฉลาดพอๆ กับเด็กน้อยอายุสองขวบ มิหนำซ้ำอาเป่าของข้ายังเป็นสุนัขพันธุ์กุ้ยปินซึ่งเฉลียวฉลาดเป็นอันดับสองในหมู่เผ่าพันธุ์สุนัข ดังนั้นมันจึงเข้าใจความหมายของข้าได้อย่างรวดเร็ว”

เมิ่งซังอวี๋อธิบายเสียงอ่อนโยน เมื่อภพที่แล้วนางอยากเลี้ยงสุนัขจึงเคยศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมาก่อน พวกปี้สุ่ยเคยชินแล้วที่ผู้เป็นนายมักจะเอ่ยความเห็นแปลกใหม่ไม่เหมือนใครออกมาบ่อยๆ และไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด แต่เมิ่งซังอวี๋หาได้รู้ไม่ว่าวาจาของตนนำพาความรู้สึกหวั่นไหวมาให้กู่เซ่าเจ๋อเพียงใด เขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย ก้มหน้าลง ดวงตาสีดำสนิทปรากฏแสงโชติช่วงอันสลับซับซ้อนออกมา หญิงสาวผู้นี้เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์ แต่กลับใจดำอำมหิตต่อคน ช่างขัดแย้งกันเสียจริง! นอกจากนั้นนางยังมีความรู้ลึกซึ้งกว้างขวางอีกด้วย

ความรู้สึกรังเกียจที่เขามีต่อเมิ่งซังอวี๋ลดน้อยลงอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว และความคิดที่จะสืบเสาะหาความจริงยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

เมิ่งซังอวี๋สั่งสอนอาเป่าเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ในการใช้ชีวิตจนเสร็จสิ้น เมื่อเห็นมันมีท่าทางจริงจังตั้งใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลาราวกับว่าฟังวาจาของตนอยู่จริงๆ เมิ่งซังอวี๋ก็รู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่บัดนี้ไปนับได้ว่านางมีสหายแล้ว

บทที่สาม

แอบหนี

แสงสุริยันต้นสารทฤดูทอสีทองอร่าม ไม่แสบตาและไม่ร้อนจัด ยามสาดส่องลงบนร่างแล้วอบอุ่นกำลังดี ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

เมิ่งซังอวี๋สั่งให้นางกำนัลยกตั่งตัวยาวอ่อนนุ่มมาตั้งในสวนดอกไม้ แล้วจึงเอนตัวอยู่บนตั่งอย่างเกียจคร้าน ดื่มชาไปพลางอ่านบันทึกการเดินทางไปพลาง อาเป่าซึ่งถูกเฝ้ามาตลอดทั้งเช้าก็ได้รับอิสรภาพเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ มันกำลังมองสำรวจสภาพโดยรอบสวนดอกไม้ คิดคำนวณหาลู่ทางแอบหนีออกไป

หนึ่งชั่วยามต่อมานางกำนัลผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน เมื่อเห็นเมิ่งซังอวี๋กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน ได้แต่ขยับเข้าไปรายงานข้างหูแม่นมเฝิงด้วยเสียงอันแผ่วเบา สีหน้าแม่นมเฝิงแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งเดินเที่ยวเล่นจนเหนื่อยนานแล้วได้กลับไปอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ตามจิตสำนึก ยามนี้กำลังนอนหมอบหลับตาพักผ่อนเอาแรงอยู่ใต้ตั่ง อาศัยความสามารถในการได้ยินที่เฉียบไวกว่าในอดีตหลายเท่าตัว เขาจึงได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ‘ราชครูเสิ่น’ ‘เหลียงเฟย’ เบาๆ เขาเบิกตาขึ้นทันที มองไปทางแม่นมเฝิงด้วยสายตาวาววับเป็นประกาย

แม่นมเฝิงโบกมือให้นางกำนัลออกไป ก่อนจะขยับเข้าใกล้หูของเมิ่งซังอวี๋พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่นางกำนัลได้ข่าวมาว่าเช้านี้ฝ่าบาททรงเรียกราชครูเสิ่นเข้าเฝ้า ทั้งสองสนทนากันในห้องทรงพระอักษรถึงสองชั่วยามแบบลับๆ พอราชครูเสิ่นออกไป ฝ่าบาทก็ทรงเรียกให้เหลียงเฟยมาคอยอยู่ปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษร ได้ยินว่ายังทรงรับสั่งให้ฉางสี่นำหนังสือฎีกามากมายเข้าไปด้วย ยามนี้จะเริ่มสะสางพระราชกิจแล้วเพคะ”

ใบหูของกู่เซ่าเจ๋อกระดิกหนึ่งที

เมิ่งซังอวี๋วางบันทึกการเดินทางในมือลง ลูบคางพลางเอ่ยถาม “ทรงเรียกราชครูเสิ่นเข้าเฝ้า มิใช่หลี่เซียง?”

ราชครูเสิ่นคือบิดาของเหลียงเฟยเสิ่นฮุ่ยหรู เขาอบรมสั่งสอนฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นหัวหอกของขุนนางใจซื่อมือสะอาดฝ่ายบุ๋น แม้จะมีคุณธรรมสูงส่งและมีบารมีมากมาย ทว่าในมือกลับไร้ซึ่งอำนาจ ในทางตรงกันข้าม หลี่เซียงคือบิดาของหลี่กุ้ยเฟย เป็นบุคคลผู้กุมอำนาจของราชวงศ์ต้าโจวอย่างแท้จริง หากฮ่องเต้จะเริ่มจัดการพระราชกิจ คนแรกที่ต้องเรียกให้เข้าเฝ้าควรจะเป็นหลี่เซียง หาใช่ราชครูเสิ่นไม่ เรื่องนี้มีลับลมคมในอย่างยิ่ง!

คิ้วงามของเมิ่งซังอวี๋ขมวดน้อยๆ เอ่ยพึมพำ “ดูท่าครานี้ฝ่าบาทจะบาดเจ็บสาหัสมากจริงๆ กระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงควบคุมราชสำนัก มิฉะนั้นคงไม่พึ่งพาราชครูเสิ่นแล้วทำตัวเหินห่างกับหลี่เซียงเช่นนี้”

ราชครูเสิ่นเป็นขุนนางคู่พระทัย กล่าวได้ว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยมากที่สุด และเป็นคนที่พระองค์จะเลือกมาทำหน้าที่สำคัญในช่วงเวลาอันตราย และถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะทรงมอบหมายให้หลี่เซียงดำรงตำแหน่งสำคัญ ทว่ากลับป้องกันเขาไว้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยกสกุลเมิ่งขึ้นมาฉุดสกุลหลี่เอาไว้เช่นนี้ หากว่ากันตามจริง สกุลเมิ่งและสกุลหลี่ก็เป็นเพียงแค่หมากที่ฮ่องเต้ใช้คานอำนาจในราชสำนักเท่านั้น และนางกับหลี่กุ้ยเฟยก็เป็นเครื่องสังเวยในการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้เมิ่งซังอวี๋ก็นวดขมับแล้วถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง

ในใจกู่เซ่าเจ๋อซึ่งอยู่ใต้ตั่งก็บังเกิดคลื่นโหมสาดซัดเช่นกัน ปีศาจตนนั้นมิได้แอบซุ่มต่อไปเรื่อยๆ แต่กลับเรียกราชครูเสิ่นและฮุ่ยหรูเข้าเฝ้า? มันคงจะไม่คิดทำอันตรายต่อพวกเขากระมัง?

เขายิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลจึงยืนขึ้นอย่างฉับพลัน ยกเท้าหมายจะพุ่งออกไปนอกตำหนัก แต่วิ่งออกไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ถูกปี้สุ่ยคว้าเอาไว้ได้ นางเอ็ดดุเสียงเบา “อาเป่า อย่าวิ่งส่งเดชสิ ระวังจะหลงทางจนหายไปล่ะ!”

แม่นมเฝิงไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของอาเป่า นางฟังวาจาของผู้เป็นนายจบสีหน้าก็ทุกข์ระทมยิ่งกว่าเดิม เอ่ยปากอย่างละล้าละลัง “ในเมื่อฝ่าบาททรงพึ่งพาราชครูเสิ่นก็ต้องทรงยกย่องเหลียงเฟยขึ้นมาด้วยเป็นแน่ เต๋อเฟยเพคะ พวกเราควรทำอย่างไรดีเล่า”

“ทำอย่างไรหรือ ก็ทำอย่างเคยน่ะสิ!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะแล้วโบกมืออย่างไม่แยแสสนใจ “ฝ่าบาททรงอยากจะยกย่องใครก็เป็นเรื่องของฝ่าบาท ไม่ว่าฝนจะตกหรือฟ้าจะร้องก็ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ไม่มีที่ว่างให้พวกเราสอดปากหรอก” กล่าวจบนางก็ยื่นมือไปหาปี้สุ่ย “ให้ข้าอุ้มอาเป่าหน่อย”

ปี้สุ่ยรับคำ วางอาเป่าที่ยังคงดิ้นไม่หยุดลงในอ้อมกอดของผู้เป็นนาย

แม่นมเฝิงเห็นผู้เป็นนายไม่ใคร่อยากจะสนทนามากไปกว่านี้จึงหยุดปากด้วยความขุ่นข้องใจ

เมื่อเข้าสู่อ้อมกอดอันคุ้นเคย ปลายจมูกก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นซึ่งชวนให้รู้สึกดีของเมิ่งซังอวี๋ เส้นขนที่แผ่นหลังถูกลูบด้วยความรักอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาทั้งอ่อนแรงทั้งชาหนึบ ความกระสับกระส่ายในใจของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ สงบลง เขาจึงสามารถครุ่นคิดไตร่ตรองให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

ถ้าหากเขาอาศัยร่างอื่นอยู่ก็จำเป็นต้องแอบซุ่มดูอยู่สักระยะเพื่อทำความเข้าใจสภาพรอบด้านและความเป็นไปต่างๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับได้ก็ต้องกำจัดคนที่คุ้นเคยกับเจ้าของร่างเดิมมากที่สุด ทว่าเจ้าปีศาจในวังเฉียนชิงมิได้ทำเช่นนั้น มันกลับเรียกขุนนางคนสนิทและสนมชายาที่รู้จักกับเจ้าของร่างเดิมมากที่สุดเข้าพบแทน มันไม่กลัวว่าจะเผยช่องโหว่อย่างนั้นหรือ ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย หัวหน้าขันทีฉางสี่ ราชครูเสิ่น เสิ่นฮุ่ยหรู พวกเขาคนใดคนหนึ่งอาจจะค้นพบความผิดปกติก็เป็นได้

ในเมื่อพวกเขามิได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่แปลกไป นั่นก็แสดงว่าการกระทำของปีศาจตนนี้ได้รับการยอมรับจากพวกเขา อาจจะถึงขั้นที่พวกเขาคอยช่วยปีศาจตนนี้ปกปิดตัวตนเสียด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นเจ้าปีศาจตนนี้ก็คงไม่ประกาศเรียกให้เสิ่นฮุ่ยหรูคอยปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษรเช่นนี้กระมัง วิชาความรู้ของเสิ่นฮุ่ยหรูไม่แพ้ชายชาตรีเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นงานราษฎร์หรืองานหลวงล้วนทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นการจะจัดการกับพระราชกิจเล็กน้อยแค่นี้ไม่ถือว่าเกินกำลังของนาง

หรือว่าพวกเขาคิดช่วยเจ้าปีศาจนั่นก่อกบฏ? ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองก็ถูกกู่เซ่าเจ๋อปัดทิ้งทันที ราชครูเสิ่นกับเสิ่นฮุ่ยหรูไม่มีทางทรยศเขาอย่างแน่นอน ฉางสี่กับราชองครักษ์ลับยิ่งเป็นไปไม่ได้

เมื่อคิดไปคิดมาเขาก็ได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด นั่นก็คือตัวเขายังไม่ฟื้นคืนสติ ฮ่องเต้ในวังเฉียนชิงก็มิใช่ภูตมาร แต่เป็นตัวแทนที่ราชครูเสิ่น เหยียนจวิ้นเหว่ย และฉางสี่ร่วมกันหามา และเสิ่นฮุ่ยหรูก็คอยช่วยปกปิดตัวตนของตัวแทน

ตอนนี้ชนเผ่าหมานตามชายแดนกำลังบุกโจมตีรุกรานครั้งใหญ่ เจ้าแคว้นชายแดนแต่ละเมืองต่างจ้องจะก่อความไม่สงบ อีกทั้งเขาไม่มีพี่น้องที่ไว้ใจได้ให้ออกว่าราชการแทน ในราชสำนักก็มีเพียงหลี่เซียงผู้มีใจคิดคดทะเยอทะยาน ในตำหนักในสนมชายาลำดับสูงหลายคนที่ครอบครัวมีฐานอำนาจแข็งแกร่งก็ไม่ประพฤติตนอยู่ในกรอบในธรรมเนียม เอาแต่หมายตาตำแหน่งรัชทายาทและฮองเฮา ภายใต้สภาวะที่ต้องรับทั้งศึกในและศึกนอกเช่นนี้ หากข่าวที่เขาสลบไม่ได้สติแพร่ออกไป แผ่นดินต้าโจวจะต้องโกลาหลวุ่นวายเป็นแน่แท้ และตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว การหาคนมาเป็นตัวแทนของเขาชั่วคราวก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด โชคดีที่การไปเขาเชียนฝอคราวนี้เขาพาแค่ราชองครักษ์ลับ ราชครูเสิ่น และฉางสี่ไปด้วยเท่านั้น มิฉะนั้นเรื่องที่เขาหลับใหลไม่ได้สติคงจะปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

เมื่อคิดคลี่คลายปมสำคัญได้กระจ่างแจ้ง กู่เซ่าเจ๋อก็วางใจลงครึ่งหนึ่ง ผ่อนลมหายใจเฮือกอย่างหนักหน่วง จากนั้นถึงตระหนักได้ว่าสตรีที่กำลังกอดเขาอยู่ก็คงเดาได้ส่วนหนึ่งแล้วเหมือนกัน ทว่าเขาบาดเจ็บสาหัส แต่สตรีผู้นี้ยังคงหลับตาพริ้มนอนอาบแสงแดด สีหน้าสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง ไม่แยแสเรื่องของเขามากเกินไปแล้วหรือไม่

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็เริ่มอึดอัดในอกขึ้นมาอีกครา

ถึงแม้จะเดาเรื่องราวได้ ทว่าความกังวลในใจของกู่เซ่าเจ๋อก็มิได้หมดไป ต่อให้ร่างกายของเขาไม่ได้ถูกภูตผีปีศาจยึดครอง และอำนาจของฮ่องเต้ก็ไม่ได้เสี่ยงถูกช่วงชิงไป แต่ถ้าหากเขายังไม่รีบฟื้นขึ้นมา แผ่นดินต้าโจวคงจะโกลาหลวุ่นวายในไม่ช้าก็เร็ว

แต่ยามนี้เขาอาศัยอยู่ในร่างลูกสุนัขที่เพิ่งเกิดตัวหนึ่ง แค่ปกป้องตัวเองยังทำได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงการชิงร่างกายกลับคืนมา เขารู้อย่างกระจ่างแจ้งว่าตนจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ

ในทีแรกเขาเคยคาดเดาว่าบางทีหากร่างกายนี้ตายไปแล้ว เขาก็จะสามารถกลับคืนร่างเดิมได้ แต่การคาดเดาก็เป็นแค่การคาดเดา หากเขากลับคืนร่างไม่ได้ทุกอย่างก็คงจบ เขาเคยชินกับการวางแผนสู้รบในกระโจมค่ายทหาร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จ ดังนั้นหลังจากอดอาหารสองวันจึงยอมปล่อยความคิดที่จะฆ่าตัวตายทิ้ง

ตอนนี้เขาต้องไปพบคนที่ตนไว้ใจได้มากที่สุดโดยเร็ว หาทางติดต่อกับคนเหล่านั้น และบอกให้คิดหาวิธีนำร่างของเขากลับคืนมา

ในวังหลวงแห่งนี้คนที่เขาไว้ใจได้คือหัวหน้าขันทีฉางสี่ อีกคนหนึ่งคือผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย ยังมีอีกคนก็คือสตรีหนึ่งเดียวที่เขารักใคร่ทะนุถนอม เหลียงเฟยเสิ่นฮุ่ยหรู ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ผู้ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดก็คือเสิ่นฮุ่ยหรู หากตั้งแต่แรกเขาถูกส่งไปยังวังจงชุ่ย (แว่วกระพรวน) ของเสิ่นฮุ่ยหรู เขาก็คงไม่ต้องเปลืองสติปัญญาเช่นนี้ ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้เท้าจุ่มหมึกเขียนเป็นตัวอักษรได้ เสิ่นฮุ่ยหรูขวัญกล้าเหนือคนธรรมดา คงจะไม่ถูกทำให้ตกใจจนเสียขวัญ

ในใจเขาครุ่นคิดว่าจะต้องสืบเสาะหาความจริงที่วังเฉียนชิงให้เร็วที่สุด จึงจงใจรั้งอยู่ในสวนดอกไม้ แสร้งทำทีว่ากำลังเล่นอย่างสนุกสนาน หมายหลอกให้นางกำนัลตายใจ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสหนีไป

แต่ไม่เสียทีที่เมิ่งซังอวี๋ถือกำเนิดในสกุลขุนศึก ข้ารับใช้ต่างก็มีฝีมือล้ำเลิศ หากนางออกคำสั่งให้คนคอยเฝ้าอาเป่าไว้ให้ดี นางกำนัลที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ย่อมไม่ปล่อยให้คลาดจากสายตาเป็นแน่

วุ่นวายมาตลอดทั้งบ่าย กู่เซ่าเจ๋อซึ่งหาช่องโหว่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อยก็จำต้องยอมแพ้ ปล่อยให้เมิ่งซังอวี๋อุ้มกลับเข้าไปในตำหนัก

 

ขอบฟ้านอกหน้าต่างปรากฏเมฆาสีแดงฉานทอดยาวไม่สิ้นสุด ขับเน้นให้ยามสนธยาของสารทฤดูงามตระการตาหาใดเปรียบ

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่า มองก้อนเมฆที่ขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย สีหน้าของนางสงบนิ่ง สายตาทอดมองออกไปแสนไกล ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่กลับทำให้กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่าสตรีที่กำลังอุ้มตนอยู่คล้ายกับมีเพียงร่างกลวงเปล่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ความเดียวดายเข้มข้นรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากกายนางทำให้เขาใจสั่นสะท้าน

ความรู้สึกอึดอัดเข้าจู่โจมในอกอีกครา เขาร้องครวญ เรียกสติสัมปชัญญะของเมิ่งซังอวี๋กลับมา

“อาเป่าหิวแล้วกระมัง เราไปกินข้าวกันเถิด คืนนี้กินไข่ตุ๋นหมูสับดีหรือไม่ เปลี่ยนรสชาติให้เจ้าบ้าง” เมิ่งซังอวี๋รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในอ้อมอก นางจึงสบดวงตาสุกใสของอาเป่า จากนั้นก็ผลิยิ้มอย่างอ่อนโยน

ความรู้สึกเดียวดายห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึงพลันหายไปในทันใด รอยยิ้มไม่ยินดียินร้ายนี้สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อ ทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ สะบัดหางแล้วก็หยุดชะงักอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าหลบสายตาหญิงสาว

อาหารเย็นมีมากมายยิ่ง นอกจากไข่ตุ๋นหมูสับ เมิ่งซังอวี๋ยังสั่งให้ห้องเครื่องอุ่นนมแพะมาหนึ่งถ้วย กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกหิวตั้งแต่แรกแล้วจึงกินอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งนมแพะซึ่งมีกลิ่นคาวเล็กน้อยซึ่งแต่ก่อนตอนเป็นฮ่องเต้ไม่เคยแตะก็ดื่มไปถึงครึ่งถ้วย

หลังจากกินอาหารเสร็จ ท้องของอาเป่าก็ป่องจนกลายเป็นลูกกลมๆ พอเริ่มออกเดินก็โซซัดโซเซ น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ทำให้เมิ่งซังอวี๋หัวเราะไม่หยุด อุ้มมันขึ้นมากอดรัดเสียหนึ่งยก

กู่เซ่าเจ๋อดิ้นจนสุดแรงเกิด หนีเตลิดท่ามกลางเสียงหัวเราะดุจระฆังเงินของเมิ่งซังอวี๋ มุดเข้าไปในตะกร้าของตน แล้วขยับผ้าฝ้ายผืนน้อย แสร้งทำทีเป็นหลับ อากัปกิริยาคล้ายมนุษย์ของอาเป่าทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ในตำหนักขึ้นทันใด

กู่เซ่าเจ๋อถูกยั่วโทสะจนโมโห เขาขบฟันน้ำนมที่ยังขึ้นไม่ครบ สาบานอย่างแน่วแน่ว่าหากกลับคืนร่างเดิมได้จะต้องสั่งสอนสตรีผู้นี้ให้หนักๆ แต่ตัวเขาในตอนนี้กลับมิได้สังเกตว่ายามเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ หัวใจของตนก็ได้อ่อนยวบไปเสียแล้ว หากเมื่อก่อนได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เขาคงไม่คิดจะสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามเพียงเท่านี้กระมัง

เมื่อเห็นอาเป่าหลับแล้ว เมิ่งซังอวี๋จึงรับสมุดบัญชีที่แม่นมเฝิงยื่นให้ เริ่มต้นจัดการงานกิจภายในวัง

หลี่กุ้ยเฟยมีตำแหน่งสูงสุด อีกทั้งยังมีโอรสหนึ่งธิดาหนึ่ง เป็นคนที่มีโอกาสสูงสุดในการชิงตำแหน่งฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้ทรงกลัวว่าฝ่ายญาติของหลี่กุ้ยเฟยจะมีใจคิดช่วงชิงพระราชอำนาจ แล้วจะทรงยอมให้อำนาจในการปกครองตำหนักในตกอยู่ในมือหลี่กุ้ยเฟยได้อย่างไร ดังนั้นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีพื้นเพครอบครัวคล้ายคลึงกับหลี่กุ้ยเฟยจึงชิงอำนาจส่วนหนึ่งมาได้โดยมีฮ่องเต้ทรงคอยให้ท้ายในฐานะที่เป็นหมากตัวหนึ่ง แม้จะน่าเวทนา แต่เพราะมีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์ได้ นางถึงได้ดำเนินชีวิตในวังหลวงที่กัดกินผู้คนนี้ต่อไปได้อย่างสบายใจ สำหรับเรื่องนี้นางไม่มีคำต่อว่าต่อขานใด มีแต่ต้องคว้าโอกาสทุกอย่างไว้อย่างสุดกำลัง สร้างอนาคตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นให้ตัวเอง

ในขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังจดจ่อกับการจัดการงานกิจภายในวังอยู่นั้น นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอาเป่าซึ่งเดิมทีควรจะหลับสนิทไปแล้วกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เส้นขนสีน้ำตาลเข้มและร่างกายเล็กจ้อยของมันกลายเป็นเครื่องกำบังที่สมบูรณ์แบบ ครั้นถึงยามค่ำคืน นางกำนัลข้าหลวงบางคนที่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ก็ไม่สังเกตเห็นว่าตรงเท้ามีก้อนกลมเล็กๆ กลิ้งออกจากธรณีประตู วิ่งตะบึงเข้าไปในความมืดมิดยามค่ำคืน

เพิ่งจะวิ่งออกจากเขตที่โคมไฟสีแดงดวงใหญ่ส่องสว่าง กู่เซ่าเจ๋อก็พบว่าตนได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง เดิมทีเขาคิดว่าสุนัขก็คงเหมือนกับหมาป่า ต่อให้เป็นตอนกลางคืนก็สามารถมองเห็นสรรพสิ่งรอบด้านได้อย่างแจ่มชัด เพราะพวกมันถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ความเป็นจริงกลับบอกให้เขารู้ว่ามิได้เป็นเช่นนั้น

สุนัขไม่ได้มีความสามารถในการมองเห็นยามค่ำคืน มันอาศัยเพียงประสาทดมกลิ่นและความสามารถในการได้ยินที่เฉียบไว แต่โชคร้ายยิ่งนักที่ตอนนี้อาเป่ายังเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่ง ประสาทดมกลิ่นและความสามารถในการได้ยินยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่ถึงต่อให้เจริญเติบโตสมบูรณ์แล้ว ในชั่วเวลาสั้นๆ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะใช้มันอย่างไร

กู่เซ่าเจ๋อมองความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุดที่อยู่ตรงหน้า หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็สาวเท้าไปยังทิศทางเบื้องหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไรมาเขามิเคยทำเรื่องจวนตัวเช่นนี้มาก่อน

ทางเดินเล็กๆ ซึ่งปูด้วยเศษหินทำให้เจ็บเท้าเป็นที่สุด ธรณีประตูและขั้นบันไดที่แต่ก่อนแค่ยกเท้าก็ก้าวข้ามได้ดูราวกับเป็นยอดเขาที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลถึงจะข้ามผ่านไปได้ พุ่มไม้และหญ้าต่ำเตี้ยกลายเป็นป่าไพรสูงระฟ้า ดวงตาที่ไม่อาจแยกแยะสีเห็นเพียงสีดำอ่อนๆ เข้มๆ เพียงเท่านั้น

เขาคิดว่าตัวเองเดินมาไกลมากแล้ว แต่เมื่อดูจากขนาดตัวที่ใหญ่ราวฝ่ามือของอาเป่า เขาเพิ่งจะเดินได้เพียงร้อยกว่าจั้ง เท่านั้น โชคดีที่เขามีความจำล้ำเลิศเหนือคนทั่วไป เส้นทางไปประตูข้างประทับอยู่ในสมองอย่างแม่นยำแล้ว หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดประตูข้างซึ่งลงกลอนไว้ก็ปรากฏอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้า

กู่เซ่าเจ๋อยินดียิ่งนัก รีบวิ่งตะบึงเข้าไปแล้วมุดออกทางจากช่องใต้ประตู ลมเย็นๆ สายหนึ่งพัดมาปะทะหน้า ระคนด้วยกลิ่นไหม้จากโคมไฟที่กำลังเผาไหม้ ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงฝีเท้าอันเป็นระเบียบพร้อมเพรียงของกองกำลังอวี้หลิน ซึ่งเดินยามตรวจตราดังขึ้นแว่วๆ

หากผ่านอุทยานหลวงไปทางทิศเหนือก็จะเป็นวังเฉียนชิงแล้ว เขาแอบลอบยินดี สาวเท้าให้เร็วขึ้นทันใด แต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าพอออกจากประตูข้างมาก็ยังมีบันไดอีกหลายสิบขั้น ขั้นบันไดเหล่านี้มิได้สูงมากเท่าไร แต่สำหรับลูกสุนัขที่มีขนาดตัวเท่าฝ่ามือมันคือหน้าผาสูงชันอย่างไม่ต้องสงสัย

เท้าของกู่เซ่าเจ๋อพลันเหยียบลงบนอากาศ ร่างกลิ้งคะมำลงไปเบื้องล่าง ยามนี้เขาถึงฉุกใจขึ้นมาได้และรู้สึกเสียใจไม่หยุด เขาตะกุยสี่เท้าอย่างสุดแรงเกิด หมายจะให้ร่างกายหยุดนิ่งหากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ กลับทำให้เปลี่ยนทิศทางที่ล้มลงไปแทน เขาจึงกลิ้งหล่นลงไปในพงต้นตงชิงเตี้ยๆ ข้างบันได

เมื่อมีกิ่งไม้ใบหญ้าพุ่มดกหนาเป็นตัวลดแรงปะทะ เขาจึงตกลงมาไม่แรงมาก แต่สวรรค์กลับมิได้เมตตาเขาเลย เพราะคอของเขาเข้าไปติดตรงช่องระหว่างกิ่งไม้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติดแน่น อากาศที่ค่อยๆ เบาบางลงกำลังช่วงชิงสติสัมปชัญญะของเขาไป

ความเจ็บปวดรุนแรงในอกผุดขึ้นเป็นระลอก มีบางสิ่งบางอย่างกำลังฉุดกระชากร่างน้อยนี้ทีละนิดๆ เชื่องช้าและเจ็บปวด เขาดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ จู่ๆ ดวงตาสีดำก็ผุดแสงสว่างสีขาวที่ประเดี๋ยวสว่างวาบประเดี๋ยวพลันมืดมน เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เต๋อเฟยจะรู้หรือไม่ว่าเขาหายตัวไป จะมาช่วยหรือไม่ ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาเขาก็อยากจะหัวเราะอย่างสิ้นหวัง ประตูวังลงกลอนไปแล้ว เขาหนีออกมาจากวังปี้เซียว ต่อให้มาหาจริง นางจะยอมลำบากลำบนหาละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวผู้สูงส่งน่าเกรงขามตายอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวงอย่างเงียบเชียบและไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง ช่างเป็นเรื่องน่าขำขันอย่างร้ายกาจ กู่เซ่าเจ๋อกล่าวเสียดสีในใจ

ทว่าในขณะนั้นเอง หลังประตูข้างก็พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นระลอกหนึ่ง เขาได้ยินเสียงนางกำนัลพูดเบาๆ “ทูลเต๋อเฟย ตอนกลางวันอาเป่าชอบวิ่งไปเล่นที่ประตูข้าง หม่อมฉันจำได้ไม่ผิดแน่เพคะ”

“เร็ว รีบหาเร็วเข้า!” สุ้มเสียงร้อนรนของหญิงสาวเจอเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงอลหม่านวุ่นวาย

“เอ๋งๆ…” ครั้นได้ยินเสียงประหนึ่งเสียงสวรรค์นี้ ความรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกดึงหลุดออกจากร่างก็พลันหยุดลงทันใด เรี่ยวแรงที่เลือนหายไปคล้ายกับค่อยๆ ถ่ายเทเข้ามาอีกครา กู่เซ่าเจ๋อร้องสุดกำลัง

“ทุกคนหยุด! เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงของอาเป่าแล้ว!” เมิ่งซังอวี๋เอ็ดเสียงเฉียบ บรรดานางกำนัลเงียบเสียงลงโดยพลัน

เสียงร้องครวญดังขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทว่ายิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแรง

“อยู่หลังประตูข้าง!” ดวงตาหมองหม่นคู่นั้นของเมิ่งซังอวี๋เปล่งแสงลุกวาบราวกับดวงไฟสองดวง นางออกคำสั่งอย่างเร่งร้อน “เร็วเข้า เปิดประตูข้างให้ข้า!”

“เต๋อเฟย แต่กฎวังกล่าวไว้ว่าหลังจากลงกลอนประตูวังแล้วไม่อาจเปิดประตูได้ตามใจชอบนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งรีบกล่าวห้าม

“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด ไม่ได้ยินหรือไรว่าเสียงของอาเป่าเจ็บปวดเพียงใด หากมันเข้ามาเองได้มันก็เข้ามานานแล้ว ตอนนี้มันคงเจอเรื่องอันตรายเป็นแน่ รีบเปิดประตูให้ข้าโดยเร็ว ทุกอย่างข้าจะรับผิดชอบเอง!” เมิ่งซังอวี๋กลับคืนสู่ท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่

น้ำเสียงที่ปกติได้ยินแล้วน่าสะอิดสะเอียนเป็นนักหนายามนี้กลับน่ารักเป็นพิเศษ กู่เซ่าเจ๋อพยายามรักษาลมหายใจและสติสัมปชัญญะเอาไว้ เขารู้ดีว่าสตรีผู้นั้นจะต้องมาช่วยชีวิตเขาเป็นแน่

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงดังแอ๊ด ประตูข้างถูกผลักเปิดออก เสียงฝีเท้าอันสับสนวุ่นวายและถี่กระชั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไล่เสาะหาตามหาเสียงร้องคร่ำครวญของเจ้าลูกสุนัข

กิ่งไม้ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องแขวนคอถูกหักออก มืออันอบอุ่นคู่หนึ่งช้อนอาเป่าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง โอบเข้าสู่อ้อมกอดที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นจางๆ กู่เซ่าเจ๋อย่นจมูกฟุดฟิด เปลือกตาที่ปิดลงไปตั้งนานแล้วชื้นแฉะเล็กน้อย ยามนี้อ้อมกอดของนางช่างอบอุ่นใจและเงียบสงบถึงเพียงนี้ เขาปล่อยให้ตัวเองสลบไสลหมดสติไป

เมื่อเห็นอาเป่าฟุบอยู่ในอกตนไม่ขยับเขยื้อน เมิ่งซังอวี๋ก็ไม่กล้าไปแตะมัน เพียงใช้สองมือซึ่งสั่นเทาเบาๆ จนแทบมองไม่ออกประคองร่างเล็กจ้อยของมันไว้

“เร็วเข้า รีบไปเรียกหมอหลวงมา!” น้ำเสียงของนางแหบแห้ง

สำหรับคนอื่นแล้วนี่อาจเป็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่ง ไว้ใช้เป็นของเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่สำหรับนางมันคือเพื่อนเล่น คือสหาย และถึงขั้นเป็นหนึ่งในครอบครัวของนาง เป็นการดำรงอยู่ที่ต่อให้แผ่นดินสะเทือน ภูเขาไฟปะทุ นางก็ไม่อาจโยนทิ้งไปได้ นางสามารถเข้าใกล้มันได้ตามใจชอบ ไม่ต้องระมัดระวังกิริยาของตน นางสามารถบอกเล่าความในใจให้มันฟังได้ทั้งหมด ไม่ต้องกลัวว่าวันใดวันหนึ่งมันจะหักหลัง

นางได้มอบตำแหน่งอันสำคัญยิ่งในใจตนให้กับอาเป่าไปเรียบร้อยแล้ว นางไม่อยากจะสูญเสียมันไป

 

เต๋อเฟยเป็นคนอวดดีเอาแต่ใจมาโดยตลอด ต่อให้ลอบเปิดประตูวังกลางดึก ต่อให้รีบเรียกหมอหลวงให้เข้าเฝ้าเพียงเพราะสุนัขตัวเดียว แม้คนรอบข้างจะมีคำตำหนิเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มิกล้าขัดขืน

ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เขาแบกกล่องยาพลางโน้มศีรษะถวายบังคมอยู่หน้าประตู

“ไม่ต้องมากพิธี รีบมาดูอาการให้อาเป่าของข้าเร็วเข้า!” เมิ่งซังอวี๋เร่งเร้าไม่หยุด

ยามที่กู่เซ่าเจ๋อฟื้นขึ้น มือใหญ่ข้างหนึ่งก็กำลังลูบคลำอยู่ที่ซอกคอของเขา แตะถูกรอยแผลที่ถูกหนีบ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง เขาส่งเสียงครวญคราง เงยหน้าถลึงตาใส่ผู้เป็นเจ้าของมือนั้น ตัวเขามีฐานะสูงศักดิ์ เคยได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบกระด้างเช่นนี้เสียที่ไหนกัน?

“หมอหลวง เบามือหน่อย!” เมื่อเห็นอาเป่าสะดุ้งตื่นเพราะความเจ็บปวด เมิ่งซังอวี๋จึงเอ่ยปากขึ้นทันที จากนั้นก็ลูบศีรษะของอาเป่าเบาๆ ปลอบประโลมด้วยความรักใคร่ล้นหัวใจ “อาเป่าทนหน่อยนะ ให้หมอหลวงตรวจดูให้ละเอียด ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

ความรู้สึกไม่สบายทั่วทั้งร่างและความทุกข์ตรมเต็มหัวใจพลันสลายหายไปในพริบตา ปากของกู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงร้องออดอ้อนออกมาโดยไม่รู้ตัว หางด้านหลังสะบัดไปมา การที่ได้พบสตรีผู้นี้อีกครั้งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าในหัวใจมีความสุขเพียงไร

เมิ่งซังอวี๋ลูบขนปุกปุยบนแผ่นหลังของอาเป่า ผลิยิ้มราวกับวางภูเขาทั้งลูกในใจลงได้

โชคดีที่อาเป่าถูกหนีบอยู่แค่ครึ่งเค่อ นอกจากมีรอยช้ำบนคอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีก ครั้นหมอหลวงวินิจฉัยอาการเสร็จสิ้นก็ทิ้งยาแก้ฟกช้ำไว้ตลับหนึ่งแล้วจึงลาจากไป

เมิ่งซังอวี๋หยิบกรรไกรเล่มเล็กออกมา จิ้มจมูกเปียกชื้นของอาเป่าเบาๆ พลางกล่าว “สหายตัวน้อย ขนบนคอของเจ้าต้องตัดออกถึงจะทายาได้ เจ้าต้องเป็นเด็กดี อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับนะ ถ้าเจ้าเชื่อฟัง เดี๋ยวข้าจะให้ปี้สุ่ยไปทำของว่างให้กิน”

กู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ คุ้นชินกับวาจาหลอกเด็กพรรค์นี้ของนาง จึงตอบรับอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

เสียงร้องหงิงๆ ของลูกสุนัขน่ารักอย่างยิ่ง เมิ่งซังอวี๋ยิ้มออกมา นางจับกรรไกรขึ้นมาแล้วตัดขนปุกปุยรอบคอของอาเป่าออก จากนั้นจึงค่อยๆ ทายาลงไปอย่างเอาใจใส่

การเคลื่อนไหวของนางทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยน แววตาจดจ่อคล้ายกับกำลังปกป้องบุตรของตนอยู่ นิ้วมือเกลี้ยงเกลาแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ซึมซาบจากคอเข้าสู่หัวใจ ทำให้สบายอย่างบอกไม่ถูก กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้าขึ้นจ้องดวงหน้างามกระจ่างหาใดเปรียบของนาง ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกใจหวิวๆ อยู่บ้าง

“คิก” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังจัดการกับขนสุนัขอยู่หัวเราะขึ้นมาเสียงเบา ชี้ไปยังอาเป่าพลางเอ่ยล้อเลียน “เต๋อเฟยทอดพระเนตรสิเพคะ อาเป่าถูกตัดขนออกไปเป็นวงกลม ทำให้หน้าตาดูประหลาดจริงๆ พอเห็นก็อยากหัวเราะนัก”

“ที่จริงสุนัขพันธุ์กุ้ยปินต้องตัดขนทุกเดือนถึงจะโตมามีขนดกหนาและงดงาม ถ้าหากตอนนี้เป็นช่วงวสันตฤดู อีกหนึ่งเดือนข้าก็จะต้องตัดขนแรกเกิดของอาเป่าแล้ว ทว่าตอนนี้เข้าสู่ช่วงสารทฤดูแล้ว อีกไม่กี่วันสภาพอากาศจะหนาวอย่างฉับพลัน หากตัดขนแรกเกิดออกไปอาเป่าก็จะไม่สบาย” เมิ่งซังอวี๋ลูบแผ่นหลังของอาเป่าพลางกล่าว

แค่เลี้ยงสุนัขตัวเดียวเท่านั้น ไยต้องพิถีพิถันถึงเพียงนี้ สตรีผู้นี้ทำเรื่องเกินความจำเป็นนัก! กู่เซ่าเจ๋อลอบแค่นเสียงเย็นชากับตัวเอง จงใจเพิกเฉยต่อปราการหัวใจที่กำลังค่อยๆ หลอมละลายของตน

หลังจากทายาเสร็จ ลำคอที่ปวดแปลบๆ ก็พลันเย็นวาบ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่กำลังรู้สึกหิว แม่นมเฝิงก็ยกโจ๊กไก่ที่ส่งกลิ่นหอมอวลและขนมวุ้นนมอ่อนนุ่มจานเล็กจานหนึ่งเข้ามา

“อาเป่าได้รับความตื่นตระหนก กินอะไรบำรุงร่างกายเสียหน่อยเถอะ” เมิ่งซังอวี๋ดันถ้วยโจ๊กไก่ไปตรงหน้าอาเป่า ตบศีรษะของมันพลางเอ่ยปลอบขวัญ ส่วนตัวเองก็คีบขนมวุ้นนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก

เมิ่งซังอวี๋หรี่ตา มองดูอาเป่าที่ยังคงกินอย่างมีความสุข ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เริ่มนับสิ่งอันตรายในอุทยานหลวงอย่างละเอียด กิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ขั้นบันไดหนึ่งขั้น ธรณีประตูหนึ่งอัน แม้กระทั่งแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ลึกไม่ถึงครึ่งจั้งก็สามารถเป็นอาวุธฆ่าอาเป่าได้ ดังนั้นหากไม่มีนางอยู่ด้วยมันก็จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นางพูดเรื่อยเปื่อยไปมากมาย ไม่สนใจว่าอาเป่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่

ลิ้นเล็กๆ ของกู่เซ่าเจ๋อเลียกินโจ๊ก แลดูคล้ายกับว่ารู้สึกเฉยชาต่อคำพร่ำบ่นของนาง ทว่าในใจกลับซาบซึ้งอย่างยิ่ง ความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเอาใจใส่ในเรื่องปกติธรรมดาเช่นนี้เขามิได้สัมผัสมานานเท่าใดแล้ว…แม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูและเสด็จแม่ก็ไม่เคยมอบความรู้สึกที่สบายทั้งกายและใจเช่นนี้ให้เขาเลย

ต่อให้ลูกสุนัขตัวหนึ่งมีความรู้สึกมากล้นเพียงไรก็อย่าคิดว่าจะหาเจอจากบนใบหน้าที่มีขนดกปุยของมัน เพราะเหตุนี้เมิ่งซังอวี๋จึงไม่รู้สึกถึงอารมณ์อันแปรปรวนของกู่เซ่าเจ๋อแม้แต่น้อย เมื่อนางเห็นอาเป่ากินอิ่มแล้วจึงย้ายที่นอนของมันมาไว้ใต้ตั่งของตน วางมันลงไป ก่อนจะดึงผ้าฝ้ายผืนน้อยปิดคลุมท้องของมันไว้พร้อมกับเอ่ยตักเตือนเสียงเด็ดขาด “คืนนี้เจ้าต้องนอนอยู่ใต้เปลือกตาข้านี่แหละ หากแอบหนีออกไปอีก ข้าจะตีขาสุนัขของเจ้าให้หักเลยเชียว!”

เป็นน้ำเสียงดุร้ายแต่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของหญิงสาว มือที่ยกขึ้นสูงแล้วปล่อยลงช้าๆ รวมถึงสีหน้าที่จงใจทำให้ดูดุร้าย เมื่อมองแล้วกลับน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ กู่เซ่าเจ๋อยกยิ้มที่มุมปาก ร้องหงิง แล้วค่อยๆ ปิดดวงตาลง

เมิ่งซังอวี๋หมอบดูอาเป่าอยู่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ครั้นเห็นมันหลับไปแล้วจริงๆ จึงล้มตัวลงกับหมอนอย่างวางใจ จนกระทั่งลมหายใจของนางสม่ำเสมอ ดวงตาที่ปิดสนิทของกู่เซ่าเจ๋อก็ลืมขึ้นทันใด ดวงตาสีดำสนิทเจือด้วยแสงสว่างโชติช่วงอันซับซ้อน เขามองสตรีบนเตียงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง อยากจะถอนหายใจแต่ก็รีบอดกลั้นเอาไว้

การหลบหนีในคืนนี้ล้มเหลว แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ กลางคืนไม่สำเร็จก็ต้องเป็นกลางวัน รอให้ร่างกายนี้เติบใหญ่แข็งแรงกว่านี้อีกสักหน่อย เขาจะต้องไปสืบหาความจริงที่วังเฉียนชิงและวังจงชุ่ย คิดหาหนทางเอาร่างกายของตนกลับคืนมาให้จงได้

บทที่สี่

ฮ่องเต้คือตัวปลอม

ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บอาเป่าก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก ถึงแม้ว่ามันจะยังคงชอบวิ่งเล่นไปทั่วเช่นเคย แต่พอตกกลางคืนก็มักจะกลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋อย่างว่าง่าย

พักรักษาตัวเช่นนี้อยู่หกเจ็ดวัน ในที่สุดรอยช้ำบนคอของมันก็หายสนิท เพียงแต่ขนปุกปุยที่หายไปทำให้ดูคล้ายกับว่าหัวกับตัวหลุดออกจากกันแล้วประกอบขึ้นใหม่ ดูแล้วน่ารักน่าชังยิ่งนัก

สารทฤดูค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามา ไอเย็นเหน็บหนาวเสียดกระดูก เมิ่งซังอวี๋กังวลว่าพออาเป่าไม่มีขนแล้วจะไม่สบาย ยามว่างจึงถักผ้าพันคอผืนน้อยและเสื้อผ้าฝ้ายตัวเล็กไว้หลายตัว เตรียมสวมใส่ให้อาเป่าเพื่อดูว่าพอดีกับตัวหรือไม่ แต่ไม่คาดคิดว่าอาเป่ากลับไม่รับน้ำใจ ครั้นเพิ่งจะสวมอุ้งเท้าได้ข้างหนึ่งก็เริ่มดิ้นหนีอย่างรุนแรง สลัดจนผ้าพันคอและเสื้อผ้าฝ้ายกระจัดกระจาย แถมยังมีชิ้นหนึ่งถูกเล็บของมันข่วนจนเส้นด้ายหลุดออกมาจนขาดกระจุยกระจาย

แม่นมเฝิงยกมือทำท่าจะตีอาเป่าที่ไม่เชื่อฟัง แต่มันกลับนั่งนิ่งอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ ท่าทางไม่กลัวเกรงเพราะมีคนคอยส่งเสริมให้ท้าย

แล้วก็เป็นดังคาด เมิ่งซังอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นรีบร้อนดึงแม่นมเฝิงเอาไว้ โบกมือพลางกล่าว “ช่างเถอะ ขาดแล้วก็ขาดไป ประเดี๋ยวข้าปะชุนใหม่ก็ใช้ได้แล้ว”

อาเป่าก้มหน้า แอบซ่อนความลำพองใจในดวงตา

“แต่เต๋อเฟยเพคะ แม้กระทั่งฝ่าบาทก็ยังมิเคยสวมอาภรณ์ที่พระองค์ตัดเย็บด้วยพระองค์เองมาก่อนเลยนะเพคะ! เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้อยู่ท่ามกลางวาสนาแต่ไม่รู้จักวาสนาจริงๆ” แม่นมเฝิงยังคงหงุดหงิดโมโหไม่หาย

ความลำพองใจในดวงตาของอาเป่าหายวับไปในทันใด หว่างคิ้วขมวดมุ่นเป็นเส้น รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากไม่ได้ยินเขาก็มิทันคิด เป็นความจริงที่ว่าเขาไม่เคยสวมใส่อาภรณ์ที่เต๋อเฟยตัดเย็บเองมาก่อนเลย

ปี้สุ่ยเก็บเสื้อผ้าฝ้ายตัวน้อยที่ร่วงหล่นกระจัดกระจายขึ้นมา เอ่ยคาดเดาว่า “เต๋อเฟยเพคะ พออาเป่าสวมชุดแล้วคงจะรู้สึกไม่คุ้นชินกระมัง หม่อมฉันคิดว่าหากใส่แล้วแม้แต่เดินมันก็ยังเดินไม่ได้ เสื้อผ้าฝ้ายนี้ขาดไปแล้วก็ช่างเถอะเพคะ ถึงพระองค์จะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงปะซ่อมมันก็คงไม่ยอมใส่อยู่ดี”

“น่าเสียดายจริงๆ หม่อมฉันอยากเห็นตอนที่อาเป่าสวมเสื้อผ้าพวกนี้ยิ่งนัก จะต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยเพคะ ฝีพระหัตถ์ของเต๋อเฟยเป็นเลิศจริงๆ หูกระต่ายคู่นี้ทำได้เหมือนของจริงไม่มีผิดเพี้ยน พออาเป่าสวมมันก็กลายร่างเป็นกระต่ายน้อยได้เลย” อิ๋นชุ่ยหยิบชุดคลุมตัวน้อยขนหนานุ่มขึ้นมาเล่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย

เมิ่งซังอวี๋ถลึงตามองตัวก่อกวนที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนตนแวบหนึ่ง จิ้มศีรษะของมันพลางกล่าว “วางใจเถอะอิ๋นชุ่ย เจ้าจะได้เห็นอาเป่าของพวกเราแปลงกายแน่นอน อาภรณ์พวกนี้ต่อให้มันไม่อยากใส่ก็ต้องใส่ ไม่ใช่แค่เพื่อให้น่ามอง แต่เพื่อสุขภาพของมันด้วย ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกทั้งมันยังถูกตัดขนรอบคอออกไปอีก หากไม่สวมเสื้อผ้าเพื่อให้ความอบอุ่นก็จะป่วยเอาได้ มิหนำซ้ำมันยังชอบเล่นสนุกเป็นที่สุด วิ่งวุ่นทั้งวัน ตอนนี้มันยังเล็กอยู่ ไม่สามารถอาบน้ำให้ได้ ถ้าสวมเสื้อผ้าไว้จะช่วยรักษาความสะอาดของขนได้ ป้องกันไม่ให้ถูกเห็บมันกัดเอา มีประโยชน์มากมาย ตอนนี้ปล่อยให้มันมีอิสระไปสักสองสามวันก่อน พอหลังจากอากาศหนาวขึ้นอีก ยามพวกเจ้าพามันออกไปเล่น จำไว้ให้ดีว่าต้องใส่เสื้อผ้าให้ด้วย”

เหล่านางกำนัลขานรับอย่างพร้อมเพรียง

ที่แท้หาใช่เพราะแกล้งให้เราทุกข์ทรมาน แต่เป็นเพราะห่วงใย? บางทีหากครั้งหน้าอารมณ์ดีเราอาจจะยอมใส่ก็ได้ กู่เซ่าเจ๋อนิ่งงัน ลอบครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

เมิ่งซังอวี๋เห็นว่าพอตนพูดจบอาเป่าก็ถูไถไปมาในอ้อมกอดนางอย่างรักใคร่ หางน้อยๆ สะบัดไปมา ท่าทางดูมีความสุขอย่างยิ่ง จึงอดตื่นตะลึงเล็กน้อยมิได้ หรือว่าอาเป่าจะเข้าใจคำพูดของข้า? นางยกชูมันไว้ตรงหน้า สบกับดวงตาใสกระจ่างของมัน ในใจสั่นไหวน้อยๆ

“อาเป่า พวกเรามาเล่นอะไรกันเถิด” นางวางมันลงแล้วหยิบลูกหนังผ้าปักลูกเล็กๆ ออกมาจากกล่องอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย แกว่งไปมาพลางเอ่ย “เห็นลูกหนังผ้าปักลูกนี้หรือไม่ พอข้าโยนมันออกไป เจ้าก็ไปเก็บกลับมาให้ข้า เข้าใจหรือไม่”

เมื่อเห็นอาเป่าเงยหน้า แววตาที่มองมาจดจ่อแน่วแน่อย่างยิ่ง เมิ่งซังอวี๋ก็หัวเราะเบาๆ แล้วโยนลูกหนังผ้าปักออกไปไกลลิบ ปากก็ตะโกนร้องด้วยความเบิกบานใจ “อาเป่าเด็กดี รีบไปเก็บมาสิ หากเก็บมาได้ข้าจะให้เจ้ากินขนมวุ้นนมหนึ่งชิ้นเป็นรางวัล”

เราน่ะหรือจะอยากกินขนมวุ้นนมของเจ้าถึงเพียงนั้น? เห็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งอย่างเราเป็นตัวอะไร กระไอสีดำผุดพรายขึ้นทั่วทั้งร่างของกู่เซ่าเจ๋อ เขานั่งตัวแข็งอยู่บนพื้น ท่าทางราวกับว่าแม้มีลมแปดทิศพัดมาก็ไม่สะท้านสะเทือน

เขาไม่ยอมให้ตนถูกสตรีผู้นี้สั่งสอนจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปจริงๆ เด็ดขาด!

“อาเป่า ไปสิ!” รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งซังอวี๋ชะงักค้าง เห็นได้ชัดว่าปฏิกิริยาของอาเป่ามิได้อยู่ในการคาดการณ์ของนาง

อาเป่ายังคงไม่ขยับเขยื้อน

เมิ่งซังอวี๋จิ้มก้นหนั่นแน่นของมัน เพื่อกระตุ้นอีกครั้ง

คราวนี้อาเป่าขยับแล้ว มันเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปสองก้าว เปลี่ยนที่แล้วนั่งลงเงียบๆ อีกครั้ง

เมิ่งซังอวี๋เหนื่อยใจ นางมีความรู้สึกว่าแววตาของอาเป่าที่เหลือบมองมาเมื่อครู่แฝงไว้ด้วยอำนาจเผด็จการอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับกำลังถอนใจด้วยท่าทีดูถูกว่านางเป็นมนุษย์ที่โง่เขลา!

ภาพจินตนาการนี้ช่างเกินขอบเขตจริงๆ ต้องเป็นเพราะนางคิดมากเกินไปแน่ๆ! เมิ่งซังอวี๋ส่ายศีรษะ วิ่งไปเก็บลูกหนังผ้าปักกลับมาด้วยตัวเอง

แม่นมเฝิงทนดูบทบาทซึ่งสลับกันของผู้เป็นนายและสัตว์เลี้ยงต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่พอใจ “อาเป่า เจ้านี่เป็นหมาตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ วิ่งเล่นไม่เห็นเงาตลอดทั้งวัน เรียกก็ไม่ได้ยิน อุ้มก็ไม่ยอมให้อุ้ม ซ้ำยังไม่ยอมเล่นเป็นเพื่อนเต๋อเฟยอีก สัตว์เดรัจฉานไร้ประโยชน์พรรค์นี้จะเลี้ยงไว้ทำไมอีก น่าจะส่งกลับโรงเลี้ยงสัตว์ไปเสีย”

แผ่นหลังหยิ่งยโสของอาเป่าแข็งชะงัก อยากหันไปดูปฏิกิริยาของเมิ่งซังอวี๋แต่ก็ทนนั่งนิ่งเอาไว้ เขาไม่ยอมรับเด็ดขาดว่ายามนี้รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก

“จริงๆ แล้วอาเป่าเป็นเด็กดีมาก ข้าเรียกมันก็ตอบสนองทุกครั้ง ข้าอุ้มมันก็ไม่ได้ดิ้นหนี ดีกว่าตอนที่เพิ่งมามากนัก มันแค่ไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้าเท่านั้นเอง ความซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง มิหนำซ้ำอาเป่ายังรักสะอาด ยามกินอาหารก็ไม่เคยทำให้โต๊ะสกปรก และไม่เคยถ่ายหนักถ่ายเบาไปทั่ว เป็นลูกสุนัขที่รู้ความมากที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”

จากนั้นนางก็โบกมืออย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก เพื่อพิสูจน์วาจาของตนเอง นางจึงคีบขนมวุ้นนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับกวักมือเรียกอาเป่า “อาเป่ามานี่เร็ว กินขนมกัน”

กู่เซ่าเจ๋อนั่งนิ่ง แต่ในที่สุดก็เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า คาบขนมวุ้นนมจากในมือเมิ่งซังอวี๋งับกินทีละคำเล็กๆ เขาจำเป็นต้องสละทิฐิของตนทิ้งเพื่อไม่ให้ถูกส่งกลับไปยังสถานที่เช่นโรงเลี้ยงสัตว์ ทว่าหางที่ส่ายน้อยๆ กลับแสดงให้เห็นว่าเขามิได้กล้ำกลืนฝืนใจอย่างที่ตนคิด

แม่นมเฝิงจนปัญญา เพียงกล่าวดุๆ ว่า “เกิดมาอัปลักษณ์แถมสีขนก็น่าเกลียด หม่อมฉันมองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าเดรัจฉานตัวน้อยนี้มีดีตรงไหน แต่หากเต๋อเฟยทรงชอบก็เอาเถิด”

แม่นมเฝิงมิได้สังเกตเลยว่าอาเป่าซึ่งกำลังกินขนมวุ้นนมอยู่พลันเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ในแววตาเจือด้วยไอสังหารหลายส่วน

เมิ่งซังอวี๋เตรียมจะดื่มชา พอได้ยินคำต่อว่าของแม่นมเฝิงก็วางถ้วยชาลงทันใด กล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม่นม ต่อไปเจ้าอย่าได้เรียกอาเป่าว่าสัตว์เดรัจฉานเด็ดขาด ในสายตาพวกเจ้าอาเป่าอาจจะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง แต่ในสายตาข้า มันเหมือนดั่งสหายและคนในครอบครัว”

แม่นมเฝิงอ้าปากพะงาบๆ เมื่อสบเข้ากับสายตาจริงจังของผู้เป็นนาย สุดท้ายจึงเลือกกลืนคำพูดโต้แย้งลงไป

อาเป่าเก็บสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารแล้วก้มหน้ากินขนมวุ้นนมต่อไป ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าหางของตนสะบัดเร็วกว่าก่อนหน้านี้มาก

 

อากาศในช่วงสารทฤดูมักจะแจ่มใสปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สีทองมิได้ร้อนระอุเช่นคิมหันตฤดู เมื่อสาดส่องลงบนร่างช่างทำให้อบอุ่นแสนสบายเป็นหนักหนา ต้นดอกกุ้ย หลายต้นนอกวังปี้เซียวออกดอกเล็กๆ สีขาวดุจน้ำนมมากมายหลายช่อ สายลมเอื่อยๆ พัดโชยมา ทำให้กลิ่นหอมกรุ่นกำจรไปทั่วทั้งสวน อบอวลจนพาให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มมึนเมา

ใต้ต้นดอกกุ้ย เมิ่งซังอวี๋สวมชุดเกาะอกกระโปรงยาวสีม่วงเข้ม ชุดคลุมตัวนอกเป็นอาภรณ์โปร่งบางสีม่วงอ่อนปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายเงิน ชายแขนเสื้อสะบัดพลิ้ว นอนอาบแสงแดดอยู่บนตั่งอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน

อาเป่าซึ่งขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ นอนคว่ำอยู่บนอกของนาง อุ้งเท้านุ่มนิ่มวางอยู่ที่ร่องอกอันเย้ายวนของนาง ย้ายไปซ้ายที จากนั้นก็ขยับยุกยิกไปขวาที อยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเต๋อเฟยที่ยังไม่ได้แต่งเครื่องประทินโฉมปรากฏอยู่ตรงหน้า สันจมูกของนางตั้งตรง ขนตางอนยาว ผิวพรรณขาวหมดจดเนียนละเอียด ริมฝีปากที่มองสีไม่ออกกลับดูงดงามเป็นพิเศษ รวมถึงกระดูกไหปลาร้าอันเย้ายวนและอกที่อิ่มเอิบ…ทุกที่บนร่างนางล้วนงามงดอย่างพอเหมาะ ดึงดูดสายตาของกู่เซ่าเจ๋อครั้งแล้วครั้งเล่า

ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าเต๋อเฟยเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าเต๋อเฟยที่ถอดเครื่องแต่งกายเต็มยศออกจะงามล้ำกว่ายามปกติเป็นร้อยเท่า รูปโฉมเป็นอาวุธที่มีประโยชน์ที่สุดที่จะทำให้สตรีผู้หนึ่งมีที่ยืนในตำหนักในมิใช่หรือ ทว่าเต๋อเฟยผู้นี้คล้ายกับจงใจเก็บงำประกายแสงของตน นางกำลังคิดอะไรกันแน่ กู่เซ่าเจ๋อยิ่งมาก็ยิ่งไม่เข้าใจนาง

“อาเป่านอนไม่หลับหรือ หิวใช่หรือไม่” เมิ่งซังอวี๋ตบก้นของอาเป่าที่ยุกยิกอยู่ในอ้อมอกของตนไม่หยุด

กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงอิ๋งๆ อุ้งเท้าเบนออกจากร่องอกของนาง แต่ผ่านไปครู่เดียวก็วางกลับลงไปใหม่ กดไปมาคล้ายกับไม่ได้ตั้งใจ

“หิวแล้วจริงๆ ด้วย กินขนมเสีย” เมิ่งซังอวี๋ยื่นมือออกไปหยิบขนมอ่อนนิ่มชิ้นหนึ่งจากบนโต๊ะเล็ก จากนั้นก็ค่อยๆ แบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากอาเป่า

กู่เซ่าเจ๋อคาบขนมไว้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว เขาเคยชินกับการให้นางป้อนอาหารเสียแล้ว

เมิ่งซังอวี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าปัดเศษขนมที่เปรอะเปื้อนอยู่บนหนวดของอาเป่า ส่วนตัวเองก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งกันกินเจ้าคำข้าคำ เหนือศีรษะมีเศษกลีบดอกกุ้ยร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง ช่างเป็นภาพที่ดูอบอุ่นและงดงามยิ่ง

เมิ่งซังอวี๋ถูกทัศนียภาพตรงหน้าพาให้จิตใจสั่นไหว นางแบฝ่ามือออก รองรับบุปผาสีขาวดอกน้อยที่ร่วงลงมาเอาไว้ ดวงตาหงส์ที่ทอประกายพร่างพราวค่อยๆ ปิดพริ้มลง คลอท่วงทำนองอันอ่อนหวานและแปลกประหลาดออกมา

ทำนองเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้อง มีเพียงเสียงขับขานสูงๆ ต่ำๆ ก้องกังวานราวกับสายลมและหมอกควัน อีกทั้งยังเลือนรางราวกับเสียงเพลงสวรรค์จากตำหนักจันทราบนชั้นฟ้า ประหนึ่งว่าจะสามารถไหวคลอนได้แม้กระทั่งวิญญาณ…

กู่เซ่าเจ๋อลืมเคี้ยวขนมที่อยู่ในปาก มองดูหญิงสาวที่ดื่มด่ำกับตัวเองอย่างสุขสำราญท่ามกลางดอกไม้ที่ร่วงโรยอย่างเหม่อลอย ทันใดเขาพลันรู้สึกเมามายอยู่เล็กน้อย

บรรดานางกำนัลซึ่งอยู่อีกด้านยังคงก้มหน้ายืนนิ่งเงียบ แต่ดวงตาของทุกคนต่างพร่าเลือน มุมปากยกยิ้ม เห็นได้ชัดว่ากำลังจมดิ่งอยู่ในภาพอันงดงามนี้

“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่บ่าวได้ข่าวมาว่าตอนนี้ฝ่าบาททอดพระเนตรดอกเบญจมาศอยู่ในอุทยานหลวงเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ หลังจากคารวะอย่างรีบร้อนเสร็จก็เอ่ยขึ้น

บรรยากาศล่องลอยราวกับความฝันถูกทำให้แตกออกราวกับฟองอากาศ กู่เซ่าเจ๋อหันศีรษะ เหลือบมองไปยังแม่นมเฝิงด้วยแววตาเจือไอสังหาร บ่าวที่น่ารำคาญผู้นี้ได้รับเลือกมาปรนนิบัติเต๋อเฟยได้อย่างไร รอให้เขากลับสู่ร่างมนุษย์ก่อน เขาจะสั่งย้ายนางไปอยู่โรงซักผ้าทันที!

“อ้อ…” เมิ่งซังอวี๋โยนดอกไม้ในมือทิ้ง ลูบแผ่นหลังอาเป่าแผ่วเบาพร้อมขานรับอย่างคลุมเครือ

“เต๋อเฟยทรงรีบแต่งกายสิเพคะ ป่านนี้วังอื่นคงทราบข่าวแล้ว จะให้พวกนางแย่งโอกาสไปไม่ได้นะเพคะ” แม่นมเฝิงเร่งเร้าไม่หยุดหย่อน

เมิ่งซังอวี๋มิได้ขยับเขยื้อน เพียงถามเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้ฝ่าบาทประทับอยู่กับใคร”

แม่นมเฝิงรายงานเสียงต่ำ “ประทับอยู่กับเหลียงเฟยเพคะ”

“เสิ่นฮุ่ยหรู?” เมิ่งซังอวี๋พึมพำ จากนั้นจึงโบกมือ เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ไป!”

กู่เซ่าเจ๋อที่มองไปยังนางด้วยสายตาเป็นประกายพลันอึ้งไป เขาไม่คาดคิดว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างอดไม่ได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นเพื่อพิสูจน์การคาดเดาของตัวเองจึงรีบร้องหงิงๆ ตะกุยทั้งสี่เท้าอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ไม่หยุด

“เต๋อเฟยทอดพระเนตรสิเพคะ วันนี้อากาศดีถึงเพียงนี้ พระองค์พาอาเป่าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงก็ดีนะเพคะ อาเป่ายังไม่เคยไปอุทยานหลวงเลย!” ครั้นเหลือบเห็นอาเป่าที่กำลังกระสับกระส่าย แม่นมเฝิงจึงเปลี่ยนคำพูดที่เอ่ยโน้มน้าวทันที

เมื่อสบเข้ากับดวงตาเงาวับเปี่ยมล้นไปด้วยความวาดหวังของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็ถอนหายใจเฮือก ออกคำสั่งเสียงต่ำลึก “เช่นนั้นก็ปรนนิบัติข้าแต่งหน้าทำผมเถอะ” นางยืนขึ้น เดินเชิดหน้าเข้าไปในตำหนัก รัศมีดุดันเฉียบขาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเต๋อเฟยปรากฏออกมาในชั่วพริบตา

บรรดานางกำนัลรับคำอย่างพร้อมเพรียง กิ่งเดินกิ่งวิ่งตามหลังนางไป

กู่เซ่าเจ๋อนั่งอยู่หน้าประตูของตำหนักบรรทม แววตาลึกล้ำจ้องมองเงาร่างอันโปร่งบางที่เลือนรางหลังฉากกันลมอย่างแน่วนิ่ง ความรู้สึกของเขาไม่มีทางผิดพลาด ที่แท้เต๋อเฟยไม่ได้รักใคร่แยแสเขาจริงๆ ในใจของนางเขาเทียบกับสุนัขตัวหนึ่งยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความอ่อนโยน น้ำจิตน้ำใจ ความร้อนแรงดุจเปลวเพลิงในวันวานล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำของนาง เมื่อพูดถึงฮ่องเต้กับเหล่าข้ารับใช้ ความหนาวเหน็บเย็นชาในดวงตาของนางถึงกับทำให้เขาตื่นตกใจ

ช่างน่าตายนัก! หรือว่าเรายังดีกับเจ้าไม่พอ? เรามอบตำแหน่งสูงส่งให้ มอบความรักใคร่โปรดปรานให้ มอบอำนาจให้ แต่เจ้ากลับตอบแทนเราเช่นนี้หรือ หากมิใช่เพราะอุบัติเหตุครานี้ เจ้ายังจะหลอกลวงเราไปอีกนานแค่ไหนกัน กู่เซ่าเจ๋อก่นด่าอย่างดุดัน สิ่งที่โหมสาดซัดอยู่ในใจคือเพลิงโทสะ และยังมีความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ด้วย

ขณะที่ความคิดและความรู้สึกของเขากำลังเดือดพล่าน เมิ่งซังอวี๋ก็แต่งกายเสร็จสิ้น เมื่อเดินออกมาจากหลังฉากกั้นกันลมก็ยอบตัวลงอุ้มอาเป่าขึ้น

กู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับคืนมาจึงดิ้นรนขัดขืนสุดแรง

“อาเป่า อย่าทำตัววุ่นวายสิ ข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวนะ” เมิ่งซังอวี๋ตบศีรษะของมันพลางเอ่ยปลอบโยนเสียงแผ่วเบา พูดจบก็จุมพิตที่ข้างๆ ปากของมันอีกด้วย

กลีบปากอ่อนนุ่มเจือด้วยกลิ่นหอมกรุ่นระผ่านปลายจมูกและมุมปาก รสสัมผัสร้อนผะผ่าวเป็นพิเศษ แถมยังทำให้รู้สึกชาวาบน้อยๆ ตามมา กู่เซ่าเจ๋อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็นอนซบอยู่ในอ้อมกอดของนางไม่ขยับเขยื้อนอีก หางปุกปุยส่ายไปมาอย่างไม่อาจควบคุม

ไม่ว่าแต่ก่อนกู่เซ่าเจ๋อจะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้มิดชิดไม่เปิดเผยให้ใครเห็นอย่างไร หรือมีความคิดจิตใจยากจะคาดคะเนเพียงไร แต่หลังจากกลายเป็นสุนัข การปิดบังหลบซ่อนทั้งหมดก็ล้วนเปล่าประโยชน์ หางของสุนัขเชื่อมต่อโดยตรงกับจิตใจมิใช่สมอง ดังนั้นจึงไม่มีการเสแสร้งเหมือนอย่างมนุษย์

เพลิงโทสะของเขาถูกนางปัดเป่าจนมอดดับในพริบตา กู่เซ่าเจ๋อหน้าม่อยเล็กน้อย ยอมจำนนให้นางอุ้มเดินออกไป

ในใจเมิ่งซังอวี๋รู้สึกเอือมระอายิ่ง นางขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เหล่านางสนมเพียรทำทุกวิถีทางเพื่อบุรุษผู้หนึ่ง แก่งแย่งชิงดีกันไปมา นางเหนื่อยล้ามานานแล้ว โชคดีที่ตอนนี้มีอาเป่า วันคืนที่ผ่านมายังนับว่าพอจะทนได้ นางใช้นิ้วลูบก้อนกลมอุ่นๆ ในอ้อมกอด คิ้วจึงค่อยๆ คลายลง เดินไปทางอุทยานหลวงอย่างเชื่องช้า

ข้างศาลาริมน้ำในอุทยานหลวง ดอกเบญจมาศช่อแล้วช่อเล่าแย่งกันผลิบานอวดโฉม ดูแล้วช่างสดใสคึกคักยิ่งนัก แม้จะอยู่ห่างออกไปแต่ก็สามารถได้กลิ่นหอมสดชื่นซึ่งแฝงด้วยกลิ่นขมๆ สิ่งที่ตามมาคือเสียงพิณอันกังวานนุ่มนวล สอดแทรกด้วยเสียงร้องขับขานอันแผ่วเบาน่าหลงใหล นี่เป็นงานเลี้ยงเพื่อการรับชมและรับฟังอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ดีดพิณชมดอกเบญจมาศนี้จะงดงามล้ำเลิศถึงเพียงใด

หลังจากเลี้ยวผ่านภูเขาจำลอง เมิ่งซังอวี๋ก็มองเห็นแต่ไกลว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งเคียงกันอยู่ในศาลารับลม นางเลิกคิ้วพร้อมกับหยุดฝีเท้าลง

ผู้ที่เป็นบุรุษมีรูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองอร่ามก็ยิ่งดูมีอำนาจบารมีข่มขวัญผู้คน เครื่องหน้าอันหล่อเหลาราวกับถูกบรรจงแกะสลักสามารถดึงดูดสตรีทั้งมวลในใต้หล้าได้ เขาก็คือฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจว กู่เซ่าเจ๋อ ปีนี้มีพระชนมพรรษายี่สิบเจ็ดพรรษา เป็นช่วงวัยที่กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู

ตรงข้ามเขามีพิณโบราณวางไว้หนึ่งคัน มือนุ่มอันเรียวยาวขาวหมดจดคู่หนึ่งกำลังลูบไล้พิณ เมื่อไล่สายตาขึ้นไปจากมืองามราวกับหยกสลักก็จะพบหญิงงามในชุดชาววังสีเหลืองนวลสวยสง่ากำลังดีดพิณพลางขับขาน นัยน์ตาใสอ่อนโยนหยาดเยิ้มกระจ่างราวกับสายธารมองสบสายตากับฮ่องเต้ผู้หล่อเหลาเป็นระยะๆ เป็นภาพที่งามล้ำที่สุด ทำให้สนมชายาหลายนางที่นั่งล้อมอยู่อีกด้านกลายเป็นเครื่องประดับไปเสียหมด

“ช่างเหมาะสมราวกับสวรรค์สร้างโดยแท้” เมิ่งซังอวี๋ใช้ปลายนิ้วจัดแต่งขนปุกปุยบนหลังของอาเป่า กล่าวเสียงแผ่วเบาอย่างทอดถอนใจ

“นั่นเป็นเพราะเต๋อเฟยยังเสด็จไม่ถึงอย่างไรเล่าเพคะ หากพระองค์เข้าไปล่ะก็ จะมีที่ให้เหลียงเฟยได้ประจบเอาพระทัยที่ไหนกัน เหลียงเฟยทรงโอ้อวดว่าฝีมือบรรเลงพิณโบราณของตนไม่ธรรมดา ทว่าเทียบฝีมือการขับร้องของพระองค์ไม่ได้ด้วยซ้ำ เต๋อเฟยทรงร้องเพลงถวายฝ่าบาทสักเพลงสิเพคะ หักหน้าเหลียงเฟยเสียเลย” แม่นมเฝิงเอ่ยยุยง

“ข้ามิใช่นักแสดงงิ้วที่เร่ขายศิลปะนะ” ความรังเกียจเดียดฉันท์วูบหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเมิ่งซังอวี๋อย่างรวดเร็ว นางสาวเท้าเดินไปยังศาลารับลม

แม่นมเฝิงหุบปากอย่างหน้าเสีย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้เป็นนายถึงไม่กระตือรือร้นกับการเอาอกเอาใจฮ่องเต้ถึงเพียงนี้ หากผู้เป็นนายตั้งใจล่ะก็ ไม่แน่ว่าป่านนี้คงได้ครองตำแหน่งฮองเฮาไปแล้ว

นางยังคงนึกเสียดาย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเหนื่อยหน่ายใจบนใบหน้าของอิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยแม้แต่น้อย

จิตใจทั้งหมดทั้งมวลของกู่เซ่าเจ๋อถูกชายหญิงในศาลารับลมช่วงชิงไปจนหมดสิ้น เขาตะกุยเท้าทั้งสี่ ดิ้นอย่างรุนแรง ประจวบเหมาะกับที่เมิ่งซังอวี๋เดินเข้ามาใกล้หมายจะย่อตัวถวายบังคม จึงวางอาเป่าลง สะบัดผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับกล่าว “ทรงพระเจริญ”

เมื่อเห็นเต๋อเฟยที่ค่อยๆ เดินนวยนาดเข้ามา บรรดาสนมชายาในศาลารับลมล้วนเผยสีหน้าสนุกสนาน ในกาลก่อนเต๋อเฟยเรียกได้ว่าได้รับความรักใคร่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว ถวายการปรนนิบัติหลายครั้งหลายครา สิ่งที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ล้วนมีเพียงชิ้นเดียวในวังหลวง เมื่อเจอนาง แม้กระทั่งฮองเฮาและหลี่กุ้ยเฟยก็ยังต้องหลบไปยืนด้านข้าง ช่างชวนให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนเสียจริง ทว่าหลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา ความชื่นชอบของพระองค์ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป ผู้ที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าคนแรกมิใช่เต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่กลับเป็นเหลียงเฟยผู้สงบเสงี่ยม นิสัยเย่อหยิ่งปลีกตัว อีกทั้งฮ่องเต้ยังให้เหลียงเฟยคอยถวายการรับใช้อยู่ในห้องทรงพระอักษรติดต่อกันถึงครึ่งเดือน สกุลเสิ่นเองก็ค่อยๆ เป็นที่ไว้วางพระทัยมากขึ้นทุกวัน ความโปรดปรานนี้มีแนวโน้มว่าจะนำหน้าเต๋อเฟยอยู่รางๆ

สนมทั่วทั้งวังที่ได้รับความโปรดปรานเพียงเล็กน้อยมีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยถูกเต๋อเฟยผู้อวดดีเล่นงาน มีเพียงเหลียงเฟยผู้ไม่มีปากมีเสียงผู้นี้ที่ไม่เคยปะทะกับเต๋อเฟยตรงๆ มาก่อน ทว่าครานี้คงมีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว

ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว ทอดพระเนตรเมิ่งซังอวี๋อยู่เป็นนานทว่ามิได้ตรัสอันใด บรรยากาศพลันหยุดชะงักลงชั่วขณะ เสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งอยู่อีกด้านยกมุมปากยิ้ม นัยน์ตาดุจสายธารมีประกายเย้ยหยันและสำราญใจวูบผ่าน

เมิ่งซังอวี๋ตาดูจมูก จมูกดูใจ นำเหล่านางกำนัลคุกเข่าอยู่ที่เดิม ทั้งมิได้เงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าของฮ่องเต้ และมิได้แสดงความไม่พอใจแม้เพียงนิด

อาเป่าทิ้งนางแล้ววิ่งไปหาฮ่องเต้ตั้งนานแล้ว ก้อนกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือถูกคนมองข้ามได้โดยง่าย มันจึงวิ่งมาอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นเล็บมือของคนผู้นั้นปรากฏสีม่วงอ่อนๆ และริมฝีปากขาวซีด นัยน์ตาของกู่เซ่าเจ๋อก็ทอประกายเล็กน้อย ลอบคิดในใจว่าตนเดาได้ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้คือตัวแทน ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้วเช่นนี้คงเป็นเพราะใช้ยาแปลงโฉม

ปัจจุบันในแผ่นดินต้าโจวมียาแปลงโฉมอยู่เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น หลังจากกินลงไปแล้วนวดคลึงผิวหนังบริเวณใบหน้าอย่างถูกวิธีก็จะทำให้หน้าตาแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนได้ ไม่มีช่องโหว่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่ยาชนิดนี้แฝงด้วยพิษร้ายแรง มันจะทำลายอายุขัย อีกทั้งหากยานี้ถูกทำขึ้นและแพร่ออกไป เกรงว่าจะถูกผู้ที่มีเจตนาร้ายนำไปใช้ในทางที่ผิด กู่เซ่าเจ๋อจึงสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ยาเม็ดนี้จึงถูกเก็บรักษาอยู่ในมือของผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ย ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเหยียนจวิ้นเหว่ย

หัวใจที่เครียดเขม็งของกู่เซ่าเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขามองไปทางเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน ดวงหน้างามชดช้อยไร้รอยราคีดวงนี้เคยปรากฏให้เห็นในความฝันไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา เขาอยากจะสาวเท้าวิ่งไปอยู่ข้างกายนาง ทว่าเดินออกไปได้สองก้าวก็นึกถึงเมิ่งซังอวี๋ที่ยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมขึ้นมา จึงหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้

ยามนี้เสิ่นฮุ่ยหรูมองเห็นอาเป่าซึ่งอยู่บนพื้นแล้ว มุมปากของนางยกยิ้มจากนั้นอุ้มมันขึ้นมา

“นี่คือสัตว์เลี้ยงของเต๋อเฟยอย่างนั้นหรือ ไฉนขนบนตัวมันถึงได้แหว่งเป็นวงเช่นนี้เล่า” นางลูบคอที่ว่างเปล่าไร้เส้นขนของอาเป่า ขมวดคิ้วพลางกล่าว

ฮ่องเต้ตรัสเรียกให้เมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เหลือบมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วจึงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรเสิ่นฮุ่ยหรู ในดวงตาซุกซ่อนไว้ด้วยแววรักใคร่จางๆ การปฏิบัติที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนี้ทำให้บรรดาสนมชายาเผยสีหน้าเยาะเย้ยเหยียดหยัน

สงครามยังไม่เริ่มเต๋อเฟยก็ปราชัยไปแล้วกว่าครึ่ง ช่างทำให้หมดสนุกเสียจริง! ดูท่าว่าลมในตำหนักในกำลังจะเปลี่ยนทิศแล้ว

สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋ยังคงราบเรียบเหมือนเคย นางเดินเข้าไปนั่งลงในตำแหน่งที่ต่ำกว่าฮ่องเต้ สบตาเสิ่นฮุ่ยหรูตรงๆ พร้อมกับเอ่ย “หลายวันก่อนถูกกิ่งไม้หนีบเอา ต้องโกนขนให้สะอาดจึงจะทายาได้”

“ถูกกิ่งไม้หนีบอะไรกัน อะไรจะหนีบได้พอเหมาะพอดีถึงเพียงนี้ หากเต๋อเฟยไม่บอก ข้ายังคิดว่ามีใครจิตใจโหดเหี้ยมลงมือกับมันเสียอีก” ในวาจาของเสิ่นฮุ่ยหรูมีความหมายแฝงเป็นนัยๆ

เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มบางๆ ทว่ามิได้พูดตอบ หากสู้รบปรบมือกับเสิ่นฮุ่ยหรูต่อหน้าฮ่องเต้ นางไม่มีวันเอาชนะได้อย่างแน่นอน ฮ่องเต้ทรงอยากจะคิดเช่นไรก็ปล่อยให้พระองค์คิดเช่นนั้น นางไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ชื่อเสียงคือสิ่งใดกัน กินได้อย่างนั้นหรือ

อาเป่านอนฟุบอยู่ในอ้อมกอดของเสิ่นฮุ่ยหรูเงียบๆ เดิมทียังสูดดมกลิ่นหอมบนกายนางอย่างอาลัยรัก จนกระทั่งได้ยินนางพูดกล่าวโทษ เสกสรรปั้นเท็จ ความรู้สึกไม่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นมาในใจ นี่ใช่เสิ่นฮุ่ยหรูที่อ่อนหวานเพียบพร้อมทั้งยังสูงส่งสันโดษของเขาจริงๆ หรือ กู่เซ่าเจ๋อขยับเท้าหน้า คิดจะหนีออกจากอ้อมกอดของนาง

เสิ่นฮุ่ยหรูกลับแอบหุบเล็บทั้งห้าคว้าอุ้งเท้าที่อยู่ไม่สุขของอาเป่าเอาไว้แน่น ปลอกเล็บบนนิ้วเล็กๆ ที่ส่องแสงแวววับจิกเข้าไปที่คางของมันอย่างแรง เพราะเป็นมุมอับจึงไม่มีผู้ใดเห็นการกระทำของนาง

ผิวนุ่มของลูกสุนัขถูกกรีดเป็นแผล หยาดโลหิตสีแดงสดซึมออกมาทันที แต่เป็นเพราะเส้นขนสีน้ำตาลเข้มของมันจึงทำให้มองไม่เห็น อาเป่าร้องด้วยความเจ็บปวด ข่วนเสิ่นฮุ่ยหรูด้วยสัญชาตญาณเข้าหนึ่งที

เสิ่นฮุ่ยหรูหวีดร้อง โยนอาเป่าออกไปไกลทันที

ฮ่องเต้และเมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งเข้าไปประคองเสิ่นฮุ่ยหรู อีกคนหนึ่งวิ่งไปหาอาเป่าที่ร่วงคะมำลงบนพื้นอย่างแรง

“ชายารัก เป็นอะไรหรือไม่” ฮ่องเต้ทรงโอบไหล่ของเสิ่นฮุ่ยหรู น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนพระทัย

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าที่ร่วงกระแทกพื้นจนมึนหัวตาลายเข้าสู่อ้อมอกเบาๆ ใบหน้าที่สงบเรียบเฉยเสมอมาปรากฏสีหน้ากราดเกรี้ยวเป็นครั้งแรก “เหลียงเฟย เจ้าเป็นอะไรของเจ้า!” นางไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะประทับอยู่ที่นี่ด้วย น้ำเสียงเต็มไปด้วยการซักไซ้คาดคั้น ถึงแม้จะมีลำดับขั้นเดียวกัน แต่เต๋อเฟย เสียนเฟย เหลียงเฟย และซูเฟย อย่างไรเต๋อเฟยก็เป็นลำดับแรกในสี่ราชชายา ตำแหน่งของนางยังสูงกว่าเหลียงเฟยอยู่ครึ่งขั้น จึงมีสิทธิ์คาดคั้นถามอีกฝ่าย

เหล่าสนมชายาซึ่งคอยดูละครอยู่อีกด้านดวงตาพลันสว่างวาบ บุคลิกดุดันวางอำนาจเช่นนี้ถึงจะเป็นเต๋อเฟย! พวกนางยังหลงนึกว่าเต๋อเฟยเปลี่ยนแปลงนิสัยแล้วเสียอีก!

