X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักอุบายรักลิขิตเสน่หา

ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 30

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 30 สหายสนิทมาเยือน

 

หลังเดินออกนอกประตูมาเฮ่อหลันฉือก็บีบนวดไหล่แล้วเอ่ยถามลู่อู๋โยว “คิดจะทำเช่นไรต่อ”

“กินน้ำแกงโบราณ หม้อทองเหลืองที่สั่งไว้มาถึงแล้ว”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างทอดถอนใจ “อารมณ์ของพวกเราดีเสียจริง”

ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นคนคิดบัญชีมิใช่หรือ เหตุใดยังถามทั้งที่รู้อีก”

“ก็ได้” เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม “ผ่านไปหนึ่งเดือนเขาจะมาร้องไห้ขอร้องพวกเราหรือไม่”

ที่สำคัญคือเหยียนเหลียงอาจจะเห็นพวกเขาทำงานอย่างกระตือรือร้นจึงรีบมาแย่งอำนาจ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้บัญชีในที่ว่าการเมืองสุยหยวนยังเป็นบัญชีเสียก้อนใหญ่อยู่

เพราะไม่วางใจทางนี้ ลู่อู๋โยวจึงป้องกันตัวไว้ล่วงหน้า เงินภาษีที่เก็บมาได้วางไว้ในห้องคลังของที่ว่าการ แต่เงินทองที่เขาได้จากการทลายรังโจรและที่ขอมาจากตึกลมบูรพารุจีกลับเก็บไว้ในคลังอีกแห่งหนึ่งที่ซื้อไว้นอกที่ว่าการ บัญชีย่อมต้องแยกทำเช่นกัน

เฮ่อหลันฉือยุ่งกับเรื่องนี้อยู่หลายคืน ทำตัวเลขในบัญชีให้ดูไม่เห็นปัญหาใด การขุดขยายแม่น้ำและสร้างทำนบต้องใช้เงินมหาศาล แต่ที่เหลืออยู่ในที่ว่าการตอนนี้สามารถประคับประคองไปได้อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน และเวลาหนึ่งเดือนเห็นได้ชัดว่าไม่พอที่จะทำให้เสร็จ ถึงตอนนั้นการก่อสร้างย่อมหยุดชะงัก เกิดการร้องเรียน กลายเป็นเสียแรงคนเสียทรัพย์สิน เกรงว่าเหยียนเหลียงไม่เพียงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ยังต้องเดือดร้อนอีกด้วย

ลู่อู๋โยวยักไหล่ “ข้ายังคิดจะไปขอเงินอีกสองก้อน เขาใจร้อนเกินไปแล้ว”

เฮ่อหลันฉือกลับครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ระยะนี้ไม่มีงานอะไรพอดี ข้าไปช่วยงานที่สำนักศึกษาได้แล้ว”

ลู่อู๋โยวเลิกคิ้ว “กินน้ำแกงโบราณก่อน”

เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “อืม!”

 

หม้อทองเหลืองล้างเสร็จแล้ว ตรงกลางหม้อมีปล่องสูง คงมีไว้เพื่อให้ได้รับความร้อนสม่ำเสมอ ตุ๋นน้ำแกงเป็ดไก่แล้วใส่ผักสดและเครื่องปรุงรสจำนวนหนึ่งลงไป ต้มด้วยไฟแรงสักครู่น้ำแกงก็เดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมาจากในหม้อ ไอร้อนพวยพุ่ง

อากาศยังไม่อบอุ่น น้ำแกงในหม้อดูแล้วน่ากินอย่างมาก

เฮ่อหลันฉือยังคิดว่าลู่อู๋โยวกระตือรือร้นเช่นนี้คงจะไปหั่นเนื้อเอง ใครจะรู้ว่าเขากลับนั่งเท้าคางอย่างสบายอารมณ์ รอให้นางมาลงมือหั่น ท่าทางเหมือนคุณชายเกียจคร้าน

นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าไม่ลงมือหรือ”

“จะว่าไปข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าทำอาหารเลย รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างงุนงง “แค่หั่นเนื้อเท่านั้น” แต่นางตัดสินใจไม่ถือสาเขา

หลังจากใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วรวบผมยาวเกล้าขึ้น พับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือจึงหยิบมีดมาเริ่มหั่นเนื้อแพะสดที่เพิ่งซื้อมา เพราะต้องหั่นให้บาง นางจึงระมัดระวังมาก ก้มหน้าหั่นเนื้อทีละชิ้นอย่างตั้งใจ

ลู่อู๋โยวเอนพิงกรอบประตู ก่อนหน้านี้เขางานยุ่งมาก การขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบไม่จำเป็นต้องให้เขาไปทำแล้ว ตอนนี้เขายังมีความสุขเหมือนได้หยุดพักอีกด้วย

หญิงงามคนนั้นเกล้าผมยาวยกสูง ปลายผมส่ายไหวเบาๆ ไปตามการเคลื่อนไหวของนาง ใต้แขนเสื้อที่ถูกพับขึ้นเผยให้เห็นแขนเล็กเนียนลื่น มองจากข้างหลังรู้สึกว่าเอวนั้นเล็กไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือกุมด้วยซ้ำ โครงร่างทอดยาวลงมา เรือนร่างอรชร มีส่วนเว้าโค้งงดงาม

ลู่อู๋โยวมองอยู่ครู่หนึ่ง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว พลันรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้น่าประทับใจอย่างยิ่ง

เฮ่อหลันฉือกำลังตั้งใจหั่นเนื้อ จู่ๆ แผ่นหลังก็รู้สึกร้อนขึ้นทันใด ก่อนจะพบว่ามีคนแนบชิดกายเข้ามาทางด้านหลัง

นางเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง “เจ้าทำอะไร”

ผู้ที่เข้ามากอดเอวนางไว้หลวมๆ จุมพิตลงข้างลำคอ ริมฝีปากดูดผิวของนาง เสียงพูดค่อนข้างคลุมเครือ “ไม่เป็นไร เจ้าหั่นต่อไปเถอะ”

เฮ่อหลันฉือพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เจ้าทำเช่นนี้ข้าจะหั่นอย่างไร!”

“ข้าไม่ได้แตะแขนของเจ้าเสียหน่อย”

ข้างลำคอของนางแดงหมดแล้ว ลมหายใจก็กระชั้นขึ้น “จะหั่นโดนมือได้”

ตอนนี้ลู่อู๋โยวจึงหยุดการกระทำจริงๆ ขณะกำลังครุ่นคิด โจวหนิงอันก็ลูบท้องยื่นหน้าเข้ามาแล้ว

“จะหั่นเสร็จกินได้เมื่อไรเล่า…อ๊ะ! ท่านพ่อไม่สำรวมเกินไปแล้วกระมัง!”

เฮ่อหลันฉือตัวแข็งทื่อ ลู่อู๋โยวทำได้เพียงปล่อยตัวนางแล้วหยิบไม้นวดแป้งอันหนึ่งมาจากในครัว

“เจ้าไปเรียนการพูดจาเหลวไหลมาจากที่ใด”

“จะไปฝึกจากใคร…ช่วยด้วย! ไม้หวายที่ตกลงกันไว้เล่า! ไม้นวดแป้งเกินไปแล้วกระมัง!” พูดจบโจวหนิงอันก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งไปข้างนอก

ในเวลานี้ภายในเรือนพักขุนนางไม่มีคนนอกอยู่

ไม้นวดแป้งในมือลู่อู๋โยวลอยออกไปเสียงดัง ‘สวบ’ ปักลงบนพื้นด้านข้างตัวโจวหนิงอัน ที่ไม่กล้าให้ปักลงบนผนัง เหตุผลหลักคือกลัวว่าจะทำบ้านพัง

“มา ข้าจะขึ้นต้นให้เจ้า ‘หลักการมหาศาสตร์ อยู่ที่การเข้าใจคุณธรรมอันดี อยู่ที่การใกล้ชิดมวลชน’ ต่อจากนี้คืออะไร”

โจวหนิงอันวิ่งหนีวุ่นวาย ปากก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านให้ข้าท่องตอนนี้ ข้าจะจำได้ได้อย่างไร! พูดอีกสักสองประโยคสิ!”

เฮ่อหลันฉืออยู่ในห้องครัวหั่นเนื้อแพะต่อไป ปากก็เอ่ยว่า “ ‘อยู่ที่การหยุดกับการดำรงความดี รู้จักหยุดจึงมีสมาธิ’ ”

โจวหนิงอันตกตะลึง “นั่นข้าก็จำไม่ได้อยู่ดี!”

เฮ่อหลันฉือจึงพูดอีกว่า “ข้าพูดเตือนความจำเจ้าอีกสองสามประโยคดีหรือไม่ ‘ตำรามหาศาสตร์’ ท่องง่ายมาก”

ลู่อู๋โยวเอ่ยว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว เกรงว่าเขาคงจำไม่ได้สักประโยค”

โจวหนิงอันพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ข้าแค่อยากกินน้ำแกงโบราณเท่านั้น พวกท่านทำอะไรกัน!”

ขณะที่เขากำลังพูดก็มีเสียงดังขึ้นนอกประตู

“โอ้สวรรค์ สถานที่นี้หายากเกินไปแล้วกระมัง” เป็นเสียงสตรีที่มีชีวิตชีวา ชัดเจนเสนาะหู “พี่ชาย ท่านอยู่ที่นี่จริงหรือ”

เฮ่อหลันฉือกับลู่อู๋โยวชะงักการกระทำแล้วมองไปยังประตู

โจวหนิงอันฉวยโอกาสนี้หนีไป

เด็กสาวที่ถูกขวางไว้นอกประตูก็เห็นลู่อู๋โยวแล้วเช่นกัน นางกำลังโบกมือให้เขา “ข้าเอง พี่ชาย”

หน้าตาเด็กสาวดูแล้วยังคงมอมแมม แบกสัมภาระใบเล็กของนางใส่หลัง ด้านข้างยังมีชายหนุ่มหน้าตามอมแมมเช่นเดียวกันตามมาด้วย

ลู่อู๋โยวเชิดปลายคางขึ้นแล้วเอ่ยถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

หลังจากนั้นครู่หนึ่งฮวาเว่ยหลิงก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าเล็กที่สกปรกของตนเองแล้วเอ่ยว่า “ท่านจะส่งเขาไปที่บ้านภูเขาถิงเจี้ยนให้ได้มิใช่หรือ เห็นเขาน่าเวทนา ข้าผ่านทางพอดีจึงเดินทางไปส่ง ท่านไม่รู้หรอกว่าระหว่างทางเขาจะเจอคนลอบฆ่าอีก! และแต่ละครั้งก็อันตรายขึ้นทุกที หากปล่อยไว้ไม่สนใจข้าคิดว่ายังไม่ถึงที่หมู่บ้านเขาคงตายก่อนแล้ว ข้าจึงจำต้องไปกับเขาด้วย”

มู่หลิงที่อยู่ด้านข้างใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบสกปรกอย่างสุภาพเรียบร้อยมากเช่นกัน

“เดินๆ หยุดๆ มาถึงกลางทางก็ได้ข่าวว่าท่านถูกจับเข้าคุกหลวง! ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้เคยบอกว่าคุกหลวงกับคุกปิดตายใน ‘บันทึกล้างมลทิน’ น่ากลัวเหมือนกัน ข้าจึงคิดว่าจะปล่อยท่านไว้ไม่สนใจไม่ได้ ข้าต้องไปปล้นคุก…ดังนั้นข้าจึงย้อนกลับไปที่เมืองหลวง”

เฮ่อหลันฉือ “…?” ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ

“สุดท้ายข้ายังไม่ทันถึงเมืองหลวงท่านก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ได้ยินว่ามาที่ห่วงโจว ข้าก็เลยต้องตามมาดูว่าท่านสบายดีหรือไม่” ฮวาเว่ยหลิงเช็ดหน้าสะอาดแล้วก็จัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย “เมื่อครู่อยู่ที่ท่าเรือเจอกับชายฉกรรจ์ที่ยิ้มได้น่ากลัวมากคนหนึ่ง ข้าต่อสู้กับเขาด้วย แล้วก็ได้ยินเขาบอกว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าเลยมาหา”

เฮ่อหลันฉือเอ่ยขึ้น “อาจจะเป็นซุนหลี่กระมัง”

ฮวาเว่ยหลิงเกาศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเป็นคนมาขวางทางเสียอีก”

มู่หลิงพูดด้วยรอยยิ้มจนใจเล็กน้อย “ข้าคิดจะขวางแต่ขวางไม่อยู่ อันตรายที่พวกเราพบเจอตลอดทางนี้มีมากเกินไปหน่อยจริงๆ”

ลู่อู๋โยวมองเขาด้วยแววตาน่ากลัวปราดหนึ่งแล้วพูดกับฮวาเว่ยหลิง “ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ามาที่นี่มีคนตามเจ้ามาหรือไม่”

“ไม่มี ข้าสลัดหลุดไปหมดแล้วจริงๆ รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่ช่างง่ายดายเช่นนี้”

“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” ลู่อู๋โยวมองไปที่มู่หลิงอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายมู่ ขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่”

มู่หลิงเข้าใจความหมาย ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้”

 

ผลปรากฏว่าเพิ่งเดินไปถึงหัวมุมบนมือของลู่อู๋โยวก็ปรากฏคมมีดออกมา ปลายมีดจ่อไปที่มู่หลิงแล้วเอ่ยถามช้าๆ

“เจ้าจงใจหาเรื่องมาใช่หรือไม่ เจ้าติดตามน้องสาวข้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

มู่หลิงชูสองมือขึ้น พูดด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ “ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าความจำเสื่อม นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก”

“ความจำเสื่อมกับเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นคนละเรื่องกัน”

มู่หลิงก้มหน้ามองปลายมีดที่เป็นประกายเยียบเย็นแล้วยื่นมือไปแตะด้ามมีดให้ห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อช้าๆ “แต่ถ้าไม่มีแม่นางฮวา ตอนนี้ข้าอาจจะตายไปแล้ว ใต้เท้าลู่ ข้าไม่มีจุดประสงค์ร้ายจริงๆ”

 

อีกด้านหนึ่งเฮ่อหลันฉือมองหน้าฮวาเว่ยหลิง อยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งไว้แล้วเอ่ยเพียง “ข้าพาเจ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนดีหรือไม่”

ฮวาเว่ยหลิงกำลังคิดจะพยักหน้าก็ได้ยินเสียงท้องร้องขึ้นมา นางลูบท้องพลางสูดจมูกแล้วเอ่ยว่า “กลิ่นอะไรน่ะ หอมยิ่งนัก ตลอดทางนี้ไม่มีอะไรอร่อยเลย”

โจวหนิงอันเห็นลู่อู๋โยวเดินจากไปแล้วก็ฉวยโอกาสพูดว่า “ท่านแม่ เนื้อหั่นได้เท่าไรแล้ว พวกเรากินน้ำแกงโบราณกันก่อนเถอะ! ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว!”

ฮวาเว่ยหลิงได้ยินเสียงก็มองโจวหนิงอันแล้วพูดอย่างตกใจ “พี่สะใภ้ พวกท่านมี…โตถึงเพียงนี้แล้วหรือ ช้าก่อน ข้าเป็นเหมือนในบทละครที่ข้ามผ่านเวลาไปหลายปีใช่หรือไม่…”

เฮ่อหลันฉือขยี้ผมของนาง “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ลูกที่คลอดเอง ไม่ต้องกังวล” นางมองไปทางทิศที่ลู่อู๋โยวเดินไปแล้วเอ่ยอย่างลังเล “รอเขาอีกครู่ดีหรือไม่”

อย่างไรเสียเมื่อครู่เขาก็ดูหิวแล้วเช่นกัน

เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ทั้งห้าคนก็ล้อมอยู่หน้าโต๊ะ ตรงกลางคือหม้อทองเหลืองที่มีน้ำแกงเดือดพล่าน ด้านข้างมีเนื้อแพะและผักวางเต็มไปหมด

เฮ่อหลันฉือก้มหน้าใส่ผักลงไปในหม้อ ฮวาเว่ยหลิงถือตะเกียบพลางเช็ดน้ำลาย โจวหนิงอันก็นั่งถือตะเกียบจ้องตาเป็นมันเช่นกัน ลู่อู๋โยวแววตาเรียบเฉยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ส่วนมู่หลิงยิ้มแย้มดูใจดีมีเมตตา ชั่วขณะหนึ่งบุรุษทั้งสองให้ความรู้สึกเหมือนกระบี่กับคันธนูที่พร้อมจะฟาดฟันกันอยู่เล็กน้อย

ฮวาเว่ยหลิงยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง พูดอย่างเป็นมิตรว่า “อย่าตึงเครียดถึงเพียงนั้น พี่สะใภ้บอกว่าเนื้อพอกิน! ไม่ต้องแย่งกัน”

“…” เฮ่อหลันฉือพูดอะไรไม่ออกจริงๆ

ข้าคิดว่าบรรยากาศเหมือนกระบี่กับคันธนูที่พร้อมจะฟาดฟันกันไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอก

ยังจะกินน้ำแกงกันอย่างสงบได้หรือไม่นะ

น้ำแกงโบราณยังคงเดือดปุดๆ ท่ามกลางไอร้อนพวยพุ่ง กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย

อาหารมื้อนี้กินกันด้วยความอึดอัดอยู่หลายส่วนจริงๆ

คงมีเพียงฮวาเว่ยหลิงที่ไร้ปมในใจ กินคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ ถึงขั้นพับแขนเสื้อขึ้น น้ำจิ้มที่ลู่อู๋โยวเตรียมไว้มีสองอย่าง อย่างหนึ่งรสอ่อน อีกอย่างเผ็ดร้อน ฮวาเว่ยหลิงเลือกแบบเผ็ด กินได้ครู่เดียวก็ต้องแลบลิ้น ใบหน้าเล็กมีเหงื่อแตกพลั่ก

“เผ็ดมากเลย แต่อร่อยมาก นี่เรียกว่าอะไรหรือ”

โจวหนิงอันเอ่ยตอบ “พี่สาว นี่เรียกว่าน้ำแกงโบราณ ท่านดูเวลาใส่ผักลงไปสิ เสียงดัง ‘กูตง’ ออกเสียงคล้ายกับคำว่าโบราณ ก็เลยเรียกชื่อนี้…”

ว่าแล้วเขาก็มองซ้ายมองขวา ดูความคึกคักไปด้วยกินไปด้วย เหมือนคนชอบดูเรื่องคึกคักไม่กลัวจะเกิดเรื่องใหญ่

เฮ่อหลันฉือคีบอาหาร สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบุรุษสองคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างกายนางกำลังมีคลื่นใต้น้ำซัดใส่กัน นางกังวลใจอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะพูดจาไม่เข้าหูแล้วทะเลาะกันขึ้นมา พังโต๊ะอาหารนี้เสียหมด ถึงแม้ในความเป็นจริงพวกเขาสองคนจะกินมากที่สุดก็ตาม

เฮ่อหลันฉือคีบเนื้อจิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่เข้าปากพลางคิดในใจ อืม เป็นเพราะน้ำแกงโบราณอร่อยมากจริงๆ

กวาดเนื้อลงไปแล้วหลายจานใหญ่ เฮ่อหลันฉือยังไปหั่นเนื้อมาอีกหลายจาน ฮวาเว่ยหลิงกินอิ่มจนกุมท้องนั่งผ่อนลมหายใจสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ ลู่อู๋โยวกับมู่หลิงยังคงคีบอาหารกินช้าๆ ทีละคำ

ลู่อู๋โยวเปิดสุราหนึ่งไห ช้อนดวงตาเย็นชาขึ้นมองพลางถามว่า “ดื่มสุราหรือไม่”

เป็นครั้งแรกที่เฮ่อหลันฉือรู้ว่าเขาสามารถช้อนตามองคนโดยไม่แฝงการยั่วยวน มีเพียงการท้าทายได้เช่นกัน

มู่หลิงพูดอย่างเกรงใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ขอรับ ขอบคุณน้ำใจของใต้เท้าลู่มาก”

ตอนกินอาหารเป็นเวลาพลบค่ำ ยามนี้พระจันทร์ลอยเด่นเหนือยอดไม้แล้ว เฮ่อหลันฉือวางตะเกียบลง ลู่อู๋โยวส่งสายตามาให้ นางก็เข้าใจทันที ไล่โจวหนิงอันกลับไปอ่านหนังสือแล้วดึงตัวฮวาเว่ยหลิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ครั้นกลับมานางก็ได้ยินบุรุษสองคนกำลังพูดคุยกันพอดี

“ข้าก็ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายชีวิตน้องสาวข้าให้ได้ แต่เจ้าจริงใจสักนิดได้หรือไม่”

มู่หลิงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าพูดอะไรใต้เท้าลู่คงไม่ยอมเชื่อ ข้าจำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้จริงๆ และไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก ถึงแม้เรื่องที่ทำให้แม่นางฮวาเดือดร้อนนี้ข้าไม่ปฏิเสธ แต่ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ข้ามีหนึ่งคำถาม…” เขาดูเหมือนจะสงสัยมากเช่นกัน “ข้าดูแล้วไม่ควรค่าให้เชื่อถือถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าลองย้อนคิดอย่างละเอียดแล้ว ข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรกระมัง”

เฮ่อหลันฉือคิดในใจว่าคนที่ดูไม่จริงใจกว่าลู่อู๋โยวในอดีตนั้นมีจำนวนน้อยนัก

 

ฮวาเว่ยหลิงพักอยู่ในเรือนด้านข้าง ส่วนมู่หลิงถูกลู่อู๋โยวไล่ไปพักที่เรือนชั้นหน้า

ในเมื่อมาถึงแล้วฮวาเว่ยหลิงรู้ว่าเฮ่อหลันฉือกำลังเตรียมเปิดสำนักศึกษา จึงอาสาไปช่วยเลือกคนคุ้มกันสำนัก ทั้งยังอยากไปดูทำนบตรงที่ขุดขยายแม่น้ำอีกด้วย ถึงต้องเหยียบดินจนขากางเกงเต็มไปด้วยโคลนนางก็ไม่สนใจ ยังพูดกับเฮ่อหลันฉือด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ข้าอยากไปด้วย”

เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปทำอะไร”

“ขุดคลองขยายแม่น้ำน่ะสิ! ข้าเอาพลั่วขุดได้เร็วกว่าพวกเขาเสียอีก!”

เฮ่อหลันฉือรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กสาวจึงเนื้อตัวสกปรกเช่นนี้ นางพูดอย่างลำบากใจ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า”

ฮวาเว่ยหลิงเอ่ยอย่างเศร้าใจ “เฮ้อ มู่หลิงก็พูดเช่นนี้ ยังบอกอีกว่าข้าจะเพิ่มความยุ่งยากให้พวกเขา”

มู่หลิงเดินตามฮวาเว่ยหลิงอย่างไม่รีบไม่ช้า เฮ่อหลันฉือลอบสังเกตการณ์อยู่หลายวันก็พบว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อตรงนัก แต่อย่างน้อยพฤติกรรมยังนับว่าเหมาะสม

หลายวันนี้ลู่อู๋โยวถูกยึดอำนาจไปโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งอีก เหยียนเหลียงไม่ว่าจะปรึกษาหรือตัดสินใจงานใดล้วนหลบเลี่ยงเขา แต่ลู่อู๋โยวก็ยินดีที่มีเวลาว่าง ดื่มน้ำชาอย่างสบายใจอยู่ในที่ว่าการ

คืนนี้เขากับเฮ่อหลันฉือยังคงนอนอยู่บนเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าดหลังนั้น

ลู่อู๋โยวมีเวลาว่างจนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ เฮ่อหลันฉือกลางวันมีงานยุ่ง หลับตานอนหลับไปอย่างรวดเร็ว นางห่มผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงใบหน้าเล็กงดงามที่แนบอยู่บนหมอนนิ่ม ตะแคงตัวนอนอย่างน่ารัก ลมหายใจแผ่วเบา ขนตาเป็นแพหนาหลุบลง ริมฝีปากแดงเผยอออกเล็กน้อย

ถึงแม้เฮ่อหลันฉือจะพูดแล้วว่าไม่ถือสาที่จะใช้สถานที่อื่นนอกจากเตียง แต่เขาก็ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ เลยสักครั้ง

เห็นนางหลับสนิทเขาก็ไม่อยากรบกวน จึงตะแคงตัวพิจารณาใบหน้าของนางครู่หนึ่ง จากจิตใจฟุ้งซ่านจนถึงอารมณ์ว้าวุ่นยากจะควบคุมได้ แล้วกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เขายังคงใช้สมองยามมีเวลาว่างคิดใคร่ครวญว่าตอนนั้นที่ชิงโจวเหตุใดจึงไม่รู้สึกว่านางงดงามเช่นนี้

นางหน้าตาเปลี่ยนไปหรือว่าใจของเขาเปลี่ยนไปกันแน่

ดูเหมือนจะแยกแยะไม่ได้เลย

กลิ่นหอมจางๆ ลอยมา เพราะท่าตะแคงนอนของนาง ชุดนอนที่ไม่หนามากชุดนั้นยังคลายออกเผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งที่ยั่วยวนใจเล็กน้อย ทั้งยังขยับขึ้นลงตามการหายใจ ปอยผมดำขลับห้อยลงข้างหู ระเบาๆ อยู่ข้างแก้มใส ดูเหมือนพร้อมจะลืมตาขึ้นมองเขาอย่างเกียจคร้านงุนงงได้ทุกเมื่อ

เฮ่อหลันฉือในเวลาเช่นนี้น่าจุมพิตเป็นพิเศษ

ขณะกำลังคิด ยามดึกสงัดคนเงียบสนิท เพราะหูตาดีเกินใคร ลู่อู๋โยวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่เบามากดังมาจากเรือนชั้นหน้า

เขาตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกประตูไป

อันที่จริงเฮ่อหลันฉือกำลังสะลึมสะลือ ยังนอนหลับไม่สนิทนัก นางหรี่ตามองเห็นลู่อู๋โยวกำลังสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกประตูไปยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รอจนเขาออกไปแล้วนางก็ฝืนตัวลงจากเตียงไปสวมเสื้อคลุม อยากจะเดินออกไปดูสักนิด

ผลปรากฏว่าพอได้เห็นก็ตื่นเต็มตา คุณชายมู่ผู้นั้นกำลังเปิดประตูใหญ่เดินออกไปกลางดึก

ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ บนถนนมีคนเดินน้อยมาก

มู่หลิงยิ่งเดินยิ่งไกล สุดท้ายก็มาหยุดยืนตรงที่แห่งหนึ่ง

ลู่อู๋โยวเดินไปไม่กี่ก้าวก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของสตรีที่เดินตามมาข้างหลังคนนั้น เขาใช้สายตาถามนางว่าเหตุใดจึงยังไม่หลับ เฮ่อหลันฉือชี้ไปยังที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ลู่อู๋โยวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา

อย่างไรเสียพานางไปดูละครด้วยก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงครั้งสองครั้งแล้ว

มู่หลิงชะงักฝีเท้า ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนหน้าขาวไร้หนวดเคราคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ชายคนนั้นประสานมือคำนับมู่หลิงอย่างนอบน้อม สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ

จากนั้นลู่อู๋โยวกับเฮ่อหลันฉือต่างก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียกมู่หลิงอย่างชัดเจนว่า “นายน้อย”

“…?”

เฮ่อหลันฉือกับลู่อู๋โยวมองหน้ากัน ส่งสายตาสื่อสาร

เฮ่อหลันฉือ ‘เหตุใดเขาถึงเรียกว่านายน้อย’

ลู่อู๋โยว ‘เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร คำเรียกนี้อาจจะเรียกกันล้นตลาดก็ได้ ครั้งหน้าข้าจะให้พวกเขาเปลี่ยนคำเรียกอื่น’

เฮ่อหลันฉือ ‘ไม่ต้องหรอก พวกเราดูต่อไปเถอะ’

เดิมทีน้ำเสียงของมู่หลิงก็เย็นชาอยู่แล้ว เวลานี้กลับฟังดูเฉยชายิ่งขึ้น “เอาล่ะ อย่าตามข้าอีกเลย ข้าไม่สนใจอะไรจริงๆ”

ชายวัยกลางคนพูดเสียงสะอื้น “แต่ว่า…”

“ครั้งหน้าส่งสารมาข้าจะไม่ออกมาแล้ว จะได้ไม่ยุ่งยาก”

“นายน้อย! ท่าน…”

“อย่าเรียกข้าเช่นนี้อีกเลย ฟังแล้วแปลกยิ่งนัก เปลี่ยนมาเรียกข้าว่าจอมยุทธ์น้อยได้หรือไม่”

ชายวัยกลางคนพูดเสียงสะอื้นอีกครั้ง “ท่านจะใช้คำเรียกหยาบกระด้างเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ไม่คู่ควรกับท่าน…”

มู่หลิงกลับหัวเราะแล้วพูดว่า “แต่ข้าชอบ ข้าไปละ”

เห็นมู่หลิงเหมือนจะเดินไปจริงๆ เฮ่อหลันฉือจึงคว้าลู่อู๋โยวไว้ เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายไปแล้วจะทำอย่างไร

ลู่อู๋โยวทิ้งเฮ่อหลันฉือไว้บนหลังคาแล้วหยิกแก้มของนางทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ลอยตัวลงไปอย่างไม่รีบไม่ช้า เดินไปตรงหน้าสองคนนั้น

ค่ำคืนนี้ไร้จันทรา ท้องฟ้าดำสนิทไม่เห็นแสง

มู่หลิงได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหน้ามาดู

เงาร่างสูงสง่าของลู่อู๋โยวค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

สามคนมองหน้ากัน ต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเป็นการพบหน้าที่ช่างน่าอึดอัดโดยไม่คาดคิดจริงๆ

มู่หลิงกระแอมทีหนึ่ง กลับมาสงบนิ่งดังเดิมและเอ่ยอย่างใจเย็น “ใต้เท้าลู่ ข้าไม่รู้จักชายคนนี้ แต่เขามาตามติดข้าไม่เลิก”

สองฝ่ายเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้มีวรยุทธ์คนหนึ่งก็ลอยตัวคิดจะจากไปในทันที แต่พอได้ยินคำพูดของมู่หลิง คงเพราะคิดว่าในเมื่อถูกคนพบเข้าแล้ว เขาจึงชะงักฝีเท้า บนใบหน้าฉายความจนใจและร้อนรนอยู่บ้าง

“นายน้อย ถึงแม้ท่านจะจำไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถ…”

เสียงพูดของเขาแหลมเล็กกว่าบุรุษทั่วไปเล็กน้อย หากไม่ตั้งใจฟังอาจจะฟังไม่ออก

ลู่อู๋โยวเคยพบปะติดต่อคนเช่นนี้อยู่หลายครั้งก็มองออกได้อย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นขันที เดิมทีมีความคาดเดาอยู่หลายส่วน คราวนี้เขามั่นใจยิ่งขึ้นแล้วจึงเอ่ยออกมาทีละคำ

“ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ นายน้อยของเจ้าคือผู้สูงศักดิ์คนใดหรือ”

เฮ่อหลันฉือเงี่ยหูฟัง

มู่หลิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่ ข้าคิดว่านั่นไม่สำคัญ”

ยังคงปากแข็งจริงๆ

ลู่อู๋โยวขยับนิ้วมือเล็กน้อย เดินมาทางมู่หลิงแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อไม่สำคัญ ข้าซ้อมเจ้าสักยกก่อนดีหรือไม่”

มู่หลิง “…?”

ชายวัยกลางคน “เจ้าคิดจะทำอะไร!”

ลู่อู๋โยวยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน “เห็นคุณชายที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนผู้นี้แล้วไม่ค่อยชอบใจนัก อยากจะซ้อมเขาสักยก”

ระหว่างที่พูดลู่อู๋โยวก็ขยับตัวเคลื่อนมาอยู่ข้างกายมู่หลิง ในตอนที่ใกล้จะแตะคอเสื้อของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็ขยับตัวมายกมือขึ้นขวาง วรยุทธ์นับว่าไม่เลว เพียงชั่วครู่ทั้งสองก็ประมือกันอย่างรวดเร็วสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว

เดิมทีเป็นการหยั่งเชิงอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้ใช้ความสามารถเต็มที่

มู่หลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกดหว่างคิ้ว เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างยิ่ง “ยั้งมือเถอะ ใต้เท้าลู่อยากจะซ้อมก็ซ้อม แต่ทางที่ดีอย่าซ้อมใบหน้า แม่นางฮวาเห็นแล้วข้าจะได้ไม่ต้องอธิบายไม่ถูก”

ชายวัยกลางคนเคลื่อนไหวช้าลงในทันที น้ำเสียงยังแฝงความเศร้าสลดและโกรธเคืองเล็กน้อย “นายน้อย! เหตุใดท่าน…”

“ข้าหนีรอดจากความตายมาตลอดทาง ใช่ว่าจะไม่เคยถูกซ้อม”

ชายวัยกลางคนกล่าวในขณะที่น้ำตาแทบจะอาบหน้า “ล้วนเป็น…” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือ “ความทะเยอทะยานของคนเลวนั่น”

ลู่อู๋โยวยั้งมือแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว อย่าให้ต้องคาดเดากันอีกเลย คนเป่ยตี๋ไม่ใช้ขันที ชาวอูเหมิงน่าจะไม่มีความสามารถนี้ เจ้าไม่ใช่คนราชวงศ์นี้ก็เป็นคนราชวงศ์ก่อน ดังนั้นแซ่เซียวหรือแซ่จู หรือว่าเป็น…ทายาทกงโหวคนใด แต่ทายาทกงโหวคงไม่ต้องส่งองครักษ์เสื้อแพรมาตามฆ่ากระมัง ภายในเขตห่วงโจวเดิมทีมีองครักษ์เสื้อแพรไม่เท่าไร แต่หลังจากที่เจ้ามาที่นี่กลับมีแทรกซึมเข้ามาหลายกลุ่มแล้ว”

ชายวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าลู่อู๋โยวจะพูดจาเหิมเกริมเช่นนี้ จึงถลึงตาดุขึ้นมาอีกครั้งทันที “เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”

ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “คำพูดนี้มีกลิ่นอายของการเป็นขันทีแล้ว”

เฮ่อหลันฉือคิดในใจอยู่เช่นกันว่าถูกต้อง

ชายวัยกลางคนพูดด้วยความอับอายและโกรธเคือง “เจ้า! เจ้า…”

มู่หลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าใต้เท้าลู่อยากรู้ให้ได้ เช่นนั้นข้าจะพูดตามจริง”

ชายวัยกลางคนตกใจอย่างยิ่ง รีบเอ่ยขัด “นายน้อย คนผู้นี้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่ได้นะขอรับ!” เขาทำท่าเหมือนอยากจะไปปิดปากมู่หลิงแต่ก็ไม่กล้าทำ “นายน้อย ใคร่ครวญอีกครั้งเถอะ!”

ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยว่า “เจ้าว่ามา”

แม้แต่เฮ่อหลันฉือที่ย่อตัวนั่งอยู่บนหลังคาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหลายส่วนในทันที

มู่หลิงสูดหายใจเข้าลึก ใช้น้ำเสียงเฉกเช่นปกติเล่าชาติกำเนิดที่น่าตกใจยิ่งนักนั้นออกมา

“เขาบอกว่าข้าเป็นทายาทขององค์รัชทายาทไหวจิ่น ตำแหน่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้มาโดยมิชอบ ข้าต่างหากจึงจะเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง ยังบอกว่าอดีตฮ่องเต้ทิ้งราชโองการไว้ให้ข้าหนึ่งฉบับ แต่ปัญหาคือข้าไม่มีความสนใจอะไรจริงๆ รู้สึกเพียงว่ายุ่งยาก ตอนอยู่เมืองหลวงแม้แต่ประตูข้าก็ไม่กล้าออกไป นานทีจะได้ออกสักครั้งยังต้องปกปิดใบหน้า ยังเกือบถูกป้ายร้านทับตายอีกด้วย”

เฮ่อหลันฉือนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกตื่นตกใจ

นางย่อมรู้ว่าองค์รัชทายาทไหวจิ่นเป็นผู้ใด ตอนนั้นนางกับลู่อู๋โยวยังเคยอ่านชีวประวัติของคนผู้นี้ด้วยกันอีกด้วย เขาเป็นพี่ชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นรัชทายาทที่สิ้นพระชนม์อย่างไม่เป็นธรรมในคดีก่อกบฏ ได้ยินว่าเขายังมีบุตรชายอีกหนึ่งคน แต่ระหว่างคดีก่อกบฏไม่รู้ร่องรอยแน่ชัด อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักเพราะคดีก่อกบฏนี้ ช่วงใกล้สวรรคตยังส่งคนออกตามหาหลานชายของตนเองไปทั่ว น่าเสียดายที่ไม่พบคน

ต่อมาหลังจากซุ่นฮ่องเต้สืบทอดราชบัลลังก์เรื่องนี้จึงไม่มีคนพูดถึงอีกเลย

สำหรับเรื่องที่ใครตามล่าสังหารมู่หลิงอยู่ตลอดก็เข้าใจได้ทันที แค่คิดก็รู้ว่าซุ่นฮ่องเต้คงไม่หวังให้บุตรชายของพี่ชายตนเองคนนี้มีชีวิตรอด

ชายวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่ามู่หลิงจะเล่าเรื่องออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้จริงๆ เขาสูดหายใจเข้าอย่างตกใจทันที ท่าทางกลัดกลุ้มขึ้นมา

มู่หลิงหันหน้ามาพูดกับเขาว่า “เจ้าถูกพบตัวแล้ว ปิดบังไปตลอดข้าก็เหนื่อยมากเช่นกัน และที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองหลวง”

หากเปิดเผยตัวตนออกมาที่เมืองหลวง ลู่อู๋โยวอาจจะนำตัวเขาไปแลกกับอนาคตการงาน แต่ที่นี่ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกล ต่อให้มีความคิดเช่นนี้ จะลงมือทำจริงก็ไม่สะดวกถึงเพียงนั้น

ลู่อู๋โยวกลับไม่ค่อยตกใจเท่าไรนัก อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็คาดเดาไว้บ้างแล้ว ความเคารพหวาดกลัวที่เขามีต่ออำนาจราชวงศ์นั้นมีจำกัดมาก เวลานี้ได้ยินก็ส่งเสียง “อ้อ” เพียงหนึ่งคำ

“ดังนั้นเจ้าคือบุตรชายที่หายตัวไปขององค์รัชทายาทไหวจิ่นผู้นั้นหรือ”

“เขาว่าข้าเป็นคนนั้น”

ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “เจ้าจำอะไรไม่ได้สักนิดจริงหรือ”

มู่หลิงพูดอย่างจนใจ “ตอนนั้นข้าลืมหมดแล้ว ต่อมาก็เริ่มจำได้เล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังคงจำไม่ได้ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ได้โกหก นั่นคือข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพคนหนึ่งจริงๆ เขียนบทละครเหล่านั้นก็แค่ทำเพื่อเอาใจเว่ยหลิงเพราะข้าชอบจริงๆ ยามนี้คิดดูแล้วตอนเป็นเด็กน่าจะเคยอ่านมาไม่น้อย”

ลู่อู๋โยวพบว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนคำเรียก “ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกเว่ยหลิง”

มู่หลิงยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าสารภาพความจริงเช่นนี้แล้ว เจ้าน่าจะเชื่อใจข้าบ้างสิ”

ทันใดนั้นลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งทะลวงอากาศยามค่ำคืนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“นายน้อยระวัง!” ชายวัยกลางคนคว้าตัวมู่หลิงให้ขยับตัวหลบ

ส่วนลู่อู๋โยวสายตาคมกริบ เขากลับหลังหันทันที ก่อนจะได้ยินเสียงคนยืนอยู่บนที่สูงเอ่ยขึ้น

“ใต้เท้าลู่ เรื่องที่เจ้าสมคบกับโจรกบฏข้าจะรายงานตามจริง ขอให้ตอนนี้เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”

องครักษ์เสื้อแพรที่สวมชุดลำลองคนหนึ่งกำลังจับตัวเฮ่อหลันฉือ จ่อดาบไว้ที่คอของนาง

ไม่รอให้ลู่อู๋โยวลอยตัวขึ้นไปก็เห็นเฮ่อหลันฉือชักมีดสั้นออกมา พลิกมือแทงมีดลงบนแขนขององครักษ์เสื้อแพรคนนั้นอย่างรวดเร็ว การกระทำเหมือนไม่คิดอะไรเลย องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นรู้สึกเจ็บจึงผ่อนแรงบนมือ เฮ่อหลันฉือจึงขยับเท้ากระโดดไปข้างหน้าในทันที

ใต้หลังคาเป็นพื้นดินที่ห่างจากพื้นราวสองสามคนยืนต่อกัน หลังคาฝั่งตรงข้ามไกลยิ่งกว่า นางไม่มีทางกระโดดข้ามไปได้

องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นยังคิดจะยื่นมือไปคว้าตัวนางไว้ แต่ลู่อู๋โยวลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ขยับตัวอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ รับตัวเฮ่อหลันฉือที่กระโดดมาหาเขาไว้ได้อย่างมั่นคงแล้วยกมือข้างหนึ่งขว้างมีดบินที่ปลิดชีวิตได้อย่างร้ายกาจเป็นการโต้กลับ

เฮ่อหลันฉือมีท่าทีตอบสนองโดยสัญชาตญาณทั้งสิ้น ยิ่งกลัวยิ่งลงมือรวดเร็ว

เมื่อครู่ตอนอยู่กลางอากาศนางยังหลับตา หัวใจเต้นรัว ตอนนี้นางลืมตาขึ้นในที่สุด หลังคอยังรู้สึกชาเพราะความตื่นเต้น

ลู่อู๋โยวด้านหนึ่งปล่อยสัญญาณควันเรียกคนอื่นมา องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว ด้านหนึ่งยังคงยกมุมปากยิ้ม รีบพูดกับเฮ่อหลันฉือ

“เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ”

เฮ่อหลันฉือโอบไหล่ของเขาแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “เจ้ายังรับข้าไม่ได้อีกหรือ”

ลู่อู๋โยวริมฝีปากยกยิ้มมากขึ้น “นั่นย่อมเป็นต่อให้ตายก็ต้องรับให้ได้แล้ว”

ชายวัยกลางคนข้างกายมู่หลิงก็เริ่มเรียกคนทันทีเช่นกัน ทว่ามู่หลิงผลักเขาออกแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ”

ชายวัยกลางคนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง

ถ้านับคนที่ยิงธนูจากที่ไกลด้วย องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้มีทั้งหมดราวเจ็ดแปดคน ไม่นับว่ามากนัก

ครั้นเห็นสัญญาณควัน คนของลู่อู๋โยวก็รุดมาอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นรวมไปถึงฮวาเว่ยหลิงด้วย

เด็กสาวมาถึงเร็วที่สุดราวกับสายฟ้าในค่ำคืนมืดมิด เหมือนว่าในพริบตาก็มาถึงตรงหน้าแล้ว จากนั้นนางก็ยกมือวาดคมกระบี่ ฟันองครักษ์เสื้อแพรที่กระจายตัวรอบด้านเมื่อครู่จนแตกไม่เป็นขบวน

ปากของนางยังพูดเสียงดังอีกว่า “นี่! ข้าไม่ได้มาสายไปกระมัง! กลางวันกินมากเกินไปหน่อย จึงรู้สึกง่วงเล็กน้อย”

ลู่อู๋โยวไม่พกกระบี่ติดตัว ไม่สะดวกเหมือนนางจริงๆ กำลังจะเอ่ยปากก็เห็นมู่หลิงที่ยืนอยู่ที่เดิมกำลังหยิบลูกธนูที่ตกพื้นขึ้นมา ก่อนจะขยับไปมุมหนึ่งแล้วกรีดแขนซ้ายของตนเองจนมีรอยเลือดสองรอยโดยไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย

เฮ่อหลันฉือ “…”

“…” ลู่อู๋โยวนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขากอดเฮ่อหลันฉือ ตั้งสติเล็กน้อยก่อนจะพูดกับฮวาเว่ยหลิงว่า “อย่าให้พวกเขาหนีไป คนเดียวก็ไม่ได้”

“ได้!”

ฮวาเว่ยหลิงเหมือนเหยี่ยวจับลูกไก่ ไม่นานก็ร่วมกับคนอื่นไล่จับองครักษ์เสื้อแพรไว้ได้ทีละคน หลังจากนั้นก็กระโดดลอยตัวอย่างคล่องแคล่วมาดูมู่หลิงแล้วเอ่ยถาม

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดถึงวิ่งออกมา”

มู่หลิงกุมแผลบนแขนซ้าย ใบหน้าซีดขาวขณะส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นอะไรมาก”

“เหตุใดจึงบาดเจ็บอีกแล้ว ให้ข้าดูสักนิด…”

มู่หลิงหลุบตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องดูหรอก บาดแผลเล็กน้อย เจ้ามาก็พอแล้ว”

ลู่อู๋โยวได้แต่แสดงสีหน้ารังเกียจ “แผลนั่นเขาเป็นคนทำเอง”

ฮวาเว่ยหลิงเงยหน้าขึ้น “…?”

เฮ่อหลันฉือซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลู่อู๋โยว รู้สึกชื่นชมเขาอย่างเงียบๆ

ถูกลู่อู๋โยวเปิดโปงความจริง เฮ่อหลันฉือยังคิดว่ามู่หลิงจะรู้สึกอับอาย ทว่าไม่เลย เขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม

“ไม่ต้องสนใจบาดแผลของข้า”

ฮวาเว่ยหลิงกลับเอ่ยถามตามตรง “เหตุใดเจ้าจึงต้องทำให้ตนเองบาดเจ็บ”

มู่หลิงยิ้มบางก่อนจะเอ่ยตอบ “เพราะว่า…”

ลู่อู๋โยววางตัวเฮ่อหลันฉือลงแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ “เพราะอยากให้เจ้าเป็นห่วงเขา เห็นใจเขา สงสารเขา…”

พูดจบเขายังให้คนค้นบนตัวองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้อีกว่ามีจดหมายสายรายงานอะไรทำนองนี้หรือไม่ รวมถึงตามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย คนที่มาย่อมมีไม่มากและไม่เป็นที่เอิกเกริก อย่างไรเสียองค์รัชทายาทไหวจิ่นก็สิ้นชีพไปนานมากแล้ว อีกฝ่ายน่าจะอยากฆ่ามู่หลิงให้ตายไปด้วยเท่านั้น

ฮวาเว่ยหลิงยังคงไม่เข้าใจ นางพูดออกมาตามจิตใต้สำนึกทันที “นั่นก็ไม่จำเป็น…” แต่ยังคงหยิบยาสมานแผลออกมาเทลงบนแผลของมู่หลิงเล็กน้อย

มู่หลิงส่งเสียง “ซี้ด” เบาๆ หลุบตาลงอีกครั้งแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด “เป็นปัญหาของข้าเอง คืนนี้ไม่เพียงทำให้แม่นางฮวาเดือดร้อน ยังทำให้ใต้เท้าลู่กับฮูหยินเดือดร้อนอีกด้วย…”

เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปอย่างชัดเจนมาก

ฮวาเว่ยหลิงลืมความสงสัยก่อนหน้าไปอย่างรวดเร็วจริงดังคาด “ข้าไม่เป็นไรเลย พี่ชาย ท่านยังทำอะไรอีก”

เฮ่อหลันฉือแยกประสาทฟังไปสองประโยคจึงพบว่าฮวาเว่ยหลิงช่างแตกต่างกับนิสัยการถามซักไซ้ไล่เลียงของลู่อู๋โยว ฮวาเว่ยหลิงไม่ใส่ใจจริงๆ ก็ไม่แปลกที่ร่วมเดินทางมานานถึงเพียงนี้นางกลับยังไม่รู้ฐานะแท้จริงของมู่หลิง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเจอคนไล่ล่าสังหารทุกวันเช่นนี้ เกรงว่าคงเกิดความสงสัยและอยากจะสลัดหลุดจากอีกฝ่ายไปนานแล้ว

“เก็บกวาดความยุ่งเหยิง…เอาล่ะ อย่าเสแสร้งอีกเลย” ประโยคหลังนั้นเห็นชัดว่าลู่อู๋โยวพูดกับมู่หลิง “มาพูดคุยกันว่าเจ้าวางแผนจะทำอะไรดีกว่า” เขาเลื่อนสายตามามองชายหนุ่ม “เจ้าไม่คิดจะครองบัลลังก์จริงหรือ”

ฮวาเว่ยหลิงพูดอย่างสงสัย “ครองบัลลังก์? เจ้าเป็นองค์ชายหรือ”

“บิดาของเขาเคยเป็นรัชทายาท พูดอย่างเคร่งครัดแล้วเขาก็เป็นพระราชนัดดา ตามกฎระเบียบของต้ายงต้องสืบทอดตำแหน่ง หลังจากองค์ชายทั้งห้าของซุ่นฮ่องเต้แล้วจึงจะถึงตาของเขา แต่ถ้ามีราชโองการของอดีตฮ่องเต้จริง การสืบทอดตำแหน่งนี้สามารถปรึกษากันอีกทีได้” ที่สำคัญอยู่ที่มีคนสนับสนุนหรือไม่

มู่หลิงพันแผลของตนเองพลางพูดโดยไม่ช้อนตาขึ้นมอง “ไม่ได้วางแผนนี้เลย”

เฮ่อหลันฉือยังอยู่ในอาการตื่นตกใจเล็กน้อย

ค่ำคืนอันน่าตกใจผ่านไปอย่างตื่นเต้นมาก นางยังไม่ทันปรับอารมณ์ได้ทั้งหมด ครั้นมองไปที่มู่หลิงก็ยังคงไม่สามารถนึกภาพได้ชัดเจนนักว่าเขาคือทายาทขององค์รัชทายาทไหวจิ่นในตำนานผู้นั้น

ลู่อู๋โยวค้นเจอจดหมายสายรายงานฉบับหนึ่งบนตัวองครักษ์เสื้อแพร เขาชูขึ้นแล้วส่ายไปมา “แล้วนี่มันเรื่องอะไร”

ยามนี้มู่หลิงจึงช้อนตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย “เป็นท่านอาต่ง ก็คือคนที่เจ้าพบเมื่อครู่ เขายังคงติดต่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าอะไรนั่น บอกว่าท่านพ่อข้า…ก็คือองค์รัชทายาทไหวจิ่นผู้นั้นเมื่อก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังมาก อยากอาศัยสิ่งนี้ช่วยข้าฟื้นคืนฐานะ”

เฮ่อหลันฉือคิดในใจว่านี่เป็นเรื่องจริง

ในอดีตองค์รัชทายาทไหวจิ่นมีชื่อเสียงบารมีโด่งดังมาก มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นบุคคลที่มีความสามารถจนน่าตกใจ พูดจาฉะฉาน ในราชสำนักน่าจะมีคนเกินครึ่งเป็นพรรคพวกของเขา ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่ผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงมีคนรู้สึกเสียดายมากมายเช่นนี้ ผู้มีความสามารถที่เหลือไว้ในสำนักกิจการองค์รัชทายาทเพื่อช่วยเขาปกครองแผ่นดินเหล่านั้นตอนนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงแล้ว

“แต่ว่า…” สายตาของมู่หลิงมองไปทางฮวาเว่ยหลิงอย่างเศร้าสลด “ข้าเพียงอยากจะท่องยุทธภพไปพร้อมกับจอมยุทธ์หญิงฮวาเท่านั้น”

“หา?” ฮวาเว่ยหลิงเกาศีรษะอีกครั้ง “แต่พวกเราก็ไม่เคยท่องยุทธภพนี่นา มีแต่เร่งเดินทางกับถูกตามฆ่า เจ้าชอบชีวิตเช่นนี้หรือ”

“ก็ใช่ว่าจะไม่…”

ลู่อู๋โยวพูดตัดบทคำพูดของชายหนุ่ม “มิสู้เจ้าพูดตามตรงเลยดีกว่าว่าคิดจะใช้น้องสาวข้าเป็นองครักษ์”

มู่หลิงเอ่ยขึ้นทันใด “ข้าไม่มีความคิดเช่นนี้”

ในตอนนี้เองลู่อู๋โยวค้นเจอจดหมายสายรายงานอีกหนึ่งฉบับ เขามีท่าทีตกใจเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือเห็นสีหน้าของเขาผิดปกติจึงขยับเข้าไปดูด้วย

จดหมายฉบับนี้เกี่ยวกับฮวาเว่ยหลิง เป็นคำอธิบายรูปร่างหน้าตาของฮวาเว่ยหลิงกับภาพวาดอีกภาพหนึ่ง

เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่ฮวาเว่ยหลิงช่วยมู่หลิงเอาไว้คงยังไม่ถูกใครพบเห็น ยามอยู่เมืองหลวงอาจเป็นเพราะโชคดีหรืออาจเป็นเพราะในช่วงแรกมู่หลิงออกจากบ้านน้อยมาก ต่อมาเขาก็เหมือนเป็นผู้ติดตามของฮวาเว่ยหลิง สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สรุปคือช่วงเวลานั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไร

หลังออกจากเมืองหลวงอาจเป็นเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าขององค์รัชทายาทไหวจิ่นหาตัวมู่หลิงเจอ จึงทำให้ทั้งสองคนถูกไล่ล่าสังหารต่อ ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าปิดปากคนพวกนั้นได้ทุกครั้ง เช่นนั้นต้องมีคนเห็นโฉมหน้าของฮวาเว่ยหลิง จึงได้มีจดหมายสายรายงานเช่นนี้

หากไม่จัดการปัญหานี้ ฮวาเว่ยหลิงอาจจะเดือดร้อนไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นวันนั้นที่เมืองหลวงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นฮวาเว่ยหลิงในฐานะน้องสาวของลู่อู๋โยว และเวลานี้นางยังพักอยู่ที่นี่อีกด้วย ต่อให้ปิดปากองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้ในตอนนี้ การจะสืบสาวมาถึงตัวลู่อู๋โยวก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว

น้องสาวเขาไปเป็นองครักษ์ให้โจรกบฏในสายตาของซุ่นฮ่องเต้ ทำอย่างไรก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน

เฮ่อหลันฉือยื่นมือไปสะกิดลู่อู๋โยว

ลู่อู๋โยวคิดไปในทางเดียวกับนางอย่างเห็นได้ชัด เขากางจดหมายฉบับนั้นออก แววตาค่อยๆ เย็นชาลง “คุณชายมู่ แผนของเจ้าแผนนี้ข้าว่าไม่ค่อยดีนัก”

มู่หลิงก็เห็นแล้วเช่นกัน เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า ข้าสูญเสียความทรงจำ”

ทันใดนั้นลู่อู๋โยวก็มีความคิดขึ้นมาแล้ว เขาไม่เสียเวลาพูดเหลวไหลเช่นกัน “สองทางเดิน ทางหนึ่งคือเจ้ายอมให้จับหรือแกล้งตายก็ได้ สรุปคือปล่อยฐานะก่อนหน้าของเจ้าเป็นโมฆะ ถ้าเจ้ายังคิดจะติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเหล่านั้นอีกก็อย่ามาเข้าใกล้น้องสาวของข้า อีกทางหนึ่งคือเจ้าฟื้นคืนฐานะของเจ้าในเร็ววัน เรื่องนี้ไม่ยากเช่นกัน องค์รัชทายาทไหวจิ่นมีผู้ใต้บังคับบัญชาเก่ามากมายอย่างนั้น ต้องมีคนที่ควรค่าเชื่อถือได้ มีหลักฐานมีพยานบุคคล ประกาศฐานะของเจ้าออกไป อย่างไรเสียเจ้าเป็นเพียงพระราชนัดดา บิดาเจ้าก็ไม่เคยเป็นฮ่องเต้จริงๆ คงไม่มีอุปสรรคมากมายอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ซุ่นฮ่องเต้จะทำอย่างไร ในทางเปิดเผยย่อมมีความหวั่นเกรงอยู่บ้าง”

ฮวาเว่ยหลิงขยับศีรษะเข้ามาใกล้ ยังแสดงความเห็นต่อภาพวาดของตนเองด้วย จากนั้นจึงถามเฮ่อหลันฉือเสียงเบา

เฮ่อหลันฉืออธิบายให้นางฟังเสียงเบาเช่นกัน

มู่หลิงหลุบตาลง ขนตายาวปรกลงมา แววตาดูอึมครึม เขาพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ใต้เท้าลู่รังเกียจข้ามากจริงๆ ทางที่หนึ่ง ข้ายังคงมีความเสี่ยงที่จะตายอย่างมาก และจะให้แม่นางฮวาปกป้องข้าไปชั่วชีวิตไม่ได้เช่นกัน สำหรับทางที่สอง สุดท้ายก็ต้องถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านอาเล็กของตนเองจับตัวขังไว้แน่นอนกระมัง”

ลู่อู๋โยวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเอ่ยว่า “หรือเจ้าจะลองพิจารณาไปชิงตำแหน่งฮ่องเต้นั่นก็ได้ พูดตามจริงในจำนวนองค์ชายไม่กี่คนของซุ่นฮ่องเต้ไม่มีใครร้ายกาจเป็นพิเศษ”

เขาเคยสัมผัสมาแล้ว จึงสามารถพูดได้

มู่หลิงกลับเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้จริงๆ ไม่มีอิสระเลยสักอย่าง”

“ก็ไม่ถึงขั้นนั้น ราชวงศ์ก่อนก็มีฮ่องเต้ที่ไม่เข้าประชุมราชสำนักยี่สิบปี ไม่สนใจเรื่องราวใต้หล้า ยังมีคนที่ชอบแต่งชุดสามัญชนออกไปท่องเที่ยว ถึงขั้นมีคนนำทหารออกรบ ถ้าได้ขึ้นตำแหน่งนั้นจริง ขอเพียงไม่กลัวคำครหาหลังจากตายไป อยากทำอะไรก็สามารถทำตามใจเจ้าได้”

มู่หลิงครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เหตุใดฟังไปแล้วเหมือนเจ้ากำลังยุยงข้าเลย”

ลู่อู๋โยวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าอยากจะซ้อมเจ้ามาก แต่เพราะถูกเจ้าทำให้เดือดร้อน ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา และข้าก็ไม่ชอบองค์ชายสองคนนั้นที่กำลังเข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทด้วย อันที่จริงตอนนี้ฆ่าเจ้าให้ตายก็แก้ปัญหาได้เช่นกัน แต่น้องสาวข้าคงจะไม่เห็นด้วย”

ฮวาเว่ยหลิงคงจะเห็นมู่หลิงเป็นสหายแล้ว และจะว่าไปแล้วมู่หลิงก็ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่งอะไรมาก่อนจริงๆ ในเรื่องการถูกไล่ล่าสังหารนี้เขาถือว่าไร้ความผิด

ฮวาเว่ยหลิงทนไม่ไหวส่งเสียงแทรกขึ้นมา “พี่ชาย ท่านเข้าใจข้าดีเสียจริงนะ!”

“เจ้าพูดให้น้อยลงสักนิดก็ได้”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

เหตุใดเจ้าจึงขโมยคำพูดของข้าเล่า

ไม่ถูก สิ่งที่นางควรตื่นตกใจคืออีกเรื่องหนึ่ง ลู่อู๋โยวกำลังยุยงให้คนเป็นฮ่องเต้จริงๆ

มู่หลิงได้ยินประโยคข้างหลังนั้นแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็เอ่ยว่า “แต่ใต้เท้าลู่ก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน”

ลู่อู๋โยวพูดอย่างเปิดเผยยิ่ง “อย่างน้อยตอนนี้นอกจากโกหกคนแล้วเจ้าก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำให้ข้ารังเกียจเป็นพิเศษ และข้าไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน…”

ฐานะของมู่หลิงนี้ถูกกำหนดให้มีจุดจบที่ดีได้ยากมาก

ลู่อู๋โยวหลีกเลี่ยงเรื่องที่ฮวาเว่ยหลิงถูกมู่หลิงทำให้เดือดร้อนไม่ได้ หากเขายังคิดจะอยู่ในแวดวงขุนนางต้ายงต่อไปก็ต้องทำให้ฐานะของมู่หลิงถูกต้องตามกฎหมาย

“ข้าสงสัยมากเรื่องหนึ่ง” มู่หลิงพูดว่า “ตามที่ข้าเห็น ต่อให้ใต้เท้าลู่ออกจากราชสำนักต้ายงก็สามารถทำงานใหญ่อื่นได้ เหตุใดต้องยึดติดเช่นนี้ด้วย…เจ้าถูกลดตำแหน่งย้ายมาที่นี่ กล่าวตามจริงแล้วไม่มีอำนาจใดให้พูดได้เลย ได้ยินว่าระยะนี้ถูกเจ้าเมืองดึงอำนาจไปหมดอีก เจ้าเสียแรงใจแรงกายที่นี่ อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้”

ในคำพูดของมู่หลิงเหมือนแฝงความไม่เข้าใจจริงๆ

ลู่อู๋โยวได้ฟังแล้วก็หัวเราะ ทว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก เฮ่อหลันฉือก็ทนไม่ไหวพูดขึ้นก่อน

“ข้าก็สงสัยมากเรื่องหนึ่งเช่นกัน ข้าเคยอ่านบทความขององค์รัชทายาทไหวจิ่น เขาเป็นห่วงแผ่นดินเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริง อยากจะทำงานหนักปกครองแผ่นดิน มีปณิธานกว้างไกล ถ้าคุณชายมู่เป็นทายาทขององค์รัชทายาทไหวจิ่นจริง จะไม่เข้าใจได้อย่างไร”

ถึงแม้คำพูดของมู่หลิงนี้อาจจะเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ลู่อู๋โยวอย่ายึดติดกับแวดวงขุนนางก็ตาม

มู่หลิงชะงักไปเล็กน้อยคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าสูญเสียความทรงจำแล้ว”

ดูเหมือนข้ออ้างนี้สามารถใช้ได้แปดร้อยรอบ

เฮ่อหลันฉือรู้สึกโกรธเล็กน้อย นางไม่คิดว่าลู่อู๋โยวกำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ “คุณชายมู่ ข้าคิดว่าเป็นขุนนางไม่ได้ทำเพื่ออำนาจเท่านั้น ถ้าเจ้าคิดเพียงเท่านี้ เช่นนั้นไม่จำเป็น…”

นางกำลังกลั่นกรองว่าทำอย่างไรจึงจะไม่พูดตรงเกินไปนัก

ลู่อู๋โยวกลับกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “อาจเป็นเพราะพวกเขาแซ่เซียวไม่มีความคิดใดกระมัง องค์รัชทายาทไหวจิ่นก็คุยโวมากกว่าลงมือจริง”

มู่หลิงพูดขึ้นทันใดว่า “ก็ไม่ใช่เช่นนั้น”

ลู่อู๋โยวเลิกคิ้วพูดอย่างสบายใจ “หืม?”

“เขาอยากเป็นฮ่องเต้ที่ดี ก็แค่ตั้งใจมากเกินไป จึงได้ถูกระแวง ถูกทำร้ายจนตายก็เพราะแนวคิดไปขัดผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่ ถ้าทำตามความคิดของเขาอาจจะทำให้ทะเลสงบไร้คลื่นลม ราษฎรไร้กังวลเรื่องกินอยู่ ใต้หล้าสงบสุขได้จริง”

ลู่อู๋โยวเอ่ยถาม “เจ้าสูญเสียความทรงจำแล้วมิใช่หรือ”

มู่หลิงพูดอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าใจไม่เต้น “เมื่อครู่เพิ่งนึกขึ้นได้”

“เช่นนั้นยังมีอะไรน่าถามอีก”

ฮวาเว่ยหลิงฟังแล้วก็กึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ นางไม่สนใจราชสำนักต้ายงเลยสักนิด ติดตามบิดามารดาอยู่ในยุทธภพตั้งแต่เด็ก บุกเหนือตะลุยใต้ดูประเพณีผู้คนไปทั่ว ระหว่างทางเห็นความอยุติธรรมก็ชักดาบเข้าช่วย แต่ก็พอจะรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่บ้าง

นางหันหน้าไปมองมู่หลิงแล้วถามว่า “เจ้าจะได้เป็นฮ่องเต้จริงหรือ”

ตอนมู่หลิงพูดคุยกับนางน้ำเสียงก็อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว “ไม่ค่อยมั่นใจ”

ฮวาเว่ยหลิงถามต่อ “แล้วจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่”

มู่หลิงได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มเศร้า “เรื่องนี้เจ้าทำให้ข้าลำบากใจเล็กน้อย”

ฮวาเว่ยหลิงพูดอย่างตกใจ “เจ้าอยากเป็นฮ่องเต้ทรราชหรือ!”

มู่หลิงเอ่ยอธิบาย “ข้าไม่แน่ว่าจะได้เป็นฮ่องเต้ต่างหาก”

“อ้อ” ฮวาเว่ยหลิงพยักหน้า “เช่นนั้นถ้าเป็นแล้ว เจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่ แบบที่ไม่ทำให้ราษฎรต้องอดอยาก ตอนข้าช่วยเจ้ากลับมา อ้า เจ้าคงจำไม่ได้แล้ว ระหว่างทางเจอผู้ประสบภัยที่หิวโหยมากมาย ข้ายังซื้ออาหารแจกโจ๊กอีกด้วย ยังมีระหว่างทางที่พวกเราออกจากเมืองหลวงยังได้เห็น…ตอนนั้นเจ้าก็รู้สึกว่าน่าเวทนามากมิใช่หรือ ถึงแม้…” นางพร่ำบ่น “พวกเราดูไปแล้วเหมือนหนีตายเช่นกัน”

มู่หลิงพูดอย่างเงียบๆ ว่า “นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น…”

ฮวาเว่ยหลิงยิ้มจนเห็นลักยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “เรื่องอยู่ที่คนทำ เจ้าลองพยายามดู เจ้าดูสิ บทละครร้ายกาจเพียงนั้นเจ้ายังเขียนได้เลย…”

มู่หลิง “…”

นี่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ลู่อู๋โยวตบไหล่มู่หลิงทีหนึ่งเป็นการกลบเกลื่อน “ฟ้ามืดเกินไปแล้ว กลับไปนอนเถอะ คุณชายมู่เจ้าใคร่ครวญให้ดี ข้าจะคอยระวังความเคลื่อนไหวขององครักษ์เสื้อแพรในห่วงโจวคนอื่น ก่อนที่พวกเขาจะพบเจ้า ทางที่ดีเจ้าควรให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้า”

กำจัดคนกลุ่มนี้ทิ้งก็ยากมากพอแล้ว เขาเองก็ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับต้ายงจริงๆ

เฮ่อหลันฉืออ้าปากหาวเช่นกัน ตบศีรษะของฮวาเว่ยหลิงเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าก็รีบนอนได้แล้ว”

 

ระหว่างทางกลับ กลางดึกไร้ผู้คน

เฮ่อหลันฉือจึงกล้าพูดเสียงเบาว่า “เจ้าจริงจังอย่างนั้นหรือ”

ลู่อู๋โยวเอ่ยตอบ “อย่างไรก็ต้องยุให้เขาฟื้นคืนฐานะก่อน กว่าจะถึงตอนที่เขาถูกจับตัวก็ยังมีเวลาอีกสักพัก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซียวไหวจั๋วคงแค่เพียงส่งคนไล่ฆ่าเขาเป็นนิสัย ที่อีกฝ่ายกลัดกลุ้มยิ่งกว่าน่าจะเป็นเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ของรัชทายาท”

เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่”

“ยกทัพก่อกบฏอย่าคิดเลย ต่อให้องค์รัชทายาทไหวจิ่นมีอำนาจบารมีในกองทัพ ตอนที่บันทึกประวัติศาสตร์เซวียนฮ่องเต้ข้าจำได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าขององค์รัชทายาทไหวจิ่นมีบางคนเป็นแม่ทัพชายแดนที่ห่วงโจวนี้…ถ้าเริ่มต่อสู้กันต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายรุนแรงมาก และความขัดแย้งภายในต้ายงรังแต่จะทำให้เป่ยตี๋ได้ประโยชน์ไปเท่านั้น แม้จะได้ข่าวว่าองค์ชายหลายคนของเป่ยตี๋ตอนนี้ก่อเรื่องวุ่นวายมากเช่นกัน แต่ก็บอกได้ไม่แน่นอนว่าจะบุกมาเมื่อไร” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เดินเส้นทางบีบให้สละราชบัลลังก์นั้นไม่แน่ว่าอาจจะมีหวังอยู่บ้าง ดูว่าเซียวหนานสวินกับเซียวหนานป๋อจะสู้กันจนตายไปทั้งสองฝ่ายได้หรือไม่ แล้วค่อยรอตักตวงผลประโยชน์ เซียวไหวจั๋วก็อาศัยสิ่งนี้ขึ้นตำแหน่งมิใช่หรือ อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องสกุลเซียวของพวกเขา ขุนนางราชสำนักไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรก อาศัยชื่อเสียงขององค์รัชทายาทไหวจิ่น ไม่แน่ว่ายังมีคนสนับสนุน เรื่องอื่นไม่พูด สวีเก๋อเหล่าก่อนหน้านี้ก็เคยบรรยายตำราแก่องค์รัชทายาทไหวจิ่นมาก่อน”

“ยังมีองค์ชายองค์อื่นอีกมิใช่หรือ แต่ถ้าทุกคนยังเด็กอยู่ เรื่องนั้นก็…”

เห็นนางตั้งใจใคร่ครวญ ลู่อู๋โยวจึงขยับเข้าไปเล็กน้อย จับผมปอยหนึ่งของนางมาพันนิ้วมือเล่น “เจ้าคิดจะมองดูเขาขึ้นตำแหน่งจริงหรือ”

นางมาอย่างเร่งรีบ ผมเผ้าไม่ได้เกล้ามวยดี เพียงแค่มัดอย่างเรียบง่ายไว้หลังศีรษะ

เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “อย่างไรก็ดีกว่าสองคนนั้น”

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เมื่อครู่กระโดดใส่อ้อมกอดข้า คิดได้อย่างไรกัน”

หัวข้อสนทนาของเขาเปลี่ยนเร็วราวกับลมพัด เฮ่อหลันฉือพูดอย่างตกใจ “ไม่ได้คิดอะไรนี่ ก็…” แค่กระโดดไปเลย

“พูดให้มากอีกนิดซิ”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างงุนงง “ตอนดาบจ่อบนคอของข้า ข้ารู้สึกกลัวมาก…”

“จากนั้นเล่า”

“ครั้งหน้าข้าจะฝึกฝนให้มาก น่าจะมีท่าทีตอบสนองเร็วกว่านี้อีกนิด หลบได้ก่อนที่เขาจะจ่อดาบเข้ามา”

ลู่อู๋โยวพูดต่อไปว่า “จากนั้นเล่า”

เฮ่อหลันฉือพยายามใคร่ครวญ “อ้อจริงสิ กำไลที่เจ้าให้มาข้ายังใส่อยู่ อันที่จริงเมื่อครู่ไม่ต้องกระโดด หากเกี่ยวหลังคาฝั่งตรงข้ามก็อาจจะหนีได้เช่นกัน ข้ายังสามารถใช้ไหล่กระแทกให้เขาตกลงไปได้ด้วย ถ้าข้าสงบสติอีกสักนิด”

ลู่อู๋โยวมองนางอย่างจนคำพูดยิ่งนัก “ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่ามีวิธีแก้ปัญหาอื่นหรือไม่ แต่เป็น…”

ตอนนี้ดวงตาดอกท้อของเขาราวกับมีตะขอ เขาจับจ้องนาง นอกจากแววหยอกเย้าและยั่วยวนยังแฝงความรู้สึกซับซ้อนมากมาย ดูลึกล้ำ ดวงตากลอกกลิ้งไปมา

เฮ่อหลันฉือหัวใจเต้นแรง ทันใดนั้นก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ตนเองจะพูดอะไร รู้สึกเพียงว่าปากแห้งเล็กน้อย

เดิมทีกลางคืนนอนหลับไม่ได้ดื่มน้ำ ทั้งยังพูดจามากมายเช่นนี้อีก ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืนแล้วปากแห้งก็เป็นเรื่องปกติมาก

ขณะที่เฮ่อหลันฉือกำลังคิดจู่ๆ ก็แลบลิ้นออกมาโดยไม่ตั้งใจ เลียริมฝีปากให้ชุ่มชื้นโดยไม่รู้ตัว พลันเห็นแววตาของลู่อู๋โยวอ่อนโยนลงเล็กน้อยในทันใด

ลู่อู๋โยวตัวแข็งเกร็ง นิ้วมือที่จับผมของนางบีบแน่นขึ้น กะพริบตาช้าๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่ เหตุใดจู่ๆ จึงเริ่มยั่วยวนข้าอีกแล้ว”

เฮ่อหลันฉือดึงสติกลับมาจึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรลงไป ก่อนที่จะหน้าแดงนางก็รีบพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เจ้ายั่วยวนข้าก่อน”

ลู่อู๋โยวพูดขึ้นช้าๆ “ใครกันที่แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก”

“…เจ้าใช้สายตาไม่ปกตินั่นมองข้าก่อน”

ลู่อู๋โยวจ้องนางลึกซึ้งยิ่งขึ้นพลางเอ่ยว่า “นี่เจ้ากำลังปั้นเรื่องว่าข้าใช้สายตาเช่นนี้มองเจ้าทุกวันหรือ”

เฮ่อหลันฉือ “…!”

“ก่อนหน้านี้นานมากก็เป็นเช่นนี้ เจ้าคงไม่ได้เพิ่งเห็นตอนนี้กระมัง”

เฮ่อหลันฉือยังอยากจะสู้ต่อ แต่ก่อนหน้านี้สายตาที่เขามองผู้อื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ แต่ที่ผ่านมานางไม่รู้สึก ยามนี้กลับรู้สึกว่า…ตนเองอยากใกล้ชิดกับเขาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

“เห็นอยู่บ้าง แต่…” พอนางตื่นเต้นจะรู้สึกว่าริมฝีปากและลิ้นแห้งมากขึ้น ดังนั้นจึง…

ลู่อู๋โยวกลืนน้ำลายเบาๆ อุ้มนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “พอแล้ว เจ้าอย่าพูดอีกเลย”

เขากระโดดขึ้นลงหลายครั้งจนมาถึงลานบ้านของตนเอง

กลางคืนมืดมิดเพราะยังไม่ได้จุดตะเกียง มีเพียงแสงดาวสลัวราง

เฮ่อหลันฉือยังยืนไม่มั่นก็ถูกลู่อู๋โยวดันไปติดกำแพง ดึกสงัดคนเงียบสนิท มีเพียงเสียงหัวใจเต้น ยังได้ยินเสียงเคาะบอกเวลาดังแว่วๆ มาจากที่ไกล ภายในลานบ้านลมเย็นพัดผ่าน หม้อทองเหลืองที่พวกเขาใช้กินน้ำแกงโบราณใบนั้นยังปิดฝาวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนจะมีคนโผล่มาที่นี่อยู่ตลอดเวลา

นางส่งเสียงคราง ทนไม่ไหวจนต้องยื่นแขนสองข้างไปโอบคอของลู่อู๋โยว

เขาหัวเราะเบาๆ ประคองเอวและขาของนางที่อ่อนลงอย่างรวดเร็ว จับข้อพับเข่าข้างหนึ่ง ให้นางยกขาเกี่ยวเอวเขาเอาไว้ แนบตัวติดกับเขามากขึ้น มืออีกหนึ่งข้างสอดผ่านผมยาวไปจับหลังศีรษะของนาง หางคิ้วหางตาเผยให้เห็นความเย้ายวนจิตวิญญาณ

ระหว่างริมฝีปากไร้ช่องว่าง ร่างกายก็เช่นกัน

เฮ่อหลันฉือใจเต้นราวกับรัวกลอง ได้ยินเสียงเย้ายวนใจของลู่อู๋โยวพูดอย่างแหบแห้งว่า “นั่นอาจจะเป็นเพราะเจ้าก็ต้องการข้าเช่นกัน”

เฮ่อหลันฉือจิตใจไม่อยู่กับตัวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนางกับลู่อู๋โยวจูบกันจนเกือบจะถูกฮวาเว่ยหลิงที่เดินเข้าประตูมาเห็น แต่เป็นเพราะคำพูดของเขา

ตอนนี้คิดไปแล้วยังคงมีความรู้สึกขัดเขินและละอายใจที่ทำให้มือเท้างุ้มเกร็ง

ถึงแม้ลู่อู๋โยวจะพูดคุยถ้อยคำส่วนตัวกับนางโดยไม่ปิดบังอะไร แต่นางก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเช่นกัน ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงมันขึ้นมา ในใจค่อยๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่าอันที่จริงที่เขาพูดดูเหมือนไม่เลวเช่นกัน

นางชอบจูบกับเขา ถึงขั้นเรื่องที่ไม่ค่อยสบายตัว ควบคุมร่างกายของตนเองไม่ได้ก็ยังรู้สึกชอบ

ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้สึกว่าตนเองสามารถรับได้ ทั้งยังถลำลึกต่อไปอีกด้วย

 

เฮ่อหลันฉือต้องพยายามขจัดความคิดกวนใจในระหว่างที่ยุ่งอยู่กับงานของสำนักศึกษา

หลังจากติดต่อข้าหลวงฝ่ายการศึกษาและซื้อบ้านเสร็จแล้ว อาจารย์ พ่อครัว คนงาน และคนคุ้มกันสำนักศึกษาก็เจรจาไว้พร้อมสรรพเช่นกัน นอกจาก ‘ตำราตรีอักษร’* ‘ตำราร้อยแซ่’** ‘ตำราพันอักษร’ ยังมี ‘ขุมปัญญาผู้เยาว์’ ที่สั่งพิมพ์ใหม่หนึ่งชุดยังมาไม่ถึง เฮ่อหลันฉือหาเวลาว่างเขียนคำอธิบายที่เข้าใจง่ายขึ้นจำนวนหนึ่งลงไปเพื่อสะดวกในการอ่าน

เพื่อทดสอบผล นางยังให้โจวหนิงอันช่วยอ่านด้วยหนึ่งรอบ

โจวหนิงอันพูดอย่างปวดศีรษะ “…ข้าไม่อยากอ่านหนังสือจริงๆ!”

เฮ่อหลันฉืองุนงง “เจ้าเป็นญาติผู้น้องแท้ๆ ของเขาจริงหรือ”

โจวหนิงอันกลับพูดอย่างมีเหตุผลว่า “มังกรมีบุตรเก้าคน ยังแตกต่างกันเลย! ข้าไม่ชอบเรียนหนังสือมีอะไรแปลกเล่า!”

ฮวาเว่ยหลิงตั้งใจช่วยนางอ่านแล้ว ทั้งยังหยิบบทละครที่ตนเองชอบในระยะนี้ออกมาพูดให้นางฟังอย่างกระตือรือร้นอีก

“พี่สะใภ้ ท่านไม่ลองพิจารณาบทละครสักนิดหรือ ข้าคิดว่าเช่นนี้อ่านแล้วค่อนข้างน่าสนใจ”

เฮ่อหลันฉือส่ายหน้าอย่างหนักแน่นแล้วเปลี่ยนไปถามว่า “แล้ว…สองวันนี้มู่หลิงเป็นอย่างไรบ้าง”

“เขาน่ะหรือ ปกติดีมาก เวลากินก็กิน เวลานอนก็นอน แผลบนแขนหายดีแล้ว!”

นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีก็แค่ถากเป็นรอยเลือดสองรอยเท่านั้น

เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอีก “แล้วเจ้ามีความเห็นเช่นไรต่อเขา”

ฮวาเว่ยหลิงพูดอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “เป็นสหายข้าน่ะสิ สหายข้ามีมากมาย ก็แค่…เขาอาจจะเป็นคนที่ค่อนข้างโชคร้าย พี่สะใภ้อาจจะดูไม่ค่อยออก เมื่อก่อนเขาน่าจะบาดเจ็บบ่อยครั้ง ดังนั้นตอนนี้แผลจึงหายเร็วถึงเพียงนี้”

เฮ่อหลันฉือวางใจลงได้เล็กน้อย

สุดท้ายเห็นลู่อู๋โยวที่ท่าทางสบายอารมณ์นั่งลงชงชาตรงลานบ้านอีกครั้ง หางตายกขึ้นพูดกับนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เหตุใดจึงไม่เอามาให้ข้าอ่าน”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าความรู้สึกที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินั้นผุดขึ้นมาอีกครั้ง และไม่กล้ามองหน้าเขานัก จึงพูดกลบเกลื่อน

“เจ้าอ่านไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

ลู่อู๋โยวหมุนถ้วยกระเบื้องขาวเล่นกลางหว่างนิ้วไปมา ดวงตาสีอ่อนเปล่งประกาย “เจ้าไม่ให้ข้าอ่านจะรู้ได้อย่างไร”

“อย่าพูดยอกย้อนเลย ข้าไปทำงานแล้ว”

“ฉือฉือ ระยะนี้เจ้าเขินอายบ่อยขึ้นนะ”

เฮ่อหลันฉือยังคงไม่มองเขา กอดตำราในมือแล้วพูดเสียงเบา “หยุดวุ่นวายกับข้าได้แล้ว”

ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ “ก็ได้ เจ้ามาจูบข้าหนึ่งที ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”

เฮ่อหลันฉือ “…”

วันเวลาผ่านไปอย่างสบายใจ เพียงแต่ยังคงกังวลเรื่องทางด้านมู่หลิงอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าก่อนมู่หลิงตัดสินใจจะเกิดเรื่องขึ้นที่นอกเมืองสุยหยวนเสียแล้ว

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มิ.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: