บทที่ 3
เสียงวิ่งดังตึงๆๆ
เมื่อมาถึงหน้าห้อง ผู้มาใหม่ก็หยุดปัดหิมะบนร่างก่อนอย่างตั้งใจ ถึงค่อยก้าวเข้าไปข้างในแล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “นางหนู…นางหนู…”
เขาถอดหมวกสานลงมาแขวนไว้บนฉากบังตาตรงทางเข้าเรือน ปากก็บ่นอุบ “หิมะรอบนี้ตกหนักเหลือเกิน”
หัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากในห้อง ชายหนุ่มเขม้นตามอง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าเป็นบุตรชายคนเล็ก “แอบดอดเข้าไปทำอะไรในห้องนอนพี่สาวอีกแล้ว พี่เจ้าไม่อยู่หรือ”
เด็กชายเดินออกมาพลางเอียงคอมองบิดา “พี่ใหญ่ออกไปข้างนอก บอกว่ามีธุระขอรับ”
เขาสาวเท้าเดินเข้าไปดึงของที่บุตรชายซ่อนไว้ข้างหลังออกมา “หยิบของพี่เจ้ามาเล่นอีกแล้ว ระวังเถิด เดี๋ยวพี่เจ้ากลับมาก็โดนเอ็ดเอาหรอก”
เด็กชายแลบลิ้น “พี่ใหญ่ไม่เอ็ดข้าหรอก”
เพิ่งจะพูดเช่นนั้น เสียงเคลื่อนไหวก็ดังมาจากหน้าประตู
สองพ่อลูกหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน เด็กสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน สวมเสื้อนวมสีแดงสดกับกระโปรงสีแดงอ่อน สีสันของเสื้อผ้าขับดวงหน้างามสะคราญของนางให้ยิ่งเฉิดฉันเตะตา แต่เนื่องจากยังอยู่ในวัยแรกแย้ม ซ้ำดวงตายังเป็นประกายบริสุทธิ์สุกใส ความเย้ายวนของดวงหน้าจึงถูกข่มให้จางลง
พอเข้ามาอยู่ในบ้าน เด็กสาวสั่นก็สะท้านไปทั้งตัว ต้องรีบเดินไปที่เตาผิง
ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้าไปหาทันที “นางหนู ออกไปทำอะไรอีกเล่า ข้างนอกหนาวจนแทบแข็ง ระวังไอเย็นจะเข้าตัวเอา ก่อนหน้านี้เจ้านอนป่วยอยู่หลายเดือนกว่าจะฟื้นนะ”
นางหนูที่เขาเรียกก็คือจือจือนั่นเอง
จือจือคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้บิดา “ข้าแค่ออกไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ล้มป่วยหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อหิวหรือยัง ข้าจะไปทำกับข้าวให้”
“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง เดี๋ยววันนี้พ่อทำให้เองดีกว่า” เขาพูดอย่างนั้นแล้วหมุนตัวเดินไปทางห้องครัว ก่อนจะไปยังสั่งสำทับ “เจ้ารีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
จือจือไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้ย้อนกลับมาตอนตนเองอายุสิบห้า เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที นางก็ได้พบกับดวงตาแดงก่ำของบิดาและน้องชาย
ยามนั้นยังไม่ทันได้พูดอะไร น้องชายก็ปล่อยโฮดังลั่น ‘พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที ท่านนอนไม่ได้สติมาถึงสามเดือนเชียวนะ’
สามเดือน?
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่เห็น บิดาดูหนุ่มแน่นกว่าเก่า และน้องชายในตอนนี้ก็เป็นแค่เด็กวัยแปดขวบเท่านั้น
‘ข้า…ข้านอนไม่ได้สติมาสามเดือนหรือ’
แต่ข้ากลายเป็นวิญญาณล่องลอยไปแล้วนี่นา
‘นางหนู อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย พ่อจะไปเชิญท่านหมอหลี่มาเดี๋ยวนี้’ บิดารีบลุกออกไปทันที
จากนั้นท่านหมอหลี่ก็มาตรวจอาการให้นาง แล้วพูดอะไรที่นางฟังไม่รู้เรื่องออกมาเป็นพรวน ที่พอจะจับความได้มีแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ท่านหมอหลี่บอกว่านางถูกลมร้ายเข้าร่าง ทำให้อาการป่วยรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง ฟื้นขึ้นมาได้ก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
ท่านหมอหลี่เองก็ดูหนุ่มกว่าครั้งสุดท้ายที่นางเจอเช่นกัน
จือจือเบิกตามองเพดานแล้วพลันบรรลุวาบ นางอาจย้อนเวลากลับมาเมื่อหลายปีก่อนก็ได้ ‘ท่านเทพองค์นั้น’ ช่วยนางอย่างนั้นหรือ
พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเอง คืนนั้นท่านเทพควักหัวใจนางไปแล้ว แต่นี่ยังมีเสียงใจเต้น หัวใจยังอยู่ที่เดิม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
จือจือเบนสายตาไปทางบิดา ตามด้วยน้องชายที่กำลังจ้องมองท่านหมอหลี่อย่างเกร็งเครียด
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ได้เจอครอบครัวอีกครั้งก็ประเสริฐเหลือเกินแล้ว
ภายหลังจือจือหลอกถามน้องชาย จนได้รู้ว่านางย้อนเวลากลับมาตอนที่ตนเองอายุสิบห้า
รัชศกหย่งอันที่สามสิบ เวลานี้องค์หญิงยังไม่เสกสมรส
ดวงตาของจือจือเป็นประกายวาบ ชาติก่อนนางแต่งเข้าตำหนักองค์หญิง นอกจากจะไม่ได้เจอครอบครัวตนเองแล้ว สุดท้ายยังต้องกลายเป็นวิญญาณล่องลอย ชาตินี้นางจะไม่ยอมแต่งงานเป็นอนุราชบุตรเขยอีกเป็นอันขาด
เด็กสาวสาบานกับตนเองอยู่ในใจ นางจะต้องหาทางแต่งงานออกไปก่อนพิธีเสกสมรสขององค์หญิงให้จงได้
ในเมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ก็ต้องวางแผนการโดยละเอียด
จือจือครุ่นคิดอยู่เจ็ดวันเต็มว่าจะแต่งงานกับผู้ใดดี
ปีนี้บุตรชายท่านหมอหลี่อายุยี่สิบ อายุอานามเหมาะกับนางกำลังดี เสียตรงที่หน้าตาเหมือนท่านหมอหลี่ราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ขี้เหร่เกินรับได้ ไม่ไหวๆ
หลัวฟั่งที่อยู่ถัดไปหนึ่งถนนรูปร่างหน้าตาใช้ได้ เสียแต่ภายหลังกลายเป็นผีพนัน สุดท้ายถึงกับผลาญสมบัติในตระกูลจนสิ้น
มารดาเคยกล่าวไว้ บุรุษขี้ริ้วหรือยากจนเกินไปจะแต่งด้วยไม่ได้ แต่งด้วยก็เท่ากับไปลำบากเปล่าๆ
บุรุษที่มีเงินและหน้าตาดี…จือจือเค้นสมองคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทันใดนั้นนัยน์ตาที่คุ้นเคยก็ผุดวาบเข้ามาในความทรงจำ
คืนนั้นดวงตานางสบประสานกับนัยน์ตาบุรุษผู้หนึ่ง
จือจือสลัดหัวทันที นี่นางคิดถึงบุรุษที่เป็นต้นเหตุทำให้นางตายได้อย่างไรกันนะ
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดบุรุษเพศขนาดนี้ เขาเคยวางมือพาดเอวนาง ซ้ำยังถอดเสื้อคลุมออกมาห่มร่างนาง…
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงได้หน้าแดงเล่า” เสียงของหลินหยวนน้องชายดึงสตินางให้กลับมาสู่ความเป็นจริง
“อ๊ะ?!” จือจือส่งเสียงร้องแล้วมองน้องชายอย่างลนลาน “พี่หน้าแดงหรือ คงจะรู้สึกร้อนกระมัง แหะๆ เตาผิงมันอยู่ใกล้เกินไปน่ะ”
หลินหยวนชะโงกหน้าเข้ามาจนใกล้ ความจริงสองพี่น้องหน้าตาละม้ายกันอย่างยิ่ง เพียงแต่คนน้องเป็นเด็กชาย เครื่องหน้าจึงเข้มกว่านิด คมคายกว่าหน่อย ทว่ามีนัยน์ตาหงส์เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
จือจือเป็นสาวแล้ว ดังนั้นเพียงตวัดตาชม้ายมองนิดเดียวก็ทรงเสน่ห์สะกดใจ
“พักนี้พี่ใหญ่ดูแปลกชอบกล”
จือจือได้ยินเช่นนั้นก็เบนสายตาออกมาอย่างร้อนตัว “เจ้าคิดมากไปต่างหาก”
หลินหยวนก็ผินหน้าไปทางอื่นเช่นกัน “พักนี้พี่ใหญ่มักเหม่อลอยอยู่เรื่อย ร่างกายท่านยังไม่แข็งแรงดีใช่หรือไม่”
จือจือลอบถอนหายใจโล่งอก “ไม่หรอก อย่ากังวลไปเลย พี่แข็งแรงดีแล้ว”
ต้องพูดกันอยู่นานกว่าจะไล่น้องชายออกไปได้สำเร็จ
จากนั้นบิดาของนางก็เรียกไปกินข้าว
ระหว่างนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหาร เขาคอยคีบกับข้าวใส่ชามนางไม่ขาดสายจนจือจือกินไม่ไหว ต้องร้องบอกว่า “ท่านพ่อ พอแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
บิดาของนางถึงเพิ่งเห็นว่าชามข้าวนางพูนขึ้นมาเป็นภูเขาลูกย่อม แล้วยิ้มเก้อๆ เอ่ย “เช่นนั้นหรือ จริงสิ นางหนู เมื่อครู่เจ้าออกไปทำอะไรข้างนอก”
จือจือก้มหน้า “ข้าออกไปร้านชาดมาเจ้าค่ะ”
บิดาชะงักไป “นั่นสินะ ลูกพ่อโตเป็นสาวแล้ว แล้วเจ้าถูกใจไหมล่ะ ยังมีเงินพอใช้อยู่หรือไม่ ตัดเสื้อผ้าเพิ่มอีกสักสองชุดปะไร”
หลินหยวนร่ำร้อง “ท่านพ่อ ข้าก็อยากตัดเสื้อผ้าใหม่เช่นกัน”
“อยู่เฉยๆ ไปเลย เจ้ายังมีเสื้อผ้าใส่ ถ้าขาดแคลนนักก็เอาเสื้อผ้าสมัยเด็กๆ ของพี่สาวเจ้ามาใส่ไปก่อน”
เด็กชายหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ข้าเป็นบุรุษนะ จะใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างไร”
“เจ้าน่ะรึบุรุษ” บิดามองลูกคนเล็กอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย
จือจือใคร่ครวญดีแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กสาวชาติกำเนิดเช่นนางจะได้แต่งงานเป็นภรรยาเอกในตระกูลใหญ่ ชาติก่อนนางเป็นแค่อนุ บทจะถูกฆ่าก็ตายได้ง่ายๆ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเป็นอนุไม่ดีแน่ อีกประการหนึ่ง นางไม่อยากเข้าไปพัวพันกับองค์หญิงตัวปลอมฮ่องเต้ตัวจริงผู้นั้นอีกแล้ว
นางใช้เวลาทบทวนอยู่นาน ก่อนจะเบนเป้าหมายไปหาเซี่ยงจวี่เหริน ที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาในรัชศกหย่งอันที่สามสิบห้า
เซี่ยงจวี่เหรินมีชื่อเต็มว่าเซี่ยงชิงจวี ก่อนสอบได้ตำแหน่งจวี่เหรินเป็นบัณฑิตที่ศึกษาในสำนักศึกษาหลวง ชาติที่แล้วน้องชายเขียนจดหมายมาเล่าให้นางฟังว่าศิษย์พี่ร่วมสำนักสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน นางถึงได้รู้ จือจืออ่านหนังสือไม่ออก ต้องให้สาวใช้อ่านให้ฟัง ทว่าไฉ่หลิงก็รู้หนังสือไม่มาก พออ่านมาถึงชื่อจวี่เหรินจึงติดขัด
‘เซี่ยงชิง…เซี่ยงชิง…ตัวนี้บ่าวอ่านไม่ออกเจ้าค่ะ’ สาวใช้ยื่นจดหมายให้นางดูด้วยใบหน้าแดงก่ำ
จือจือรับจดหมายมา ‘ไม่เป็นไร คนผู้นี้ข้ารู้จัก ชื่อเซี่ยงชิงจวี’
ต่อมาเมื่อกลายเป็นวิญญาณล่องลอย จือจือมักจะขึ้นไปนอนเกาะอยู่บนขื่อ จึงเคยได้ยินขันทีพูดว่า ‘ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท เซี่ยงชิงจวีที่เป็นทั่นฮวาปีนี้เก่งกาจสมนามจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ’
เซี่ยงชิงจวี?
จือจือค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว ภายหลังเมื่อได้เห็นเซี่ยงชิงจวีสวมชุดขุนนาง นางถึงเชื่อว่าที่แท้เขาสอบติดจริงๆ
หากจะบอกว่าจือจือเป็นสาวชาวบ้านที่งดงามที่สุดในรัศมีสิบลี้ละแวกนี้ เซี่ยงชิงจวีก็เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ซ้ำยังมีความรู้มากที่สุดในย่านเดียวกัน ทว่าเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ ไม่ไยดีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อันที่จริงชาติก่อนจือจือแอบนิยมในตัวเซี่ยงชิงจวีเงียบๆ แต่เพราะมีพระราชโองการลงมา นางจึงต้องแต่งเข้าตำหนักองค์หญิงอย่างไม่มีทางเลือก
ลองมาคิดดู หากชาตินี้นางได้ลงเอยกับเซี่ยงชิงจวีก็จะประเสริฐยิ่ง เมื่อเซี่ยงชิงจวีได้เป็นทั่นฮวา นางก็จะเป็นฮูหยินของทั่นฮวา จือจือลอบยิ้มอยู่คนเดียว จากนั้นก็หาเข็มกับด้าย ตั้งใจจะปักถุงเหอเปาให้เขา
นางไม่เคยเรียนหนังสือ ที่ผ่านมามารดาจะคอยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเสมอ
มารดาเคยบอกไว้ว่าอย่าได้เหนียมอายกับคนที่ชอบเป็นอันขาด
มารดายังบอกอีกว่าการได้หัวใจบุรุษมาครองไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
‘เห็นหรือไม่ ปีศาจจิ้งจอกในตำนานแค่กระดิกนิ้วนิดเดียว บุรุษก็ติดกับกันหมด สมัยก่อนพ่อเจ้าก็เป็นแบบนี้เช่นกัน’
แม้ว่ามารดาจะป่วยตายไปตั้งแต่จือจืออายุสิบสอง นางก็ยังจดจำคำสอนได้ขึ้นใจ
จือจือตัดสินใจปักถุงเหอเปารูปยวนยาง
ที่นางออกไปข้างนอกในช่วงสามสี่วันนี้ก็ล้วนแต่ไปตระเวนตามร้านเครื่องหอมทั้งสิ้น เพราะคิดว่าคนร่ำเรียนน่าจะชอบกลิ่นหอมที่ทำให้หัวใจสงบผ่อนคลาย ดังนั้นนางจึงเที่ยวตะลอนๆ ตามหาเครื่องหอมที่คิดว่าดมแล้วสงบใจได้มากที่สุดไปทั่วเมือง
“จะลงกลอนประตูแล้วนะ นางหนู เสี่ยวหยวน พวกเจ้ารีบเข้านอนเสีย” เสียงของบิดาดังอยู่ข้างนอก
จือจือเงยหน้าพรวด แล้วพบว่าตนเองขะมักเขม้นปักถุงเหอเปาเพลินจนฟ้ามืดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที รีบโยนงานปักทิ้ง จากนั้นก็วิ่งไปที่เตียง
เด็กสาวมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างว่องไว แล้วดึงผ้าขึ้นมาคลุมโปงอย่างมิดชิด
“จริงหรือเปล่าที่เจ้าบอกว่ามีมนุษย์มองเห็นพวกเรา”
“จริงสิ ก็เด็กสาวที่อยู่ในห้องนี้นั่นล่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าเพิ่งเคยเจอคนที่มองเห็นข้าเป็นครั้งแรก ฮิๆ ไม่ได้คุยกับมนุษย์มานานแล้ว พวกเราไปหาเด็กสาวผู้นั้นกันดีกว่า”
“เอาสิ แล้วต้องเคาะประตูหรือไม่”
“เจ้าเคาะประตูได้ด้วยหรือ”
จือจือนอนตัวสั่นอยู่ในผ้าห่ม เสียงข้างนอกใกล้เข้ามาทุกที จนเหมือนมาอยู่ข้างเตียงนาง
“แม่นางน้อยอยู่ใต้ผ้าห่มนี่น่ะหรือ เหตุใดผ้าถึงได้สั่นเล่า”
“เพราะนางได้ยินที่เราพูดกันน่ะสิ”
“ฮิๆ เช่นนั้นข้าร้องเพลงที่เพิ่งแต่งใหม่ให้นางฟังได้หรือไม่นะ”
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จือจือก็มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือนางมองเห็นวิญญาณล่องลอย
ครั้งแรกที่เห็นคือตอนที่นางลุกออกไปเข้าส้วมกลางดึก แล้วเห็นหญิงชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
‘ท่านยาย? ท่านมาอยู่ในบ้านข้าได้อย่างไรเจ้าคะ’
หญิงชราผู้นั้นนั่งยองๆ ตัวงองุ้มอยู่ตรงหน้าประตูส้วม ท่าทางเหมือนไม่ได้ยินคำถามของนาง
จือจือสาวเท้าเข้าไปใกล้ด้วยความฉงน ตั้งใจจะร้องทักให้ดังขึ้น แต่ฝ่ายตรงข้ามพลันหันมาหาเสียก่อน
ใบหน้านั้น…ไม่มีอวัยวะใดๆ ทั้งสิ้น
จือจือกรีดร้องออกมาสุดเสียง
บิดาที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงนางตะลีตะลานลุกจากเตียง ‘อะไรกัน! เกิดอะไรขึ้น จือจือ?’
จือจือกลัวเสียจนร้องไห้
หญิงชราผู้นั้นยังคงหันหน้ามาหานาง ทั้งที่ไม่มีเครื่องหน้า แต่จือจือรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังแสดงความเหยียดหยามตนอยู่
‘อย่าทำตื่นตูมไปหน่อยเลย ไม่เคยเห็นวิญญาณล่องลอยหรือไร’ เสียงพูดเป็นเสียงแหบยานของหญิงชรา
จือจือร้องไห้โฮ
บิดาวิ่งพรวดพราดออกมาถึงตัวนางด้วยท่าทางร้อนอกร้อนใจ ‘มีอะไร! เกิดอะไรขึ้น’
จือจือยกมือชี้ไปทางหญิงชรา ‘ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าขา ตรงนั้นมีท่านยายอยู่ผู้หนึ่งไม่ใช่หรือ’
บิดามองตามปลายนิ้วนาง ‘ไม่มีนี่’
‘เจ้าเรียกใครว่าท่านยาย ข้าเพิ่งจะตายได้สองวันเท่านั้น วัดกันตามอายุของวิญญาณล่องลอย ข้ายังเด็กอยู่นะ’ หญิงชราเอ่ยพลางลุกขึ้นเดินมาทางนาง
จือจือปล่อยโฮดังยิ่งกว่าเก่า แล้ววิ่งเปิดแน่บออกไปแทบไม่ทัน
นับจากคืนนั้นนางก็ได้รู้ว่าตนเองมองเห็นวิญญาณล่องลอย
อย่าบอกนะว่าของขวัญที่เทพผู้นั้นกล่าวว่าจะให้นางคือสิ่งนี้
บทที่ 4
จือจือนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าโผล่ออกมา ทว่าวิญญาณล่องลอยสองตนที่อยู่ข้างนอกคุยกันออกรสขึ้นทุกที หัวข้อสนทนาเลยเถิดขึ้นเรื่อยๆ
“เฮ้อ…ช่วงนี้เจ้าได้ไปดูเจ้าหนุ่มสกุลเซี่ยงบ้างหรือไม่”
“ไปมาแล้ว” วิญญาณล่องลอยอีกตนลดเสียงลงกระซิบกระซาบ “ข้าไปแอบดูเขาอาบน้ำมาด้วย คิกๆ”
“…” จือจือที่อยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกหมดคำพูด
“สวรรค์! แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้าง”
“เห็นกล้ามท้องของเจ้าหนุ่มเซี่ยง แล้วยังข้างล่าง…” วิญญาณล่องลอยตนนั้นเว้นช่วงไปเล็กน้อย “แม่นางน้อยผู้นี้ได้ยินที่พวกเราคุยกันหรือไม่”
“ได้ยิน”
“เช่นนั้นพวกเราออกไปพูดกันต่อข้างนอกดีกว่า คิกๆ”
จือจือยิ่งรู้สึกหมดคำพูดไปกันใหญ่ “…”
“เรื่องอะไรจะแบ่งปันของดีๆ ให้นางหนูนี่ฟัง”
ข้างนอกเงียบไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงให้ได้ยินแม้แต่นิดเดียว จือจือทนนอนอึดอัดใต้ผ้าห่มต่ออีกพักใหญ่ถึงค่อยๆ โผล่หัวออกมาอย่างระมัดระวัง
น่าจะไปแล้วกระมัง
แต่เพิ่งจะโผล่หัวออกมา ก็เจอกับใบหน้าผีสองดวงทันที
หน้าหนึ่งยังมีเลือดหยดติ๋งๆ อีกหน้าหนึ่งไม่มีปาก
แค่เห็นแวบเดียว จือจือก็เป็นลมหมดสติไป
วิญญาณล่องลอยสองตนหันไปมองหน้ากัน “ชะรอยจะมองเห็นพวกเราจริงด้วย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว แค่นึกถึงภาพวิญญาณล่องลอยสองตนก้มลงมามอง จือจือก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว
เสียงของหลินหยวนดังขึ้นข้างนอก “พี่ใหญ่ ตื่นหรือยัง”
“อืม ตื่นแล้ว” เด็กสาวลุกขึ้นมานั่ง
“ป้าหลัวมาแน่ะ บอกว่าเอาไข่ไก่บ้านมาให้ ท่านพ่อออกจากบ้านตั้งแต่ย่ำรุ่ง พี่ใหญ่ออกไปรับหน้าหน่อยเถิด”
ป้าหลัวคือมารดาของหลัวฟั่งที่กลายเป็นผีพนันในเวลาต่อมา ชาติก่อนป้าหลัวเคยอยากให้นางตกล่องปล่องชิ้นกับบุตรชาย แต่สุดท้ายมีพระราชโองการลงมาเสียก่อน เลยต้องเลิกล้มความตั้งใจ หากเป็นชาติที่แล้ว จือจือคงคิดว่าแต่งกับหลัวฟั่งก็ไม่เห็นเป็นไร ทว่าตอนนี้นางไม่ยอมแต่งด้วยเด็ดขาด
ระหว่างแต่งตัว จือจือพิจารณาตู้เสื้อผ้าของตนอยู่สักพักก็วางเสื้อนวมสีน้ำเงินเข้มที่ตั้งใจจะสวมในตอนแรกลง หยิบชุดที่ในเวลาปกติไม่มีทางคิดจะใส่ขึ้นมาแทน ชุดนี้ตัดขึ้นในโอกาสที่นางอายุครบสิบห้า ท่านพ่อบอกร้านตัดเสื้อว่าให้ตัดชุดที่หญิงสาวผู้ดีในเมืองหลวงนิยมใส่กัน
ช่างตัดชุดแบบที่กำลังนิยมให้จริงๆ เสียตรงที่เป็นเสื้อคอลึก ตัดเย็บจากผ้าสีแดงสดขลิบริมดำ สาบเสื้อบริเวณอกแหวกออก มีเพียงผ้าแพรผืนบางปิดไว้ จือจือมีใบหน้างามเย้ายวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สวมชุดนี้ยิ่งไม่เหมือนสตรีดีๆ เข้าไปใหญ่ ดูราวกับออกมาจากหอคณิกาอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวหยวน เจ้านี่ยิ่งโตยิ่งคมสัน หน้าเหมือนพี่สาวเจ้าเลยนะ” ป้าหลัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีตะกร้าไข่ไก่ที่หิ้วมาด้วยวางอยู่ข้างเท้า นางเป็นสตรีร่างสูงใหญ่ ซ้ำยังทำงานใช้แรงอยู่เป็นนิตย์ เสียงจึงดังก้องกว่าคนทั่วไป “นี่พี่สาวเจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือ”
“ตื่นแล้วล่ะขอรับ” หลินหยวนเอ่ยตอบอย่างสุภาพ ขณะหยิบขนมอบชิ้นหนึ่งขึ้นมากินพลางคิดกับตนเองว่าเหตุใดพี่สาวถึงยังไม่ออกมา
ป้าหลัวหัวเราะ “นั่นสินะ ถ้าป่านนี้ยังไม่ตื่นก็ออกจะสันหลังยาวเกินไปแล้ว พ่อเจ้าพะเน้าพะนอเอาใจพี่สาวเจ้าจนเคยตัว หาไม่ก่อนหน้านี้แค่ล้มป่วยนิดๆ หน่อยๆ จะเรื้อรังถึงสามเดือนหรือ” นางถอนหายใจเฮือก แล้วกวาดตามองไปรอบบ้าน “น่ากลัวว่าพ่อเจ้าคงเสียเงินเสียทองไปไม่น้อยเลยกระมัง”
“ท่านป้าหลัว”
ยามนี้เองเสียงหวานเสนาะหูดังขึ้นตรงหน้าประตู
“อ้าว จือจือมาแล้ว” ป้าหลัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียง แต่พอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ต้องชะงักไป และหน้าตึงอย่างไม่พอใจทันที
หากมองด้วยสายตาเป็นกลาง เสื้อผ้าชุดนี้ของจือจืองามมากจริงๆ ชายกระโปรงติดระบายแบบที่นิยมกันล่าสุด เวลาเดินดูแช่มช้อยน่ามอง ราวกับใบบัวกระเพื่อมบนผิวน้ำ ช่วงเอวติดแถบผ้าผืนกว้าง ขับเน้นเอวบางให้คอดกิ่วราวกับกิ่งหลิวที่แค่จับเบาๆ ก็โน้มลู่ลงมา คอเสื้อแหวกออก เผยผิวขาวผุดผาดราวกับหิมะ วันนี้จือจือยังตั้งใจประทินโฉมโดยแต้มชาดสีแดงเข้มบนกลีบปาก
สรุปก็คือในสายตาป้าหลัว นางแต่งตัวแบบที่สตรีปกติธรรมดาไม่ควรแต่ง
“ตายจริง จือจือ อากาศหนาวเย็นยังสวมชุดบางเช่นนี้ ไม่หนาวหรือไร” ป้าหลัวสีหน้าค่อนข้างบึ้งตึง
พวงแก้มของจือจือแดงวาบ ที่ผ่านมานางไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เพื่อความสุขในชีวิตของตนเอง ของบางอย่างไม่อยากทำก็ต้องทำ “อยู่ในบ้านไม่หนาวหรอกเจ้าค่ะ”
เนื่องจากเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก เสียงพูดจึงแผ่วหวิวราวกับเสียงยุง ไม่มีความมั่นใจสักนิด
ป้าหลัวยิ้มเจื่อนๆ แล้วหยิบตะกร้าไข่ไก่บนพื้นขึ้นมา “จือจือ เจ้าเพิ่งหายป่วยหนัก ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เข้าไว้ดีกว่า ไข่ไก่นี่เจ้าเด็กหลัวฟั่งไปเก็บมาจากเล้าด้วยตนเองเลยนะ พอรู้ว่าจะเอามาให้เจ้าก็รีบลุกไปเล้าไก่แต่เช้าตรู่ คัดแต่ใบดีๆ มาให้ทั้งนั้น”
หลินหยวนไม่ใคร่เข้าใจความหมายแฝงของผู้มาเยือนนัก จึงได้มองจือจือที มองป้าหลัวที
จือจือเม้มปากก่อนจะอ้าปากเอ่ยโดยที่ไม่มองไข่ไก่ตะกร้านั้นด้วยซ้ำ “เสียดายจริง ท่านหมอสั่งว่าระยะนี้ข้าต้องงดของคาว ไข่ไก่ก็เป็นของคาวเช่นกัน พี่หลัวอุตส่าห์มีน้ำใจแท้ๆ”
“โธ่เอ๋ย กินไม่ได้หรอกหรือนี่” ป้าหลัวมองไข่ไก่ในตะกร้า “มีแต่ไข่ดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ”
เดิมทีนางก็ไม่พอใจการแต่งเนื้อแต่งตัวของจือจืออยู่แล้ว พูดกันตามตรง แม้จะเห็นเด็กสาวผู้นี้มาตั้งแต่เล็กจนโต แต่นางไม่ใคร่ถูกใจนัก คนสกุลหลินหน้าตาดีเกินไปทั้งบ้าน โดยเฉพาะจือจือกับมารดาที่หามีชีวิตไม่แล้ว ตอนที่บ้านนี้เพิ่งย้ายมาใหม่ๆ มารดาของจือจือน่ะ…ฮึ่ย…อย่างกับอะไรดี ทำบุรุษละแวกนี้หลงเสน่ห์ไปกันหมด วันๆ ดีแต่หาเรื่องมาวนเวียนแถวหน้าประตูบ้านสกุลหลินไม่รู้กี่รอบ
จือจือผู้นี้หน้าตางามเย้ายวนมาตั้งแต่เด็ก พอแตกเนื้อสาวยิ่งแล้วใหญ่ อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้ไม่รู้จักสำรวมตัว ดันใส่เสื้อผ้าพรรค์นี้ หากไม่เพราะเจ้าหลัวฟั่งบุตรชายน่าโมโหของนางถูกใจ ไม่มีวันเสียล่ะที่นางจะมาเหยียบบ้านนี้
“แล้วน้องเจ้ากินได้หรือไม่ ให้เสี่ยวหยวนกินแล้วกัน”
จือจือเหลือบมองหลินหยวนแวบหนึ่ง มิเสียแรงที่เป็นพี่น้อง แค่พี่สาวปรายตามองนิดเดียว แม้น้องชายจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังอ่านเจตนาของนางออก
“ท่านป้าหลัว ข้าก็กินไข่ไก่ไม่ได้ขอรับ กินแล้วผื่นขึ้น”
ป้าหลัวชะงัก ก่อนจะยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอาเถิด ข้าเลือกของขวัญไม่ดีเอง กลับไปต้องด่าเจ้าหลัวฟั่งเสียหน่อย” นางเว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเน้นเสียงอย่างจงใจ “อย่ากระเหี้ยนกระหือรือเอาใจคนที่ไม่ชายตาแล ประเดี๋ยวจะถูกรังเกียจเอา”
จือจือแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันความขุ่นมัวในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แล้วคลี่ยิ้มหวานให้พลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นท่านป้าหลัวก็รีบกลับเถิด ข้าไม่ออกไปส่งนะเจ้าคะ ท่านหมอสั่งไว้ว่าข้างนอกลมแรง ให้ข้าอยู่แต่ในบ้าน”
ป้าหลัวโมโหจนอึ้งงัน ไม่คิดเลยว่าแค่ล้มป่วยครั้งเดียว นิสัยของเด็กผู้นี้จะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อก่อนแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่ถูกใจนาง แต่อย่างน้อยก็เป็นเด็กสงบเสงี่ยมใสซื่อ
ตอนนี้รึ หึ เหมือนมารดาที่ตายไปแล้วมากขึ้นทุกที ไม่รู้จักสำรวม ควรแล้วล่ะที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ตายดี
ป้าหลัวกลับออกไปอย่างหัวเสีย จือจือถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก จากนั้นเสียงบิดาก็ดังขึ้นโดยไม่คาดคิด
“จือจือ เสี่ยวหยวน”
เสียงของท่านพ่อฟังดูอ่อนแรงอย่างไรชอบกล
จือจือรีบวิ่งออกไปดูทันที แล้วก็ต้องผงะไป เพราะที่หน้าประตูไม่ได้มีบิดาของนางแค่ผู้เดียว ยังมีเซี่ยงชิงจวีด้วย
เด็กสาวนิ่งงันราวกับหุ่นไม้
เซี่ยงชิงจวีหน้าตาหล่อเหลา มักแต่งกายด้วยชุดขาวอยู่เป็นนิตย์ แม้จะมีฐานะขัดสน ทว่าก็รักสะอาดอย่างยิ่งยวด เสื้อผ้าอาภรณ์จะถูกซักอย่างหมดจด ใบหน้าดูสุขุมเยือกเย็นแบบบัณฑิต ดวงตาสงบนิ่ง แทบไม่แสดงอารมณ์ออกมาให้เห็น จึงมีภาพลักษณ์สุขุมเคร่งขรึมตั้งแต่อายุน้อยๆ
เห็นว่าในปีที่เซี่ยงชิงจวีผ่านการสอบคัดเลือกของราชสำนัก ความจริงต้องได้ตำแหน่งปั่งเหยี่ยน แต่เพราะหล่อเหลาเกินไป อันดับจึงตกลงมาเป็นทั่นฮวาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้เซี่ยงชิงจวีเห็นจือจือแค่แวบเดียวกลับมีอันต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะเบนสายตาไปอีกทาง
ทว่าสมองของจือจือไพล่คิดไปถึงประโยคหนึ่ง
‘เห็นกล้ามท้องของเจ้าหนุ่มเซี่ยง แล้วยังข้างล่าง…’
ข้างล่างอะไรนะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ต.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.