“ฝ่าบาทเพคะ เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้มันข่วนหม่อมฉัน!” เสิ่นฮุ่ยหรูไม่ได้สนใจเมิ่งซังอวี๋ กุมหลังมือของตนไว้พร้อมกับเอ่ยฟ้องด้วยน้ำตาที่ไหลริน

ฮ่องเต้ทรงประคองมือขวาของเสิ่นฮุ่ยหรูอย่างระมัดระวัง เมื่อทอดพระเนตรเห็นรอยแผลสีแดงรอยหนึ่งบนหลังมือ พระพักตร์หล่อเหลาเหนือสามัญก็ปรากฏความโกรธกริ้วออกมาหลายส่วน “เต๋อเฟย สัตว์เดรัจฉานที่ยังไม่สั่งสอนให้เชื่องเช่นนี้ เจ้าก็กล้าพามาอยู่ต่อหน้าเราตามใจชอบ เจ้ารู้ความผิดตนหรือไม่”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ขอฝ่าบาททรงลงอาญา” เมื่อเห็นอาเป่าลืมตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมทั้งมุดคอเสื้อนางพลางร้องครวญคราง สติสัมปชัญญะของเมิ่งซังอวี๋จึงกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นางขานรับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอนนี้นางไม่มีเวลามาพูดพร่ำกับฮ่องเต้ อาการบาดเจ็บของอาเป่าสำคัญกว่า

“เช่นนั้นเจ้าก็นำสัตว์เดรัจฉานตัวนี้กลับไปเสีย สั่งสอนมันให้ดีได้เมื่อไรตอนนั้นค่อยออกมา” ฮ่องเต้สะบัดชายแขนฉลองพระองค์ พระพักตร์เต็มไปด้วยความรำคาญ

นี่เป็นการกักบริเวณกลายๆ ทั้งยังไม่มีกำหนดอีกด้วย ในใจของเมิ่งซังอวี๋เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง นางเดินจากไปท่ามกลางสายตายินดีในหายนะของผู้อื่นของบรรดาสนมชายาทั้งหลาย

เสิ่นฮุ่ยหรูลูบรอยแผลสีแดงบนหลังมือขวา พยักหน้าให้ฮ่องเต้เล็กน้อยจนเกือบจะมองไม่เห็น

หากถามว่าในวังหลวงนี้สตรีที่นางเกลียดชังที่สุดคือผู้ใด ผู้นั้นมิใช่ฮองเฮา มิใช่หลี่กุ้ยเฟย แต่เป็นเมิ่งซังอวี๋อย่างแน่นอนที่สุด ทั้งๆ ที่ตนเป็นสนมที่ฮ่องเต้รักใคร่โปรดปรานที่สุด แต่กลับต้องอยู่ในวังจงชุ่ยอย่างเงียบเชียบสงบเสงี่ยม ได้แต่มองดูเมิ่งซังอวี๋แย่งชิงเกียรติยศ ตำแหน่ง และอำนาจที่ควรจะเป็นของตนไปต่อหน้าต่อตา เมิ่งซังอวี๋อาศัยสิ่งใดกัน มีสิทธิ์อันใดกัน ฮ่องเต้ตรัสว่าทุกสิ่งอย่างล้วนทำไปเพื่อตัวนาง แต่นางได้มีชีวิตที่ดีแล้วจริงๆ หรือ เสิ่นฮุ่ยหรูมักจะเกิดคำถามเช่นนี้ขึ้นในใจทุกคราที่เห็นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งฮึกเหิมวางอำนาจบาตรใหญ่

ทว่าต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน นางก็จะไม่ลงมือกับเมิ่งซังอวี๋เป็นอันขาด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ฮ่องเต้รักก็คือความอ่อนหวาน สูงส่ง และสะอาดบริสุทธิ์ของตน ยิ่งเมิ่งซังอวี๋กำเริบเหิมเกริม ความรู้สึกผิดและความสงสารที่ฮ่องเต้มีให้ตนก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น ดังนั้นนางจึงได้แต่อดทน ซุ่มสังเกตอยู่ในวังจงชุ่ยอย่างเงียบเชียบ

แต่ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงสลบไสลไม่ฟื้นเสียแล้ว ความอดทนของนางก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นเดียวกัน

เสิ่นฮุ่ยหรูส่งสายตาให้ฮ่องเต้ พระองค์ทรงเข้าพระทัยได้ในทันใด จึงใช้ข้ออ้างว่ายังต้องชำระสะสางพระราชกิจ แล้วเสด็จกลับยังวังเฉียนชิงไป ทิ้งให้เสิ่นฮุ่ยหรูเผชิญหน้ากับเหล่าสนมชายาที่จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด

วันนี้เป็นแค่บททดสอบที่เสิ่นฮุ่ยหรูจัดขึ้นเพื่อฮ่องเต้พระองค์นี้ หากจะแสดงละครตบตาเป็นกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้อย่างแนบเนียน อันดับแรกก็ต้องหลอกสายตาของเหล่าสนมชายาในตำหนักในให้ได้ก่อน

และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะทำได้ดียิ่งนัก

บทที่ห้า

เบื้องหลังการเป็นที่โปรดปราน

ยามนี้ฮ่องเต้แห่งต้าโจวตัวจริงกำลังอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ หากมิใช่เพราะมีเส้นขนปกคลุมอยู่ ท่าทางอกสั่นขวัญหายของอาเป่าคงทำให้คนรอบข้างสงสัยเป็นแน่

เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มาถึงตอนนี้กู่เซ่าเจ๋อถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าตนถูกเสิ่นฮุ่ยหรูใช้เป็นเครื่องมือโจมตีเต๋อเฟย เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนกับความทรงจำที่ผ่านมาของเขาอยู่บ้าง แม้ว่าเต๋อเฟยจะไม่เคยทำร้ายเสิ่นฮุ่ยหรูมาก่อน แต่การกระแหนะกระแหนทางวาจาย่อมมีบ้าง เสิ่นฮุ่ยหรูมีจิตใจสูงส่ง แต่ไรมาไม่เคยเหยียดหยันคิดเล็กคิดน้อย เพราะความใจกว้างเช่นนี้ของนางทำให้เขายิ่งทวีความรู้สึกผิดมากขึ้น

ทว่าการกระทำของเสิ่นฮุ่ยหรูในวันนี้กลับปัดเป่าความรู้สึกผิดในใจของเขาให้หายไปกว่าครึ่ง ที่แท้นางก็พูดจาแฝงความนัยเสียดสีเป็น กล่าววาจาใส่ร้ายสาดโคลนเป็น พูดกลับขาวให้เป็นดำเป็น ยิ่งกว่านั้นยังให้ร้ายผู้อื่นโดยไม่เลือกวิธีการเป็นเช่นกัน ไม่มีอันใดแตกต่างกับนางสนมคนอื่นๆ หากเป็นเมื่อก่อนยามเขาเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูมีความสามารถในการปกป้องตัวเองคงจะรู้สึกชื่นชม แต่บัดนี้ผู้ที่ถูกทำร้ายกลับกลายเป็นตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางบังเกิดความรู้สึกในทางดีได้

ครั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ลามมาจากคาง หว่างคิ้วของกู่เซ่าเจ๋อก็ขมวดมุ่น ทั้งยังนึกถึงที่ฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นเอ่ยคำหนึ่งก็ ‘เรา’ สองคำก็ ‘เรา’ แล้วยังสั่งลงโทษกักบริเวณเต๋อเฟย ความรู้สึกไม่สบายใจก็แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงโทสะที่ลุกโชนอย่างรวดเร็ว เป็นแค่ตัวปลอมแต่ถึงกับกล้าแตะต้องผู้หญิงของเรา รอให้เรากลับคืนร่างได้เมื่อไรก็จะเป็นวันตายของเจ้า!

กู่เซ่าเจ๋อที่มีเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้ามองข้ามภาพฉากที่ฮ่องเต้ตัวปลอมโอบกอดเสิ่นฮุ่ยหรูไปอย่างเห็นได้ชัด ตาชั่งในใจของเขากำลังเอนเอียงไปหาผู้เป็นเจ้านายของอาเป่าทีละนิดทีละน้อย ทว่าเขากลับไม่รู้ตัวเลย

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่ากลับวังปี้เซียวด้วยใจที่ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ยังไม่ทันเดินเข้าประตูก็เร่งเร้าให้นางกำนัลไปเรียกตัวหมอหลวงที่สำนักแพทย์หลวงมาไม่ขาดปาก

“เต๋อเฟยเพคะ แค่ตกกระแทกพื้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้เลยนะเพคะ เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งรับสั่งกักบริเวณพระองค์เพราะอาเป่า หากตอนนี้ทรงเรียกหมอหลวงเพื่ออาเป่า หากฝ่าบาททรงทราบเข้าจะไม่พอพระทัยเอานะเพคะ” แม่นมเฝิงเอ่ยห้ามปราบอย่างเป็นกังวล

“อาเป่ายังเล็ก ถูกเหลียงเฟยโยนลงพื้นเช่นนั้นเกรงว่าจะช้ำในได้ ให้หมอหลวงมาดูอาการก่อนข้าถึงจะวางใจ อย่างไรเสียก็ทรงรับสั่งกักบริเวณไปแล้ว ฝ่าบาทไม่พอพระทัยก็ช่างปะไร” เมิ่งซังอวี๋ลูบคลำร่างของอาเป่าอย่างระมัดระวัง คิ้วงามที่ขมวดแน่นเผยให้เห็นถึงความรักใคร่สงสาร

เมื่อสบกับดวงตาหงส์ที่วาววับดุจสายธารคู่นี้ จิตใจอันสับสนวุ่นวายของกู่เซ่าเจ๋อก็ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย ความรู้สึกด้านลบที่ล้นปริ่มในหัวใจถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น เขาขดตัวเข้าสู่อ้อมกอดอันหอมกรุ่นนุ่มละมุนของนาง ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกสบายใจและอบอุ่นหาใดเปรียบในตอนนี้เรียกว่า ‘การบำบัดเยียวยา’

 

ยังคงเป็นหมอหลวงคนเดิมที่มาเมื่อครั้งที่แล้ว เขาถวายบังคมอย่างรีบร้อนแล้วเข้าไปตรวจรักษาอาเป่าที่นอนอยู่บนตั่งนุ่ม ได้รับบาดเจ็บไม่เว้นแต่ละวัน ช่างเป็นลูกสุนัขที่โชคชะตาอาภัพเสียจริง! หมอหลวงเวินทอดถอนใจ ตรวจดูอาการอย่างละเอียดลออมากขึ้น

“ทูลเต๋อเฟย อาเป่ามิได้บาดเจ็บภายใน ทว่าตรงคางถูกของมีคมกรีดเป็นแผลยาวครึ่งชุ่น หากทายารักษาบาดแผลสักเล็กน้อย ห้าหกวันก็หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเวินค้อมกายรายงาน

“อะไรนะ คางถูกกรีดเป็นแผล?” เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว น้ำเสียงทั้งตื่นตกใจทั้งโกรธกริ้ว รอจนหมอหลวงเวินใส่ยาให้อาเป่าเสร็จสิ้นแล้วนางก็มองดูคอของอาเป่าที่เส้นขนขาดแหว่งเป็นหย่อมๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจอย่างเหลือแสน นางจุมพิตศีรษะของอาเป่าติดๆ กันหลายครั้งพลางเอ่ยพึมพำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาเป่าไม่ทำร้ายคนโดยไม่มีสาเหตุ ที่แท้เป็นเพราะเหลียงเฟยแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม! น่าชังนัก!”

หลังจากสบถด่าเสร็จสิ้นนางก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ บนใบหน้าจึงปรากฏสีหน้าอับจนเล็กน้อย หากเป็นผู้อื่น นางคงต้องทวงความยุติธรรมคืนให้อาเป่าเป็นแน่ แต่อีกฝ่ายเป็นเสิ่นฮุ่ยหรู นางก็จนปัญญาจริงๆ

“ปกติเหลียงเฟยทรงไม่มีปากมีเสียง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนเช่นนี้!” แม่นมเฝิงเอ่ยปากอย่างขุ่นข้อง “ที่ผ่านมาเต๋อเฟยมิเคยข้องแวะกับนาง ไฉนนางถึงพุ่งเป้ามาที่พระองค์ได้เล่าเพคะ”

“ที่ผ่านมามิเคยข้องแวะ? เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าครึ่งปีก่อนหน้านี้พี่ชายของข้าทำร้ายพี่ชายร่วมอุทรของเหลียงเฟยจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งใบหน้ายังเสียโฉม ความแค้นนี้ใหญ่หลวงนัก หากนางไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าสิถึงจะแปลก” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ นวดคลึงหว่างคิ้วที่ปวดตุบๆ อันที่จริงเบื้องหลังยังมีสาเหตุอื่นอีก แต่นางไม่สะดวกใจที่จะบอกแม่นมเฝิง เพราะแม่นมเฝิงเก็บความลับไม่อยู่ หากให้รู้มากเกินไปคงไม่ดีนัก

ที่แท้ยังมีมูลเหตุนี้อยู่ด้วย เราก็เกือบจะลืมไปแล้วเช่นกัน! เมื่อเห็นเมิ่งซังอวี๋เผยสีหน้าเหนื่อยล้า กู่เซ่าเจ๋อก็พลันบังเกิดความรู้สึกชิงชังต่อพี่ชายผู้ไม่เอาไหนของนางผู้นั้น

เมิ่งซังอวี๋วางมือที่นวดคลึงหว่างคิ้วลง กล่าวเสริมด้วยความไม่วางใจ “ตอนนี้ราชครูเสิ่นกลับสู่ราชสำนักอีกครั้ง กุมอำนาจไว้ในมือ พวกเจ้าทุกคนต้องอยู่ให้ไกลจากเหลียงเฟยเอาไว้ ห้ามกระทบกระทั่งกับนางเป็นอันขาด”

เมื่อพูดถึงพี่ชายจอมเหลาะแหละของผู้เป็นนาย แม่นมเฝิงก็รู้สึกจนใจเช่นเดียวกัน นางถอนหายใจเฮือก กล่าวเสียงต่ำ “ปีนั้นที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น ราชครูเสิ่นเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบมากที่สุด ทุกคนล้วนคิดว่าสกุลเสิ่นต้องก้าวหน้าเป็นแน่ ทว่าราชครูเสิ่นกลับยื่นหนังสือกราบทูลขอลาออกจากหน้าที่ราชการทั้งมวล คนที่ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญเช่นเขาเหตุใดจู่ๆ ถึงกลับมายังราชสำนักเล่าเพคะ”

“ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังพักรักษาพระวรกาย ไม่มีผู้ใดที่ไว้พระทัยได้ เขาย่อมต้องกลับมา ยิ่งกว่านั้นต่อให้ไม่กลับมาครั้งนี้ แต่เขาก็จะหาโอกาสอื่นกลับมากุมอำนาจจนได้ แม่นมเฝิง เจ้าคิดว่าราชครูเสิ่นเป็นคนที่มีความประพฤติสูงส่ง ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญเช่นนั้นหรือ ผิดแล้ว ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักนี้ ถ้ากล่าวถึงเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ผู้ใดจะเอาชนะเขาได้”

กู่เซ่าเจ๋อลืมตาขึ้นทันใด มองไปทางนางด้วยสายตาวาววับ เขาอยากรู้ว่าเมิ่งซังอวี๋จะพูดถึงราชครูเสิ่นผู้ซื่อสัตย์ภักดี ไม่ใฝ่ใจหาอำนาจผู้นี้อย่างไร

เมิ่งซังอวี๋ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาเร่าร้อนของอาเป่า นางกล่าววาจาต่อไป “ไม่สนใจลาภยศสรรเสริญ ดื่มด่ำหลงใหลในภูผาและธารา นี่เป็นแค่แผนการถอยเพื่อรุกของราชครูเสิ่นเท่านั้น หากปีนั้นเขาไม่ชิงเกษียณอายุเสียก่อนกำหนด อำนาจบารมีของราชครูเสิ่นต้องเหนือกว่าครอบครัวฝั่งมารดาของฮองเฮาเป็นแน่ คงจะโผทะยานกลายเป็นสกุลอันดับหนึ่งในแผ่นดินต้าโจว แต่เจ้าลองคิดดูสิว่าอดีตสกุลอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าโจวอย่างสกุลของฮองเฮามีจุดจบเช่นไร มิใช่เพราะมีคุณงามความดีสะท้านสะเทือนบัลลังก์หรอกหรือ ถึงได้ถูกฝ่าบาททรงกำจัดเพราะความหวาดระแวงและตกต่ำจนไม่อาจฟื้นตัวได้เช่นนี้

ราชครูเสิ่นคาดเดาพระทัยของฝ่าบาทได้อย่างแม่นยำตั้งแต่แรก จึงใช้อำนาจแลกความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทและเพื่อปูทางเจริญก้าวหน้าให้แก่คนรุ่นหลังของสกุลเสิ่น หากพี่ชายของเหลียงเฟยมิได้เสียโฉม หลังการสอบคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็คงจะได้รับตำแหน่งแล้ว ฝ่าบาททรงต้องพระราชทานอนาคตอันดีงามรุ่งโรจน์ให้เขาเพื่อเป็นการชดเชยแก่สกุลเสิ่นเป็นแน่ ความเจริญรุ่งเรืองของสกุลเสิ่นคงมาถึงไม่ช้าก็เร็ว แต่น่าเสียดายที่เขาโชคไม่ดี ต้องมาพบเจอกับพี่ชายของข้าในช่วงสำคัญเช่นนี้ ทั้งยังถูกทำร้ายจนเสียโฉม เส้นทางขุนนางจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่บัดนั้น”

ราชสำนักต้าโจวบัญญัติไว้ว่าผู้ที่ร่างกายมีตำหนิไม่อาจดำรงตำแหน่งขุนนาง ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็มิสามารถทำลายกฎระเบียบตามใจชอบได้

“ชั่วชีวิตนี้สกุลเสิ่นไม่มียอดคนที่ดูมีอนาคตอีกแล้ว หนทางสู่ความรุ่งโรจน์ของสกุลเสิ่นก็ถูกตัดขาดด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์เช่นนี้ราชครูเสิ่นจะยอมรับได้อย่างไร เขาย่อมต้องลงสนามรบด้วยตัวเอง พวกเจ้ามิได้สังเกตหรอกหรือว่าตั้งแต่ครึ่งปีก่อนราชครูเสิ่นก็ไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนไกลๆ อีก เอาแต่พำนักอย่างสงบในเมืองหลวง นอกจากนั้นยังเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าผูกสัมพันธ์กับฝ่าบาทเป็นประจำ เขากำลังปูเส้นทางขุนนางให้ตัวเองใหม่อีกครั้งอย่างไรเล่า เหลียงเฟยเองก็เปลี่ยนท่าทีจากเคยสงบเสงี่ยมอย่างแต่ก่อนกลายเป็นมักจะร้องขอความรักใคร่อยู่บ่อยครั้ง พระโอรสและความโปรดปรานจากฝ่าบาทเป็นความหวังที่จะทำให้สกุลเสิ่นฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจะต้องช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นมาให้ได้อย่างแน่นอน ละครฉากนี้ในวันนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น สกุลเมิ่งกับสกุลเสิ่นผูกความแค้นกันอย่างล้ำลึก ตอนนี้พวกเราต้องรอบคอบระมัดระวัง ไม่อาจทำการผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าทุกคนจำเอาไว้!”

พวกแม่นมเฝิงมีสีหน้าหวั่นเกรง กระวีกระวาดก้มหน้าขานรับ

ส่วนกู่เซ่าเจ๋ออ้าปากค้าง ยากจะปกปิดความตื่นตระหนก ในครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นความจริงที่ราชครูเสิ่นมักจะเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้า ถกเถียงราชกิจกับเขาอยู่เสมอ และเป็นความจริงที่ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเสิ่นฮุ่ยหรูเริ่มมีท่าทีผิดแผกไปจากปกติ อาลัยอาวรณ์เขามากเป็นพิเศษ แต่เพราะความไว้ใจที่มีต่อราชครูเสิ่นและความรักใคร่สงสารที่มีให้เสิ่นฮุ่ยหรู เขาจึงไม่เคยคิดไปในทางอื่น แต่ยามนี้วาจาของเมิ่งซังอวี๋ช่างเฉียบคมเกินไป มีเหตุมีผลมากเกินไป เขาอยากจะโต้แย้งแต่ก็หาคำพูดเหมาะๆ มิได้

เพียงแค่คิดว่าความจงรักภักดีของราชครูเสิ่นและความรักใคร่ของเสิ่นฮุ่ยหรูสอดแทรกไว้ด้วยใจมุ่งหวังในอำนาจบารมีถึงเพียงนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ความตั้งใจที่ว่าจะหาทางติดต่อกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็เริ่มสั่นคลอนด้วยเช่นกัน

ในอกเขาปวดแปลบเป็นระลอก กู่เซ่าเจ๋อไม่มีที่ให้ระบาย จึงหันไปงับปลายนิ้วของเมิ่งซังอวี๋ ใช้ฟันขบกัดอย่างรุนแรง สตรีผู้นี้ฉลาดเกินไป มองทะลุปรุโปร่งเกินไป! เปิดเผยความจริงที่เขาไม่อยากจะครุ่นคิดให้ลึกซึ้งและไม่อยากจะยอมรับออกมาทีละอย่างๆ ช่างน่าชิงชังยิ่งนัก!

เดี๋ยวก่อน! ในเมื่อนางมองสภาพสกุลฝั่งมารดาของฮองเฮา สกุลหลี่ และสกุลเสิ่นได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะมองสภาพของสกุลเมิ่งไม่ออก หรือว่าที่แท้แล้วนางจะเข้าใจหมดทุกอย่าง เพียงแต่ปิดบังซ่อนเอาไว้แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ความโกรธเกรี้ยวและความทุกข์ตรมในใจเขาก็พลันสลายหายไปในทันใด กลับถูกความรู้สึกผิดอันหนักอึ้งเข้ามาแทนที่

ฟันของลูกสุนัขยังขึ้นไม่ครบ ยามกัดคนจึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่ากำลังเล่นสนุกกับตนเสียด้วยซ้ำ ปลายนิ้วจึงเกาลงบนฝ้าที่ลิ้นของมันเบาๆ สองที เอ็ดดุอย่างรักใคร่ “เด็กดื้อ!”

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งกำลังรู้สึกผิดส่ายหางขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ ถึงแม้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ก็สามารถใช้กระบวนท่าเอาใจเจ้านายได้อย่างเต็มที่ เขาได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งลงไปเหยียบบนเส้นทางสุนัขผู้จงรักภักดีอย่างไม่อาจหวนกลับโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ข่าวที่เต๋อเฟยถูกกักบริเวณเพราะสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งแพร่กระจายไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่แอบยินดีในหายนะของเต๋อเฟยอย่างลับๆ อีกทั้งเหลียงเฟยซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นที่สนใจก็พลันกลายเป็นเป้าหมายให้สนมชายาจากวังต่างๆ พากันแย่งประจบประแจง ช่วยไม่ได้ที่ยามนี้ฝ่าบาททรงกำลังพักรักษาพระอาการ จึงมิได้เสด็จประทับตำหนักในเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แม้แต่หลี่กุ้ยเฟยซึ่งนั่งคุกเข่าขอเข้าเฝ้าอยู่นอกวังเฉียนชิง พระองค์ก็มิเคยให้เห็นพระพักตร์ ตอนนี้เหลียงเฟยเป็นสนมเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์พูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากไม่ประจบนางแล้วจะให้ประจบผู้ใด

เป็นที่รักใคร่เพียงหนึ่งไม่มีสอง อยู่ในตำแหน่งสูงส่งเหนือผู้ใด นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่ข้าควรครอบครอง! เสิ่นฮุ่ยหรูหวนรำลึกถึงรสชาติอันน่าอัศจรรย์ของอำนาจบารมีขณะเดินไปในทางใต้ดินเพื่อเข้าไปในห้องลับในวังเฉียนชิง

เพราะมีโอสถเลอค่าเลื่องชื่อมากมายหลายชนิดยื้อชีวิตเอาไว้ กู่เซ่าเจ๋อที่อยู่บนเตียงจึงแค่ผ่ายผอมไปเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบจะไม่รู้สึก ทำให้เมื่อมองไกลๆ แล้วเขาดูเหมือนกับศพร่างหนึ่ง เมื่อมาถึงหน้าเตียง เสิ่นฮุ่ยหรูก็จ้องมองบุรุษที่สลบไสลไม่ได้สติตรงหน้าอย่างนิ่งงัน นางพลันเกิดความคิดว่าหากคนผู้นี้ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดกาลก็คงดี

ในปีที่มีการคัดเลือกสาวงามตอนที่นางอายุสิบหก มารดาได้เสียชีวิตพอดี เพื่อไว้ทุกข์ให้มารดา นางจึงพลาดโอกาสเข้าวัง เมื่อผ่านพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปแล้ว เดิมทีนางสามารถแต่งงานเป็นภรรยาหลวงของเจ้าบ้านสกุลผู้ดีก็ได้ แต่นางกลับปฏิเสธข้อเสนอแนะของบิดา รอคอยให้กู่เซ่าเจ๋อมารับนางเข้าวัง นั่นคือสัญญาตั้งแต่วัยเยาว์ของนางและเขา ปีที่อายุสิบเก้า ในที่สุดการคัดเลือกสาวงามครั้งต่อมาก็มาถึงในที่สุด นางได้มาอยู่ข้างกายเขาดังปรารถนา

แต่ความจริงอันโหดร้ายทารุณจู่โจมนางอย่างรุนแรง นางตื่นขึ้นมาจากภาพฝันลวงตาอันงดงาม ได้แต่มองกู่เซ่าเจ๋อรักใคร่โปรดปรานเต๋อเฟยแต่เพิกเฉยต่อตน มองดูเต๋อเฟยปีนไต่ขึ้นไปทีละก้าวๆ กดหัวนางในทุกๆ ด้าน ส่วนนางทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน แสร้งทำเป็นมีจิตใจกว้างขวาง

กู่เซ่าเจ๋อได้แต่ให้นางอดทนรอคอย ตั้งแต่ตอนอายุสิบหก นางก็รอมาแล้วสามปี พออายุสิบเก้าก็รออีกสามปี นับแล้วนางรอมาทั้งสิ้นหกปีเต็มๆ จะมีสตรีสักกี่คนที่สามารถปล่อยเวลาหกปีให้ผ่านเลยไปเช่นนี้ อีกทั้งเต๋อเฟยผู้ช่วงชิงทุกอย่างไปจากนางยังอยู่ในวัยแรกแย้มดั่งบุปผา ดวงหน้าเรียวงามสะพรั่งเสียยิ่งกว่าดอกบัว พาให้คนไม่อาจถอนสายตา นางมักจะหวาดหวั่นไม่เป็นสุข กลัวแต่ว่ากู่เซ่าเจ๋อจะทนเสน่ห์เย้ายวนไม่ไหว สุดท้ายก็ทิ้งนางไป

ครึ่งปีก่อนพี่ชายของนางถูกเมิ่งเหยียนโจวทำร้ายจนเสียโฉม ทำลายชีวิตทั้งชีวิต แต่กู่เซ่าเจ๋อกลับปล่อยสกุลเมิ่งไปง่ายๆ ยืนยันเด็ดขาดว่ามิให้นางเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ตอนนั้นนางก็รู้สึกได้รางๆ แล้วว่าความอดทนของตนได้ถึงขีดสุดแล้ว

เสิ่นฮุ่ยหรูพลันได้สติกลับมาจากภวังค์ นางใช้สายตาสลับซับซ้อนจ้องไปยังใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อซึ่งกำลังหลับใหลอย่างสงบ สีหน้าของนางผันแปรไม่หยุด ใจเต้นเร็วรัวขึ้นเรื่อยๆ ยืนนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างสั่นเทา บีบจมูกของเขาเบาๆ

ลมหายใจออกของเขาเป่ารดฝ่ามือนาง เนิบนาบและแผ่วเบา แค่ออกแรงเพียงน้อยนิดก็สามารถดับลมหายใจได้อย่างง่ายดาย ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจนางราวกับเป็นเงาตามตัว ไม่อาจสลัดทิ้งออกไปได้ มือนางออกแรงมากขึ้นอีกเล็กน้อย คนใต้ฝ่ามือยังคงหลับตาสนิท ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้เพียงนิด ดวงตาทั้งสองของนางเบิกกว้างจนถึงขีดสุด จ้องใบหน้าของกู่เซ่าเจ๋อตาไม่กะพริบ

เปลวเทียนในห้องไหววูบสองครา เงามืดใต้ขนตาเป็นแพยาวของกู่เซ่าเจ๋อแปรเปลี่ยนรูปร่างท่ามกลางแสงเทียน คล้ายกับกำลังสั่นไหวเบาๆ เสิ่นฮุ่ยหรูถูกภาพลวงตาที่เกิดจากแสงและเงาหลอกตา นางชักมือออกทันใด หอบหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าที่ขาวซีดดูดุร้ายราวกับภูตผี

ข้าเป็นอะไรไป ไฉนข้าถึงอยากสังหารฮ่องเต้ ข้าต้องถูกมนตร์สะกดแน่ๆ! นางกุมอก พยายามกดคลื่นที่โถมกระหน่ำในหัวใจลงไปอย่างสุดชีวิต

ไม่ผิด นางต้องมนตร์สะกดจริงๆ วันคืนกว่าสองพันวันในช่วงเวลาหกปี ความเคียดแค้นและความกล้ำกลืนที่สะสมอยู่ในใจของนางได้ถึงขีดสุดแล้ว หากพบช่องโหว่ก็จะระบายออกมา กัดกร่อนตนจนสิ้น และกัดกร่อนเป้าหมายที่นางโกรธแค้น เดิมทีนางมีนิสัยเย่อหยิ่งทะนงตน คนเช่นนี้หากระเบิดโทสะออกมาจะยิ่งน่ากลัวกว่าปกติ

“คารวะเหลียงเฟย พระองค์ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับเหยียนจวิ้นเหว่ยโผล่มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เพ่งมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของเสิ่นฮุ่ยหรูพลางเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร แค่ผ่านมาเดือนกว่าแล้วแต่ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงฟื้นขึ้นมา ข้าจึงรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยเท่านั้น” เสิ่นฮุ่ยหรูตื่นตระหนก หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นอย่างรุนแรง โชคดีที่นางยั้งมือได้ทันเวลา! ตอนนี้นางนึกเสียใจแล้ว

“โชคดีที่มีเหลียงเฟยทรงคอยดูแลฝ่าบาท พระองค์เองก็เหนื่อยมากแล้ว ทรงรีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เหยียนจวิ้นเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความขอบคุณ

“ต้องเสาะหาหมอชื่อดังทั่วทุกสารทิศเพื่อฝ่าบาท ใต้เท้าเหยียนเองก็ลำบากเช่นกัน ข้าไม่ค่อยสบายตัวนิดหน่อยจริงๆ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทประชวรไปด้วย ต้องรบกวนให้ใต้เท้าเหยียนดูแลแล้ว” เสิ่นฮุ่ยหรูไม่กล้ารั้งรออยู่เป็นนาน ฉวยโอกาสออกไปทันที

รอจนนางจากไป เหยียนจวิ้นเหว่ยจึงค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปข้างกายกู่เซ่าเจ๋อ จ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์จนใจลอย ทันใดนั้นแววตาของเขาก็พลันค้างแข็ง โน้มกายลงไปตรวจดูอย่างละเอียด จนกระทั่งยามยืดกายขึ้นตรง บนใบหน้าเยือกเย็นจึงเผยไอสังหารเข้มข้นออกมา

บนพระนาสิกของฝ่าบาทมีรอยเขียวช้ำอยู่สองสามแห่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการถูกคนใช้นิ้วกดอย่างรุนแรง เป็นผู้ใดกัน ถึงกับอยากจะทำให้ฝ่าบาทหายพระทัยไม่ออกจนสิ้นพระชนม์?

ในสมองของเหยียนจวิ้นเหว่ยพลันปรากฏภาพสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติของเหลียงเฟยขึ้นมาทันที เขาเดินออกไปนอกห้องลับ เอ่ยถามฉางสี่ที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตู “เมื่อครู่นอกจากเหลียงเฟยแล้วยังมีผู้อื่นเข้ามาอีกหรือไม่”

“เรียนใต้เท้าเหยียน ไม่มีขอรับ เหลียงเฟยตรัสว่าอยากอยู่กับฝ่าบาทตามลำพังสักครู่” ฉางสี่เอ่ยตอบอย่างพินอบพิเทา เหยียนจวิ้นเหว่ยมีตำแหน่งสูงส่งเหนือผู้ใด กระไอดุดันแผ่กำจายทั่วทั้งร่าง ทั้งยังสนิทสนมแน่นแฟ้นกับฮ่องเต้ยิ่ง เขาไม่กล้าวางท่าต่อหน้าเหยียนจวิ้นเหว่ยผู้นี้

“นางบอกว่าอยากอยู่กับฝ่าบาทตามลำพัง เจ้าก็เห็นชอบด้วยอย่างนั้นหรือ หากเกิดเรื่องกับฝ่าบาทขึ้น เจ้าจะรับโทษเช่นไร” เหยียนจวิ้นเหว่ยซักถามเสียงเย็น

“นี่…เหลียงเฟยกับฝ่าบาททรงรู้จักรักใคร่กันตั้งแต่เยาว์วัย จะทรงปองร้ายฝ่าบาทได้อย่างไรขอรับ ใต้เท้าเหยียนคิดมากไปแล้ว” ฉางสี่โต้กลับ

“ใจคนเปลี่ยนง่าย ผู้ใดก็มิอาจคาดเดาได้ทั้งนั้น ต่อไปส่งคนมาดูแลฝ่าบาทเพิ่มอีกสักสองสามคน อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด” สุ้มเสียงของเหยียนจวิ้นเหว่ยทุ้มต่ำ เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็มิได้เปิดโปงการกระทำของเหลียงเฟยออกมา ตอนนี้เขายังไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น หากบีบบังคับจนเหลียงเฟยกลายเป็นสุนัขจนตรอกคงไม่ดีแน่

ดีร้ายอย่างไรฉางสี่ก็เป็นหัวหน้าขันทีดูแลวังหลวง แม้แต่สนมชายาตำแหน่งสูงส่งยังต้องคอยดูสีหน้าของเขา ดังนั้นเขาเคยถูกสั่งสอนตักเตือนเช่นนี้เสียที่ไหน แม้ในใจจะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่ด้วยไม่กล้าขัดขืนเทพมรณะองค์นี้ จึงได้แต่จำต้องรับคำ

เมื่อฉางสี่เดินจากไปไกลแล้ว เหยียนจวิ้นเหว่ยก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูห้องลับ ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เหลียงเฟยบังเกิดใจคิดคด ทั้งยังควบคุมฮ่องเต้ตัวปลอมไว้ในมือ ส่วนฉางสี่มีท่าทีว่าจะเข้าเป็นพวกกับเหลียงเฟย ราชครูเสิ่นก็ฉวยโอกาสยึดกุมราชสำนัก หากสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ การปล่อยให้ฝ่าบาทประทับอยู่ในวังหลวงเกรงว่าจะเป็นอันตรายยิ่ง ต้องพาพระองค์ออกไปให้เร็วที่สุด ไปซ่อนยังสถานที่ที่ปลอดภัย หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา เขาซึ่งอยู่ในราชสำนักก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้าเกิดฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นพูดออกมาว่าเขาคิดจะกบฏ ต่อให้มีร้อยปากเขาก็ไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองได้ เหตุการณ์ขโมยมังกรสลับหงส์ ที่ชวนให้ผู้คนตื่นตระหนกเช่นนี้ หากเปิดเผยออกไปแม้เพียงนิดก็มากพอที่จะสั่นคลอนแผ่นดินต้าโจวได้แล้ว หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาพบกับสถานการณ์เช่นนั้น ต่อให้เขาตายเป็นหมื่นครั้งก็ยากจะลบล้างความผิด

พอคิดถึงตรงนี้เหยียนจวิ้นเหว่ยก็เรียกราชองครักษ์ลับหน่วยหนึ่งออกมา ออกคำสั่งให้พวกเขาซ่อนตัวและคอยเฝ้าสังเกตบริเวณโดยรอบห้องลับ อย่าให้เหลียงเฟยและนางกำนัลอยู่กับฮ่องเต้โดยลำพังเด็ดขาด แม้แต่ฉางสี่ที่ดูแลฮ่องเต้มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็ไม่ได้ ส่วนเขาก็ไปตระเตรียมจัดการเรื่องพาฮ่องเต้ออกนอกวัง

 

เวลานี้กู่เซ่าเจ๋อไม่รู้เลยว่าร่างกายของตนได้เลี้ยววนกลับมาจากประตูผีแล้วรอบหนึ่ง เขายังคงดำดิ่งอยู่ในวาจาอันแหลมคมของเมิ่งซังอวี๋จนไม่อาจถอนตัว รู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นกับการตีสองหน้าของราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรู

สตรีสองคนเสแสร้งเช่นเดียวกัน ทว่าความรู้สึกที่เขาได้รับกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับเมิ่งซังอวี๋ เขาเริ่มจากต่อต้านจากนั้นก็กลายเป็นชื่นชม แต่สำหรับเสิ่นฮุ่ยหรู เขากลับไม่รู้ว่าควรจะมองนางอย่างไรดี แต่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือเมล็ดพันธุ์ที่ชื่อว่าความหวาดระแวงค่อยๆ ถูกเพาะลงในใจเขา จากนั้นก็หยั่งรากแตกหน่อออกมาตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นล่วงเลยไป

เมิ่งซังอวี๋ย่อมไม่รู้ว่าตนได้สร้างปัญหาให้กับราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากเอ่ยเตือนคนสนิทของตน นางก็หยิบกล่องเครื่องมือเย็บปักถักร้อยออกมา ตัดเย็บชุดกันหนาวผ้าฝ้ายตัวน้อยให้อาเป่าต่อไป

“คารวะเต๋อเฟย ได้เวลาเสวยโอสถแล้วเพคะ” ไม่นานนักนางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้หนึ่งก็ประคองน้ำแกงยาที่มีควันร้อนฉุยถ้วยหนึ่งเข้ามา

“วางไว้ก่อน รอให้เย็นอีกหน่อยแล้วข้าค่อยดื่ม” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ สีหน้าเรียบเฉยชะงักค้างไปชั่ววูบ

“เต๋อเฟยเสวยตอนร้อนๆ เถอะเพคะ นี่เป็นโอสถที่ฝ่าบาททรงให้ยอดฝีมือด้านโรคสตรีจัดให้ท่านโดยเฉพาะ ตัวยาในนี้ทุกชนิดล้วนหายากมีค่ากว่าพันตำลึงทอง หากเย็นแล้วสรรพคุณของยาจะลดลงนะเพคะ”

เมื่อเห็นถ้วยโอสถ สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงก็แปรเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดาในทันใด เอ่ยปากคุยโว “ต่อให้เหลียงเฟยได้รับความโปรดปรานมากมายเพียงใดก็ยังไม่อาจจะเอาชนะพระองค์ได้กระมัง เพื่อบำรุงร่างกายของพระองค์ให้ทรงตั้งครรภ์พระโอรสโดยเร็ว ฝ่าบาททรงสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจนัก ความรักใคร่เมตตาเช่นนี้ทั่วทั้งวังหามีใครเทียบเทียมได้! ที่เหลียงเฟยได้รับความโปรดปรานเป็นเพราะอาศัยบารมีของราชครูเสิ่น รอให้ท่านกั๋วกงยกทัพกลับราชสำนัก นางก็ดีใจอยู่ได้ไม่นานหรอกเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ…” เมิ่งซังอวี๋ตอบรับอย่างคลุมเครือ แววตาที่มองไปยังถ้วยยาแฝงซ่อนไว้ด้วยแววเยาะหยัน…เยาะหยันตัวเอง

ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยแลกเปลี่ยนสายตาอันมีความหมายลึกลับกันหนึ่งที

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เสวยโอสถ’ สองคำนี้ กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนอนอยู่บนต้นขาของเมิ่งซังอวี๋ก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันที จากนั้นพอฟังคำชื่นชมเกินจริงของแม่นมเฝิงจบ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป ความเป็นมาของยาถ้วยนั้นคืออะไร นอกจากยอดฝีมือด้านโรคสตรีแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ดียิ่งไปกว่าเขา เขากลิ้งตัวยืนขึ้น เท้าหน้าเกาะขอบโต๊ะเอาไว้แล้วย่นจมูกดมกลิ่นยา จากนั้นความรู้สึกผิดก็เกือบจะท่วมท้นเต็มหัวใจ

เมิ่งซังอวี๋เห็นเช่นนั้นจึงรีบอุ้มอาเป่ากลับมา ตีศีรษะมันพร้อมกับสั่งสอน “ยาชนิดนี้มีพิษสามส่วน นี่ไม่ใช่ของดี อาเป่าห้ามแตะมันเด็ดขาด!”

เพื่อป้องกันไม่ให้อาเป่ามีจิตใจอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป แล้วฉวยโอกาสยามที่นางไม่ทันสังเกตแอบเลียกิน เมิ่งซังอวี๋จึงยกถ้วยขึ้นดื่มอึกใหญ่ ยามส่งถ้วยคืนให้นางกำนัลประจำห้องเครื่องในดวงตาก็มีประกายรางเลือนบางอย่างพาดผ่าน รอยยิ้มที่มุมปากแฝงแววเย็นชา

สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ นี้สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อที่กำลังมองเมิ่งซังอวี๋อยู่อย่างใกล้ชิด ทำให้ทั้งร่างแข็งทื่อประดุจถูกอสนีบาตฟาดใส่

นางรู้! รู้หมดทุกอย่างจริงๆ ด้วย ทว่ากลับยอมรับทุกสิ่งโดยไม่ปริปาก! มิน่ายามเอ่ยถึงตัวเรานางถึงได้เย็นชาเฉยเมยถึงเพียงนั้น ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ

ในอกของกู่เซ่าเจ๋อไม่เพียงแต่อึดอัดกลัดกลุ้ม ยังมีความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าอีกด้วย

ทันใดนั้นเขาพลันกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ กลัวว่าจะมองเห็นความอาฆาตแค้นในดวงตาของนาง แต่ขณะเดียวกันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาจะต้องรู้ความคิดความรู้สึกของนางให้ได้ก่อนถึงจะสบายใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ แม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูก็มิอาจเทียบเท่า

“อาเป่าเป็นอะไรไปหรือ มองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” ภาพที่ลูกสุนัขเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย ลูกตาสีดำคล้ายลูกองุ่นใสแป๋วนั้นน่ารักหาใดเปรียบ ทำให้เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มสดใสอย่างอดไม่ไหว

มีการเยาะหยันตัวเอง มีการยอมรับชะตากรรม มีความเบิกบาน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือความอาฆาตพยาบาท! ดีเหลือเกิน! หัวใจที่เสมือนห้อยแขวนอยู่กลางอากาศของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ หล่นลงอย่างช้าๆ แอบลอบยินดีอยู่ในใจ ส่วนยินดีเรื่องอะไรนั้นเขาเองก็ไม่อยากไปครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง

รอให้เรากลับคืนร่างได้เมื่อใด เราจะชดเชยให้เจ้าอย่างดี! เขาแอบสาบานในใจ ร้องครวญเสียงหนึ่งแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ ถูไถตัวกับมืออันอบอุ่นด้วยความอาลัยโหยหายิ่งกว่าสิ่งใด

บทที่หก

ไม่ฝักใฝ่ตำแหน่งฮองเฮา

อาการประชวรของฮ่องเต้ดีขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ใช้สะสางพระราชกิจเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ ทว่าพระองค์ยังมิได้เรียกให้สนมชายาเข้าถวายงาน เพียงแต่รับสั่งให้เหลียงเฟยคอยรับใช้ปรนนิบัติในห้องทรงพระอักษรทุกๆ วันสองวัน ส่วนอำนาจหน้าที่ในราชสำนักของราชครูเสิ่นนับวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที มีแนวโน้มส่อเค้าว่าจะต้องประจันหน้ากับหลี่เซียง

คนมีตาล้วนดูออกทั้งนั้น คราวนี้สกุลเสิ่นกำลังจะโผทะยานขึ้นฟ้า วังจงชุ่ยของเหลียงเฟยคึกคักจอแจราวกับท้องตลาด ผู้นั้นมาผู้นี้ไปตลอดทั้งวัน แตกต่างจากความเงียบเหงาในกาลก่อนโดยสิ้นเชิง

ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋มือหนึ่งอุ้มอาเป่า มือหนึ่งถือบันทึกการเดินทาง นอนเอกเขนกอ่านอยู่บนตั่งนุ่มอย่างเกียจคร้าน แสงอาทิตย์อันอบอุ่นลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง สาดส่องลงบนร่างหนึ่งคนหนึ่งสุนัข อาบร่างของพวกเขาจนเป็นรัศมีสีทองบางๆ หนึ่งชั้น เป็นภาพที่ดูละมุนละไมอย่างบอกไม่ถูก

ลูกสุนัขตัวกลมๆ เท่าฝ่ามือหลับตาพริ้มน้อยๆ นอนซบอยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวอย่างเงียบสงบ เสพสุขกับภูเขาแม่น้ำอันงดงามตระการตา ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านในบันทึกการเดินทางร่วมกันกับนาง จิตใจสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในยามนี้เขาลืมสถานภาพ ลืมหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง เพียงจดจ่ออยู่กับความสงบและอ่อนโยนนี้

“เต๋อเฟยเพคะ พระองค์ทรงอ่านตรงไหนอาเป่าก็อ่านตรงนั้น ทรงพลิกหน้าอาเป่าก็หันหน้าตาม เหมือนว่ามันรู้หนังสือเลยเพคะ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ!” อิ๋นชุ่ยยกชาหนึ่งกาและขนมหนึ่งจานเดินเข้ามา พร้อมเอ่ยอย่างขำขัน

กู่เซ่าเจ๋อตัวแข็งชะงักไป กลัวว่าการแสดงออกอย่างผิดปกติของเขาจะทำให้เมิ่งซังอวี๋บังเกิดความสงสัย หากนางเห็นว่าอาเป่าเป็นภูตผีปีศาจ จุดจบของเขาจะเป็นอย่างไรแค่คิดดูก็รู้แล้ว

“อาเป่าของข้าฉลาดที่สุดอยู่แล้ว คราวนี้แค่อ่านหนังสือเป็นเพื่อน ต่อไปข้าจะสอนให้มันวาดภาพเขียนอักษร ร้องเพลงร่ายรำ แก้โจทย์ปัญหา” เมิ่งซังอวี๋วางบันทึกการเดินทางลง อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วจุมพิตแรงๆ หนึ่งทีพลางประกาศอย่างโอ้อวดลำพองใจ นางไม่รู้ว่าท่าทางเอ็นดูไร้ขีดจำกัด เชื่อมั่นอย่างหน้ามืดตามัวในตอนนี้ได้ประทับลงในหัวใจของกู่เซ่าเจ๋อลึกซึ้งเพียงไร

หางปุกปุยของอาเป่าส่ายไปมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ในทันที

“ลูกสุนัขจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้หรือเพคะ” อิ๋นชุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย

“ได้อย่างแน่นอน” เมิ่งซังอวี๋บีบหางน้อยๆ ของอาเป่า กล่าวอย่างแน่วแน่

นับว่าเจ้ามีตา! นอกจากร้องเพลงร่ายรำแล้ว ยังจะมีอะไรที่เราทำไม่ได้บ้าง กู่เซ่าเจ๋อใช้ฟันงับปลายนิ้วของนาง ลอบครุ่นคิดอย่างเย่อหยิ่ง

“แต่ว่าเรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ สอน ยังไม่ต้องรีบ ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกเราสอนอาเป่าใส่เสื้อผ้าก่อนดีกว่า เจ้าดูคอที่ไม่มีขนของมันสิ หากลมพัดมาจะต้องไม่สบายแน่ๆ ไปหยิบชุดกันหนาวกับผ้าพันคอของอาเป่ามาซิ ข้าจะลองใส่ให้มันดู” เมิ่งซังอวี๋สั่งด้วยอารมณ์คึกคัก

“เพคะ” ดวงตาของอิ๋นชุ่ยเป็นประกายวาบ เดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ของอาเป่าเข้ามาทันที

“อาเป่า ตอนนี้ข้าจะสวมเสื้อผ้าและผ้าพันคอให้เจ้า เจ้าก็เป็นเด็กดีอยู่นิ่งๆ อย่าขยับนะ ประเดี๋ยวจะมีขนมให้กิน ในตำหนักอากาศอบอุ่น หากเจ้าไม่คุ้นพวกเราก็จะไม่ใส่ให้ แต่ตอนออกไปเดินเล่นข้างนอกจำเป็นต้องใส่ ได้ยินหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋หยิบชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อยมา จิ้มจมูกชื้นแฉะของอาเป่าพร้อมกับกำชับกำชาอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว

กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงร้องครวญ อยากจะวิ่งหนีไปแต่สุดท้ายก็นั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋ แสดงท่าทางประหนึ่งว่าปล่อยให้เจ้าจัดการเอาตามสบาย

ช่างเถิด! เป็นเราที่ติดค้างนาง นางอยากจะทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นเถิด! ความจำใจบางเบาลอยวนเวียนอยู่ในหัวใจ ตั้งแต่รู้ว่านางมีสายตาอ่อนโยนกระจ่างแจ้งดุจกระจกใส หัวใจเปราะบางดั่งแก้ว เขาก็ทำใจแข็งกับนางไม่ลง

“อาเป่าเป็นเด็กดีจริงๆ!” เมิ่งซังอวี๋ประหลาดใจ ก้มหน้าลงประทับจุมพิตที่ปลายจมูกของมัน ทำให้หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดฟันเช่นนี้อย่างละเอียดลึกซึ้ง เขาก็ถูกเมิ่งซังอวี๋จับใส่ชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อยที่มีหมวกเย็บติดกัน บนหมวกยังเย็บหูเสือเอาไว้ด้วย เมื่อประกอบเข้ากับศีรษะสุนัขของอาเป่า จะมองอย่างไรก็น่าขบขัน

“คิก…ฮ่าๆๆ…” ในทีแรกนางอยากจะกลั้นหัวเราะ แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าไว้แล้วกลิ้งไปมาบนตั่งนุ่ม ใบหน้าเรียวแดงก่ำ ดวงตาหงส์ทอประกายยิ่งกว่าเดิม สะกดสายตาของกู่เซ่าเจ๋อไว้ได้อย่างสิ้นเชิง “อืม เหมือนยังขาดอะไรไปนิดหน่อย…”

หลังจากกลิ้งไปได้พักหนึ่ง นางก็วางอาเป่าที่เหม่อลอยลงบนโต๊ะเล็กๆ พลางประเมินดู ครั้นเหลือบเห็นแจกันเครื่องเคลือบสีขาวซึ่งตั้งอยู่อีกด้าน ดวงตาก็สว่างวูบทันใด

“เท่านี้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว!” นางตัดดอกชาภูเขา อันสวยสดงดงามดอกหนึ่งมาทัดไว้ข้างหูอาเป่า เมิ่งซังอวี๋บีบอุ้งเท้าน้อยๆ ของมัน แล้วหัวเราะจนล้มกลิ้งลงไปบนตั่งอีกครั้ง

เสียงหัวเราะกังวานใสกระทบจิตใจคนดังสะท้อนไปมาภายในตำหนัก ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน กู่เซ่าเจ๋อมุ่นคิ้ว อยากจะดึงดอกชาภูเขาออกมา แต่พอเห็นดวงหน้ายิ้มแย้มอันงามเลิศล้ำเหนือผู้ใดของเมิ่งซังอวี๋หัวใจเขาก็พลันสั่นไหว สุดท้ายจึงวางอุ้งเท้าลง ลอบคิดในใจว่าตามใจนางก็แล้วกัน ยากที่จะได้เห็นนางหัวเราะอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้

สำหรับเต๋อเฟย เขาตามใจนางจนแทบจะเลยขีดจำกัดของตัวเอง กล่าวได้ว่าเป็นเพราะในใจรู้สึกผิดจึงชดเชยให้เป็นเท่าทวี ทว่าเหตุผลที่แท้จริงเกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแยกแยะไม่ออกเช่นกัน

อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้านหัวเราะจนเจ็บหน้าอก กว่าจะหยุดหัวเราะได้ก็ยากลำบากเอาการ ปี้สุ่ยเสนอแนะอย่างจริงจังว่า “เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักจริงๆ พระองค์ทรงวาดรูปมันเอาไว้สิเพคะ วันหลังจะได้เอาออกมาทอดพระเนตร”

“เป็นความคิดที่ดี” เมิ่งซังอวี๋นวดแก้มที่หัวเราะจนปวด อุ้มอาเป่าที่ทั้งหงุดหงิดและทั้งชอบใจอยู่นิดๆ ลงมาจากโต๊ะเตี้ย

“อาเป่ามานี่เร็ว ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ” นางวางมันลงบนพื้น แล้วเดินนำไปยังห้องปีก เมื่อเห็นอาเป่าซึ่งสวมเสื้อผ้าแล้วไม่มีตรงไหนที่เดินไม่สะดวก ฝีเท้าของนางจึงเร็วขึ้นเล็กน้อย

หน้าต่างในห้องหนังสือเปิดกว้างให้แสงแดดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ ตรงหน้าต่างด้านหน้ามีต้นจำปีต้นหนึ่งปลูกไว้ เมื่อมองดูกิ่งก้านอันแข็งแรงแล้วก็ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวายิ่งนัก สามารถจินตนาการได้ว่ายามต้นจำปีผลิดอกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าจะงามงดจับตาเพียงไร ส่วนทางหน้าต่างด้านหลังก็มีต้นดอกกุ้ยและต้นเหมยปลูกไว้หลายต้น ทำให้ไม่ว่าจะเป็นช่วงสารทฤดูหรือเหมันตฤดูก็สามารถสูดกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพ เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไปตลอดทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปีได้

พอก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นชั้นวางหนังสือสามด้านอันใหญ่โตมโหฬารได้ในทันที หนังสือบนชั้นมีมากมายหลายแขนง ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่ ตั้งแต่บทละครพื้นบ้าน บันทึกการเดินทาง ไปจนถึงคัมภีร์และตำราต่างๆ ทุกสิ่งมีพรั่งพร้อม จัดวางแยกประเภทหมวดหมู่ไว้คนละช่อง กลิ่นน้ำหมึกหอมเข้มข้นลอยปะทะเข้ามา ชวนให้จิตใจของผู้คนผ่อนคลายลง

มุมหนึ่งบนชั้นหนังสือวางแจกันเครื่องเคลือบขนาดใหญ่เอาไว้ใบหนึ่ง เป็นแจกันสีดำที่ทั้งใหญ่และหนัก สิ่งที่ปักอยู่ในแจกันมิใช่ดอกไม้สดงามสะพรั่ง แต่เป็นกิ่งไม้แห้งๆ อับเฉา การจัดวางอันแปลกพิกลเช่นนี้กู่เซ่าเจ๋อเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกว่ากลมกลืนอย่างคาดไม่ถึง ขับเน้นให้ห้องหนังสือราวกับอยู่ในภาพวาด โต๊ะซึ่งทำจากไม้หวงหลี ตัวหนึ่งถูกวางไว้ชิดหน้าต่าง พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก ล้วนถูกจัดวางไว้อย่างพร้อมสรรพ ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่เตากำยานก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป

ห้องหนังสือนี้เรียบง่ายอย่างที่สุด ทว่าทุกๆ สิ่งกลับแฝงไว้ด้วยความคิดอันปราดเปรื่อง เป็นการจัดวางที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดมากที่สุดตั้งแต่ที่กู่เซ่าเจ๋อเคยพบเจอมา เมื่อดูจากสิ่งเหล่านี้ก็เห็นได้ว่าเจ้าของห้องหนังสือแห่งนี้เป็นคนฉลาดเฉลียว ความคิดเฉียบคมอย่างยิ่ง เขายืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูเนิ่นนานกว่าจะก้าวเข้าไป ใช้สายตาซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์สลับซับซ้อนมองไปยังเมิ่งซังอวี๋ที่กำลังจัดอุปกรณ์เตรียมวาดภาพ

แต่ก่อนการมาเยือนวังปี้เซียวก็เหมือนกับสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เมื่อเห็นเต๋อเฟยที่เปี่ยมไปด้วยจริตมารยา แต่งองค์ทรงเครื่องเสียเต็มยศ เขาก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายมากเป็นพิเศษ ไหนเลยจะเคยสิ้นเปลืองจิตใจไปทำความเข้าใจนาง ไหนเลยจะเคยยอมอยู่ร่วมกับนางมากขึ้นแม้เพียงครู่เดียว ดังนั้นห้องหนังสือแห่งนี้เขาจึงเพิ่งได้เข้ามาเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่านางเองก็ไม่ได้อยากต้อนรับเขาเช่นกัน มิเช่นนั้นสามปีมานี้คงมิได้ไม่เคยเอ่ยถึงแม้แต่คำเดียวเช่นนี้

ในวังหลวง ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้ทรงชอบเสวนาเรื่องบทกลอน ภาพวาด และหนังสือโบราณเป็นที่สุด เพื่อจะสนองตอบความโปรดปรานของเขา สนมชายาทั้งหลายในตำหนักในมีผู้ใดบ้างไม่ยื้อแย่งกันชโลมกายด้วยกลิ่นหนังสือเพื่อให้ตัวเองดึงดูดความสนใจจากเขา แต่เต๋อเฟยกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม หากมิใช่เพราะประสบชะตากรรมครั้งนี้เขาก็คงจะถูกสตรีผู้นี้หลอกลวงไปตลอดชีวิต!

เต๋อเฟยจงใจสร้างลักษณะท่าทางให้ตนดูเป็นคนหุนหันเจ้าอารมณ์ ในใจไร้เล่ห์เหลี่ยม มีเพียงกลอุบายหยาบกระด้างเพื่อตบตาผู้คน ดังนั้นตอนแรกเขาถึงได้หลอกใช้นางอย่างวางใจ มอบอำนาจและตำแหน่งให้ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าความจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่โง่เขลา ทั้งยังฉลาดจนน่ากลัว ผู้ใดจะไปคิดว่าแม่นางน้อยเมื่อสามปีก่อนที่อายุเพิ่งจะครบสิบสี่ปีเต็มผู้หนึ่งจะมีความคิดลึกล้ำและมองโลกได้อย่างกว้างไกลเช่นนี้

หากกู่เซ่าเจ๋อเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าค้นพบความจริงนี้เข้า เขาจะต้องแอบพระราชทานโทษตายให้เต๋อเฟยอย่างแน่นอน กำจัดภัยอันตรายที่แอบแฝงมา ทว่าหลังจากกลายเป็นสุนัข เขาก็ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เข้าใจเต๋อเฟยผิดครั้งแล้วครั้งเล่า จากความรู้สึกต่อต้านกลายเป็นชื่นชม จากหนีห่างกลายเป็นเข้าใกล้ ความคิดของเขาในตอนนี้นอกจากความผิดหวังอันน่าประหลาดใจแล้วก็ไม่มีโทสะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ช่างเถิด ถึงแม้เจ้าจะปิดบังเรามากมาย แต่ดูไปแล้วก็มิได้มีใจคิดคดใด เราจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าก็แล้วกัน กู่เซ่าเจ๋อถอนหายใจยาว เริ่มเดินดูในห้องหนังสือ เขาอยากเข้าใจสตรีผู้นี้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน อยากสืบหาโฉมหน้าที่แท้จริงที่นางปิดบังซ่อนเอาไว้

สองข้างของชั้นหนังสือแขวนภาพเขียนตัวอักษรเอาไว้หลายภาพ นามประทับล้วนเป็นชื่อเมิ่งซังอวี๋ ลายมือแกร่งกร้าวทว่าอ่อนช้อย มีพลัง รังสรรค์ขึ้นมาได้อย่างวิจิตรงดงาม ล้วนเป็นผลงานอันล้ำเลิศที่ยากจะหาได้ เมื่อมองดูภาพเขียนตัวอักษรและหนังสือซึ่งเต็มชั้นทั้งสามด้าน ใครยังจะกล้าบอกว่าเมิ่งซังอวี๋เป็นแม่เสือจากสกุลขุนศึกที่ไม่แตกฉานด้านอักษรอีกเล่า เกรงว่าแม้แต่เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็ยังห่างชั้นอีกไกลนัก

กู่เซ่าเจ๋อกำลังจดจ้องภาพวาดอันปราดเปรียวมีชีวิตชีวาภาพหนึ่ง ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว สตรีที่สมควรตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราชอบยอดหญิง จะประจบเอาใจเราสักนิดไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ ไยต้องปิดบังต้องแอบซ่อนเอาไว้ เขาย่นจมูก พ่นลมหายใจสายหนึ่งออกมา จากนั้นจึงปัดดอกชาภูเขาที่ข้างหูออก ปล่อยให้มันร่วงลงบนพื้นคล้ายกับระบายความโกรธเกรี้ยว

ฮึ! ในเมื่อเจ้าไม่เอาใจเรา เหตุใดเราต้องเอาใจเจ้าด้วย! อุ้งเท้านุ่มนิ่มเหยียบขยี้ดอกชาภูเขา เขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น

“อาเป่า เจ้าซนอีกแล้วนะ!” เมิ่งซังอวี๋วาดรูปพลางมองดูท่าทางหงุดหงิดโมโหของอาเป่า ซึ่งทำเอานางเกือบกระอักเลือดเพราะความน่ารัก

กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังเหยียบดอกชาภูเขาชะงักไปทันใด แทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำตัวเป็นเด็กจนน่าหัวเราะเมื่อครู่คือตัวเอง หรือว่าเมื่อกลายเป็นสุนัขนานเข้า ความคิดและการกระทำก็จะกลายเป็นสุนัขไปด้วย…

เมิ่งซังอวี๋วางพู่กันลง เดินมาอุ้มอาเป่าวางลงบนโต๊ะหนังสือพลางหัวเราะคิกคัก แล้วชี้ไปยังผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งพลางกล่าว “อาเป่า ดูซิว่าเหมือนเจ้าหรือไม่”

ภาพลูกสุนัขบนผืนผ้าไหมสีขาวสวมชุดกันหนาวหนังเสือตัวน้อย ข้างหูทัดดอกชาภูเขา กำลังยกขาหน้าขึ้นปัดหู สีหน้าท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการตวัดลากไม่กี่เส้น แต่ภาพลูกสุนัขฉลาดเฉลียวก็ได้โลดแล่นอยู่บนกระดาษแล้ว ปราดเปรียวเสมือนมีชีวิตจริง

รูปลักษณ์ของอาเป่าก็ไม่ได้น่ามองสักเท่าไรนัก เทียบกับสุนัขพันธุ์ซีซือและพันธุ์จิงปาก็มิได้ ไฉนเต๋อเฟยถึงได้ชมชอบถึงเพียงนี้นะ กู่เซ่าเจ๋อลอบครุ่นคิดอย่างขมขื่น

ครั้นเห็นอาเป่าก้มหน้าพินิจพิเคราะห์ภาพวาดของตนอย่างละเอียดลออริมฝีปากของเมิ่งซังอวี๋ก็ยกยิ้ม นางหยิบพู่กันขนหมาป่าขึ้นมาจรดเขียนชื่อและอายุของอาเป่าลงไปบนผ้าไหม จากนั้นจึงจับอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไว้ แต้มด้วยหมึกสีแดงเล็กน้อย แล้วประทับรอยเท้าลงไปบริเวณที่ลงนามประทับชื่อ

“อาเป่าก็ลงชื่อด้วยเหมือนกัน ต่อไปข้าจะวาดภาพเหมือนให้เจ้าอีก ทำเป็นบันทึกการเจริญเติบโตของเจ้า เก็บเอาไว้ย้อนดูวันหลัง” เมิ่งซังอวี๋เช็ดหมึกสีแดงบนฝ่าเท้าของมันออกจนสะอาด จากนั้นจึงอุ้มเจ้าก้อนกลมๆ ขึ้นมา น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่และคาดหวัง

เจ้าเห็นอาเป่าเป็นลูกของตนอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะเราไม่อาจมอบบุตรให้แก่เจ้าได้ใช่หรือไม่ กู่เซ่าเจ๋อกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด ในอกรู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา

 

ตั้งแต่วันที่วาดภาพเหมือนวันนั้น อาเป่าก็เป็นเด็กดีสงบเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าเมิ่งซังอวี๋จะจับพลิกไปพลิกมาอย่างไรก็เชื่อฟังและทำตามเป็นอย่างดี ไม่วิ่งเล่นไปทั่วอีก เป็นเพราะกู่เซ่าเจ๋อรู้ว่าเต๋อเฟยถูกกักบริเวณเพราะตน หากเขาโผล่ออกไปนอกวังปี้เซียว นางจะต้องถูกคนที่คิดร้ายใช้เป็นข้ออ้างเล่นงานเป็นแน่

กู่เซ่าเจ๋อสะกดกลั้นความกระวนกระวายในใจลงไปอย่างยากลำบาก อดทนครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะออกไปนอกวังปี้เซียวโดยไม่ทำให้เมิ่งซังอวี๋เดือดร้อน เขาเริ่มเกิดความคิดที่จะปกป้องสตรีผู้นี้โดยไม่รู้ตัว

ราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นดังที่เมิ่งซังอวี๋คาดการณ์ไว้ ทั้งคู่เหยียบไปบนเส้นทางของขุนนางใหญ่ผู้กุมอำนาจและชายาคนโปรดโดยไม่อาจหวนกลับมา ทั้งสองคนรวบอำนาจทั้งในราชสำนักและในตำหนักในอย่างกำเริบเสิบสาน ค่อยๆ เหยียบย่างลงบนขีดจำกัดของกู่เซ่าเจ๋อทีละนิดๆ กัดเซาะความรู้สึกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงเท่านั้น แต่ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนก็ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าไปเสียแล้ว

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ร่างกายของอาเป่าก็เติบใหญ่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ประสาทรับเสียงและประสาทดมกลิ่นก็เฉียบไวมากยิ่งขึ้น วิ่งเล่นอยู่ในวังปี้เซียวตัวเดียวทั้งวันก็ไม่เป็นปัญหาใดแม้แต่น้อย

ระยะหลังมานี้กู่เซ่าเจ๋อมักจะเดินวนไปวนมาตรงประตูวัง ในใจยิ่งมาก็ยิ่งร้อนรน เพราะร่างกายของเขาสลบไสลไปสองเดือนกว่าแล้ว หากยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แผ่นดินต้าโจวก็พร้อมจะวุ่นวายขึ้นมาได้ทุกเมื่อ อีกทั้งราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูก็ยิ่งทำการรวบอำนาจอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาได้กลิ่นอายอันตราย ถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าราชครู่เสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรูอาจจะเกิดความคิดกบฏก็เป็นได้ เวลานี้เขาไม่อาจเชื่อใจสกุลเสิ่นได้ดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว

คนที่ร้อนรนยิ่งกว่าเขาก็คือแม่นมเฝิง ครั้นเห็นว่าตั้งแต่โดนกักบริเวณ ฮ่องเต้ทรงไม่สนพระทัยไต่ถามข่าวคราวของผู้เป็นนายเลย คล้ายกับลืมนางไปโดยสิ้นเชิง แม่นมเฝิงก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้นทุกขณะ แทบจะนั่งไม่ติดที่

“เต๋อเฟยทรงเย็บถุงหอมถวายให้ฝ่าบาทเถอะเพคะ ให้ฝ่าบาททรงรู้ว่าพระองค์คิดถึงฝ่าบาทอยู่ตลอด มิเช่นนั้นพระองค์จะต้องถูกกักบริเวณเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรกันเพคะ” แม่นมเฝิงนวดไหล่ให้เมิ่งซังอวี๋ เอ่ยโน้มน้าวไม่ขาดปาก

ครั้นกู่เซ่าเจ๋อที่เพิ่งจะวิ่งเข้ามาในตำหนักบรรทมได้ยินเข้าก็ถลึงตาใส่แม่นมเฝิงด้วยสายตาที่แฝงไอสังหาร เต๋อเฟยเป็นผู้หญิงของเรา บ่าวสารเลวผู้นี้ถึงกับให้เต๋อเฟยเย็บถุงหอมให้เจ้าตัวปลอมนั่น สมควรตายยิ่งนัก!

“วางใจเถิด อีกไม่นานข้าก็จะถูกยกเลิกการกักบริเวณแล้วล่ะ สองเดือนมานี้ฮ่องเต้ยังมิได้เสด็จประดับตำหนักในเลย บัดนี้ข้างนอกลือกันว่าฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บที่ตรงนั้น ไม่อาจให้กำเนิดโอรสธิดาได้อีก พวกหลี่เซียงก็ยื่นหนังสือกราบทูลครั้งแล้วครั้งเล่า โน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทโดยเร็ว ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮาและรัชทายาทย่อมต้องเป็นหลี่กุ้ยเฟยกับองค์ชายรอง เหลียงเฟยมองออกว่าตำแหน่งฮองเฮาเสมือนดั่งอยู่ในกำมือของนางอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนเฉลียวฉลาด ถนัดการยืมเรี่ยวแรงผู้อื่นมาใช้ คราวนี้นางต้องปล่อยข้าออกไปแน่ จะได้กวนน้ำในสระให้ขุ่นยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่ข้ามิเคยปรารถนาตำแหน่งฮองเฮาเลย คงไม่ไปต่อสู้แก่งแย่งกับหลี่กุ้ยเฟยเหมือนที่นางปรารถนา แต่ถ้านางไม่ปล่อยข้าออกไปก็ดีเช่นกัน อยู่แบบนี้ข้าก็สุขกายสบายใจดี” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

“คนที่ทำให้ฝ่าบาททรงกักบริเวณพระองค์คือนาง คนที่อยากให้ฝ่าบาททรงยกเลิกการกักบริเวณก็คือนาง นางมีอำนาจต่อการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทมากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันเพคะ แค่พริบตาเดียวก็ได้รับความโปรดปรานอย่างคาดไม่ถึง คงมิใช่ว่านางใช้มนตร์คาถาล่อลวงฝ่าบาทกระมัง มีหลี่กุ้ยเฟย เสียนเฟย และพระองค์อยู่ ไม่ว่าอย่างไรตัวเลือกตำแหน่งฮองเฮาก็คงไปไม่ถึงนางหรอกเพคะ!” แม่นมเฝิงรู้สึกไม่เข้าใจความคิดเห็นของเมิ่งซังอวี๋เป็นอย่างมาก

“นางไม่มีมนตร์คาถา แม่นมเฝิง เจ้าคิดมากไปแล้ว” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ก่อนจะพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน “ตำแหน่งฮองเฮานี้เป็นของนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะตกไปถึงผู้อื่น”

“เอ๊ะ? เต๋อเฟยตรัสว่าอะไรนะเพคะ” แม่นมเฝิงได้ยินไม่ชัดจึงรีบซักถาม

ทว่าความสามารถในการได้ยินของสัตว์จำพวกสุนัขเฉียบไวเหนือคนปกติ กู่เซ่าเจ๋อจึงได้ยินคำพูดพึมพำของเมิ่งซังอวี๋ชัดแจ้งเต็มสองหู ทำให้ร่างกายชะงักกึก ในใจก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง สตรีผู้นี้คงมิได้ดูออกแม้กระทั่งความรักที่เรามีต่อเหลียงเฟยกระมัง ดวงตาคู่นั้นของนางเฉียบคมเพียงใดกันแน่…

ในหัวใจของเขาเอ่อล้นไปด้วยความโกรธเคืองที่ถูกผู้อื่นมองออกทะลุปรุโปร่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยความรู้สึกผิดอย่างแรงกล้า หางของอาเป่าสะบัดพึ่บ สุดท้ายก็วิ่งเตลิดหนีไป

ในยามนี้เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสตรีผู้นั้นอย่างไร ที่แท้นางรู้มากกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก ที่แท้แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่มีใจฝักใฝ่ในตำแหน่งฮองเฮา วิธีการป้องกันและเรื่องที่เขาหลอกใช้นางแทบจะกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกเลยทีเดียว

เมิ่งซังอวี๋ไม่ได้สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ปุกปุยที่เข้ามาแล้วก็ออกไป นางโบกมือให้แม่นมเฝิง บอกเป็นนัยว่าไม่อยากสนทนาเรื่องนี้อีกต่อไป

บทที่เจ็ด

ฮูหยินเมิ่งเข้าวัง

ในราชสำนัก การต่อสู้ระหว่างสกุลเสิ่นและสกุลหลี่ยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้นทุกที หลี่เซียงมีฐานอำนาจมากมาย พรรคพวกกว้างขวาง ส่วนราชครูเสิ่นก็เป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ กำลังคนของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับที่พอจะทัดทานกันได้ หากจะทำลายสภาพการณ์ซึ่งคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย

ในช่วงเวลานี้เองเสิ่นฮุ่ยหรูก็ดำเนินแผนการยืมแรงผู้อื่นดังที่คาดเอาไว้ นางเสนอแนะให้ฮ่องเต้ทรงถอนคำสั่งกักบริเวณเต๋อเฟยเพื่อให้เข้าร่วมการต่อสู้แก่งแย่งครั้งนี้ แต่ไรมาเต๋อเฟยไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา ไม่มีทางเห็นนางเป็นคู่แข่งแน่นอน ดังนั้นจะต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงเล่นงานหลี่กุ้ยเฟยเป็นแน่ พอถึงเวลานางก็แค่ดูไฟชายฝั่ง แล้วค่อยฉวยโอกาสรวบผลประโยชน์เป็นพอ

แล้วก็เป็นจริงดังคาด ผ่านไปไม่กี่วันเมิ่งซังอวี๋ก็ได้รับป้ายขออนุญาตเข้าวังที่มารดาส่งมาเพื่อขอเข้าเฝ้า อีกทั้งฮ่องเต้ก็พระราชทานอนุญาตด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่ก็คือสัญญาณยกเลิกคำสั่งกักบริเวณนาง

ฮูหยินเมิ่งหลินซื่อ อายุใกล้จะสี่สิบ ละม้ายคล้ายคลึงกับเต๋อเฟยถึงหกเจ็ดส่วน นับว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังคงงามสะพรั่งเฉิดฉัน เพียงแต่หว่างคิ้วมีรอยตื้นๆ หลายเส้น คล้ายกับว่าเกิดจากการขมวดคิ้วมาเป็นเวลายาวนานแรมปี เห็นได้ว่าปกติต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำไม่น้อยเลยทีเดียว

“คารวะเต๋อเฟย…” เมื่อเห็นบุตรสาวเดินเข้ามาในตำหนักกลาง หลินซื่อก็รีบร้อนลุกขึ้นย่อกายถวายบังคม ทว่ากลับถูกเมิ่งซังอวี๋ชิงประคองเอาไว้

“ท่านแม่มิต้องมากพิธี เชิญนั่ง” เมิ่งซังอวี๋ประคองหลินซื่อไปยังที่นั่งรับรองแขก ส่วนตนก็นั่งบนที่นั่งตำแหน่งประธาน

แม่นมเฝิงอุ้มอาเป่าไว้หมายจะถอยออกไป แต่มันกลับร้องหงิงๆ ตะกุยแขนแม่นมเฝิงพลางใช้ดวงตาใสแป๋วกะพริบปริบๆ ใส่เมิ่งซังอวี๋ ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

พออยู่ร่วมกันนานวันเข้ากู่เซ่าเจ๋อก็พบว่าเมิ่งซังอวี๋ไม่อาจต้านทานสีหน้าเช่นนี้ของอาเป่าได้เลยแม้แต่น้อย แค่แสดงท่าทางเช่นนี้ออกมานางก็จะตามใจเขาทุกอย่างทันที

หากฮูหยินเมิ่งเข้าวังย่อมต้องนำข่าวคราวของเมิ่งจ่างสยงบิดาของเต๋อเฟยมาด้วยเป็นแน่ เขาจะต้องอยู่ฟังให้จงได้ จิตใจเขาสับสนวุ่นวายยิ่งนัก การหลอกใช้และทำร้ายจิตใจอย่างไม่ลังเลเช่นที่เคยผ่านมานั้นเขาทำไม่ได้อีกแล้ว ขอเพียงเมิ่งจ่างสยงยินยอมมอบอำนาจทางการทหารให้เขา ความยกย่องเมตตาที่เขามอบให้เต๋อเฟยจะไม่มีทางเรียกคืนเด็ดขาด อีกทั้งยังจะชดเชยให้มากเป็นเท่าทวี จิตใต้สำนึกของเขาไม่อยากจะคิดถึงท่าทางยามเศร้าโศกผิดหวังของเมิ่งซังอวี๋ในภายภาคหน้า ดวงหน้าแย้มยิ้มงามกระจ่างถึงจะเป็นสีหน้าที่เหมาะสมกับนางที่สุด

“แม่นม นำอาเป่ามาให้ข้า ส่วนเจ้าก็ไม่ต้องออกไปหรอก คอยอยู่ปรนนิบัติที่นี่ก็แล้วกัน” เป็นดังคาด เมิ่งซังอวี๋พลันแสดงสีหน้าอ่อนใจ ก่อนจะรวบอาเป่าเข้าสู่อ้อมกอดพลางหอมซ้ายหอมขวาทันที

หางของอาเป่าส่ายไปมาด้วยความยินดีปรีดาอย่างไม่อาจควบคุม ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อใช้กลวิธีในการเอาใจเจ้านายได้ชำนิชำนาญขึ้นทุกที

“น้อมรับบัญชาเพคะ” แม่นมเฝิงเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่ในใจกลับดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก่อนยามฮูหยินเมิ่งเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้า ผู้เป็นนายไม่เคยให้นางคอยอยู่ปรนนิบัติมาก่อน นางยังคิดว่าผู้เป็นนายไม่เชื่อใจนางเสียอีก

“เจ้าตัวน้อยนี่คือตัวการที่ทำให้เจ้าถูกกักบริเวณ?” เมื่อเห็นบุตรสาวยิ้มแย้ม ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนยามที่ยังมิได้ออกเรือน ใบหน้าเคร่งเครียดของหลินซื่อก็นุ่มนวลลง ชี้ไปยังอาเป่าพลางถาม

“ไม่เกี่ยวกับอาเป่าหรอก เหลียงเฟยคิดเคียดแค้นข้ามานานแล้ว อาเป่าก็เป็นแค่ข้ออ้าง หากไม่มีอาเป่า นางก็จะหาเหตุผลอื่นมาตบหน้าข้าอยู่ดี” เมิ่งซังอวี๋นวดอุ้งเท้าน้อยๆ ของอาเป่า น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน เห็นได้ชัดว่านางมิได้เก็บเอาเรื่องที่ถูกกักบริเวณมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

กู่เซ่าเจ๋อนอนซบอยู่ในอ้อมแขนของเมิ่งซังอวี๋ หูตั้งแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน เขามิได้ใจเต้นระรัวเพราะได้ยินคำว่า ‘เหลียงเฟย’ อีกแล้ว แต่กลับรู้สึกอบอุ่นใจเพราะคำพูดปกป้องของเมิ่งซังอวี๋

“นางมีสิทธิ์อะไรมาเคียดแค้นเจ้า” น้ำเสียงของหลินซื่อโกรธเกรี้ยว “สามปีมานี้เจ้าต้องต้านภัยอันตรายแทนนางตั้งมากมายเท่าไร กำจัดศัตรูไปมากมายเท่าไร นางก็แค่รอความรักใคร่เวทนาจากฮ่องเต้อยู่ในวังจงชุ่ยอย่างสบายอกสบายใจ นางยังมีอันใดไม่พอใจอีก”

อาเป่ากระดิกหู อุ้งเท้าที่พาดอยู่บนแขนของเมิ่งซังอวี๋ชะงักเล็กน้อย

ส่วนแม่นมเฝิงกลับเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ ไม่เข้าใจว่าบทสนทนาของเจ้านายทั้งสองหมายความว่าอย่างไร อะไรคือการที่เต๋อเฟยต้านภัยอันตรายแทนเหลียงเฟย

“เพราะไม่พอใจนางถึงได้เคียดแค้นอย่างไรเล่า ตำแหน่งสูงสุดในบรรดาราชชายาทั้งสี่ของข้าเดิมทีก็สมควรเป็นของนาง อำนาจในการช่วยจัดการสะสางงานกิจภายในวังก็ควรเป็นของนาง วังปี้เซียว คลังส่วนตัว ทุกสิ่งทุกอย่างของข้าเดิมทีควรจะเป็นของนาง ท่านว่านางจะเคียดแค้นข้าหรือไม่เล่า” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะหยัน แววเสียดสีและความจนใจที่อัดแน่นในน้ำเสียงทำให้กู่เซ่าเจ๋อใจสั่นสะท้าน

“ไร้สาระ! เหตุใดนางถึงไม่ดูบ้างว่าเจ้าถูกวางยาพิษมาตั้งกี่ครั้ง ถูกคนปองร้ายมาตั้งกี่ครา ถูกกรอกน้ำแกงคุมกำเนิดมาตั้งเท่าไร หากนางเก่งกาจนักก็เรียกนางมาเปลี่ยนที่กับเจ้าดูสิ ดูซิว่านางจะมีชีวิตอยู่ในวังปี้เซียวนี้ได้กี่วัน!? คนสกุลเสิ่นล้วนจิตใจต่ำช้าจริงๆ ทั้งยังวางท่าเป็นคนดีหลอกลวงผู้คนอีก! ฮ่องเต้ทรงพระเนตรมืดบอดไปแล้วกระมัง” พวงแก้มของหลินซื่อขึ้นสีแดงก่ำ น้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้นเรื่อยๆ

คำพูดทุกคำของหลินซื่อทำให้ร่างของกู่เซ่าเจ๋อแข็งทื่อ ถูกวางยาพิษ ถูกปองร้าย ถูกกรอกน้ำแกงคุมกำเนิด เรื่องเหล่านี้เขาล้วนรู้ดี แต่บัดนี้พอได้ยินกลับเหมือนมีดาบเหล็กกล้าแล่หัวใจของเขาทีละนิดทีละน้อย ความรู้สึกอึดอัดจนเจ็บแน่นในอกทำให้เขาละอายมากจนไม่อาจจะมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ท่านแม่ระวังวาจาด้วย” เมิ่งซังอวี๋รีบโบกมือ เตือนมารดาที่ไม่ระวังคำพูด

ใบหน้าหลินซื่อพลันเครียดเขม็ง สีหน้าโกรธแค้นสงบลงในทันใด

“ลูกสาวคนดีของข้า เดิมทีเจ้าควรถูกรักถูกทะนุถนอม ทว่ากลับถูกส่งเข้าวังมาให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ…” หลินซื่อสะอื้นไห้พร้อมส่ายศีรษะ ไม่อาจเอ่ยวาจาใดๆ ออกมาอีก ดวงหน้าซูบเซียวคล้ายกับแก่ชราขึ้นสิบกว่าปีในชั่วพริบตาเดียว

กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้าอุดหูเอาไว้ แทบจะไม่กล้าฟังต่ออีก ‘เหยียบย่ำ’ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำกับเต๋อเฟยสามารถใช้สองคำนี้อธิบายได้อย่างชัดเจนที่สุด เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธกริ้วเพราะวาจาของฮูหยินเมิ่งเลยแม้เพียงนิด

“ท่านพ่อบัญชาการกองทหารกว่าร้อยหมื่นนาย หากรับข้าเป็นภรรยาก็เท่ากับว่ารับดาบมาแขวนคอ ในแผ่นดินต้าโจวนี้นอกจากฮ่องเต้แล้วใครจะกล้าแต่งข้าเป็นภรรยาเล่า” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเยาะตัวเอง ประโยคต่อมาน้ำเสียงก็ผ่อนคลายขึ้น “ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจเพราะข้า ข้าสบายดี มีตำแหน่งอยู่สูงเหนือผู้อื่น มีข้ารับใช้ติดตามมากมาย มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ทุกอย่างที่สตรีบนโลกนี้ปรารถนามากที่สุดข้าล้วนมีหมดทุกสิ่ง ยังจะมีอันใดไม่พอใจอีกเล่า ไม่เห็นหรือว่าแม้กระทั่งเสิ่นฮุ่ยหรูแห่งตำหนักเจียวฝาง (ห้องพริกหอม) ที่ได้รับความรักแต่เพียงผู้เดียวยังอิจฉาริษยาข้า”

น้ำเสียงของนางเบิกบานถึงเพียงนั้น สีหน้าก็ร่าเริงสดใสถึงเพียงนั้น จึงทำให้เกิดบรรยากาศน่าประหลาดใจขึ้น หลินซื่อสีหน้าอ่อนลงในทันที

กู่เซ่าเจ๋อนอนฟุบในอ้อมกอดนาง ไม่รู้เลยว่าควรจะใช้คำใดมาบรรยายสตรีผู้นี้ นางทำราวกับว่าความทุกข์ตรมที่ต้องประสบเป็นเสมือนพระมหากรุณาธิคุณอย่างหนึ่ง เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ต้องผ่านเพื่อก้าวไปสู่การเติบโต ไม่เคยอาฆาตแค้นและไม่เคยให้ตัวเองจมอยู่กับความขมขื่น ยามอยู่ข้างกายนาง ทุกๆ วันล้วนเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์ใจหนักหนาแค่ไหนก็สามารถลืมเลือนไปได้ หากไม่มีนางอยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่รู้ว่าตนจะผ่านวันคืนที่ต้องติดอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉานนี้ไปได้หรือไม่

ถ้าหากตอนนี้เขามีมือสองข้าง เขาก็อยากจะโอบกอดสตรีผู้นี้ให้แน่นๆ ในยามนี้กู่เซ่าเจ๋อคิดอยากจะคืนร่างเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยประทับของเสิ่นฮุ่ยหรูในใจเขาเลือนรางลงไปทุกที แล้วแทนที่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มอันงดงามเฉิดฉายของเมิ่งซังอวี๋

หลินซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพื่อปรับสภาพจิตใจ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหยดน้ำที่หางตา ค่อยๆ เอ่ยเรื่องสำคัญขึ้นมา “คราวนี้ข้าเข้าวังมาเพราะเรื่องการแต่งงานของพี่ชายเจ้า”

“อ้อ? คราวนี้ท่านพี่ต้องตาบุตรสาวบ้านใดอีกหรือ” เมิ่งซังอวี๋จับหูของอาเป่าเล่น เอ่ยถามด้วยความสนใจ

“มิใช่เขาต้องตา แต่เป็นข้าที่ต้องตา นางเป็นบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า ถึงแม้รูปโฉมจะธรรมดาไปสักหน่อย แต่ก็มีดีที่เข้มแข็ง สมองปราดเปรื่อง อายุยังน้อยก็สามารถจัดการงานกิจภายในบ้านได้แล้ว ดูแลเลี้ยงดูน้องชายที่ยังเล็ก ใช้ชีวิตได้อย่างน่าชื่นชมภายใต้เงื้อมมือของแม่เลี้ยงที่ใจดำโหดเหี้ยม สตรีเช่นนี้แต่งเข้ามาคอยควบคุมพี่ชายเจ้าได้พอดี เขาจะได้หาเรื่องใส่ตัวให้น้อยลงบ้าง” หลินซื่อหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าถูกใจคุณหนูฟู่ผู้นี้เป็นที่สุด

“รูปโฉมธรรมดาสามัญก็คงจะจัดการยากหน่อย ท่านพี่ชมชอบหญิงงามเป็นที่สุด แล้วจะต้องตานางได้อย่างไร หากมิใช่เพราะนิสัยแบบนี้ของเขา ครึ่งปีก่อนคงไม่ก่อหายนะใหญ่หลวงเช่นนั้นหรอก” เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ พอพูดถึงพี่ชายก็ปวดหัวแปลบ

กู่เซ่าเจ๋องับนิ้วมือนิ้วหนึ่งของนางไว้ด้วยความเคยชิน ขบกัดเบาๆ อยากให้นางเบิกบานใจขึ้นสักหน่อย ซึ่งเมิ่งซังอวี๋ก็ผลิยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที

“จะโทษเขาได้อย่างไร หากมิใช่เพราะเสิ่นซีเหยียนหลอกลวงชิงความบริสุทธิ์ของหลิ่วฉีซือไปแล้วไม่ยอมไถ่ตัวนาง ทำให้นางผูกคอปลิดชีพตัวเอง พี่ชายของเจ้าก็คงไม่ทำร้ายเสิ่นซีเหยียนจนเสียโฉม เจ้าไม่เห็นจดหมายรักที่สาวใช้ของหลิ่วฉีซือนำออกมาหรือ เสิ่นซีเหยียนสาบานว่าจะรักมั่น ไม่สนใจหญิงอื่นใด สัญญาว่าจะช่วยนางออกมา แล้วสุดท้ายเป็นเช่นไรเล่า พอช่วงชิงความบริสุทธิ์ของผู้อื่นไปก็หายตัวไม่เห็นแม้แต่เงา หลิ่วฉีซือผู้นั้นก็ก่อกรรมให้ตัวเองเช่นกัน คราแรกพี่ชายของเจ้าจะช่วยไถ่ตัวนาง นางก็ดึงดันปฏิเสธ ไม่รู้บัดนี้ไปอยู่ในบ่อน้ำพุเหลือง* แล้วจะเสียใจแค่ไหน!” หลินซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้า สะอึกสะอื้นอย่างอดรนทนไม่ไหว

“แต่ก่อนนางก็เป็นถึงคุณหนูสกุลขุนนาง เคยเรียนหนังสือมาก็หลายปี จะไปนึกชอบท่านพี่ที่วิชาบุ๋นไม่ได้เรื่อง วิชาบู๊ก็ไม่ได้ความได้อย่างไร อย่างที่ข้าเคยบอกอย่างไรเล่าว่าเป้าหมายสูงเกินไปก็ไม่ดี หากอยากจะมีชีวิตอย่างอิสรเสรี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้กาลเทศะ มองเห็นสถานภาพของตัวเองให้กระจ่างแจ้ง” เมิ่งซังอวี๋กล่าวอย่างมีอารมณ์

ส่วนกู่เซ่าเจ๋อถูกความเศร้าเสียใจและความรู้สึกผิดทรมานอีกคราจนหัวใจเจ็บปวดดุจโดนเข็มทิ่มแทง เพราะไว้ใจราชครูเสิ่นและเสิ่นฮุ่ยหรู เขาจึงมิได้ส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียด จึงหาได้รู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอันน่ารังเกียจเช่นนี้ เวลานี้พอย้อนนึกได้ว่าเสิ่นฮุ่ยหรูมักจะพูดชมเชยสรรเสริญพี่ชายร่วมอุทรอยู่เสมอ ในใจเขาก็พลันรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ เมิ่งเหยียนโจวที่น่าสงสารถูกเขาสั่งโบยถึงหกสิบไม้ ต้องนอนซมอยู่บนเตียงถึงสามเดือนเต็มๆ กว่าจะหายดี

พอเห็นอาเป่าขดตัวเข้าหาอ้อมกอดของตนคล้ายกับหนาวเล็กน้อยเมิ่งซังอวี๋ก็รีบเลิกอาภรณ์ตัวนอกออก ห่อหุ้มตัวมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมกรุ่นจางๆ และความอบอุ่นจากกายของนางช่วยรักษาเยียวยาจิตใจที่สับสนวุ่นวายของกู่เซ่าเจ๋อได้

หลินซื่อเองก็ขยับเข้ามาลูบหัวอาเป่า เอ่ยปากด้วยสีหน้าคาดหวัง “ข้าแค่กลัวว่าพี่ชายของเจ้าจะไม่ยินยอม เลยอยากจะขอให้เจ้าประทานสมรสให้ ข้าบังคับเขาไม่ได้ ก็มีแต่เจ้ากับท่านพ่อของเจ้าที่จัดการเขาได้ ทว่ายามนี้ท่านพ่อของเจ้าอยู่ไกลถึงชายแดน แม่ก็ได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว”

เมิ่งซังอวี๋พยักหน้า “ท่านแม่วางใจเถิด เรื่องของท่านพี่ให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้ข้ายังไม่สิ้นความโปรดปรานไปเสียทั้งหมด หากแค่ไปทูลขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทนั้นยังคงทำได้อยู่ สกุลฟู่เป็นแค่สกุลบัณฑิต ไม่มีอำนาจอยู่ในมือ ฝ่าบาทน่าจะทรงเห็นชอบด้วย”

กู่เซ่าเจ๋อได้ยินดังนั้นในอกก็เริ่มอึดอัด เพียงแค่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะใช้ท่าทางเร่าร้อนดุจเปลวเพลิง หรือแม้แต่อ่อนโยนนุ่มละมุนไปขอร้องเจ้าตัวปลอมนั่น เขาก็รู้สึกทนรับไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่านางเสแสร้งแกล้งทำก็ตาม

เมื่อสรุปเรื่องการแต่งงานของเมิ่งเหยียนโจวได้แล้ว เมิ่งซังอวี๋ก็ไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของบิดา กู่เซ่าเจ๋อรีบกดความเศร้าซึมในใจลงทันที หูตั้งชันคอยฟัง

“ท่านพ่อของเจ้าสบายดี เอาแต่กลั่นแกล้งเจ้าหานชังผิงผู้นั้นทั้งวัน สนุกสนานยิ่งเชียวล่ะ! ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะถอดเจ้าเด็กหานออกจากตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวา ให้เขาไปเป็นทหารเฝ้ายามเล็กๆ ในหน่วยทหาร” พอพูดถึงสามีสีหน้าของหลินซื่อก็อ่อนโยนยิ่งนัก

กู่เซ่าเจ๋อแอบขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับการกระทำของเมิ่งจ่างสยงเป็นอย่างมาก หานชังผิงเป็นคนสนิทของเขา เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยแทนเมิ่งจ่างสยงในวันข้างหน้า เมิ่งจ่างสยงแอบถอดเขาออกจากตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวาเช่นนี้ เห็นได้ว่าต้องการกำจัดคนนอก มีใจคิดคด!

“หานชังผิงเป็นคนสนิทของฝ่าบาท ทรงส่งเขาไปอยู่ข้างกายท่านพ่อเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ จุดประสงค์เพื่อให้มาแทนที่ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่ท่านพ่อก็รู้ดีแต่กลับกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ ก็เลี่ยงมิได้ที่จะทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวง ท่านแม่ ท่านเขียนจดหมายสักฉบับเถิด บอกให้ท่านพ่อเลิกเที่ยวก่อกวนสร้างปัญหาได้แล้ว” เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ บิดาของนางผู้ดื้อรั้นเป็นคนที่ทำให้นางปวดหัวมากที่สุดเป็นอันดับสองในสกุลเมิ่ง

“เมื่อวันก่อนท่านพ่อของเจ้าส่งจดหมายกลับมาบ้าน ในจดหมายเขียนไว้ว่าเจ้าจะต้องมีการตอบสนองเช่นนี้ เขาบอกว่าเขามีความคิดของเขาเอง ให้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล หานชังผิงผู้นั้นเป็นศิษย์ของยอดฝีมือด้านการทหารอย่างอาจารย์ผิงฟู่จื่อ ความสามารถนั้นย่อมมีอยู่ แต่อายุยังน้อยจึงจำเป็นต้องลับฝีมือให้คม ฝ่าบาททรงให้เขารับตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายขวาตั้งแต่แรกเริ่ม ในกองทัพจึงยังมีคนที่ไม่เคารพอยู่มากมาย ที่ท่านพ่อเจ้าลดขั้นเขาไปเป็นทหารเฝ้ายาม หนึ่งก็เพื่อทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงในตัวเขา สองเพื่อให้เขาได้ฝึกฝนมากขึ้นอีกสักหน่อย มีแต่ต้องให้เขาอาศัยความสามารถของตนปีนขึ้นมาทีละก้าวๆ เท่านั้น วันข้างหน้าถึงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวยนี้ได้อย่างมั่นคง ในปีนั้นท่านพ่อของเจ้าก็เริ่มไต่เต้าจากหัวหน้ากองเช่นกัน การวางกองกำลังป้องกันชายแดนเกี่ยวพันถึงความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของแผ่นดินต้าโจว และยังเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของประชาชนต้าโจวอีกนับไม่ถ้วน ท่านพ่อของเจ้าไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่โดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งเด็ดขาด หากหานชังผิงผู้นั้นสามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้ คราวนี้ท่านพ่อของเจ้าก็จะกลับราชสำนักแล้วมอบตำแหน่งให้เขาทันที” น้ำเสียงของหลินซื่อเหนื่อยหน่ายใจยิ่ง

ครั้นฟังคำอธิบายจากหลินซื่อจบ สีหน้าของกู่เซ่าเจ๋อก็น่าเกลียดยิ่ง ราวกับถูกตบหน้าแรงๆ หนึ่งฉาด รู้สึกอึดอัดใจจนอยากตาย ความหวาดระแวงและการป้องกันของเขาเป็นเพียงเรื่องตลกจริงๆ! หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้คนสกุลเมิ่งแสดงความจงรักภักดีเป็นหมื่นครั้งเขาก็ไม่เชื่อ ทว่าตอนนี้จะไม่เชื่อไม่ได้ เพราะผู้ใดจะไปคาดคิดว่าวิญญาณของฮ่องเต้จะสิงอยู่ร่างของสุนัขตัวหนึ่ง ผู้ใดจะมาเล่นละครต่อหน้าสุนัขเล่า วาจาของหลินซื่อไม่มีที่ให้เขาสงสัยได้เลยแม้แต่น้อย

เมิ่งซังอวี๋ตบหลังมือของมารดา เอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่ม “ยามนี้ชายแดนเกิดความวุ่นวายจากภัยสงคราม ต่อให้ฝ่าบาททรงระแวงท่านพ่อก็คงไม่ทำอะไรท่านพ่อง่ายๆ หรอก ข้าเองก็ไม่ได้กังวลใจ ขอเพียงแค่ท่านพ่อรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ก็พอ หากภายภาคหน้าท่านพ่อลาออกจากราชการแล้ว ท่านแม่กับท่านพ่อก็เอาอย่างราชครูเสิ่นบ้าง หลีกลี้จากเมืองหลวงไปให้ไกล ท่องเที่ยวชื่นชมภูผาธาราไปทั่วทุกแห่งหนเถอะ ต่อไปก็ปล่อยให้จวนกั๋วกงของพวกเรามีเพียงท่านพี่ผู้ไม่ได้ความคอยประคับประคองผู้เดียวก็พอแล้ว เท่านี้ฝ่าบาทก็ไม่ทรงหวาดระแวงสกุลเมิ่งของพวกเราอีก”

กู่เซ่าเจ๋อมุดศีรษะเข้าในอ้อมแขนของเมิ่งซังอวี๋ ละอายใจจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

“ข้ากับท่านพ่อของเจ้าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ถึงได้อยากรีบหาสะใภ้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมให้พี่ชายเจ้าโดยเร็วที่สุด” หลินซื่อทอดถอนใจ จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าไม่เข้าใจราวกับว่าเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ในราชสำนักระยะนี้ราชครูเสิ่นกำเริบเหิมเกริมมากไปหน่อยกระมัง ผิดกับวิสัยของเขาที่แต่ก่อนต้องคอยระมัดระวังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาไม่กลัวว่าสกุลเสิ่นจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล แล้วเดินซ้ำรอยเดิมกับสกุลฝั่งมารดาของฮองเฮาหรือ”

“ความเชื่อใจที่ฝ่าบาททรงมีต่อสกุลเสิ่นและความรักใคร่ที่ทรงมีให้แก่เหลียงเฟยเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของพวกเขา ราชครูเสิ่นเองก็อายุมากแล้ว สองสามปีมานี้จึงพยายามส่งบุตรสาวไปสู่ตำแหน่งฮองเฮา กระทั่งนางให้กำเนิดบุตรคนโต เขาถึงได้จะลาออกจากราชการ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่ไม่ระแวงสงสัย ซ้ำยังซาบซึ้งถึงคุณงามความดีที่เขาคอยช่วยเหลือเกื้อกูลในยามคับขันอีกด้วย ราชครูเสิ่นอบรมสั่งสอนฝ่าบาทมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเติบใหญ่ หากจะให้คาดเดาพระทัยของพระองค์ ผู้ใดจะทำได้ดีไปกว่าเขา” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก

หลินซื่อพยักหน้า ลอบถอนใจว่าหากสามีของตนฉลาดลึกล้ำได้อย่างราชครูเสิ่นแม้เพียงนิดก็คงไม่ต้องมีจุดจบอย่างวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน เมื่อนึกขึ้นอีกว่าบุตรชายของตนเคยไปทำร้ายเสิ่นซีเหยียน นางก็อดกลัดกลุ้มเป็นกังวลมิได้

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อมีคลื่นถาโถมกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า ความศรัทธาในวันวานกำลังพังทลายลงไปทีละน้อย ใช่แล้ว เมื่อกล่าวว่าผู้ใดเข้าใจเขามากที่สุด เกรงว่ากระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยังเทียบราชครูเสิ่นมิได้ ราชครูเสิ่นรู้ดีว่าการกระทำของตนในตอนนี้ได้เหยียบถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่กลับไม่ได้ลดความทะเยอทะยานลง หากมิใช่เพราะมีที่พึ่งแล้วจะเป็นเพราะอะไร เกรงว่าเป็นเพราะราชครูเสิ่นคิดว่าเขาจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก จึงทุ่มวางเดิมพันสุดตัวกระมัง

พอช่วงชิงตำแหน่งฮองเฮาไปได้ย่อมเหมือนดั่งได้แดนหล่งหวังแดนสู่ หมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน สกุลเสิ่นกำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่ และสิ่งที่เป็นรางวัลในครานี้คือแว่นแคว้นแผ่นดินต้าโจวนั่นเอง! ในหัวเขาราวกับมีสายฟ้าฟาดดังอื้ออึงผ่านเลยไป กู่เซ่าเจ๋อพลันประหวั่นพรั่นพรึง เส้นขนทั่วทั้งร่างลุกชัน ไม่ได้ เราต้องรีบหาทางกลับคืนร่างเดิมให้ได้โดยเร็วที่สุด หากร่างกายถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของเสิ่นฮุ่ยหรู เกรงว่าเราคงจะต้องเป็นสุนัขไปตลอดชีวิต!

เมิ่งซังอวี๋มองความกังวลของมารดาออก นางลูบอาเป่าที่จู่ๆ ตัวก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยปลอบประโลมมารดาว่า “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไป ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพ หลังจากครองราชย์ก็ทรงทุ่มเทพระทัยปกครองบ้านเมือง ปราบปรามคนชั่วขจัดภัยพาล สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น มีความตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องการให้ความสำคัญกับขุนนางฝ่ายบุ๋นแต่ละเลยขุนนางฝ่ายบู๊ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่งเสริมให้แผ่นดินต้าโจวเจริญเฟื่องฟู ทำให้เผ่าหมานไม่กล้ามารุกรานอีก มอบยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบรุ่งเรืองคืนให้แก่ประชาชน เวลานี้เผ่าหมานยังไม่ล่าถอยกลับไป เจ้าแคว้นชายแดนยังไม่ถูกกำจัด วันข้างหน้ายังมีสงครามอีกมากมายที่ต้องให้ขุนศึกนักรบไปต่อสู้ สกุลเมิ่งของพวกเราจงรักภักดี ฝ่าบาทจะทรงให้คนไปทำร้ายท่านพี่ในช่วงสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นจะมิเป็นการทำให้ทหารทั้งหลายหมดขวัญและกำลังใจหรอกหรือ ท่านพ่อมีอำนาจบารมีมากมายในกองทัพ ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องวิตกให้มากไป แล้วก็บอกให้ท่านพี่เก็บตัวเสียบ้าง ทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนเสียหน่อยก็เป็นพอแล้ว ถึงแม้ไม่อาจรับรองได้ว่าฝ่าบาทจะทรงเลื่อนยศเพิ่มตำแหน่งให้เขา แต่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ก็เพียงพอ อย่างไรเสียก็มีแต่ให้บรรดาศักดิ์เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงนี้ตกอยู่กับท่านพี่ที่ไม่ได้ความถึงจะสมกับพระประสงค์ของฝ่าบาท”

กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังกระวนกระวายค่อยๆ สงบใจลงด้วยสัมผัสแห่งรักจากเมิ่งซังอวี๋ เลื่อมใสในความคิดอันรอบคอบกว้างไกลของนางอีกครั้ง สตรีผู้นี้เข้าใจเขาถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งความคิดของเขาก็มองออกหลายส่วน อีกทั้งนางยังดูเหมือนว่าจะมองประเมินเขาไว้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ในใจเขาผุดความยินดีขึ้นมารางๆ แต่ก็กลับขมวดคิ้วในทันที เขาเพิ่งจะนึกได้ว่าในเมื่อตอนนี้ตนยังสลบอยู่ แล้วเขาจะปกป้องพี่ชายของนางได้อย่างไร ความกังวลใจบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวต้องขยุ้มแขนเสื้อของเมิ่งซังอวี๋พร้อมกับร้องหงิงๆ แต่คำพูดต่อมาของหลินซื่อก็ทำให้เขาหยุดกิริยาอย่างรวดเร็ว ทว่าในใจกลับทวีความสับสนอลหม่านมากขึ้น

หลินซื่อซึ่งพลันลุกขึ้นยืนดึงแขนของบุตรสาวไว้พลางเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “พี่ชายของเจ้ายังมีพวกเราคอยปกป้อง แต่เจ้าจะทำอย่างไรเล่า วังหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่กลืนกินผู้คน ทุกวันล้วนมีคนตายไปอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ บัดนี้เสิ่นฮุ่ยหรูมีอำนาจขึ้นมา เจ้าก็ไม่ได้มีประโยชน์กับฝ่าบาทแล้ว นางต้องหาวิธีร้อยพันมาจัดการกับเจ้าเป็นแน่”

“เอ๋งๆๆ!” สิ้นเสียงของหลินซื่อ กู่เซ่าเจ๋อก็ใช้เท้าหน้าเกาะเกี่ยวคอเสื้อของเมิ่งซังอวี๋ไว้ ร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ในยามนี้เขาโกรธแค้นที่ตนเข้ามาสิงในร่างสุนัขตัวเล็กๆ ตัวนี้ แม้อยากจะปกป้องสตรีผู้นี้ก็ยังจนปัญญา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลับคืนร่างเดิมเลย หากเขาสิงอยู่ในร่างสุนัขล่าเนื้อที่โหดเหี้ยมดุร้ายยังดีเสียกว่า!

“ท่านแม่อย่าร้อนใจไป” เมิ่งซังอวี๋ตบหลังมือของหลินซื่อเบาๆ ประคองให้นางนั่งลง แล้วจึงหอมศีรษะขนปุยของอาเป่า เอ่ยเสียงค่อย “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงไม่คิดจะเอาชีวิตของสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งหรอก ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรูคงไม่ยอมให้ข้าตายอย่างแน่นอน นางอยากให้ข้าเฝ้ารอดูนางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาให้เต็มตา อยากให้ข้ามองดูนางมีเกียรติและยศศักดิ์ไปตลอดชีวิต อยากให้ข้าอยู่ไม่สู้ตาย ในใจของนาง นี่ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่สาแก่ใจที่สุด แค่เจียมตัวเท่านั้นเอง ขนาดชายชาตรีอย่างท่านพ่อยังทำได้ แล้วนับประสาอะไรกับข้า? ในสายตาของข้า ความหยิ่งทะนงไม่ได้ควรค่าพอให้ใช้ชีวิตไปแลกมาเลย ขอแค่มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเรื่องใดก็นับว่าดีทั้งนั้น ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจ ข้าชินเสียแล้ว อีกทั้งไม่รู้สึกขมขื่นแต่อย่างใด”

หลินซื่อดึงมือบุตรสาวไว้อย่างดึงดัน สีหน้าโศกเศร้าเป็นที่สุด อ้าปากอยู่หลายครั้งแต่ก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อ หยาดน้ำตาเอ่อขึ้นทีละนิด สกุลเมิ่งไปหาเรื่องเทพเจ้าองค์ไหนไว้หนอ ท่านถึงได้โหดร้ายกับบุตรธิดาของนางถึงเพียงนี้…

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อปวดแปลบ แม้แต่เสียงร้องหงิงๆ ก็เปล่งไม่ออก เท้าหน้าของเขาตบลงบนหลังมือของเมิ่งซังอวี๋ครั้งแล้วครั้งเล่า ได้แต่กล่าวในใจว่า ซังอวี๋ เจ้าวางใจเถิด เราจะหาทางกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย จะมิให้ผู้ใดแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ!

เมิ่งซังอวี๋เช็ดหยาดน้ำที่หางตาให้หลินซื่ออย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ยามที่นางทะลุมิติมาได้อาศัยอยู่ในร่างของทารกเพศหญิงของสกุลเมิ่งที่เพิ่งลืมตาดูโลก ความรักความผูกพันที่มีต่อท่านพ่อและท่านแม่สกุลเมิ่งลึกซึ้งกว่าพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบในชาติภพก่อนมากนัก

บุตรสาวที่ได้รับความขมขื่นอย่างใหญ่หลวงกลับต้องเป็นฝ่ายปลอบใจตน พอคิดได้เช่นนี้หลินซื่อจึงเช็ดน้ำตาที่หางตาออกไปทันที ฝืนแย้มยิ้มพลางกล่าว “แม่ไม่เป็นไรหรอก เจ้าลูกสุนัขตัวนี้แม้จะมีรูปร่างอัปลักษณ์แต่กลับฉลาดแสนรู้ยิ่งนัก เจ้าดูสิ มันกำลังปลอบใจเจ้าอยู่ด้วย!”

เมิ่งซังอวี๋ก้มหน้าลงถึงได้เห็นว่าอาเป่ากำลังตบหลังมือของนางเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างน้อยๆ ตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง นางผลิยิ้มออกมาทันที “สุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด มันไวต่ออารมณ์ของมนุษย์อย่างยิ่ง บางทีมันอาจจะรู้สึกได้ว่าข้ากำลังเสียใจ อาเป่าของข้าช่างเอาใจใส่เสียจริง!” สิ้นคำนางก็จับเท้าหน้าทั้งสองของอาเป่าเอาไว้ แล้วจรดจุมพิตลงบนฝ่าเท้านุ่มนิ่มของมัน

มีบางสิ่งบางอย่างระเบิดอยู่ในหัวใจจากนั้นก็ผลิบาน กระตุ้นให้หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเต้นแรง ไม่อาจควบคุมตัวเอง เขามองดวงหน้าแย้มยิ้มงดงามกระทบใจของเมิ่งซังอวี๋อย่างโง่งมจนลืมหายใจ

เมื่อเห็นว่าในรอยยิ้มของบุตรสาวไม่มีเค้ารอยเมฆหมอกอึมครึมแม้แต่น้อย หลินซื่อก็วางใจ นางสนทนาเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวอีกเล็กน้อย ครั้นได้เวลาก็หยัดกายขึ้นกล่าวอำลา

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเอาไว้ ด้านหลังมีแม่นมเฝิงซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคอยเดินตาม

กระทั่งถึงหน้าประตูตำหนักกลาง ครั้นเห็นเหล่านางกำนัลยืนห่างออกไปไกลๆ หลินซื่อก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะดึงมือบุตรสาวเอาไว้พลางกล่าวเสียงต่ำ “ลูกเอ๋ย รอให้บิดาของเจ้าลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพและมอบอำนาจทางการทหารคืน เจ้าก็ไปร้องขอให้ฝ่าบาทพระราชทานบุตรให้สักคนเถิด หากแก่ตัวไปจะได้มีที่พึ่งพิง”

“ตำแหน่งและพื้นเพครอบครัวของข้ายิ่งใหญ่และสูงส่งเกินไป หากมีบุตรจะต้องกลายเป็นหนามยอกอกของเหลียงเฟยและหลี่กุ้ยเฟยเป็นแน่ ฝ่าบาทเองก็ทรงมิได้เอาพระทัยใส่กับบุตรธิดามากนัก หากให้เกิดมาแล้วถูกผู้คนรุมปองร้าย สู้ไม่ให้เกิดมาจะดีกว่า” เมิ่งซังอวี๋เม้มปากน้อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้างเฉยชา

กู่เซ่าเจ๋อใช้เท้าหน้ากุมศีรษะเอาไว้ อยากมุดรูหนีไปใจจะขาด ความเย็นชาในน้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋กำลังทิ่มแทงหัวใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ลูกเอ๋ย ไฉนเจ้าถึงได้มีชีวิตขมขื่นถึงเพียงนี้นะ…” วาจาของหลินซื่อเจือด้วยเสียงสะอื้นไห้ ขอบตาเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

“เอาล่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจแทนข้าหรอก ไม่มีลูกแต่ก็ยังมีอาเป่า มันฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ ไม่มีอะไรผิดแผกจากเด็กเล็กๆ เลยสักนิด หากข้าตั้งใจดูแลให้ดี มันก็จะสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้าได้ถึงสิบยี่สิบปี แค่มีอาเป่าข้าก็พอใจแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ตบก้นอาเป่าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็จับเท้าหน้าข้างหนึ่งของมันโบกให้มารดา กล่าวหยอกเล่นว่า “มา อาเป่ารีบบอกลาท่านยายเร็วเข้า!”

กู่เซ่าเจ๋อกระอักกระอ่วนเป็นหนักหนา แต่เพื่อให้เมิ่งซังอวี๋มีความสุข เขาจึงเห่าอย่างรู้กาลเทศะ “โฮ่ง”

“เป็นเด็กดีจริงๆ ด้วย!” หลินซื่อถูกบุตรสาวและสัตว์เลี้ยงหยอกล้อจนหัวเราะขบขัน นางตบศีรษะอาเป่าเบาๆ แล้วออกจากวังปี้เซียวไปโดยที่หันกลับมามองทุกก้าวสองก้าว

บทที่แปด

รักคนผิด

รอจนกระทั่งหลินซื่อเดินจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ถึงเดินกลับตำหนักบรรทมอย่างเชื่องช้าทีละก้าวๆ แม่นมเฝิงซึ่งเดิมทีตามอยู่ด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญหายอ้าปากอยากจะเอ่ยวาจาอยู่หลายครั้งแต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้

“แม่นมมีอะไรก็ถามมาเถิด” เมิ่งซังอวี๋ลูบเส้นขนบนหลังของอาเป่า เอ่ยปากเบาๆ

“เต๋อเฟยเพคะ ฮูหยินเมิ่งกล่าวว่าพระองค์ทรงคอยต้านภยันตรายแทนเหลียงเฟย นางหมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ ระ…หรือว่าความโปรดปรานที่ฝ่าบาททรงมีต่อพระองค์เป็นเรื่องหลอกลวง?” แม่นมเฝิงยังคงยากจะรับความจริงอยู่บ้าง

“ใช่แล้ว ฝ่าบาทโปรดข้าเพราะเพื่อจะยกสกุลเมิ่งให้คานอำนาจกับสกุลของฮองเฮาและสกุลหลี่ ข้าเป็นแค่หอกเล่มหนึ่งในพระหัตถ์ของฝ่าบาท พระองค์ทรงชี้ไปทางไหนข้าก็ต้องแทงไปทางนั้น ไม่อาจฝ่าฝืน จุดจบของการฝ่าฝืนคืออะไร เจ้าดูสกุลของฮองเฮาในตอนนี้ก็รู้แล้ว ส่วนเหลียงเฟย นางก็เข้าวังมาสามปีเหมือนกับข้า ทั้งยังได้เลื่อนขั้นถึงห้าขั้นภายในสามปีเช่นเดียวกัน พระเมตตาที่มีต่อนางไม่น้อยไปกว่าข้าเลย ทว่าฝ่าบาททรงตั้งพระทัยให้ข้ากดนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ข้ากลายเป็นชายาคนโปรดที่ผู้คนพากันจับจ้อง ส่วนนางก็หลบอยู่หลังอำนาจบารมีของข้าแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เจ้าว่าระหว่างข้ากับนาง ฝ่าบาททรงดีกับผู้ใดกันแน่” น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋เรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน ไม่มีความน้อยอกน้อยใจ และไม่มีความขุ่นเคือง ราวกับว่ากำลังเล่าเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตน

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” แม่นมเฝิงพึมพำ แววตาเหม่อลอย จมสู่ห้วงความทรงจำ ทว่าทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมา ถามอย่างเร่งร้อน “ถ้าเช่นนั้นยาบำรุงครรภ์ที่ฝ่าบาททรงให้คนนำมาให้พระองค์เป็นพิเศษนั่นคือ…คือ…”

“อืม ท่านพ่อมีทหารนับร้อยหมื่นนายอยู่ในมือ หากข้ามีพระโอรส เพื่อปกป้องข้าและลูก ท่านพ่อคงจะไม่ยอมลงจากตำแหน่งเป็นแน่ หากบัณฑิตหรือปัญญาชนคิดอยากจะช่วงชิงแผ่นดินต้องเหนื่อยยากเปลืองความคิดมากมาย แต่หากขุนศึกเกิดใจคิดต่อต้าน แค่ถือดาบในมือขึ้นมาก็พอแล้ว ฝ่าบาททรงระแวงอย่างมากว่าญาติพี่น้องของสนมชายาจะคิดกุมอำนาจไว้ในมือ พระองค์ทรงไม่ยอมให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่แค่ข้า เจ้าคิดว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์เช่นไรเล่า เป็นเพราะถูกข้าขู่เข็ญจนตายอย่างนั้นหรือ นางถูกฝ่าบาทพระราชทานความตายให้ต่างหาก ถูกสตรีทั่วทั้งตำหนักในขู่เข็ญจนตาย!” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย็น แววตาทอดมองไปยังขอบฟ้านอกหน้าต่าง ไม่ได้สังเกตเลยว่าอาเป่าที่นอนหมอบอยู่บนตักนางตัวแข็งทื่อขณะมองไปยังแววตาของนาง

“ฮองเฮามิได้ทรงถูกท่านขู่บังคับจนสิ้นพระชนม์?” แม่นมเฝิงถามด้วยสีหน้างุนงง

“สกุลของนางล่มสลายแล้ว พระโอรสที่คลอดออกมาก็สิ้นชีวิต ทั้งร่างกายก็เหมือนกับตะเกียงไร้น้ำมันที่ใกล้มอดดับ ข้าขู่เข็ญบังคับนางแล้วจะได้ประโยชน์อันใดเล่า นางเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสี สงสัยว่าโอรสของตนถูกข้าวางยาพิษ พยายามสุดชีวิตที่จะลากข้าให้พังพินาศไปด้วยกัน ข้าย่อมไม่นั่งรอภัยเฉยๆ เป็นแน่”

เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจเฮือก เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงต่ำเบา

“ข้าแค่ไปหาและเล่าความจริงทั้งหมดให้นางฟังก็เท่านั้น ข้ามิเคยลงมือกับเด็ก หากนางสงบใจลงแล้วให้คนไปสืบดูก็จะรู้เองว่าทั่วทั้งวังนี้นอกจากข้าแล้วยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยลงมือกับครรภ์ของนาง ฉากกันลมของเสียนเฟย ถุงหอมของเฉินเฟย หนังสือนิทานของลี่เฟย กำยานของนางกำนัลคนสนิท…แม้แต่เหลียงเฟยผู้บริสุทธิ์สูงส่งก็ส่งเครื่องลายครามเคลือบพิษไปให้ชุดหนึ่ง นางไม่ไปหาคนพวกนี้ แต่กลับมาแก้แค้นกับโล่กันธนูอย่างข้าคนนี้ ข้าไม่อาจปล่อยให้นางตายตาไม่หลับ วันถัดจากที่ข้าไปหา นางคงจะสืบจนรู้ความจริงแล้วจึงได้จากไปด้วยโทสะที่รุมเร้าหัวใจเช่นนั้น คนบางคนมิได้บรรลุเป้าหมายในการยืมดาบฆ่าผู้อื่น จึงสร้างคำครหาเพื่อให้ฝ่าบาททรงจัดการกับข้า แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้ายังมีประโยชน์กับฝ่าบาท พระองค์จึงมิได้ทำอะไร สุดท้ายจึงได้แต่ทำให้พวกนางผิดหวัง”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” นอกจากคำพูดนี้ แม่นมเฝิงที่กำลังตื่นตกใจก็หาวาจาอื่นใดมาแสดงความรู้สึกของตนไม่ได้อีกแล้ว

กู่เซ่าเจ๋อกลายเป็นรูปปั้นหินไปโดยสมบูรณ์ หากเมิ่งซังอวี๋ไม่พูด เขาก็คงหลงคิดว่าฮองเฮาถูกนางขู่เข็ญจนตายไปตลอด สกุลของฮองเฮาล่มสลายไปแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะเอาชีวิตของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านั่นเป็นโอรสองค์โตที่เขาเฝ้าคิดคะนึงถึง ยามนั้นได้ยินข่าวว่าพอเต๋อเฟยเข้าพบฮองเฮา นางก็สิ้นชีวิตไปอย่างคับแค้นใจ เขาพยายามสะกดความเดือดดาลเอาไว้สุดชีวิต นับแต่นั้นมาพอเห็นเต๋อเฟยก็ราวกับเห็นอสรพิษ รังเกียจสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นแค่ใบไม้บังตา เขาถูกสตรีกลุ่มหนึ่งเล่นละครตบตาเสียแล้ว! ยังมีเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งที่แท้ก็แอบลงมือด้วยเช่นกัน! บริสุทธิ์สูงส่ง? ดี! ช่างเป็นสตรีที่บริสุทธิ์สูงส่งยิ่งนัก!

“ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าคิดว่าพี่ชายของข้ากลายเป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไรเล่า ตอนเขาเยาว์วัยฉลาดล้ำเลิศเพียงใด แม่นมเฝิงคงมิได้จำไม่ได้กระมัง เขาถูกท่านพ่อและท่านแม่เลี้ยงดูอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ ด้วยความจงใจ! เพราะจวนกั๋วกงที่มีคุณงามความดีสะท้านบัลลังก์มิต้องการผู้สืบทอดที่ฉลาดเป็นเลิศ ความสามารถสูงส่งเหนือคนทั่วไป เพราะนั่นจะเป็นการมอบความตายให้บุตรของตนกับมือ แม้ว่าจะเป็นการคว้านหัวใจของบิดามารดา แต่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาจะมีหนทางใดได้อีกเล่า” เมิ่งซังอวี๋ก้มศีรษะ ใช้มือปิดดวงตาเอาไว้ ไม่ยอมให้ผู้อื่นเห็นหยาดน้ำตา

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเกร็งแน่น ไม่กล้ามองสีหน้าของนางแม้แต่น้อย

“ลำบากเต๋อเฟยแล้วเพคะ! เหตุใดพระองค์ไม่ตรัสบอกบ่าวให้เร็วกว่านี้เล่า” แม่นมเฝิงคุกเข่าข้างเท้านาง ร่ำไห้น้ำมูกน้ำตาไหล

“แม่นมรีบลุกขึ้นเถิด” เมิ่งซังอวี๋รีบพยุงนางให้ลุกขึ้น อธิบายเสียงนุ่มนวล “แม่นม เจ้ามีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เก็บเรื่องราวเอาไว้ไม่อยู่ หากให้เจ้ารู้เรื่องราวเหล่านี้ ยามฝ่าบาทเสด็จมาเจ้าก็คงจะเผยร่องรอยอย่างไม่อาจเลี่ยง ทำให้ฝ่าบาททรงเกิดคลางแคลงพระทัยได้ ข้าจึงปิดบังเรื่องนี้กับเจ้ามาโดยตลอด แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เหลียงเฟยได้สมปรารถนา ท่านพ่อก็ใกล้จะส่งคืนอำนาจทางทหารแล้วลาออกจากราชการ ข้าไม่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาทอีกแล้ว หากไม่ให้เจ้ารู้ความจริง ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะมาเร่งเร้าให้ข้าไปแก่งแย่งชิงดีอีก แบบนั้นข้าก็คงจะลำบากใจ”

“เต๋อเฟยเพคะ หม่อมฉันช่างโง่เขลานัก หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้วเพคะ” แม่นมเฝิงชี้นิ้วขึ้นฟ้าพร้อมกับกล่าวสาบานทันที ในใจทั้งละอายทั้งเสียใจ

“ข้าเชื่อแม่นม” เมิ่งซังอวี๋แหงนหน้า บังคับให้หยดน้ำในดวงตาไหลกลับเข้าไป ก่อนจะเอ่ยด้วยสุ้มเสียงเบิกบานแผ่วเบาทว่าแฝงด้วยแรงกระตุ้นอันน่าประหลาด “ต่อไปพวกเราต้องเริ่มวันคืนอันยากลำบากแล้ว ข้ายังมีเรื่องมากมายต้องอาศัยแม่นม แม่นมจะดูแลข้าและช่วยเหลือเหมือนที่ผ่านมากระมัง”

“หม่อมฉันยินดีสละชีพเพื่อพระองค์ ต่อให้ต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธเพคะ!” แม่นมเฝิงเช็ดน้ำตาจนแห้ง มีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“แม่นมพูดเกินไปแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ส่ายหน้าพลางหลุดหัวเราะ น้ำเสียงระคนแววหยอกล้อ “ความจริงแล้วข้าไม่ได้น่าสงสารสักเท่าไร ในวังนี้ยังมีคนที่น่าสงสารกว่าข้า ทุกครั้งที่นึกถึงคนผู้นั้น ในใจข้าก็จะรู้สึกสบายขึ้น”

“เป็นใครหรือเพคะ” แม่นมเฝิงถามด้วยความสนใจ

“คนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม ความสามารถ หรืออุปนิสัย เหลียงเฟยล้วนไม่มีด้านใดเป็นเลิศ แต่นางมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งคือไม่มีครอบครัวที่มีอำนาจใหญ่คับฟ้า อีกทั้งยังมีลักษณะเย่อหยิ่งสูงส่ง ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดี ให้ความรู้สึกว่าไม่แยแสในลาภยศสรรเสริญ การรักใคร่สตรีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดและสบายใจที่สุด ไม่ก่อภัยคุกคามต่อพระราชอำนาจ ที่ฝ่าบาททรงรักมิใช่ตัวนาง แต่เป็นความรู้สึกปลอดภัยเช่นนั้น แม้แต่ความรู้สึกของตนก็ยังต้องคิดคำนวณเป็นชั้นๆ ต้องมีชีวิตอยู่ในกรงขังที่ตัวเองสร้างขึ้น เจ้าว่าฝ่าบาททรงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดหรือไม่เล่า”

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือฝ่าบาททรงรักคนผิดเสียแล้ว! เสิ่นฮุ่ยหรูรักแต่ตัวพระองค์ไม่ได้รักอำนาจของพระองค์จริงหรือ ก็ไม่แน่กระมัง เมิ่งซังอวี๋หลุบนัยน์ตา ส่ายศีรษะพลางหัวเราะหยัน

หลังจากแม่นมเฝิงคิดได้ก็พยักหน้า บนใบหน้าปรากฏแววทอดถอนใจขึ้นหลายส่วน

กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองไปยังเมิ่งซังอวี๋ด้วยสายตาวาววับ ในใจสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แรงกล้าบางอย่าง ราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาดโจมตีปราการหัวใจก็ไม่ปาน

ไฉนสตรีผู้นี้ถึงได้ปราดเปรื่องหลักแหลมถึงเพียงนี้ สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางมองปราการหัวใจที่เขาห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนาออกจนหมด! เขาคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่เข้าใจเขาที่สุดอยู่ตรงหน้านี้เอง

เจ้าใส่ใจเราถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าจะคิดกับเราหัวใจที่หมดอาลัยตายอยากของกู่เซ่าเจ๋อเต้นรัวบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

“เต๋อเฟยทรงเข้าพระทัยฝ่าบาทถึงเพียงนี้ พระองค์คงผูกพระทัยลึกซึ้งกับฝ่าบาทใช่หรือไม่เพคะ” แม่นมเฝิงเอ่ยความฉงน มีเพียงความรักเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้สตรีผู้หนึ่งใส่ใจบุรุษได้ถึงเพียงนี้

กู่เซ่าเจ๋อเบิกนัยน์ตาดำขลับขึ้นทันใด รอคอยคำตอบของนางอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง

“ผูกใจลึกซึ้ง?” เมิ่งซังอวี๋คิดทบทวนสี่คำนี้ สีหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แม่นม เจ้าจะหลงรักคนที่หลอกใช้เจ้า ทำร้ายเจ้า พอเจ้าหมดประโยชน์ก็ทิ้งไปไม่ไยดีหรือไม่ ข้ามิใช่พวกชมชอบความรุนแรง คงไม่รนหาที่ตายกระมัง ฝ่าบาทกับข้ามีความสัมพันธ์แบบเจ้าเหนือหัวและผู้อยู่ใต้อาณัติ เป็นความสัมพันธ์แบบหลอกใช้ซึ่งกันและกัน ไม่มีอื่นใดอีก สตรีที่มีจิตใจมีความรู้สึกไม่มีชีวิตรอดในวังนี้หรอก”

หัวใจที่เต้นรัวบ้าคลั่งของกู่เซ่าเจ๋อพลันหยุดลงในทันใด นอกจากเมฆหมอกมืดมัว ในสมองก็เหลือเพียงคำว่าหลอกใช้ซึ่งกันและกัน

สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงค่อยๆ ผ่อนคลายลง หลังจากละล้าละลังอยู่ชั่วครู่ก็ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเต๋อเฟยทรงเคียดแค้นฝ่าบาทหรือไม่เพคะ”

กู่เซ่าเจ๋อเกร็งสันหลังและหาง รู้สึกว่าตนกำลังจะหายใจไม่ออก

“คิกๆ” เมิ่งซังอวี๋โบกมือพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาราวกับได้ยินเรื่องตลก “ข้าจะไปเคียดแค้นฝ่าบาททำไมกัน เคียดแค้นพระองค์แล้วข้าจะได้อันใดเล่า เจ้าคิดว่าข้าไม่มีหนทางเลี่ยงยาพวกนั้นจริงๆ หรือ ข้าแค่ไม่อยากกำเนิดบุตรให้แก่ฝ่าบาทก็เท่านั้น ไร้รักก็ไร้ความเกลียดชัง หากต้องสิ้นเปลืองความรู้สึก ทนทุกข์ทรมานเพราะพระองค์ มิสู้รักตัวเองให้มากๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียยังจะดีกว่า แม่นม เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่”

แม่นมเฝิงยิ้มขึ้นมาด้วยความอุ่นใจ พยักหน้าพลางกล่าวว่า “เพคะ” ไม่หยุด

แต่สำหรับกู่เซ่าเจ๋อแล้ว วาจานี้กลับกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่อาจทับอูฐตาย ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับหัวใจถูกฉีกกระชากแผ่ลามมาจากหน้าอก เขาคร่ำครวญด้วยความขมขื่น กระโดดลงจากตักของเมิ่งซังอวี๋และวิ่งออกไปนอกตำหนัก เขาอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ตามลำพังเพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบีบคั้นนี้ให้กระจ่าง

แม้เห็นอาเป่าวิ่งออกไป แต่เมิ่งซังอวี๋ก็มิได้สนใจนัก แค่นึกว่ามันอยากจะออกไปวิ่งเล่นสักประเดี๋ยว ระยะนี้อาเป่าว่านอนสอนง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องให้คนเฝ้าดูแล้ว เวลาที่วิ่งเล่นก็จะอยู่ในบริเวณต่างๆ ของสวนดอกไม้ไม่เกินครึ่งชั่วยาม นางจึงปล่อยมันไปตามใจชอบ

แต่คราวนี้นางคาดการณ์ผิดไป ครั้งนี้อาเป่าวิ่งออกไปก็หายไปถึงสองชั่วยามกว่า กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นก็ยังไม่กลับมา

“เต๋อเฟยเพคะ ที่ที่อาเป่าชอบไปล้วนหาดูจนหมดแล้ว แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของมันเลยเพคะ” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรีบร้อนเข้ามาจากนอกตำหนัก กล่าวรายงานเสียงเบา

“หาอีก! หาดูให้ละเอียด!” สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋เคร่งเครียด ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงด้วยความกระวนกระวาย ในวังหลวงที่สกปรกน่ารังเกียจแห่งนี้แม้กระทั่งคนก็ยังถูกกัดกินได้ แล้วนับประสาอะไรกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง? เพราะเก็บกดมาเป็นเวลานาน ชาววังจึงล้วนมีความบิดเบี้ยวในหัวใจไม่มากก็น้อย พวกวิปริตที่ชอบนำคนและสัตว์ตัวน้อยๆ มาระบายอารมณ์ก็มีอยู่บ้างเช่นกัน

“เพคะ!” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรู้สึกได้ถึงความว้าวุ่นในใจของผู้เป็นนาย จึงส่งนางกำนัลมากมายออกไปตามหา

เมิ่งซังอวี๋รออยู่สามเค่อ เมื่อเห็นอาทิตย์อัสดงแดงฉานดุจโลหิตลอยอยู่เหนือชายคาของตำหนักแห่งหนึ่ง ท้องนภาเริ่มมืดสลัว ทั้งไอเย็นก็ค่อยๆ ปะทะเข้ามา สภาพอากาศที่แตกต่างกันมากในยามกลางวันและกลางคืนเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด ในใจก็ยิ่งทวีความกระสับกระส่ายอย่างอดไม่อยู่

“ขนแหว่งแล้วยังกล้าออกไปเล่นสนุกจนถึงป่านนี้! ถ้าเจอตัวล่ะก็เจ้าโดนสั่งสอนหนักเป็นแน่” นางนั่งไม่ติดที่ เดินวนไปมาในตำหนักไม่หยุด ปากก็บ่นพึมพำ

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ปี้สุ่ยก็เข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ เมิ่งซังอวี๋รีบซักไซ้ทันที

“หาเจอหรือยัง”

“เต๋อเฟยโปรดอภัย หม่อมฉันหาทั่วทั้งวังปี้เซียวก็ไม่พบอาเป่าเพคะ แต่องครักษ์ที่เฝ้ายามหน้าประตูวังก็บอกว่าไม่เห็นอาเป่าวิ่งออกมาเช่นกัน หม่อมฉันกลัวพระองค์จะทรงเป็นห่วงจึงรีบกลับมารายงานก่อน แล้วจะนำคนออกตามหาต่อเพคะ” ปี้สุ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว

“ไปเถอะ” เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว โบกมือให้ปี้สุ่ยออกไป ส่วนตนก็เดินไปมาอย่างร้อนรนไม่สบายใจอยู่ในตำหนัก

“เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าตัวกลมๆ เล็กๆ อาจจะแอบอยู่ตามมุมตามซอกก็เป็นได้ เราค่อยให้คนหาให้ดีๆ พระองค์อย่ากังวลไปเลยเพคะ เกรงว่ามันคงจะซุกตัวหลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง พอตื่นขึ้นมาก็คงกลับมาเองเพคะ” แม่นมเฝิงปลอบโยนเสียงนุ่มนวล หากเป็นเมื่อก่อนอาเป่าจะหายไปก็ช่างปะไร นางคงไม่พะว้าพะวังด้วยเป็นแน่ แต่ยามนี้นางรู้แล้วว่าอาเป่ามีความหมายพิเศษต่อผู้เป็นนาย นางเองจึงอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้

“หลับ?” ดวงตาหงส์ของเมิ่งซังอวี๋ลุกวาว รีบสาวเท้าเข้าไปยังตำหนักบรรทมในทันที พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็เดินตรงไปยังหน้าเตียงไม้จันทน์สลักหลังใหญ่อันหรูหรางดงาม เลิกผ้าปูที่นอนขึ้น ก่อนจะย่อตัวมองลงไปด้านล่าง

ร่างเล็กกลมของอาเป่านอนหมอบอยู่ใต้เตียงจริงดังคาด มันกำลังกะพริบดวงตาที่ราวกับผลองุ่นคู่นั้นปริบๆ มองมาทางนางราวกับได้รับความตื่นตระหนก

“หาเจ้าเจอแล้ว!” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ ลอบครุ่นคิดในใจว่าลูกหมาลูกแมวล้วนชอบหนีเข้าไปใต้เตียงจริงๆ!

กู่เซ่าเจ๋อยังไม่ได้เตรียมใจจะเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ก็เห็นดวงหน้างามกระจ่างเลิศล้ำของนางอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงพลันหายใจติดขัด ยกสองเท้าหน้าขึ้นปิดดวงตาของตนด้วยสัญชาตญาณ

“เป็นอะไรไป เจ้าตัวน้อยรีบออกมาเร็วเข้า!” ความกระวนกระวายและเพลิงโทสะในหัวใจถูกท่าทางน่ารักน่าชังของอาเป่าทำให้มอดดับไปในพริบตา เมิ่งซังอวี๋ร้องเรียกโดยที่หัวเราะก็ไม่ออกจะร้องไห้ก็ไม่ได้

“ดูท่าทางเหมือนอาเป่ากำลังเสียใจนะเพคะ” แม่นมเฝิงย่อกายมองสังเกตและเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย ลูกสุนัขตัวนี้เฉลียวฉลาดเกินไปแล้วกระมัง เงาร่างที่ขดตัวอยู่ในความมืดแผ่กลิ่นอายทอดอาลัยออกมา

สีหน้าของเมิ่งซังอวี๋พลันเคร่งเครียด ลอบคิดกับตัวเองว่ามิใช่ว่านางคิดไปเองจริงๆ ด้วย อาการของอาเป่าผิดปกติอย่างยิ่ง นางมิใช่คนในสมัยโบราณที่แสดงท่าทีเย็นชาต่อสัตว์ นางรู้ดีว่าสัตว์ตัวน้อยก็มีความคิดความรู้สึกเช่นกัน พวกมันรู้สึกถึงทั้งทุกข์และสุข ก่อนหน้านี้อาเป่าได้รับบาดเจ็บมาสองครั้ง ซ้ำเดือนนี้ยังถูกบังคับให้อยู่แต่ในวังปี้เซียว ออกไปไหนไม่ได้ เมื่อครู่ยังถูกอารมณ์ด้านลบของนางและมารดากระทบกระเทือนเข้า มันคงมิใช่กำลังหม่นหมองใจเข้ากระมัง?

“อาเป่ารีบออกมาเร็ว มาหาข้าเร็วเข้า ข้าจะทำของอร่อยๆ ให้ เล่นเป็นเพื่อน พาเจ้าไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงทุกเช้าเย็น…” นางปะเหลาะไม่เลิก สุ้มเสียงซึ่งเดิมทีก็นุ่มนวลอ่อนโยนอยู่แล้วยามนี้ยิ่งเจือด้วยเสน่ห์อันน่าประหลาด ทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อโดยตรง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมื่อก่อนเขาเชื่อมั่นค่อยๆ พังทลายลง เมื่อชีวิตพลิกผันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง สำหรับกู่เซ่าเจ๋อแล้วช่วงเวลานี้ทุกข์ทรมานยิ่งนัก เขาไม่เคยคิดทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้มาก่อน และมิเคยมองจุดอ่อนของตนอย่างกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นกัน เขาลำเอียงเข้าข้างคนใกล้ตัว หวาดระแวงคนรอบข้างมากเกินไป ขาดความสามารถในการมองผู้อื่น เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง วางอำนาจบาตรใหญ่ แยกแยะถูกผิดไม่ออก การที่ขุนนางเอาใจออกห่างก็เป็นเพียงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้ที่ราชสำนักอลหม่านวุ่นวายก็มิใช่ข้อพิสูจน์ที่ดียิ่งหรอกหรือ

เขารังเกียจชิงชังตัวเองนัก พะว้าพะวังไม่สบายใจ เสมือนตกอยู่ในโคลนตมยากจะหลุดพ้น เขาคิดว่าหากตนได้อยู่เงียบๆ คนเดียวก็อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่เมื่อใบหน้างามเฉิดฉันของเมิ่งซังอวี๋ปรากฏขึ้น เมื่อนางแย้มยิ้มพริ้มพราย พร้อมทั้งกล่าววาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อ่อนโยนลอยเข้าหูและห้องหัวใจของเขาทีละคำๆ เขาก็วางเท้าหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ลุกยืนขึ้น แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากใต้เตียงราวกับถูกล่อลวง โถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดที่รอคอยอยู่เนิ่นนานนั้นโดยที่ไม่อาจควบคุม

“อาเป่าเด็กดี ดีมาก…” เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมา จุมพิตแล้วจุมพิตอีกบนริมฝีปากน้อยๆ ของมัน ปากก็พูดพึมพำคำปลอบโยนไม่หยุด ความรักใคร่เวทนาแสดงออกมาทั้งทางการกระทำและคำพูด

กู่เซ่าเจ๋อร้องครวญ แลบลิ้นเลียริมฝีปากงดงามตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น แอบใคร่ครวญในใจว่า รอให้เรากลับคืนร่างเดิมได้ เราจะรักเจ้า ทะนุถนอมและปกป้องเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจงอย่าได้เอ่ยวาจาทิ่มแทงจิตใจเราอย่างเมื่อครู่ออกมาอีกเลย

เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่าแค่เล่นสนุกกับตน ครั้นเห็นมันร่าเริงขึ้นมาในใจก็ผ่อนลมหายใจเฮือก จุมพิตอย่างอบอุ่นอีกสองสามครา ทำให้หางน้อยๆ ของอาเป่าส่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจไม่หยุด

 

ถึงแม้ลูกสุนัขจะสดใสร่าเริงโดยธรรมชาติ แต่หากดูแลไม่ดีก็จะหม่นหมองหงอยเหงาได้ เพราะว่าพวกมันไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มากเป็นพิเศษ หากเจ้านายมีความสุขพวกมันก็จะรื่นเริง หากเจ้านายโศกเศร้าพวกมันก็จะเซื่องซึม หากเจ้านายเจ็บไข้ได้ป่วย พวกมันก็ยังจะเป็นฝ่ายดูแลเจ้านายด้วยซ้ำไป สุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาดแสนรู้ ในเมื่ออยากจะเลี้ยงก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด

เมิ่งซังอวี๋กลัวอาเป่าหม่นหมองเซื่องซึมจริงๆ จึงให้มันอยู่ข้างกายตลอดทั้งวัน คอยเล่นสนุกเป็นเพื่อน ทำอาหารใหม่ๆ ให้มันหลากหลายรูปแบบผลัดเปลี่ยนกันไป ผลคือร่างของอาเป่าพองขึ้นราวกับลูกหนังถูกเป่าลม

กู่เซ่าเจ๋อด้านหนึ่งเคลิบเคลิ้มกับความรักใคร่อ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ อีกด้านก็ใจร้อนอยากจะกลับคืนร่างเดิม แต่พอเมิ่งซังอวี๋ผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนักครั้งนี้ไปแล้ว นางก็เริ่มเฝ้าคุมอาเป่าอย่างเข้มงวดอีกครั้ง หากอาเป่าจะไปทางไหนก็มีคนตามเป็นพรวน ด้วยกลัวว่ามันจะหายตัวไปอีก

ผ่านไปเช่นนี้สี่ห้าวัน เช้าตรู่วันนี้เมิ่งซังอวี๋ก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย พาอาเป่าเข้าไปในห้องครัวของวังปี้เซียว หยิบๆ จับๆ วัตถุดิบล้ำค่ากองใหญ่เพื่อเตรียมตุ๋นน้ำแกง

“เต๋อเฟยจะทรงตุ๋นน้ำแกงให้อาเป่ากินอีกแล้วหรือเพคะ” ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยช่วยจัดเตรียมวัตถุดิบ หัวเราะคิกคักพลางถาม

อาเป่าได้ยินเช่นนี้ ร่างน้อยๆ ก็ถูไถไปมากับข้างเท้าของเมิ่งซังอวี๋ ส่ายหางอย่างเริงร่า แต่ก่อนน้ำแกงที่เต๋อเฟยส่งมา เขาใช้ให้ฉางสี่นำไปเททิ้งโดยที่ไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ บัดนี้พอคิดดูแล้วมีเพียงคำเดียวที่สามารถบรรยายตัวเองในตอนนั้นได้ นั่นคืออยู่ท่ามกลางวาสนา แต่ไม่รู้จักวาสนา! แม้ว่าฝีมือของเต๋อเฟยจะเทียบกับพ่อครัวหลวงในห้องเครื่องมิได้ แต่รสชาติของอาหารกลับทำให้สุขกายสบายใจยิ่ง

“ไม่ใช่ น้ำแกงนี้ตุ๋นให้ฝ่าบาท” เมิ่งซังอวี๋โบกมือ กำชับสั่งแม่นมเฝิงว่า “แม่นม เจ้าไปสืบข่าวมาหน่อยว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่ หากน้ำแกงนี้เสร็จแล้วพวกเราจะถวายให้ฝ่าบาท”

“เต๋อเฟย เหตุใดพระองค์ทรงต้อง…” แม่นมเฝิงขมวดคิ้ว ทว่าเมื่อเหลือบเห็นนางกำนัลคนอื่นๆ ในห้องครัวก็รีบกลืนคำพูดที่ยังเอ่ยไม่จบลงไป ยามนี้เมื่อเห็นผู้เป็นนายของตนประจบเอาพระทัยฝ่าบาท ในใจของนางก็ทรมานราวกับต้องกินแมลง

หางที่ส่ายไปมาไม่หยุดของอาเป่าพลันหยุดชะงัก ร้องครวญพลางใช้กรงเล็บตะกุยชายกระโปรงของเมิ่งซังอวี๋ ที่น่าเศร้าคือนางไม่เข้าใจการห้ามปรามของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับใช้หลังเท้าแตะก้นจ้ำม่ำของอาเป่าด้วยซ้ำไป

“แม่นมไปเถิด! ในเมื่ออยากจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ท่านพี่ อย่างไรก็ต้องแสดงออกสักหน่อย” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างขำขัน คราวนี้แม่นมเฝิงเปลี่ยนท่าทีไปจนเกินงาม ช่างซื่อตรงเปิดเผยนัก น่ารักยิ่ง

“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” แม่นมเฝิงตีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หลังจากย่อเข่ารับคำสั่งก็ส่งคนไปสืบความเคลื่อนไหวที่วังเฉียนชิง

จนกระทั่งนางกลับมาที่ตำหนักได้สักครู่ น้ำแกงก็ตุ๋นเสร็จเรียบร้อยและถูกบรรจุไว้ในกล่องอาหาร กลิ่นหอมหวนกำจายออกมาจากรอยแยกของฝาปิด ชวนให้คนน้ำลายสอ

เมิ่งซังอวี๋นั่งอยู่ข้างโต๊ะ กำลังตัดแต่งต้นสนเขียวต้นเล็กๆ ส่วนอาเป่านั่งอยู่บนโต๊ะ เหลือบมองกล่องอาหารเป็นครั้งคราว บางคราก็เหลือบมองนาง ก่อนจะใช้อุ้งเท้าเขี่ยๆ คล้ายกับคิดจะเปิดฝาออกแต่ก็กลัวเมิ่งซังอวี๋จับได้

แม่นมเฝิงที่เพิ่งกลับมาหลุบตาแอบหัวเราะ ยิ่งชื่นชอบเจ้าตัวน้อยที่ฉลาดเจ้าเล่ห์นี้มากขึ้นทุกวัน พอมีมันอยู่เป็นเพื่อนไม่ว่าเวลาใดเต๋อเฟยก็มีรอยยิ้มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

“กลับมาแล้วหรือ ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใด” เมิ่งซังอวี๋วางกรรไกรเล่มเล็กลง ส่งเสียงถามออกมา ทำให้อาเป่าที่วางเท้าหน้าลงบนฝากล่องพลันสะดุ้งตกใจ

กู่เซ่าเจ๋อรีบเก็บอุ้งเท้าแล้วนั่งตัวตรงทันที ละทิ้งความคิดที่จะเปิดฝากล่องอาหาร แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นแววยิ้มที่ฉายวูบผ่านหางตาของเมิ่งซังอวี๋ไป

“ทูลเต๋อเฟย ท่านไปวันอื่นเถิดเพคะ เช้านี้หลี่เซียงนำราชอาลักษณ์กลุ่มหนึ่งเข้าเฝ้าและเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งฮองเฮากับรัชทายาทอีกครั้ง ทำให้ฝ่าบาทพิโรธ สะบัดชายฉลองพระองค์เสด็จออกไปทันที หลังจากนั้นยังรับสั่งให้ประหารขุนนางที่ปล่อยข่าวลืออีกหลายสิบคน ยามนี้พระองค์ไปประจบเอาใจอันใดไม่ได้หรอกเพคะ” แม่นมเฝิงรายงานเสียงเบา

“อ้อ เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่สนใจนัก กล่าวเสียงต่ำ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่าบาทคงทรงยืนกรานได้ไม่นานเท่าไร สกุลเสิ่นอยากจะแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮากับสกุลหลี่ แต่การที่เสิ่นฮุ่ยหรูไม่มีบุตรชายคือจุดอ่อนของพวกเขา กอปรกับข่าวลือว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บที่ตรงนั้น ทำให้ไม่สามารถมีพระโอรสพระธิดาได้อีก สกุลเสิ่นจะต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้เป็นแน่ นอกเสียจากว่าฝ่าบาทจะทรงทำให้เหลียงเฟยตั้งครรภ์ได้ในทันทีทันใด ใช้ความจริงลบล้างข่าวลือ”

“อย่างไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเราอยู่ดีนี่เพคะ” แม่นมเฝิงเบ้ปากพลางกล่าว

“เช่นนั้นก็รออีกสองสามวัน ให้พระอารมณ์ของฝ่าบาทดีขึ้นแล้วค่อยไปก็แล้วกัน” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ เปิดฝากล่องอาหารพร้อมกับตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าอาเป่า แล้วตบศีรษะปุกปุยของมันพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “รีบกินเถิด! ข้ารู้ว่าเจ้าจ้องมันอยู่นานแล้ว”

กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้ากอดนิ้วมือของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้พลางถูไถไปมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปกินน้ำแกงอย่างอิ่มเอมเปรมใจ ความรักความอบอุ่นในดวงตาที่หลุบต่ำเลือนหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา ราชครูเสิ่นกับหลี่เซียงต่อสู้กันดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจะต้องหาวิธีกลับคืนร่างโดยเร็ว เสิ่นฮุ่ยหรูก็พึ่งพาไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไปหาฉางสี่ที่วังเฉียนชิงแล้วกัน หวังว่าฉางสี่จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

พอกินน้ำแกงเสร็จอาเป่าก็นอนหงายท้องอยู่บนหัวเข่าของเมิ่งซังอวี๋ หลับตาพริ้มอิ่มเอมกับสัมผัสแห่งความรักของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ปากเปล่งเสียงครางหงิงๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ท่าทางของอาเป่าทำให้อิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยขบขันจนไหล่สั่นไม่หยุด ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลืนเสียงหัวเราะลงคอไปได้ เพราะเต๋อเฟยกล่าวว่าอาเป่าเย่อหยิ่งและรักศักดิ์ศรียิ่งนัก พอได้ยินเสียงหัวเราะเป็นต้องแอบหนีไปทันที

เมิ่งซังอวี๋ยิ้มตาหยีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว จ้องมองเจ้าตัวน้อยที่เกียจคร้านใต้ฝ่ามือ ในใจรู้สึกรักใคร่จนแทบจะทนไม่ไหว

พุงน้อยๆ ถูกนวดจนรู้สึกสบาย น้ำแกงที่กินก็ย่อยไปพอควรแล้ว กู่เซ่าเจ๋อกลิ้งตัว กระโดดมาอยู่ข้างกล่องอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยซึ่งอยู่บนตั่งเตียง แล้วคาบลูกหนังผ้าปักข้างในออกมาใส่มือเมิ่งซังอวี๋ ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง เขาย่อมไม่นิยมชมชอบของเล่นสตรีพรรค์นี้ แต่เขาไม่อาจลืมเลือนความเศร้าสลดในดวงตาของนางยามที่เขาปฏิเสธคราวก่อน ในเมื่อนางชอบ เล่นเป็นเพื่อนนางสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร มิใช่ว่าเขาตัดสินใจไว้แล้วหรือว่าจะรักใคร่เอ็นดูนาง

“อาเป่าอยากเล่นลูกหนังผ้าปักหรือ” เมิ่งซังอวี๋ตะลึงงัน เอ่ยถามด้วยความฉงน

“โฮ่งๆ!” เสียงเห่าของอาเป่ายังเจือด้วยความน่ารักอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลูกสุนัข ทำให้คนชอบใจเป็นหนักหนา

“อาเป่าฉลาดจริงๆ ฉลาดกว่าเจ้าไหลซี* เสียอีก!” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วใช้หน้าผากจรดกับหน้าผากของมัน ดวงตาหงส์ที่มีแววยิ้มแย้มดูราวกับถูกตกแต่งด้วยดวงดาวซึ่งพร่างพราวเต็มท้องนภา สุกสกาวชวนให้ตื่นตะลึงยิ่งนัก

กู่เซ่าเจ๋อสบตากับนาง ในดวงตาเผยความหลงใหลอย่างลึกซึ้งออกมา เขาแลบลิ้นออกมาเลียเปลือกตาของนางอย่างอดใจไม่อยู่ โดยมีท่าทีเคารพเลื่อมใสและระมัดระวังเป็นที่สุด

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ พร้อมกับจุมพิตกลับ วางอาเป่าที่ยังไม่อิ่มอกอิ่มใจลงแล้วหยิบลูกหนังผ้าปักขึ้นมาขว้างออกไปนอกตำหนักที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง กู่เซ่าเจ๋อกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไปพลางเอียงหูฟัง ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะซึ่งเต็มไปด้วยความเบิกบานใจของนาง หัวใจก็ล่องลอยโผทะยานไปตามเสียงนั้นด้วยเช่นกัน

หลังจากเล่นสนุกมาถึงครึ่งชั่วยาม เมิ่งซังอวี๋ก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง จึงอุ้มมันกลับตำหนักบรรทมและวางมันลงในตะกร้าพร้อมกับห่มผ้าให้ ครั้นเห็นอาเป่าหลับสนิท นางถึงได้ล้มตัวลงนอนบนตั่งเตียง ค่อยๆ ปิดดวงตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ

หนึ่งเค่อผ่านไป กู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแอบมอง เมื่อเห็นว่าเมิ่งซังอวี๋หลับสนิท นอกตำหนักก็ไม่มีคนคอยเฝ้ายาม จึงพลิกกายปีนออกมา วิ่งไปยังประตูข้างด้านหลังอย่างคุ้นทางทันที ยามนี้องครักษ์ที่ประตูข้างกำลังผลัดเปลี่ยนเวรยาม เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะลอบหนีออกไป

เพราะช่วงนี้เมิ่งซังอวี๋ดูแลอย่างเอาใจใส่ ร่างกายของอาเป่าจึงเติบใหญ่ขึ้นมาก จากแต่เดิมที่ขนาดเท่าฝ่ามือตอนนี้ตัวโตถึงครึ่งเชียะ* แล้ว กำลังขา ความสามารถในการได้ยินและการรับกลิ่นล้วนฉับไวเป็นอย่างยิ่ง พอวิ่งผ่านอุทยานหลวงมาไม่นานก็ใกล้จะถึงวังเฉียนชิงแล้ว

กู่เซ่าเจ๋อดักซุ่มอยู่มุมหนึ่งที่อยู่ไกลจากประตูวัง รอคอยให้ถึงเวลาที่พวกองครักษ์รักษาการณ์หละหลวมอย่างใจเย็น ในเวลานั้นเองฉางสี่ซึ่งถือแส้ปัดอยู่ในมือก็เดินนำขันทีน้อยสองคนออกมาจากวังเฉียนชิง ตรงไปยังอุทยานหลวง

ดวงตากู่เซ่าเจ๋อพลันลุกวาว รีบวิ่งตามไปทันที ในสมองคิดหาวิธีไม่หยุด ปากของเขาไม่อาจเอ่ยวาจา แล้วต้องทำเช่นไรกันจึงจะดึงดูดความสนใจของฉางสี่ได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสสื่อสารกับอีกฝ่าย เขาลอบคิดไตร่ตรอง ขณะนั้นก็เดินมาถึงศาลารับลมแห่งหนึ่งซึ่งมีทัศนียภาพงดงามที่สุดในอุทยานหลวงพอดี

ในศาลารับลมเสิ่นฮุ่ยหรูนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน กำลังใช้เตาไฟเล็กๆ อุ่นเหล้ากาหนึ่ง ดอกชาภูเขาในแปลงเพาะดอกไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเบ่งบานสะพรั่ง กลิ่นหอมหวนของสุราช่วยขับเน้นให้ดอกชาภูเขาดูสวยสดยิ่งขึ้น ทัศนียภาพในยามนี้งดงามเสียจนแม้แต่จะวาดเป็นภาพออกมาก็ยังมิอาจทำได้ สนมชายาหลายคนนั่งล้อมอยู่ข้างกายนาง จิบสุราอย่างอ้อยอิ่งพลางพูดคุยหยอกล้ออย่างมีความสุข แต่นางกลับไม่สนทนาพาทีด้วย เพียงแค่พริ้มดวงตาทั้งสองข้างน้อยๆ แย้มยิ้มบางๆ ราวกับจิตใจเงียบสงบประดุจสายธาร ทั้งยังคล้ายกับไม่ยินดียินร้ายราวกับดอกเบญจมาศ ดูงามสง่าอย่างบอกไม่ถูก

ยิ่งคนรอบข้างงามล้ำเลิศก็ยิ่งขับเน้นความงามพิสุทธิ์ของนาง ยิ่งคนรอบข้างเอะอะเสียงดังก็ยิ่งขับเน้นความสงบเงียบของนาง นี่คือกลิ่นอายที่แต่ก่อนกู่เซ่าเจ๋อเคยรักมากที่สุด แต่ตอนนี้พอเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูในท่าทีเช่นนี้อีกครั้งเขากลับรู้สึกเฉยชา เพราะรู้ดีว่าท่าทางไม่คิดแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใดนี้นางล้วนเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมา ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถมากล้นไม่แพ้บุรุษ แล้วจะแพ้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมแก่สตรีคนอื่นได้อย่างไร เป็นเพราะแต่ก่อนเขามีตาหามีแวว หลอกลวงตัวเองก็เท่านั้น

ในขณะที่ความคิดและความรู้สึกของกู่เซ่าเจ๋อกำลังล่องลอย ฉางสี่ก็ได้สาวเท้าฉับไวเดินเข้าไปหาเสิ่นฮุ่ยหรูพร้อมกับถวายบังคม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างพินอบพิเทา “กระหม่อมคารวะเหลียงเฟย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จไปปรนนิบัติที่ห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นเห็นหัวหน้าขันทีแสดงท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ แววตาของสนมชายาหลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นประกายวาบเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนเสิ่นฮุ่ยหรูมิได้นำพา เพียงลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านและยกมือขึ้นพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”

ฉางสี่ค้อมกายเดินนำทาง ขณะที่สนมชายาหลายคนซึ่งอยู่ลำดับชั้นต่ำกว่าเหลียงเฟยรีบร้อนลุกขึ้นย่อเข่าถวายบังคม กล่าวอย่างพร้อมเพรียงว่า “น้อมส่งเหลียงเฟย!”

“โอ! นั่นมิใช่สุนัขของเต๋อเฟยหรอกหรือ ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่ได้” นางสนมคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วพลันมองเห็นลูกสุนัขที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จึงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ

“เหลียงเฟยทรงระวังพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะช่วยพระองค์จัดการกับเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เอง” เพราะเหลียงเฟยเคยถูกสุนัขตัวนี้ข่วนมาก่อน ทั้งยังเหลือบเห็นประกายเย็นเยียบวูบผ่านดวงตาของเหลียงเฟย ฉางสี่จึงรีบสาวเท้าเข้าไปจับอาเป่าเอาไว้โดยกระชากเส้นขนบนคอของมัน หมายจะจับโยนออกไปไกลลิบ

บ่าวสมควรตาย! เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร! ในชั่วพริบตาที่กู่เซ่าเจ๋อตะลึงงันก็ถูกฉางสี่จับเอาไว้แล้ว ผิวหนังบริเวณคอเจ็บปวดจนยากจะทานทน ในใจโกรธเป็นหนักหนา จึงหันหน้าไปงับข้อมือของฉางสี่อย่างแรง

ฉางสี่ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด โทสะพลุ่งพล่าน เขาโยนมันลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเตะออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ร่างเล็กๆ ของอาเป่าถูกเตะลอยออกไปไกลหลายจั้ง ร่วงลงในสระบัวข้างศาลารับลมดังตูม

ยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บ น้ำเย็นเฉียบก็ไหลทะลักเข้าทางปากและจมูก ความหวาดกลัวเข้าจู่โจมหัวใจอย่างท่วมท้น กู่เซ่าเจ๋อดิ้นรนสุดแรงเกิด ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ ร้องเสียงโหยหวน

“เจ้าตัวน้อยดูน่าสงสารยิ่ง ช่วยมันเสียหน่อยเถิดเพคะ” นางสนมที่อายุน้อยที่สุดผู้หนึ่งทนไม่ไหว เอ่ยปากขอความเมตตา ทุกคนหันหน้าไปมองเหลียงเฟย อาเป่าซึ่งอยู่ในน้ำก็ใช้สายตาคาดหวังมองไปทางนางด้วยเช่นกัน

“สัตว์เลี้ยงมีหน้าที่ของสัตว์เลี้ยง ถ้าลืมหน้าที่ของตนก็มิใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ ท่าทางกระเสือกกระสนของมันนับว่าน่าสนใจทีเดียว หากตายไปแล้วยังสร้างความสำราญให้ข้าได้ มันก็นับว่าได้ตายอย่างมีคุณค่าแล้ว” เสิ่นฮุ่ยหรูลูบปลอกเล็บทองคำวาววับบนนิ้วมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเย้ยหยัน

ในใจบรรดาสนมชายาทั้งหลายรู้ดีว่าวาจาของนางมีนัยแฝง จึงพากันก้มหน้า แอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ

ฉางสี่ยิ้มประจบ ค้อมกายขานรับ “เหลียงเฟยตรัสได้ถูกต้อง ฝ่าบาททรงรออยู่ เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นฮุ่ยหรูเหลือบมองอาเป่าที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสน พอเห็นว่าช่วงเวลาที่ลอยอยู่เหลือน้อยลงทุกที นางก็ยกยิ้มอย่างสำราญใจ แล้วค่อยๆ เดินนวยนาดจากไป กระทั่งนางเดินไกลออกไปแล้ว เหล่าสนมชายาก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยอาเป่าที่ใกล้จะจมน้ำเต็มที พากันแยกย้ายไปด้วยสีหน้าซีดขาว

รอจนทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว กู่เซ่าเจ๋อซึ่งมีทีท่าไร้สิ้นหนทาง ได้แต่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็พลันสงบลง ใช้เท้าทั้งสี่ตะกุยน้ำเบาๆ ว่ายกลับเข้าฝั่งอย่างช้าๆ สุนัขว่ายน้ำเป็นโดยธรรมชาติ หลังจากผ่านความตื่นตระหนกในตอนแรกไป เขาก็จับเคล็ดในการว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว แต่จิตสังหารอันเย็นยะเยือกและความเคียดแค้นในดวงตาของเสิ่นฮุ่ยหรูทำให้เขาตัดสินใจที่จะเล่นละคร ความจริงพิสูจน์แล้วว่าหากเขาไม่ทำเช่นนี้ วันนี้เสิ่นฮุ่ยหรูก็คงไม่ยอมรามือ หากเขาปีนขึ้นฝั่งได้ ไม่แน่ว่านางอาจจะเรียกนางกำนัลกลุ่มใหญ่มาเตะเขาลงไปอีก กระทั่งเขาหมดแรงจมน้ำตายไปเอง

เพราะเหตุใดนางจึงเคียดแค้นลูกสุนัขตัวหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้ คำอธิบายเดียวก็คือการถ่ายโอน นางถ่ายโอนความโกรธแค้นที่มีต่อเมิ่งซังอวี๋มาไว้บนตัวของเขา อีกทั้งฉางสี่ซึ่งเดิมทีควรจะจงรักภักดีกับเขากลับเคารพนอบน้อมนางอย่างยิ่ง คอยเดินตามไม่ห่าง เกรงว่าคงจะถูกนางซื้อตัวเอาไว้แล้ว

ฮึ เสิ่นฮุ่ยหรู เจ้าทำได้ดีมาก! เวลานั้นก็ขอให้เจ้าสามารถแบกรับเพลิงโทสะของเราได้ก็แล้วกัน!

กู่เซ่าเจ๋อปีนขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาอันน่าครั่นคร้าม

บทที่เก้า

องค์ชายผู้ต่ำช้า

 กู่เซ่าเจ๋อสะบัดหยดน้ำบนร่างออก ฝืนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดตรงช่วงท้อง ค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่วังปี้เซียวตั้งอยู่

ดูท่าว่าตอนนี้คงพึ่งฉางสี่ไม่ได้แล้ว แต่เหยียนจวิ้นเหว่ยเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับซึ่งได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนรับใช้ราชวงศ์ ความจงรักภักดีของเขาไม่เป็นที่กังขา ทว่ามักจะเร้นกายลึกลับ ไปมาไร้ร่องรอย หากคิดจะหาเขาให้เจอนั้นยากเสียยิ่งกว่าปีนขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก แล้วจะทำเช่นไรดีเล่า หรือจะบอกสถานะที่แท้จริงของเราให้เมิ่งซังอวี๋รู้ดี?

กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้ามองเท้าหน้าที่เปียกแฉะและเปรอะเปื้อนดินโคลนของตน จากนั้นก็ระงับความคิดนี้ชั่วคราวทันที ภาพลักษณ์ของเขาในใจเมิ่งซังอวี๋ย่ำแย่เป็นอย่างมาก แถมตอนนี้ยังจะไปปรากฏตัวต่อหน้านางด้วยสภาพเช่นนี้อีก เขาส่ายหน้า ไม่กล้าคิดต่อ เขาอาลัยรอยยิ้มสว่างสดใสของเมิ่งซังอวี๋ อาลัยอ้อมกอดอันอบอุ่นของนาง ยิ่งอาลัยจุมพิตหวานล้ำของนาง หากรู้ว่าอาเป่าคือตน นางจะต้องตั้งเกราะป้องกันหัวใจไว้อย่างแน่นหนาจนเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกเป็นแน่

กู่เซ่าเจ๋ออกสั่นขวัญหาย เดินผ่านทางแยกไปโดยไม่ทันระวัง ผ่านสถานที่ซึ่งบรรดาองค์ชายและองค์หญิงเล่าเรียนหนังสือ ยามนี้เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายพร้อมทั้งเพื่อนเรียนหนังสือต่างพากันทยอยเดินกลับตำหนักของตนกันเป็นกลุ่มๆ

“โอ๊ะ เจ้าตัวอัปลักษณ์นี่มันอะไรกัน” เพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายรองชี้ไปยังอาเป่าที่อยู่ตรงหัวมุมทางเดินเล็กๆ พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

เดิมทีสุนัขพันธุ์กุ้ยปินก็มีร่างกายเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้เปียกน้ำ ขนหยิกหย็องของมันจึงแนบลู่ลงกับร่างกาย อีกทั้งระหว่างทางที่เดินมายังเปรอะเปื้อนดินโคลนมากมาย มองดูแล้วก็ถึงกับแยกร่างเดิมไม่ออก ช่างอัปลักษณ์จนถึงขีดสุดจริงๆ

“นั่นมันสุนัขหรือว่าหนูตัวใหญ่” องค์หญิงสามดึงแขนพี่ชายร่วมอุทร ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“จะสนใจมันทำไม รีบๆ ไล่มันไปเสีย จะได้ไม่ขัดตาข้า!” องค์ชายรองขมวดคิ้ว ออกคำสั่งกับข้ารับใช้ซึ่งอยู่ข้างกายและบรรดาเพื่อนเรียนหนังสือ

ในตอนนี้เขาเป็นตัวเลือกตำแหน่งรัชทายาทที่มีเสียงสนับสนุนมากที่สุด อีกทั้งฐานอำนาจก็ยังสูงส่งกว่าใคร คนที่อยากจะประจบเอาใจเขามีมากมาย พอเอ่ยวาจาเช่นนี้ ข้ารับใช้หลายคนก็รีบพากันไล่เจ้าตัวน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ตัวนี้ออกไป ยังมีเพื่อนเรียนหนังสือที่ค่อนข้างฉลาดรู้ความคนหนึ่งที่หยิบก้อนหินจากข้างทางขว้างใส่เจ้าตัวน่าเกลียดนี้เต็มแรง

เดิมกู่เซ่าเจ๋อก็ถูกเตะจนช้ำในอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่มีเรี่ยวแรงจะหลบหนี ยังมิทันได้ขยับเท้าก็ถูกก้อนหินกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง เขาฟุบลงกับพื้นทันที นอนร้องครวญครางไม่หยุด

เสียงร้องโหยหวนดังเอ๋งๆ ของอาเป่าดูเหมือนว่าจะสร้างความสำราญให้แก่องค์ชายรอง ดวงตาของเขาลุกวาว ก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งด้วยเช่นกัน แล้วสั่งข้ารับใช้ที่เข้าไปล้อมอาเป่าว่า “ไม่ต้องไล่มันไปแล้ว ทุกคนถอยออกไปให้หมด อย่าขวางสายตาข้า”

หินก้อนหนึ่งกระแทกใส่ข้างเท้ากู่เซ่าเจ๋ออย่างรุนแรงยิ่ง ทำให้เขาได้สติคืนมาจากความเจ็บปวด ได้ยินเพียงองค์ชายรองกำลังเอ่ยวาจาเสียงเย็นว่า

“เจ้าตัวอัปลักษณ์รีบวิ่งเข้าสิ! หากไม่วิ่งเราจะขว้างหินใส่เจ้าให้ตายเลย!” พอสิ้นคำ เพื่อนเรียนหนังสือขององค์ชายรองก็หยิบหินกลมเกลี้ยงก้อนหนึ่งยื่นใส่ฝ่ามือเขา

ไม่วิ่งก็โดน วิ่งก็โดน อย่างนั้นวิ่งก็แล้วกัน หากโชคดียังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้! กู่เซ่าเจ๋อไม่มีกะจิตกะใจจะคิดสิ่งอื่นใดอีก หยัดกายวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามทันที

เพื่อนเรียนหนังสือหลายคนได้โอบล้อมเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ในมือถือก้อนหินพลางไล่สุนัขไปทางองค์ชายรอง องค์ชายรองอยากจะเล่นสนุก พวกเขาก็ต้องทำให้องค์ชายรองเล่นสนุกได้อย่างถึงอกถึงใจ กู่เซ่าเจ๋อจำต้องหันหนี วิ่งไปทางองค์ชายรอง

องค์ชายรองหัวเราะร่า ขว้างก้อนหินใส่สุนัขไม่หยุด ก้อนหินแฉลบเฉียดไปหลายครั้ง แต่ก้อนหินส่วนมากกระแทกใส่อาเป่าอย่างไร้ความปรานี

เสียงตุบๆๆ ดังไม่ขาดสาย แทรกด้วยเสียงหัวเราะเกรียวกราวของเหล่าเพื่อนเรียนหนังสือ ยังมีองค์หญิงสาม องค์หญิงเจ็ดที่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเฉยชาท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องชอบใจ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกว่ากระดูกของตนกำลังจะแหลกละเอียด หัวใจจมดิ่งสู่หุบเหวลึกหมื่นลี้ นี่คือลูกๆ ที่เขารักใคร่เอ็นดูในยามปกติอย่างนั้นหรือ เขามองไม่เห็นความฉลาดเฉลียว กตัญญูรู้มารยาทเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าอ่อนวัยแต่แววตาชั่วร้ายนั้นทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม

ตายด้วยน้ำมือลูกๆ ของตน เขาจะน่าสมเพชน่าหัวเราะเพียงใด ลงบ่อน้ำพุเหลืองไปก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษสกุลกู่! กู่เซ่าเจ๋อกัดฟัน พยายามรักษาสติไว้อย่างสุดกำลัง ขยับเท้าทั้งสี่ที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรง ผลุบโผล่ไปซ้ายทีขวาที ลอดใต้หว่างขาขององค์ชายรองแล้วฝ่าวงล้อมหนีรอดไปได้

เบื้องหน้ามีเด็กชายหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกเยือกเย็นผู้หนึ่งเดินตรงมา พอเห็นเด็กชายดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อก็เป็นประกายวาบ วิ่งปรี่ไปอยู่ข้างกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คนผู้นี้ก็คือโอรสองค์โตของเขาซึ่งมีอุปนิสัยอ่อนโยนเป็นที่สุด คงจะไม่ทำร้ายเขา องค์ชายใหญ่เป็นบุตรที่เกิดจากซูเฟยซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ซูเฟยเป็นสตรีคนแรกในชีวิตของเขา แน่นอนว่าย่อมมีความผูกพันเป็นพิเศษกว่าใคร แต่เพราะตอนนั้นเขายังเยาว์วัยไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้จักเก็บซ่อนความรู้สึก ทำให้ซูเฟยถูกสตรีในตำหนักในอิจฉาริษยา สุดท้ายก็สิ้นชีวิตไปตั้งแต่ยังสาว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ไม่เคยให้ผู้ใดพบเจอโดยง่าย สำหรับองค์ชายใหญ่ ถึงแม้เขาจะรักใคร่เอ็นดู แต่กลับไม่เคยแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย และเพราะเหตุนี้องค์ชายใหญ่ถึงเติบโตได้อย่างราบรื่นปลอดภัยแม้จะไม่มีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง

ครั้นมองเห็นเจ้าตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหาตน องค์ชายใหญ่ก็ผงะอึ้งไป พวกองค์ชายรองไล่ตามหลังมาติดๆ เขาเม้มปาก รีบหันกายเปลี่ยนทิศทางในทันที กู่เซ่าเจ๋อยังคิดจะตามไป ทว่าถูกเพื่อนเรียนหนังสือที่อยู่ด้านหลังองค์ชายใหญ่สะบัดเท้าเตะเขาออกมา เพียงแต่ครั้งนี้เตะเบาๆ แค่หมายจะไล่ไปเท่านั้น

“ไปเถิด หากต่อกรกับองค์ชายรองเพียงเพราะสุนัขตัวเดียวมันไม่คุ้มกันหรอก” องค์ใหญ่เห็นเพื่อนเรียนหนังสือเผยสีหน้าสงสารเวทนา หัวคิ้วจึงกดลึกอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงของเขาสงบราบเรียบ ไม่มีความสดใสร่าเริงของผู้เยาว์เลยแม้แต่น้อย

“พ่ะย่ะค่ะ” เพื่อนเรียนหนังสือรับคำ แล้วใช้ปลายเท้าสะกิดอาเป่าเบาๆ คล้ายกับกำลังเร่งให้มันรีบๆ วิ่งหนีไป

เมื่อกู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับมา องค์ชายรองก็ไล่ตามมาทันพอดี คนกลุ่มใหญ่ล้อมเขาเอาไว้อีกครั้ง ก้อนหินค่อยๆ พุ่งมาใส่ราวกับสายฝน กระทบจนเขาหัวแตกเลือดไหล บนร่างไม่มีที่ใดสมบูรณ์ดีเลยสักแห่ง

กู่เซ่าเจ๋อถูกหินก้อนหนึ่งกระแทกเข้าตรงหน้าผาก เขาล้มลงพลางร้องโหยหวน หอบหายใจพะงาบๆ ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืนอีกต่อไป องค์ชายรองเดินเข้ามาแล้วใช้ปลายเท้าเหยียบขยี้หางสุนัขพลางแสยะยิ้ม เสียงกระดูกหักดังกร๊อบๆ กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดจนเท้าทั้งสี่เกร็ง แทบจะหมดสติและสิ้นชีวิตไป

“หยุดนะ!” สุ้มเสียงเย็นชาและใสกังวานสายหนึ่งดังขึ้น ยับยั้งการกระทำอันโหดร้ายทารุณขององค์ชายรอง

“น้องหญิงสี่ พวกเราเล่นอยู่ดีๆ เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” องค์ชายรองยังมิได้เอ่ยปาก องค์หญิงสามก็เดินเข้ามาพร้อมกับถามเสียงสูง

ผู้ที่มาใหม่เป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดปีผู้หนึ่ง อายุยังน้อยแต่ก็ฉายแววงดงามเฉิดฉันยิ่ง กอปรกับสวมชุดชาววังอันหรูหราจึงช่วยเสริมกลิ่นอายสูงศักดิ์และความน่าเกรงขามให้มากยิ่งขึ้นอีกหลายส่วน นางคือองค์หญิงสี่ซึ่งเกิดจากฮองเฮา ฐานะยังสูงกว่าองค์ชายรองอยู่ขั้นหนึ่ง เป็นเพราะความละอายใจที่มีต่อฮองเฮาและเพราะนางเป็นบุตรสาว ที่ผ่านมากู่เซ่าเจ๋อจึงไม่เคยปกปิดความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อนาง ในวังหลวงแห่งนี้คนที่กล้าล่วงเกินนางมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

“แม้แต่สัตว์ตัวเล็กเท่านั้นก็ยังจะฆ่า ทั้งยังรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม พฤติกรรมเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกว่ามันชั่วช้าต่ำทรามเกินไปหรือ เสด็จพี่รองมีจิตใจเมตตาซึ่งเป็นสิ่งที่รัชทายาทพึงมีสักนิดหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง สุนัขตัวนี้ไม่ใช่สุนัขธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเต๋อเฟย หากเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อผ่านเต๋อเฟยล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีต่อเสด็จพี่รองเป็นแน่ ขอให้ท่านคิดทบทวนให้ดี” องค์หญิงสี่ก้าวเท้าเข้าไปหา พูดจาฉะฉานมีหลักการ

สีหน้าขององค์ชายรองเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ จากนั้นก็เป็นขาวซีด ในที่สุดก็ยกเท้าขึ้น ล้มเลิกความคิดที่จะทารุณกรรมอาเป่าต่อ แล้วพาคนกลุ่มใหญ่เดินอาดๆ จากไป

“อุ้มมันขึ้นมา พวกเราไป” องค์หญิงสี่หลุบนัยน์ตา ชี้ไปยังลูกสุนัขที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นพลางเอ่ย

กู่เซ่าเจ๋อลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก จ้องมองดวงหน้าเล็กอ่อนเยาว์ขององค์หญิงสี่ ในใจสับสนวุ่นวายยากจะเอ่ย แม้บุตรสาวคนนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขาอย่างจริงจัง ทว่าอายุยังน้อยก็มีจิตใจดีงามเช่นนี้แล้ว คล้ายคลึงกับเมิ่งซังอวี๋อยู่หลายส่วน แต่องค์ชายรองกับองค์หญิงสามนั้น…

พอคิดถึงการกระทำอันทารุณโหดร้ายผิดวิสัยคนธรรมดา ในใจเขาก็เอ่อท้นไปด้วยความรังเกียจชิงชังอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้เด็กเหล่านั้นจะเป็นบุตรธิดาของเขา แต่หลังจากถูกปฏิบัติเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจเกิดจิตใจรักใคร่อันใดได้อีก อีกอย่างหนึ่งองค์ชายรองก็อายุสิบสองปีแล้ว ตามหลักควรต้องรู้เรื่องรู้ราวได้แล้ว แต่ยังคงข่มเหงรังแกสัตว์ตัวน้อยๆ โดยเห็นเป็นเรื่องสนุก เห็นได้ว่ามีจิตใจต่ำช้าเพียงไร ซ้ำนิสัยยังโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด เขาไม่อาจมอบแผ่นดินต้าโจวให้อยู่ในมือคนเช่นนี้ได้ รอให้กลับคืนร่างเดิมได้ก่อน เขาจะต้องสั่งให้สกุลหลี่ล้มเลิกความคิดนี้โดยเด็ดขาด

องค์หญิงสี่ค่อยๆ เดินไปยังวังปี้เซียว ครั้นมองเห็นประตูวังอยู่ไม่ไกล นางก็หยุดฝีเท้าลงทันใด แล้วชี้ไปยังแปลงดอกไม้ริมทางพลางกล่าว “โยนมันเข้าไปเสีย”

“องค์หญิง พระองค์จะทรงไม่ส่งเจ้าลูกสุนัขกลับไปหรือเพคะ มันบาดเจ็บจนสภาพกลายเป็นเช่นนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ข้างทางอาจจะตายได้นะเพคะ” นางกำนัลตัวน้อยที่อายุอานามมากกว่าองค์หญิงสี่เล็กน้อยเอ่ยปากขึ้นด้วยความลังเล

“โยนไป!” บนใบหน้าเรียบเฉยขององค์หญิงสี่พลันปรากฏแววเฉียบขาด

กู่เซ่าเจ๋อเบิกตากว้าง รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของนาง

นางกำนัลตัวน้อยไม่กล้าละล้าละลังอีกต่อไป รีบวางอาเป่าลงในแปลงดอกไม้เบาๆ ต้นหลันเฉ่า* อันรกครึ้มบดบังเงาร่างน้อยๆ ของมันจนมิด แม้คนเดินผ่านไปผ่านมาจะตั้งใจมองให้ดีก็ยังยากที่จะพบเห็น

“องค์หญิง…” นางกำนัลตัวน้อยมองไปยังแปลงดอกไม้ด้วยดวงตาแฝงความสงสารเวทนา

“ไปได้แล้ว! มันเป็นสุนัขของเต๋อเฟย เต๋อเฟยกับข้ามีความแค้นที่นางฆ่ามารดาของข้า ข้าไม่บีบคอมันให้ตายคามือก็นับว่ามีเมตตาแล้ว หยุดพูดมากเสียที” น้ำเสียงขององค์หญิงสี่เย็นยะเยียบ นางยกเท้าเดินจากไป

คนที่ทำร้ายเสด็จแม่ของเจ้าจนสิ้นชีพคือเรา ไม่เกี่ยวอันใดกับเมิ่งซังอวี๋! อวี้ถง หากเจ้าจะเคียดแค้นก็ต้องเคียดแค้นเราจึงจะถูก! กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดดุจหัวใจถูกมีดกรีด ทั้งสงสารที่บุตรสาวเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดา ทั้งสงสารเมิ่งซังอวี๋ที่ถูกลากมาให้เดือดร้อนด้วยทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเรา หรือว่าการที่เรามาติดอยู่ในร่างของอาเป่านี้จะเป็นบทลงโทษจากสวรรค์?

หัวใจปวดแปลบ ต่อให้เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว กู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงร้องหงิงๆ เอ๋งๆ อย่างห้ามไม่อยู่

ครั้นได้ยินเสียงครวญครางของลูกสุนัข ฝีเท้าที่กำลังเดินจากไปขององค์หญิงสี่ก็หยุดชะงักชั่วครู่ นางเดินต่อไปอีกสองสามก้าว แต่สุดท้ายก็กัดฟัน ออกคำสั่งกับนางกำนัลตัวน้อยข้างกายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดึงต้นหลันเฉ่าข้างๆ ตัวมันออก ทำให้เห็นสะดุดตาสักหน่อย มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ก็ต้องดูว่าเต๋อเฟยจะหามันเจอทันเวลาหรือไม่”

“เพคะ!” นางกำนัลตัวน้อยรับคำด้วยความยินดีปรีดา รีบดึงต้นหลันเฉ่าข้างๆ ตัวอาเป่าออกจนหมดอย่างเร็วไว พอเป็นเช่นนี้ ขอเพียงนางกำนัลที่เดินผ่านมามองดูให้ดีๆ สักเล็กน้อยก็สามารถเห็นได้แล้ว

กู่เซ่าเจ๋อถอนหายใจ ฟังเสียงฝีเท้าของบุตรสาวที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปแล้วจึงปิดตาลงอย่างช้าๆ หยาดฝนหนึ่งหยด สองหยด และนับไม่ถ้วนสาดรดลงบนร่างของเขา ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้จิตใจที่ปลิวละล่องได้สติขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาสะกดกลั้นความเจ็บปวดแล้วขดเท้าทั้งสี่ข้าง ตัวสั่นเทาขณะนึกถึงรอยยิ้มอันงดงามเฉิดฉันเหนือผู้ใดของเมิ่งซังอวี๋ในสมอง รอยยิ้มนั้นสว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ในยามเช้า แค่หวนนึกถึงก็ทำให้ในใจของเขาเอ่อล้นไปด้วยความอบอุ่น หัวใจที่เย็นเฉียบก็เต้นแรงเพราะความอบอุ่นนี้ด้วยเช่นกัน

ซังอวี๋ ซังอวี๋เขาร้องเรียกชื่อนี้ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากใบหน้าของนาง รอยยิ้มของนาง จุมพิตและอ้อมกอดของนาง เขาก็คิดสิ่งใดไม่ออกอีกแล้ว

ยามคนกำลังเผชิญกับความตาย สิ่งที่นึกถึงมักจะเป็นคนและเรื่องราวที่ได้สลักจารึกอยู่ในหัวใจ แต่น่าเสียดายที่กู่เซ่าเจ๋อตระหนักรู้ได้สายเกินไป เขาทอดอาลัย สมองค่อยๆ ถลำลึกลงสู่เมฆหมอกขมุกขมัว ท่ามกลางความเลื่อนลอยเขาคล้ายกับได้ยินเสียงตะโกนร้องอย่างกระวนกระวายครั้งแล้วครั้งเล่าของเมิ่งซังอวี๋ดังวนเวียนอยู่ข้างหู เพราะนี่เป็นภาพฝัน เขาจึงแย้มยิ้มด้วยความพอใจ

 

เป็นหมอหลวงคนเดิมกับเมื่อคราวก่อน เขาเพิ่งจะออกเวรและเตรียมตัวออกจากวังก็ถูกนางกำนัลของเต๋อเฟยลากให้เข้ามาในวังปี้เซียวอย่างร้อนรน พอเห็นอาเป่าที่มีบาดแผลเต็มตัว ลมหายใจรวยริน หมอหลวงเวินก็อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

บาดแผลคราวนี้แค่ดูก็รู้ว่าเกิดจากการถูกคนทุบตี ผิวหนังทั่วทั้งร่างไม่มีตรงไหนที่สมบูรณ์ดี ใบหูมีบาดแผลใหญ่ การได้ยินจะได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ก็ต้องรอดูตอนฟื้นขึ้นมาแล้วถึงจะทราบได้ เล็บเท้าทั้งสี่หลุดออกจนหมดสิ้น เป็นแผลเหวอะหวะ กระดูกหางแตกละเอียด…ไม่ถึงสองเดือนก็ได้รับบาดเจ็บถึงสามครั้ง ทั้งยังหนักหนาสาหัสขึ้นทุกครั้ง เจ้าลูกสุนัขตัวนี้ไฉนจึงได้โชคร้ายเช่นนี้หนอ แทบจะเรียกได้ว่าถูกสาปแช่งเลยทีเดียว!

หมอหลวงเวินตัดขนทั่วทั้งร่างของอาเป่าออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะทายาลงบนบาดแผลแต่ละที่ของมัน เขาอดทอดถอนใจในใจไม่ได้

เมิ่งซังอวี๋ใช้ปลายนิ้วอังจมูกทดสอบลมหายใจของอาเป่า เอ่ยถามด้วยสีหน้าขาวซีด “หมอหลวง อาการของอาเป่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ทูลเต๋อเฟย ทั่วทั้งร่างอาเป่ามีบาดแผลภายนอกสามสิบเจ็ดแผล กระดูกหางแตกละเอียด ประสาทการได้ยินและดมกลิ่นได้รับความเสียหายหรือไม่ตอนนี้ยังดูไม่ออก ต้องรอให้มันฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยให้คนตรวจสอบดู เช่นปรบมือข้างหูหรือวางอาหารไว้ใต้จมูก ยังมีบาดแผลช้ำในตรงช่วงท้อง ต้องกินยาบำรุงเป็นเวลาครึ่งเดือน” หมอหลวงเวินรายงานอาการบาดเจ็บไปพลางเขียนใบจ่ายยาไปพลาง จากนั้นก็มอบให้ขันทีไปจัดยาตามนั้น

เมิ่งซังอวี๋ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งซีดขาว แม้ส่งหมอหลวงเวินกลับไปแล้วเหงื่อเย็นก็ยังผุดเต็มศีรษะ บาดแผลสาหัสถึงเพียงนี้ หากนางไปพบช้าแค่ครึ่งเค่อ อาเป่าคงจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย! นางเลิกผ้าห่มที่คลุมร่างอาเป่าออก เมื่อเห็นทั้งร่างฟกช้ำดำเขียว รอยแผลเล็กใหญ่เต็มไปหมด สีหน้าก็พลันเลื่อนลอย ครู่ใหญ่ถึงจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไหลหลั่งเข้ามาไม่ขาดสาย แผ่ลามจากก้นบึ้งของหัวใจไปทั่วทั้งร่างกาย แค่เลี้ยงสุนัขตัวเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงได้ยากลำบากเช่นนี้หนอ

ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อได้สติขึ้นมาแล้ว เท้าหน้าของเขาขยับเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น บนหนังตามีบาดแผลเล็กๆ แผลหนึ่ง ทำให้แค่ขยับก็เจ็บไปถึงหัวใจ เขาทนไม่ไหวต้องร้องครวญออกมา

ครั้นได้ยินเสียงร้องอ่อนระโหยนี้ เมิ่งซังอวี๋ก็กลั้นหายใจ ดวงตาจ้องมองเจ้าตัวน้อยในตะกร้าตาไม่กะพริบ เมื่อเห็นว่ามันฟื้นแล้วจริงๆ อันดับแรกนางก็ถอนหายใจเฮือก จากนั้นสีหน้าก็เคร่งเครียดอย่างรวดเร็ว “เจ้าเดรัจฉานน้อย ฟื้นได้เสียที!”

นางพลันตบโต๊ะอย่างแรง ทำเอาพวกปี้สุ่ยตกอกตกใจ อาเป่าซึ่งนอนอยู่ในตะกร้าก็ตัวสั่นระริกด้วยเช่นกัน

ดีมาก ประสาทการรับเสียงไม่ได้รับการกระทบกระเทือน! หัวใจที่เครียดเกร็งของเมิ่งซังอวี๋ค่อยๆ ผ่อนคลายลง สีหน้านางกลับคืนสู่ความเข้มงวดเด็ดขาดอีกครา ต่อว่าอาเป่าอย่างรุนแรง “รู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าเกือบจะตายอยู่ข้างนอกแล้ว ปกติข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าวิ่งไปไหนส่งเดช! เจ้าก็ไม่เคยเชื่อฟัง! ต้องให้ได้รับบทเรียนสักหน่อยกระมัง ความดำมืดและความสกปรกโสมมในวังนี้เจ้าไม่อาจจินตนาการได้หรอก ถูกกดน้ำ ถูกก้อนหินทุบ ถูกเหยียบเท้า เรื่องพวกนี้ล้วนเล็กน้อยไปเลย ยังมีที่น่ากลัวกว่านั้นอีก! มีพวกวิปริตชอบเอาสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างพวกเจ้ามาทำอาหาร มันจะยกพวกเจ้าขึ้นสูงๆ แล้วปล่อยลงมาอย่างแรง โกนขนพวกเจ้าออกจนหมด ตีเท้าทั้งสี่ข้างของพวกเจ้าจนกระดูกหัก ตัดหูกับหางพวกเจ้าออก แถมยังตอนสิ่งนั้นของพวกเจ้าทิ้ง กระทั่งพวกเจ้ากลายเป็นสุนัขเสียบไม้แล้วพวกมันก็ยังจะหักร่างเจ้าเป็นสองท่อนอีกด้วย สุดท้ายก็ควักไส้ของพวกเจ้าออกมาพันคอ! เจ้าอยากตายแบบนั้นใช่หรือไม่! หา? ถ้าอยากข้าก็จะไม่สนใจเจ้าอีก อยากจะหนีไปไหนก็ไป!”

นางดุด่าพลางตบโต๊ะดังปึงปัง พวกปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้านหวาดกลัวจนหน้าซีดเพราะคำบรรยายอันละเอียดยิบของนาง สะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน

สวรรค์ เต๋อเฟยทรงไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน น่ากลัวเกินไปแล้ว! ตอนสิ่งนั้นทิ้ง? สุนัขเสียบไม้? ช่างชั่วร้ายนัก

กู่เซ่าเจ๋อมองใบหน้าเดือดดาลของเมิ่งซังอวี๋อย่างทึ่มทื่อ คำขู่ขวัญอันน่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนของนางดังสะท้อนไปมาที่ข้างหู ไม่รู้เพราะเหตุใด ไม่เพียงไม่รู้สึกว่านางหยาบคายไร้มารยาท เขากลับรู้สึกว่านางน่ารักฉลาดเฉลียวเป็นที่สุดเสียด้วยซ้ำ

ดีเหลือเกินที่ได้เห็นสตรีผู้นี้อีกครั้ง! กู่เซ่าเจ๋ออยากจะหัวเราะ อยากจะสะบัดหาง แต่พอร่างกายขยับก็ดึงเอาความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากขึ้นมาด้วย หางของเขาหักไปแล้ว ยามนี้ถูกห่อจนกลายเป็นไม้นวดแป้ง

“เต๋อเฟยอย่าทรงต่อว่าอีกเลยเพคะ อาเป่าจะร้องไห้แล้ว” แม่นมเฝิงสงสารเวทนา ชี้ไปยังน้ำตาที่หลั่งไหลจากหางตาของอาเป่าไม่หยุดพลางเอ่ย

นี่เกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวด ทว่าเมิ่งซังอวี๋กลับไม่รู้ นางเห็นอาเป่าแหงนศีรษะขึ้นน้อยๆ ลูกตาดำขลับราวผลองุ่นมองนางตาใสแป๋ว ในนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาวรณ์และความคาดหวังจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่เอ่อล้นอยู่ที่ขอบตา ร่างน้อยๆ ดูน่าสงสารเสียเหลือเกิน หัวใจของนางจึงพลันอ่อนยวบเสียจนรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง

“เจ้าเดรัจฉานน้อยร้องไห้ทำไม! บทเรียนคราวนี้จำเอาไว้ให้ดี หากแอบหนีออกไปอีกล่ะก็ ข้าจะตีขาเจ้าให้หักเลยคอยดู!”

เมิ่งซังอวี๋เงื้อฝ่ามือขึ้นทำท่าจะตี ทว่ายามลดฝ่ามือลงกลับเช็ดน้ำตาที่ขอบตาของอาเป่าอย่างแผ่วเบา ท่าทางปากร้ายใจดีนี้ช่างน่ารักจนบอกไม่ถูก

กู่เซ่าเจ๋อหัวเราะหึๆ ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับกลายเป็นเสียงออดอ้อนหงิงๆ เขางับนิ้วหนึ่งของนางเอาไว้ ใช้ลิ้นพันเกี่ยวอย่างเบาๆ ครู่ใหญ่ถึงยอมตัดใจปล่อยไป

“ดูท่าคงจะหิวแล้วกระมัง อิ๋นชุ่ย ยกโจ๊กของอาเป่ามา ข้าจะป้อนมันเอง” เมิ่งซังอวี๋กุมขมับ กวักมือเรียกอิ๋นชุ่ยอย่างจนปัญญา เลี้ยงสุนัขก็เหมือนเลี้ยงลูก ต้องให้เป็นห่วงเป็นใยตลอดเวลา

อิ๋นชุ่ยย่อตัวน้อมรับคำสั่ง ไม่นานก็ยกโจ๊กไก่ที่ต้มจนเหนียวข้นถ้วยหนึ่งเข้ามา เมิ่งซังอวี๋เอาผ้าฝ้ายผืนหนึ่งรองใต้คอของอาเป่าก่อน จากนั้นจึงตักโจ๊กขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วเป่าให้เย็นอย่างอดทน จากนั้นค่อยส่งถึงปากอาเป่าอย่างระมัดระวัง

กู่เซ่าเจ๋ออ้าปากให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เลียกินโจ๊กจนหมด โจ๊กร้อนๆ อุ่นกระเพาะและลำไส้ของเขาได้ในทันที และอุ่นไปถึงหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน เขาค้นพบว่ามีเพียงแค่ยามที่อยู่ข้างกายสตรีผู้นี้ถึงจะอุ่นใจและผ่อนคลายได้มากที่สุด การปลอบประโลมอันอ่อนโยนรวมถึงกระทั่งการดุด่าต่อว่าของนางทำให้ประสบการณ์ราวกับฝันร้ายเหล่านั้นเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว

“ตอนกินอาหารนี่เป็นเด็กดีเชียว” เมิ่งซังอวี๋ดึงผ้ารองอันสะอาดเอี่ยมอ่องใต้คออาเป่าออก ทอดถอนใจพลางเอ่ย

“เต๋อเฟยวางพระทัยเถิด ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่เช่นนี้อาเป่าจะต้องเป็นเด็กดีแน่เพคะ แต่น่าเสียดายขนของมันนัก ตอนนี้ไม่มีเหลือเลย ดูแล้วอัปลักษณ์กว่าแต่ก่อนอีกนะเพคะ” น้ำเสียงแม่นมเฝิงเจือแววไม่ชอบใจ

“มารดาไม่รังเกียจบุตรอัปลักษณ์ หากสวมใส่อาภรณ์ก็มองไม่ออกแล้ว อีกอย่างพอผ่านไปสองเดือนขนก็ยังขึ้นใหม่ได้ ต้องสวยงามกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน” เมิ่งซังอวี๋พลันอารมณ์ดี จิ้มจมูกน้อยๆ ของอาเป่าพร้อมกับกล่าวปลอบใจ

เราคือสามีของเจ้า มิใช่บุตร! หากเจ้าอยากเลี้ยงลูก วันหลังเราจะช่วยให้เจ้ากำเนิดบุตรหลายๆ คนก็ได้! กู่เซ่าเจ๋อไม่พอใจเท่าไรนัก เขาใช้เท้าหน้าที่ถูกพันเป็นขนมจ้างถูไถนิ้วมือของนาง

แม่นมเฝิง ปี้สุ่ย และอิ๋นชุ่ยถูกคำพูดหยอกล้อของผู้เป็นนายยั่วเย้าจนหัวเราะ เจ้านายของพวกนางมักเป็นเช่นนี้เสมอ ต่อให้เจอเรื่องที่ขมขื่นหรือยากลำบากแค่ไหนนางก็สามารถรับมือด้วยจิตใจอันสงบนิ่งได้เสมอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทนทุกข์ทรมานเพราะเรื่องเหล่านี้

“ใช่แล้ว เรื่องที่อาเป่าได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ข้าจะต้องทวงคืนแน่! หากข้ายังไม่หมดสิ้นความโปรดปรานก็ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกเหยียบหัว วันหน้าคงไม่อาจอยู่ดีมีสุขได้แล้ว” หลังจากพบตัวอาเป่าที่บาดเจ็บสาหัส นางย่อมไม่ยอมรามือไปง่ายๆ แน่นอน จึงสั่งให้คนไปสืบเสาะหาที่มาที่ไปทันที นางขมวดคิ้ว โบกมือให้ปี้สุ่ยพลางสั่ง “ไป ถ่ายทอดวาจาที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับฮองเฮาให้หลี่กุ้ยเฟยฟัง ให้นางได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นศัตรูของนาง เสิ่นฮุ่ยหรูอยากจะลากข้าลงน้ำ แต่ข้าย่อมไม่ยอมให้นางได้สมปรารถนาเป็นแน่ หลี่กุ้ยเฟยเป็นบุตรสาวของหลี่เซียง หากพูดถึงเล่ห์เหลี่ยม สตรีในตำหนักในแห่งนี้มีเพียงหยิบมือเดียวที่เอาชนะนางได้ เป็นคนละระดับกับคนที่มีจิตใจเปิดเผยซื่อตรงอย่างฮองเฮาโดยสิ้นเชิง เสิ่นฮุ่ยหรูอยากจะแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮากับหลี่กุ้ยเฟยก็ต้องระวังว่าอาจจะสะดุดล้มจนร่างกายแหลกเหลวด้วยแล้วกัน!”

ปี้สุ่ยน้อมรับคำด้วยความยินดี เลือกของกำนัลสองสามชิ้นแล้วไปยังวังเฟิ่งหลวนทันที

เมิ่งซังอวี๋มองไปทางอิ๋นชุ่ย เอ่ยกำชับว่า “ส่วนเจ้า ไปหาวิธีถ่ายทอดวาจาที่องค์หญิงสี่เอ่ยห้ามองค์ชายรองในวันนี้ให้ถึงพระกรรณของฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้โปรดปรานองค์ชายรองอยู่แล้ว เมื่อมีข้ออ้างนี้เราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ถึงแม้ข้าจะไม่เคยลงมือกับเด็ก แต่เจ้าเด็กชั่วช้าโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ต้องสั่งสอนให้หนักๆ!”

เต๋อเฟยพิโรธจัดแล้วจริงๆ ด่าได้แม้กระทั่งองค์ชายรอง! อิ๋นชุ่ยส่ายหน้า ออกไปจัดการทำตามคำสั่ง

กู่เซ่าเจ๋อมองเมิ่งซังอวี๋อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง รสชาติของการถูกปกป้องช่างดีเหลือเกิน! ส่วนคำว่าเด็กชั่วช้านั้นเขาไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง

“เต๋อเฟยเพคะ อาเป่าถูกองค์หญิงสี่ทิ้งไว้หน้าประตูวังของพวกเรา…” แม่นมเฝิงอดเอ่ยเตือนมิได้

กู่เซ่าเจ๋อคิดว่าแม่นมเฝิงคิดจะยุแยง จึงเงยหน้าถลึงตาใส่นางทันที ดวงตายังแฝงไอสังหาร

“ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวแม่นมนำผ้าไหมเสฉวนที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้าคราวก่อนไปมอบให้องค์หญิงสี่ ผ้าไหมพวกนั้นสีสันสดใสกำลังดี เหมาะกับเด็กผู้หญิง ใช่แล้ว ยังมีผ้าเช็ดหน้ากล่องหนึ่งที่ข้าปักไว้ก่อนหน้านี้ด้วย องค์หญิงสี่คงจะชอบเป็นแน่” ในดวงตาของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยแววสงสารเวทนาหลายส่วน ทอดถอนใจพลางกล่าว “อย่างไรเด็กคนนี้ก็อายุยังน้อย ทั้งไม่มีมารดาคอยสั่งสอน ทำการใดจึงขาดการคิดไตร่ตรอง นางช่วยอาเป่าแล้วทิ้งไว้หน้าประตูวังของข้า คนที่ไม่รู้ก็คิดว่านางจงใจยั่วยุข้าเพราะเจ็บแค้นใจ แต่ก็โทษนางไม่ได้เช่นกัน ในใจของนาง ข้าคือศัตรูที่สังหารมารดาของนาง…”

เมิ่งซังอวี๋นวดขมับ ไม่รู้ควรจะแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างตนกับองค์หญิงสี่ได้อย่างไร หลังจากแม่นมเฝิงเอ่ยปลอบโยนอยู่หลายคำก็เข้าไปหาของที่คลังเก็บของ

กู่เซ่าเจ๋อที่เดิมทีกังวลว่าชายารักกับบุตรสาวจะขัดข้องหมองใจกันจึงวางใจลง ยิ้มตาหยี จมสู่ห้วงนิทรา พอได้กลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋ร่างกายของเขาก็รู้สึกสบาย แม้กระทั่งบาดแผลก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด

 

ในวังเฟิ่งหลวน หลังจากส่งปี้สุ่ยกลับไปแล้ว อิ๋งสี่นางกำนัลใหญ่ของหลี่กุ้ยเฟยก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “หลี่กุ้ยเฟยเพคะ พระองค์ทรงเชื่อวาจาของนางหรือไม่เพคะ”

หลี่ซูจิ้งโบกมือด้วยท่าทีคลุมเครือ หลังจากคิ้วเรียวขมวดอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่นางก็ถอนหายใจพลางกล่าว “ไม่เชื่อไม่ได้ และก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด”

เดิมทีนางก็รู้สึกประหลาดใจที่อยู่ๆ เหลียงเฟยก็ได้รับความรักใคร่โปรดปราน เมื่อเชื่อมต่อเรื่องราวเข้ากับเค้าลางต่างๆ นานาก่อนหน้าและสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเต๋อเฟยในตอนนี้ นางก็เชื่อวาจาของปี้สุ่ยไปแล้วถึงหกเจ็ดส่วน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งไม่อาจออมมือให้เหลียงเฟยและสกุลเสิ่น! ด้วยตำแหน่งของเหลียงเฟยในพระทัยฝ่าบาท หากอีกฝ่ายตั้งครรภ์พระโอรสขึ้นมาแล้วนางกับลูกๆ จะมีที่ให้ยืนตรงไหนในตำหนักในแห่งนี้

อีกด้านหนึ่ง ยังมิทันรอให้อิ๋นชุ่ยกระจายข่าวไปถึงพระกรรณฝ่าบาท เสิ่นฮุ่ยหรูก็ช่วยผลักดันให้อย่างทนไม่ไหว เมื่ออิ๋นชุ่ยรู้เข้า นางจึงล้มเลิกแผนการ

ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายรองเข้าทดสอบบทเรียนทันที องค์ชายรองตอบไม่ได้สักข้อเดียว ฮ่องเต้ทรงพิโรธเดือดดาล ตรัสว่าเขาหัวทึบโง่เง่า จิตใจโหดเหี้ยม ยากจะแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ได้

ทรงต่อว่าองค์ชายรองในช่วงสำคัญของการแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทเช่นนี้เท่ากับว่าฝ่าบาททรงประกาศให้ทุกคนรู้โดยทั่วกันว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในตัวองค์ชายรอง ถึงแม้บรรดาขุนนางคิดจะประจบเอาใจหลี่เซียง แต่ก็ต้องดูพระพักตร์ของฮ่องเต้ด้วย ถึงพระองค์จะยังทรงหนุ่มแน่น แต่ความสามารถในการปกครองแผ่นดินกลับไม่ธรรมดา พอขึ้นครองราชย์ก็กำราบสกุลใหญ่ซึ่งสร้างความโกลาหลวุ่นวายบนกระดานหมากของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มากมาย วางหมากให้ขุนนางกลุ่มฝ่ายต่างๆ คานอำนาจกันเอง รวบพระราชอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง จากนั้นก็ล้มเลิกนโยบายเชิดชูฝ่ายบุ๋นกดขี่ฝ่ายบู๊ของอดีตฮ่องเต้ และมอบหมายหน้าที่ให้สกุลเมิ่งอีกครั้ง สั่งสมแสนยานุภาพทางการทหาร กำจัดระบบการปรองดองด้วยการแต่งงาน ทุ่มเทเรี่ยวแรงต่อต้านชาวหมาน ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเช่นนี้บรรดาขุนนางจะไม่เกรงกลัวได้อย่างไร พอมีข่าวดังข้างต้นแพร่ออกมาจากในวังบรรดาขุนนางอาลักษณ์มากมายก็พากันหยุดวิพากษ์วิจารณ์ทันที

ต่อมาหลังจากหลี่ซูจิ้งสืบสาวเบื้องหลังของเรื่องนี้จนกระจ่างว่าเป็นเพราะเสิ่นฮุ่ยหรูเล่นเล่ห์เหลี่ยม นางก็โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำนับตั้งแต่นั้นมา อยากจะกำจัดไปให้พ้นหูพ้นตาโดยเร็ว

บทที่สิบ

ท้องฟ้ามีเรื่องประหลาด

 เพราะฝ่าบาททรงพิโรธ เรื่องการแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทจึงต้องพักเอาไว้ก่อน ตำหนักในและราชสำนักจึงเงียบสงบไประยะหนึ่ง ครั้นผ่านไปครึ่งเดือนก็ถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้ สนมชายาขั้นสี่ขึ้นไปและเหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างต้องสวมชุดไว้ทุกข์แล้วไปสุสานของราชวงศ์เพื่อประกอบพิธีบวงสรวง ไทเฮามิได้เสด็จมาเหมือนเช่นเคย เพียงแค่ทรงส่งฉลองพระองค์กันหนาวที่ปักเย็บด้วยพระองค์เองมาให้ฮ่องเต้ทรงเผาส่งไปให้ฮ่องเต้องค์ก่อนเพียงเท่านั้น

ในพระราชพิธี องค์ชายใหญ่มีท่าทีสงบเงียบเหมือนดังที่ผ่านมา แต่องค์ชายรองกลับโดดเด่นอย่างเหนือความคาดหมาย หลังจากถูกฮ่องเต้ตำหนิเขาก็ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก กิริยาสุภาพมีมารยาท การพูดการกระทำเหมาะสมถูกกาลเทศะ ยิ่งกว่านั้นยังเขียนบทสรรเสริญอันซาบซึ้งตรึงใจ ถ้อยคำสำนวนสละสลวย ทำเอาขุนนางเก่าแก่หลายคนซาบซึ้งจนน้ำตาไหลอาบแก้ม

หลังจากพิธีบวงสรวงผ่านพ้นไป ขุนนางใหญ่หลายคนก็ยกย่องชื่นชมในความกตัญญูรู้คุณและความสามารถขององค์ชายรองเป็นเท่าทวี ฮ่องเต้เองก็ตรัสชมเชยหลายคำ ทำให้เรื่องวุ่นวายที่องค์ชายรองถูกตำหนิว่าโง่เขลา ไม่อาจแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปในที่สุด

เมิ่งซังอวี๋ย้อนนึกถึงการแสดงความสามารถขององค์ชายรองในพิธีบวงสรวงก็ต้องทอดถอนใจพลางกล่าว “ในวังแห่งนี้ แม้แต่เด็กน้อยอายุสิบขวบก็ไม่ธรรมดาเลย! การแสดงยิ่งใหญ่ขนาดนั้นก็สามารถเอาอยู่ ไม่เสียทีที่เป็นราชสกุล ดูท่าแล้วหลี่กุ้ยเฟยคงจะลงมือเร็วๆ นี้เป็นแน่” ถึงแม้จะพูดกันว่าองค์ชายรองอายุสิบสองปีแล้ว แต่นั่นไม่เป็นความจริง องค์ชายรองเพิ่งจะสิบปีเท่านั้น

“เต๋อเฟยทรงรู้ได้อย่างไรเพคะว่าหลี่กุ้ยเฟยจะลงมือ” ปี้สุ่ยชินกับคำพูดแปลกๆ ที่ผู้เป็นนายพูดออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว จึงเลือกถามแต่ในส่วนที่ฟังเข้าใจเท่านั้น

“พอรู้เรื่องโป๊ะแตกของฝ่าบาทกับเหลียงเฟยแล้ว หากนางไม่รีบฉกฉวยเวลาให้ตัวเองแล้วจะต้องรอไปถึงเมื่อไรกันเล่า หรือว่าต้องรอให้เหลียงเฟยตั้งครรภ์และคลอดบุตรก่อนอย่างนั้นหรือ” เมิ่งซังอวี๋พูดพลางยืดแขนทั้งสองข้างออกมา เดินไปหาอิ๋นชุ่ยที่กำลังอุ้มอาเป่า “ให้ข้าดูอาเป่าหน่อยซิ วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

เรื่องโป๊ะแตกคืออันใด ปากเล็กๆ ของเมิ่งซังอวี๋ช่างพาให้คนทั้งรักทั้งชังจริงๆ กู่เซ่าเจ๋อร้องหงิงๆ ใช้ดวงตาใสแป๋วจ้องมองนางอย่างน่าสงสารเวทนา ทำท่าทางเหมือนว่าอยากให้ลูบอยากให้กอด แค่แยกจากเมิ่งซังอวี๋แค่สองชั่วยามเขาก็รู้สึกผิดปกติไปทั้งร่าง จิตใจกระสับกระส่ายว้าวุ่น

วันนี้อาเป่าสวมชุดกระต่าย ใบหน้าถูกหมวกคลุมลายกระต่ายอันนุ่มนิ่มปุกปุยห่อหุ้มเอาไว้ บนหัวมีหูกระต่ายยาวๆ สองข้าง เมื่อประกอบเข้ากับเปลือกตาที่มีรอยแผลของมัน…

แลดูเหมือนกระต่ายแหกคุกไม่ผิดเพี้ยน เมิ่งซังอวี๋รู้สึกชอบใจในความน่ารักจนมึนศีรษะ นางออกแรงนวดมือ จนกระทั่งมือที่เย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้นถึงได้รับอาเป่ามาด้วยความระมัดระวัง

“วันนี้ดีขึ้นมากเพคะ รอยแผลเล็กๆ ตกสะเก็ดหมดแล้ว ส่วนแผลใหญ่ๆ ยังต้องพักรักษาอีกหกเจ็ดวัน ตอนที่พระองค์ไม่อยู่หม่อมฉันได้ป้อนโจ๊กให้อาเป่ากินหนึ่งชาม แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเพคะ ยาก็ไม่ยอมดื่ม เกรงว่าเป็นเพราะคิดถึงพระองค์แน่ๆ เมื่อครู่พอได้ยินเสียงขบวนของพระองค์เดินทางกลับมาก็เริ่มดิ้นทันที อยากจะออกมาต้อนรับ” อิ๋นชุ่ยแตะอุ้งเท้าที่ถูกห่อเป็นขนมจ้างของอาเป่าด้วยความขบขัน

กู่เซ่าเจ๋อเอาแต่ซึมซาบกับกลิ่นหอมกรุ่นและไออุ่นของอ้อมกอดเมิ่งซังอวี๋อย่างเงียบๆ พอกลายเป็นสุนัขนานวันเข้า โรคติดเจ้านายของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น รู้สึกแต่ว่าที่ใดก็ไม่ปลอดภัยเท่าอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋

“เช่นนั้นก็รีบยกยาเข้ามา ข้าจะป้อนให้มันก่อนแล้วค่อยกินอาหาร” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกอาเป่า รับผ้ากันเปื้อนผืนเล็กจากมือแม่นมเฝิงมาผูกคอให้มัน

ชุดกระต่าย ผ้าพันคอ ใบหน้าสุนัขที่ถูกตัดขนเกลี้ยง…ภาพนี้ช่างตลกอย่างไม่น่าเชื่อ บรรดานางกำนัลในตำหนักค่อยๆ พากันก้มหน้าก้มตา ไหล่สั่นไหวไม่หยุด ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยต่างก็กลั้นขำจนหน้าแดง แต่เพื่อศักดิ์ศรีของอาเป่าพวกนางจึงจำต้องถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ยาต้มเสร็จในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ถูกยกเข้ามาวางไว้ตรงหน้าเมิ่งซังอวี๋ มือซ้ายของนางเกี่ยวเอวอาเป่าไว้ มือขวาจับช้อนคันเล็กค่อยๆ ป้อนทีละช้อนๆ อาเป่าเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กินทีละคำๆ โดยที่ไม่ขัดขืนแม้แต่นิดเดียว ยิ่งกว่านั้นยังมิได้พ่นออกมาเพราะว่ายาขม กล้าหาญยิ่งกว่าคนส่วนใหญ่เสียอีก

“เต๋อเฟยทรงรู้สึกหรือไม่เพคะว่าอาเป่าเฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าฟังพวกเราคุยกันรู้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น” อิ๋นชุ่ยถามเสียงต่ำ

อาเป่าพ่นยาที่เพิ่งจะกินลงไปออกมา ทำให้ผ้ากันเปื้อนเปียกเป็นแถบใหญ่

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะพลางช่วยมันเช็ดปากให้สะอาด ถามอย่างไม่ใคร่สนใจเท่าใดนัก “ฉลาดแล้วไม่ดีหรือ”

“ไม่มีอันใดไม่ดีเพคะ” เพียงแต่บางครั้งรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง คำพูดครึ่งหลังอิ๋นชุ่ยไม่ได้พูดออกมา

“ต่อให้มันฉลาดแค่ไหนก็ยังเป็นอาเป่าของข้าอยู่ดี ข้ายังอยากให้มันฉลาดกว่านี้อีกหน่อยด้วยซ้ำ” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกอันเปียกชื้นของอาเป่าอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

กู่เซ่าเจ๋อหายใจอย่างหนักหน่วง แลบลิ้นออกมาเลียนิ้วมืออุ่นร้อนของเมิ่งซังอวี๋อย่างกระตือรือร้น เสียดายที่กระดูกหางของเขาหัก มิฉะนั้นป่านนี้คงส่ายไปมาด้วยความร่าเริงไปแล้ว

“หม่อมฉันคารวะเต๋อเฟย เชิญเต๋อเฟยเสวยพระโอสถเพคะ” ที่หน้าประตูตำหนักคือนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่มาเยือนเดือนละสามครั้งตามกำหนดเวลา ในมือนางกำลังประคองถ้วยโอสถร้อนควันฉุยไว้ถ้วยหนึ่งพลางถวายบังคม

แต่ก่อนพอแม่นมเฝิงเห็นนางก็จะแย้มยิ้มเบิกบาน แต่คราวนี้กลับแอบลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากพุ่งเข้าไปคว่ำชามโอสถนั้นใจจะขาด

“วางเอาไว้ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยดื่ม” รอยยิ้มที่มุมปากของเมิ่งซังอวี๋จางลงเล็กน้อย เอ่ยสั่งโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

นางกำนัลประจำห้องเครื่องรับคำ วางถ้วยโอสถไว้บนตั่งเล็กๆ ข้างตะกร้าของอาเป่า จากนั้นก็ถอยไปยืนรออยู่อีกมุมหนึ่ง นางได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนว่าจะต้องดูเต๋อเฟยดื่มโอสถจนหมดถึงจะกลับไปรายงานผลได้

ครั้นเมิ่งซังอวี๋ป้อนยาให้อาเป่าเสร็จก็วางมันกลับลงในตะกร้า ขณะกำลังจะยกถ้วยโอสถขึ้นดื่ม อาเป่ากลับยกอุ้งเท้ากระโจนใส่อย่างกะทันหัน กระแทกถ้วยโอสถจนหล่นคว่ำลง

“ระวังเพคะ!” ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยรีบถลาเข้าไปทันใด คนหนึ่งดึงผู้เป็นนายออกมา คนหนึ่งรับถ้วยโอสถเอาไว้

อาเป่าทำได้ดีมาก! ดวงตาของแม่นมเฝิงลุกวาว ดึงอาเป่าพร้อมกับตะกร้าย้ายมาไว้บนตั่งเตียงซึ่งอยู่อีกด้านเพื่อมิให้มันเปื้อนโอสถ แล้วจากนั้นจึงทำหน้าลำบากใจพร้อมกล่าวกับนางกำนัลประจำห้องเครื่องว่า “โอสถถ้วยนี้หกหมดแล้ว…”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บ่าวจะกลับไปต้มให้เต๋อเฟยอีกถ้วย อีกประเดี๋ยวจะยกเข้ามา” นางกำนัลประจำห้องเครื่องรีบย่อตัวพลางกล่าว

“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว” รอยยิ้มของแม่นมเฝิงดูเสแสร้งอยู่บ้าง

อาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าหลิวกางกรงเล็บ นัยน์ตามืดมนขมุกขมัว

รอจนกระทั่งนางกำนัลประจำห้องเครื่องเดินออกไปแล้ว แม่นมเฝิงถึงขยับเข้าไปข้างหูเมิ่งซังอวี๋ พูดกดเสียงต่ำ “เต๋อเฟย ถึงแม้พระองค์ทรงไม่อยากมีบุตร แต่ก็ไม่อาจทำร้ายตัวเองเช่นนี้นะเพคะ โอสถนี้มีพิษสามส่วน ดื่มมาสามปีแล้ว จะดื่มต่อไปไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ”

“ข้ารู้แล้วแม่นม ต่อไปข้าจะไม่ดื่มยานี้อีกแล้ว” เมิ่งซังอวี๋พยักหน้า ครุ่นคิดในใจว่าอย่างไรเสียก็สูญสิ้นความโปรดปรานไปแล้ว ภายในปีครึ่งนี้ฝ่าบาทคงจะไม่คิดถึงข้า ไม่ดื่มก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นกังวล

ปีนั้นนางยังเป็นแค่หญิงสาวตัวน้อยอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ทำกับนางเช่นนี้ นางก็คงจะหายาคุมกำเนิดมากินเอง วิธีการนี้ของฝ่าบาทช่วยลดภาระให้นางไปไม่น้อย

อาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าได้ยินบทสนทนาของสองนายบ่าวก็พลันวางใจ ความไม่พอใจต่างๆ นานาที่มีต่อแม่นมเฝิงก่อนหน้านี้มลายหายไปในพริบตา บ่าวผู้นี้ถึงจะโง่เขลา แต่ก็มีดีที่ซื่อสัตย์ภักดี ให้นางติดตามอยู่ข้างกายเมิ่งซังอวี๋นั้นเป็นการดีแล้ว

ยามนางกำนัลประจำห้องเครื่องกลับมาอีกครา เมิ่งซังอวี๋ได้เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดคลุมยาวเปิดคอสีเข้ม นางใช้แขนเสื้อกว้างปกปิดใบหน้า เทโอสถลงในแขนเสื้อโดยที่ไม่รั่วซึมแม้แต่หยดเดียว นางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้นั้นมิได้รู้สึกผิดสังเกตแม้แต่น้อย ยกถ้วยโอสถกลับไปเพื่อรายงานผล

 

คืนนี้ เมิ่งซังอวี๋นอนหลับอยู่บนตั่งเตียง อาเป่านอนอยู่ใต้ตั่ง หนึ่งคนหนึ่งสุนัขมีท่าทางสุขสงบใจ แม้กระทั่งจังหวะของลมหายใจก็ยังเหมือนกัน สายฝนปรอยๆ ตกพรำอยู่นอกหน้าต่าง ไอเย็นซึมซาบเข้ามาจากช่องว่างของหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย กลายเป็นไอน้ำไหลหยดลงบนพื้นริมหน้าต่าง

ทันใดนั้นท้องฟ้าอันมืดสนิทพลันปรากฏสายฟ้าแลบสว่างวาบ ผ่านไปชั่วครู่เสียงอสนีบาตสนั่นหวั่นไหวก็ดังมาจากขอบฟ้า ราวกับมีกองทหารนับพันและอาชานับหมื่นกำลังสู้รบทำสงครามกันอยู่บนหลังคา

คราแรกเมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว แล้วตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า จากนั้นนางก็ใช้ผ้าห่มห่อหุ้มตัวเองเอาไว้แน่น กรีดร้องเรียกแม่นมเฝิงเสียงดังลั่น ร่างของนางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าขาวซีด ดวงตาหงส์คู่นั้นเบิกกว้าง ดูเหมือนว่ากำลังหวาดกลัวเหลือคณา

ใช่แล้ว นางกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่า ในภพก่อนตอนนางอายุสี่ขวบถูกบิดามารดาทิ้งไว้ในบ้านตามลำพัง สภาพอากาศในตอนนั้นมีฝนตกฟ้าร้องดังเช่นยามนี้ สายฟ้าผ่าลงบนมุมหนึ่งของบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องระเบิดและมีประกายไฟปะทุออกมา นางเกือบจะถูกไฟคลอกตาย โชคดีที่พี่เลี้ยงมาช่วยออกจากทะเลเพลิงได้ทันเวลา นับตั้งแต่นั้นมาเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็กลายเป็นฝันร้ายที่นางสลัดไม่หลุดทั้งสองภพ

กู่เซ่าเจ๋อตกใจตื่นเพราะเสียงกรีดร้องของเมิ่งซังอวี๋ ตะกุยเท้าทั้งสี่ข้างหมายจะปีนขึ้นไป พอปีนขึ้นไปตามแท่นรองจนขึ้นไปถึงบนตั่งเตียงเขาก็ได้เห็นเมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีท่าทางตื่นตระหนกเสียการควบคุมเช่นนี้เป็นครั้งแรก ในอกจึงอึดอัดกระวนกระวาย เสียดายที่เขาบาดเจ็บไปทั้งร่าง ถูกห่อจนเหมือนศพแห้ง แถมยังสวมชุดกันหนาวหนาๆ อีก แม้มีใจอยากจะช่วยแต่เรี่ยวแรงช่างไม่เป็นใจจริงๆ

“โฮ่งๆๆ!” ซังอวี๋อย่ากลัว เราอยู่นี่แล้ว!

“อาเป่า?” ครั้นได้ยินเสียงเห่าของลูกสุนัข เมิ่งซังอวี๋ก็นิ่งงันไป นางเลิกผ้าห่มพร้อมกับหยัดตัวขึ้น อุ้มอาเป่าที่แหงนหน้าจ้องมองตนเข้าสู่อ้อมกอด

“อาเป่าอย่ากลัวนะ ข้าอยู่นี่แล้ว! ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เมิ่งซังอวี๋คิดว่าอาเป่าเห่าเพราะหวาดกลัว นางจึงสงบจิตใจลงทันใด ด้านหนึ่งลูบแผ่นหลังอาเป่าแผ่วเบา ด้านหนึ่งก็ใช้ผ้าห่มห่อหุ้มตัวมันและตัวเองเอาไว้

ภายใต้ผ้าห่มกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ทั้งหอมกรุ่นและอบอุ่น กู่เซ่าเจ๋อสูดหายใจเฮือก หัวสมองมึนงง เขาใช้อุ้งเท้าเกี่ยวข้อมือของนางเอาไว้ แลบลิ้นเลียนิ้วมือและหลังมือของนาง สัมผัสเรียบลื่นและรสชาติหวานอ่อนๆ ทำให้เขาติดใจเล็กน้อย

เมิ่งซังอวี๋เองก็ลืมความหวาดกลัวไป ใช้นิ้วมือเกาลิ้นซุกซนของอาเป่าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“เต๋อเฟย พระองค์ไม่เป็นไรนะเพคะ” แม่นมเฝิงและปี้สุ่ยวิ่งเข้ามาด้วยสภาพทุลักทุเล เส้นผมยังมีหยดน้ำฝนเกาะอยู่

“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไปไหนมา” เมิ่งซังอวี๋เลิกผ้าห่มออก กู่เซ่าเจ๋อถูกทั้งสองทำลายเรื่องดีๆ จึงใช้อุ้งเท้าตบผ้าห่มปักดิ้นใต้ร่างด้วยความหงุดหงิด

“ทูลเต๋อเฟย จู่ๆ ฝนก็ตกลงมากลางดึก หม่อมฉันกับปี้สุ่ยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ปิดหน้าต่างในห้องหนังสือจึงรีบวิ่งไปปิดเพคะ แต่จู่ๆ ก็มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ซ้ำยังมีลูกเห็บเม็ดเท่าก้อนหินตกลงมาอีก ตกใส่หม่อมฉันกับปี้สุ่ยเต็มไปหมดเลยเพคะ”

ยามนี้เมิ่งซังอวี๋ถึงได้กล้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวนอกหน้าต่างอย่างตั้งใจ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกเห็บตกดังปึงๆ ปังๆ จริงๆ

“เต๋อเฟยเพคะ ใกล้จะเข้าเหมันตฤดูแล้วแต่ยังมีฟ้าร้องฟ้าผ่า คนโบราณว่าไว้ เหมันต์อสนีบาตฟาดลั่น คิมหันต์พร่างพรำหิมะโปรย เหล่านี้ล้วนมิใช่ลางดีเลยเพคะ! วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะไปขอยันต์คุ้มภัยมาให้พระองค์เพื่อขจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายเสียหน่อยก็แล้วกัน” แม่นมเฝิงเดินเข้าไป สอดเก็บชายผ้าห่มให้ผู้เป็นนาย เมื่อมองเห็นอาเป่าซึ่งอยู่บนที่นอนก็ยื่นมือหมายจะอุ้มมันลงมา

กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้วมุ่น รีบใช้อุ้งเท้าเกี่ยวแขนนวลของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้ นางบ่าวนี่ดีหมดทุกอย่าง ยกเว้นเสียแต่ไม่มีตา โง่เขลามากเกินไป!

“อย่า ปล่อยให้อาเป่านอนเป็นเพื่อนข้า คืนนี้แม่นมไม่ต้องนอนข้างตั่งข้าแล้ว จะได้ไม่จับไข้เอา ส่วนยันต์คุ้มภัยก็รบกวนแม่นมด้วยแล้วกัน พวกเจ้ารีบกลับไปจัดการตัวเองเถิด อาบน้ำอุ่นๆ ดื่มน้ำขิงร้อนๆ ด้วย ระวังจะไม่สบายเอา” เมิ่งซังอวี๋รีบโบกมือให้แม่นมเฝิงกับปี้สุ่ยออกไป แล้วจึงอุ้มอาเป่าเข้าอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง

กู่เซ่าเจ๋อนอนอิงแอบอยู่บนหน้าอกนุ่มนิ่มของเมิ่งซังอวี๋ ใบหน้าอยู่ระหว่างร่องอกพอดิบพอดี เขารู้สึกคันจมูกเล็กน้อย แอบแลบลิ้นไล้เลียเบาๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่

“ว้าย อาเป่า เจ้าสุนัขหื่นกาม!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเสียงเบาขึ้นมาโดยพลัน

เมื่อเห็นเจ้านายของตนยังคงเล่นสนุกอยู่กับอาเป่า ลืมเลือนเสียงฟ้าร้องดังสนั่นนอกหน้าต่างไปจนหมดสิ้น แม่นมเฝิงก็ยิ้มออกมาอย่างวางใจ พาปี้สุ่ยเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบเชียบ

 

วันถัดมา อสนีบาตอันเป็นลางร้ายนี้ได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นในราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเร่งให้ขุนนางข้าราชการในแต่ละพื้นที่เตรียมการป้องกันภัยหนาวทันทีเพื่อไม่ให้ประชาชนประสบความยากลำบาก ผ่านไปไม่กี่วันควันหลงจากอสนีบาตก็ยังมิได้สงบลง ต้นสนโบราณพันปีหลังตำหนักไท่เหอ (สันติธรรม) เฉาตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คลื่นยักษ์โถมกระหน่ำราชสำนัก

ต้นสนโบราณต้นนี้เคยเฉาตายมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากนั้นไม่กี่ปีราชวงศ์ก่อนก็ล่มสลาย พระเจ้าโจวไท่จู่เข้ายึดครองวังหลวง สวมเสื้อคลุมมังกรเสด็จขึ้นเถลิงราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นต้าโจว ในวันพิธีขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าโจวไท่จู่ ต้นสนโบราณที่แต่เดิมเฉาตายไปแล้วพลันผลิหน่อใหม่ออกมา กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าโจวไท่จู่ทรงรู้เข้าก็ปีติยินดีเป็นการใหญ่ ตรัสว่านี่เป็นสิริมงคลที่สวรรค์ดลบันดาลให้ และกล่าวว่าการก่อตั้งราชวงศ์ต้าโจวเป็นไปตามประสงค์ของสวรรค์ จะทำให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองไปตราบชั่วนิรันดร์

ทว่าบัดนี้ต้นสนโบราณอันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของราชวงศ์ต้าโจวกลับเฉาตาย อีกทั้งยังตายเพราะรากขาด หรือว่าสวรรค์กำลังส่งคำเตือนให้แก่ราษฎรต้าโจว รากขาด…หากโยงกับข่าวลือก่อนหน้านี้แล้ว มิใช่หมายถึงพระวรกายของฮ่องเต้หรอกหรือ

ในวังเฟิ่งหลวน หลี่กุ้ยเฟยหัวเราะร่า แต่ในวังจงชุ่ย เสิ่นฮุ่ยหรูกลับหักพู่กันขนหมาป่าอย่างเคร่งเครียด

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กลุ่มขุนนางจึงพากันร้องขอให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทอีกครั้ง ฮ่องเต้ก็ทรงสะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสด็จออกไปจากท้องพระโรงอีกคราเช่นกัน ข่าวลือคราวนี้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งก่อน ไม่ถึงหนึ่งวันก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คิดจะปิดเอาไว้ก็ปิดไม่อยู่ สุดท้ายก็แพร่สะพัดออกไปจนไม่อาจต้านทาน

โหรหลวงเองก็รายงานผลการเสี่ยงทำนายแก่ฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่สองคำเท่านั้นคือมหาวิบัติ เมื่อผลการเสี่ยงทายออกมาเช่นนี้ ก็ราวกับเป็นการเทน้ำใส่กระทะน้ำมันซึ่งกำลังเดือดพล่าน

ถึงแม้วังปี้เซียวจะมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ มีคนส่วนหนึ่งที่ตื่นตระหนก กระวนกระวาย และอยู่ไม่เป็นสุข

“เต๋อเฟย พวกเราคัดลอกพระคัมภีร์สักหน่อยเถิด ได้ปฏิบัติธรรมสงบจิตใจซ้ำยังช่วยขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัยได้ด้วยนะเพคะ จะได้มิถูกความอัปมงคลในวังสาดซัดใส่เอา” แม่นมเฝิงหอบพระคัมภีร์กองใหญ่เดินเข้ามา

“อากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือกจนมือแข็งไปหมดแล้ว คัดลอกพระคัมภีร์อันใดกันเล่า” เมิ่งซังอวี๋แกะขนมจ้างบนอุ้งเท้าของอาเป่าออกอย่างระมัดระวัง ตรวจดูสภาพบาดแผล อาเป่าเองก็เข้มแข็งยิ่ง แม้ถูกดึงผ้าพันแผลออกจนสะดุ้งเพราะเจ็บก็ยังไม่ร้องสักนิด กลับเป็นเมิ่งซังอวี๋ที่ตกใจจนประเดี๋ยวหอมประเดี๋ยวกอดเป็นการใหญ่ ทั้งยังเป่าแผลให้ไม่หยุด เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองเจ้าหอมข้า ข้าเลียเจ้า สนุกสนานสุขอุรายิ่งนัก

“คราวนี้ทั้งฟ้าผ่าทั้งต้นสนโบราณเฉาตาย ทุกคนต่างบอกว่าเป็นเพราะในวังแปดเปื้อนเคราะห์ร้าย หากผู้ใดไปแตะเข้าก็จะโชคร้าย! จริงด้วย ฝ่าบาทมีไอมังกรปกปักรักษาก็ยังทรงบาดเจ็บสาหัส ทุกคนต่างกำลังคัดลอกพระคัมภีร์ พระองค์ไม่คัดก็ไม่เป็นไร หม่อมฉันจะช่วยคัดให้เอง แต่ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็เอาไปวางไว้ใต้หมอนสักเล่มเถิด” แม่นมเฝิงหยิบคัมภีร์ ‘สัทธรรมปุณฑริกสูตร’ เล่มบนสุดยื่นให้ผู้เป็นนาย

เมิ่งซังอวี๋รับมาอย่างจำใจ เปิดเล่นเรื่อยเปื่อยพลางกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องกลัวถึงเพียงนี้ก็ได้ ฟ้าร้องฟ้าแลบก็เป็นแค่ประกายไฟที่เกิดจากกลุ่มเมฆเย็นปะทะกับกลุ่มเมฆร้อน เหมือนกับยามที่กระบี่สองเล่มปะทะกันนั่นแหละ ที่ช่วงสารทฤดูและเหมันต์ฤดูไม่ค่อยมีฟ้าร้องก็เพราะหมู่เมฆในช่วงเวลานี้ต่างเย็นตัวกันหมด กระแสลมสงบนิ่ง แต่หากอากาศอบอุ่นอยู่หลายวันแล้วเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก็จะเกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าแลบได้ หลายวันก่อนหน้านี้อากาศก็ร้อนอยู่มิใช่หรือ ฟ้าร้องเมื่อวานก็เกิดจากเมฆร้อนยังมิได้สลายไปแล้วเมฆเย็นเข้ามาแทนที่เท่านั้นเอง มิได้เกี่ยวอะไรกับเคราะห์ร้ายหรือภูตผีเลยสักนิด”

กู่เซ่าเจ๋อแหงนหน้ามองนางแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ รู้สึกหลงใหลในข้อสรุปอันแปลกใหม่นี้ ที่แท้ฟ้าแลบฟ้าร้องเกิดจากเหตุนี้เองหรือ พอคิดดูดีๆ ก็มีเหตุมีผลจริงเสียด้วย ในสมองน้อยๆ ของนางยังมีความคิดพิสดารอีกมากมายเท่าไรกันแน่

“เต๋อเฟยทรงรู้มากมายถึงเพียงนี้” ปี้สุ่ยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงพลางกล่าวหยอกล้อ “แล้วเหตุใดยังหวาดกลัวถึงเพียงนั้นเล่าเพคะ”

เมิ่งซังอวี๋สำลักแค่กๆ รวบกอดอาเป่าที่อยู่ในอ้อมอกแน่น เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่า “กลัวก็คือกลัว ข้าจะทำอย่างไรได้ อาเป่าก็กลัวเช่นกัน เมื่อคืนยังกลัวจนตัวสั่นเลย ต้องให้ข้ากอดมันไว้มันถึงจะกล้านอนหลับ”

เรากลัวตั้งแต่เมื่อไร เราตัวสั่นตั้งแต่เมื่อไร เจ้าใส่ร้ายเราเพราะเราพูดไม่ได้ใช่หรือไม่ กู่เซ่าเจ๋อรู้สึกอ่อนใจ พิศมองริมฝีปากสีชมพูของเมิ่งซังอวี๋ซึ่งทำปากจู๋แล้วประเดี๋ยวก็พลันยิ้มออกมา เมิ่งซังอวี๋ในยามนี้ถึงจะสมกับเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี ในความน่ารักแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ทำให้เขามองแล้วเกิดความชื่นชมรักใคร่ขึ้นในหัวใจอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อเห็นอาเป่าที่นอนซบอยู่บนตักผู้เป็นนายพลันส่งเสียงฟึดฟัด คล้ายกับว่าคล้อยตามวาจาของเจ้านาย อิ๋นชุ่ย ปี้สุ่ย และแม่นมเฝิงก็พากันหัวเราะ เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้นับวันยิ่งรู้ใจกันดียิ่ง

ปี้สุ่ยเก็บรอยยิ้ม เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “เช่นนั้นเรื่องที่ต้นสนโบราณในตำหนักไท่เหอเฉาตายเป็นอย่างไรกันแน่เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าต้นสนโบราณต้นนั้นมีเทพยดาสถิตอยู่ สามารถพยากรณ์ความรุ่งเรืองและดับสูญในใต้หล้าได้”

“ต้นสนโบราณนั้นเป็นต้นไม้ธรรมดา เทพยดา คำพยากรณ์ คำเตือนเหล่านั้นล้วนเป็นเพราะมีคนกำลังเล่นตลกเท่านั้นเอง” เมิ่งซังอวี๋โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ทุกคนรวมทั้งอาเป่าหันไปมองนางด้วยสายตาวาววับ “ในเมื่อต้นสนโบราณต้นนั้นมีอายุร่วมพันปี อายุก็ไม่นับว่าน้อยแล้ว เฉาตายไปก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ถูกผู้ที่มีเจตนาไม่ดีเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่าราชวงศ์ก่อนทำให้เทพเทวดาพิโรธ ต่อมาพระเจ้าโจวไท่จู่ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพื่อให้การขึ้นครองบัลลังก์ของสกุลกู่ดูหมือนเป็นประสงค์ของสวรรค์ ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม ต้นสนโบราณนี้จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ที่ว่ากันว่าคืนชีพมันก็เป็นแค่การใช้กลวิธีลับบางอย่างเพื่อยืดอายุของต้นสนโบราณ สามารถยืดอายุมาได้ถึงร้อยปีมิใช่เรื่องง่าย แต่ช้าเร็วก็ต้องเฉาตายอยู่ดี ทว่ามันกลับมาเฉาตายในช่วงเวลานี้ แสดงว่าต้องมีคนใช้เล่ห์กลเป็นแน่ พวกเรารู้เอาไว้ก็ดี แต่ไม่อาจแพร่งพรายออกไป” เมิ่งซังอวี๋ใช้นิ้วชี้ปิดปาก ทำท่าทางบอกให้เงียบเสียง

เรื่องที่ต้นสนโบราณตายแล้วคืนชีพเป็นความลับสุดยอดของสกุลกู่ พระเจ้าโจวไท่จู่คาดการณ์ได้ว่ามันคงจะอยู่ได้ไม่นาน หลังจากครองราชย์จึงฝังป้ายศิลาคำว่า ‘ยั่งยืนตราบชั่วนิรันดร์’ เอาไว้ใต้ราก จนกระทั่งถึงวันใดวันหนึ่งที่ต้นสนเฉาตายก็ให้ขุดขึ้นมาเพื่อแก้ไขเรื่องเสียหาย หากมิใช่เพราะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ กู่เซ่าเจ๋อก็คงไม่รู้ความลับนี้

กู่เซ่าเจ๋อมองเมิ่งซังอวี๋อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกตื่นตะลึงกับความฉลาดเฉียบแหลมของนางอีกแล้ว จากนั้นก็นึกถึงหลี่กุ้ยเฟยกับหลี่เซียง ความอ่อนโยนในดวงตาพลันสลายหายไปในทันที ถูกแทนที่ด้วยความหนาวเหน็บเสียดกระดูก แม้กระทั่งสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก็ยังกล้าลงมือ สกุลหลี่ยิ่งมายิ่งใจกล้าขึ้นทุกที!

พวกแม่นมเฝิงพยักหน้า แสดงสีหน้าเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ชั่วครู่หลังจากนั้นนางคล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกดเสียงต่ำเอ่ยถาม “เต๋อเฟย พระองค์ว่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บตรงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพคะ”

“เก้าในสิบส่วน” เมิ่งซังอวี๋เบ้ปาก “ตอนที่ฝ่าบาทเพิ่งจะเสด็จกลับมามิใช่เรียกหมอมากมายเข้าวังติดๆ กันหรอกหรือ หมอเหล่านั้นหายตัวไปทั้งหมด ต้องเป็นเพราะเพื่อปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้อย่างแน่นอน และฝ่าบาทมิได้เสด็จเข้ามาตำหนักในสองเดือนติดกันแล้ว แม้แต่เหลียงเฟยซึ่งเป็นที่โปรดปรานก็มิได้แตะต้อง แสดงว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง” จบคำ นางพลันยิ้มตาหยี หลุดหัวเราะออกมา สีหน้ามีความสุขกับหายนะของผู้อื่นอย่างที่สุด

หากไม่มีพระโอรส ชาตินี้เสิ่นฮุ่ยหรูก็อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮาเลย เกรงว่าปณิธานของราชครูเสิ่นคงยากจะสำเร็จเป็นจริง อีกทั้งตัวนางเองก็ได้แสดงจุดยืนต่อหลี่กุ้ยเฟยไปแล้ว สนมชายาที่ไร้บุตรไร้ความโปรดปรานเช่นนาง หลี่กุ้ยเฟยคงไม่ลงมือทำอะไร ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรู การจะรับมือกับหลี่กุ้ยเฟยก็ยังรับมือไม่ไหวด้วยซ้ำ จึงยิ่งไม่อาจลงมืออันใดกับนาง นี่ถึงจะทำให้นางอยู่สงบสุขได้อย่างแท้จริง

กู่เซ่าเจ๋อได้ยินก็มีสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว รู้สึกอึดอัดในอกและหายใจติดขัด แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาหงส์ที่เป็นประกายวาววับและมุมปากยกยิ้มน้อยๆ ของเมิ่งซังอวี๋ ไอทะมึนทั้งหมดก็ถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น ช่างเถิด อยากหัวเราะก็หัวเราะไป! รอให้เรากลับคืนร่างเดิมได้ เราจะทำให้เจ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วเรามี ‘เรี่ยวแรง’ หรือไม่! ดูท่าแล้ว เราคงต้องรีบไปหาตัวจวิ้นเหว่ยให้พบโดยเร็ว ตอนนี้ไปเสาะหาหมอเทวดาหรือโอสถล้ำค่าก็ไม่มีประโยชน์ ต้องหานักพรตผู้มีวิชาอาคมสูงส่งมาเรียกวิญญาณกลับร่างถึงจะใช้ได้

 

ในตำหนักกลางวังเฉียนชิง ฮ่องเต้ทรงประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร ในพระหัตถ์ถือหนังสือกราบทูลฉบับหนึ่ง ทว่าเหลือบมองดูไม่กี่แวบก็รีบโยนทิ้งไปอีกด้าน แล้วหยิบขึ้นมาอีกฉบับ จากนั้นก็โยนทิ้งไปอีกครั้ง คิ้วเข้มเฉียงตรงขมวดลึก ราวกับหงุดหงิดจนกล่าวออกมาได้ไม่หมด

“เหลียงเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงทูลแจ้งของขันทีดังมาจากนอกตำหนัก

พระเนตรของฮ่องเต้เปล่งประกายวูบ โบกพระหัตถ์พร้อมกับตรัสว่า “เข้ามาได้!”

ฉางสี่เดินนำเสิ่นฮุ่ยหรูเข้ามาในตำหนัก สะบัดแส้ปัดในมือพร้อมกับสั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในตำหนักออกไป

บรรดาขันทีและนางกำนัลเดินออกไปเป็นแถว ก้มหน้าจรดคาง ไม่กล้าแลมองซ้ายขวาแม้แต่นิดเดียว ระยะนี้ฝ่าบาทพระอารมณ์ไม่ค่อยดี ในวังเฉียนชิงมีคนตายไปอย่างไม่รู้สาเหตุมากมาย อีกทั้งคนที่ยิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่าบาทก็ยิ่งตายเร็ว พวกเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ระมัดระวังกระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยากจะเกิดมาไม่มีตาไม่มีหูจะแย่อยู่แล้ว

พอพวกนั้นเดินจากไปไกล ฉางสี่ก็มิได้ถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว เขาเดินไปดูต้นทางหน้าประตูตำหนัก ส่วนเสิ่นฮุ่ยหรูก็ยืดเข่าที่ย่อน้อยๆ ขึ้น เดินไปยังตำแหน่งประธานที่ฮ่องเต้ทรงหลีกทางให้พร้อมกับนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง

“กระหม่อมคารวะเหลียงเฟย” ฮ่องเต้ปลดความน่าเกรงขามออกจนสิ้น คุกเข่าถวายบังคมนางอย่างนอบน้อม

“ลุกขึ้นเถอะ!” เสิ่นฮุ่ยหรูเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ลึกลงไปในดวงตาเต็มไปด้วยประกายเลือนรางอันซับซ้อนยากจะเอ่ย เมื่อมองดูคนผู้นี้ใช้ใบหน้าที่สูงส่งเหนือผู้อื่นย่อกายคำนับตนอย่างไร้ศักดิ์ศรี ในใจนางก็รู้สึกแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีความรู้สึกพอใจบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ในที่สุดนางก็ไม่ต้องพึ่งพาความรักความโปรดปรานของเขาเพื่อมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ในที่สุดก็ไม่ต้องวิตกกังวลกับสถานะของตนอีกต่อไป ในที่สุดก็ไม่ต้องเงยหน้าปรนนิบัติพัดวีอีกต่อไป…

“ทูลเต๋อเฟย หนังสือกราบทูลที่เสนอแนะให้แต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเก็บทั้งหมดเอาไว้มิได้ตอบกลับแต่อย่างใด” ฮ่องเต้ถูกเสิ่นฮุ่ยหรูมองจนเย็นวาบในใจ รีบชี้ไปยังกองหนังสือกราบทูลบนโต๊ะทรงพระอักษรเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

เสิ่นฮุ่ยหรูเบนสายตาไปยังหนังสือกราบทูล นัยน์ตาลึกล้ำค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น นางเปิดอ่านด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ทว่าจดจำชื่อบนหนังสือกราบทูลชื่อแล้วชื่อเล่าเอาไว้ ภายในตำหนักอันใหญ่โตพลันเงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก บรรยากาศอึมครึมเริ่มแผ่ปกคลุม

ฮ่องเต้ยังคงคุกเข่าอยู่อีกด้าน ไม่กล้าเงยพระพักตร์แม้แต่น้อย

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสิ่นฮุ่ยหรูก็เอ่ยปากอย่างเนิบช้า ทำลายความอึมครึมภายในตำหนัก “แค่เก็บเอาไว้ไม่ได้ตอบกลับไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย ประสานพระหัตถ์พลางกล่าว “ขอคำชี้แนะจากเหลียงเฟยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“คืนนี้เจ้าไปนอนที่ตำหนักของเต๋อเฟย รักใคร่โปรดปรานนางแต่เพียงผู้เดียวติดต่อกันหนึ่งเดือนจนกระทั่งนางตั้งครรภ์” เสิ่นฮุ่ยหรูยกยิ้ม นัยน์ตาลึกล้ำเปล่งประกายมืดมิดแปลกประหลาดบางอย่าง

“เหลียงเฟย!?” ฮ่องเต้แหงนพระพักตร์ทันใด รู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับคำสั่งนี้ มั่วโลกีย์ในตำหนักใน? นี่เป็นการหมายเอาชีวิตเขาชัดๆ!

“เต๋อเฟยกินยามาหลายปี คงจะไม่ตั้งครรภ์ง่ายๆ เจ้าร่วมเตียงกับนางตลอดหนึ่งเดือน พอถึงเวลาค่อยแอบเอายาเม็ดนี้ให้นางกิน ทำให้นางตั้งครรภ์หลอกๆ ก็พอ นางมิใช่อยากนั่งบนภูดูเสือกัดกัน หรอกหรือ แต่อย่างไรข้าก็จะลากนางลงมาคลุกคลีด้วยให้จงได้! พอมีบุตร ต่อให้นางไม่อยากสู้ก็ต้องสู้ และข้าก็จะฉวยโอกาสหลบไปอยู่หลังม่านได้ ค่อยๆ จัดการกับคนของหลี่เซียง สั่งสมอำนาจของสกุลเสิ่น พอเต๋อเฟยพบว่านางตั้งครรภ์ปลอมๆ ไม่ว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ข้าก็มีวิธีกำราบนางให้จมเถ้าธุลี ให้นางอยู่ไม่สู้ตาย!” เสิ่นฮุ่ยหรูคล้ายกับไม่เห็นสีพระพักตร์อันตื่นตระหนกของฮ่องเต้ ยังคงสั่งการต่อไป

“เหลียงเฟย ขออภัยที่กระหม่อมไม่อาจรับบัญชาได้!” ฮ่องเต้กัดฟัน หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมาไม่น้อย

“เจ้าอยากทำก็ต้องทำ ไม่อยากทำก็ต้องทำ เจ้าคิดว่ายาพิษที่เหยียนจวิ้นเหว่ยให้กินถอนพิษได้แล้วอย่างนั้นหรือ” เสิ่นฮุ่ยหรูพูดถึงตรงนี้ก็จงใจหยุดชั่วครู่ เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่พลันขาวซีดดุจกระดาษของฮ่องเต้จึงพูดต่อ “ในยาถอนพิษที่ข้าให้เจ้ามียาพิษอื่นเจืออยู่ ต้องได้รับยาถอนพิษจากข้าทุกๆ สองเดือนถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฝ่าบาททรงหมดสติไปเกือบจะสามเดือน ข้าถามหมอหลวงมาแล้ว ภายใต้สภาพเช่นนี้ โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมามีน้อยนิดยิ่งนัก หากเจ้าช่วยข้า ข้าไม่เพียงแต่รับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย ทั้งยังจะมอบเกียรติยศทรัพย์สินให้เจ้าไปชั่วชีวิต ภายภาคหน้าเมื่อแผนการใหญ่ของสกุลเสิ่นลุล่วง เราก็จะปล่อยเจ้าให้โบยบินเป็นอิสระ เจ้าต้องคิดให้ดีล่ะ”

ลมหายใจของฮ่องเต้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ครู่ใหญ่ผ่านไปถึงเอ่ยตอบเสียงแห้ง “กระหม่อมยินดีทำตามบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่เชื่อคำสัญญาของเหลียงเฟยแม้แต่คำเดียว แต่เขาไม่อาจไม่ทำตาม แม้ว่าช้าเร็วก็ต้องตายอยู่ดี แต่ตายช้าลงไปหนึ่งเค่อก็ยังดี

“ดีมาก เจ้าเป็นคนฉลาด ตามฉางสี่ไปที่ตำหนักปีก เขาจะบอกเรื่องที่เต๋อเฟยชื่นชอบให้เจ้ารู้ เจ้าต้องตั้งใจศึกษาอย่างละเอียด ห้ามเผยพิรุธเด็ดขาด หลังจากร่วมเตียงกับเต๋อเฟย หากเจ้าถูกใจสตรีคนใดในวัง แค่เรียกให้ฉางสี่พาเจ้าไปก็พอ หากถูกใจหลี่กุ้ยเฟยก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่ห้ามมอบความโปรดปรานให้นางมากเกินไป” เสิ่นฮุ่ยหรูโบกมือ สั่งให้ฮ่องเต้ที่ฝีเท้าอ่อนแรงออกจากตำหนักไป

เมื่อเห็นว่าเงาด้านหลังของคนผู้นี้เหมือนกับกู่เซ่าเจ๋อไม่มีผิดเพี้ยน ในดวงตานางก็ฉายความสะใจอันโหดเหี้ยมอำมหิตออกมาหลายส่วน เมิ่งซังอวี๋ หลี่ซูจิ้ง หากวันหน้าพวกเจ้ารู้ว่าตนเคยพลีกายให้บ่าวชั้นต่ำผู้หนึ่ง ในใจจะรู้สึกเยี่ยงไรหนอ

“เหลียงเฟย ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้มิใช่ทางออกนะเพคะ หากไม่มีพระโอรส ต่อให้พระองค์ทรงเอาชนะหลี่กุ้ยเฟยกับเต๋อเฟยได้ และได้ครองตำแหน่งฮองเฮาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด พระโอรสเป็นสิ่งสำคัญในแผนการขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ ของท่านราชครู พระองค์ทรงรีบตัดสินพระทัยเถิดเพคะ” นางข้าหลวงหว่านชิงเอ่ยปากตัดบทความคิดของนางอย่างอดรนทนไม่ไหว

“ข้ารู้ แต่จะให้ข้ากับบ่าวผู้หนึ่ง…ข้าทำไม่ได้! ท่านพ่อไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไร” เสิ่นฮุ่ยหรูกำหมดแน่นจนมือซีดขาว

“การตั้งครรภ์หลอกๆ แล้วค่อยแอบนำเด็กทารกคนหนึ่งเข้าวังต้องสิ้นเปลืองแรงคนและกำลังทรัพย์มากมายมหาศาล ทั้งยังต้องใช้เวลาถึงสิบเดือน คงเผยช่องโหว่ออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลี่เซียงกับหลี่กุ้ยเฟยคอยจับจ้องอยู่ข้างๆ ไม่วางตา หากเผยพิรุธแม้แต่นิดเดียวก็จะทำให้สกุลเสิ่นถึงจุดจบ ไม่อาจฟื้นคืนได้เลยนะเพคะ แผนการที่ราชครูคิดขึ้นนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว เพื่อความรุ่งโรจน์ร้อยปีของสกุลเสิ่น พระองค์ทรงรีบก้าวข้ามหลุมในพระทัยเถิดเพคะ” หว่านชิงเอ่ยโน้มน้าว

“ข้ารู้แล้ว รออีกสักเดือนเถิด! เมิ่งซังอวี๋เป็นดาบชั้นดี ข้าใช้มาหลายปี หากจะทิ้งขว้างตามอำเภอใจก็น่าเสียดาย” สีหน้าของเสิ่นฮุ่ยหรูซีดเซียวเล็กน้อย

หว่านชิงไหนเลยจะไม่รู้ว่านี่เป็นคำพูดประวิงเวลาของนาง จึงได้แต่เอ่ยโน้มน้าวต่อไป “ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนฝ่าบาทก็ไม่ฟื้นหรอกเพคะ ต่อให้ฟื้น เมื่อทรงทราบเรื่องที่ท่านราชครูกับพระองค์ทำ ฝ่าบาทจะทรงอภัยให้ท่านได้อย่างไร ท่านเชื่อฟังคำพูดของท่านราชครูเถิดเพคะ จัดการ…” หว่านชิงทำท่าบีบคอ

เสิ่นฮุ่ยหรูลุกขึ้นสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้านางหนึ่งฉาด เอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย “บ่าวชั่วช้า! วาจาเช่นนี้ห้ามเอ่ยออกมาอีก! ในเมื่อฝ่าบาทไม่ฟื้นคืนสติแล้วก็ปล่อยให้พระองค์หลับใหลต่อไป ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้องพระองค์แม้แต่ปลายเล็บ! หากใครฝ่าฝืนคำสั่งล่ะก็ ข้าจะประหารมันเก้าชั่วโคตร! ได้ยินหรือไม่!”

หว่านชิงกุมแก้มพร้อมกับทรุดลงคุกเข่า ได้แต่เอ่ยรับคำไม่หยุด ชีวิตของคนทั้งครอบครัวถูกบีบอยู่ในมือเหลียงเฟย นางจึงไม่กล้าพูดมากอีก

ในทางลับใต้วังเฉียนชิง ราชองครักษ์ลับนายหนึ่งนอนหมอบอยู่ในช่องลมพลางฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่จนจบ จากนั้นจึงรีบเขียนข้อความ

 

‘ฝ่าบาททรงยังมิได้สติ ให้เสาะหาหมอฝีมือดีต่อไป เหลียงเฟยเคลื่อนไหวผิดสังเกต ขอให้ท่านผู้บัญชาการโปรดกลับวังมาตัดสินโดยด่วน’

 

ครั้นแล้วก็ให้คนส่งออกไปนอกวังอย่างลึกลับไร้ร่องรอย

บทที่สิบเอ็ด

ฮ่องเต้เสด็จ

เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านอนตะแคงข้างอยู่บนตั่งเตียง เพราะอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน ในวังจึงจุดเตาใต้ดิน ทำให้รู้สึกอบอุ่นสบายยิ่งนัก นางสวมแค่ชุดกันหนาวบางเบา แล้วห่อหุ้มอาเป่าไว้ในชุดกันหนาวนั้น มันโผล่ออกมาเพียงแค่ศีรษะที่สวมหมวกใบเล็กเท่านั้น หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งกันกินขนมโก๋อ่อน อ่านบันทึกปกิณกะเล่มเดียวกัน ภาพเช่นนี้ช่างน่าขำขันยิ่ง

กู่เซ่าเจ๋อถูกขนาบอยู่ระหว่างกลางเนินอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ปลายจมูกคือกลิ่นกายอันเย้ายวน ช่างทุกข์และสุขในคราเดียวกันจริงๆ เขาอยากจะสัมผัสร่างกายของเมิ่งซังอวี๋อย่างควบคุมไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นอุ้งเท้าที่พันเป็นขนมจ้างของตนแล้วก็ได้แต่ลดธงเงียบเสียงกลอง พยายามย้ายความคิดและจิตใจไปอยู่กับหนังสือ

“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่ขันทีส่งคนมาแจ้งว่าคืนนี้ฮ่องเต้จะเสด็จวังปี้เซียว ขอให้พระองค์ทรงเตรียมตัวให้พร้อม” ปี้สุ่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง นางคิดว่าพอเจ้านายของตนสิ้นความโปรดปรานไปแล้ว วันคืนอันขมขื่นที่ต้องแก่งแย่งชิงดีก็จะหยุดลงด้วยเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้กลับเปลี่ยนใจกลับมาหานางอีกครั้ง!

พรวด…เมิ่งซังอวี๋ยังไม่ได้กลืนขนมลงไปก็พ่นออกมาทั้งชิ้น “มิใช่ใช้การไม่ได้แล้วหรอกหรือ” นางจับเส้นผมยาวสยายของตน ตะโกนเสียงดังอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“โฮ่งๆๆ!” กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าเสียงแหบแห้งด้วยเช่นกัน เป็นแค่ตัวปลอม ใครใช้ให้มันบังอาจถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าแตะต้องซังอวี๋ของเรา!? โทสะสูงเสียดฟ้าที่พลุ่งพล่านอยู่ในดวงตาของเขาแทบจะทำให้ลูกตาสีดำสนิทกลายเป็นสีแดงฉาน

เมิ่งซังอวี๋รีบลูบศีรษะอาเป่าเป็นการปลอบประโลม กดเสียงต่ำพลางเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม “เจ้าบุรุษชั่วช้าสามานย์! เหตุใดไม่ประกาศศักดาบนเรือนร่างดอกบัวขาวบริสุทธิ์ของเขา แต่ดันมาหาข้าได้เล่า ฮึ! ก็แค่วางแผนจะให้ข้ารับเคราะห์แทนดอกบัวขาวดอกนั้นล่ะสิ มนุษย์ดินก็ยังเป็นดินอยู่สามส่วน มารดาจะหยุดงานประท้วง! มารดาไม่ทำแล้ว!”

ซังอวี๋ พูดได้ดี! กู่เซ่าเจ๋อเห่าโฮ่งๆ คล้อยตาม มิได้ฉุกใจสักนิดเลยว่าบุรุษชั่วช้าสามานย์ที่นางพูดถึงก็คือตัวเอง

“เต๋อเฟย เช่นนั้นพวกเราจะรับมืออย่างไรดีเพคะ” แม่นมเฝิงถามอย่างกระตือรือร้น เมื่อก่อนนางเป็นตัวตั้งตัวตีให้แก่งแย่งชิงดี แต่หลังจากรู้ความจริงก็แปรพักตร์มาเป็นฝ่ายต่อต้านเรียบร้อยแล้ว

“ไปหยิบยาเม็ดสีแดงในตลับก้นหีบ ออกมา นั่นเป็นยาที่ข้าได้มาจากหมอหลวงผู้เฒ่าฉวีซึ่งเกษียณราชการลากลับบ้านเกิดไปแล้ว ตอนนี้มีโอกาสได้ใช้มันพอดี” เมิ่งซังอวี๋ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ชี้หีบใบหนึ่งพลางพูดกับปี้สุ่ย

ความเซื่องซึมในดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อจางลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาเข้าใจกระจ่างแล้ว หากไม่มีคำสั่งจากเสิ่นฮุ่ยหรู เจ้าตัวปลอมนั่นจะใจกล้าค้ำฟ้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร คิดจะใช้ประโยชน์จากตำหนักในของเขา? นี่เท่ากับว่าต้องโทษตายทั้งสกุลด้วยซ้ำ! ดูท่าสกุลเสิ่นคงทรยศเขาโดยสมบูรณ์แล้ว คราวนี้คนเหล่านั้นคงคิดจะขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์ จากนั้นก็ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชวงศ์!

เขากัดฟันกรอดๆ อย่างไม่รู้ตัว เพลิงโทสะโหมกระหน่ำในหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ไมตรีหยดสุดท้ายที่มีต่อเสิ่นฮุ่ยหรูและราชครูเสิ่นสลายหายไปในเปลวเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้านี้จนหมดสิ้น

โชคดีที่ยังมีเหยียนจวิ้นเหว่ยซึ่งไม่มีวันหักหลังเขา เขายังรักษาความหวังสุดท้ายไว้ได้! หากร่างกายของเขาตายไปแล้ว เหยียนจวิ้นเหว่ยก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ จะต้องสังหารคนทรยศทีละคนๆ จนหมดสิ้นเป็นแน่ จากนั้นจึงคืนป้ายคำสั่งของผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับให้แก่ไทเฮาแล้วปลิดชีพตัวเอง ทว่าตอนนี้เหยียนจวิ้นเหว่ยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แสดงว่าร่างกายของเขายังปลอดภัยดีอยู่

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้ามองไปยังเมิ่งซังอวี๋ ในใจลังเลว่าจะบอกสถานะที่แท้จริงของเขากับนางดีหรือไม่ แต่ก็คิดได้ในทันใดว่าหากให้นางเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ จะเป็นการนำพาอันตรายมาสู่นางหรือไม่ เขาละล้าละลัง

ในชั่วขณะที่กำลังลังเลนั้น เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าออกมาจากชุดกันหนาวตัวน้อย ย่นคิ้วพลางกล่าว “ช่วงนี้อาเป่าอารมณ์แปรปรวนง่ายยิ่ง ตอนกลางดึกมันจะนอนพลิกไปพลิกมา ท่าทางไม่ค่อยสบาย หรือว่าตอนนี้ถึงฤดูติดสัดแล้ว แต่ฤดูติดสัดของสุนัขกุ้ยปินเร็วที่สุดมิใช่ตอนอายุสี่เดือนหรอกหรือ อาเป่าเพิ่งจะสามเดือนกว่าเองกระมัง”

นางเอ่ยพลางจับอาเป่าพลิกไปพลิกมา มองบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ที่ถูกโกนขนจนโล้นเกลี้ยงของมัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างวางใจ

“ยังมิได้ติดสัด ค่อยยังชั่ว ถ้าติดสัดเร็วเกินไปจะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ อาเป่าอย่ารีบร้อนล่ะ รอให้ถึงวัยแล้วข้าจะหาลูกสะใภ้ที่น่ารักสะสวยให้เจ้าอย่างแน่นอน” นางพูดพร้อมกับใช้นิ้วดีดสิ่งนั้นอันน่ารักน่าชังของมัน

แม่นมเฝิงและอิ๋นชุ่ยต่างก้มหน้า แต่เหลือบมองท่าทางหยาบโลนของผู้เป็นนายอย่างห้ามไม่อยู่

กู่เซ่าเจ๋อใช้อุ้งเท้าปิดหน้า วิญญาณมนุษย์ในใจกลายเป็นสีแดงเลือดหมูไปแล้ว เหนือศีรษะผุดควันเป็นสาย หัวใจซึ่งเดิมทียังลังเลไม่แน่ใจแน่วแน่ขึ้นมาทันที ชั่วชีวิตนี้ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็จะไม่บอกเมิ่งซังอวี๋ว่าตนเคยเป็นอาเป่า! เขาจะทำให้ตนอับอายไม่ได้!

เปลวเพลิงโทสะและไอสังหารที่โถมกระหน่ำในใจมลายหายไปจนหมดสิ้นโดยไม่รู้ตัว หลงเหลือไว้เพียงความจนใจอย่างลึกซึ้งและความรักใคร่จางๆ สตรีผู้นี้มักจะทำให้เขาลืมเลือนเรื่องวุ่นวายใจเหล่านั้นไปได้เสมอ

“เต๋อเฟย ใช่สิ่งนี้หรือไม่เพคะ” ปี้สุ่ยถือกล่องปักดิ้นใบเล็กสีดำเข้ามา เปิดฝาออกพลางถาม

“ใช่ สิ่งนี้แหละ” เมิ่งซังอวี๋ปล่อยอาเป่าที่ใช้เท้าหน้าปิดหน้า ท่าทางดูน่ารักน่าชังเหลือหลายลง แล้วหยิบเม็ดยากินกลั้วกับน้ำอย่างอารมณ์ดี

“เต๋อเฟย ยานี้มีสรรพคุณอย่างไรหรือเพคะ” แม่นมเฝิงซักถามอย่างไม่วางใจ

“หลังจากกินยานี้ลงไปสองชั่วยามจะทำให้ระดูมาก่อนเวลา อีกทั้งยังมาขาดๆ หายๆ ติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด” เมิ่งซังอวี๋มองไปยังนาฬิกาทรายซึ่งอยู่บนตั่งตัวเล็ก พูดพึมพำว่า “อีกหนึ่งชั่วยามฝ่าบาทก็จะเสด็จมาแล้ว ก่อนที่พระองค์จะร่วมเตียงกับข้า พวกเราต้องถ่วงเวลาให้ได้หนึ่งชั่วยาม รอให้ยาออกฤทธิ์เสียก่อน…แต่พระองค์มิใช่ใช้การไม่ได้แล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงทำได้เล่า ช่างน่าผิดหวังเสียจริง! แต่หลี่ซูจิ้งคงผิดหวังกว่าข้าเป็นแน่” พูดจบนางก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา

ถูกผู้หญิงของตนคาดหวังให้ด้านนั้นใช้การมิได้ กู่เซ่าเจ๋อวางเท้าหน้าที่แข็งชะงักลง ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าอย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่บัดนี้เขาได้ถลำลึกลงสู่โคลนตมของสุนัขผู้ภักดีอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ถึงกับไม่เดือดดาลเลยแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าหลังจากกลับคืนสู่ร่างเดิมแล้วจะต้องรักใคร่ทะนุถนอมเมิ่งซังอวี๋ให้ดีๆ ทำให้ปากเล็กๆ ของนางเปล่งวาจาอื่นใดไม่ได้อีกนอกจากเสียงครวญคราง

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าจมูกคันยิบพร้อมทั้งเอ่อล้นด้วยบางสิ่ง เขารีบเลียความอุ่นร้อนตรงจมูกทิ้งก่อนที่เมิ่งซังอวี๋จะรู้ตัว พอเลียเสร็จเขาก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก ตอนนี้เขาถึงกับกินเลือดกำเดาของตัวเอง สวรรค์! เรื่องที่ไม่อยากจะหวนนึกถึงเช่นนี้จะต้องถูกลูกตุ้มเหล็กหนักพันชั่งถ่วงทิ้งลงในแม่น้ำหย่าหลง ไปเสีย!

แม่นมเฝิงเห็นอาเป่าตัวสั่นระริกก็หลงคิดว่ามันหนาว จึงดึงผ้าห่มผืนน้อยขึ้นห่มท้องของมัน จากนั้นจึงถามต่อว่า “ระดูมาติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด? เต๋อเฟย เช่นนี้จะมีผลกระทบต่อพระวรกายของพระองค์หรือไม่เพคะ”

“ไม่หรอก ท่านพ่อเคยช่วยชีวิตบุตรชายของหมอหลวงผู้เฒ่าฉวีเอาไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณ หมอหลวงผู้เฒ่าฉวีเคยแอบตรวจชีพจรให้ข้าอย่างลับๆ เรื่องโอสถของฝ่าบาทก็เป็นเขาที่บอกข้า ยานี้ไม่มีพิษ กลับสามารถช่วยขับพิษที่สะสมในร่างกายข้าออกมาบางส่วนเสียด้วยซ้ำ เป็นยาดีสำหรับบำรุงสุขภาพ เมื่อขจัดพิษไปได้พอสมควรแล้วระดูก็จะหมดไปเอง แต่ก่อนข้าไม่คิดต้องการบุตรจึงเก็บเอาไว้ไม่ใช้ แต่หลังจากนี้หลายเดือนผ่านไปสงครามระหว่างหลี่ซูจิ้งกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็คงจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว” เมิ่งซังอวี๋เอ่ยเนิบนาบ

ครั้นแม่นมเฝิง ปี้สุ่ย และอิ๋นชุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็พากันเผยสีหน้าวางใจ

หมอหลวงผู้เฒ่าฉวีกู่เซ่าเจ๋อแอบจำชื่อที่ทำให้เขาซาบซึ้งอย่างไร้ที่สิ้นสุดนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ เขาใช้เท้าหน้ากุมหัวใจดวงน้อยๆ ของตนเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวกลับคืนสู่สภาพปกติในที่สุด

ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา แต่เมิ่งซังอวี๋ไม่อาจนั่งรออยู่เฉยๆ นางยังต้องอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์และอบตัวให้หอมกรุ่น แต่งกายให้งดงามตราตรึง แล้วจึงไปรอรับเสด็จอยู่หน้าประตูวังก่อนเวลาสองเค่อจึงจะใช้ได้

สี่เท้าของกู่เซ่าเจ๋อยังไม่หายสนิท ไม่สามารถเดินเหินได้ จึงถูกจับให้นอนอยู่ในตะกร้าข้างตั่งเตียง ตรงข้ามตั่งเตียงมีฉากกันลมโปร่งบางใหญ่ยักษ์บานหนึ่งตั้งอยู่ ด้านหลังฉากกันลมมีควันลอยแผ่ปกคลุม เสียงน้ำดังซู่ซ่า เงาร่างงามชดช้อยที่มองเห็นได้รางๆ นั่งอยู่ในถังอาบน้ำอย่างเกียจคร้าน กลิ่นหอมอบอวลตามด้วยไอชื้นแฉะลอยเข้าจมูก รุกล้ำเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง

เขาจ้องฉากกันลมอย่างห้ามใจไม่อยู่ ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายหม่นมัวรางๆ สายตาเร่าร้อนอยากมองทะลุเนื้อผ้าโปร่งบางนั้นใจจะขาด ให้เห็นเงาร่างอรชรที่ปิดซ่อนอยู่เบื้องหลัง

ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงน้ำดังซู่ซ่าก็หยุดลง เงาร่างอันรางเลือนยืนขึ้นมาจากถังอาบน้ำ บนฉากกันลมสามารถมองเห็นเงาร่างแน่งน้อยสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าอกกลมกลึงอวบอิ่ม ช่วงเอวบาง หน้าท้องราบเรียบ ขาเรียวยาวทั้งสองข้าง…ทุกสัดส่วนล้วนแผ่กลิ่นอายเย้ายวนใจ ในระหว่างช่วงที่เขาไม่ได้ใส่ใจ เด็กสาวตัวน้อยในปีนั้นได้เติบโตขึ้นแล้ว ทว่าเขากลับพลาดทุกช่วงเวลาแห่งการเติบโตของนาง

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ประกายในดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันมืดหม่น ฝังศีรษะลงกับอุ้งเท้าหน้า เงาร่างที่กำลังขดตัวนั้นดูอ้างว้างเดียวดายยิ่ง

ชั่วครู่ต่อมา เมิ่งซังอวี๋ก็สวมชุดตัวในสีขาวบริสุทธิ์ และสวมชุดคลุมเปิดคอผ้าโปร่งบางเดินออกมา อุ้มอาเป่าซึ่งอยู่ในตะกร้าขึ้น ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วปล่อยให้แม่นมเฝิงกับปี้สุ่ยจัดแจงหวีผมดำสลวยของตน

เมื่อถูกอุ้มเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย กู่เซ่าเจ๋อก็สลัดหลุดออกมาจากอารมณ์หดหู่ทันที ยื่นเท้าออกไปช้อนปอยผมซึ่งอยู่ตรงหน้า หากเรามีมือ ผมยาวสลวยนี้เราควรจะเป็นคนหวีด้วยตัวเองถึงจะถูก เขาคิดอย่างเงียบๆ คิดไปถึงว่าอีกประเดี๋ยวความงามของเมิ่งซังอวี๋ก็จะถูกเจ้าตัวปลอมพิศมอง อาจถึงขั้นสัมผัสแตะต้อง ดวงตาดำสนิทก็ปล่อยไอสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว

เขาทำจิตใจให้สงบ ใช้เท้าหน้ากอดปอยผมนั้นแล้วเลื่อนมาไว้ปลายจมูกพลางสูดดมอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้านหนึ่งลอบเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นหอมของนาง อีกด้านครุ่นคิดว่าจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นก็ไปยังเส้นทางลับในอุทยานหลวงเพื่อติดต่อกับเหยียนจวิ้นเหว่ย สกุลเสิ่นแสดงท่าทีคิดจะทรยศอย่างเห็นได้ชัด เหยียนจวิ้นเหว่ยจะต้องพยายามหาทางเอาร่างกายของเขาออกไปนอกวังให้ได้เป็นแน่ ทว่าฮ่องเต้ตัวปลอมอยู่ในวัง ซ้ำในระยะหนึ่งเหยียนจวิ้นเหว่ยยังต้องเข้าวังมาตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ เขาสามารถเขียนข้อความวางทิ้งไว้ในท่อที่พวกเขาใช้ส่งข่าวสารในเส้นทางลับ ไม่ช้าก็เร็วเหยียนจวิ้นเหว่ยก็ต้องหาพบ

“หวีรวบเป็นทรงเมฆคล้อย ธรรมดาและปักดอกโบตั๋นสักดอกก็พอ เดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าเอง”

ขณะที่อาเป่ากำลังเคลิบเคลิ้ม เสียงเกียจคร้านเอาแต่ใจของหญิงสาวก็ดังขึ้น ปอยผมในอุ้งเท้าก็ถูกช่วงชิงไปด้วยเช่นกัน

กู่เซ่าเจ๋อขมวดคิ้ว ส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กลับแลกมาด้วยสัมผัสแห่งรักอันอ่อนโยนของเมิ่งซังอวี๋ จมูกเปียกชื้นก็ถูกเกาเบาๆ ทันใดนั้นความยินดีก็บังเกิดขึ้นในหัวใจอย่างไม่อาจยับยั้ง เขางับนิ้วมือนิ้วนั้นเอาไว้ ใช้ฟันขับกัดทีละนิดๆ แล้วปล่อยออกอย่างอาลัยอาวรณ์

“เอาล่ะ เจ้าเป็นเด็กดีนั่งดูอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะแต่งหน้าแล้ว” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ พร้อมกับชักมือกลับ วางอาเป่าไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นจึงหยิบเครื่องประทินผิวขึ้นมาแล้วค่อยๆ บรรจงแต่งแต้มลงบนใบหน้า

ผิวพรรณซึ่งเดิมทีก็ขาวหมดจดขาวผ่องขึ้นยิ่งกว่าเดิม ดูคล้ายกับคนขี้โรคอยู่บ้าง จากนั้นนางก็ทาชาดสีแดงสดและเขียนขอบตาเส้นหนาเข้ม ถึงแม้ใบหน้านี้จะยังคงสวยงามอยู่ แต่กลับมีความหยาบไร้ฝีมือเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ขาดความสดใสเป็นธรรมชาติไปบ้าง กู่เซ่าเจ๋อมองดวงหน้าราวกับภาพสลักนี้ ในใจรู้สึกขมปร่า ผู้คนต่างบอกว่าสตรีแต่งหน้าแต่งกายเพื่อทำให้คนที่ตนรักชื่นชอบ แต่เมิ่งซังอวี๋กลับไม่เคยเผยด้านที่งดงามที่สุดต่อหน้าเขามาก่อน เห็นได้ว่านางมิได้มีใจอยากให้เขามีความสุขสักนิด

ความรู้สึกขมฝาดถูกสะกดด้วยความเย็นเยียบที่หางตา ครั้นกู่เซ่าเจ๋อได้สติกลับคืนมาก็เห็นเมิ่งซังอวี๋กำลังถือดินสอถ่าน มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นางวาดเส้นสามเส้นที่หางตาของอาเป่าอย่างรวดเร็ว เขายื่นเท้าหน้าออกมาด้วยสัญชาตญาณ หมายจะปัดทิ้ง

“ห้ามปัดนะ ถ้าปัดก็ไม่ต้องกินข้าว” เมิ่งซังอวี๋ตีหน้าดุพลางพูดข่มขู่ ในดวงตาหงส์ใสกระจ่างเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม

กู่เซ่าเจ๋อชะงักอึ้ง วางเท้าลงทันที

“ดีมาก!” เมิ่งซังอวี๋จุมพิตริมฝีปากเล็กๆ ของอาเป่าเบาๆ แล้วจึงวาดเส้นสามเส้นลงบนหางตาอีกข้างของมันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา

“ว้าย เกิดอะไรขึ้นกับอาเป่าเพคะ ยังไม่ทันแก่ก็มีรอยเหี่ยวย่นแล้วหรือ” ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยเองก็กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง หยอกล้อด้วยเสียงสั่นๆ ใบหน้าสุนัขที่ถูกโกนขนออกจนเกลี้ยงนวลเนียนนุ่มนิ่มยิ่ง หางตาทั้งสองข้างมีรอยเส้นหนาสีดำสามเส้น ภาพนี้ช่างน่าขำขันจริงๆ ทำให้กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวแล้ว

กู่เซ่าเจ๋อสามารถจินตนาการท่าทางอันน่าขำขันของตนได้ ไอทะมึนสีดำจึงแผ่ออกมาทั่วทั้งร่าง เขาหันกายหนีอย่างแข็งขืน ใช้ก้นเผชิญหน้ากับเมิ่งซังอวี๋ แต่เมื่อมองเข้าไปยังก้นบึ้งในดวงตาของเงาร่างงดงามในกระจก เขากลับเห็นความรักใคร่เข้มข้น ถ้าหากยอมเสียภาพลักษณ์แล้วสามารถแลกมาด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของนางได้ เขาก็ยินดี

 

ยามโหย่ว* เพิ่งจะผ่านพ้นไป เมิ่งซังอวี๋ก็ต้องหักใจทิ้งอาเป่าที่เห่าไม่หยุดไว้ จากนั้นก็สวมเครื่องแต่งกายชาววังอันหรูหรางดงาม ฝ่าลมหนาวรอรับราชรถของฮ่องเต้อยู่หน้าประตูวัง

ยามฮ่องเต้เสด็จมาถึง สิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นก็คือโฉมงามที่สวมชุดคลุมยาวซึ่งปลิวสะบัดท่ามกลางลมหนาว ท่วงท่าดูสูงส่งงามสง่า สีหน้าของโฉมงามซีดเซียวเล็กน้อยเพราะตากลมหนาวมากเกินไป ดวงตาหงส์เรียวยาวรื้นด้วยไอน้ำ มองมายังพระองค์ตรงๆ ราวกับแฝงด้วยความรักใคร่ล้นเหลือ ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว หัวใจซึ่งเดิมทีก็กระวนกระวายไม่สงบเริ่มเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง หาใช่เพราะลุ่มหลงในความงดงาม แต่เป็นเพราะหายนะร้ายแรงถึงชีวิตกำลังจะแผ้วพานมาถึงตัว หากก้าวเท้าออกไป พระองค์ก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ฉางสี่ซึ่งอยู่ด้านหลังแสร้งกระแอมไอ แต่จริงๆ แล้วกำลังกล่าวเตือนอยู่ ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นทันที ฉีกยิ้มพร้อมกับมองไปหาเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา

ฝืนแสร้งทำหน้าตายิ้มแย้มทั้งๆ ที่ไม่ชอบอีกแล้ว! ที่จริงเจ้าไม่ต้องมาก็ได้ แล้วข้าจะขอบคุณบรรพบุรุษเจ้าแปดชั่วโคตร! เมิ่งซังอวี๋ย่อเข่าถวายบังคมพลางค่อนขอดเงียบๆ

ชาติที่แล้วนางถูกบิดามารดาทิ้งไว้ในบ้านโดยไม่สนใจไยดีตั้งแต่เด็ก เพื่อให้ได้ความรักความเอาใจใส่มากขึ้นนางจึงเรียนรู้ความสามารถในการสังเกตคำพูดและสีหน้าของผู้อื่นมาตั้งแต่ยังเล็ก มีความรู้สึกที่เฉียบไวต่ออารมณ์ด้านลบของผู้อื่นเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็สามารถจับได้ทันที มิเช่นนั้นพอเข้าวังมานางก็คงไม่สามารถค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งฮ่องเต้พยายามปิดซ่อนเอาไว้ได้หรอก

ฮ่องเต้ปฏิบัติตามคำชี้แนะของฉางสี่ รีบปรี่เข้าไปประคองเมิ่งซังอวี๋ ดึงมือเล็กนวลเนียนของนางเอาไว้ มือคู่นี้อ่อนนุ่มทว่าเย็นเยียบยิ่ง คล้ายกับจิตใจของพระองค์ในยามนี้ ฮ่องเต้กุมมือแน่นขึ้นเล็กน้อยแล้วคลายออกอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัว จูงมือนางเดินเข้าตำหนัก รอยยิ้มบนใบหน้าก็เป็นธรรมชาติขึ้นบ้างเล็กน้อย

นี่ยั่วโทสะกันหรือ เมิ่งซังอวี๋รู้สึกได้ถึงแรงบนมือ จึงเหลือบมองพระพักตร์ด้านข้างอันหล่อเหลาของฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนฮ่องเต้ก็กุมมือนาง แต่จะไม่แน่นไม่หลวม คล้ายกับผ่านการคาดคะเนแรงมาแล้ว ยามอยู่บนเตียงก็ไม่เคยสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ มองว่าการร่วมรักเป็นเพียงภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ นอกจากเสิ่นฮุ่ยหรู ท่าทีที่มีต่อสตรีทุกคนล้วนไม่แตกต่าง ดูเหมือนใกล้ชิดสนิทสนม แต่จริงๆ แล้วกลับผลักไสไปไกลถึงพันลี้ บางครามีสนมชายาคนใหม่ที่อายุยังน้อยและพื้นเพตระกูลมิได้โดดเด่นเข้าวัง ถึงจะสามารถเห็นความผ่อนคลายเพียงชั่วครู่ในดวงตาของพระองค์ได้ แต่ความผ่อนคลายนี้ก็จะเลือนหายไปตามการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลาและการเปลี่ยนแปลงของคนใหม่ ยากที่จะพบเห็นได้อีก

ดังนั้นฮ่องเต้จึงเป็นบุรุษที่น่าสงสารผู้หนึ่ง

ในขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ฮ่องเต้ก็ได้พานางเข้ามาในตำหนัก ตำหนักใหญ่ซึ่งจุดเตาใต้ดินเอาไว้อบอุ่นอย่างยิ่ง ไออุ่นที่ปะทะหน้าย้อมใบหน้าของนางให้เป็นสีแดงทันที และทำให้พระทัยของฮ่องเต้คลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย

ทั้งสองนั่งลงบนตั่งเตียงที่อยู่ข้างๆ โต๊ะตัวเล็ก ปี้สุ่ยและแม่นมเฝิงเดินไปมา จัดแจงตระเตรียมชาและขนม

เพิ่งมาถึงก็จะพูดว่า ‘ชายารัก พวกเราเข้านอนกันเถิด’ ไม่ได้ เช่นนี้จะดูรีบร้อนเกินไป ฮ่องเต้ทรงยกชาร้อนๆ ขึ้นจิบ ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี ในตอนนั้นเองพระองค์ก็ทรงได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังมาจากตำหนักปีกข้างซึ่งอยู่ถัดไป จึงนึกถึงสุนัขตัวนั้นที่เจอเมื่อคราวก่อนได้ นัยน์ตาจึงเป็นประกายวูบเล็กน้อย คิดในใจว่าในที่สุดก็หาหัวข้อสนทนาได้แล้ว “ชายารัก สัตว์เลี้ยงของเจ้าตัวนั้นสั่งสอนเป็นอย่างไรแล้ว”

“ทูลฝ่าบาท ตรัสถึงสั่งสอนอันใดกันเพคะ ตอนนี้แค่ขยับยังขยับไม่ได้เลยเพคะ” น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋เจือด้วยความคับแค้นใจ พอเอ่ยจบยังเหลือบมองฉางสี่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง

ฉางสี่รีบร้อนก้มหน้าลงต่ำ

“เอ๊ะ? บาดเจ็บหนักมากเลยหรือ” ฮ่องเต้ทรงวางจอกชาลง ตรัสถามคล้อยตามคำพูดของนาง

“ปี้สุ่ย ให้อิ๋นชุ่ยไปอุ้มอาเป่ามาให้ฝ่าบาททอดพระเนตรหน่อยซิ” เมิ่งซังอวี๋กวักมือเรียกพลางสั่ง เสียงเห่าที่ได้ยินแหบแห้งเล็กน้อย แสดงว่าตั้งแต่อาเป่าแยกจากนางก็เอาแต่เห่าไม่หยุด เจ้าเด็กคนนี้ห่างจากนางไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว แล้วต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า ทั้งๆ ที่กำลังต่อว่า แต่ในใจกลับกระเพื่อมด้วยความรักใคร่จางๆ ความรู้สึกเป็นที่ต้องการถูกพึ่งพาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกดียิ่งนัก

เสียงเห่าของลูกสุนัขดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พอเข้ามาในตำหนักใหญ่เมื่ออาเป่าเห็นเมิ่งซังอวี๋ มันก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของอิ๋นชุ่ยทันที เสียงเห่าแหบแห้งทุกข์ระทมแปรเปลี่ยนเป็นเสียงออดอ้อนดังเอ๋งๆ หงิงๆ เท้าน้อยๆ ยกหาเมิ่งซังอวี๋คล้ายกับปรารถนาอ้อมกอดจากเจ้านาย

เมื่อสบกับลูกตาดำสนิทแวววาวเอ่อน้ำ หัวใจของเมิ่งซังอวี๋ก็อ่อนยวบ รีบลุกขึ้นอุ้มมันเข้าสู่อ้อมกอดทันที และใช้นิ้วชี้เกาคางของมันเบาๆ

เสียงร้องเอ๋งๆ หงิงๆ เบิกบานยิ่งกว่าเดิม

“ชายารัก มันบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คิดไม่ถึงเลยว่าซวี่เหยาจะลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้” เมื่อเห็นชุดกันหนาวสีแดงสลับเขียวของอาเป่า ฮ่องเต้ก็ทรงผงะอึ้งไปชั่วขณะ จนกระทั่งเมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านั่งลงถึงได้ทอดพระเนตรเห็นขนที่ถูกโกนทิ้งจนเกลี้ยงและบาดแผลเต็มร่างของมัน อุ้งเท้าถูกห่อหุ้มจนคล้ายกีบเท้าม้า แถมหางยังไม่มีอันใดแตกต่างจากไม้นวดแป้ง ช่างน่าสงสารเวทนาเสียจริง

เมิ่งซังอวี๋เหลือบมองฮ่องเต้แวบหนึ่งด้วยความขุ่นเคือง มิได้ขานรับคำ จะให้นางต่อว่าพระโอรสของฮ่องเต้ต่อหน้าพระองค์? นอกเสียจากว่าหัวสมองของนางถูกลาถีบนางถึงจะทำเช่นนั้น

ยามนี้กู่เซ่าเจ๋อเพิ่งจะสังเกตเห็นฮ่องเต้ตัวปลอมซึ่งอยู่ข้างๆ ครั้นคำว่า ‘ชายารัก’ ถูกเอ่ยออกมา นัยน์ตาดำสนิทของเขาก็มีประกายแหลมคมวาบผ่าน เห่าโฮ่งๆ เสียงดังลั่นใส่ฮ่องเต้ตัวปลอมอย่างไม่รู้ตัว เขาเองก็อยากจะอดทนอดกลั้น แต่น่าเสียดายที่สมองของอาเป่าไม่อำนวย จึงส่งผลต่ออารมณ์และความคิดของเขาทางอ้อม

“ดูเหมือนมันจะเป็นปรปักษ์กับเรา?” ฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้ว นี่เป็นสีหน้าท่าทางมาตรฐานยามที่กู่เซ่าเจ๋อแสดงความไม่พอใจ ซึ่งฮ่องเต้ตัวปลอมเลียนแบบได้เหมือนเต็มสิบส่วน

ในใจเมิ่งซังอวี๋พลันอึดอัด รีบตบศีรษะอาเป่าเบาๆ บอกใบ้ให้มันหุบปาก จากนั้นก็จับเท้าหน้าทั้งสองข้างของมันขึ้นมาทำท่าน้อมคำนับ แย้มยิ้มพลางกล่าว “ที่ไหนกันเพคะ เมื่อครู่มันกำลังพูดว่า ‘ฝ่าบาททรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี’ ”

โฮ่งๆๆๆ โฮ่งๆ โฮ่งๆๆ ฟังตามจังหวะการเห่าของอาเป่า กอปรกับคำแปลของเมิ่งซังอวี๋ก็ดูคล้ายกับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยแจ่มแจ้งในทันใด แหงนพระพักตร์แย้มสรวลเสียงดังลั่น ความหวาดกลัวหลังจากได้รับคำสั่งจากเหลียงเฟยมลายหายไปท่ามกลางเสียงหัวเราะสบายอกสบายใจนี้จนหมดสิ้น อย่างไรช้าเร็วก็ต้องตายอยู่ดี สู้ตั้งใจเสพสุขกับปัจจุบันดีกว่า

เต๋อเฟยไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์งดงามเฉิดฉัน นิสัยก็น่ารักอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน พออยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจยิ่ง พาให้หัวใจเกิดความสุขสำราญอย่างห้ามไม่อยู่ ฮ่องเต้ตัวปลอมอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใดกู่เซ่าเจ๋อถึงไม่รักนาง แต่กลับไปชมชอบหญิงสาวที่มีจิตใจทะเยอทะยาน นิสัยดำมืดอย่างเหลียงเฟย? ว่ากันว่าจิตใจผู้เป็นเจ้าแผ่นดินยากจะหยั่งถึง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย! ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย หลุดปากชมโดยไม่รู้ตัว “ชายารักช่างเป็นคนที่พิเศษนัก!”

น้ำเสียงของฮ่องเต้สนิทสนม สีหน้าอ่อนโยน ก้นบึ้งของพระเนตรเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชอบที่ไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นได้ นี่เป็นสีหน้ายามบุรุษผู้หนึ่งชื่นชมหญิงสาว เป็นลางบอกว่ากำลังหวั่นไหว

กู่เซ่าเจ๋อเก็บสีหน้าของอีกฝ่ายเข้าสู่ก้นบึ้งของความจำทั้งหมด หัวใจพลันหดรัด หายใจติดขัด ถึงขั้นรู้สึกหวาดกลัวจนยากจะทานทน

เมิ่งซังอวี๋มีดีแค่ไหนไม่มีใครเข้าใจกระจ่างยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว แค่ใส่ใจเล็กน้อยหรือไม่ก็สังเกตนางให้มากขึ้นหน่อยก็จะถูกนางดึงดูดอย่างไม่อาจทานทน นางมองโลกในแง่ดี สดใสร่าเริง มีจิตใจงดงาม จริงใจไม่เสแสร้ง เป็นราวกับแสงอาทิตย์ในวังหลวงที่มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนี้ เปี่ยมด้วยเสน่ห์อย่างเหลือล้น ขอแค่มิได้เป็นคนมีตาแต่หามีแววแบบเขาเมื่อก่อน ถ้าเป็นบุรุษล้วนไม่มีผู้ใดต้านทานเสน่ห์ของนางได้

ถ้าเกิดฮ่องเต้ตัวปลอมคนนี้มีใจให้ซังอวี๋กู่เซ่าเจ๋อกัดฟัน ไม่กล้าคิดต่อ หัวใจคล้ายกับถูกควักออกมาบีบจนแหลกสลาย เขาชิงชังชะตากรรมของตนในตอนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ต่อให้มิใช่คน แต่ขอสิงอยู่ในร่างสุนัขล่าเนื้อก็ยังดี! เขาจะต้องกัดคอหอยของคนผู้นั้นให้ขาดในทันทีเป็นแน่!

คราวนี้เมิ่งซังอวี๋เองก็รู้สึกไม่สงบใจเช่นกัน นางมองเห็นสิ่งใด ความอ่อนโยนในดวงตาของฮ่องเต้สุนัขผู้นี้อย่างนั้นหรือ ก่อนนี้ต่อให้ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัยมากแค่ไหน แต่ความเยียบเย็นในเบื้องลึกของพระเนตรกลับไม่เคยจางหายไป ดังนั้นผู้ที่หัวเราะอย่างเริงร่าอยู่ตรงหน้านี้คงเป็นตัวปลอมกระมัง นางอดคิดไม่ได้

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเมิ่งซังอวี๋มีสีหน้าเหม่อลอย น่ารักยิ่ง จึงเอ่ยวาจาหยอกล้อนาง “เจ้าดูหน้าตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่เป็นมิตรของมันสิ คงไม่ชอบหน้าเราเป็นแน่แท้”

เมิ่งซังอวี๋มองตามปลายนิ้วของฮ่องเต้ก็พบสีหน้าดุร้ายของอาเป่าเข้าทันใด อาเป่าถลึงตา แยกเขี้ยวยิงฟัน รูจมูกขยายกว้าง กำลังส่งเสียงขู่คำรามต่ำๆ ท่าทางดุร้ายเช่นนี้หากยั่วให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยล่ะก็ เรื่องใดจะเกิดขึ้น แค่คิดนางก็ยังไม่กล้า

นางรีบปิดหน้าของอาเป่าไว้ ยิ้มแหยๆ พลางแก้ตัว “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ อาเป่ามิใช่ไม่เป็นมิตรกับพระองค์ แต่ไม่เป็นมิตรกับคนข้างๆ ต่างหากเพคะ ลูกสุนัขแค้นฝังใจยิ่ง คราวก่อนเพราะฉางสี่กงกง อาเป่าของหม่อมฉันถึงได้ลงไปอาบน้ำเย็นๆ ในสระบัวมา มิเช่นนั้นคงไม่กลับมาพร้อมบาดแผลเต็มตัวหรอกเพคะ” นางเหลือบมองฉางสี่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง

ฉางสี่รีบคุกเข่าลงทันที ตบปากพร้อมกับขอรับผิด “กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมมีตาแต่หามีแวว! ขอเต๋อเฟยโปรดให้อภัย!”

เดิมทีเขาคิดว่าสตรีผู้นี้ถูกเขี่ยทิ้งไปแล้ว ถึงได้กล้าทำร้ายสัตว์เลี้ยงของนางอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนั้น แต่ใครจะคาดคิดว่านางยังมีประโยชน์ต่อเหลียงเฟยอยู่ ดังนั้นเขาจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีกครั้งหนึ่ง สตรีที่สมควรตาย ข้าจะยอมเจ้าไปก่อนชั่วคราว รอให้ข้าได้เป็นเจ้ากรมก่อนเถอะ จะต้องจัดการเจ้าเป็นแน่! ฉางสี่หลุบดวงตา ปิดบังความอาฆาตแค้นในใจ

แต่กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนอนหมอบอยู่บนตักของเมิ่งซังอวี๋ประสานสายตากับเขาพอดิบพอดี จึงย่อมเก็บสีหน้าของเขาเข้าสู่ก้นบึ้งความจำจนหมดสิ้น กู่เซ่าเจ๋อลอบกล่าวอย่างเย็นชาในใจ ดูท่าบ่าวผู้นี้คงเก็บเอาไว้มิได้แล้ว!

เพราะเห็นแก่หน้ากู่เซ่าเจ๋อ นางสนมและนางกำนัลทั้งหลายจึงเกรงอกเกรงใจฉางสี่ พินอบพิเทาเป็นอย่างมาก แต่เมิ่งซังอวี๋กลับไม่ใช่ เพราะหนึ่งนางไม่คิดช่วงชิงความรักความโปรดปราน สองนางไม่คิดช่วงชิงอำนาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ฉางสี่ช่วยพูดถึงนางดีๆ ต่อหน้าฮ่องเต้ ให้พระองค์คิดถึงทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้าฉางสี่ไม่หาเรื่อง นางก็สามารถอยู่ร่วมกันกับเขาได้อย่างสงบไร้เรื่องราว แต่หากยั่วโทสะนางเข้า นางก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่อย่างสงบแน่นอน! ความแค้นที่เขาเตะอาเป่านั้น นางยังไม่เคยลืมแม้แต่วินาทีเดียว

ทว่าแก้แค้นก็ต้องรู้จักความพอเหมาะพอควร เพราะอย่างไรฉางสี่ก็เป็นคนของฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น

เมิ่งซังอวี๋คอยสังเกตสีพระพักตร์อยู่ตลอดเวลา รอให้เขาเผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแล้วค่อยสั่งให้หยุด แต่พอมองดูนางก็รู้ว่าเกิดปัญหาเสียแล้ว แววตานั่นมันอะไรกัน มิใช่หงุดหงิดรำคาญ แต่คล้ายกับกำลังหวาดกลัวไม่สบายใจ นางเม้มปาก พอเหลือบมองดูอีกครั้งก็มั่นใจว่าตนมิได้มองผิด ผู้เป็นฮ่องเต้หวาดกลัวบ่าวผู้หนึ่ง? จะเป็นไปได้อย่างไร หัวใจของนางเริ่มเต้นระรัว ความคิดอันเลือนรางคลุมเครือความคิดหนึ่งวาบผ่านหัวสมองราวกับอสนีบาต

เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วพร้อมกับทอดพระเนตรมาทางตน ทั้งๆ ที่เป็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ส่วนลึกในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายและประกายโชติช่วง เมิ่งซังอวี๋จึงยกมือขึ้น เอ่ยปากอย่างไม่ใคร่สนใจนัก “ช่างเถอะ หยุดได้แล้ว คราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน” พอเอ่ยจบนางก็มองไปทางฮ่องเต้ที่ลอบผ่อนคลายความเครียดบนพระพักตร์ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ฝ่าบาท เพื่อมิให้พวกมีตาแต่ไร้แววพวกนั้นมาทำร้ายอาเป่าอีก พระองค์ทรงเขียนป้ายห้อยคอให้มันได้หรือไม่เพคะ พอมีป้ายห้อยคอพระราชทานอาเป่าจะได้ไปไหนมาไหนในวังได้อย่างปลอดภัย หม่อมฉันเองก็มิต้องอกสั่นขวัญหายเพราะมันอีกอย่างไรเล่าเพคะ”

“นี่…” ฮ่องเต้ทรงลังเล กลัวว่าจะเผยพิรุธออกมายามเขียนตัวอักษร

“อาเป่าวังปี้เซียว แค่ห้าตัวอักษร เพียงเปลืองแรงยกพระหัตถ์ก็สามารถช่วยให้ความปรารถนาของหม่อมฉันเป็นจริงได้แล้วเพคะ” เมิ่งซังอวี๋กางนิ้วนับ จากนั้นก็ขยับเข้าไปดึงชายแขนฉลองพระองค์ทันที น้ำเสียงอ่อนหวานมัวเมาผู้คน

จิตใจของฮ่องเต้สั่นไหวกระเพื่อม ลอบมองไปทางฉางสี่ที่ใบหน้าบวมแดงอย่างแนบเนียน ฉางสี่ส่งสายตาให้โดยที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น ฮ่องเต้จึงทรงรับคำด้วยความยินดี

ยามที่เมิ่งซังอวี๋ดึงชายแขนฉลองพระองค์ของฮ่องเต้ตัวปลอมพร้อมกับออดอ้อน กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าคำรามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรง

เมิ่งซังอวี๋ย่อมจับปฏิกิริยาตอบโต้อันผิดปกติระหว่างฮ่องเต้และฉางสี่ได้ จึงรีบโบกมือเรียกอิ๋นชุ่ยให้พาอาเป่าที่ส่งเสียงดังไม่หยุดออกไป เพื่อมิให้มันทำให้ฮ่องเต้ทรงเกิดโทสะ รวมไปถึงทำให้ตนวอกแวก

เสียงเห่าไกลออกไปทุกที ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงแบ่งกันถือพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกเดินเข้ามา กางลงบนโต๊ะแปดเซียนข้างตั่งเตียง

บทที่สิบสอง

ทดสอบตัวจริงตัวปลอม

 

ฮ่องเต้ทรงยกพู่กันขึ้นจุ่มหมึก ข้อพระหัตถ์ค้างอยู่กลางอากาศ หยุดชะงักอยู่บนกระดาษเซวียนจื่อ สีขาวดุจหิมะครู่หนึ่งถึงค่อยจรดเขียนขีดแรก รอยหมึกหนาเข้มแผ่ขยายบนกระดาษ ตัวอักษรคำว่า ‘อาเป่าวังปี้เซียว’ ขนาดใหญ่โลดแล่นอยู่บนผิวกระดาษ เหมือนกับลายมือจริงๆ ของกู่เซ่าเจ๋ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ครั้นวางพู่กันลงและมองเห็นผลงานของพระองค์เอง ฮ่องเต้ก็ทรงลอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา เขาเลียนแบบลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทเป็นเวลาถึงสามเดือน ต้องเขียนหลายร้อยรอบทุกวัน จึงพอที่จะตบตาผู้อื่นได้ แม้กระทั่งเหลียงเฟยกับราชครูเสิ่นก็ยังดูไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับเต๋อเฟยที่ไม่แตกฉานในด้านอักษร ด่านนี้คงจะผ่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่น

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็วางพู่กันลง ฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งซังอวี๋ยกกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาชื่นชม ส่งสายตาสอบถามไปยังฉางสี่

ฉางสี่พยักหน้าน้อยๆ แสดงว่าไม่เลว

ทั้งสองคิดว่ากิริยาของพวกตนแนบเนียนไร้ร่องรอย แต่จริงๆ แล้วเมิ่งซังอวี๋ที่กำลังยกกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาพิศมองกลับเหลือบหางตาสังเกตดูปฏิกิริยาตอบโต้และสีหน้าของพวกเขา นางย่อมไม่พลาดการแลกเปลี่ยนสายตาของทั้งคู่ ความคิดอันคลุมเครือในใจทวีความชัดเจนยิ่งขึ้น หัวคิ้วนางขมวดมุ่นเล็กน้อย ยามนี้จึงได้พินิจพิจารณาตัวอักษรขนาดใหญ่ห้าตัวในมืออย่างละเอียด มิได้เอ่ยวาจาใดอยู่ครู่ใหญ่

ในตำหนักเงียบเชียบอย่างประหลาด บรรยากาศแปลกพิกลอยู่บ้าง พระทัยของฮ่องเต้หดเกร็งเล็กน้อย ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องตรัสขึ้น “ชายารักคิดว่าเราเขียนตัวอักษรทั้งห้าตัวนี้ออกมาไม่ดีหรือ”

ฉางสี่เงยหน้าขึ้นเงียบๆ จ้องใบหน้าเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววตาลุกวาว

“ที่ไหนกันเพคะ เพราะฝ่าบาททรงเขียนได้งดงามเกินไป หม่อมฉันจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ” เมิ่งซังอวี๋วางกระดาษเซวียนจื่อลง ยิ้มประจบประแจงอย่างบอกไม่ถูก

“อ้อ งามตรงไหนหรือ ชายารักบอกเราหน่อยซิ” ฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้วพลางตรัสถาม

“เอ่อ…หม่อมฉันบอกไม่ถูกว่างามตรงไหน แต่ก็รู้สึกว่างดงามเพคะ! ฝ่าบาททรงมีพระอัจฉริยภาพสูงส่งจริงๆ เพคะ!” รอยยิ้มเอาอกเอาใจยิ่งกว่าเดิม ร่องรอยของการประจบเยินยอชัดเจนโจ่งแจ้งยิ่ง เมิ่งซังอวี๋แสดงภาพลักษณ์ของสตรีโง่เขลาไม่แตกฉานด้านศาสตร์ศิลป์ ไร้เล่ห์เหลี่ยมได้อย่างสมจริงสมจัง

ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความโล่งพระทัย เต๋อเฟยเป็นเหมือนที่ฉางสี่กงกงกล่าวไว้จริงๆ ด้วย ไม่มีวิชาความรู้และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แต่สตรีแบบนี้อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทำให้ฮ่องเต้ตัวปลอมอดรู้สึกยินดีกับตัวเองมิได้ หากจะต้องตายจริงๆ ก่อนตายได้ใกล้ชิดกับสตรีที่น่าหลงใหลเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าขาดทุน

พอคิดถึงตรงนี้พระองค์ก็ลุกขึ้นไปโอบไหล่เมิ่งซังอวี๋ รวบนางเข้าสู่อ้อมกอด แววรักใคร่เอ็นดูบนใบหน้าแสดงออกมาให้เห็นอย่างเปี่ยมล้น

บ้าเอ๊ย! เจ้าตัวปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์นี่! เมิ่งซังอวี๋คำรามอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนจะกดตัวพระองค์ให้ประทับนั่งลงบนตั่งเตียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย “ฝ่าบาท ครานี้ถึงทีหม่อมฉันแสดงความสามารถบ้างแล้วเพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเพิ่งจะเรียนศิลปะการชงชามา วันนี้แสดงให้ฝ่าบาททอดพระเนตรดีหรือไม่เพคะ”

ต้มน้ำ ชงชา ลิ้มรสชา แล้วค่อยสนทนาเรื่องบทกลอนบทกวีและความหมายของชีวิตอีกนิดหน่อย ขั้นตอนทั้งหมดนี้กินเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม คงจะถ่วงเวลาได้เล็กน้อย เมิ่งซังอวี๋ลอบครุ่นคิด จากนั้นก็เดินไปคัดเลือกใบชาในห้องเก็บชาด้วยตัวเอง

ค้นหาใบชาในแต่ละกล่องแต่ละกระปุกอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดนางก็เลือกใบชาเข็มเงินจวินซาน ที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดมา พอคิดๆ ดูแล้วก็หยิบชาขนขาวหลิงอวิ๋น กระปุกหนึ่งออกมาด้วย จากนั้นก็หยิบชาออกมากำเล็กๆ แล้วใส่เข้าไปในชาเข็มเงินจวินซานพร้อมกับคนให้เข้ากัน

เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ นางก็กลับมายังตำหนักใหญ่ กาน้ำใบเล็กกะทัดรัดค่อยๆ มีควันสีขาวพวยพุ่ง ไม่นานก็ส่งเสียงเดือดดังกุกกักๆ

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจชงชาของเมิ่งซังอวี๋ผ่านไอน้ำที่ปกคลุม รอยยิ้มจางๆ งามตราตรึง อากัปกิริยาสุขุมสง่างามดึงดูดสายพระเนตรของฮ่องเต้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีฮ่องเต้ตัวปลอมก็เป็นเพียงองครักษ์ลับที่มองไม่เห็นแสงสว่าง ถูกกำหนดให้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายไปชั่วชีวิต ไหนเลยจะเคยแตะต้องอิสตรีใด ยิ่งมิต้องพูดถึงสตรีที่งามล้ำเลิศเฉิดฉันทั้งยังจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หากบอกว่าไม่หวั่นไหวก็คงเป็นเรื่องโกหก

“ฝ่าบาทเชิญเสวยเพคะ” เมิ่งซังอวี๋ประคองชาร้อนๆ จอกหนึ่งยื่นไปข้างมือฮ่องเต้ ตัดบทความคิดสิเน่หาของอีกฝ่าย

ฮ่องเต้รีบเก็บแววตาพร่าเลือนนั้นอย่างรวดเร็ว รับจอกชามาจรดริมฝีปากชิม วิชาความรู้ในการลิ้มรสชา เขาเองก็ร่ำเรียนมาสามเดือนเช่นกัน ถึงแม้จะมิได้แตกฉานเป็นเลิศเฉกเช่นฮ่องเต้ตัวจริง แต่ก็สามารถเอ่ยหลักการต่างๆ นานาออกมาได้

“กลิ่นหอมสดชื่น น้ำชาสีเหลืองใส รสชาติหวานล้ำ ชาเข็มเงินแต่ละใบตั้งตรงอยู่ที่ก้นจอก เป็นชาชั้นยอดที่ชายารักชงขึ้นโดยแท้!” พระองค์เสวยเข้าไปอึกหนึ่งพลางตรัสชม จากนั้นก็ค่อยๆ ละเลียดชิมอีกสองอึก หลังจากอึกที่สามก็วางจอกชาลงไม่ขยับเขยื้อนอีก อากัปกิริยาสูงส่งสง่างาม

นัยน์ตาของเมิ่งซังอวี๋เปล่งประกายวูบเล็กน้อย ยกมือปิดปากพลางกล่าว “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วเพคะ”

เมื่อเห็นดวงตาหงส์กะพริบปริบๆ รอยแย้มยิ้มดุจบุปผา ในพระทัยฮ่องเต้ก็สั่นไหววูบ ครั้นมองเห็นท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสลัวลงจึงเอ่ยเสียงแหบพร่า “ฟ้ามืดแล้ว ชายารักรีบเข้านอนกับเราเถิด”

“เพคะ หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทสรงน้ำเปลี่ยนฉลองพระองค์นะเพคะ” ขณะที่เมิ่งซังอวี๋กำลังจะลุกขึ้นก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้จึงนั่งลงอีกครั้ง มองฮ่องเต้อย่างอึกๆ อักๆ

ฮ่องเต้แย้มพระสรวล เอ่ยด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน “ชายารักมีเรื่องใดก็พูดมา ไม่ต้องพะวักพะวน”

“ฝ่าบาท เมื่อวันก่อนมารดาของหม่อมฉันถูกใจบุตรสาวคนโตของใต้เท้าฟู่ รองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า อยากจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับท่านพี่เพื่อเป็นมงคลเสริมมงคล ฝ่าบาทจะทรงช่วยให้มารดาของหม่อมฉันสมปรารถนาได้หรือไม่เพคะ” นางมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย

“นี่…” เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลเมิ่งไม่อาจตัดสินใจได้โดยพลการ ฮ่องเต้ทรงชำเลืองหาฉางสี่อย่างไม่เปิดเผยพิรุธ พอฉางสี่ขยับนิ้ว พระองค์ก็ตรัสตอบทันที “ให้เราไตร่ตรองดูก่อนแล้วกัน”

เวลามีเรื่องใดฮ่องเต้จะทรงตัดสินพระทัยอย่างเฉียบขาด ถึงขนาดใช้อำนาจบาตรใหญ่เสียด้วยซ้ำ เรื่องเล็กพรรค์นี้หากทรงรับปากก็คือรับปาก หากไม่รับปากก็จะปฏิเสธทันที แต่ไรมาไม่เคยมีคำว่า ‘ไตร่ตรองดูก่อน’เมิ่งซังอวี๋เอ่ยปากรับคำ แต่ในใจกลับแน่ใจกับการคาดเดาบางอย่างแล้ว ถึงแม้การคาดเดานี้จะน่าตื่นตระหนกตกใจ คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ แต่เมิ่งซังอวี๋ซึ่งมีชีวิตผ่านมาสองภพหาใช่คนธรรมดา นางเห็นมามากแล้ว ย่อมคิดได้มากเช่นกัน สรรพสิ่งใดๆ ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นี่เป็นคำพูดที่นางยึดถือมาเสมอ

นางกดหัวใจที่เต้นระรัวบ้าคลั่งให้สงบลง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ด้านหนึ่งสั่งให้ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงไปเตรียมน้ำร้อน อีกด้านก็เดินเข้าไปคล้องพระกรของฮ่องเต้

“ว้าย!” ปี้สุ่ยซึ่งกำลังเตรียมจะถอยออกไปพลันหวีดร้องขึ้น ทำให้ทุกคนมองไปทางนาง

“นางบ่าวสมควรตายนี่ ร้องหาอันใด” ฉางสี่ตวาดทันที

“หม่อมฉันเสียมารยาท ขอฝ่าบาททรงอภัย! แต่ แต่ว่า…” ปี้สุ่ยอึกๆ อักๆ พูดไม่ออกว่าเหตุใดถึงหวีดร้องออกมา เอาแต่จ้องแท่นรองนั่งที่ผู้เป็นนายนั่งอยู่ก่อนหน้านี้อย่างตื่นตระหนก แท่นรองนั่งที่เปรอะเปื้อนรอยเลือดเผยสู่สายตาของทุกคน

แม่นมเฝิงมองตามสายตาของปี้สุ่ย จากนั้นก็ร้องครวญขึ้นทันที “ว้าย ระดูของเต๋อเฟยทรงมาแล้วเพคะ!”

ใบหน้าของเมิ่งซังอวี๋ขึ้นสีแดงระเรื่อทันที รีบปล่อยพระกรฮ่องเต้ออกแล้วคุกเข่าลง “หม่อมฉันทำให้พระเนตรของฝ่าบาทสกปรกแล้ว ทำลายความสำราญของพระองค์ ขอฝ่าบาททรงอภัย!” พอกล่าวจบนางก็กัดริมฝีปากแดงเรื่อแน่น พร้อมกับใช้ดวงตาหงส์แวววาวฉ่ำน้ำชำเลืองมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ ท่าทางทั้งอายทั้งขลาดกลัวนั้นดูน่ารักและน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก

ฮ่องเต้ถูกนางมองจนหัวใจคันยุบยิบ พร้อมทั้งเหลือบเห็นบนแท่นรองนั่งเปื้อนเลือด ในอกจึงยิ่งเจือด้วยความรักใคร่สงสาร เขาปกปิดความผิดหวังในใจ รีบยื่นมือออกไปพยุงเมิ่งซังอวี๋พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ระดูมากะทันหันเป็นเรื่องปกติ ชายารักมีความผิดอันใดเล่า พื้นเย็นนัก รีบลุกขึ้นเถิด”

“หม่อมฉันไม่ลุกเพคะ!” เป็นตายอย่างไรเมิ่งซังอวี๋ก็ไม่ยอมลุกขึ้น ครั้นเห็นฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว นางจึงอธิบายอย่างขลาดอาย “หม่อมฉันจะกล้าลุกขึ้นในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ รอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อน หม่อมฉันถึงจะลุก” สิ้นคำนางก็เอาผ้าเช็ดหน้าในมือปิดแท่นรองนั่งที่เปรอะเปื้อนนั้นอย่างรีบร้อน

“ฮ่าๆๆๆ…” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลเสียงดังลั่น สตรีที่ทั้งเปิดเผยและน่ารักเช่นนี้เขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ช่างทำให้คนรักใคร่ชื่นชอบเสียจริง! เหตุใดฮ่องเต้ตัวจริงถึงไม่หลงรักเต๋อเฟยเล่า ชวนให้สับสนงุนงงนัก “เช่นนั้นเราก็กลับก่อนล่ะ ชายารักไม่ต้องมาส่งเรา รีบๆ ลุกขึ้นเถิด” ครั้นเห็นนางขมวดคิ้วทำปากยื่น สีหน้าดื้อรั้นยิ่ง ฮ่องเต้จึงจำต้องโบกพระหัตถ์ เสด็จจากไปด้วยรอยยิ้ม

รอจนกระทั่งฮ่องเต้จากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋ก็ลุกขึ้นทันที สีหน้าน่ารักไร้เดียงสาค่อยๆ ถูกความหนักอึ้งเข้าแทนที่

“นอกจากปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงแล้ว คนอื่นๆ ออกไปให้หมด” นางเอ่ยสั่งเสียงต่ำลึก ก่อนจะไปอาบน้ำอุ่นที่เตรียมไว้แล้วอย่างเร่งรีบ เปลี่ยนใส่ชุดสะอาด จากนั้นก็เดินมายังข้างโต๊ะแปดเซียนแล้วนั่งลง หยิบกระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นขึ้นมาพินิจดูอีกครา เสร็จแล้วก็เรียกให้ปี้สุ่ยไปหยิบภาพวาดอักษรของกู่เซ่าเจ๋อเมื่อก่อนออกมาวางเปรียบเทียบกันบนโต๊ะ

ครั้นเห็นผู้เป็นนายมีสีหน้าหนักอึ้ง ไม่พูดไม่จา คล้ายกับว่าเจอเรื่องหนักหนาใหญ่หลวง ปี้สุ่ยกับแม่นมเฝิงจึงเป็นกังวลไปด้วย ในตอนนี้เองอิ๋นชุ่ยก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอยากร่ำไห้ ในมืออุ้มอาเป่าที่ร้องเอ๋งๆ เสียงแผ่วเบา ดูคล้ายกับอ่อนแรงหาใดเปรียบ

“เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ดึงสติกลับมาทันที รับอาเป่าที่ลมหายใจรวยรินเข้ามาในอ้อมอกพลางชี้รอยเลือดที่มุมปากของมัน เอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก แค่เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เหตุใดถึงกระอักเลือดได้

“ทูลเต๋อเฟย อาเป่าเป็นอะไรไปไม่รู้เพคะ หลังแยกจากพระองค์ก็เอาแต่เห่าเสียงดังไม่หยุด ราวกับคลุ้มคลั่งไปแล้วก็ไม่ปาน หม่อมฉันกลัวว่าเสียงเห่าของมันจะรบกวนพระองค์กับฝ่าบาท จึงพามันไปที่ห้องปีกที่อยู่ไกลออกไปทางฝั่งตะวันตก คิดไม่ถึงว่ามันกลับเห่าดุร้ายกว่าเดิม เห่าจนเลือดออกคอก็ยังไม่หยุด หม่อมฉันจะปลอบมันให้นิ่งๆ แต่ก็ถูกกัดเข้า” อิ๋นชุ่ยยกข้อมือขึ้นให้ดูรอยฟันที่มีเลือดซึมซิบๆ ด้านบน

กู่เซ่าเจ๋อหยุดเห่าแล้ว แต่จมูกพ่นลมหายใจหอบแฮกๆ ด้วยความอ่อนเพลีย เขาใช้เท้าเกาะแขนเมิ่งซังอวี๋ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหลังแยกจากเมิ่งซังอวี๋ในใจเขาหวาดกลัวเพียงใด สิ้นหวังเพียงใด ราวกับว่าถูกฝังกลบทั้งเป็นด้วยธุลีดินอันหนาหนัก หัวใจและลมหายใจล้วนหยุดนิ่ง คิดแต่จะใช้เสียงเห่าดึงดูดความสนใจจากเมิ่งซังอวี๋ให้มาช่วยเขาออกไปจากความเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้

ความชื่นชมและหวั่นไหวในดวงตาของเจ้าตัวปลอมผู้นั้นเขามองไม่พลาดอย่างแน่นอน หากคนผู้นั้นแย่งเมิ่งซังอวี๋ไปจากตน เขาก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แม้แต่ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มี! เมิ่งซังอวี๋เป็นที่พึ่งทางจิตใจที่ช่วยค้ำจุนเขามาตลอด เป็นเพียงสีสันหนึ่งเดียวในโลกสีขาวดำของเขา เป็นทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้! เขาจะสูญเสียนางไปไม่ได้ ให้ตายก็ไม่ได้!

ขอบตาพลันเจิ่งนองด้วยความเปียกชื้นอุ่นร้อน กู่เซ่าเจ๋อรีบฝังหน้าลงในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ สูดดมกลิ่นที่ทำให้เขาสบายใจหาใดเปรียบนั้นลึกๆ

“อาเป่าเด็กดี อย่าร้องเลย ข้าอยู่นี่แล้ว! ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง ไม่ต้องกลัวนะ!” เมิ่งซังอวี๋เชยคางของอาเป่าขึ้นมา พอเห็นตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาของมัน หัวใจก็เจ็บปวดแปลบ รีบพูดกับอิ๋นชุ่ยว่า “ตั้งแต่มันได้รับบาดเจ็บก็ตามติดเป็นเงาข้าตลอดเวลา ถ้าแยกจากข้ามันก็จะคิดถึงตอนที่เจอเรื่องร้ายๆ และได้รับความหวาดกลัวอีกครั้ง เจ้ารีบไปสำนักแพทย์หลวง เชิญให้หมอหลวงเวินมาดูอาการสักหน่อย”

อิ๋นชุ่ยรับคำสั่ง รีบออกไปตามหมอหลวง เมิ่งซังอวี๋เองก็ไม่มีกะจิตกะใจมาเปรียบเทียบดูตัวอักษร อุ้มอาเป่านั่งลงบนตั่งเตียง ทั้งกอดทั้งหอม ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้อาเป่าที่ตัวสั่นระริกยอมออกมาจากอ้อมกอด อาเป่าร้องเสียงอู้อี้ ใช้เท้าน้อยๆ เกี่ยวคอนางไว้ เลียริมฝีปากนางไม่หยุด อากัปกิริยาแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

อีกด้านหนึ่ง เมื่อฮ่องเต้กับฉางสี่เดินจากไปไกลแล้ว ฉางสี่ก็พลันขมวดคิ้วพร้อมกับหยุดฝีเท้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เอ๊ะ ข้าจำได้ว่าระดูของเต๋อเฟยมิใช่ช่วงนี้นี่นา ควรจะเป็นปลายเดือนถึงจะถูก! อีกสิบเจ็ดสิบแปดวันถึงจะมา”

“กงกง มิใช่ว่านางมองอะไรออกหรอกนะ” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันเครียดเกร็ง

“อาศัยสมองอย่างนางคงจะมองอะไรไม่ออกหรอก แต่อย่างไรก็เรียกให้หมอหลวงไปดูนางหน่อยจะดีกว่า” ฉางสี่เอ่ยพึมพำ พลางสั่งให้ขันทีน้อยคนหนึ่งไปเรียกหมอหลวงหลินที่เหลียงเฟยมักจะเรียกใช้เป็นประจำที่สำนักแพทย์หลวง แล้วเดินนำฮ่องเต้กลับไปวังเฉียนชิงเพื่อรายงานผล

 

บัดนี้หมอหลวงเวินได้กลายเป็นหมอหลวงประจำตัวอาเป่าไปแล้ว เพราะถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาเป่า นางข้าหลวงของเต๋อเฟยก็จะตามติดเขาไม่ปล่อย ดีที่เขาเองก็เป็นคนมีจิตใจเมตตาปรานีมีน้ำอดน้ำทน ไม่เคยดูถูกอาเป่าเพราะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง

เมื่อหมอหลวงเวินมาถึง เมิ่งซังอวี๋ก็กำลังอุ้มอาเป่าพิงขอบหน้าต่างรออยู่แล้ว พอเห็นเขามาถึงก็รีบสาวเท้าก้าวเข้ามาทันที หมอหลวงเวินเห็นท่าทีเช่นนี้ก็พลันใจเต้นรัว ครานี้เกิดเรื่องอันใดอีกหนอ

“หมอหลวงเวิน รีบดูให้หน่อย อาเป่าเห่าครึ่งค่อนชั่วยามเต็มๆ จนกระอักเลือดออกมา” เมิ่งซังอวี๋ตัดบทการถวายบังคมของหมอหลวงเวินอย่างรำคาญใจ กวักมือไม่หยุดเพื่อเรียกให้เขารีบเข้ามาวินิจฉัยอาการของอาเป่าโดยเร็ว

หมอหลวงเวินหยัดกายขึ้น บอกเป็นนัยให้เต๋อเฟยวางอาเป่าลงในตะกร้า จากนั้นก็เปิดปากของมันออก ใช้แสงเทียนส่องตรวจดูอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็ถอนหายใจพลางกล่าว “ทูลเต๋อเฟย ลำคอของอาเป่าบาดเจ็บแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องดื่มยาบำรุงสักสองสามวัน แล้วไฉนมันถึงได้เห่าเป็นเวลานานขนาดนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าถูกทำให้หวาดกลัวอีกแล้ว”

“ทั้งหมดเป็นเพราะข้า ข้าไม่รู้ว่ามันยังไม่หายจากความตื่นตระหนกในคราก่อน มันไม่ยอมอยู่ห่างข้าง่ายๆ แต่ข้ากลับทิ้งมันไปกว่าครึ่งค่อนชั่วยาม” เมิ่งซังอวี๋บีบหูน้อยๆ ของอาเป่าเล่น ในน้ำเสียงอันหม่นหมองเต็มไปด้วยการกล่าวโทษตัวเอง อาเป่าเลียข้อมือขาวเนียนของนาง จมูกน้อยๆ ขยับฟุดฟิด ส่งเสียงฟืดฟาดแผ่วต่ำ คล้ายกับกำลังปลอบใจนาง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หมอหลวงเวินพยักหน้า สะบัดพู่กันเขียนใบจ่ายยาบำรุงลำคอ จากนั้นก็ยื่นให้ขันทีของวังปี้เซียว กำชับเรื่องที่ต้องระวังในการต้มยานิดหน่อยแล้วจึงทูลขอตัวลา

เป็นชายาคนโปรดนั้นไม่ง่าย แต่เป็นสุนัขของชายาคนโปรดนั้นยากยิ่งกว่า! ขณะเดินอยู่บนทางเดินเล็กๆ ในวังปี้เซียว หมอหลวงเวินก็ลูบหนวดพลางทอดถอนใจ

หมอหลวงเวินเพิ่งจะออกไป หมอหลวงหลินก็มาถึง หลังจากถวายบังคมอย่างพินอบพิเทาก็เอ่ยว่าฮ่องเต้ทรงส่งตนมาเพื่อตรวจชีพจรให้เต๋อเฟยโดยเฉพาะ

ฮึ! ยังจะหวาดระแวงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกนะ! เมิ่งซังอวี๋หลุบนัยน์ตาพลางยิ้มเยาะ ยื่นมือให้หมอหลวงหลินตรวจดูแต่โดยดี

พอตรวจดูอย่างละเอียดเป็นเวลาหนึ่งเค่อ หมอหลวงหลินก็เขียนใบจ่ายยาบำรุงให้สองสามใบแล้วจึงกลับไป

รอจนกระทั่งเขาจากไปไกลแล้ว เมิ่งซังอวี๋จึงสั่งให้นางกำนัลคนอื่นๆ ออกจากตำหนักไปทันที เหลือเพียงแค่ปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิง

“ข้ามีเรื่องอยากจะบอกพวกเจ้าสักหน่อย พวกเจ้าฟังให้ดีแล้วห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด” เมิ่งซังอวี๋ลูบหลังอาเป่าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจะอาศัยสิ่งนี้ทำให้ใจตนสงบลง

คนอื่นๆ ในตำหนักรวมถึงอาเป่าล้วนหูผึ่ง

“ฮ่องเต้ในตอนนี้เป็นตัวปลอม!” ไม่มีคำพูดอารัมภบทใดๆ นางกล่าวความจริงออกมาทันที

ปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิง ทุกคนล้วนงงงัน ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองต่อวาจาอันน่าสะท้านสะเทือนของผู้เป็นนายโดยสิ้นเชิง ข้าจะต้องฟังผิดไปแน่ๆ! พวกนางคิดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อสั่นไหวอย่างรุนแรง ใช้สายตาไม่อยากจะเชื่อมองไปทางเมิ่งซังอวี๋ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเมิ่งซังอวี๋จะสามารถแยกออกว่าคนผู้นั้นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม! ฉลาดเฉลียวเหลือเกิน สมกับที่เป็นซังอวี๋ของเรา! เดิมทีเขายังหวาดหวั่นว่าคนที่ตนรักจะถูกลวงหลอกและแย่งชิงไป เมื่อเป็นเช่นนี้เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลใจแล้ว หัวใจที่จวนเจียนจะแตกร้าวกลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา

“ปะ…เป็นไปไม่ได้กระมัง! คิ้วเช่นนั้น พระเนตรเช่นนั้น รูปร่างเช่นนั้น…คนผู้นั้นก็คือฝ่าบาทนี่เพคะ!” ผ่านไปครู่ใหญ่แม่นมเฝิงถึงพูดอย่างตะกุกตะกัก อิ๋นชุ่ยกับปี้สุ่ยก็พยักหน้าตามอย่างแรง

รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นั้นเหมือนกับเขาเต็มสิบส่วน ไม่ว่าจะเป็นความสูงหรือรูปร่าง รวมถึงตำหนิเล็กๆ น้อยๆ บนร่างกาย เหยียนจวิ้นเหว่ยปรับเปลี่ยนให้เหมือนกับเขามากที่สุด จะต้องแนบเนียนไร้ที่ติแน่นอน แม้แต่กู่เซ่าเจ๋อเองเห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่านั่นคือตัวเองอีกคนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอก

พอได้ยินคำแย้งของแม่นมเฝิงหัวใจที่เพิ่งจะผ่อนคลายของกู่เซ่าเจ๋อก็เกร็งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง กลัวว่าเมิ่งซังอวี๋จะคล้อยตามคำพูดของพวกนาง จนล้มเลิกความคิดนี้ไป

“นั่นคือตัวปลอม ไม่ผิดแน่!” เมิ่งซังอวี๋เอ่ยด้วยความมั่นใจ

สำหรับคนในยุคโบราณพวกนี้ ฮ่องเต้ก็คือผู้ที่ได้รับเลือกจากทวยเทพ แนวคิดของระบบศักดินาที่ว่าฮ่องเต้ถูกกำหนดโดยสวรรค์ฝังลึกลงในกระดูกของพวกเขามาตั้งนานแล้ว ในใจคิดแต่ว่าฮ่องเต้ก็คือการดำรงอยู่ที่ไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้า หากจ้องมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ตรงๆ ถือว่ามีโทษตายเพราะเป็นการไม่ให้ความเคารพยำเกรง พวกเขาที่มีจิตใจนอบน้อมและหวาดกลัวเช่นนี้จะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ฮ่องเต้ถูกสับตัว พวกเขาจะแยกออกได้อย่างไร

แต่เมิ่งซังอวี๋ต่างออกไป อันดับแรกเนื้อแท้ของนางมิได้มีจิตใจต่ำต้อยและขลาดกลัว นางมองฮ่องเต้เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อมาพื้นเพครอบครัวของนางก็มิใช่ธรรมดาสามัญ พอได้รับคัดเลือกเข้าวังก็เหมือนเดินอยู่บนเส้นลวด หากไม่ระวังก็จะตกลงไปร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ซ้ำยังทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นตั้งแต่วันที่เข้าวังมา เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย นางก็มองกู่เซ่าเจ๋อเป็นหัวข้อศึกษาที่สำคัญยิ่ง ต้องเข้าใจอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขาอย่างลึกซึ้ง มุมานะตั้งอกตั้งใจศึกษาทุกอากัปกิริยาของคนผู้หนึ่งถึงสามปี ในวังนี้หากพูดว่าใครเข้าใจกู่เซ่าเจ๋อมากที่สุด นอกจากนางแล้วเกรงว่าแม้แต่ไทเฮาผู้ซึ่งมิได้หวนกลับวังมานานแล้วผู้นั้นก็ยังเทียบมิได้

“ทุกพระอารมณ์และทุกอากัปกิริยาท่าทางของฝ่าบาทไม่มีผู้ใดเข้าใจกระจ่างไปกว่าข้า” ครั้นเห็นพวกแม่นมเฝิงยังคงลังเล นางจึงเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “ทุกครั้งที่ฝ่าบาทเห็นข้า ถึงแม้บนใบหน้าจะฉายแววรักใคร่ มุมพระโอษฐ์อมยิ้ม แต่ในพระทัยพระองค์มิได้สุขสำราญไปด้วย เพราะในพระเนตรยังคงเย็นชา ถึงแม้ฝ่าบาทจะตรัสหยอกล้อกับข้า ทว่าพระทัยมิได้อยู่ที่ข้า เพราะในพระเนตรของพระองค์ว่างเปล่า แม้ว่าฝ่าบาทจะร่วมเตียงกับข้าอย่างเร่าร้อน แต่พระวรกายของพระองค์ก็มิได้ร้อนระอุเพราะข้า เพราะพระเนตรของพระองค์มืดมิด…”

พอพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดชะงักแล้วเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ชี้ดวงตาของตนพลางกล่าวเน้นย้ำทีละคำ

“หากอยากรู้จักคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง สิ่งที่ควรมองเป็นอันดับแรกมิใช่รูปลักษณ์ แต่เป็นดวงตา ดวงตาคือหน้าต่างของวิญญาณ มันไม่อาจหลอกลวงคนอื่นได้ ถึงแม้จะเก็บซ่อนไว้มิดชิดแค่ไหน อย่างไรก็ต้องเผยร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ออกมาอยู่ดี”

สีหน้าลังเลของพวกแม่นมเฝิงหายไปทันที แทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง พวกนางถูกวาจาของผู้เป็นนายโน้มน้าวจนเชื่อสนิทใจแล้ว

กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้างุด สะกดกลั้นความปวดแปลบระลอกแล้วระลอกเล่าในอก ที่แท้ซังอวี๋มองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาที่เสแสร้งจอมปลอม ไร้หัวจิตหัวใจพรรค์นั้น นางจะมาชอบได้อย่างไร มิได้อาฆาตแค้นก็ถือว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงที่สุดซึ่งสวรรค์ได้ประทานให้กับเขาแล้ว

เมิ่งซังอวี๋กล่าวอีกว่า “ที่คนผู้นั้นมองข้าเมื่อครู่ ความชื่นชอบ ความอ่อนโยนในดวงตาเป็นของจริง ความรักใคร่ก็เป็นของจริง ข้ามองเห็นความหวั่นไหวในดวงตาของเขาด้วยซ้ำไป บุรุษที่รังเกียจชิงชังข้ามาตลอดสามปี เหตุใดถึงเปลี่ยนท่าทีที่มีอย่างฉับพลัน จะต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่”

วาจานี้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของกู่เซ่าเจ๋อทันที โลหิตสาดกระเซ็น

“แน่นอนว่าข้ามิได้ตัดสินจากจุดนี้เพียงอย่างเดียว หลังจากข้าสังเกตอย่างละเอียด แม้เขาจะจงใจทำท่าทีน่าเกรงขาม แต่ในดวงตากลับแฝงความกังวลและกระวนกระวายเอาไว้ หากเจอเรื่องที่ไม่แน่ใจก็จะมองไปทางฉางสี่อย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายกับกำลังถามความเห็นของอีกฝ่าย สำหรับฝ่าบาทที่เป็นคนตัดสินพระทัยเด็ดขาด นี่มิใช่เรื่องผิดแผกไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ” เมิ่งซังอวี๋พูดฉะฉาน “ข้าจึงตั้งใจทดสอบดูอีกครั้ง บอกให้เขาเขียนป้ายห้อยคอให้อาเป่า พวกเจ้าดูสิ” นางชี้ภาพเขียนอักษรหลายใบบนโต๊ะแปดเซียน “นี่คือตัวอักษรที่คนผู้นั้นเขียนให้เมื่อครู่ ส่วนนี่คืออักษรที่ฮ่องเต้เคยลงพระหัตถ์เขียนให้ พวกเจ้าดูออกหรือไม่”

“เต๋อเฟย ตัวอักษรเหล่านี้ก็มาจากคนเดียวกันนี่เพคะ พระองค์ทอดพระเนตรดูจากตรงไหนว่าผิดแปลกไป” ปี้สุ่ยมีความรู้ด้านอักษรเพียงเล็กน้อย นางเขยิบเข้าไปตรวจสอบดูอยู่ครู่ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ

“กล่าวกันว่าตัวอักษรก็เหมือนผู้เขียน ตัวอักษรของคนผู้หนึ่งแฝงด้วยลักษณะพิเศษเหมือนกับตัวตนของเขาเอง ตัวอักษรของฝ่าบาทแข็งแกร่งทรงพลัง ยามจรดพู่กันเด็ดขาดเฉียบคม ยามตวัดเขียนรวดเร็วรุนแรง แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนมีชีวิตชีวา แต่ละรอยตวัดล้วนเด็ดขาดชัดเจน แค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายยิ่งใหญ่และท่วงท่าสูงศักดิ์ของผู้เขียน”

หัวใจที่โชกเลือดของกู่เซ่าเจ๋อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยในสายตาของซังอวี๋เราก็ยังมีข้อดีที่เอามาทดแทนกันได้

อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงรีบขยับเข้าไปดู หลังจากฟังคำอธิบายของผู้เป็นนายก็รู้สึกได้ถึงความลึกลับซับซ้อนของตัวอักษรขึ้นมาจริงๆ

เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังลายมือของฮ่องเต้ตัวปลอมพลางกล่าวขึ้นอีกครั้ง “พอมาดูแผ่นนี้ ยามจรดพู่กันลังเลไม่แน่นอน หมึกไม่สม่ำเสมอ ตวัดเส้นไม่เรียบลื่น บริเวณขีดตวัดขีดโค้งเหล่านี้ถึงแม้จะเฉียบคมอยู่บ้าง แต่ว่าไม่เป็นธรรมชาติพอ เห็นได้ว่าเมื่อก่อนตัวอักษรที่คนผู้นี้ร่ำเรียนมาเป็นอักษรเรียบง่ายธรรมดาๆ ออกไปทางนุ่มนวลและเพิ่งจะปรับเปลี่ยนการเขียนตัวอักษรได้ไม่นาน ทว่ายังไม่สามารถทำได้เหมือนอย่างสมบูรณ์ จึงเผยร่องรอยออกมาตรงจุดเล็กๆ น้อยๆ คนคนหนึ่งสามารถฝึกเขียนตัวอักษรได้หลากหลายแบบ แต่ไม่มีทางลืมแม้กระทั่งตัวอักษรที่ตนคุ้นชินที่สุด ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าผู้ที่เขียนอักษรนี้มีปัญหา”

พวกปี้สุ่ยพยักหน้าน้อยๆ เชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน

เมิ่งซังอวี๋ชี้จอกชาที่ยังไม่ได้เก็บพลางเอ่ยอีกครั้ง “หลังจากดูตัวอักษรข้าก็ยังไม่อาจแน่ใจได้อย่างเต็มที่ จึงชงชาเพื่อทดสอบต่ออีกครา ฝ่าบาททรงชื่นชอบสิ่งหรูหราเป็นที่สุด ทรงเข้าพระทัยศาสตร์แห่งการลิ้มรสชาอย่างแตกฉานลึกซึ้ง หากมิใช่ชาชั้นเลิศก็จะไม่เสวยเด็ดขาด แต่พวกเจ้าดูสิ ตอนอยู่ในห้องเก็บชา ชานี้ถูกข้านำชาขนขาวหลิงอวิ๋นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาเข็มเงินจวินซานปนเข้าไป แต่คนผู้นั้นกลับแยกไม่ออกเลยสักนิด ทั้งยังชมว่าศิลปะการชงชาของข้าสูงส่งเป็นเลิศ หากเป็นยามปกติฝ่าบาทคงทรงเขวี้ยงจอกชาทิ้งไปแล้ว”

พอพูดจบนางก็สรุปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“เมื่อดูจากสิ่งเหล่านี้ คนเมื่อครู่มิใช่ตัวจริงแน่นอน ฝ่าบาทไม่มีทางไม่จัดการงานสมรสพระราชทานเล็กๆ ให้พี่ของข้า ฝ่าบาทไม่มีทางถูกหลี่เซียงและหลี่กุ้ยเฟยบีบบังคับจนอยู่ในสภาพนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางนับวันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนปล่อยให้ราชสำนักเกิดการทะเลาะเบาะแว้งไม่หยุดหย่อน ตำหนักในแก่งแย่งชิงดีกันไม่เลิกราเช่นนี้”

วาจานี้ขจัดความลังเลของพวกปี้สุ่ยออกไปจนหมดสิ้น สีหน้าของแม่นมเฝิงซีดขาว สุ้มเสียงแหบแห้ง “เช่นนั้นเต๋อเฟยทรงคิดว่าฮ่องเต้ตัวจริงไปอยู่ที่ไหนเล่าเพคะ”

“เกรงว่าหลังจากทรงบาดเจ็บสาหัสจนสลบไสลไปคราวก่อนก็ยังมิได้ฟื้นขึ้นมาเลยกระมัง ฮ่องเต้ในตอนนี้เป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น กลายเป็นหุ่นเชิดให้พ่อลูกสกุลเสิ่นบงการราชสำนักและตำหนักในไปเสียแล้ว พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย…” เมิ่งซังอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำลึก

“ฝะ…ฝ่าบาทคงมิได้สวรรคตกระมัง” อิ๋นชุ่ยมีสีหน้าหวาดผวา ปี้สุ่ยเองก็สูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมีด้วยเช่นกัน

“ไม่หรอก หากฝ่าบาทสวรรคต พ่อลูกสกุลเสิ่นคงไม่อาจมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้หรอก พวกเจ้าลืมราชองครักษ์ลับข้างพระวรกายฝ่าบาทกับจุดจบของสกุลเซ่าไปแล้วหรือ”

พวกปี้สุ่ยพลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ความตื่นตระหนกในใจค่อยๆ สงบลง

สนมชายาคนหนึ่งจากสกุลเซ่าเคยลอบทำร้ายพระเจ้าโจวเกาจู่ซึ่งเป็นฮ่องเต้รัชกาลต่อจากพระเจ้าโจวไท่จู่จนสิ้นพระชนม์ สุดท้ายก็ถูกราชองครักษ์ลับตามแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง สกุลที่มีสามพันกว่าชีวิตถูกอาบด้วยโลหิต ตั้งแต่คนเฒ่าคนชราอายุแปดสิบไปจนถึงเด็กทารกในผ้าอ้อม แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงก็ไม่ไว้ชีวิต หลังจากเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้น ผู้บัญชาการราชองครักษ์ลับในปีนั้นก็เชือดคอตายเพื่อรับผิด ว่ากันว่าเขาถูกวางยาพิษบางชนิด หากฮ่องเต้มิได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบในวัยชราภาพและมิได้พระราชทานยาแก้พิษให้ก่อนสิ้นพระชนม์ เขาก็มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพราะพระเจ้าโจวเกาจู่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงครึ่งปี เรื่องนี้จึงสะเทือนขวัญผู้คนยิ่งนัก แต่นานเข้าราษฎรต้าโจวก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไปตามเวลา

“ดังนั้นฮ่องเต้ต้องทรงมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างแน่นอน ที่ราชองครักษ์ลับปล่อยฮ่องเต้ตัวปลอมเอาไว้ไม่สนใจก็เพื่อให้เขายึดตำแหน่งฮ่องเต้ไว้ก่อน มิให้ไหวหนานอ๋องและเซียงเป่ยอ๋องสบโอกาส หากอ๋องทั้งสองแคว้นนี้ได้ข่าวจะต้องรีบยกทัพมาบุกเมืองหลวงเป็นแน่ อีกทั้งตอนนี้เผ่าหมานก็รุกรานอย่างกำเริบเสิบสาน แผ่นดินต้าโจวมีโอกาสจะพินาศย่อยยับ ราชองครักษ์ลับแบกความผิดข้อหาล่มชาติไม่ไหว จึงย่อมต้องทำเหมือนสถานการณ์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย รอให้ฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา”

เมิ่งซังอวี๋วิเคราะห์ทีละขั้น แสดงความเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง การคาดเดาอันแม่นยำทำให้กู่เซ่าเจ๋อหันไปมองครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้เขาเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘วิชาความรู้ไม่แพ้ชายชาตรี’ ของเสิ่นฮุ่ยหรูนั้นพอนำมาเทียบกับซังอวี๋แล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

“เต๋อเฟย เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดีเพคะ” หัวใจของแม่นมเฝิงพลันบีบรัดแน่นขึ้นมา

“ในวังมีราชองครักษ์ลับจับตาดูอยู่ พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ถ้าหากเราเผยพิรุธออกไป ไม่เพียงแต่ราชองครักษ์ลับจะสงสัย พ่อลูกสกุลเสิ่นเองก็จะคิดหาสารพัดวิธีมาปองร้ายพวกเรา เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สั่งให้คนนำไปส่งให้ท่านพ่อที่ด่านชายแดน ให้กองทัพของท่านพ่อเตรียมพร้อมยกทัพเข้าปกป้องฮ่องเต้ได้ทุกเมื่อ”

น้ำเสียงของเมิ่งซังอวี๋อัดอั้นเป็นอย่างมาก มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความฮึกเหิมในใจ หากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา สกุลเมิ่งก็ถือว่าได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง ในภายภาคหน้าหากบิดาของนางลาออกจากราชการ สกุลเมิ่งก็จะไม่ต้องตกต่ำ ชีวิตของนางก็จะดีขึ้นมากด้วยเช่นกัน แต่หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ สกุลเมิ่งมีกองทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไหวหนานอ๋องและเซียงเป่ยอ๋องจะเป็นคู่ต่อสู้ของสกุลเมิ่งได้อย่างไร การที่นางจะได้หลุดพ้นจากกรงขังนี้แล้วโบยบินไปสู่ขอบฟ้าไกลก็มิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว!

พอคิดถึงตรงนี้มือของนางก็สั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่

แต่กู่เซ่าเจ๋อกลับคิดว่านางกำลังหวาดกลัว ในใจจึงทั้งรักทั้งสงสาร ซ้ำยังซาบซึ้งใจที่ในยามอันตรายนางก็ยังคงคำนึงถึงเขา ช่วยเหลือเขา แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ถอยเลยสักนิด เมิ่งซังอวี๋ที่เป็นแบบนี้ยิ่งคู่ควรให้เขาทุ่มเทกายใจรักใคร่ทะนุถนอมนัก เขากอดมือของนางไว้อย่างห้ามใจไม่อยู่ ใช้ลิ้นไล้เลียจนทั่ว ตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่นมาแสดงความรักที่ถาโถมเอ่อล้นในใจอีกแล้ว

พวกแม่นมเฝิงสติหลุดลอยไปโดยสิ้นเชิง ผู้เป็นนายพูดอย่างไรพวกนางก็ทำตามอย่างนั้น แต่พอทำใจให้เยือกเย็นลงแล้วก็ยังคิดมากอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เต๋อเฟย ยกทัพจากนอกด่านเข้าเมืองหลวงโดยพลการมีโทษตายทั้งสกุลเลยนะเพคะ! หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา ท่านกั๋วกงมิต้องแบกข้อหาก่อกบฏหรือเพคะ” สีหน้าเป็นกังวลของแม่นมเฝิงหนักอึ้งกว่าเมื่อครู่

“แค่เพราะกังวลเรื่องนี้จึงต้องมองดูภูตผีปีศาจพวกนั้นขโมยแผ่นดินต้าโจวที่รักยิ่งของพวกเราไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อจงรักภักดีต่อฝ่าบาทยิ่ง ภยันตรายครั้งนี้ท่านพ่อต้องยอมเสี่ยงชีวิตเป็นแน่ และข้าก็จะสนับสนุนเขาด้วยเช่นกัน ส่วนท่านแม่กับท่านพี่ พวกเขาก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับท่านพ่อมาโดยตลอด อีกอย่างเจ้าคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูจะปล่อยข้ากับสกุลเมิ่งไปอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราไม่อาจห่วงหน้าพะวงหลัง มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ฝ่าบาททรงมีบุญญาธิการมาก มีสวรรค์คอยปกปักรักษา พระองค์จะต้องทรงฟื้นแน่นอน พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากไป”

เมิ่งซังอวี๋พยายามปลอบขวัญทุกคน ทว่าความคิดในใจกลับสวนทางกับสิ่งที่พูดออกมา

ท่านพ่อมีนิสัยดื้อรั้นดึงดันแต่ก็รู้จักพลิกแพลง จริงอยู่ที่เขาซื่อสัตย์ภักดีต่อฝ่าบาท แต่ก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า ถ้าหากทั้งสองสิ่งสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะเลือกความจงรักภักดี แต่ถ้าหากทั้งสองสิ่งนี้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะต้องเลือกครอบครัวอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาย่อมดีที่สุด สกุลเมิ่งก็จะมีเหตุมีผลในการยกทัพอย่างเต็มที่ ได้คุณงามความชอบจากการปกป้องฮ่องเต้ แต่หากโชคร้ายฝ่าบาทสวรรคตไป เพื่อปกป้องครอบครัวแล้ว ท่านพ่อจะต้องยึดกุมกองทัพทหารนับร้อยหมื่นนายในมือไว้ไม่ปล่อยเป็นแน่ เพราะนั่นคือเบี้ยที่มีค่าที่สุด ไม่ว่าจะสวามิภักดิ์กับผู้อื่นหรือยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเอง สกุลเมิ่งล้วนมีอำนาจทางทหารอย่างเต็มที่ และนางก็จะใช้โอกาสนี้หนีไปให้พ้นจากกรงขังที่มืดมิดไร้ความหวังอย่างวังหลวงแห่งนี้

เมื่อก่อนเป็นเพราะมองไม่เห็นความหวัง นางจึงไม่เคยครุ่นคิดถึงอิสระมาก่อน แต่ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความปรารถนาที่แท้จริงที่สุดในหัวใจได้ แน่นอนว่านางต้องรักษาสติสัมปชัญญะไว้อย่างเหมาะสม ไม่แพร่งพรายความคิดที่แท้จริงของตนให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด โดยเฉพาะสำหรับพวกแม่นมเฝิงแล้ว นี่เท่ากับเป็นการคิดทรยศอย่างไม่ต้องสงสัย พวกนางรับไม่ได้อย่างแน่นอน

อีกอย่างเรื่องนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งตามใจชอบ เช่นการกำจัดฮ่องเต้ที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ นางจะไม่ทำเด็ดขาด ไม่เพียงแค่ไม่ทำ แต่ยังจะหาหนทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะมีแต่ยึดข้อได้เปรียบจากการสร้างคุณงามความดีในการปกป้องคุ้มครองฮ่องเต้เท่านั้น สกุลเมิ่งถึงจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์มากที่สุด จะบุกก็ได้ จะตั้งรับก็ดี

น่าสงสารพ่อลูกสกุลเสิ่น หลงคิดว่าตนเป็นตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น ได้ชัยชนะมาอยู่ในมือ แต่กลับเอาดาบเล่มใหญ่ที่สุดส่งให้นกขมิ้นอย่างนางรู้ถึงที่ ถึงวันข้างหน้าจะมีทั้งคลื่นมรสุม ภัยอันตราย และหายนะถึงขั้นสิ้นชีวิต แต่ก็ยังดีกว่าความท้อแท้สิ้นหวังในยามนี้มากนัก

เมิ่งซังอวี๋ยังคงครุ่นคิดจนใจลอย เพราะพยายามกดความตื่นเต้นในอกลงไปอย่างยากลำบาก สีหน้าจึงแลดูหนักอึ้งเป็นพิเศษ พวกแม่นมเฝิงไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเคร่งเครียดเช่นนี้มาก่อนจึงพากันเงียบเสียง ไม่กล้ารบกวน

กู่เซ่าเจ๋อคิดว่านางกำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของตน จมูกจึงเปล่งเสียงฟืดฟาดปลอบใจ ในใจก็เอ่อท้นไปด้วยความหวานล้ำระลอกแล้วระลอกเล่า

เขาเองก็เป็นคนน่าเวทนาเช่นเดียวกับพ่อลูกสกุลเสิ่น หากรู้ความคิดที่แท้จริงในใจของเมิ่งซังอวี๋ เกรงว่าคงจะกระอักเลือดสามเซิง เลยกระมัง

บทที่สิบสาม

ตำหนักในมั่วโลกีย์

เมื่อมองเห็นสถานการณ์กระจ่าง รู้ว่าตนตกอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยง เมิ่งซังอวี๋ก็มิได้มีท่าทีแบบใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ อีก นางอุ้มอาเป่าเดินไปมาในตำหนัก หลังจากพูดพึมพำอยู่ครู่ใหญ่ก็วางอาเป่าลงในตะกร้า สั่งให้แม่นมเฝิงจัดเตรียมกระดาษและพู่กันเพื่อเขียนจดหมายให้บิดาซึ่งอยู่ไกลถึงชายแดน

เพิ่งจะจรดพู่กันเริ่มเขียนได้ไม่กี่ตัวอักษร ขันทีน้อยที่ถูกสั่งให้ไปสืบข่าวก่อนหน้านี้ก็คุกเข่าขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก

ปี้สุ่ยขมวดคิ้วเดินออกไป ชั่วครู่ให้หลังก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักใจ เสียงแหบแห้งพิกล “เต๋อเฟย เมื่อครู่ได้ข่าวมาว่าหลังจากฝ่าบาทเสด็จออกจากวังปี้เซียวก็กลับวังเฉียนชิง ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็แขวนป้ายของเสียนเฟยแทน ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปวังเจี้ยงจื่อ (ม่วงชาด) เพคะ”

ถูกบุรุษซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปผู้หนึ่งครอบครองร่างกาย หากวันหลังฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา เสียนเฟยต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย! ถ้ามิใช่เพราะเจ้านายของตนกินยาเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับเสียนเฟย! พอคิดถึงตรงนี้ปี้สุ่ยก็มีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าและศีรษะ

อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงเองก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ด้านหนึ่งนึกกลัว ส่วนอีกด้านก็เกลียดเหลียงเฟยจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ใบหน้าสุนัขของกู่เซ่าเจ๋อบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ไอโกรธแค้นสายหนึ่งอัดแน่นอยู่ในอก จวนเจียนจะระเบิดออกมา ความทะนุถนอมตลอดหกปีที่ผ่านมา การปกป้องคุ้มครองตลอดหกปีที่ผ่านมา นางกลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้น่ะหรือ สั่งการให้ฮ่องเต้ตัวปลอมมั่วโลกีย์ในตำหนักใน? เขายังจะพูดอะไรได้อีกเล่า เขาไม่มีวาจาใดจะพูดแล้ว!

หลังจากเมิ่งซังอวี๋ทราบข่าวก็ผงะอึ้งไป ถือพู่กันยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน

“เต๋อเฟย พวกเราต้องช่วยเสียนเฟยไหมเพคะ” แม่นมเฝิงถามอย่างสองจิตสองใจ

“ช่วยอย่างไรเล่า บอกนางว่าฝ่าบาทเป็นตัวปลอม? นางจะเชื่อหรือ พอถึงตอนนั้นก็จะถูกนางใส่ร้ายป้ายสีว่าเสกสรรปั้นเรื่อง! นางเป็นคนที่ไปพึ่งพาฮองเฮา หลอกใช้การคุ้มครองจากฮองเฮาเพื่อให้ตนคลอดพระโอรสได้อย่างราบรื่น จากนั้นก็ตลบหลังทำร้ายฮองเฮาจนสิ้นชีพ เสียนเฟยมิใช่คนที่รับมือง่าย! อีกอย่างหนึ่ง หากแม้แต่คนเคียงหมอนของตนนางยังแยกไม่ออก แล้วข้าจะเตือนนางได้อย่างไร

แม่นม หากเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่สามารถจัดการได้ พวกเราทั้งหมดต้องปิดปากให้สนิท ห้ามบอกใครทั้งนั้น มิฉะนั้นจะเป็นภัยต่อฝ่าบาท และจะสร้างหายนะถึงชีวิตให้พวกเราด้วยเช่นกัน” เมิ่งซังอวี๋วางพู่กัน นวดขมับอย่างช้าๆ ดวงหน้างามพริ้มเพราหม่นหมองลง อาบย้อมด้วยความอ่อนล้าอันหนักหน่วง

แม่นมเฝิงรับคำไม่หยุดปาก ไม่เอ่ยถึงเรื่องช่วยเสียนเฟยอีก

พอได้ทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของเสียนเฟย หัวใจที่เจียนจะแตกสลายของกู่เซ่าเจ๋อก็พลันชาหนึบทันที ถูกต้องอย่างที่เมิ่งซังอวี๋กล่าว หากแยกไม่ออกแม้กระทั่งคนเคียงหมอนของตน แล้วร่างกายถูกทำให้แปดเปื้อนก็ได้แต่โทษตัวนางเอง ต่อว่าผู้อื่นไม่ได้ แล้วยิ่งจะมาก่นด่าเมิ่งซังอวี๋ไม่ได้ด้วยเช่นกัน

อิ๋นชุ่ยเดินเข้าไปช่วยผู้เป็นนายนวดขมับ ปี้สุ่ยเห็นเจ้านายวางพู่กันลง จึงวางแท่งหมึกในมือลงด้วยเช่นกัน เอ่ยถามขึ้นอย่างลังเล “เต๋อเฟย จดหมายฉบับนี้พระองค์ยังจะเขียนอยู่หรือไม่เพคะ”

เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจเฮือก กล่าวเสียงต่ำ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าหมวกเขียว ใบใหญ่เช่นนี้ หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาแล้วทราบว่าพวกเรามีส่วนรู้เห็น พระองค์จะทรงฆ่าพวกเราปิดปากหรือไม่ หากจดหมายฉบับนี้ส่งไปถึงมือท่านพ่อ ต่อไปพวกเราก็สลัดไม่หลุดแล้ว หากฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นพวกเราก็จะทรงนึกถึงความอัปยศอดสูในวันนี้ อาจคิดกำจัดพวกเราให้พ้นไปโดยเร็วที่สุด”

แม่นมเฝิงร่างซวนเซ พูดเสียงสั่น “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพคะ พวกเรามิใช่ทำไปเพื่อช่วยฝ่าบาทหรอกหรือ!”

ใบหน้าเมิ่งซังอวี๋เจือแววเย้ยหยัน “เรื่องเน่าเหม็นในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายออกนอกเรือน เจ้าอย่าดูถูกความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบุรุษจนเกินไป”

กู่เซ่าเจ๋อไม่มีแก่ใจไปคิดมากเรื่องหมวกเขียวบนศีรษะอีกแล้ว การถูกเมิ่งซังอวี๋หวาดระแวงทำให้หัวใจเขาขมปร่า ต่อหน้าเจ้า เรายังมีศักดิ์ศรีอันใดให้พูดถึงอีกเล่า ปล่อยให้เจ้าจับเล่นเอาตามใจชอบ ซ้ำยังต้องทำตัวเป็นเด็กดียอมขายหน้าเพื่อหยอกล้อให้เจ้ามีความสุข เรากำลังพยายามชดเชยความผิดพลาดในอดีต เหตุใดเจ้าถึงมองเราในแง่ร้ายเรื่อยไป นี่เรียกว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองกระมัง เขาพลันแสบจมูก เปล่งเสียงร้องเศร้าโศกดังหงิงๆ ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

เมิ่งซังอวี๋ถูกอาเป่าดึงความสนใจไปทันที นางรีบเดินไปข้างตะกร้า ลูบหลังของมันพลางปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน ทำให้สี่เท้าของอาเป่าเกาะเกี่ยวนางไว้ไม่ปล่อย

เจ้าลูกสุนัขนี่นับวันก็ยิ่งจะเกาะติดนางมากขึ้นทุกที! นางรวบอาเป่าที่ในดวงตาเขียนไว้ว่า ‘ขอกอดหน่อย’ เข้าสู่อ้อมอกขณะที่ลอบครุ่นคิดอย่างขำขัน

“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีเพคะ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น?” แม่นมเฝิงเดินตามเข้ามา กดเสียงต่ำพร้อมกับถามขึ้น

แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีที่สุด เรื่องอันตรายพวกนี้ซังอวี๋ไม่ควรเข้าไปพัวพัน แต่ก่อนหน้านั้นเราจะต้องหาตัวจวิ้นเหว่ยให้เร็วที่สุด สั่งให้เขาคุ้มครองซังอวี๋ให้ดี หากเราไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ให้เขาพาซังอวี๋ออกนอกวัง ส่งไปอยู่ข้างกายเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง หากมีเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงคอยคุ้มครอง ต่อให้สงครามเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินต้าโจว ซังอวี๋ก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ กู่เซ่าเจ๋อลอบคิดใคร่ครวญ

“หากไม่ทำอะไรเลยก็ได้แต่นอนรอความตายน่ะสิ! ช่างเถิด ทุ่มสุดตัวไปเลย อย่างแย่ที่สุดคือเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก็ค่อยขอให้พระองค์ทรงไว้ชีวิตข้าเพื่อเห็นแก่ท่านพ่อที่ช่วยเหลือ อย่างมากที่สุดก็คือฝ่าบาทพระราชทานรางวัลให้ข้าด้วยตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก จากนั้นก็ค่อยไล่ข้าไปอยู่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ทอดพระเนตรเห็นให้เสียสายพระเนตร หากเป็นเช่นนี้ก็ดี มีทั้งอำนาจมีทั้งเวลาว่าง แถมยังไม่ต้องปรนนิบัติบุรุษผู้นั้นอีก ข้าสุขกายสบายใจยิ่ง” ยิ่งกว่านั้นฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ก็ยากจะบอก ประโยคสุดท้ายเมิ่งซังอวี๋เก็บงำเอาไว้ มือซ้ายของนางอุ้มตัวอาเป่าขึ้นมา มือขวาถือพู่กัน ตวัดเขียนอีกครา

เราจะหักใจขับไล่เจ้าให้ไกลหูไกลตาได้อย่างไร นั่นเป็นการคว้านหัวใจของเราเลยนะ! ซังอวี๋ เราผิดไปแล้ว! วันหน้าเราจะปฏิบัติต่อเจ้าให้ดีๆ!

กู่เซ่าเจ๋อซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของนางร้องหงิงๆ แต่น่าเสียดายที่คำสารภาพของเขาไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจ

“วันนี้อากาศค่อยๆ หนาวขึ้นแล้ว จดหมายฉบับนี้ต้องถูกส่งต่อหลายทอด หนึ่งเดือนกว่าจะถึงมือท่านพ่อ พวกเราต้องทนลำบากกันอีกระยะหนึ่ง โชคดีที่การโค่นล้มราชบัลลังก์มิใช่วันเดียวคืนเดียวก็จะทำสำเร็จ อย่างน้อยเสิ่นฮุ่ยหรูต้องมีพระโอรสเสียก่อน จากนั้นก็ขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา โอรสก็ต้องได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ราชครูเสิ่นก็ต้องควบคุมอำนาจของฮ่องเต้อย่างเบ็ดเสร็จ บ่มเพาะขุมกำลังของสกุลเสิ่น ขั้นตอนทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาประมาณห้าถึงหกปี พวกเรายังพอมีเวลารับมือ” เมิ่งซังอวี๋เขียนจดหมายพลางเอ่ยปลอบพวกแม่นมเฝิงที่มีสีหน้าหนักอึ้ง

เมื่อเขียนประโยคสุดท้ายเสร็จ นางก็วางพู่กันลงแล้วหยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาอ่านอีกรอบ นางคล้ายกับรู้สึกไม่พอใจ จึงยกพู่กันขึ้นมาตวัดแต้มลงไปอีกสองสามย่อหน้าอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ

“นอกด่านยังวุ่นวายจากภัยสงคราม ข้าต้องเตือนให้ท่านพ่อระวังเอาไว้หน่อย กองทัพชาวหมานอยู่ในสภาพถอยร่นใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว สิ่งที่ควรกังวลใจในตอนนี้หาใช่ศัตรูภายนอกแต่เป็นศัตรูภายใน ในเมื่อราชครูเสิ่นต้องการช่วงชิงแผ่นดิน ท่านพ่อก็จำเป็นต้องต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด ราชครูเสิ่นเป็นผู้นำของขุนนางฝ่ายบุ๋น ถึงแม้เขาจะไม่อาจยื่นมือเข้าไปถึงกองทัพได้ในเร็วๆ นี้ แต่การจะติดสินบนนายทหารที่ดูแลงานกิจในกองทัพเพื่อสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อในเรื่องเสบียงกรัง ข่าวกรอง หรือกำลังเสริมก็มีความเป็นไปได้ยิ่ง ทำให้ท่านพ่อตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ได้แต่ขอให้หานชังผิงคนสนิทของฝ่าบาทเป็นคนที่พึ่งพาได้ จะได้สามารถช่วยเหลือท่านพ่อได้”

แม่นมเฝิงรีบเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “เต๋อเฟยอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ ท่านกั๋วกงกรำศึกมาตลอดชีวิต ไม่มีทางถูกลอบทำร้ายง่ายดายเช่นนั้นเป็นแน่เพคะ หานชังผิงผู้นั้นก็ได้ยินมาว่าเป็นคนที่มีความสามารถยิ่ง”

เมิ่งซังอวี๋พยักหน้าพลางเอ่ย “ขอให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่แม่นมเฝิงกล่าว เอาล่ะ พวกเราก็รอข่าวอยู่ในวังแล้วกัน มีราชองครักษ์ลับกับท่านพ่อคอยขับเคลื่อน เรื่องต้องพลิกจากร้ายกลายเป็นดีได้แน่”

ไม่มีใครรู้สึกเอะใจกับวาจาที่ไม่ได้มาจากใจจริงของนาง กู่เซ่าเจ๋อยังคงซาบซึ้งจนร้องคร่ำครวญ เลียข้อมือขาวผ่องของนางด้วยความรักความอาลัย

แม่นมเฝิงยกกระดาษจดหมายขึ้นมาเป่าหมึกบนกระดาษจนแห้ง เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วอดกล่าวอย่างตื่นตระหนกมิได้ “นี่…เต๋อเฟยเพคะ นี่เป็นจดหมายส่งถึงครอบครัวธรรมดาๆ มิใช่หรือ! ไฉนข้อความที่พระองค์ทรงเขียนเมื่อครู่ถึงหายไปแล้วล่ะเพคะ แล้วลายเส้นทางด้านหลังนี่หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ”

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะเบาๆ “นี่คือจดหมายลับ ขอแค่ในมือท่านพ่อมีบัญญัติกฎหมายแห่งราชวงศ์ต้าโจว และตรวจสอบโดยการเทียบกับสัญลักษณ์ด้านหลังเหล่านี้ เขาก็ย่อมเข้าใจได้เอง และเพื่อป้องกันมิให้จดหมายถูกคนช่วงชิงไประหว่างทาง เช้าพรุ่งนี้แม่นมจงรีบนำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ถึงมือท่านแม่ นางจะส่งต่อแทนข้าเอง ไม่ต้องตั้งใจปกปิด ยิ่งเปิดเผยคนรอบข้างก็ยิ่งไม่รู้สึกสนใจ ใช่แล้ว เรื่องนี้ห้ามบอกท่านแม่เด็ดขาด นางจะได้ไม่ต้องพะว้าพะวัง”

แม่นมเฝิงรับคำไม่หยุด ครั้นเห็นผู้เป็นนายสงบนิ่งเฉย ไม่มีอาการกระวนกระวาย ความว้าวุ่นในใจก็สงบลงโดยไม่รู้ตัว ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่านาง ยามนี้ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง มุมปากเผยรอยยิ้ม

เรื่องที่ควรทำก็ทำหมดแล้ว หัวใจที่เครียดขึงของเมิ่งซังอวี๋ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางหยิบภาพเขียนอักษรที่ฮ่องเต้ตัวปลอมทิ้งเอาไว้ให้ขึ้นสำรวจดู เอ่ยปากด้วยความดีอกดีใจ “อิ๋นชุ่ย พรุ่งนี้เอาภาพเขียนอักษรแผ่นนี้ไปให้กองผลิตแห่งสำนักราชวัง บอกให้พวกเขาทำป้ายห้อยคอให้อาเป่าตามภาพเขียนอักษรนี้ แผ่นป้ายต้องใช้ไม้มะเกลือชั้นดี ทรงรี ขนาดเท่าหยกประดับ ตัวอักษรให้เลี่ยมด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยิ่งหรูหราสะดุดตายิ่งดี”

“เต๋อเฟย แต่ภาพเขียนอักษรนี้เป็นของฮ่องเต้ตัวปลอมนะเพคะ” อิ๋นชุ่ยกล่าวด้วยความลังเล

เมิ่งซังอวี๋นวดพุงน้อยๆ ของอาเป่า “พวกเราไม่พูดใครจะรู้เล่า ยิ่งไปกว่านั้น หากข้าอยากได้ตัวอักษรแต่กลับไม่ทำป้ายห้อยคอ ฮ่องเต้ตัวปลอมกับเสิ่นฮุ่ยหรูก็จะสงสัยเอาได้”

อิ๋นชุ่ยพยักหน้า รับภาพเขียนอักษรไปพับอย่างดีแล้วเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้อ

เมิ่งซังอวี๋หอมปากเล็กๆ ของอาเป่า “พรุ่งนี้ข้าจะเย็บเสื้อหม่ากว้า สีเหลืองตัวน้อยให้อาเป่า ตัวสวมเสื้อหม่ากว้าสีเหลือง คอห้อยป้ายพระราชทาน ดูซิว่าผู้ใดยังจะกล้ารังแกอาเป่าของข้าอีกหรือไม่!” พอจินตนาการถึงภาพอาเป่าสวมเสื้อหม่ากว้าสีเหลือง ห้อยป้ายพระราชทาน เดินโอ้อวดไปทั่ววัง นางก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา

ถึงแม้พวกแม่นมเฝิงจะไม่เข้าใจว่าผู้เป็นนายกำลังหัวเราะอันใด แต่เมื่อเห็นนางมีความสุขก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

ทั้งๆ ที่เมื่อครู่หม่นหมองอึมครึมอยู่แท้ๆ แต่พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนเป็นเริงร่าราวกับบุปผาเบ่งบาน ช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดเสียจริง! กู่เซ่าเจ๋อหรี่ตาครุ่นคิด ค่อยๆ เลียกลีบปากอ่อนนุ่มของหญิงสาวเบาๆ รู้สึกทั้งอิ่มเอมและสบายใจ

 

ภายในวังเฉียนชิง เสิ่นฮุ่ยหรูยังคงจุดตะเกียงพลิกอ่านหนังสือกราบทูลกองใหญ่ หลังจากไล่ฮ่องเต้ไปยังวังเจี้ยงจื่อของเสียนเฟย นางก็มองไปยังฉางสี่ซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงพระอักษร เอ่ยถามเสียงต่ำลึก “หมอหลวงหลินว่าอย่างไรบ้าง”

“ทูลเหลียงเฟย หมอหลวงหลินบอกว่าระดูของเต๋อเฟยมาจริง สามปีมานี้นางกินยามากเกินไป ร่างกายจึงได้รับความเสียหาย ระดูมาผิดปกติครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังทรุดโทรม เกรงว่าเลือดระดูคงจะไหลติดต่อกันไม่หยุดหลายเดือนพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของฉางสี่เจือด้วยแววยินดีในหายนะของผู้อื่น

“ติดต่อกันหลายเดือนไม่หยุด?” เสิ่นฮุ่ยหรูมุ่นคิ้ว เอ่ยพึมพำ “เช่นนี้ดาบเล่มนี้อย่างเต๋อเฟยเราคงใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว ดีที่พวกเสียนเฟย ลี่เฟย และเฉินเฟยก็มิใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ หากผนึกกำลังกันก็ทำให้หลี่ซูจิ้งกระอักได้เช่นกัน ช่วงนี้เจ้าพาฮ่องเต้ตัวปลอมนั่นสับเปลี่ยนไปวังของเสียนเฟย ลี่เฟย และเฉินเฟยให้มากหน่อยก็แล้วกัน”

ฉางสี่น้อมรับคำสั่ง คิดอยู่สักพักแล้วจึงกล่าวเสริมว่า “ทูลเหลียงเฟย เมื่อครู่เต๋อเฟยทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสแก่พี่ชายของนาง ฝ่ายหญิงคือบุตรสาวคนโตของรองเสนาบดีกรมพิธีการฟู่ก่วงต๋า เรื่องนี้พระองค์ทรงเห็นว่า…”

“เรื่องนี้พักเอาไว้ก่อน ข้าจะหาคนที่ดียิ่งกว่านี้ให้เมิ่งเหยียนโจวเอง!” ใบหน้าเสิ่นฮุ่ยหรูมีรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเย็นเยียบหาใดเปรียบ

“เหลียงเฟย ได้เวลาเสวยพระโอสถแล้วเพคะ” นางข้าหลวงหว่านชิงยกโอสถถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าอยู่ข้างเท้านาง

เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็มีโรคเกี่ยวกับมดลูก แต่ยาที่นางดื่มต่างหากถึงจะเป็นยารักษาอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับยาถ้วยนั้นของเมิ่งซังอวี๋ ถึงแม้ตัวยาที่ใช้จะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่ปริมาณกลับแตกต่างกันเล็กน้อย ประสิทธิผลก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ความลับนี้ฮ่องเต้เคยตรัสบอกกับนางเพื่อให้นางวางใจ

เสิ่นฮุ่ยหรูมองถ้วยยาที่มีควันร้อนลอยฉุย นัยน์ตาเยียบเย็นพลันปรากฏความอ่อนโยนวูบหนึ่ง

“เหลียงเฟย ท่านบำรุงร่างกายมาสามปีแล้ว สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้แล้วนะเพคะ” หว่านชิงได้รับการไหว้วานมาจากราชครูเสิ่น วาจาบางอย่างนางจำต้องพูด

แววตาของเสิ่นฮุ่ยหรูตวัดลงบนร่างของหว่านชิงราวกับมีด ทำให้หว่านชิงตกใจจนรีบโขกศีรษะรับผิดทันที

“ข้ามีความคิดของข้าเอง ไม่ต้องพูดมาก” เสิ่นฮุ่ยหรูรับถ้วยยามา แหงนหน้าดื่มจนหมดแล้วจึงยกมือสั่งให้หว่านชิงและฉางสี่ออกไป จากนั้นก็ถือพู่กันเปิดอ่านหนังสือกราบทูลต่อ

 

ในตำหนักเฟิ่งหลวน หลี่ซูจิ้งเองก็ได้รับข่าวอย่างเดียวกัน นางขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดอย่างละเอียด

“เจ้าไม่ได้ฟังผิดแน่นะ เต๋อเฟยกินยามากเกินไปจนมีบุตรไม่ได้จริงๆ?” นางซักถามนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า นี่เป็นนางกำนัลประจำห้องเครื่องที่หมอหลวงหลินโปรดปรานที่สุด

“หม่อมฉันมิได้ฟังผิดแน่นอนเพคะ ระดูของเต๋อเฟยมาไม่ปกติ เลือดระดูไหลไม่หยุด เกรงว่าคงจะล้างไม่สะอาดไปหลายเดือน” น้ำเสียงของนางกำนัลประจำห้องเครื่องมั่นใจยิ่ง

“ความโปรดปรานมีเกียรติตลอดสามปี กินยามาตลอดสามปี แต่กลับพบจุดจบที่ไม่สามารถมีบุตรไปตลอดชีวิต เมิ่งซังอวี๋เองก็เป็นคนน่าสงสาร…” หลี่ซูจิ้งทอดถอนใจ เชื่อคำพูดที่เมิ่งซังอวี๋ส่งคนมาบอกก่อนหน้านี้อย่างสนิทใจไม่มีข้อกังขา “ฝ่าบาทยังทรงคิดหลอกใช้นางเพื่อปกป้องคนชั่วช้าอย่างเสิ่นฮุ่ยหรู พอเห็นร่างกายนางย่ำแย่ก็เปลี่ยนเป็นเสียนเฟยแทน ฮึ ช่างขยันขันแข็งจริง! เราอยากจะเห็นนักว่าฝ่าบาทจะทรงทำเพื่อคนชั่วช้าสารเลวผู้นั้นได้ถึงขนาดไหนกัน!” ในดวงตาของนางเผยแววอาฆาตแค้นออกมาอย่างไม่อาจควบคุม หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ปรับใบหน้าที่บิดเบี้ยวให้คืนสู่ปกติ ตกรางวัลให้นางกำนัลประจำห้องเครื่องผู้นั้นด้วยเงินตำลึงก้อนใหญ่แล้วจึงสั่งให้ออกไป

 

ในทางลับแห่งหนึ่งภายในวังหลวงมีเงาร่างของเหยียนจวิ้นเหว่ยซึ่งกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้พบปะกับลูกน้องของตนยืนอยู่

“เรียนท่านผู้บัญชาการ ช่วงนี้ฐานที่มั่นสองสามแห่งที่ตี้จื้อจิ่วเฮ่า (อักษรดินหมายเลขเก้า) รู้ถูกคนของราชครูเสิ่นล้อมปราบจริงดังคาดขอรับ โชคดีที่พวกเราไหวตัวทัน จึงไม่ได้รับความเสียหาย” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นคุกเข่ารายงาน

ตี้จื้อจิ่วเฮ่าก็คือรหัสแทนตัวเมื่อครั้งฮ่องเต้ตัวปลอมยังเป็นองครักษ์ลับ

“มันเป็นแค่พลทหารชั้นต่ำ จะไปรู้เรื่องอะไร ราชครูเสิ่นคิดจะอาศัยมันก่อการใหญ่ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว” เหยียนจวิ้นเหว่ยยิ้มเย็น สั่งการให้ลูกน้องเดินตามตนไปยังห้องลับที่จัดให้ฮ่องเต้รักษาตัว “พ่อลูกสกุลเสิ่นก่อกบฏแน่นอนแล้ว คืนนี้พวกเราต้องพาฝ่าบาทออกไป ส่วนวังนี้ก็ปล่อยให้พวกมันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็แล้วกัน พวกมันควรภาวนาให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาจะดีกว่า วันหน้าศพของพวกมันจะได้มีสภาพไม่น่าอเนจอนาถนัก!” เหยียนจวิ้นเหว่ยพูดพลางส่งสัญญาณมือ บรรดาลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดต่างก็แยกย้ายกันออกไปปฏิบัติการทันที เสียงลมซู่ๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย

“ช่วงย่ำค่ำคืนนี้เจ้าตัวปลอมไปที่วังของเต๋อเฟย แต่ระดูของเต๋อเฟยมากะทันหัน มันจึงไปที่วังของเสียนเฟยแทน ท่านผู้บัญชาการ เสียนเฟย…” ลูกน้องผู้นั้นละล้าละลัง เขาควรสนใจสตรีของฝ่าบาทหรือไม่

“เต๋อเฟยนับว่าโชคดี ไม่ได้ถูกเจ้าตัวปลอมทำให้ร่างกายแปดเปื้อน ส่วนเสียนเฟยไม่ต้องไปสนใจ เจ้าตัวปลอมนั้นอยากจะไปหาสตรีคนไหนก็ปล่อยมันไป รอให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา พระองค์ย่อมจัดการสตรีเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง พวกเรารับผิดชอบแค่ความปลอดภัยของฝ่าบาทก็พอ ไปเถิด ไม่มีเวลาแล้ว” เหยียนจวิ้นเหว่ยเร่งด้วยเสียงเย็นชา

ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นน้อมรับคำสั่ง และสังหารข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติดูแลอยู่ในห้องลับจนหมดสิ้น จากนั้นจึงแบกร่างกู่เซ่าเจ๋อขึ้นมา ลอบหนีออกจากวังหลวงภายใต้การคุ้มครองของเหยียนจวิ้นเหว่ย อันตรธานหายไปในค่ำคืนมืดมิดอันไร้จุดสิ้นสุด

 

เมื่อใกล้เข้ายามไฮ่ โคมไฟในแต่ละวังก็ค่อยๆ ดับลง เหลือเพียงโคมไฟหน้าประตูวังไม่กี่ดวงซึ่งกำลังไหวไกวท่ามกลางลมหนาว มองไกลๆ แล้วแลดูน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก

เมิ่งซังอวี๋นอนอยู่บนเตียง ในอ้อมกอดมีอาเป่าซึ่งขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ อยู่ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเจ้าพลิกตัวไปข้าพลิกตัวมา นอนไม่หลับอย่างเห็นได้ชัด

“อาเป่า นอนไม่หลับหรือ” เมิ่งซังอวี๋จิ้มจมูกน้อยๆ ของมัน เอ่ยถามเสียงเบา

อาเป่าขดตัวเข้าหาหน้าอกอันอ่อนนุ่มของนาง ใบหน้าเล็กๆ ฝังลงไปพร้อมกับเปล่งเสียงเบาๆ เป็นการขานตอบ

ท่าทางน่ารักเช่นนี้ทำให้เมิ่งซังอวี๋ขบขัน นางช้อนตัวอาเป่าขึ้นมา ลงจากเตียง เดินเท้าเปลือยเปล่าไปยังตั่งนุ่มริมหน้าต่าง “หากนอนไม่หลับพวกเราก็พิงขอบหน้าต่างดูดวงดาวกันเถิด ท้องฟ้ายามราตรีในช่วงสารทฤดูและเหมันตฤดูงดงามยิ่งกว่าคิมหันตฤดูเสียอีก เจ้าไม่รู้ล่ะสิ”

อาเป่าขยับยุกยิกอยู่ในอ้อมกอดของนาง ย่นจมูกพลางส่งเสียงหงิงๆ เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมา ชี้ไปยังรองเท้าผ้าปักข้างตั่ง

เมิ่งซังอวี๋ไม่ทันสังเกต อาเป่าจึงขยับตัวแรงขึ้นจนเกือบจะร่วงจากอ้อมแขนของนาง ครานี้นางถึงได้มองตามเท้าของมัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา “อาเป่ากำลังเตือนให้ข้าสวมรองเท้าหรือ”

อาเป่าส่งเสียงหงิงหนึ่งที ไม่ดิ้นอีก

เมิ่งซังอวี๋นวดศีรษะของมัน ยิ้มกริ่มพลางเดินเข้าไปสวมรองเท้า เท้าน้อยๆ ของอาเป่าชี้ไปยังเสื้อคลุมตัวนอกซึ่งพาดอยู่บนฉากกันลมอีกครั้ง เมิ่งซังอวี๋ขำคิกคักพลางสวมเสื้อคลุมตัวนอก จากนั้นก็เดินมาห่อตัวอาเป่าไว้อย่างมิดชิด ให้ศีรษะน้อยๆ โผล่ออกมาเท่านั้น

“อาเป่าของข้าฉลาดจริงๆ ถ้าหากเจ้าพูดได้ก็ดีสิ” เมิ่งซังอวี๋ทอดถอนใจ เดินไปยังริมหน้าต่างอย่างเชื่องช้า นางรู้ดีว่าอาเป่าฉลาดเฉลียวอย่างน่าประหลาด แต่จะอย่างไรเล่า ถึงมันจะฉลาดแสนรู้แค่ไหนก็ยังเป็นอาเป่าของนางอยู่ดี นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์เลี้ยงของนาง ย่อมสมควรจะพิเศษที่สุดอยู่แล้ว

อาเป่าร้องตอบ จากนั้นก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง แหงนหน้ามองไปยังท้องนภาในยามราตรีซึ่งมีหมู่ดาวระยิบระยับพร่างพราย

ท้องนภายามราตรีมืดมิดดูอึมครึม มืดสนิทราวกับถูกสาดด้วยน้ำหมึก ทว่ายิ่งขับเน้นให้ดวงดาราดูสุกสกาวและเปล่งประกายยิ่งขึ้น จมูกของหนึ่งคนหนึ่งสุนัขมีไอสีขาวพ่นออกมา สีหน้าสงบนิ่งทอดมองออกไปไกลแสนไกลเหมือนกันทั้งคู่

“อาเป่าเห็นดาวสองสามดวงนั่นหรือไม่ นั่นเป็นดาวที่อยู่ในกลุ่มดาวนายพราน ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว…” เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังกลุ่มดาวที่ตนสามารถแยกออก จากนั้นก็ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของพวกมัน

อาเป่าตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ดวงตาดำสนิทมองไปทางผู้ที่มอบความอบอุ่นทั้งหมดให้แก่ตนตาไม่กะพริบ

เมิ่งซังอวี๋ชี้ไปยังท้องฟ้า ครั้นมองเห็นวังเจี้ยงจื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลก็พลันเงียบเสียงลง สีหน้าเคร่งขรึม

กู่เซ่าเจ๋อมองหญิงสาวที่ยังคงขมวดคิ้วอย่างเหม่อลอยก็คาดเดาได้ว่านางต้องนึกถึงเสียนเฟยที่ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นเป็นแน่ ถึงปากจะบอกว่าไม่ช่วย ไม่สนใจ ไม่แยแส แต่จริงๆ แล้วในใจก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เดิมเขาคิดว่าเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน จำเป็นต้องมีตนคอยค้ำจุนและปกป้องถึงจะมีชีวิตอยู่ในวังหลวงต่อไปได้ แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสตรีผู้นั้นแข็งทั้งภายนอกและภายใน ไม่เหมือนกับสตรีตรงหน้าผู้นี้ เพราะนางใจอ่อน ถึงได้ใช้ภาพลักษณ์น่าเกลียดชั่วร้ายมาปกปิดและปกป้องตัวเอง หลังจากตั้งใจมองให้กระจ่าง เขาถึงได้รู้ว่านางน่ารักเพียงใด ชวนให้รักใคร่ทะนุถนอมเพียงใด

เมิ่งซังอวี๋ได้สติกลับมาจากห้วงความคิด ครั้นก้มหน้าลงก็เห็นอาเป่ากำลังเหม่อมองตนอยู่ ในดวงตาสีดำสนิทสะท้อนภาพนางและดวงดาวเต็มท้องนภา สว่างไสวถึงเพียงนั้น ลึกล้ำถึงเพียงนั้น และใจจดใจจ่อถึงเพียงนั้น คล้ายกับว่าโลกของมันมีแต่นางเพียงผู้เดียว

นั่นสินะ สำหรับอาเป่าแล้ว นางก็คือทั้งหมดของมัน! นอกจากนางแล้วมันยังจะพึ่งพาใครได้อีกเล่า ทันใดนั้นความอ้างว้างขมขื่นในใจก็ถูกความคิดนี้ขับไล่ไปจนหมดสิ้น หนึ่งคนหนึ่งสัตว์เลี้ยงหน้าผากแนบหน้าผาก ประสานสายตากัน เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ในยามนี้โลกของพวกเขามีเพียงแค่กันและกันเท่านั้น

แสงจากโคมไฟจากที่ไกลออกไปค่อยๆ สว่างขึ้นโดยมีวังเฉียนชิงเป็นศูนย์กลาง ย้อมอาบสีส้มให้แก่ค่ำคืนอันมืดสนิท เสียงคนจ้อกแจ้กจอแจดังแว่วมา ทำลายช่วงเวลาอันหวานชื่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ห่อหุ้มตัวอาเป่าไว้อย่างดี เดินไปซักถามหน้าตำหนักบรรทม

“ทูลเต๋อเฟย ดูเหมือนว่าวังเฉียนชิงจะเกิดเรื่องเพคะ หม่อมฉันส่งคนไปสืบดูแล้ว อีกไม่นานคงได้ข่าวเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว

“วังเฉียนชิง? ฝ่าบาท!?” ในใจเมิ่งซังอวี๋พลันตื่นตระหนก กู่เซ่าเจ๋อเองก็ตัวแข็งทื่อด้วยเช่นกัน

ขันทีที่เข้าไปสืบข่าวที่วังไม่นานก็กลับมา หอบแฮกๆ ขณะคุกเข่าถวายบังคม “ทูลเต๋อเฟย วังเฉียนชิงถูกปล้นพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนบอกว่าเครื่องลายครามล้ำค่าชิ้นหนึ่งในห้องทรงพระอักษรหายไป ตอนนี้ทั่วทั้งวังหลวงอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน กำลังตามจับขโมยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“รู้แล้ว เจ้าไปได้” เมิ่งซังอวี๋สั่งให้ขันทีถอยออกไป ก่อนจะมองไปทางแม่นมเฝิงพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “เครื่องลายครามหายไป? ข้าว่าฝ่าบาทหายไปมากกว่ากระมัง! คงเป็นเพราะหลังจากราชองครักษ์ลับรู้ถึงการกระทำของฮ่องเต้ตัวปลอมจึงได้ลงมือปฏิบัติการ หากไม่ส่งฮ่องเต้ออกไปนอกวัง เสิ่นฮุ่ยหรูอาจจะเป็นคนบีบคอฝ่าบาทจนสิ้นพระชนม์ด้วยตัวเองก็เป็นได้”

กู่เซ่าเจ๋อพลันตัวสั่นเทิ้ม ไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่เมิ่งซังอวี๋พูดมีความเป็นไปได้สูงมาก ต่อให้ตอนนี้เสิ่นฮุ่ยหรูหักใจทำไม่ลง แต่หลังจากนางค่อยๆ ได้ลิ้มรสชาติอันโอชาของอำนาจ นางคงจะไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป

ครั้นรู้สึกได้ว่าอาเป่าตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง เมิ่งซังอวี๋ก็นึกว่ามันหนาว จึงรีบอุ้มอาเป่าเดินเข้าไปด้านในตำหนักบรรทม ฮ่องเต้น่าจะถูกช่วยไว้แล้ว แสดงว่าราชองครักษ์ลับคงไม่ปล่อยให้พ่อลูกสกุลเสิ่นก่อเรื่องจนถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไข หัวใจที่เครียดเขม็งของนางผ่อนคลายลงเล็กน้อย อุ้มอาเป่าเข้านอนในผ้าห่มที่ยังคงหลงเหลือไออุ่น

กู่เซ่าเจ๋อเองก็พ่นลมหายใจเฮือก หัวใจที่กระวนกระวายไม่สงบมาตลอดหลายเดือนในที่สุดก็เข้าที่เข้าทางเป็นครั้งแรก

หนึ่งนายหนึ่งสัตว์เลี้ยงหันหน้าเข้าหากัน ไม่นานก็ถลำลงสู่ดินแดนแห่งความฝันอันหวานล้ำ

 

ภายในวังเฉียนชิง หลังจากฮ่องเต้ตัวปลอมได้ข่าวก็รีบรุดเสด็จมา เสิ่นฮุ่ยหรูเองก็มายังตำหนักส่วนในด้วยเส้นทางลับ กำลังระเบิดโทสะอยู่ในตำหนัก

“ไร้ประโยชน์! ไอ้พวกไร้ประโยชน์!” นางปล่อยผมสยาย สีหน้าดุร้าย พยายามสะกดความพลุ่งพล่านที่อยากจะขว้างปาสิ่งของ

“ทูลเหลียงเฟย กองกำลังรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงควบคุมบัญชาการโดยขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท พวกกระหม่อมจึงไม่กล้าเรียกใช้ เกรงว่าจะทำให้พวกเขาสงสัย อีกอย่างทางลับนี้ก็ทะลุเชื่อมต่อกันทุกทิศทาง มีกลไกมากมาย พวกกระหม่อมส่งคนเข้าไปเป็นร้อยคน แต่มีชีวิตกลับออกมาไม่ถึงยี่สิบคน เหลียงเฟย กระหม่อมพยายามสุดความสามารถแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์โปรดให้อภัย” ฉางสี่อ้อนวอนเสียงแผ่วเบา ฮ่องเต้เองก็โขกศีรษะตามด้วยเช่นกัน

อกของเสิ่นฮุ่ยหรูสั่นไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง ในดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้าและความหวาดกลัวที่เล็กน้อยจนมองไม่เห็น ฝ่าบาททรงถูกช่วยเอาไว้แล้ว หากพระองค์ฟื้นขึ้นมา นางควรจะทำอย่างไรดีเล่า เล็บของนางจิกลงไปในฝ่ามือ ไม่กล้าคิดต่ออีก

ในยามนี้เอง หว่านชิงก็เดินเข้ามา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่ง นางถวายคำนับพลางกล่าว “เหลียงเฟย นี่เป็นจดหมายที่ราชครูเสิ่นให้คนส่งมาให้พระองค์เพคะ”

ร่างของเสิ่นฮุ่ยหรูแข็งชะงักอย่างฉับพลัน นางเดาได้ว่าบิดาอยากจะบอกอะไร คงมีแต่จะเร่งรัดให้นางลงมือให้เร็วขึ้น ก็ถูกของเขา ฝ่าบาททรงถูกช่วยไว้แล้ว พวกนางไม่มีเวลามาวางหมากอย่างช้าๆ อีกต่อไป ตัวตนขององครักษ์ลับพวกนั้นลึกลับซับซ้อน ไปมาไร้ร่องรอย ถ้าหากอยากจะเอาชีวิตคนสกุลเสิ่นจริงๆ สกุลเสิ่นก็ไม่มีผู้ใดหนีรอดได้! อีกทั้งยังหลงเหลือความผิดฐานก่อกบฏให้ผู้คนก่นด่าสกุลเสิ่นไปอีกหลายชั่วอายุคน! การแก้ปัญหาตรงหน้ามีเพียงฉวยโอกาสตอนที่ฮ่องเต้ยังไม่สิ้นพระชนม์ รีบชิงราชบัลลังก์มาให้เร็วที่สุด ควบคุมกองกำลังอวี้หลินและทหารองครักษ์หลวงไว้ในกำมือ ใช้อำนาจเด็ดขาดมาปกป้องตัวเอง

นางคลายสองมือที่กำแน่นออก ใช้มือที่เปรอะเปื้อนรอยเลือดรับจดหมายมา ก่อนจะเปิดอ่านจนจบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นจึงโยนเข้ากระถางไฟให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

“ฉางสี่ เจ้าออกไปเสีย” นางโบกมือ รอจนฉางสี่ออกไปอย่างหวาดกลัวเนื้อตัวสั่นเทา นางจึงมองไปยังฮ่องเต้ที่คุกเข่าอยู่ข้างเท้า “พรุ่งนี้เจ้าแขวนป้ายของข้า เรียกข้าเข้าถวายการรับใช้ทุกคืนจนกระทั่งตั้งครรภ์ หลังจากนั้นก็หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว หากเจ้าอยากรักใคร่โปรดปรานใครก็ตามใจเจ้า”

ฮ่องเต้เงยหน้าทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงลาน เมื่อสบเข้ากับดวงตาเยียบเย็นของนางก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ประสานมือรับคำ

เสิ่นฮุ่ยหรูไม่มองอีกฝ่ายแม้แต่แวบเดียว เดินออกจากเส้นทางลับด้วยฝีเท้าเลื่อนลอย นางจะจดจำวันนี้ไว้ให้มั่น ในวันนี้นางได้ตัดขาดจากอดีตที่มีร่วมกับกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้โดยสิ้นเชิง

บทที่สิบสี่

เนรคุณ

วันต่อมาเมิ่งซังอวี๋ตื่นขึ้นมาท่ามกลางน้ำลายของอาเป่า พอเห็นตนตื่นแล้วอาเป่าที่กำลังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของนางก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ฝังหน้าลงที่ซอกคอของนาง

“เจ้าตัวน้อย รู้จักอายด้วยหรือ” เมิ่งซังอวี๋เท้าคาง เกาพุงนุ่มนิ่มของอาเป่าพร้อมกับยิ้มกริ่ม

กู่เซ่าเจ๋อรีบกอดข้อมือของนางไว้ ใช้น้ำลายล้างมือให้นาง ไม่ปล่อยไปแม้แต่นิ้วเดียว เรื่องนี้นับวันเขาก็ยิ่งชำนาญขึ้นเรื่อยๆ เกียรติยศของเจ้าแผ่นดิน ศักดิ์ศรีของบุรุษอะไรพวกนั้นได้ถูกเขาโยนทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะคิกคัก ทั้งนายและสัตว์เลี้ยงกอดรัดเล่นสนุกกันพักใหญ่ตามความเคยชิน จนกระทั่งแม่นมเฝิงเลิกม่านมุ้งเข้ามาเร่งถึงได้ผละออกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์

“มีข่าวอะไรจากวังเฉียนชิงอีกหรือไม่” หลังจากสวมชุดวัวให้อาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็ถามขึ้นอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก

“ได้ยินว่าองครักษ์ที่วังเฉียนชิงตายไปหลายคน ล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท หากมิใช่เพราะเมื่อวานฝ่าบาทเสด็จไปวังเจี้ยงจื่อ เกรงว่าแม้แต่พระองค์เองก็คงประสบอันตรายเช่นเดียวกัน ฟ้ายังไม่ทันสาง ฝ่าบาทก็มีรับสั่งให้ใต้เท้าหลัวแม่ทัพตรวจการเก้าประตูเข้าวัง ตรัสกล่าวโทษเขาเสียยกใหญ่ ทั้งยังรับสั่งให้เขาจับตัวผู้ร้ายให้ได้ภายในสิบวัน มิฉะนั้นจะถอดเขาออกจากตำแหน่งและให้เขากักบริเวณตัวเองเพื่อสำนึกผิด” แม่นมเฝิงสวมเสื้อคลุมตัวนอกให้ผู้เป็นนายพลางรายงานเสียงเบา

“จับผู้ร้ายจากที่ไหนกันเล่า ราชองครักษ์ลับจับตัวง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ สกุลเสิ่นกำลังอาศัยโอกาสนี้รวบอำนาจต่างหาก แต่น่าเสียดายที่มีหลี่เซียงอยู่ พอตำแหน่งแม่ทัพตรวจการเก้าประตูว่างลงก็ไม่รู้ว่าคนของใครจะได้ตำแหน่งนี้ไป หากพูดถึงเส้นสายและฐานอำนาจ ราชครูเสิ่นหาใช่คู่ต่อสู้ของหลี่เซียงไม่ หมากตานี้เขารีบร้อนเกินไป สุดท้ายอาจจะไม่เป็นดังที่เขาปรารถนา” เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าขึ้นมา เดินนวยนาดไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

แม่นมเฝิงบิดผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำอุ่นจนหมาด จากนั้นก็ยื่นให้นางทำความสะอาดใบหน้า ต่อมาหยิบหวีขึ้นมาหวีเส้นผมดำสลวยให้นาง อาเป่านั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งใช้สายตาอิจฉามองแม่นมเฝิงที่ขยับมือหวีผมอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน เส้นผมเหล่านี้เมื่อไรเราจะได้สัมผัสด้วยมือตัวเองหนอ

เมิ่งซังอวี๋ดีดจมูกของอาเป่าเบาๆ และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้มันด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงหยิบเครื่องประทินผิวตลับหนึ่งออกมาบรรจงทาให้ตัวเอง

ปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยเดินเข้ามา คนหนึ่งยกถาดที่มีตัวยาล้ำค่าและผ้าไหมชั้นเลิศมากมายวางไว้ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นนายพร้อมกับเชิญให้นางเลือกดู

“นี่คืออะไร” เมิ่งซังอวี๋เลิกคิ้ว

“นี่คือของที่หลี่กุ้ยเฟยพระราชทานให้พระองค์เพคะ ทรงกำชับให้พระองค์ดูแลรักษาพระวรกายให้ดีๆ อย่าคิดมาก ก่อนหายดีก็ไม่ต้องไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย” อิ๋นชุ่ยวางถาดลงแล้วหยิบตลับกระจกออกมาให้ผู้เป็นนายเลือกเครื่องประดับที่จะสวมใส่

“เฮอะ นางกำลังเวทนาข้ากระมัง ดูท่านางคงรู้เรื่องอาการของข้าแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย้ยพลางหยิบโสมคนต้นหนึ่งขึ้นมาอังดมที่ปลายจมูก เอ่ยชมว่า “ของดี”

กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้า ปกปิดความเจ็บปวดที่ส่วนลึกในดวงตา ในใจลอบครุ่นคิดว่าพอเรากลับคืนร่างเดิมได้ เรื่องแรกที่จะทำก็คือเสาะหาหมอชื่อดังให้มาตรวจรักษาบำรุงร่างกายของซังอวี๋ หมอหลวงผู้เฒ่าฉวีผู้นั้นก็ไม่เลว สามารถให้จวิ้นเหว่ยไปสืบหาข่าวคราวเอาก็ได้

ในขณะที่เขากำลังเหม่อลอย เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าขึ้นมาแล้วเดินไปที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร เพราะไม่ต้องไปคารวะหลี่กุ้ยเฟย ทั้งเจ้านายและสัตว์เลี้ยงจึงผลัดกันกินเจ้าคำข้าคำ กินอย่างอืดอาดเชื่องช้ายิ่ง เล่นสนุกหยอกล้อกันเป็นครั้งคราว

นอกตำหนักมีแสงอาทิตย์สาดส่องสว่างสดใส สกุณาขับขาน มวลบุปผาส่งกลิ่นกำจร อากาศดีอย่างหาได้ยากยิ่ง เมิ่งซังอวี๋รู้สึกคึกคักขึ้นมา อีกทั้งนึกขึ้นได้ว่าอาเป่ามิได้ย่างเท้าออกจากประตูตำหนักมาหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว จึงพามันไปเดินชมทัศนียภาพที่อุทยานหลวง

เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้เพิ่งจะเดินเข้ามาในอุทยานหลวงก็เห็นเสียนเฟยที่เมื่อคืนได้อาบพระมหากรุณาธิคุณกำลังพาองค์ชายห้ามานั่งดื่มชาข้างสะพานสั่วหง (ล้อมรุ้ง) ภายในอุทยานหลวง มีบรรดานางสนมและนางกำนัลนั่งเป็นวงกลมล้อมรอบ แต่งกายหรูหรางดงาม พูดคุยหยอกล้อกัน บรรยากาศดียิ่งนัก

เมิ่งซังอวี๋หยุดฝีเท้า คิดจะหันกายเดินไปทางอื่นแต่ก็สายไปเสียแล้ว เสียนเฟยเห็นนางเข้าและกำลังสั่งนางกำนัลผู้หนึ่งมาเชื้อเชิญนางให้ไปร่วมวงสนทนา

เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจ พาอาเป่าเดินเข้าไปอย่างช้าๆ นางสนมทั้งหลายค่อยๆ ลุกขึ้นคารวะ ส่วนเสียนเฟยพยักหน้าน้อยๆ แย้มยิ้มพลางเชิญนางนั่งลงข้างกายตน

เมิ่งซังอวี๋ประคององค์ชายห้าที่กำลังคารวะตนขึ้นมา ลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของเขา ปีนี้องค์ชายห้าเพิ่งจะอายุเต็มห้าพรรษา ผมเกล้าเป็นมวยเล็กๆ ใช้เชือกรัดผมทองคำมัดไว้ ใบหน้าเล็กอ้วนจ้ำม่ำคล้ายกับก้อนแป้งกลมๆ ก็ไม่ปาน ดวงตาคู่นั้นถอดแบบมาจากกู่เซ่าเจ๋อ ทั้งดำสนิทและเรียบลื่น อีกทั้งหางตายังยกขึ้นน้อยๆ ช่างชวนให้คนเอ็นดูชื่นชมยิ่งนัก

“องค์ชายห้าน่ารักมากขึ้นทุกที” นางเอ่ยชมจากใจจริง

กู่เซ่าเจ๋อมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแน่วนิ่ง ในดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความคิดคะนึง องค์ชายห้าน่ารักน่าเอ็นดู ฉลาดเฉลียว เป็นบุตรที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่ง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอ เขาจึงรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง

ในดวงตาของเสียนเฟยเผยแววภาคภูมิใจ ยังมิทันได้เอ่ยปาก องค์ชายห้าก็โค้งคำนับอย่างขึงขังจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ว่า “ขอบพระทัยเสด็จแม่เต๋อเฟยที่เอ่ยชม”

เด็กน้อยอายุสามสี่ขวบในยุคที่นางเคยจากมายังเป็นช่วงวัยที่วิ่งเล่นนอนเล่นบนพื้นไปทั่ว ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ในวังหลวงแห่งนี้กลับถูกสั่งสอนให้อยู่ในกรอบทุกกระเบียดนิ้ว โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร ทันใดนั้นนางจึงรู้สึกหมดสนุกเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มพลางกล่าว “ฉลาดมาก”

นางสนมและนางกำนัลทั้งหลายรีบส่งเสียงคล้อยตาม ไม่รู้ว่ากำลังประจบเต๋อเฟยหรือเสียนเฟยกันแน่

เสียนเฟยหน้าชื่นตาบาน ค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของบุตรชาย เจตนากล่าวอย่างโอ้อวด “เมื่อคืนฝ่าบาททรงทดสอบบทเรียนขององค์ชายห้า เขาตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ฝ่าบาททรงพอพระทัยมากทีเดียว” พอกล่าวจบนางก็ตบบ่าขององค์ชายห้าเบาๆ บอกให้เขาท่อง ‘คัมภีร์สามอักษร’ ให้ทุกคนฟัง

หลังจากได้ฟังคำโอ้อวดของเสียนเฟย จิตใจของกู่เซ่าเจ๋อก็หงุดหงิดอย่างที่สุด สตรีโง่เขลาผู้นี้ไม่เพียงแต่แยกคนเคียงหมอนตัวจริงตัวปลอมไม่ออก ทั้งยังบอกให้บุตรนับถือโจรเป็นบิดา ช่างมีตาแต่ไร้แววจริงๆ!

เพราะความเดือดดาลในใจจึงทำให้อารมณ์ยินดีที่ได้พบบุตรชายของกู่เซ่าเจ๋อค่อยๆ ลดหายไปมาก เขาไม่มีแก่ใจจะฟังบุตรชายท่องคัมภีร์ เพียงแต่ขดตัวซุกอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ไม่มองให้เสียสายตา แต่เมิ่งซังอวี๋กลับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กน้อยท่องหนังสือด้วยเสียงอ่อนเยาว์ราวกับขนนกพัดปลิวเข้าไปในหัวใจ พาให้เกิดความชื่นชอบชื่นชม

ครั้นองค์ชายห้าท่องจบ เหล่านางสนมต่างก็พากันเอ่ยปากชมเชย ถึงแม้เสียนเฟยจะมิได้พูดอะไร แต่นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความลำพองและความภาคภูมิใจ แม้หลี่กุ้ยเฟยจะมีบุตรชาย แต่อาศัยสิ่งใดมาบอกว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งฮองเฮาต้องเป็นหลี่กุ้ยเฟยเท่านั้น หากพูดถึงคุณสมบัติ นางเองก็มิได้ต่างจากหลี่กุ้ยเฟยเท่าไร มิหนำซ้ำฝ่าบาทยังทรงชื่นชอบนางกับบุตรชายของนางมากกว่าหลี่กุ้ยเฟยสองแม่ลูกอย่างเห็นได้ชัด

พอคิดถึงตรงนี้นางก็ลูบรอยรักมากมายบนต้นคอ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ

ในวังแห่งนี้ความรักความโปรดปรานจากฝ่าบาทคือทรัพย์สินที่ควรค่าแก่การโอ้อวดมากที่สุด เสียนเฟยไม่เพียงแต่ไม่เคยคิดที่จะปกปิด ทั้งยังเจตนาประกาศให้คนทั้งโลกรู้ นางสนมที่ตาไวมองเห็นต้นคอที่มีรอยแดงเต็มไปหมดของนาง นัยน์ตาก็พลันลุกวาว เอ่ยหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทมิได้เสด็จตำหนักในมาหลายเดือน ทั้งในวังและนอกวังล้วนลือกันว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บหนัก ข่าวลือคงเป็นแค่ข่าวโคมลอยกระมังเพคะ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภูตผีปีศาจตนใดที่สร้างข่าวลือพวกนี้! ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่น กำลังวังชาเต็มเปี่ยม ร่างกายจะได้รับความเสียหายเพราะบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไรกัน” เสียนเฟยเอนพิงเท้าแขนอย่างเกียจคร้าน ยกช้าร้อนๆ ขึ้นจิบช้าๆ การเคลื่อนไหวของนางเผยต้นคอขาวผุดผ่องดุจหิมะออกมาให้เห็นมากขึ้น รอยแดงเป็นจ้ำๆ สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แต่งแต้มดวงหน้าของนางที่แต่เดิมก็งามหยดย้อยให้มีสีสันขึ้นอีกสามส่วน

เมิ่งซังอวี๋ขมวดคิ้ว เบือนหน้าหนีเล็กน้อย บรรดานางสนมทั้งหลายต่างพากันอิจฉาตาร้อน

ยามที่เสียนเฟยเอ่ยคำว่า ‘กำลังวังชาเต็มเปี่ยม’ นั้น กู่เซ่าเจ๋อก็หันไปมองนาง ครั้นเห็นความเปรมปรีดิ์ในดวงตาและร่องรอยบนลำคอของนาง ลูกตาสีดำสนิทก็เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นทันใด ดูท่าเมื่อคืนเสียนเฟยคงสุขสำราญมากกระมัง!? เขาหรี่ตาพลางลอบคิด โทสะอันบ้าคลั่งและความหดหู่เศร้าซึมผสมปนเปกันในหัวใจ ทำให้เส้นขนบนหลังที่เพิ่งงอกขึ้นใหม่ตั้งชัน

ในฐานะที่เป็นสตรี หากแม้แต่สามีของตนก็ยังแยกไม่ออก เขาจะยังมีความหวังใดกับนางได้อีกเล่า เกรงว่าในสายตาของพวกนาง เขาก็เป็นแค่สิ่งที่ใช้แสดงยศ เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงอำนาจและตำแหน่ง ขอแค่สวมเสื้อคลุมมังกร พวกนางก็ไม่สนว่าภายใต้เสื้อคลุมมังกรนั้นจะเป็นใคร นอกจากเมิ่งซังอวี๋ จะมีผู้ใดคิดทำความเข้าใจในตัวเขาบ้างหรือไม่ คงจะไม่มีเลยกระมัง

ความเยียบเย็นแผ่กระจายในหัวใจระลอกแล้วระลอกเล่า กู่เซ่าเจ๋อเกาะเกี่ยวชุดคลุมเปิดคอของเมิ่งซังอวี๋เอาไว้ เอาแต่ซุกอยู่ในอ้อมกอดนางเพื่อรับไออุ่น นี่เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เขาอาลัยอาวรณ์

เมิ่งซังอวี๋บีบจมูกน้อยๆ ของอาเป่า ดึงคอเสื้อเปิดออกแล้วห่อหุ้มมันไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้โผล่ออกมาเพียงศีรษะ บนศีรษะนั้นสวมหมวกเล็กๆ ซึ่งเย็บปีกคู่หนึ่งติดไว้ ดูไปแล้วทั้งแปลกใหม่และน่ารัก

ดวงตากลมโตขององค์ชายห้าเป็นประกายยิ่งขึ้น จ้องมองอาเป่าตาไม่กะพริบ

“เสด็จแม่เต๋อเฟย บนหัวของมันมีปีกด้วย” องค์ชายห้าชี้อาเป่า น้ำเสียงเจือแววคาดหวัง “ให้ข้าอุ้มมันได้หรือไม่”

“ตอนนี้ยังไม่ได้ มันเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา หากไม่ระวังอาจจะทำให้มันบาดเจ็บซ้ำได้ รอให้มันหายดีแล้วข้าจะพามันออกมาเล่นเป็นเพื่อนองค์ชายห้า” เมิ่งซังอวี๋หักห้ามใจ ปฏิเสธคำขอขององค์ชายห้า เด็กน้อยอายุเท่านี้ยังไม่รู้จักผ่อนแรง หากอาเป่าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นก็เป็นได้

องค์ชายห้าทำหน้าจวนเจียนจะร้องไห้ แต่เขายังคงรักษามาดขององค์ชายไว้ มิได้ร้องไห้งอแง เพียงแต่อิงแอบเข้าสู่อ้อมอกของเสียนเฟยอย่างน่าสงสาร

เสียนเฟยรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง เหลือบมองเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววตาอึมครึมแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบถาดใส่ผลไม้ข้างกายมาหลอกล่อบุตรชาย “ลูกสุนัขบาดเจ็บมา หากเจ้าไปทำให้มันเจ็บ มันจะกัดเจ้าได้ พวกเรารอให้มันหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน มา กินลำไยเถิด เช้านี้เสด็จพ่อของเจ้าพระราชทานให้เจ้า ปีนี้หัวเมืองทางใต้ถวายบรรณาการมาให้เพียงแค่ตะกร้าเดียวเท่านั้น ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว” ด้านหนึ่งนางหลอกล่อบุตรชาย แต่อีกด้านก็ไม่ลืมที่จะโอ้อวดความรักใคร่โปรดปรานที่ตนได้รับ

เมิ่งซังอวี๋ลอบถอนหายใจ ยกมือแย่งลำไยที่ถูกส่งไปถึงปากองค์ชายห้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ลำไยมีเนื้อบางเม็ดใหญ่ สัมผัสนุ่มลื่น ไม่เหมาะให้เด็กวัยอย่างองค์ชายห้ากินหรอก หากเม็ดไปติดอยู่ในลำคอ เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ควรแกะเนื้อออกแล้วค่อยป้อนให้เขากินจะดีกว่า และกินมากก็ไม่ได้ ลำไยมีสรรพคุณเสริมร้อน ผู้ใหญ่กินมากเกินไปร่างกายก็ยังรับไม่ไหว”

เพราะลำไยเป็นของบรรณาการที่หาได้ยากยิ่ง ต่อให้เป็นสนมชายาตำแหน่งสูงๆ ปีหนึ่งก็ยังได้กินไม่เกินหนึ่งครั้ง ฝ่าบาททรงส่งไปให้ไทเฮาที่เขาเชียนฝอทั้งหมด เสียนเฟยไม่เคยได้กินมาก่อน จึงย่อมไม่รู้ว่ามีเรื่องอย่างนี้ด้วย ยามนี้จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสุขภาพของบุตรชาย สุดท้ายนางจึงมิได้ยัดลำไยเข้าปากขององค์ชายห้า

องค์ชายห้าถูกปฏิเสธอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ของดีที่ถูกยื่นมาถึงปากก็ไม่มีแล้ว ดวงตาพลันกะพริบปริบๆ แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลกลิ้งลงมา ดึงแขนเสื้อเสียนเฟยพลางร้องอ้อนวอน “เสด็จแม่ ลูกอยากกินลำไย! ลูกอยากกินลำไย!”

เสียนเฟยรักบุตรชายนักหนา สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือน้ำตาของบุตรชาย จึงโยนคำเตือนของเมิ่งซังอวี๋ไว้ข้างหลังทันที รีบปอกลำไยใส่ปากเขาพร้อมเอ่ยกำชับเสียงอ่อนโยน “ต้องคายเม็ดออกมาด้วยรู้หรือไม่”

องค์ชายห้าอมลำไยพร้อมกับเปลี่ยนจากใบหน้าร่ำไห้มาเป็นแย้มยิ้ม ใช้ลิ้นม้วนเนื้อลำไยกินจนเกลี้ยง จากนั้นก็คายเม็ดใส่มือนางกำนัลซึ่งอยู่อีกด้าน

ครั้นเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย เสียนเฟยก็วางใจ บอกเป็นนัยให้นางกำนัลปอกลำไยให้บุตรชายต่อไป ไม่เก็บเอาคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งซังอวี๋มาใส่ใจอีก

เหล่านางสนมส่งสายตาเยาะเย้ยให้เมิ่งซังอวี๋ คิดว่าการกระทำของนางเมื่อครู่เกิดจากความอิจฉาริษยา จงใจพูดจาไม่เข้าหูเสียนเฟย

เมิ่งซังอวี๋ยิ้มอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ก้มหน้าลูบหูของอาเป่าซึ่งส่งเสียงปลอบหงิงๆ อย่างไรเสียสิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ให้พวกเขาระวังตัวเองก็พอแล้ว

แต่ไม่คาดว่านางกลับวางใจเร็วเกินไป เนื้อลำไยเรียบลื่นอ่อนนุ่ม หวานฉ่ำ มีน้ำมาก รสชาติอร่อยยิ่ง พาให้คนกินเข้าไปคำหนึ่งก็รู้สึกไม่อยากหยุด องค์ชายห้ากินเข้าไปหลายลูกก็ติดใจ การกินจึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังอมลูกที่ห้า ลิ้นพลันม้วนพลาด กลืนลำไยลงไปทั้งลูก

หลอดอาหารของเด็กอายุสี่ห้าขวบยังแคบมาก ลูกลำไยไม่อาจไหลผ่านไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงติดอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างคอหอยกับหลอดลม ทันใดนั้นองค์ชายห้าพลันพูดไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง

“ว้าย! แย่แล้วเพคะเสียนเฟย ลำไยติดคอองค์ชายห้าเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนปัดถาดผลไม้ร่วง ก่อนจะตบหลังองค์ชายห้าพลางหวีดร้อง

เสียนเฟยซึ่งกำลังคุยเล่นกับบรรดานางสนมผงะอึ้งไปในคราแรก จากนั้นก็ยืนขึ้นทันที แย่งตัวองค์ชายห้าไปพร้อมกับตบแผ่นหลังเขาอย่างแรง สีหน้าขององค์ชายห้าแปรเปลี่ยนเป็นเขียวซีด ตาเหลือก

เหล่านางสนมและนางกำนัลตกใจจนพากันลุกขึ้นจากที่นั่งของตน ค่อยๆ ถอยห่างออกไปหลายก้าวเพราะกลัวจะหาความยุ่งยากใส่ตัว มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถึงแม้บนใบหน้าจะฉายแววกังวลระคนร้อนใจ แต่ในดวงตากลับเปล่งประกายยินดีในหายนะของผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด

เสียนเฟยมองดูบุตรชายที่ค่อยๆ ทรุดกายอยู่ในอ้อมกอดของตน ในใจพลันสิ้นหวัง น้ำตาผสมกับหยาดเหงื่อทำให้ใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มอย่างประณีตของนางเลอะเทอะจนดูไม่ได้ นางแผดเสียงแหบแห้ง “ไป ไปตามหมอหลวงมา! เร็วเข้า!”

“เจ้าถอยไป ข้าเอง” เมิ่งซังอวี๋ทนดูต่อไปไม่ไหว ยัดอาเป่าที่เห่าโฮ่งๆ ใส่อ้อมกอดของแม่นมเฝิง ดึงเสียนเฟยออกไปและจับองค์ชายห้าที่ใกล้จะหมดสติให้อยู่ในท่าศีรษะชี้ลงกับพื้น เท้าชี้ขึ้นข้างบน นางออกแรงตบกระดูกสะบักของเขาแรงๆ ตบไปห้าทีเต็มๆ ครั้นเห็นว่าลำไยยังไม่ออกมาจึงจับเขานอนราบกับพื้น ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดกระดูกซี่โครงของเขาอย่างแรง หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาสิบกว่าครั้งก็ได้ยินเสียงดังอุ้ก ลำไยในคอขององค์ชายห้าหลุดออกมาได้ในที่สุด

ครั้นเห็นว่าแม้บุตรชายจะยังสลบอยู่ แต่ใบหน้าเขียวคล้ำกลับคืนสู่สีแดงเปล่งปลั่งดังเดิมแล้ว ลมหายใจที่ขาดห้วงก็กลับมาสม่ำเสมอ เสียนเฟยก็พลันขาอ่อนยวบ เกือบจะล้มฟุบลงไปกับพื้น บรรดานางกำนัลที่อยู่อีกด้านก็ร้องเรียกไม่หยุด พยุงนางขึ้นนั่งบนเก้าอี้คนละไม้คนละมือ

เมิ่งซังอวี๋พยุงองค์ชายห้าพร้อมกับนั่งยองๆ อยู่บนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่ อิ๋นชุ่ยและปี้สุ่ยเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะรับตัวองค์ชายห้าในอ้อมกอดของนางมา พยุงนางไปนั่งลงบนเก้าอี้

กู่เซ่าเจ๋อหยุดเห่าแล้วพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหนักหน่วง ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังเป็นเมิ่งซังอวี๋ที่พึ่งพาได้มากที่สุด แม้แต่ตัวของตัวเอง เสียนเฟยก็ยังดูแลไม่ได้ แล้วจะดูแลบุตรให้ดีได้เช่นไร!?

หมอหลวงมาถึงอย่างอืดอาดเชื่องช้า จากนั้นก็สั่งให้พวกนางกำนัลพาตัวองค์ชายห้าที่ยังสลบไสลไม่ฟื้นและเสียนเฟยที่มีลมหายใจแผ่วเบากลับวังเจี้ยงจื่อก่อนแล้วค่อยตรวจอาการ เมิ่งซังอวี๋ไม่วางใจ จึงรีบพาอาเป่าเดินตามไป นางสนมทั้งหลายก็ไม่สะดวกใจที่จะกลับไปก่อน จึงพากันเดินไปยังวังเจี้ยงจื่ออย่างเอิกเกริก

ภายในวังจงชุ่ย พอเสิ่นฮุ่ยหรูได้ข่าวก็เพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา มิได้มีความคิดที่จะรีบไปเยี่ยมเยียนแต่อย่างใด นางสนม องค์ชาย และองค์หญิงหมดทั้งวัง บัดนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของนางแม้แต่น้อย จะตายไปก็ดี จะมีชีวิตอยู่ก็ช่าง ล้วนขัดขวางนางไม่ได้ทั้งนั้น อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงของเล่นในกำมือที่นางจะบีบเล่นเมื่อไรก็ได้ แม้กระทั่งเมิ่งซังอวี๋ที่เคยเกลียดชังที่สุดก็มิอาจกระตุ้นระลอกคลื่นในใจนางได้อีกต่อไป เพราะนางได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่อีกฝ่ายยากจะใฝ่ฝันถึงมาตั้งนานแล้ว

 

ภายในวังเฟิ่งหลวน หลี่ซูจิ้งสั่งให้นางกำนัลที่มาแจ้งข่าวออกไป ถอนหายใจพลางกล่าว “คิดไม่ถึงว่าเต๋อเฟยจะยื่นมือเข้าช่วย น่าเสียดายจริงๆ ถ้าตายไปได้คงดียิ่งนัก!”

“เพราะไม่สามารถมีบุตรของตนได้ จึงใจอ่อนต่อบุตรของผู้อื่นเป็นพิเศษกระมัง เต๋อเฟยก็น่าสงสารเหมือนกันนะเพคะ” แม่นมคนสนิทของนางกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ เรื่องพรรค์นี้ถ้าหากเป็นคนอื่นคงไม่มีใครสนใจไยดี ไม่คาดคิดเลยว่าเต๋อเฟยผู้เลื่องชื่อด้านความเหี้ยมโหดกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

“อืม เต๋อเฟยไม่เคยลงมือกับเด็ก จุดนี้เราเองก็นับถือน้ำใจนางเช่นกัน ไปเถิด พวกเราไปดูอาการขององค์ชายห้าเสียหน่อย” หลี่ซูจิ้งเลือกของขวัญสองสามชิ้น พานางกำนัลทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังวังเจี้ยงจื่อ

 

ภายในวังเจี้ยงจื่อเวลานี้ เหล่านางสนมถูกพาไปรอในตำหนักปีกด้านข้าง เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่านั่งอยู่อีกด้านหนึ่งตามลำพัง หาได้เสวนากับสนมชายาทั้งหลาย นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางตำหนักกลางบ้างเป็นครั้งคราว สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไม่เหมือนกับพวกนางสนมที่แอบนินทากระซิบกระซาบ บางครั้งในดวงตาก็มีแววยิ้มเยาะชั่วร้ายแวบผ่าน

กู่เซ่าเจ๋อเองก็มองไปทางประตูใหญ่ของตำหนักกลางอย่างไม่วางตา รอหมอหลวงออกมารายงานอาการ อย่างไรเสียองค์ชายห้าก็เป็นบุตรชายของเขา เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจได้อย่างไร เห็นบุตรชายหน้าตาคล้ำเขียวไปต่อหน้าต่อตา จวนเจียนจะสิ้นลมหายใจ ความรู้สึกที่ไม่อาจทำอะไรได้และความรู้สึกเจ็บปวดปานใจจะขาดพรรค์นั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวใจ

แต่ยิ่งเป็นกังวลจิตใจของเขาก็ยิ่งอึมครึม สาเหตุมิใช่อื่นใด ต้องโทษที่ประสาทการได้ยินของเขาเฉียบไวเกินไป คำกระซิบกระซาบของเหล่านางสนมพวกนั้นจึงลอยเข้าหูอย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว อะไรเรียกว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเรื่อง’ อะไรเรียกว่า ‘เหตุใดถึงโชคดีปานนั้นได้’ อะไรเรียกว่า ‘แสดงละครเก่งจริงๆ’ สตรีสมควรตายเหล่านี้นี่!

จมูกของกู่เซ่าเจ๋อขยับฟุดฟิด เปล่งเสียงขู่คำรามดุร้ายออกมา ทันใดนั้นเหล่าสตรีตรงหน้าที่เคยรู้สึกว่าอ่อนหวาน น่ารัก และงามเฉิดฉันช่างน่าอัปลักษณ์และดุร้ายยิ่งนัก ชวนให้คนสะอิดสะเอียน

ในขณะที่กำลังรออยู่ นอกตำหนักก็มีเสียงรายงานดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ” นางสนมทั้งหลายรีบเก็บสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ทันที พร้อมใจพากันปั้นแต่งให้สีหน้าร้อนใจดั่งไฟลน ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักหนา การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วพร้อมเพรียงกันอย่างไม่น่าเชื่อ สีหน้าซีดเซียว หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นน้อยๆ ต่างคนต่างมีท่วงท่าอันงดงาม และมีลักษณะเฉพาะของตน ชวนให้คนสงสารเวทนา

ที่แท้ยามปกติพวกนางปฏิบัติต่อเราเช่นนี้เองหรือ กู่เซ่าเจ๋อเปล่งเสียงคร่ำครวญอย่างเศร้าโศกในลำคอ ในใจทรมานราวกับกินแมลงวันเข้าไป

“อาเป่าเป็นอะไรไป คนเยอะเกินไปเลยหวาดกลัวใช่หรือไม่ รอให้องค์ชายห้าปลอดภัยก่อนพวกเราก็กลับได้แล้ว อดทนอีกประเดี๋ยวนะ” พอได้ยินเสียงร้องครวญของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋ก็โน้มกายเข้าไปกระซิบเสียงเบาข้างหู จากนั้นก็จุมพิตจมูกน้อยๆ ที่ขยับฟุดฟิดของมัน

ความเดือดดาลที่พุ่งพรวดขึ้นในใจกู่เซ่าเจ๋อถูกจุมพิตนี้ขับไล่จนกระเจิงหายไปในพริบตา เขาส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นออดอ้อน เขาแปรเปลี่ยนจากการคล้อยตามเมิ่งซังอวี๋อย่างจำใจในตอนแรกเริ่มกลายเป็นเชื่อฟังนางอย่างเต็มอกเต็มใจในเวลาต่อมา กระทั่งตอนนี้ก็เอาอกเอาใจนางจากจิตใต้สำนึก กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อฝ่าบาทเสด็จเข้ามา เหล่านางสนมทั้งหลายก็คุกเข่าต้อนรับอยู่หน้าประตูวัง ระหว่างทางพระองค์ทรงได้ยินขันทีรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงอดรู้สึกประหลาดพระทัยกับความกล้าหาญ รู้จักแก้ไขสถานการณ์และไม่หวาดหวั่นของเมิ่งซังอวี๋ไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ใดบ้างไม่อยากหลีกหนีไปให้ไกลๆ แต่นางกลับกระโจนเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจบริสุทธิ์จริงๆ!

ฝ่าบาทส่ายพระพักตร์ ทว่าความชื่นชมและรักใคร่ในพระทัยที่มีแต่เมิ่งซังอวี๋กลับเพิ่มพูนมากขึ้น พระองค์มองหาเงาร่างของเมิ่งซังอวี๋อย่างไม่รู้ตัว แล้วทอดพระเนตรเห็นนางรั้งอยู่ด้านหลังเหล่านางสนม ในอ้อมแขนกอดสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้ ภาพนั้นช่างน่าขำขันไม่น้อย ในพระเนตรฮ่องเต้พลันกระเพื่อมไหวด้วยรอยยิ้ม

“ชายารักรีบลุกขึ้นเถิด บนพื้นเย็นมาก ซ้ำร่างกายของเจ้าก็กำลังอ่อนแอ ระวังจะป่วยไข้เอา วันนี้องค์ชายห้าสามารถรอดปลอดภัยมาได้ก็เป็นความชอบของเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปข้างกายเมิ่งซังอวี๋ ทรงประคองนางขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง

แววตาแฝงด้วยความรักใคร่อ่อนโยน วาจาห่วงหาอาทร และท่าทางปกป้องระมัดระวังของฮ่องเต้ตัวปลอมนี้ราวกับเป็นมือที่แทงเข้าสู่หัวใจของกู่เซ่าเจ๋ออย่างเหี้ยมโหด กระทั่งทำให้โลหิตสดๆ ของเขาไหลโซม เขาแยกเขี้ยวอย่างห้ามไม่อยู่ เริ่มต้นคำรามเสียงต่ำ

เมิ่งซังอวี๋ถือโอกาสลุกขึ้นยืน และอุดปากของอาเป่าไว้อย่างว่องไว ยิ้มอย่างประจบประแจงให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้แย้มพระสรวล แววอ่อนโยนในพระเนตรเข้มข้นยิ่งขึ้น บาดตาเหล่านางสนมทั้งหลาย เดิมทีพวกนางคิดว่าเต๋อเฟยหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่านางกลับฟื้นคืนมาได้ ทั้งยังใช้พวกเสียนเฟยแม่ลูกเป็นแท่นเหยียบ ช่างร้ายกาจเสียจริง!

แววตาของนางกำนัลซึ่งรับใช้อยู่ในตำหนักปีกข้างผู้หนึ่งหม่นแสงลง ค่อยๆ เดินอ้อมเข้าไปในตำหนักด้านในอย่างเงียบเชียบ แล้วรายงานสถานการณ์ต่อเสียนเฟยซึ่งมือเท้าอ่อนยวบเพราะได้รับความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง

เมื่อหลี่ซูจิ้งมาถึงตำหนักปีกข้างก็เห็นอากัปกิริยาของฮ่องเต้เข้าพอดี ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางจะต้องคิดว่าเต๋อเฟยขัดหูขัดตาเหมือนกับสนมชายาด้านข้างเหล่านั้นเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าเหลียงเฟยต่างหากที่เป็นคนร้ายตัวจริง นางจึงเพียงแค่ยิ้มเยาะ สนมชายาตำแหน่งสูงๆ หลายคนพอได้รับข่าวต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนถามไถ่ แต่ผู้ที่ฮ่องเต้ลำเอียงรักใคร่กลับนั่งนิ่งอยู่ในวังจงชุ่ย ไม่สนใจไยดี วางท่าสูงส่ง! ในเมื่อมีต้นทุนดีเช่นนี้ เหตุใจถึงไม่กล้าออกมาสู้กันสักตั้งเล่า จะหาผู้อื่นมารับดาบรับหอกแทนไปทำไมกัน!

ความคิดในใจยิ่งมาก็ยิ่งมืดมัว ทว่าสีหน้าของหลี่ซูจิ้งกลับทวีความอ่อนโยนยิ่งขึ้น เดินเยื้องย่างเข้ามาถวายบังคมฮ่องเต้ ฮ่องเต้ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากเสิ่นฮุ่ยหรูว่าให้ทำเมินเฉยใส่หลี่ซูจิ้งจึงเพียงแค่ประคองเมิ่งซังอวี๋มานั่งข้างพระองค์ รอผลตรวจวินิจฉัยจากหมอหลวงอย่างเงียบๆ หลี่ซูจิ้งรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก จึงฝืนแย้มยิ้ม จากนั้นก็เดินไปนั่งลงตำแหน่งข้างกายฮ่องเต้

ไม่นานนักนางกำนัลสองคนก็ประคองเสียนเฟยซึ่งมีใบหน้าซีดขาวและได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา พอเห็นฮ่องเต้นางก็รีบก้าวเท้าเร็วๆ สองก้าว ต่อให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงก็ยังอยากจะถวายบังคม

อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันแล้วหนึ่งคืน แถมเสียนเฟยก็เป็นหญิงงามที่หาตัวจับยาก ใบหน้ายามซีดเซียวยิ่งเสริมท่วงท่าอ่อนแอขึ้นหลายส่วน พาให้ในใจบังเกิดความเวทนา ฮ่องเต้ทรงรีบดึงตัวนางขึ้น รวบเข้าสู่อ้อมกอดพลางลูบปลอบ

เสียนเฟยพลันแสบจมูก ร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า สะอึกสะอื้นพลางกล่าว “ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันตกใจกลัวแทบแย่ หม่อมฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นองค์ชายห้าอีกแล้วเพคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นหม่อมฉันจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร…”

ฮ่องเต้รวบกอดนางแน่นยิ่งขึ้น เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่หยุด

นางสนมในตำหนัก นอกจากเมิ่งซังอวี๋กับหลี่ซูจิ้งแล้ว ทุกคนล้วนใช้สายตาทั้งริษยาทั้งเกลียดชังมองคนทั้งสองที่กำลังโอบกอดกันแนบชิด อยากจะเปลี่ยนตัวกับเสียนเฟยใจจะขาด

เมิ่งซังอวี๋เบะปาก ทว่ายังคงก้มหน้าลูบปลอบอาเป่าที่กำลังหงุดหงิดเศร้าซึม ส่วนหลี่ซูจิ้งยื่นมือไปหยิบจอกชาขึ้นจิบอย่างเนิบช้า ใช้สายตาเรียบเฉยมองคนทั้งสองตรงหน้าราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่ง

กู่เซ่าเจ๋อจ้องคนทั้งสองที่ใกล้จะรวมกันเป็นร่างเดียวตาเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วเบนสายตาหนีอย่างเฉยเมย สุภาษิตพื้นบ้านพูดว่าอย่างไรนะ ฝนฟ้าจะตก หญิงสาวจะออกเรือน ช่างมันเถิด! ถึงแม้วาจานี้จะหยาบกระด้าง แต่ก็อธิบายความรู้สึกของเขาในยามนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากมองดูอยู่เฉยๆ แล้ว เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า

เสียนเฟยร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ ทว่าใบหน้าที่บรรจงแต่งอย่างประณีตกลับไม่เลอะเลยแม้แต่นิดเดียว กลับดูงดงามยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับสภาพยามอยู่ในอุทยานหลวงนั้นแทบจะกลายเป็นคนละคน ตอนนั้นถึงจะเป็นความเสียใจอย่างแท้จริง แต่สภาพในตอนนี้กลับเป็นแค่การแสดงละคร

บุตรชายยังนอนให้หมอหลวงตรวจชีพจรอยู่ด้านใน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด แต่นางกลับมีแก่ใจมาร้องขอความรักความเมตตา สตรีผู้นี้ช่างกู่เซ่าเจ๋อส่ายหน้า ลอบปลงในใจ อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเมิ่งซังอวี๋ นางคงจะเฝ้าอยู่ข้างเตียงบุตรไม่ยอมห่างแม้แต่ครึ่งก้าว แม้เขาจะไปหาก็คงไม่ออกมารับเสด็จ ไม่สามารถแบ่งความสนใจของนางไปได้แม้แต่นิดเดียว

ในตอนนี้เอง ผู้ติดตามประจำกายหมอหลวงก็ได้ถือใบจ่ายยาแผ่นหนึ่งออกมา เดินเข้าไปถวายบังคมฮ่องเต้ จากนั้นก็รีบร้อนไปยังสำนักแพทย์หลวงเพื่อจัดยาต้มยา ฮ่องเต้รีบพาเสียนเฟยเข้าไปเยี่ยมองค์ชายห้าด้วยกัน นางสนมทั้งหลายรอให้หลี่ซูจิ้งและเมิ่งซังอวี๋ลุกขึ้นเดินไปก่อนแล้วจึงเดินเป็นแถวตามไป

องค์ชายห้านอนอยู่บนตั่งเตียง หางตาคลอด้วยหยาดน้ำตา หลังจากมองเห็นฮ่องเต้ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น พูดอึกๆ อักๆ เรียกเสด็จพ่อ ทั้งยังกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาถวายบังคม

ฮ่องเต้ทรงกดเขาลงกับเตียงแล้วคลุมผ้าห่มให้ กุมมือเขาพลางตรัสปลอบด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน เสียนเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างตั่งเตียง รวบศีรษะน้อยๆ ของเขาเข้าสู่อ้อมอก ทั้งสามพูดคุยเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนครอบครัวปกติของสามัญชน ภาพอันอบอุ่นหวานชื่นนั้นกระตุ้นให้เหล่านางสนมอิจฉาตาร้อนขึ้นหลายส่วน

หมอหลวงคุกเข่าอยู่ข้างพระบาทฮ่องเต้ บรรยายอาการอย่างช้าๆ ใจความสำคัญคือเป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือทันเวลาและถูกวิธี จึงมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ เพียงแต่องค์ชายห้าได้รับความตื่นตระหนกเล็กน้อยเท่านั้น แค่พักรักษาตัวให้ดีสักสองสามวันก็จะหาย

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย มองไปทางเมิ่งซังอวี๋ด้วยแววพระเนตรอ่อนโยนสุดแสน แล้วตรัสกับองค์ชายห้าว่า “ลูกเอ๋ย ครานี้เจ้าปลอดภัยรอดพ้นจากอันตรายมาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเสด็จแม่เต๋อเฟยช่วยเหลือได้ทันท่วงที ยังไม่รีบขอบพระทัยเสด็จแม่เต๋อเฟยของเจ้าอีก?”

เมิ่งซังอวี๋ผลิยิ้มน้อยๆ ขณะกำลังคิดจะโบกมือปฏิเสธ องค์ชายห้ากลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แล้วมุดเข้าสู่อ้อมอกของเสียนเฟย ตะโกนเสียงแหลม “ไม่เอา ล้วนเป็นเพราะนางข้าถึงได้สำลักติดคอ! นางเปื้อนไออัปมงคล เป็นตัวซวย! หากมิใช่เพราะนางแช่งลูก ลูกก็คงไม่เป็นแบบนี้ นางเป็นคนเลว!”

นี่คือคำพูดที่เด็กสี่ห้าขวบสามารถพูดออกมาได้เองอย่างนั้นหรือ เขารู้ว่าไออัปมงคลคืออะไร? รู้ว่าตัวซวยคืออะไร? เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจสั่งสอน มิหนำซ้ำต่อให้เด็กน้อยตัวเท่านั้นพูดจาน่าเกลียดแค่ไหนแล้วจะทำอะไรได้เล่า ดุด่าหรือตบตี? นอกจากยอมรับแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก ระยะนี้ฝ่าบาททรงได้ยินคนพูดว่าไออัปมงคลจนทำให้หงุดหงิดรำคาญพระทัย ครั้นได้ยินวาจาขององค์ชายห้า ต่อให้ยามนี้มิได้คิดมาก แต่หลังจากกลับไปแล้วก็คงจะบังเกิดความรังเกียจขึ้นในพระทัย จากนั้นก็เพิกเฉยไม่สนใจนาง วังหลวงแห่งนี้ช่างสกปรกเหลือเกิน ช่วงชิงไปแม้แต่ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กน้อย

เมิ่งซังอวี๋ลอบทอดถอนใจในใจ ทว่ารอยยิ้มจางๆ ยังคงอยู่บนใบหน้าดังเดิม นางไม่สนใจความรักความโปรดปรานของฮ่องเต้อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคนตรงหน้านี้ก็ยังเป็นตัวปลอมอีกต่างหาก นางยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่

“ดูท่าองค์ชายห้าคงได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไปจริงๆ วาจาบางคำหม่อมฉันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หม่อมฉันกลับก่อนจะดีกว่าเพคะ จะได้ไม่กระทบกระเทือนองค์ชายห้า” เมิ่งซังอวี๋หุ้มตัวอาเป่าที่กำลังฉุนเฉียวเอาไว้ จากนั้นก็คารวะฮ่องเต้พร้อมกับทูลขอตัวลา

ฮ่องเต้จนพระทัย ได้แต่โบกพระหัตถ์ให้นางกลับไปได้

บทที่สิบห้า

เหลียงเฟยถวายการรับใช้

เพิ่งจะเดินออกจากตำหนักใหญ่ ลมหนาวสายหนึ่งก็พัดเข้ามาปะทะหน้า ทำให้เมิ่งซังอวี๋หนาวจนตัวสั่นระริก นางรีบใช้มือบังหน้าอาเป่า สกัดกั้นลมหนาวให้แก่มัน

กู่เซ่าเจ๋อที่กำลังเดือดดาลไม่หยุดสงบลงในทันที อารมณ์ความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายค่อยๆ คลายลงเป็นปกติทีละน้อยๆ เมิ่งซังอวี๋ไม่ใส่ใจ แล้วเขาจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม ก็แค่หญิงสาวเนรคุณผู้หนึ่ง ไม่ควรค่าให้เขาใส่ใจถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ สงสารก็แต่องค์ชายห้าของเขาเท่านั้น ป่วยอยู่แต่ก็ยังถูกมารดาใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ หากวันหลังนิสัยผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจะทำอย่างไร

ยามนี้เขาคิดถึงวาจาที่เมิ่งซังอวี๋เคยพูดเอาไว้ว่า ‘ไร้รักก็ไร้ความเกลียดชัง หากต้องสิ้นเปลืองความรู้สึก ทนทุกข์ทรมาน…มิสู้รักตัวเองให้มากๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียยังจะดีกว่า’ ในวังหลวงแห่งนี้ แม้แต่เด็กสี่ห้าขวบก็ยังสามารถแทงดาบใส่ผู้อื่นได้ ถ้าต้องคิดเล็กคิดน้อยกับทุกๆ เรื่อง เขาคงไม่อาจมีชีวิตอย่างสงบได้จริงๆ

หัวใจค่อยๆ ขมวดแน่น ความเจ็บปวดรุนแรงไม่ขาดสายทำให้กู่เซ่าเจ๋อทนไม่ไหวร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ตรม เมิ่งซังอวี๋ผิดหวังกับจิตใจของมนุษย์มามากมายเพียงใดกันหนอถึงได้ตระหนักรู้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ในตอนที่เขาไม่เห็น นางได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเพียงไร เขาก็ไม่กล้าไปคิดถึงแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ ออกมาแล้ว อาเป่าไม่ต้องกลัวนะ! พวกเราใกล้จะถึงตำหนักแล้ว” เมิ่งซังอวี๋เกาคางของอาเป่าที่กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข

กู่เซ่าเจ๋อเจ็บปวดหัวใจเพราะนางมากขึ้น เมื่อเห็นนางมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สา เขาก็โมโหเป็นอย่างมาก แยกเขี้ยวงับนิ้วมือเย็นเฉียบของนาง ทว่าไม่กล้าออกแรงมาก เพียงใช้ฟันขบกัดสองสามทีคล้ายกับระบายความโกรธ

“น้องเต๋อเฟยช้าก่อน” เสียงอันอ่อนหวานสายหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง ตัดบทเจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองที่กำลังอยู่ในห้วงเวลาอันหวานชื่น

เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือหลี่ซูจิ้ง เมิ่งซังอวี๋ก็ย่อเข่าคารวะ

“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่ซูจิ้งเดินเข้ามาดึงแขนนางไว้ ท่าทีชิดเชื้อสนิทสนม เอ่ยเสียงแผ่วเบา “วันนี้น้องมุทะลุเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเสียนเฟยเป็นคนเนรคุณก็ยังยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องของนาง ทำให้ตอนนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไม่ได้คำขอบคุณ ซ้ำยังถูกใส่ร้าย”

“นางก็พูดของนาง หม่อมฉันก็ช่วยของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอแค่ไม่รู้สึกผิดบาปในใจก็พอแล้วเพคะ” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มจางๆ ท่าทีมองโลกในแง่ดียิ่ง

ในดวงตาของหลี่ซูจิ้งมีประกายชื่นชมวูบผ่านอย่างรวดเร็ว มีกลอุบาย มีเล่ห์เหลี่ยม ทว่ายังไม่ไร้สิ้นมโนธรรม รักษาหลักการของความเป็นมนุษย์ ในวังหลวงแห่งนี้มีคนเช่นนี้ไม่มากนัก แต่เพราะเหตุนี้หากร่วมมือกับเต๋อเฟย นางถึงจะวางใจได้

พอคิดถึงตรงนี้นางก็ลองถามหยั่งเชิงดูว่า “หรือน้องคิดที่จะอยู่เช่นนี้ไปชั่วชีวิต? รู้หรือไม่ว่าหากไม่มีบุตร ไม่ได้รับความโปรดปราน ก็จะใช้ชีวิตในวังหลวงแห่งนี้ได้ยากลำบากยิ่งนัก มิสู้เจ้ามาร่วมมือกับข้า พอข้าได้สมปรารถนาแล้วก็จะช่วยหาเด็กมาให้เจ้าเลี้ยงไว้ข้างกายสักคนเป็นอย่างไร”

กู่เซ่าเจ๋อแยกเขี้ยว ลอบคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดซังอวี๋ต้องไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าด้วย นางอยากจะมีลูกมากมายเพียงใด ต่อไปเราก็จะให้นางเอง เป็นบุตรที่เป็นของพวกเราสองคนอย่างแท้จริง!

“ความหวังดีของหลี่กุ้ยเฟยหม่อมฉันขอน้อมรับไว้ด้วยใจ ทว่าหม่อมฉันท้อแท้หมดกำลังใจแล้วเพคะ ไม่มีจิตใจคิดจะต่อสู้แย่งชิงแล้วจริงๆ ตอนนี้แค่อยากใช้ชีวิตในวังปี้เซียวอย่างสงบสุขไปเรื่อยๆ เพียงเท่านั้น” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มพลางโบกมือ

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ช่างเถิด แต่ถ้าหากเจ้าเปลี่ยนใจหรือว่าต้องการสิ่งใด ขอแค่ส่งคนมาหาข้าก็พอ” ในดวงตาของหลี่ซูจิ้งเผยแววสงสารเวทนาออกมาหลายส่วน กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“หม่อมฉันขอบพระทัยหลี่กุ้ยเฟยมากเพคะ หม่อมฉันเองก็ขอเสียมารยาทแนะนำพระองค์คำหนึ่ง ไม่แย่งชิงคือการแย่งชิง” เมื่อเห็นนางนับว่ามีความจริงใจต่อตนอยู่ไม่น้อย เมิ่งซังอวี๋จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเพิ่มเติม

“ไม่แย่งชิงคือการแย่งชิง? ฮึ อยู่ในตำแหน่งเช่นข้า มีดวงตามากมายคอยจับจ้อง มีมือมากมายคอยผลักอยู่ด้านหลัง หากข้าไม่แย่งชิง จุดจบคง…” หลี่ซูจิ้งเก็บงำคำพูดสุดท้ายไว้มิได้เอ่ยออกมา จากนั้นก็ส่ายศีรษะพร้อมกับเดินจากไป

เมิ่งซังอวี๋และกู่เซ่าเจ๋อมองตามแผ่นหลังบอบบางทว่าแน่วแน่ของนางอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

 

เมื่อกลับมาถึงวังปี้เซียว กินอาหารนิดๆ หน่อยๆ แล้วล้างหน้าหวีผม เมิ่งซังอวี๋ก็อุ้มอาเป่าไปซุกตัวนอนบนเตียงตั่งอ่อนนุ่ม นอนกลางวันอย่างสุขสบาย

กระทั่งเจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองตื่นขึ้นมาก็เป็นยามเซิน แล้ว ไม่นานก็จะถึงเวลาอาหารค่ำ พอมีคนอยู่ข้างกายวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

เมิ่งซังอวี๋เดินเหยียบส้นรองเท้าผ้าปัก ปล่อยเส้นผมแผ่สยาย อุ้มอาเป่าเดินไปยังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วนั่งลง ให้ปี้สุ่ยและอิ๋นชุ่ยช่วยแต่งหน้าและหวีผม นางจับเส้นผมปอยหนึ่งมาพันไว้ที่ปลายนิ้ว แล้วใช้ปลายผมเกาจมูกอาเป่าเล่นอย่างนึกสนุก พอเห็นมันจามติดๆ กันหลายครั้ง เท้าน้อยๆ ยกขึ้นหมายจะแย่งเส้นผมไปทว่าก็ช้าไปหนึ่งก้าวทุกครา นางก็หัวเราะคิกคักไม่หยุด

กู่เซ่าเจ๋อมองใบหน้าแย้มยิ้มอันงามล้ำตราตรึงอย่างทึ่มทื่อ ลืมเคลื่อนไหว เดิมทีก็แค่อยากเล่นเป็นเพื่อนนาง ขอแค่นางมีความสุขเขาก็รู้สึกพอใจหาใดเปรียบแล้ว

ครั้นเห็นอาเป่านิ่งไปไม่ขยับ เมิ่งซังอวี๋ก็คิดว่ามันโกรธเสียแล้ว จึงยิ้มแหยๆ แล้วจับปอยผมยัดเข้าสู่อ้อมกอดของมัน อาเป่ารีบรวบปอยผมไว้ทันที จมูกน้อยๆ สูดดมกลิ่นหอมบนเส้นผมฟุดฟิด สีหน้าตั้งใจจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าต้องการสลักกลิ่นหอมของผู้เป็นนายลงไปในกระดูก

เมิ่งซังอวี๋ยิ้มอ่อนโยน ตบศีรษะน้อยๆ ของมันเบาๆ พลางกล่าว “อาเป่า จำกลิ่นของข้าเอาไว้นะ ต่อไปหากพวกเราพลัดพรากจากกัน เจ้าก็อาศัยกลิ่นนี้ตามหาข้านะ”

เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าพลัดพรากจากไป! พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร์! กู่เซ่าเจ๋อเห่าโฮ่งๆ แต่น่าเสียดายที่วาจาของเขาไม่มีผู้ใดฟังเข้าใจ

แม่นมเฝิงเดินยกชาเข้ามาด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมื่อวางจอกชาลงข้างมือของผู้เป็นนายก็อ้าปากพะงาบๆ อยากจะเอ่ยวาจาแต่ก็มิได้พูดอะไรออกมา

“แม่นม เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เมิ่งซังอวี๋ดื่มชาอึกหนึ่ง ก่อนจะขยับจอกชาเข้าไปข้างปากของอาเป่า ให้มันเลียกิน จากนั้นก็เอ่ยถามเนิบนาบ

“เต๋อเฟยเพคะ ข้างนอกลือกันให้ทั่วว่าวังปี้เซียวก็คือต้นเหตุแห่งความอัปมงคลที่ทำให้ต้นสนพันปีเฉาตาย พระองค์แปดเปื้อนเคราะห์ร้ายมากมายจนกลายเป็นตัวอัปมงคล ไม่เพียงแต่พระองค์เองที่ประชวรหนัก ยังเกือบจะทำให้องค์ชายห้าและเสียนเฟยถึงแก่ความตาย หากพระองค์ตรัสวาจาออกมา ถ้าเป็นเรื่องดีจะไม่เกิดผล แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายก็จะเป็นจริงทั้งหมด” แม่นมเฝิงเล่าข่าวลือจากข้างนอกให้ฟังด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“ลืมบุญคุณ ตลบหลังเล่นงาน สมกับเป็นวิธีเดิมๆ ของเสียนเฟยจริงๆ ตลอดทั้งบ่ายนี้ข่าวลือคงจะแพร่ไปทั่วแล้ว สนมชายาคนอื่นๆ ก็ขยันขันแข็งกันเสียจริง” เมิ่งซังอวี๋ยิ้มเย้ยหยัน

สตรีสมควรตายผู้นี้! กู่เซ่าเจ๋อหรี่ตาลงน้อยๆ สายตาเยียบเย็น

“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นพระองค์ก็ไม่ควรยุ่งเรื่ององค์ชายห้าเลยนะเพคะ ปล่อยให้เสียนเฟยเสียที่พึ่ง ดูซิว่านางจะยังกล้ากำเริบเสิบสานอีกหรือไม่!” แม่นมเฝิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ข้าจะมองดูเด็กตัวน้อยแค่นั้นตายไปต่อหน้าต่อตาข้าได้อย่างไร ในเมื่อช่วยได้ก็ต้องช่วย ที่ข้าช่วยเขาเอาไว้ก็แค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย แค่ให้ตัวข้าไม่ละอายแก่ใจ ไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นสำนึกบุญคุณและตอบแทน เสียนเฟยอยากจะพูดก็ปล่อยให้นางพูดไปเถิด นี่ช่วยข้าได้มากทีเดียว ในเมื่อเป็นตัวอัปมงคล เช่นนั้นย่อมไม่อาจไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นได้ตามใจชอบ ช่วงนี้พวกเราก็ปิดประตูวังฝึกฝนร่างกาย ทำจิตใจให้สงบกันเถิด เรื่องกวนใจข้างนอกก็ไม่ต้องเข้าไปข้องแวะ รอข่าวคราวจากท่านพ่ออย่างสบายใจ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงฟื้นแล้วก็เป็นได้”

เมิ่งซังอวี๋มีสีหน้าผ่อนคลายสำราญใจ นางกำลังคิดอยากจะหลบทางลม เสียนเฟยก็หาข้ออ้างอันยอดเยี่ยมมาให้พอดี

เมื่อนึกดู แม่นมเฝิงก็เห็นว่าถูกต้อง สีหน้าหมองหม่นจึงกลับสู่ปกติในทันใด

กู่เซ่าเจ๋อเลียปลายนิ้วขาวผ่องของเมิ่งซังอวี๋ รู้สึกเลื่อมใสในความมองโลกในแง่ดีของนาง ทั่วทั้งร่างนางเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างอันอบอุ่น เป็นพลังที่ชวนให้คนฮึกเหิม เรื่องสกปรกโสมมเพียงใดก็ไม่อาจทำให้นางแปดเปื้อนแม้แต่ปลายเล็บ ขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายนาง ทุกช่วงเวลาล้วนมีคุณค่ามีความสุข การที่เขาได้มาพบกับนางหลังจากวิญญาณติดอยู่ในร่างสุนัขเป็นความเมตตาสูงสุดที่สวรรค์มีต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย เมิ่งซังอวี๋ก็ซุกตัวอยู่บนตั่งนุ่มริมหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน จากนั้นจึงหยิบกรรไกรอันเล็กเล่มหนึ่งออกมาตัดแต่งต้นสนกระถาง ต้นสนนี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นพุ่มดกหนายิ่ง จำเป็นต้องผ่านการตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอถึงจะเผยกิ่งก้านที่แข็งแกร่งออกมาให้เห็น กู่เซ่าเจ๋อซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ คาบเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่นางตัดทิ้งไว้ในปาก จากนั้นก็โยนใส่ถาดซึ่งอยู่อีกด้าน

เจ้านายและสัตว์เลี้ยงคู่นี้เจ้าตัดข้าทิ้ง ทำงานประสานกันได้อย่างรู้อกรู้ใจยิ่ง ไม่นานนักต้นสนอันดกหนาก็ค่อยๆ ปรากฏด้านที่เรียบง่ายทว่างดงามออกมา

“เป็นอย่างไรบ้าง งามหรือไม่” ประเมินซ้ายประเมินขวาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเมิ่งซังอวี๋ก็มองไปทางอาเป่าซึ่งอยู่ข้างๆ สอบถามความเห็นของมัน

งามยิ่ง! ฝีมือโดดเด่นมีเอกลักษณ์ กู่เซ่าเจ๋อไม่ตระหนี่คำชมเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่พูดออกมายังคงเป็นเสียงเห่าโฮ่งๆ เหมือนเดิม

ทว่าเมิ่งซังอวี๋กลับเข้าใจ นางหัวเราะพลางตบหัวของมันเบาๆ “ขอบใจที่ชม”

“เต๋อเฟย พระองค์ทรงฟังภาษาสุนัขรู้เรื่องหรือเพคะ” ปี้สุ่ยอ้าปากพะงาบๆ ทนไม่ไหวต้องถามออกมาในที่สุด ในใจนาง ผู้เป็นนายไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หากจะฟังภาษาสุนัขรู้เรื่องก็มิใช่เรื่องแปลก

“ฮ่าๆๆ” เมิ่งซังอวี๋ซึ่งอุ้มอาเป่าที่กำลังร้องหงิงๆ เอ๋งๆ หัวเราะจนโน้มตัวลงไปบนตั่งนุ่ม สาวใช้ผู้นี้ช่างน่ารักเหลือเกิน!

อิ๋นชุ่ยและแม่นมเฝิงก็หัวเราะตามขึ้นมาเช่นกัน ในวังปี้เซียวเปี่ยมล้นไปด้วยบรรยากาศอันสนุกสนาน ไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวลือเลยแม้แต่น้อย

ทว่ากลับมีคนอยากจะทำลายบรรยากาศอันงดงามนี้ เสียงรายงานของขันทีพลันดังขึ้นจากนอกตำหนัก เป็นฉางสี่ที่นำบำเหน็จรางวัลจากฮ่องเต้มาให้

ในบรรดาของบำเหน็จรางวัลมีทั้งตัวยาล้ำค่าและเพชรนิลจินดา แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็คือพระคัมภีร์เล่มหนากองใหญ่ ฉางสี่มอบพระคัมภีร์ให้แก่เมิ่งซังอวี๋ที่กำลังคุกเข่าน้อมรับพระราชโองการด้วยมือตัวเอง กำชับว่านางต้องตั้งใจคัดลอกเพื่อขับไล่ไออัปมงคลออกไปโดยเร็ว

“ดีเสียจริง โดนกักบริเวณอีกแล้ว” เมิ่งซังอวี๋ตบกองพระคัมภีร์ จะฟังอย่างไรน้ำเสียงก็ดูพออกพอใจ

พวกแม่นมเฝิงเองก็ยิ้มพลางคล้อยตาม มีท่าทางยินดีปรีดา

กู่เซ่าเจ๋อทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาให้กับเหล่านายบ่าวที่มีนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนใครพวกนี้ ในดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรทำ เมิ่งซังอวี๋อุ้มอาเป่าเข้าสู่อ้อมกอด หยิบ ‘พระมหาปิฎก’ เล่มหนึ่งออกมาแล้วค่อยๆ ท่องให้มันฟัง น้ำเสียงของหญิงสาวแผ่วเบานุ่มนวล ผสานเข้ากับท่วงทำนองสูงต่ำของคำอ่านภาษาสันสกฤต ช่างชวนให้ลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าบทเพลงที่ไพเราะที่สุดบนโลกใบนี้เสียอีก กู่เซ่าเจ๋อเกาะเกี่ยวเท้าหน้าไว้บนข้อมือของนาง แหงนหน้ามองดวงหน้ายามตวัดพู่กันอันงดงามราวกับภาพวาดอย่างเหม่อลอย ในดวงตาปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่เรียกว่าความหลงใหล

หากไร้ความหวังที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมจริงๆ การได้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของนางไปตลอดชีวิตก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้สำหรับฮ่องเต้ผู้หนึ่งแล้ว ความคิดซึ่งปรากฏออกมาเพียงชั่วแวบนี้จะเหลวไหลอย่างยิ่ง แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นแล้วและไม่อาจยับยั้งควบคุมได้

 

ภายในวังจงชุ่ย เสิ่นฮุ่ยหรูปล่อยผมยาวสยาย นั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งไม่ขยับเขยื้อนด้วยสีหน้าซีดขาว ทันใดนั้นนางพลันกวาดตลับเครื่องประทินโฉมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทำให้พวกมันร่วงหล่นกระจัดกระจาย เสียงปึงปังดังสนั่นทำให้หว่านชิงซึ่งอยู่ข้างกายนางตกใจจนสะดุ้งเฮือก

“เหลียงเฟย มาถึงขั้นนี้พระองค์ทรงต้องไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว ลองคิดถึงอนาคตของสกุลเสิ่น คิดถึงเกียรติยศสูงสุดของพระองค์ในภายภาคหน้าสิเพคะ ทุกอย่างที่เสียสละไปในตอนนี้ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น ต่อไปหากพระองค์ทรงทำสำเร็จย่อมคุ้มค่ากับสิ่งที่ทำมาทั้งหมดในตอนนี้ได้นะเพคะ” หว่านชิงเอ่ยปลอบเสียงเบา

เสิ่นฮุ่ยหรูแหงนหน้าขึ้น ใช้มือปิดใบหน้า ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้หรือครุ่นคิด ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงวางมือลง เผยให้เห็นขอบตาแดงเรื่อ นางเอ่ยกับหว่านชิงด้วยเสียงต่ำลึก “แต่งหน้าให้ข้าที ใกล้จะถึงเวลารับเสด็จแล้ว”

“เพคะ!” หว่านชิงพลันคึกคักมีชีวิตชีวา ก้มเก็บตลับเครื่องประทินโฉมที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างว่องไว แล้วค่อยๆ บรรจงแต่งหน้าให้ผู้เป็นนายอย่างประณีตงดงาม ต่อให้นางรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นตัวปลอม แต่คนทั้งวังกำลังจับตาดูอยู่ จึงไม่สามารถทำอย่างขอไปทีได้

เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึงและทอดพระเนตรเห็นเสิ่นฮุ่ยหรูซึ่งยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ ในใจพระองค์กลับมิได้มีความรู้สึกประทับใจหรือสิเน่หาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีผู้ใดรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นี้ดีกว่าพระองค์ ให้ค้างคืนกับสตรีที่มีจิตใจดั่งอสรพิษเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงสงสัยเหลือเกินว่าจะมีอารมณ์ร่วมหรือไม่

เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก เสิ่นฮุ่ยหรูก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลื้องอาภรณ์บนร่างออกทีละชิ้นๆ ทันที ยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นต่ำลึก “เร็วเข้า อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”

เมื่อได้เห็นเรือนกายขาวผุดผ่องและแววตาสูงส่งแฝงแววดูถูกเหยียดหยาม ฮ่องเต้ตัวปลอมก็ไม่รู้ว่าความคิดชั่วร้ายโผล่มาจากไหน ร่างกายท่อนล่างซึ่งแต่เดิมไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เริ่มแข็งขืน สตรีผู้นี้ยโสโอหังมากมิใช่หรือ จะพลิกกายไปมาปรนนิบัติอยู่ใต้ร่างข้าหรือไม่หนอ

“เหลียงเฟยโปรดหันกลับไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้ามองพระพักตร์พระองค์ตรงๆ ยามที่ทำเรื่องล่วงเกินเช่นนั้น” ฮ่องเต้คุกเข่าพลางตอบ ท่าทีดูเหมือนต้อยต่ำ แต่จริงๆ แล้วไม่อยากมองใบหน้าที่น่าสะอิดสะเอียนของนาง

เสิ่นฮุ่ยหรูผงะอึ้งไป แต่ก็ยังหันไปตามที่ฮ่องเต้ตรัสบอก ถึงแม้ใบหน้าของคนผู้นี้จะเหมือนกับกู่เซ่าเจ๋อฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในใจนางรู้ดีว่าเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อมองใบหน้านี้พร้อมกับเสพสมกับเขา ความรู้สึกผิดในใจของนางก็จะทวีความหนักหนายิ่งขึ้น

ฮ่องเต้ทรงถอดชุดคลุมมังกรออกอย่างรวดเร็ว เสด็จไปหาเสิ่นฮุ่ยหรูและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ไม่มีการเล้าโลมแม้แต่น้อย แม้นางจะส่งเสียงร้องฮึดฮัด แต่มิได้ต่อว่าอันใด เห็นได้ชัดว่านางเองก็อยากจะทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว ฮ่องเต้ทรงกระตุกมุมพระโอษฐ์น้อยๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น

พอคิดได้ว่าชีวิตของตนอยู่ในมือของสตรีใต้ร่าง นึกถึงตอนที่ถูกบีบบังคับและถูกนางหลอกใช้ พระหัตถ์ทั้งสองของฮ่องเต้ก็เกี่ยวเอวบางเอาไว้ เคลื่อนไหวรุนแรงดุดันขึ้นทุกครา ท่ามกลางความสุขสันต์ที่มาถึง ท่ามกลางความเคียดแค้นซึ่งถูกระบายออกมา ความปรารถนาก็ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด

เสิ่นฮุ่ยหรูกัดฟันเอาไว้ตลอดเวลา เอาแต่ภาวนาให้ทุกอย่างเร็วขึ้นอีก นางมิได้รู้สึกถึงความสุขสมเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่มีคือความอัปยศอดสูที่อัดแน่นเต็มหัวใจและความคลื่นเหียนที่ถาโถมขึ้นมาในลำคอไม่หยุด ยามที่อีกฝ่ายร้องครางขณะถึงจุดสูงสุด หยาดน้ำตาอุ่นร้อนก็พลันหยดไหลกลิ้งออกมาจากดวงตาของนาง ร่วงหล่นลงบนพรมขนแพะอันหนานุ่มและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋กับอาเป่ากำลังนั่งกินข้าวโดยหันหน้าเข้าหากัน

อาเป่ายังคงกินโจ๊กอยู่ แต่อาหารที่ปรุงอ่อนๆ ก็สามารถกินได้แล้ว บางครั้งเมิ่งซังอวี๋ก็จะตักอาหารที่ย่อยได้ง่ายเช่นไข่ตุ๋น เต้าหู้ หรือหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ไว้ในชามโจ๊กของมัน อาเป่าเองก็ใช้เท้าหน้าดันจานอาหารที่นางชื่นชอบไปไว้ตรงหน้านาง เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองผลัดกันดันไปตักมา บรรยากาศชื่นมื่นยิ่งนัก

“เต๋อเฟย ได้ข่าวว่าเมื่อครู่เหลียงเฟยได้ถวายการรับใช้แล้วเพคะ” แม่นมเฝิงเดินเข้ามา ขยับเข้าไปตรงหน้านางพร้อมกับรายงาน

กู่เซ่าเจ๋อหยุดเลียอาหาร มองชามโจ๊กตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่

“ในที่สุดนางก็ทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ดูท่าความผูกพันที่นางมีต่อฝ่าบาทก็มีเพียงเท่านี้ ได้รับความโปรดปราน ตั้งครรภ์ เลื่อนเป็นฮองเฮา บุตรชายได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทั้งหมดกินเวลาไม่เกินห้าปี รอให้สกุลเสิ่นรวบอำนาจได้สำเร็จ ฮ่องเต้ก็จะสวรรคต รัชทายาทก็จะขึ้นครองราชย์อย่างชอบธรรม ราชครูเสิ่นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ไทเฮาทรงว่าราชการอยู่หลังม่าน ผ่านไปอีกสองสามปี รอให้อำนาจบารมีของสกุลเสิ่นหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง บางทีแม้แต่ฮ่องเต้หุ่นเชิดก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป แผ่นดินของสกุลกู่ก็จะเปลี่ยนเป็นของสกุลเสิ่นอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่บัดนั้น…ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!” เมิ่งซังอวี๋วางตะเกียบลง ถอนหายใจยาวอย่างช้าๆ

เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! กู่เซ่าเจ๋อเองก็ทอดถอนใจด้วยเช่นกัน เขายืนตัวแข็งอยู่บนโต๊ะ รอให้ความเจ็บปวดในใจค่อยๆ จางหายไปอย่างเงียบๆ เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากผ่านเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจมากมายเหล่านั้นมา หัวใจของเขาคงจะด้านชาไปแล้ว แต่อย่างไรเสียเสิ่นฮุ่ยหรูก็เป็นหญิงสาวที่เขาเคยรักใคร่ทะนุถนอมมายาวนานหลายปี เป็นหญิงสาวที่เดินร่วมทางกับเขามาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ไม่อาจบอกให้ลืมก็ลืมได้ทันที

แต่ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บปวดใจเพราะเจ้า! นับจากนี้ไปเราสองคนต่างเดินคนละเส้นทาง หากพบหน้ากันอีกคราจะต้องหันคมดาบเข้าห้ำหั่นกันอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นเจ้าอย่ามาโทษเราก็แล้วกัน

พอตัดสัมพันธ์ที่มีต่อเสิ่นฮุ่ยหรูอย่างเงียบๆ กู่เซ่าเจ๋อก็คาบเนื้อชิ้นหนึ่งที่เมิ่งซังอวี๋คีบใส่ชามขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อครู่นี้ของเขา

 

หลังจากเหลียงเฟยถวายการปรนนิบัติ ฮ่องเต้ก็ทรงคล้ายกับพบข้อดีของนาง จึงทรงให้แขวนป้ายของนางหลายวันติดต่อกัน แต่ในขณะเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงร่วมอภิรมย์กับสนมนางอื่นด้วย ครึ่งคืนแรกมักจะประทับวังนี้ ครึ่งคืนหลังก็เสด็จไปวังนั้น คืนเดียวสับเปลี่ยนหมุนเวียนหลายวัง ทรงยุ่งเป็นอย่างยิ่ง มากที่สุดคือร่วมเตียงกับสนมถึงเก้านางในคืนเดียว ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าองอาจดุดันยิ่งนัก ใช้ข้อเท็จจริงทำลายข่าวลือที่ว่า ‘ใช้การไม่ได้’

บรรดาสนมชายาที่ได้รับความโปรดปรานบ้างก็มาจากสกุลใหญ่ที่มีอำนาจ บ้างก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสแล้ว บ้างก็มีรูปโฉมงดงามโดดเด่น พอสตรีเหล่านี้ผนึกกำลังกันขึ้นมาก็สร้างความยุ่งยากให้หลี่ซูจิ้งไม่น้อย

ถึงแม้เมื่อก่อนฝ่าบาทจะมิได้ทรงลุ่มหลงในอิสตรีเท่าไรนัก แต่เพื่อให้ฝนตกทั่วฟ้า จึงทรงผ่านราตรีวสันต์* ทุกค่ำคืนไม่เคยว่างเว้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่มิได้ทรงเหยียบย่างเข้าตำหนักในติดต่อกันหลายเดือนเช่นก่อนหน้านี้ ดังนั้นหลี่ซูจิ้งจึงแน่ใจว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บตรงนั้น นางบอกให้หลี่เซียงพร่ำกราบทูลฝ่าบาท แต่เมื่อดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว นางก็ได้กลายเป็นเป้าโจมตีของนางสนมทั้งหลาย เป็นหินขวางทางที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาอันทรงเกียรติของพวกนาง เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในการแต่งตั้งบุตรชายของพวกนางเป็นรัชทายาท

รสชาติของการถูกฝูงสุนัขรุมล้อมช่างลำบากทรมานจริงๆ ถึงแม้หลี่ซูจิ้งจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวก็ยังรับมือไม่ไหวอยู่บ้าง กอปรกับฮ่องเต้ทรงเรียกองค์ชายรองไปทดสอบบทเรียนที่ห้องทรงพระอักษรทุกวัน ไม่ว่าองค์ชายรองจะแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหนก็มักจะถูกต่อว่าทุกคราไป เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาแปดถึงเก้าวัน ศักดิ์ศรีและความมั่นใจขององค์ชายรองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวง นับวันยิ่งกลายเป็นคนเงียบขรึมและโมโหร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายแล้วเพื่อบุตรชาย หลี่ซูจิ้งจึงยอมแพ้ นางไปคุกเข่าขอรับผิดอยู่หน้าวังเฉียนชิงถึงครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้รับการอภัยโทษจากฮ่องเต้ คืนนั้นพระองค์จึงทรงเสด็จไปวังเฟิ่งหลวน แต่ครึ่งคืนหลังก็ยังคงสลับสับเปลี่ยนไปยังวังอื่นเหมือนเดิม ทำให้ฝนตกทั่วฟ้าอย่างแท้จริง ทุกคนล้วนปีติยินดี แต่ในสนามรบแห่งการแย่งชิงความรักใคร่โปรดปรานแห่งนี้ เหลียงเฟยซึ่งถูกเรียกให้ถวายการปรนนิบัติทุกคืนจึงโดดเด่นเป็นที่จับตามอง กลายเป็นชายาคนโปรดคนแรกต่อจากเต๋อเฟย สนมลำดับชั้นต่ำๆ ที่มาพึ่งพาเกาะติดมีจำนวนมากมาย

 

ภายในวังปี้เซียว เมิ่งซังอวี๋กำลังอุ้มอาเป่า อ่านหนังสือไปพลางฟังแม่นมเฝิงรายงานสถานการณ์ในวังไปพลาง สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

กู่เซ่าเจ๋อมีสีหน้าเฉยชา เขาสูญเสียความสามารถในการแสดงอารมณ์บนใบหน้าไปเพราะเรื่องกระทบกระเทือนใจที่แม่นมเฝิงนำมารายงานติดต่อกันตลอดสิบวัน กลายเป็นโรคเหน็บชาบนใบหน้าอันเนื่องมาจากความเครียด หัวใจของเขาซึ่งแต่เดิมก็เข้มแข็งมากอยู่แล้ว มาบัดนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ถูกโลหิตและเปลวเพลิงหลอมจนกลายเป็นเพชร โลหิตย่อมหมายถึงโลหิตในหัวใจ เปลวเพลิงก็คือเปลวเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้า

“ร่วมเตียงกับสนมเก้าคนในคืนเดียว! ข้านึกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าเสียอีก” เมิ่งซังอวี๋วางหนังสือในมือลง เผยสีหน้ายุ่งยาก ในใจคิดคำนวณมากมาย หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ฮ่องเต้ตัวจริงจะถูกสวมหมวกเขียวกี่ใบกันหนอ ตอนนี้พระองค์ได้รับเกียรติให้ขึ้นครองบัลลังก์ราชาหมวกเขียวอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าโจวอย่างไม่ต้องสงสัย ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ถูกสวมหมวกเขียวก็ยังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เอิกเกริกถึงเพียงนี้

“ร่วมเตียงกับสนมชายาเก้าคนในคืนเดียวนี่ถือว่าไม่มากไปนะเพคะ พระเจ้าโจวไท่จู่เคยร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสิบเจ็ดคนภายในคืนเดียว พระเจ้าอู่จงแห่งราชวงศ์ก่อนร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสิบสองคนในคืนเดียว ยังมีพระเจ้าซ่งตู้จงซึ่งก็เคยร่วมอภิรมย์กับสนมชายาสามสิบกว่าคนในคืนเดียว เมื่อก่อนคืนหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเยือนแค่วังเดียวเท่านั้น นับว่าควบคุมพระองค์เองได้ดียิ่งแล้วเพคะ” แม่นมเฝิงกล่าวเสียงเบา

“ข้าว่านะ ฮ่องเต้ผ่านราตรีวสันต์ทุกคืน แต่กลับขึ้นชื่อว่ามิได้ฝักใฝ่ในกามา ที่แท้ก็เป็นเพราะมีตัวอย่างให้เปรียบเทียบนี่เอง กลางคืนมั่วโลกีย์ ลุ่มหลงอิสตรี กลางวันออกว่าราชการ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ร่างกายจะไม่ย่ำแย่ได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่เป็นฮ่องเต้ถึงได้มีอายุสั้นนัก เมื่อนับให้ดีแล้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าโจวที่มีพระชนมพรรษาเกินห้าสิบพรรษาไม่มีสักพระองค์เลยมิใช่หรือ” เมิ่งซังอวี๋ลูบเส้นขนที่ขึ้นใหม่บนหลังอาเป่าพลางกล่าวอย่างปลงๆ

กู่เซ่าเจ๋อผงะอึ้งไป แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่น้อย เขาได้รับการศึกษาเพื่อให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก ในด้านการร่วมอภิรมย์กับสนมชายานี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นผู้สอนเขา ในสมัยโบราณกาลพระเจ้าหวงตี้ร่วมอภิรมย์กับหญิงสาวหนึ่งพันสองร้อยคนจนได้ขึ้นเป็นเซียน หากสามารถเสพสมกับหญิงสาวสิบสองคนได้ในคืนเดียวจะทำให้ไม่แก่ชรา มีรูปโฉมงดงาม หากร่วมเสพสมกับหญิงสาวเก้าสิบสามคนร่างกายจะแข็งแรง อายุยืนหมื่นปี

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ทรงร่วมอภิรมย์กับสนมสิบสองนางในคืนเดียวเช่นกัน แต่พระองค์ก็ยังทรงชราภาพอยู่ดี เพิ่งมีพระชนมพรรษาสามสิบสองพรรษาก็ทรงจากโลกนี้ไปเสียแล้ว แสดงว่าคำพูดพวกนี้ไม่อาจเชื่อถือได้

ในขณะที่สติของเขากำลังเลื่อนลอย เมิ่งซังอวี๋ก็ทอดถอนใจต่อไป น้ำเสียงโกรธแค้นอยู่ไม่น้อย “โชคดีที่ฝ่าบาทตัวจริงหนึ่งคืนทรงเยือนแค่หนึ่งวังเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าคงต้องรัดคอตัวเองตาย แค่คิดว่าต้องใช้แตงกวาที่สตรีคนอื่นเพิ่งใช้มา ข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว! ฮ่องเต้ทุกคนล้วนเป็นบุรุษที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก!”

แตงกวาอะไรกัน บุรุษน่ารังเกียจอะไรกันกู่เซ่าเจ๋อคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่านางกำลังพูดถึงอะไร สีหน้าเขาพลันแข็งชะงักไป จากนั้นก็ลอบยินดี โชคดีที่เขายังมิได้ทำตัวเหลวไหลถึงเพียงนั้น ไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้เมิ่งซังอวี๋รู้สึกขยะแขยงไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นพอเขากลับเข้าร่างได้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะได้รับความรักจากนาง ในเมื่อนางไม่ชอบให้เขาค้างแรมที่วังอื่น ต่อไปเขาจะไม่ค้างก็แล้วกัน ทำเช่นนี้ยังสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้อีกด้วย ใช้ลูกหินก้อนเดียวได้นกถึงสองตัว

แม่นมเฝิงเห็นความคิดของเจ้านายกำลังเบี่ยงเบนออกนอกประเด็น จึงต้องดึงกลับมาให้เข้ารูปเข้ารอย “เต๋อเฟย พระองค์ทรงคิดว่าฮ่องเต้ตัวปลอมผู้นั้นมั่วโลกีย์ในวังหลวงเช่นนี้ ต่อไปหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา สนมชายาเหล่านั้นควรจะทำอย่างไรดีเล่าเพคะ”

“แม่นม เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวลใจ พวกเราสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะมีแรงเหลือไปสนใจผู้อื่น หากพวกเราเผยเรื่องฮ่องเต้ตัวปลอมออกไปแม้แต่คำเดียว ถึงตอนนั้นพวกเราก็เหลือแต่ทางตายเท่านั้น ก่อนที่ท่านพ่อจะส่งข่าวคราวมา พวกเราก็ได้แต่แกล้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ เข้าใจหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋กล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

กู่เซ่าเจ๋อส่งเสียงฮึดๆ สองคำรบ เท้าเล็กๆ ตบลงบนหลังมือที่เกร็งเครียดของนางครั้งแล้วครั้งเล่า

“เฮ้อ หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันคงจะทนดูสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปไม่ไหว แต่เพื่อความปลอดภัยของพระองค์ บ่าวจะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียวเลยเพคะ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะพิโรธจนทรงฟื้นขึ้นมาหรือไม่” แม่นมเฝิงทอดถอนใจพลางกล่าว

“พอพิโรธจนทรงฟื้นขึ้นมาก็กลัวว่าจะพิโรธจนสลบไปอีกครั้งน่ะสิ หมวกเขียวมากมายขนาดนี้ ทั้งปีก็สวมไม่หมด แค่นี้ฝ่าบาทก็เจอเรื่องหนักๆ มากพอแล้ว” เมิ่งซังอวี๋มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่น้อย ได้เห็นบุรุษน่ารังเกียจผู้นั้นโชคร้ายถึงเพียงนี้ นางก็มีความสุขนัก

อุ้งเท้าน้อยๆ ของกู่เซ่าเจ๋อพลันชะงัก สีหน้าอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยอีกครั้ง เราไม่โกรธจนฟื้นขึ้นมาหรอก ยิ่งกว่านั้นคือไม่โกรธจนสลบไปด้วย เราชินเสียแล้ว! วิญญาณมนุษย์ในใจเขาร่ำไห้ โลหิตอึกหนึ่งติดแน่นอยู่ในลำคอ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกลืนลงไปได้

“เต๋อเฟยเพคะ เมื่อครู่กองผลิตแห่งสำนักราชวังส่งป้ายห้อยคอของอาเป่ามาให้แล้ว พระองค์อยากจะทอดพระเนตรหรือไม่เพคะ” ในมือปี้สุ่ยมีกล่องปักดิ้นใบหนึ่ง นางเดินไปที่ข้างตั่งเตียงพร้อมถวายบังคมผู้เป็นนาย เบื้องหลังเป็นอิ๋นชุ่ยซึ่งกำลังยกชาหนึ่งกาเข้ามา

“รีบเอามาให้ข้าดูเร็วเข้า” ดวงตาของเมิ่งซังอวี๋ลุกวาวขึ้นทันที

ปี้สุ่ยเปิดฝาออก ยื่นใส่มือผู้เป็นนาย

นี่คือป้ายห้อยคอที่ถูกสลักเป็นรูปทรงเมฆมงคล ขนาดเท่ากับหยกประดับ เมื่อคำนึงถึงขนาดร่างเล็กป้อมของอาเป่า เมิ่งซังอวี๋จึงกำชับช่างฝีมือเป็นพิเศษว่าให้ใช้วิธีการแกะสลักแบบฉลุลายเพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด ยามอาเป่าสวมใส่จะได้รู้สึกสบาย ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ทั้งห้าตัวทำจากผงทองคำละเอียด ดูหรูหราสะดุดตา น้ำหนักยังเบามากอีกด้วย

ฝีมือของช่างจากกองผลิตแห่งสำนักราชวังย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง เมิ่งซังอวี๋พินิจดูอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อหาตำหนิใดๆ ไม่พบก็คล้องใส่คออาเป่า สีของไม้มะเกลือกับขนสีน้ำตาลที่เพิ่งงอกใหม่ของอาเป่าใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง พอสวมแล้วก็กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเส้นขน ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่จึงดูเหมือนกับลอยอยู่ระหว่างคอของมัน โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

สิ่งที่เมิ่งซังอวี๋ต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ นางอุ้มอาเป่าขึ้นมา ใช้ปลายจมูกชนปลายจมูกของอาเป่า ทำสีหน้าโหดเหี้ยมดุร้าย ดูท่าแล้วนางยังคงจำฝังใจเรื่องที่มันถูกทำร้าย

ถ้าหากไม่มีซังอวี๋ เราจะสามารถมีชีวิตอยู่ในวังหลวงนี้ได้กี่วัน? หัวใจของกู่เซ่าเจ๋อเริ่มอ่อนแรง ขอบตาก็เปียกชื้นด้วยเช่นกัน เขาร้องหงิงๆ ใช้ลิ้นไล้เลียริมฝีปากงดงามได้รูปของนางทีละนิดๆ อย่างละเอียดลออ รู้สึกแค่ว่านางน่ามองไปหมดทุกด้าน ต่อให้จงใจแต่งให้ดูน่าเกลียดอย่างไรก็ยังคงน่าเกลียดได้อย่างน่ารัก

เมิ่งซังอวี๋หัวเราะคิกคัก จุมพิตกลับติดๆ กันหลายครั้ง เจ้านายและสัตว์เลี้ยงทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเป็นก้อนกลมๆ บนตั่งเตียง

บทที่สิบหก

ตัวอักษรสุนัขเขี่ย

ผ่านไปสองสามวัน บาดแผลบนร่างกายของอาเป่านับว่าเกือบจะหายดีแล้ว หมอหลวงเวินจึงถูกเมิ่งซังอวี๋เรียกเข้าวังปี้เซียวเพื่อแกะผ้าพันแผลให้อาเป่าตั้งแต่เช้าตรู่

“เป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งซังอวี๋ถามอย่างทนไม่ไหว

“ฟื้นตัวได้ดีมากพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าอาเป่าจะอ้วนขึ้นและแข็งแรงขึ้น เต๋อเฟยทรงดูแลได้อย่างดียิ่ง” หมอหลวงเวินยิ้มตาหยีพลางกล่าว

“เช่นนั้นก็ดี ยังมีตรงไหนต้องระวังอีกหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋พ่นลมหายใจเฮือก

“ยังต้องบำรุงดูแลลำคออีกสักระยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ พยายามอย่าให้อาเป่าเห่าหรือส่งเสียงดัง” หมอหลวงเวินกำชับอย่างง่ายๆ จากนั้นก็หิ้วล่วมยาขึ้นมาพร้อมกับถวายบังคมขอตัวลา

เมิ่งซังอวี๋ตกรางวัลให้หมอหลวงเวินอย่างงาม จนกระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว นางจึงจับอุ้งเท้าเล็กๆ ของอาเป่าขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด เล็บงอกขึ้นมาใหม่แล้ว เป็นสีขาวกึ่งใส ผิวเนื้อที่ตอนแรกถลอกปอกเปิกบัดนี้กลับเป็นสีชมพูนุ่มนิ่มอีกครั้ง ลูบแล้วอ่อนนุ่มยิ่ง ทันใดนั้นนางก็ถูกความน่ารักทำให้หัวใจคันยุบยิบ จึงจับเท้าน้อยๆ ของอาเป่าวางไว้ตรงริมฝีปากพร้อมกับจุมพิตอย่างอดไม่ได้ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม

สัมผัสแผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อทำให้กู่เซ่าเจ๋อชาวาบไปทั้งร่าง ความร้อนผ่าวแผดเผาจากฝ่าเท้าลามไปจนถึงหัวใจ เสียงหัวใจเต้นระรัวดังกึกก้อง ราวกับทั้งโลกล้วนได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขา ถ้าหากไม่มีขนปกคลุมเอาไว้ ใบหน้าแดงก่ำและสีหน้าหวั่นไหวของเขาจะต้องถูกคลื่นความรักที่โถมกระหน่ำภายในหัวใจเปิดโปงออกมาจนไม่เหลือเป็นแน่

เขาไม่เคยใจเต้นเพราะสตรีผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าได้ครอบครองนางก็ประหนึ่งได้ครอบครองโลกทั้งใบ สีสันทุกอย่างล้วนชืดจางไป มีเพียงนางที่มีสีสันโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด ในวังหลวงอันกว้างใหญ่ เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเสาะหา แค่อาศัยกลิ่นหอมเพียงน้อยนิดก็สามารถหาตำแหน่งของนางได้อย่างแม่นยำ นี่คือความรักอย่างหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับสัญชาตญาณ

กู่เซ่าเจ๋อร้องครวญอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่นของเมิ่งซังอวี๋ ทันใดนั้นพลันมีความรู้สึกราวกับร่วงลงสู่หุบเขาลึกหมื่นจั้ง ทว่าเขากลับยินยอมพร้อมใจ

สุ้มเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของนางแว่วเข้าหูเขาอย่างรางเลือน “อาเป่า สะบัดหางซิ! ให้ข้าดูหน่อยว่ากระดูกหางของเจ้าหายบาดเจ็บหรือยัง”

ยังมิทันได้รอให้คลื่นความรักในดวงใจจางหายไป เขาก็ปีนขึ้นมาจากอ้อมอกนาง สะบัดหางน้อยๆ ของตนอย่างเริงร่าภายใต้การสั่งการจากจิตใต้สำนึก

เมิ่งซังอวี๋กอดอาเป่าพลางหัวเราะคิกคัก ทว่าในใจกู่เซ่าเจ๋อกับกำลังคร่ำครวญ…เราหมดหนทางเยียวยาแล้ว! สตรีหน้าเหม็น ดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำสิ เรากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าไปแล้วจริงๆ

หลังจากคร่ำครวญเสร็จ เขาก็เริ่มหลงใหลในใบหน้าแย้มยิ้มอันงามตราตรึงของนาง แววรักใคร่ในดวงตาสีดำสนิทนั้นลึกล้ำราวกับมหาสมุทร แต่น่าเสียดายที่นางกับเขาถูกขวางกั้นด้วยระยะห่างที่ยากจะก้าวข้ามได้ นางอ่านความรักลึกซึ้งในดวงตาของเขาเป็นความรักใคร่อาวรณ์ที่สัตว์เลี้ยงมีต่อเจ้านาย

หนทางในการไล่คว้าหัวใจภรรยาของฮ่องเต้สุนัขยังอีกยาวไกลนัก…

นอกจากนี้เรื่องผู้ร้ายในวังเฉียนชิงผ่านไปสิบวันแล้ว แต่ใต้เท้าหลัวแม่ทัพตรวจการเก้าประตูก็ยังหามิได้แม้แต่วี่แววของข่าวคราว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจับตัวคนร้าย เดิมทีเขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ จึงคิดว่าฮ่องเต้จะทรงผ่อนผันให้เขาอีกสองสามวัน คิดไม่ถึงว่าพอถึงกำหนดเวลาฮ่องเต้ก็ทรงถอดเขาออกจากตำแหน่งทันที ทั้งยังรับสั่งให้เขากักบริเวณตัวเองเพื่อสำนึกผิด

แม่ทัพตรวจการเก้าประตูเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นหนึ่งชั้นโท รับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งเมืองหลวง ตำแหน่งสูงส่ง มีอำนาจมากมาย เป็นตำแหน่งที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก หลังจากฝ่ายราชครูเสิ่นและหลี่เซียงผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด ตำแหน่งนี้ก็ตกไปอยู่ที่ใต้เท้าหรงอดีตแม่ทัพซีอาน ใต้เท้าหรงนั้นเป็นน้องเขยของหลี่เซียง แต่งงานกับน้องสาวแท้ๆ ของภรรยาเอกหลี่เซียง ดังนั้นตำแหน่งผู้รับผิดชอบความปลอดภัยในเมืองหลวงนี้จึงอยู่ในกำมือของหลี่เซียง ราชครูเสิ่นได้เสียหมากไปหนึ่งตัวแล้ว

ถึงแม้เมิ่งซังอวี๋จะไม่ได้ออกนอกประตูวังตลอดทั้งวัน แต่เส้นสายของสกุลเมิ่งก็มิได้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารในราชสำนักหรือว่าตำหนักใน นางมักจะได้รู้เป็นคนแรกเสมอ และอาเป่าก็ได้ฟังด้วยเช่นกัน

ราชครูเสิ่นพลาดโอกาสดูแลแนวป้องกันเมืองหลวงไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นดังที่คาดการณ์เอาไว้ แต่กู่เซ่าเจ๋อก็ยังคงเดือดดาลไม่หยุด จากนั้นก็ยังลอบยินดีว่าตำแหน่งนี้ตกไปอยู่ในมือหลี่เซียงยังดีกว่าตกไปอยู่ในมือของราชครูเสิ่น หากช่วงชิงตำแหน่งแม่ทัพตรวจการเก้าประตูไปได้ก็จำเป็นต้องควบคุมกองกำลังอวี้หลินและทหารองครักษ์หลวงไว้ให้ได้ด้วยถึงจะสามารถตั้งตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยสมบูรณ์ สองคนนี้ยังต้องทำสงครามกันอีกหลายยก

ถึงแม้จะรู้ว่าคนของทั้งสองฝ่ายยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอีกมาก ทว่ากู่เซ่าเจ๋อก็มิกล้ารั้งรออีกต่อไป เขาต้องหาทางติดต่อกับเหยียนจวิ้นเหว่ยทันที คิดหาวิธีกลับร่างเดิมให้ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในราชสำนักก็คงถึงขั้นที่ยากจะแก้ไข

วันนี้เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งซังอวี๋กำลังนอนกลางวัน ส่วนปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิงกำลังพักผ่อนพลางพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ในอีกห้องหนึ่งของตำหนักปีกข้าง ลอบเข้าไปในห้องหนังสืออย่างคล่องแคล่วว่องไว กระโดดขึ้นบนตั่งรองนั่งแล้วปีนขึ้นโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งออกมาเตรียมเขียนจดหมายให้เหยียนจวิ้นเหว่ย

หลังจากสาละวนอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เขียนลงบนกระดาษว่า

 

‘จื่อเหิง จงเชิญนักบวชผู้มีวิชาสูงส่งมาเรียกวิญญาณเรากลับเข้าร่าง แล้วส่งคนมาคุ้มครองเต๋อเฟย หากเราไม่อาจฟื้นขึ้นมา จงพาเต๋อเฟยไปส่งยังข้างกายเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงอย่างปลอดภัย ฮั่นไห่’

 

จื่อเหิงและฮั่นไห่เป็นชื่อที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตั้งให้ใช้แทนตัวพวกเขาทั้งสอง นอกจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนและพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่รู้เรื่องนี้อีก เมื่อใช้คำเรียกเช่นนี้ หากเหยียนจวิ้นเหว่ยเห็นจะต้องให้ความสนใจเป็นแน่

กู่เซ่าเจ๋อครุ่นคิดพลางพยายามควบคุมอุ้งเท้า หมายจะเขียนตัวอักษรออกมาให้ดี แต่น่าเสียดายที่อุ้งเท้าน้อยๆ เทียบกับพู่กันขนสัตว์มิได้ อักษรหลายตัวจึงบิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งตัวอักษรที่มีเส้นขีดค่อนข้างสลับซับซ้อนก็ยังเปรอะเปื้อนน้ำหมึกเป็นหยดๆ ดูแล้วช่างเหมือนกับยันต์กันผีนัก

หลังจากเขียนเสียไปหลายแผ่น ในที่สุดเขาก็สามารถเขียนตัวอักษรที่ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ กู่เซ่าเจ๋อใช้เท้าพับกระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหน้าชุดกันหนาวตัวน้อยของตน โชคดีที่เมิ่งซังอวี๋ปฏิบัติกับอาเป่าเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้มัน มิเช่นนั้นกระดาษแผ่นนี้คงไม่มีที่เก็บ หากคาบไว้ในปากก็คงจะเปียกน้ำลายทันที ทำให้ตัวอักษรเปรอะเปื้อน เขียนไปก็เสียเปล่า

เขาคาบกระดาษที่ใช้แล้วใส่ไว้ในถ้วยล้างพู่กันซึ่งบรรจุน้ำไว้จนเต็มปริ่ม กระดาษค่อยๆ เปียกชุ่ม เลอะจนกลายเป็นรอยหมึกไม่เป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นเขาจึงกระโดดลงบนตั่งรองนั่งแล้วจากไปอย่างวางใจ ทางเข้าเส้นทางลับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในอุทยานหลวงซึ่งอยู่ห่างจากวังปี้เซียวเป็นระยะทางสองสามร้อยจั้ง เพราะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งบนคอยังแขวนป้ายห้อยคอพระราชทาน คราวนี้กู่เซ่าเจ๋อจึงวิ่งได้อย่างราบรื่นตลอดทาง ครั้นเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน จึงลอดเข้าไปในภูเขาจำลองลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว อุโมงค์ในภูเขาจำลองทั้งลึกและมืดสนิท พอเดินไปจนสุดเขาก็ใช้อุ้งเท้าขยับหินทรงไข่ห่านบนพื้น ปกติแค่เหยียบเบาๆ ก็สามารถเปิดกลไกได้แล้ว แต่คราวนี้ขยับอยู่ถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงจะเปิดได้

เขาสะบัดเท้าที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย จากนั้นจึงลอดเข้าไปในทางใต้ดินที่ค่อยๆ เปิดแง้มออกมา

ภายในทางใต้ดินเยียบเย็นหนาวเหน็บยิ่ง สายลมระลอกแล้วระลอกเล่าพัดผ่านข้างกาย นำมาซึ่งความหนาวเย็นเสียดกระดูก ไอสีขาวหนาทึบถูกพ่นออกมาจากปลายจมูก เขาตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ ลอบยินดีที่เมิ่งซังอวี๋ให้เขาสวมชุดกันหนาว

พอคิดถึงเมิ่งซังอวี๋ความอบอุ่นบางเบาก็บังเกิดขึ้นในหัวใจ เขาตั้งสมาธิ รีบเดินไปตามผนังภายในทางเดินใต้ดินพลางหาท่อที่เหล่าราชองครักษ์ลับใช้ส่งข่าวกรองที่เสาะหามาได้และคอยแจ้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ

ท่อพวกนี้จะถูกฝังอยู่ในรอยแยกของช่องอิฐบนผนัง เพียงแค่นำข่าวกรองที่สืบมาได้หรือข่าวสารที่ต้องการส่งต่อสอดลงไป กระแสลมในท่อก็จะทำให้กระดาษข้อความตกลงไปภายในตลับเล็กๆ ที่อยู่ปลายสุด ตลับเล็กๆ นี้มีเพียงเหยียนจวิ้นเหว่ยเท่านั้นที่มีกุญแจเปิด ทุกวันเขาจะมาเปิดตลับเพื่อรวบรวมข่าวสารตามกำหนดเวลา แล้วเลือกเอาข้อมูลข่าวสารที่สำคัญๆ มารายงาน

ทว่าตอนนี้เขาสลบไปไม่ได้สติ จึงได้แต่หวังว่าเหยียนจวิ้นเหว่ยจะยังคงรักษากิจวัตรเดิมๆ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้น อุ้งเท้าของกู่เซ่าเจ๋อก็คลำเจอร่องเล็กๆ บริเวณด้านล่างของผนัง ภายในร่องมีลมเย็นๆ เล็ดลอดออกมา กระแสลมอันรุนแรงกรีดใส่อุ้งเท้าของเขาจนเจ็บปวด

ตรงนี้แหละ!

ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อพลันลุกวาว นำกระดาษซึ่งอยู่ในชุดกันหนาวออกมา เหยียบให้กลายเป็นม้วนเล็กๆ จากนั้นก็คาบแล้วสอดเข้าไปในร่อง

เพิ่งจะสอดเข้าไปแค่ส่วนปลาย กระแสลมอันรุนแรงก็ม้วนเอากระดาษข้อความทั้งใบลงไปดังฟึ่บ

ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดาษจะถูกลมฉีกกระชากจนขาดหรือไม่ การไม่มีมือนี่ช่างลำบากเสียจริง กู่เซ่าเจ๋อยืนอยู่ที่เดิมพลางส่ายหน้า จากนั้นก็วิ่งกลับไปตามเส้นทางเดิม โดยทั่วไปแล้วคนจะสนใจแต่บริเวณที่เสมอกับระดับสายตาของตน ดังนั้นเหนือศีรษะกับใต้เท้าจึงเป็นสองแห่งที่มักจะถูกมองข้ามได้ง่าย เพราะพิจารณาถึงจุดนี้ กลไกในทางลับจึงถูกออกแบบให้อยู่เหนือศีรษะหรือไม่ก็ใต้ฝ่าเท้า หากไม่หาให้ละเอียดก็ยากจะมองเห็น เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่ายุ่งยาก แต่บัดนี้กลับลอบยินดีอยู่ไม่น้อยที่กลไกในทางลับถูกออกแบบมาเช่นนี้ หากกลไกถูกออกแบบไว้ตรงตำแหน่งที่สูงกว่าศีรษะของคนล่ะก็ อาเป่าคงไม่มีทางเอื้อมถึงแน่นอน

พอมาถึงปากทางออกจากทางใต้ดินเขาก็ใช้น้ำหนักตัวกดลงบนอิฐสีเข้มก้อนหนึ่ง รอจนกระทั่งประตูเปิดออก จึงลอดออกไปอย่างว่องไว จากนั้นกดกลไกจากด้านนอกเพื่อปิดประตู ครั้นแน่ใจแล้วว่าด้านนอกภูเขาจำลองไร้ผู้คน เขาก็วิ่งห้อตะบึงกลับวังปี้เซียวอย่างรวดเร็ว

ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม เมิ่งซังอวี๋คงใกล้จะตื่นแล้ว หากไม่เห็นเขา นางก็จะร้อนใจเอาได้ กู่เซ่าเจ๋อจึงรีบกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูพุ่งออกจากคันศร

เขาวิ่งเข้าไปในวังปี้เซียวอย่างเร่งร้อน พวกปี้สุ่ยยังคงคุยเล่นกันอยู่ในห้องปีกข้าง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าเขาหายตัวไป กู่เซ่าเจ๋อผ่อนลมหายใจ รีบวิ่งไปยังตำหนักบรรทมของเมิ่งซังอวี๋ พลิกตัวข้ามธรณีประตู พอวิ่งต่อไปสองสามก้าวก็ถึงข้างตั่งเตียง ใบหน้าของเมิ่งซังอวี๋นิ่งสงบ นางกำลังหลับสนิท เขาผลิยิ้มน้อยๆ ใช้เท้าเล็กๆ เกาะขอบเตียงหมายจะปีนขึ้นไปอยู่ในอ้อมกอดของนาง

แต่เมื่ออุ้งเท้าประทับลงบนผ้าปูที่นอนสีม่วงเข้มแล้ว รอยสกปรกเลอะเทอะก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ชะงักไป รีบหยุดการเคลื่อนไหวทันที ทว่าน่าเสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว บนผ้าปูที่นอนหลงเหลือรอยดอกเหมยสีน้ำตาลเข้มสองแห่งเอาไว้ เห็นแล้วสะดุดตายิ่งนัก

กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้าโอดครวญ ตัดสินใจวิ่งไปยังตำหนักปีกข้างทันที เขาจำได้ว่าบนโต๊ะแปดเซียนมีกาน้ำชาวางอยู่ สามารถนำมาใช้ล้างเท้าเขาได้พอดี

เขาปีนขึ้นไปบนโต๊ะแปดเซียนโดยอาศัยตั่งรองนั่ง ใช้เท้าเปิดฝากาออก จุ่มเท้าลงในน้ำชาเพื่อชำระล้างรอยหมึกและเศษฝุ่นบนเท้า จากนั้นจึงใช้ลิ้นเลีย ต้องทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน จะได้ไม่ถูกซังอวี๋รังเกียจ

หลังจากเลียขนเสร็จ เขาถึงตระหนักได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ สวรรค์! ฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างเราถึงกับเลียขนตัวเอง เพื่อประจบให้เจ้านายรักใคร่? เรากลายเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วจริงๆ!

ถึงแม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดเหลือแสน แต่เขากลับไม่หยุดเลียขนเลยแม้แต่น้อย เมิ่งซังอวี๋ยังหลับอยู่ หากนางตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นกังวลแค่ไหน

“อาเป่าอยู่ที่นี่! กำลังเล่นน้ำอยู่บนโต๊ะ รีบไปบอกเต๋อเฟยเร็วเข้าว่าทรงไม่ต้องเป็นห่วง” อิ๋นชุ่ยยื่นหน้าเข้ามาจากนอกตำหนัก พอเห็นอาเป่าอยู่บนโต๊ะสีหน้าเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง หันไปพูดกับปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้าน

ปี้สุ่ยขานรับ วิ่งกลับไปรายงานสถานการณ์แก่ผู้เป็นนาย

ดูท่าซังอวี๋คงจะตื่นแล้ว

กู่เซ่าเจ๋อไหล่ตก ในใจรู้สึกหดหู่ยิ่ง สุดท้ายก็กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ก่อนที่นางจะตื่นไม่ทัน ซ้ำยังทำให้นางเป็นห่วงอีกด้วย

“อาเป่ากำลังทำอะไรอยู่หรือ” อิ๋นชุ่ยยิ้มตาหยี เดินเข้าไปหน้าโต๊ะพลางถาม พอเห็นน้ำชาที่กลายเป็นสีโคลนและสภาพเลอะเทอะเปรอะเปื้อนของอาเป่านางก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “อาเป่า เจ้าเด็กดื้อ แอบออกไปเล่นมาอีกแล้วใช่หรือไม่! ดูสิว่าเจ้าสกปรกไปหมดทั้งตัว ชุดกันหนาวที่เพิ่งเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลไปหมดแล้ว ไป ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยส่งเจ้าไปหาเต๋อเฟย” พูดจบนางก็ยื่นมือเตรียมจะจับมัน

กู่เซ่าเจ๋อไม่คุ้นเคยกับการถูกสตรีอุ้มไว้ในอ้อมกอดเป็นเวลานานๆ เพราะนั่นเท่ากับทำลายเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของเขา แน่นอนว่าเมิ่งซังอวี๋เป็นข้อยกเว้น เขาจึงหลบมือของอิ๋นชุ่ย กระโดดลงจากโต๊ะด้วยตัวเองแล้ววิ่งไปรอข้างประตู

อิ๋นชุ่ยส่ายศีรษะอย่างขบขัน แล้วจึงพาอาเป่าไปอาบน้ำ

ภายในตำหนักบรรทม หลังจากได้ยินวาจาที่ปี้สุ่ยไหว้วานนางกำนัลให้มาบอก เมิ่งซังอวี๋ก็ชี้ไปยังผ้าปูที่นอนของตน “อาเป่า เจ้าเด็กแสนรู้นี่ มันคิดว่าข้าไม่รู้ว่ามันแอบหนีออกไปหรือ ดูสิ นี่ก็คือหลักฐาน ไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรมาเท้าถึงได้ดำเช่นนี้…”

ปี้สุ่ยมองรอยเท้าเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มสองรอยพร้อมกับปิดปากหัวเราะเบาๆ

แม่นมเฝิงทั้งเหนื่อยใจทั้งขบขัน นางรีบเรียกให้นางกำนัลสองสามคนมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ผู้เป็นนาย

เมิ่งซังอวี๋เปลี่ยนไปนั่งบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าไฟในเตาไฟใต้ดินในตำหนักยังคงแรงอยู่ อบอุ่นจนพาให้คนอ่อนยวบไปทั้งร่าง นางก็ปลดปิ่นปักผมบนศีรษะออกให้เส้นผมสยาย จากนั้นก็เปลื้องอาภรณ์ตัวนอกออก แล้วชี้ไปยังขวดแก้วใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง เอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “มิได้ผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้ว ปี้สุ่ยมานวดให้ข้าทีซิ แรงๆ หน่อยล่ะ”

“เพคะ” ปี้สุ่ยหัวเราะพลางรับคำสั่ง ล้างมือทั้งสองข้างอย่างละเอียดแล้วจึงเปิดฝาขวดแก้วออก เทน้ำมันดอกกุหลาบลงบนฝ่ามือพร้อมกับถูไถ พอเห็นผู้เป็นนายปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมดสิ้นจึงเดินเข้าไปบีบนวดเนื้อตัวอันขาวนวลเนียนของนาง

แม่นมเฝิงรีบสาวเท้าเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วปิดบานหน้าต่างให้สนิท เพื่อมิให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจนทำให้ผู้เป็นนายของตนจับไข้

 

สองเค่อผ่านไป ในที่สุดอาเป่าก็อาบน้ำจนสะอาด เส้นขนทั่วทั้งร่างก็ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งและเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ กู่เซ่าเจ๋อวิ่งไปทางตำหนักบรรทมอย่างลิงโลด ด้านหลังมีอิ๋นชุ่ยซึ่งหอบหายใจแฮกๆ ตามมาด้วย เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้แล้วเห็นว่าหน้าต่างปิดอยู่ เขาก็เกิดความสงสัยขึ้น จากนั้นเสียงครางอือๆ อาๆ ก็ดังมาจากด้านใน ทำให้เขาพลันตัวแข็งไปทั้งร่าง

เสียงนี้ช่างชวนให้คนคิดไปไกลนัก เขาอดคิดไปในทางนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ผู้ใดอยู่ข้างในกันแน่ เป็นผู้ใดที่ทำให้ซังอวี๋เปล่งเสียงอ่อนหวานเย้ายวนเช่นนี้ ลูกตาสีดำสนิทของเขาย้อมด้วยไอสังหารเย็นยะเยียบ ย่นจมูกหนึ่งที จากนั้นเสียงเห่าคำรามอันดุร้ายก็ตั้งเค้าอยู่ในลำคอ

“เต๋อเฟย แรงแค่นี้พอหรือไม่เพคะ” ปี้สุ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“แรงอีกนิด! อืม…อย่างนั้นแหละ สบายยิ่ง!” เสียงต่ำพร่าของเมิ่งซังอวี๋ยากจะปกปิดความสุขสมไว้

ซังอวี๋กับปี้สุ่ย? มิน่าเจ้าถึงไม่แยแสไม่สนใจเรา! มิน่าเจ้าถึงปฏิบัติต่อปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยดีถึงปานนั้น! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง คิดไม่ถึงว่าศัตรูหัวใจของเราจะเป็นสตรี! ไฟริษยาแผดเผาหัวใจจนร้อนรุ่ม กู่เซ่าเจ๋อจวนเจียนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ เขาเห่าโฮ่งๆ ราวกับหมาบ้าพลางวิ่งไปหน้าประตู ใช้เล็บตะกุยอย่างบ้าคลั่ง

“อ๊ะ มาแล้วๆ ไม่ต้องเห่าแล้ว ประเดี๋ยวคอจะแย่เอา!” ครั้นแม่นมเฝิงได้ยินเสียงก็รีบร้อนเดินมาเปิดประตูตำหนักบรรทมออก

อาเป่ารีบผลุบเข้าไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าไปทางตั่งนุ่ม แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ต้องตะลึงงันไป

เมิ่งซังอวี๋ซึ่งปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมดนอนคว่ำเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง ทรวงอกกลมกลึงครึ่งหนึ่งถูกที่นอนดันจนกลายเป็นรูปทรงอันเย้ายวน แผ่นหลังงามเด่น บั้นท้ายอวบอิ่มงอนงาม ขาทั้งสองข้างเรียวยาว ทุกสัดส่วนประดุจผลงานชิ้นเอกที่สวรรค์บรรจงปั้นแต่งขึ้นมา เผยความงามละมุนสวยหยาดเยิ้มของสตรีเพศออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

ปี้สุ่ยยืนอยู่ข้างตั่งนอน กำลังออกแรงบีบนวดเรือนร่างงดงามนั้น กลิ่นหอมกรุ่นสายหนึ่งลอยมาปะทะจมูก พาให้วิงเวียนตาลาย ผิวขาวบริสุทธิ์นั้นทาน้ำมันเอาไว้ จึงเปล่งประกายแวววาวน้อยๆ ราวกับแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง

ก็จริงอยู่ที่ภาพนั้นงามรัญจวนใจ แต่ทว่ามิได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เพลิงโทสะที่ลุกโชนอยู่ในใจของกู่เซ่าเจ๋อมอดดับลง ได้แต่อ้าปากค้าง ยืนนิ่งทึ่มทื่ออยู่ข้างตั่งนอน น้ำลายหยดติ๋งๆ จากมุมปากจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ

“พรืด!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ยื่นมือออกไปเกาคางของอาเป่าที่กำลังอ้าปากค้าง กล่าวหยอกล้อว่า “มองอะไรหรือ ดูท่าทางเซ่อซ่าของเจ้าสิ น้ำลายไหลออกมาอีกด้วย เจ้าสุนัขลามก!”

พวงแก้มของเขาพลันร้อนขึ้นมา หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปเกรงว่าแม้แต่ขนก็จะลุกติดไฟขึ้นมาด้วย! กู่เซ่าเจ๋อร้องคร่ำครวญ จากนั้นก็รีบสะบัดก้น วิ่งออกจากตำหนักไป เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินของเมิ่งซังอวี๋ดังแว่วมาจากด้านหลัง คล้ายกับกำลังเร่งให้เขารีบหายตัวไป

น่าขายหน้าเหลือเกิน แค่มองผู้หญิงของตนก็ถึงกับน้ำลายไหล! สวรรค์ โปรดให้เรากลับเข้าร่างได้โดยเร็วเถิด ให้เราได้กอดซังอวี๋อย่างที่ใจนึก!

 

ในราชสำนัก สกุลหลี่และสกุลเสิ่นยังคงสู้รบกันไม่เลิกรา คนสนิทของกู่เซ่าเจ๋อบ้างก็ถูกกีดกัน บ้างก็ถูกโยกย้าย สถานการณ์วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางคนใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ต่างพากันซุบซิบว่าเหตุใดนับวันฝ่าบาทถึงทรงอ่อนแอไร้ฝีพระหัตถ์ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะไม่จัดการกับปัญหานี้ แล้วพอมองดูตำหนักในที่หมู่มวลบุปผาแข่งขันกันเบ่งบาน บรรดาขุนนางใหญ่ก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ฝ่าบาททรงถูกสตรีล่อลวงวิญญาณไปแล้วจริงๆ หรือนี่! พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมพรรษาสิบเจ็ดพรรษา บัดนี้ครองราชย์มาครบสิบปีพอดี ที่ผ่านมาทรงเคร่งครัดเรื่องอิสตรียิ่ง ไฉนพอได้รับบาดเจ็บแล้วถึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายปานนี้เล่า หรือว่าทรงถูกข่าวลือในช่วงก่อนหน้านี้กระตุ้น?

ขุนนางใหญ่ที่มีนิสัยตรงไปตรงมาต่างยื่นหนังสือกราบทูลทัดทานฮ่องเต้ตรงๆ ว่ามิให้หมกมุ่นกับอิสตรีจนละทิ้งพระราชกิจ แต่ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่ทรงรับฟัง แต่ยังลงโทษคนต้นคิดหลายคนอีกด้วย ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ผิดหวังในตัวฮ่องเต้เข้าแล้วจริงๆ คราวนี้ฮ่องเต้เสด็จไปบนเส้นทางทรราชย์แล้วกระมัง!

ข่าวอันน่ากังวลใจนี้แพร่เข้ามาในวังปี้เซียวอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย กู่เซ่าเจ๋อได้แต่มองเจ้าตัวปลอมทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงไปต่อหน้าต่อตา ทำลายผืนแผ่นดินของเขา แต่เขากลับไม่อาจทำอะไรได้ จิตใจจึงยิ่งหม่นหมองขึ้นเรื่อยๆ

โชคดีที่มีเมิ่งซังอวี๋อยู่เคียงข้างตลอดเวลา ทำขนมทำน้ำแกงอันเลิศรสให้เขากิน พาเขาออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในวังปี้เซียวทุกเช้าเย็น ช่วงเช้าทำสวนปลูกต้นไม้ ช่วงบ่ายไปอ่านหนังสือเขียนอักษรในห้องหนังสือ วันคืนผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ จึงทำให้เขามิได้ถูกข่าวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าโจมตีจนเสียสติ หากไม่มีเมิ่งซังอวี๋ เขารู้ดีว่าตนคงจะฝืนทนต่อไปภายใต้สภาวะอันย่ำแย่นี้ได้ไม่นานนัก เขามิได้พูดเกินจริงแม้แต่นิดเดียว เมิ่งซังอวี๋คือความหวังที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ เขาไปจากนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง

วันนี้กู่เซ่าเจ๋อที่หมดอาลัยตายอยากมาหลายวันก็ได้รับข่าวดีในที่สุด เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงได้รับชัยชนะจากสงครามที่ด่านชายแดน เขาใช้กำลังพลหกหมื่นนายโจมตีกองทัพอันยิ่งใหญ่สิบหมื่นนายของชาวหมานจนล่าถอย อีกทั้งยังยกพลโอบล้อมวังหลวงของชาวหมานเอาไว้ ไม่เกินหนึ่งเดือนก็จะสามารถล้มล้างอำนาจของชาวหมานได้ ทำให้แผ่นดินต้าโจวสงบสุขไปได้อีกเป็นร้อยปี

พอข่าวนี้แพร่มาวังปี้เซียวที่เงียบสงัดมาเนิ่นนานก็อยู่ในสายตาของบรรดานางสนมในวังหลวงอีกครั้ง ถึงแม้เต๋อเฟยจะไม่ได้รับความโปรดปรานแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สกุลของนางยิ่งใหญ่เกรียงไกร รอให้เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงยกทัพกลับเมืองหลวง นางจะต้องกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกเป็นแน่ คุณงามความดีอันใหญ่หลวงเช่นนี้ หากฮ่องเต้ไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งให้นางก็นับว่าไร้เหตุผล เหนือกว่าตำแหน่งสูงสุดของสี่ราชชายาเช่นเต๋อเฟยก็คือกุ้ยเฟย หวงกุ้ยเฟย กระทั่งถึงฮองเฮา อาศัยอำนาจชาติตระกูลเช่นนี้ ใครจะกล้าตีเสมอนางอีกเล่า เกรงว่าแม้แต่หลี่กุ้ยเฟยเองก็ยังต้องถอยให้นางสามเซ่อ

เมิ่งซังอวี๋มิได้สนใจความเคลื่อนไหวในแต่ละวัง ยามนี้นางกำลังถือจดหมายแจ้งข่าวชัยชนะอ่านซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่า มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มสบายใจ

“ดินแดนปกครองของชาวหมานใกล้จะถูกตีจนแตกพ่าย ความปรารถนาอันยาวนานของท่านพ่อในที่สุดก็ใกล้จะเป็นจริงแล้ว ในจุดนี้ท่านพ่อและฝ่าบาทถือว่าสมัครสมานสามัคคีกันทั้งผู้เป็นเจ้าแผ่นดินและขุนนาง ต่างก็ทุ่มเทให้กับการสู้รบกับกองทัพชาวหมาน ทำให้ชายแดนสงบ หากกำจัดความหวาดระแวงในพระทัยไปได้ ฝ่าบาทก็นับว่าทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่หาตัวจับได้ยากพระองค์หนึ่ง หากมิใช่เพราะพระองค์ทรงยืนหยัดที่จะล้มเลิกนโยบายยกย่องขุนนางฝ่ายบุ๋นกดขี่ขุนนางฝ่ายบู๊ ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาการทหารเพื่อรักษาป้องกันแผ่นดิน เกรงว่าบัดนี้แผ่นดินต้าโจวก็ยังคงต้องรับศึกจากสงครามชายแดนรอบด้าน ไหนเลยจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างเช่นในตอนนี้” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจยาว ยื่นจดหมายแจ้งข่าวชัยชนะให้กับแม่นมเฝิงที่กำลังยิ้มหน้าบาน

สายตาที่กำลังมองจดหมายแจ้งข่าวของกู่เซ่าเจ๋อเคลื่อนไปยังเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังตีสีหน้าเคร่งขรึม ยากที่จะเห็นสตรีผู้นี้เอ่ยชื่นชมตน มุมปากของเขาจึงยกยิ้มกว้าง หางน้อยๆ สะบัดไปมาไม่หยุด

“เต๋อเฟยตรัสได้ถูกต้องเพคะ ต่อให้กองทัพชาวหมานพวกนั้นเก่งกล้าเพียงใด แต่พอปะทะกับท่านกั๋วกงของพวกเราก็กลายเป็นแค่หอกปลายเทียนเลียนอย่างเงิน** ไปในทันที ดูต้องตาแต่ใช้การไม่ได้ ได้ยินมาว่าในหมู่ชาวหมาน แค่พวกเขาได้ยินชื่อของท่านกั๋วกงก็ขวัญหนี หน้าเปลี่ยนสีกันทั้งนั้น ทั้งยังใช้ห้ามมิให้เด็กเล็กๆ ร้องไห้งอแงได้ด้วยนะเพคะ!” แม่นมเฝิงโอ้อวดพลางหัวเราะ

เมิ่งซังอวี๋เองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในดวงตาหงส์แวววาวนั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความภาคภูมิใจ

กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าโฮ่งๆ คล้อยตาม บัดนี้พอเอ่ยถึงเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง เขาก็ไม่มีอคติและความหวาดระแวงอย่างในตอนแรกอีกแล้ว กลับรู้สึกว่าแผ่นดินต้าโจวมีขุนศึกที่เกรียงไกรคอยปกปักรักษาชายแดน การที่เขามีขุนนางผู้ทรงคุณธรรมและความสามารถคอยช่วยดูแลแผ่นดินเช่นนี้เป็นพรที่สวรรค์ประทานให้แผ่นดินต้าโจวจริงๆ

“สงครามที่ด่านชายแดนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว อีกไม่นานท่านพ่อก็จะกลับมาช่วยฝ่าบาทได้ พวกเราเองก็จะปลอดภัยด้วยเช่นกัน” เมิ่งซังอวี๋เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า พ่นลมหายใจออกมา

กู่เซ่าเจ๋อไม่คิดเลยว่าตนจะตกต่ำถึงขั้นนี้ คนที่อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลังกลับเป็นคนที่เมื่อก่อนเขาหวาดระแวงและระแวดระวังอย่างที่สุด กู่เซ่าเจ๋อหวนคำนึงถึงอดีตก็อดรู้สึกปลงตกมิได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งกว่านั้นยังขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขาได้พบกับเมิ่งซังอวี๋ ทำให้เขาได้ทำความรู้จักกับตัวเขาเองใหม่ และมองคนรอบข้างได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

หลังจากข่าวชัยชนะแพร่มาถึงเมืองหลวง ชื่อเสียงของสกุลเมิ่งในกองทัพและในหมู่ประชาชนต้าโจวก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมขึ้นมาทันใด พอพูดถึงสกุลเมิ่งแม้แต่ชาวบ้านก็สามารถกล่าวบทกลอนสรรเสริญคุณงามความดีออกมาได้คนละวรรคสองวรรค ตำนานนิทานเรื่องแสนยานุภาพสกุลเมิ่งตีกองทัพหมานจนแตกพ่ายกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจที่สุดในเมืองหลวง ถูกนักเล่านิทานนำมาร้องเล่าต่ออย่างไม่มีเบื่อหน่าย คนเข้าฟังเต็มหมดทุกรอบ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะที่ผ่านมาแผ่นดินต้าโจวยกย่องขุนนางฝ่ายบุ๋นควบคุมขุนนางฝ่ายบู๊ ประชาชนต้าโจวจึงประสบกับการกดขี่รังแกจากชาวหมานมาโดยตลอด บัดนี้ในที่สุดก็สามารถลืมตาอ้าปากได้เสียที

‘กำจัดชาวหมานไปให้สิ้น!’ วาจานี้พอพูดออกมาก็น่าเกรงขามเหลือล้น ห้าวหาญเหลือหลาย! ในเมืองหลวงหากมีผู้ใดพูดว่าร้ายสกุลเมิ่งจะต้องถูกผู้คนพากันรุมประณามทันที

ภายในวังหลวง เรื่องที่เคยเล่าลือกันว่าวังปี้เซียวแปดเปื้อนไออัปมงคลก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นอย่างกระจ่างแล้ว ครอบครัวของคนที่แปดเปื้อนไออัปมงคลจะชนะศึกได้หรือ จะสามารถกำจัดกองทัพชาวหมานนับสิบหมื่นนายได้หรือ ใครเป็นผู้แพร่ข่าวลือนี้กันแน่ ช่างเหลวไหลสิ้นดี! ดังนั้นเต๋อเฟยจึงถูกยกเลิกการกักบริเวณเป็นธรรมดา อีกทั้งฝ่าบาทยังเสด็จมาปลอบขวัญด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระราชทานสิ่งของล้ำค่าให้ไม่น้อย หากมิใช่เพราะร่างกายของเต๋อเฟยยังไม่หายดี เกรงว่าคงจะได้รับความโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวติดต่อกันหลายเดือนเป็นแน่

สนมชายาทุกคนในตำหนักในต่างจ้องมองเมิ่งซังอวี๋อย่างอิจฉาตาร้อน หนึ่งในนั้นมีเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นตัวหลัก

เมื่อเมิ่งจ่างสยงยกกองทัพทหารกว่าร้อยหมื่นนายกลับเมืองหลวงแล้ว หากสกุลเสิ่นจะคิดการใหญ่ก็คงจะยากแล้ว ไม่เห็นหรือว่าช่วงนี้หลี่เซียงก็เงียบหายไป เขาเองก็คงถูกพลังอันฮึกเหิมของเมิ่งจ่างสยงสะกดเอาไว้เช่นกัน ไม่ได้การ ต้องหาวิธีกำจัดเมิ่งจ่างสยงและเมิ่งซังอวี๋โดยเร็ว!

เมิ่งซังอวี๋เองก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ จึงเพิ่มการเฝ้ายามในวังปี้เซียวให้เข้มงวดมากขึ้น คนนอกทั้งหมดห้ามเข้าตำหนักกลางและห้องหนังสือ ผู้ที่แวะเวียนมาหาก็ต้องถูกตรวจสอบทีละคนๆ เช่นกัน ก่อนที่ท่านพ่อจะกลับมาถึงเมืองหลวง นางจะต้องป้องกันวังปี้เซียวไว้มิให้มีช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว

 

 

(ติดตามต่อได้ในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 16

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: