บทที่ 3
ต้นไม้ในกระถางเล็กๆ บนเคาน์เตอร์ทำอาหารเหี่ยวแห้งใกล้ตาย
สองมือจับกันไว้ที่ท้ายทอย สองขาเกี่ยวที่บาร์เดี่ยว ทำท่าซิตอัพ ทุกครั้งที่เขายกตัวขึ้นจะมีเหงื่อไหลทะลักออกมามากมาย
กิ่งก้านสีเขียวเริ่มเหี่ยวเฉา เหมือนจะบอกว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว จากไปซะยังดีกว่า
เขาไม่อยากจะสนใจต้นไม้เส็งเคร็งพวกนี้ แต่จะทำเป็นมองไม่เห็นพวกมันก็ไม่ได้ ทุกครั้งที่เดินมาตรงนี้ ใบที่แห้งเหี่ยวใบแล้วใบเล่ามักจะเตะตาเขา ทำให้มองเห็นต้นไม้เส็งเคร็งสามกระถางได้อย่างชัดเจน
ขณะนี้เป็นช่วงฤดูหนาว เป็นปกติที่ดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้จะตายในฤดูหนาว
เขาประสานมือไว้ที่ท้ายทอยแล้วยกตัวขึ้นอีกครั้ง ความไม่พอใจอัดแน่นอยู่เต็มอกขณะที่คิดว่าบ้านเรือของเขาไม่ใช่ห้องที่อบอุ่นอีกต่อไป
ใบไม้ที่เหี่ยวแห้งกลับเข้ามาอยู่ในสายตาของเขาอีกครั้ง มันยิ่งทำให้เขาโมโหมากขึ้นอีก
เขาควรจะทิ้งมันไปตั้งแต่วันนั้น แต่ตอนนั้นมันพวกมันยังมีชีวิตอยู่ แล้วมันก็อยู่ในที่ที่เหมือนกับว่ามันอยู่มาทั้งชีวิต เหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านของมัน พวกมันอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่แล้ว จนทำให้เขาลืมไปเลยว่าเดิมทีที่เคาน์เตอร์ทำอาหารไม่มีกระถางต้นไม้พวกนี้
ก็เหมือนกับผู้หญิงบ้าคนนั้น
เขาพลิกตัวกลับลงมาจากบาร์เดี่ยวอย่างฉุนเฉียว เดินมาที่กระถางต้นไม้ หยิบขึ้นมาแล้วโยนทิ้งถังขยะ นาทีนั้นเองที่กลิ่นบางอย่างโชยจากกระถางต้นไม้ในมือ
มิ้นต์…
แล้วความทรงจำช่วงหนึ่งก็ส่งเสียงขึ้นมาในหัว
‘นี่คืออะไร’
‘ลูกอมมิ้นต์’
‘ลูกอม? ลูกอมคืออะไร’
‘ไม่รู้สิ’
‘ลองกินดูสิ อมนะไม่ต้องเคี้ยว’
เขายังจำท่าทางสงสัยของเธอได้ เธอจ้องมองเขาแล้วก็เอาลูกอมมิ้นต์ใส่เข้าปาก เพียงครู่เดียวใบหน้าเล็กๆ ก็แสดงสีหน้าตกใจสุดขีดพร้อมกับทำตาโตบอกเขาว่า
‘หวานจัง’
‘ชอบไหม’
‘อืม เย็นๆ นะ’
เธอพยักหน้า ริมฝีปากสีชมพูยกขึ้นเล็กน้อย
‘กระปุกนี้ยกให้คุณ’
ได้ยินแล้วเธอก็เบิกตาโตขึ้นไปอีก
‘กินลูกอมเยอะไม่ดีนะ จะทำให้ฟันผุ คุณกินลูกอมแล้วอย่าลืมแปรงฟันด้วยล่ะ’
เขาจำได้ว่าตัวเองไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ แต่อย่างว่านะ เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จักเข้าหาคนอื่นแบบปกติเท่าไร
ด้วยเหตุนี้ลูกอมกระปุกนั้นจึงเป็นของเธอ
เธอชอบลูกอมกระปุกนั้น บางทีเขาเห็นเธอกอดกระปุกลูกอมไว้เหมือนกับกระรอกตัวเล็กๆ ที่กอดเมล็ดสนอย่างหวงแหน นั่งอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ กินลูกอมด้วยใบหน้าที่อิ่มเอม
เธอกินลูกอมมิ้นต์นั่นนานมากแล้วแต่ก็ยังไม่หมดสักที มีอยู่วันหนึ่งเขาถึงรู้ว่าไม่ใช่เธอว่าไม่ชอบกิน แต่เสียดายที่จะกินมัน
ตอนที่เหลือลูกอมอยู่ไม่กี่เม็ด เธอถึงขนาดแบ่งลูกอมไว้กินได้หลายๆ วัน ยิ่งตอนที่เขารู้ว่าเธอคายลูกอมออกแล้วห่อมันไว้ในกระดาษเพื่อจะได้เอากลับมากินในวันถัดไป เขารีบซื้อกระปุกใหม่มาให้เธอ
เดิมทีเขาคิดจะให้สักโหล แต่เขากลัวว่าจะทำให้เธอตกใจ ในสภาพแวดล้อมที่เธอเติบโตขึ้นมา ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ของทุกอย่างมีราคาของมัน
ตอนที่เธอพบว่ามีลูกอมมิ้นต์เต็มกระปุกนั้น เขาได้เห็นใบหน้าเล็กๆ สว่างไสวขึ้นมา
‘ลูกค้าให้มา ของขวัญคริสต์มาสน่ะ’
เขาบอกเธออย่างนั้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังค่อยๆ กินมันอย่างระมัดระวัง ต่อมาเมื่อเธอกินลูกอมในกระปุกเดิมหมด เธอถึงจะเปิดลูกอมกระปุกใหม่
เขาคิดว่าเธอทิ้งกระปุกลูกอมเก่าไป จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้ทิ้งมันไปเลย เธอเอากระปุกเซรามิกใบเก่ามาปลูกต้นมิ้นต์
ก้มหน้ามองกระปุกเซรามิกในมือกับต้นมิ้นต์ใกล้จะตายนั่น เขาเม้มปากแน่น หางตากระตุกเล็กน้อย เหมือนกับเขาเห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้ ใช้ใบไม้สดๆ จากกระถางมาทำน้ำมะนาวมิ้นต์ แสงแดดส่องผ่านช่องรับแสง สาดส่องไปที่ตัวของเธอ สายลมอ่อนๆ พัดมาที่ใบหน้าอันสงบของเธอ
เขาวางกระถางมิ้นต์ลง ยื่นมือออกไปดึงลิ้นชัก กระปุกลูกอมมิ้นต์ยังวางอยู่ที่นั่น
ลูกอมของเธอ
เขาให้เธอปีแล้วปีเล่า
เธอชอบกินลูกอมมาก แต่ก็กินมันอย่างช้าๆ อย่างทะนุถนอม กระปุกนี้เป็นกระปุกที่สี่ ส่วนสามกระปุกเก่านั้นวางอยู่ที่เคาน์เตอร์ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ไม่ซ้ำกัน
มิ้นต์ โหระพาฝรั่ง โรสแมรี่
‘เพราะมันกินได้’
เธอพูดอย่างนั้น
เขารู้ว่าเธอชอบมิ้นต์มากที่สุด ชอบที่มันเย็นสดชื่น ชอบที่มันหอมสดชื่น เขารู้ว่าสำหรับเธอแล้วนั้น…นั่นคือกลิ่นของความเป็นอิสระ
เขาจ้องมองกระปุกลูกอมนั่นก่อนเอากระถางมิ้นต์วางลงในอ่างล้างจาน เปิดก๊อกน้ำจนกระทั่งน้ำท่วมกระถางมิ้นต์
เขาหยิบกระปุกลูกอมในลิ้นชักออกมา เปิดฝาออกดูพบว่ายังเหลือลูกอมอยู่อีกครึ่ง
เธอค่อยๆ กินลูกอมเพราะกลัวว่ามันจะหมด มันคือเมล็ดสนของเธอ เป็นสิ่งมีค่าของเธอ
เขาหยิบลูกอมออกมาหนึ่งเม็ด อมเข้าในปาก
…หวานมาก
เขาคิดแล้วเขาก็หยิบกระถางอีกสองใบเล็กวางลงไปในอ่างล้างจาน
ตอนที่เพิ่งรู้จักกับเธอนั้น เขาเคยสงสัยว่าเธออาจจะเป็นมนุษย์จักรกลที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องสร้างขึ้นมา เพราะเธอช่างเหมือนกับมนุษย์จักรกลที่ไร้ความรู้สึก
…เธอมีความรู้สึก
เขาคิดว่าเธอไม่ใช่คนที่ชอบคิดเรื่องเก่าๆ
…แต่เธอชอบคิดเรื่องเก่าๆ
เขาใช้นิ้วคลึงลวดลายบนประบุกในมือเบาๆ อย่างเผลอไผล
เธอไม่น่าจะลืมเอากระปุกลูกอมอันแสนมีค่านี้ติดตัวไปด้วย มันยังเหลืออีกตั้งครึ่งนะ
อยู่ๆ หัวใจเขาก็เต้นแรงและเร็วขึ้น
เขาดูบันทึกในกล้องวงจรปิด เธอเต็มใจจะจากไปพร้อมกับหานอู่ฉี
เขาโมโหมากที่อยู่ๆ เธอก็จากไป เขายังเห็นอีกว่าก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะจากไปยังทำอาหารแล้วกักตุนเสบียงกับของใช้ไว้เต็มเรือ
เขาจับกระปุกลูกอมขณะที่สมองทำงานอย่างรวดเร็ว
เธอจากไปแล้ว จากไปพร้อมหานอู่ฉี แม้แต่สร้อยข้อมือที่เขาให้เธอก็ถอดทิ้งไว้ แต่เธอคงคิดว่าจะไปไม่นาน ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ทิ้งกระปุกลูกอมไว้ และคงไม่ไปซื้อของใช้ในบ้าน คงไม่ช่วยจัดการตุนเสบียงอาหารไว้ให้เขา
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทำไมผ่านมาเดือนกว่าเธอก็ยังไม่กลับมาอีก
ฉับพลันก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง ถึงกับทำให้เขาขนหัวลุก
สร้อยข้อมือ สร้อยข้อมือที่เธอปลดมันออกมา หากเธอแค่ไปช่วยเหลืองานของเรดอายชั่วคราว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปลดสร้อยข้อมือนั่น
บ้าเอ๊ย!
เขาคงออกจากเรดอายมานานจนลืมไปว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็น คนแซ่หานนั่นเลือดเย็นมากแค่ไหน
เขาวางกระปุกลูกอมลง รีบกลับเข้าไปในห้องหาพาสปอร์ตตัวเอง คว้ากระเป๋าเดินทาง มุ่งหน้าไปดาดฟ้าเรืออย่างรีบร้อน ก่อนที่จะออกไปเขาหันกลับมามองเคาน์เตอร์ทำอาหาร เดินกลับไปหยิบกระปุกลูกอมยัดเข้าไปในกระเป๋าเดินทาง แล้วจึงโทรศัพท์เพื่อจองตั๋วเครื่องบิน พร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจ
บ๊าเอ๊ย! เขาหวังว่าตัวเองจะไปทัน!
“ถ้าจะเป็นฝ่ายล่าต้องทำอย่างไร”
แอลลี่มองเธอด้วยความฉงน “อาวุธอย่างเดียวที่พวกเรามีก็คือปืนที่เอามาจากสองคนนั่น แล้วก็มีดสั้นที่เธอถืออยู่ คนพวกนั้นมีอาวุธครบมือ เดวิดบอกว่าบางคนมีปืนกลด้วย แล้วฉันก็เพิ่งมั่นใจว่ามีคนหนึ่งในสองคนนั้นเป็นฆาตกรต่อเนื่อง”
“พวกมันใช่ทั้งหมดนั่นแหละ”
เมื่อพูดไปแล้วฮั่วเซียงถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดออกไป
สีหน้าของแอลลี่ เดวิด เอลิซาเบธซีดเผือดในฉับพลัน แม้วิลล์จะมีผิวสีดำ แต่สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดี
ความหวาดกลัว ความหวั่นเกรง ความประหวั่นพรั่นพรึง ความสิ้นหวังต่างๆ พรั่งพรูออกมา
‘เรื่องมันไม่ได้ง่ายๆ’
หานอู่ฉีเคยเตือนเธอไว้
‘คุณต้องปลอบใจพวกเขา ทำให้พวกเขาเชื่อใจคุณ แล้วเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาร่วมมือกับเรา’
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัด เรื่องเกลี้ยกล่อมคนอื่นเป็นหน้าที่ของผู้ชายคนนั้นต่างหาก
สำหรับเขา การพูดหรืออธิบายกับใครสักคนเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย ผู้คนก็มักจะเชื่อถือคำพูดของเขา มันไม่ใช่ทักษะที่จะเลียนแบบกันได้
อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเลียนแบบได้
ฮั่วเซียงมองหญิงชายตรงหน้าที่สติหลุด เธอสูดหายใจเข้าลึกพยายามจะอธิบาย
“ตามที่ฉันได้รับรายงานมา นักล่าในเกมนี้แบ่งออกเป็นระดับ นั่นก็แปลว่าเกมก็เช่นกัน ถ้าเกมจบลงง่ายๆ อาจจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้เล่น ไม่สามารถดึงดูดเงินเดิมพันได้ แล้วก็ไม่ตื่นเต้นเร้าอารมณ์สักเท่าไร เพราะฉะนั้นพวกมันจะไม่จัดนักล่ากับเหยื่อทีมีความสามารถแตกต่างกันมากมาไว้ด้วยกัน”
“คุณแน่ใจได้อย่างไรว่านักล่าพวกพวกนี้ไม่ใช่นักล่าเลเวลต่ำๆ” วิลล์เอ่ยปากถาม
“ก่อนหน้านี้ฉันได้รับรายงานว่าดวงตาของนักล่าเลเวลสูงๆ เป็นดวงตาประดิษฐ์ที่ทำขึ้นมาพิเศษ แต่ดวงตาของสองคนเมื่อกี้เป็นของจริง เลเวลของเกมที่พวกเราอยู่จึงเป็นเพียงเลเวลต่ำที่สุด” เธอพูดต่อว่า “ดังนั้นที่นี่ถึงมีค้อนปลายแหลมกับค้อนเหล็กเต็มไปหมด พวกเราไม่ได้มีแค่ปืนสองกระบอกในมือนี้เท่านั้น เครื่องมือพวกนั้นก็คืออาวุธ น้ำมันในเครื่องจักรด้านนอกก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ พวกเราสามารถ…”
พูดได้เพียงครึ่งเดียว ฮั่วเซียงก็ได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางด้านนอกจึงรีบยกมือเป็นสัญญานบอกให้ทุกคนหยุด
ในเวลาเดียวกัน เดวิดที่คอยสังเกตการณ์หน้าต่างด้านนอกก็รีบนั่งลงอย่างรีบร้อน
“มีคนกำลังเดินมา” เขากระซิบบอก มือที่ถือปืนสั่นเล็กน้อย ทำให้เธอสงสัยว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่มอบปืนให้เขา
ทั้งห้าคนนั่งซ้อนไหล่ชิดติดผนัง พร้อมกับมีเหงื่อไหลออกมาไม่ได้หยุด
พวกเขาได้ยินเสียงคนเดิน ตามด้วยเสียงคนผลักประตูบาร์เหล้าบานเก่านั่น ประตูบานนั้นไม่ได้หยอดน้ำมันมานาน ทุกครั้งที่มีคนผลักประตู มันก็จะส่งเสียงเหล็กเสียดสีน่าเสียวฟันออกมา
เสียงเปิดประตูในยามค่ำคืนลอยไปไกลมาก
คนคนหนึ่งเดินเข้าไปในบาร์เหล้า จากนั้นด้านนอกก็เข้าสู่ความเงียบสงบ ในขณะที่แอลลี่ตั้งใจจะหันกลับไปดูสถานการณ์ ฮั่วเซียงรีบจับเธอไว้ด้วยความรวดเร็ว ไม่ให้เธอเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นก็มีเสียงยิงปืนดังสนั่นติดต่อกัน มันดังชัดเจนราวกับอยู่ข้างหู แอลลี่ตกใจหวีดร้อง เอลิซาเบธเอามืออุดหู ซุกตัวร้องไห้น้ำตาไหลพราก ขณะที่เดวิดและวิลล์ตัวแข็งทื่อ
เธอรู้และพวกเขาก็รู้ว่าคนเมื่อครู่คือนักล่าที่ฆ่านักล่าอีกสองคนซึ่งถูกทิ้งอยู่ในบาร์เหล้า
เสียงสะท้อนของเหล็กที่เสียดสีกันดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิด
ต่อมาก็คือเสียงก้าวเดินหนักๆ ที่ไม่คิดจะปิดบัง ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือเสียงก้าวเดินนั่นยังคงวนไปรอบๆ ช้าๆ ทีละก้าวๆ เดินมุ่งหน้ามาที่นี่
หยดน้ำตาจากดวงตาสีฟ้าของเอลิซาเบธกำลังไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว
ยิ่งคนพวกนั้นใกล้เข้ามา แอลลี่ที่อยู่ข้างๆ ฮั่วเซียงก็ตัวสั่นมากขึ้น เธอสังเกตเห็นว่าเอลิซาเบธไม่ได้ยกมือปิดหูแล้ว แต่เอามือมาปิดปาก วิลล์เหงื่อออกจนเสื้อยืดของเขาเปียกชื้น ใบหน้าของเดวิดก็มีเหงื่อไหลออกมาเหมือนกับฝนตกไม่หยุด
วินาทีถัดมา ทุกคนจ้องมองเงาที่ทอดจากตรงหน้าต่าง เป็นเงาของชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นใส่หมวกและถือปืนกล
ทันใดนั้นก็มีลำแสงสว่างจ้าสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาเอลิซาเบธตกใจจนเกือบจะกระโดดลุกขึ้นมา
ฮั่วเซียงกำมีดสั้นในมือไว้ รู้ว่าสถานการณ์อาจหลุดจากการควบคุมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชายคนนั้นใช้เพียงไฟฉายส่องไปรอบๆ ห้อง ไม่ได้มีทีท่าจะเข้ามา
มันยืนอยู่นอกอาคารนานมากจึงได้เดินกลับไป
ฮั่วเซียงไม่ขยับ อีกสี่คนก็เช่นกัน ทุกคนรู้แก่ใจดีว่านักล่าคนนั้นยังอยู่ด้านนอก พวกเขายังคงได้ยินเสียงก้าวเดินของนักล่านั่น
นักล่าคนนั้นเดินไปรอบๆ เดินไปที่อาคารทีละหลังๆ พวกเขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นครั้งคราว สร้างความสั่นประสาทได้มาก แต่เสียงปืนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น
ไม่รู้ว่านานขนาดไหน ในที่สุดก็ไม่มีเสียงอะไรจากด้านนอกลอยเข้ามาอีก
“พวกคุณคิดจะรอความตายอยู่ที่นี่หรือว่าจะทำตามแผนการของฉัน”
“เธอมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าพวกเราเป็นฝ่ายชนะ เกมนี้จะสิ้นสุดลง เธอคิดว่าผู้เล่นพวกนั้นจะยอมปล่อยพวกเราไปเหรอ” เดวิดเอ่ยถาม
“ฉันไม่มั่นใจ” ฮั่วเซียงมองพวกเขาแล้วพูดว่า “แต่ฉันรู้ว่าหากพวกเราไม่ต่อสู้ก็จะตายอยู่ที่นี่”
“เธอพูดถูก” แอลลี่สนับสนุน “ถ้าพวกเราไม่ลุกขึ้นต่อสู้ก็คงจะต้องรอความตายอยู่ที่นี่แน่นอน ฉันจะร่วมมือด้วย”
“ผมอีกคน” วิลล์พยักหน้า
“ก็ได้” เดวิดกำปืนแน่น
ฮั่วเซียงมองไปที่เอลิซาเบธ เด็กสาวพยักหน้ารับพร้อมพูดว่า “หนูก็ด้วย หนูจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นด้วย เธอแอบถอนใจอย่างโล่งอก ได้ยินวิลล์ถามขึ้นว่า
“แล้วแผนการของคุณคืออะไร”
แผนการของเธอง่ายมาก เธอต้องการให้พวกเขาไปเอาน้ำมันเชื้อเพลิง ขวดเหล้า ขวดโค้กมาทำเป็นระเบิดเพลิงไว้รับมือกับพวกนักล่า
“ทำไมพวกเราถึงไม่ใช้ปืนต่อสู้กับพวกมัน” วิลล์ถามขึ้น
ฮั่วเซียงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เพราะถ้าใช้กระสุนหมดก็จะไม่มีเพิ่มแล้ว แต่พวกเราไม่รู้ว่ามีนักล่ากี่คนกันแน่ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำงานกันเป็นทีมหรือไม่”
วิลล์ขยับตัวลำบากเธอจึงมอบปืนให้เขากระบอกหนึ่ง สั่งให้เอลิซาเบธอยู่กับเขาที่นี่ ส่วนปืนอีกกระบอกยังอยู่ในมือของเดวิด เธอบอกให้เขาออกไปกับแอลลี่เพื่อเอาน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องจักรที่อยู่ด้านนอกบาร์เหล้า ส่วนเธอจะไปที่เครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อเอาน้ำมันเชื้อเพลิงมาเช่นกัน
แม้ว่าจะหวาดกลัว แต่ทุกคนก็ยังเห็นด้วยกับเธอ
ดังนั้นเธอจึงเดินออกไปที่ลานโล่งกว้างที่มีเครื่องจักรตั้งอยู่ ส่วนเดวิดกับแอลลี่ตรงไปที่บาร์เหล้า
แอลลี่ไม่ได้ชอบแผนการนี้นัก
เธอไม่อยากกลับไปเห็นศพของนักล่าสองคนที่บาร์เหล้านั่น แต่เธอก็ไม่อยากจะอยู่กับนักล่าที่ยังมีชีวิตมากกว่า แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในขณะที่พวกเธอแอบซ่อนตัวจากนักล่านั้น ผู้หญิงที่ช่วยทุกคนไว้ใช้นิ้วมือเขียนลงบนทรายว่า
‘ที่นี่มีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมด
ในกลุ่มพวกเรามีนักล่าแฝงอยู่
อยากรอด ต้องตาย’
ฮั่วเซียงลบตัวอักษรออกไปแล้วเขียนอีกครั้ง
‘ไปที่บาร์เหล้า ฉันทำลายกล้องวงจรปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ถอดนาฬิกามาใส่ให้ศพแล้วเผาซะ จากนั้นออกมาทางประตูหลัง หลบเข้าไปในป่า แล้วฉันจะไปหาคุณเอง’
แอลลี่อยากจะถามมากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่มีโอกาส ฮั่วเซียงเอากล่องไม้ขีดไฟเก่าๆ ยัดใส่มือเธอ หน้าเดวิดลอยมาในความคิด
บางทีเธอไม่ควรเชื่อผู้หญิงคนนี้ แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น เรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาหลายวันนี้ทำให้มั่นใจว่าคนพวกนั้นเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ทีทางที่จะคุยกันด้วยเหตุผลได้
ระหว่างทางเธอตั้งใจจะทดสอบเดวิด แต่ก็กลัวว่าเขาจะมองออกว่าเธอมีบางอย่างผิดปกติไป
แอลลี่เพิ่งรู้จักกับเดวิดได้เพียงแค่สองวัน เธอไม่มีทางจะเชื่อใจเขาได้เต็มร้อย และเธอก็ไม่อาจเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากฮั่วเซียงเป็นนักล่า ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนี้
เพื่อรักษาชีวิตรอด สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงบาร์เหล้า แอลลี่หาถังที่น่าจะเคยเป็นถังน้ำส่งให้เดวิดเพื่อใส่น้ำมันเชื้อเพลิง จากนั้นเธอเดินเข้ามาในบาร์เหล้าแกล้งทำเป็นหาขวดเหล้า ศพของนักล่าสองคนยังนอนอยู่ที่นั่น ศีรษะถูกยิงเละ เมื่อเธอเห็นเข้าก็เกือบจะอาเจียนออกมา เธอไม่มีเวลามากนัก จึงรีบถอดนาฬิกาข้อมือออกใส่ให้กับศพนักล่าคนหนึ่ง แล้วรีบไปหยิบเหล้าหลายขวดจากในตู้บาร์มาราดไปทั่วๆ โดยเฉพาะบริเวณศพ จุดไม้ขีดไฟ
ครั้งแรกจุดไม้ขีดไฟนั่นไม่ติด ครั้งที่สองก็มีประกายไฟขึ้นมาแล้วก็ดับลง แอลลี่ลนลานจนแทบจะกรีดร้องออกมา รีบจุดอีกครั้ง ในที่สุดก็มีเปลวไฟเล็กๆ เกิดขึ้น เธอค่อยๆ ประคองดวงไฟเล็กๆ นั้นคุกเข่าลง เมื่อมันโดนแอลกอฮอล์ เปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมา เกือบจะลวกโดนหน้าของเธอ
เธอตกใจหงายหลังจ้ำเบ้าที่พื้น มองเปลวไฟที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว เธอรีบลุกขึ้นมารีบวิ่งออกไปทางประตูหลังอย่างรวดเร็ว
บาร์เหล้าไฟไหม้แล้ว
ขณะที่เดวิดกำลังใช้สายยางสกปรกสอดเข้าไปในถังน้ำมันของเครื่องจักรแล้วใช้ปากดูดน้ำมันเชื้อเพลิงออกมานั้น ฉับพลันเขารู้สึกถึงความร้อนระอุทางด้านหลัง เมื่อเขาหันกลับไปมอง บาร์เหล้าก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชนและเขม่าควันที่คละคลุ้ง เขายืนตกตะลึงตัวแข็ง พลันคิดขึ้นมาได้ว่าแอลลี่ยังอยู่ข้างในบาร์เหล้า
เดวิดโยนถังน้ำมันทิ้งวิ่งตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“แอลลี่! แอลลี่! แค่กๆๆ”!
เขาตะโกนเรียกได้เพียงสองครั้งก็สำลักควันที่อยู่ในห้องจนแสบตา น้ำมูกน้ำตาไหล ขณะนั้นเองก็มีมือหนึ่งยื่นมาดึงเขา
“มาทางนี้”
เขามองเห็นไม่ชัด แต่จำเสียงนั่นได้
ฮั่วเซียง
“ขอโทษด้วยนะ ฉันต้องใช้แว่นของคุณ” เธอพูดพร้อมกับดึงแว่นของเขาออกมา
เดวิดยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไร ที่นี่เต็มไปด้วยควันไฟและเขาก็ต้องรีบออกจากที่นี่ ตอนที่เธอดึงให้เขาวิ่งไปด้านนอกนั้นเขาจึงได้แต่ทำตาม
ฮั่วเซียงพาเขาออกจากกองเพลิง เขาไอไม่ได้หยุด แต่เธอก็ไม่ยอมหยุด ยังคงดึงให้เขาวิ่งออกไป
ขณะนั้นเองก็มีเสียงปืนดังขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แต่ก็ทำให้เขากลัวจนไม่อาจหยุดฝีเท้าได้ เขาได้แต่วิ่งตามทั้งที่เหนื่อยหอบ
จนกระทั่งฮั่วเซียงไม่เดินต่อ เขาถึงทรุดลงกับพื้นแล้วไอไม่หยุด จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องถามอย่างตกใจของแอลลี่ดังขึ้น
“คุณพาเขามาทำไม”
“เพราะเขาบุกเข้าไปในกองเพลิงเพื่อจะช่วยคุณ นั่นแสดงว่าเขาไม่ใช่นักล่า”
ฮั่วเซียงเอ่ยปากด้วยเสียงสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
“รออยู่ที่นี่ อย่าส่งเสียงอะไรและอย่าขยับด้วย”
เธอพูดแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดวิดสามารถมองอะไรได้ชัดเจนแล้วก็พบว่าตัวเขาและแอลลี่ถูกพามาที่ถ้ำในเหมือง
“โอ้ ไม่!”
ในขณะที่ไฟลุกขึ้น วิลล์ก็เห็นมันได้ทันที
เอลิซาเบธวิ่งออกไปด้านนอกอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ วิลล์จับเธอไว้ไม่ทัน จึงได้แต่สถบแล้วก็เขยกออกมา หวังว่าจะเอาตัวเด็กสาวสติแตกนั่นกลับมา
ตอนนี้เองที่เสียงปืนดังขึ้น เขาจับเด็กสาวหมอบลงกับพื้นได้ทัน หมุนตัวกลับแล้วยิงปืนสวนกลับไป ในความอลหม่านนั้นวิลล์สามารถพาตัวเด็กสาวกลับมาที่ห้องจนได้ เอลิซาเบธยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ เขา ตื่นตระหนกร้องไห้ไม่หยุด
ถึงแม้ว่าเขาจะยิงสวนกลับไป แต่อีกฝ่ายก็ยังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา
“เร็วเข้า!” วิลล์บอกเด็กสาวด้วยเสียงต่ำในขณะที่ยิงต่อสู้ไปด้วย “กระสุนจะหมดแล้ว รีบหลบเข้าไปในป่าเร็วเข้า!”
เอลิซาเบธกลัวจนทำอะไรไม่ถูก แต่เพราะวิลล์เร่งเร้า เธอจึงรีบคลานออกไปทางประตูหลังของอาคาร วิลล์เห็นดังนั้นก็โล่งใจไปเปลาะ หันกลับมาดูที่หน้าต่าง เขามองเห็นภาพที่น่าประหลาดใจ
นักล่าบนถนนที่มุ่งหน้ามาหาเขาทยอยล้มลงทีละคน คงเป็นเพราะคนที่จัดการพวกมันทำงานได้เงียบมาก จนกระทั่งสุดท้ายพวกมันก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นักล่าทั้งหมดล้มลง
สาวชาวตะวันออกคนนั้นยังคงยืนอยู่
ฮั่วเซียง
วิลล์จ้องมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ผู้หญิงที่ดูเงียบๆ แต่มีความน่ากลัวคนนั้นเดินเข้ามา ในขณะที่เดินเข้าประตูมานั้นก็ขว้างมีดมาทางซ้ายบนของเขา
มุมบนด้านซ้ายของห้องพลันมีประกายไฟเกิดขึ้น เธอบอกเขาว่า “กล้องวงจรปิด”
เขานิ่งงัน ยังไม่ทันที่จะหายใจสงบผู้หญิงคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเขาและพูดต่ออีกว่า
“ขอโทษด้วย ฉันรู้ว่าคุณยังอยากมีชีวิตอยู่ แต่คุณต้องตายก่อนถึงจะได้”
พูดจบเธอก็ใช้โซ่เหล็กล็อกคอเขา ยังไม่ทันที่เขาจะตอบโต้อะไรได้ เธอก็จับปลายโซ่เหล็กกระโดดขึ้นไปบนคานห้องแล้วกระโดดลงมา
แรงจากการที่เธอกระโดดลงมาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ร่างเขาที่คล้องด้วยโซ่เหล็กถูกยกลอยในทันที เธอกระโดดหมุนตัวกลางอากาศเหมือนกับนักยิมนาสติก
อยู่ๆ ก็ถูกแขวนอยู่กลางอากาศ วิลล์ตกใจพยายามขัดขืนสุดชีวิต สักครู่จึงได้รู้ตัวว่าแม้ว่าจะถูกแขวนไว้แต่โซ่ที่ล็อกคออยู่นั้นไม่ได้รัดไว้แน่น ที่โดนรัดแน่นก็คือท้องของเขา จะพูดให้ถูกก็คือเข็มขัด เข็มขัดด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าเธอเอาเชือกอีกเส้นมาเกี่ยวเข็มขัดเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“อย่าขยับ”
ฮั่วเซียงกระโดดขึ้นมายืนอยู่บนคานด้านหลังเขา พูดด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “คุณต้องทำเหมือนเป็นคนตาย พวกมันถึงจะคิดว่าคุณตายแล้วจริงๆ”
“คุณมันบ้าไปแล้ว…” เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เงียบ” เธอเตือนเขา
“ปล่อยผมลงไป ไม่มีทางหรอก พวกมันต้องยิงผมแน่ๆ”
เขาขู่ร้องอย่างโกรธและหวาดกลัว พยายามที่จะดิ้นรน ฮั่วเซียงเห็นนักล่าบางคนเริ่มเดินเข้ามาใกล้ ถ้าพวกมันรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ คงจะจัดกระสุนปืนให้หลายนัด ในเวลาที่กระชั้นชิดแบบนี้เธอไม่มีทางเกลี้ยกล่อมให้เขาร่วมมือด้วยได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกใช้อีกวิธี
เธอชกเขาให้สลบ
ชายคนนั้นนิ่งเงียบในทันที ดูราวกับเป็นศพที่ถูกแขวนขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่เธอต้องการ
เธอกระโดดลงจากคานก่อนที่พวกนั้นจะเข้ามา เก็บปืนสั้นที่วิลล์ทำตกไว้แล้วกระโดดข้ามหน้าต่างไปด้านหลังห้อง เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ มีนักล่าอีกสองคนเดินเข้ามาจากอีกทาง กำลังไล่ล่าเอลิซาเบธที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่า
เด็กสาววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็ยังเร็วไม่พอ นักล่าคนที่หนึ่งไล่หลังเธอมายกปืนขึ้นเล็ง นักล่าคนที่สองอยู่ห่างไปอีกหน่อย มันจึงเลือกที่จะจัดการนักล่าที่อยู่ระหว่างเอลิซาเบธกับตัวเองก่อน
นักล่าคนที่หนึ่งถูกยิงล้มลง หันมายิงสวนกลับอย่างไม่พอใจ พวกมันต่อสู้กันเอง จึงทำให้เอลิซาเบธรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ฮั่วเซียงยังเห็นนักล่าคนที่สามมุ่งหน้ามาทางเอลิซาเบธ มีดสั้นในมือพุ่งมาทางเด็กสาว
เธอยิงโดนนักล่าคนที่สาม
เสียงกระสุนปืนดังติดต่อกันสามนัดทำให้นักล่าที่ตรวจดูวิลล์วิ่งออกมา
ก็เหมือนที่เธอคาดการณ์ไว้
วิลล์ตายแล้ว เหยื่อที่ตายแล้วไม่มีราคาอะไร ต้องมีชีวิตถึงจะมีค่า
เธอสิยังมีชีวิต
ฮั่วเซียงไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่โยนปืนที่ไร้กระสุนทิ้งไปทางด้านหลัง ย่อตัวลงแล้ววิ่งเข้าไปในทุ่งหญ้าที่สูงถึงเอวอย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนอันมืดมิด แสงไฟจากกระบอกไฟฉายในมือของนักล่าสว่างจ้า จำนวนดวงไฟหมายถึงจำนวนนักล่า
นักล่าพวกนั้นพึ่งพาดวงตาและความสว่างมากเกินไป ก่อนที่เธอจะเข้ามาในหมู่บ้าน เธอได้เดินสำรวจพื้นที่รอบๆ จนรู้จักเส้นทางและภูมิประเทศดี
ฮั่วเซียงก้มลงเก็บสายไฟที่ผูกกับอีเตอร์อันที่สองซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้าหมู่บ้าน แล้วเดินวนรอบป่านั่นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเธอก็ได้เจอกับเอลิซาเบธอีกครั้ง เด็กสาวถูกนักล่าอีกคนเล็งปืนใส่ ศีรษะด้านหลังของเด็กสาวมีไฟสีแดงส่องอยู่
ฮั่วเซียงกระชากเด็กสาวหมอบลงอย่างรวดเร็วได้ทันเวลา แล้วใช้อีเตอร์ที่ผูกกับสายไฟเจาะไปที่ต้นไม้ใหญ่ ขณะเดียวกันก็กอดเด็กสาวกระโดดลงไปที่หน้าผาด้วยกัน
เด็กสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ เสียงร้องในค่ำคืนอันมืดมิดดังออกไปไกล
มือหนึ่งเธอจับเด็กสาวไว้ มืออีกข้างก็จับสายไฟ ร่วงหล่นลงมาหลายสิบเมตร เธอพลิกตัวกลางอากาศ ก่อนที่จะกระแทกกับหน้าผาก็ใช้เท้าดีดตัวออกมา หยุดตัวเองกับเด็กสาวไว้ได้ทัน แต่ค้อนเจาะของอีเตอร์ที่เจาะต้นไม้ไม่อาจรับน้ำหนักของคนสองคนได้ มันเริ่มขยับหลุดออก ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดทำอะไร พวกเธอก็เริ่มหล่นลงไปตามหน้าผาอีกครั้ง สายไฟที่มัดอยู่ที่มือก็เริ่มหย่อน เธอรู้ว่ามันอาจจะไม่ทัน ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอสูดหายใจลึก ขาขวาเหยียบผนังผา แกว่งตัวกลางอากาศอีกครั้ง เมื่ออีเตอร์ถูกน้ำหนักที่มากขนาดนี้ดึงลง ต้นไม้ก็เริ่มคลอน แต่เธอพาตัวเด็กสาวเหวี่ยงเข้ามาที่ปากถ้ำบนหน้าผาได้ทัน ไม้กระดานเก่าๆ ที่ปิดปากทางเข้าเหมืองไว้ถูกทั้งคู่พุ่งทะลุเข้าไป เธอกับเอลิซาเบธกลิ้งไปสองรอบถึงจะหยุดได้
อีเตอร์ตกหน้าผาที่ด้านนอกปากทางเข้าเหมือง เธอปล่อยเด็กสาวออกแล้วรีบคลายสายไฟที่พันรอบมือ สายไฟสะบัดตัววิ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับงู เธอได้ยินเสียงของอีเตอร์และสายไฟที่ตกลงพื้น ในเวลาเดียวกันก็เห็นแสงไฟจากปากทางเข้าเหมืองส่องไปยังด้านล่างหลายลำ
เพราะกลัวว่าเอลิซาเบธจะกรีดร้องออกมาอีก ฮั่วเซียงจึงคิดว่าต้องลงมือทำให้เด็กสาวหมดสติ แต่กลับพบว่าเด็กสาวหมดสติไปเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วฮั่วเซียงก็ถอนใจอย่างโล่งอก
ด้านนอกปากทางเข้าเหมือง แสงไฟจากกระบอกไฟฉายจากทางด้านบนยังสาดส่องไปมาอยู่พักใหญ่ และในที่สุดพวกมันก็หายไป
เด็กสาวยังคงไม่ได้สติ ฮั่วเซียงจึงใช้ไฟฉายที่หยิบมาจากนักล่าอีกคนส่องตรวจดูดวงตาทั้งสองของเด็กสาว ม่านตาหดกลับเป็นปกติ ชีพจรก็เป็นปกติ เมื่อมั่นใจว่าเด็กสาวไม่เป็นอะไรแล้วเธอจึงจัดให้เด็กสาวนอนลงแล้วเดินเข้าไปในเหมืองร้าง
เธอไม่กลัวว่าจะหลงทางเพราะเธอเคยเห็นแผนที่ของเหมืองนี้ตอนที่เข้าไปในออฟฟิศเก่านั่น เธอรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน
ถ้าในเหมืองนี้เคยเป็นทางส่งถ่านหิน มีการสร้างรางสำหรับขนส่งไว้สูงขึ้นไป ส่งถ่านหินจากที่นี่ตรงไปที่แม่น้ำ แล้วส่งต่อไปขึ้นเรือเพื่อจะขนออกไป แต่เพราะต่อมาต้องขุดเหมืองนี้ลึกขึ้น คนงานเหมืองจึงขุดเส้นทางขึ้นใหม่จากอีกด้านหนึ่งเพื่อขนส่งถ่านหิน ดังนั้นเส้นทางขนส่งนี้จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์อีก รางที่ใช้ขนส่งของทางด้านนอกก็ถูกรื้อออก
ใช้เวลาไม่นานเธอก็เดินมาถึงทางออกอีกด้านของเหมือง ตามหาเดวิดกับแอลลี่ที่ตื่นตระหนกอยู่ในป่าจนเจอ แล้วพาพวกเขากลับไปหาเอลิซาเบธ
“เอลิซาเบธเป็นยังไงบ้าง” แอลลี่รีบรุดเข้าไปหาเอลิซาเบธที่นอนอยู่บนพื้น
“เธอไม่เป็นไร แค่หมดสติไปเท่านั้น” ฮั่วเซียงส่งไฟฉายให้เดวิด
“แปลว่าวิลล์เป็นนักล่า” เดวิดเอ่ยถาม
“ไม่ใช่” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“แต่ฉันเข้าใจว่าเธอบอกแอลลี่ว่ามีนักล่าแฝงตัวอยู่กับพวกเรา” เดวิดพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันโกหก” เธอพูดหน้าตาย “ฉันต้องมั่นใจว่าในพวกคุณไม่มีใครเป็นนักล่า แล้วฉันก็ต้องทำให้นักล่าพวกนั้นเข้าใจว่าพวกคุณตายหมดแล้ว พวกมันจะได้ไม่ตามฆ่าพวกคุณอีก”
แอลลี่กับเดวิดได้ยินเข้าก็จ้องมองเธอด้วยความงุนงงและพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“เธอก็รู้ว่านักล่าในบาร์เหล้าเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ฉันเป็นผู้หญิง” แอลลี่พูดอย่างไม่สบายใจ “ถึงจะโดนไฟคลอกและใส่นาฬิกาของฉันกับแว่นตาของเดวิด แต่ก็ทำให้ผู้ชายกลายเป็นผู้หญิงไม่ได้อยู่ดี”
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ก่อเหตุคดีฆาตกรรมที่เอฟบีไอรับผิดชอบ นักล่าพวกนั้นก็ไม่ใช่หมอชันสูตรพลิกศพ ไม่ได้ตรวจสอบอะไรละเอียด” ฮั่วเซียงบอกพวกเขา “เพราะเธอเป็นผู้ตรวจสอบ ดังนั้นจึงคิดถึงการตรวจสอบชันสูตรพลิกศพ แต่พวกมันไม่ใช่ พวกมันต้องการแค่เหยื่อที่ยังมีชีวิต ตายแล้วก็ไร้ความหมาย”
ฮั่วเซียงพูดจบก็หันหลังทำท่าเหมือนจะรีบร้อนจากไป แอลลี่ร้องถามด้วยความร้อนรน
“เธอจะไปไหน”
“ไปพาวิลล์มา”
ฮั่วเซียงหายไปในความมืดของทางเข้าเหมืองโดยไม่หันกลับมาอีก
นักอเมริกันฟุตบอลผิวสีคนนั้นไม่ได้โง่
ตอนที่ฮั่วเซียงกลับมานั้นพบว่าเขาได้สติแล้ว แต่ยังแกล้งทำเป็นตาย ถูกแขวนอยู่ที่เดิม
แน่นอน มันอาจจะแปลว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาได้เห็นภาพที่นักล่ายังออกตามหาเหยื่อให้วุ่นวาย บาร์เหล้าไฟลุกโชน เสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ
ฮั่วเซียงกลับเข้าไปในห้องนั้นอย่างเงียบๆอีกครั้ง
เมื่อมองเห็นเธอ วิลล์หายใจแรงๆ ท่าทางอยากจะบีบคอเธอให้ตาย จนกระทั่งเขามองเห็นเธอลากศพอีกศพหนึ่งเข้ามา
เธอปีนขึ้นไปบนคาน ช่วยปลดเขาลงมาพร้อมกับพูดว่า “ถอดเสื้อคุณออกแล้วเปลี่ยนเสื้อกับเขาซะ แล้วช่วยฉันเอาเขาแขวนขึ้นไป”
วิลล์อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เถียงเธอ ทันทีที่เขาลงมาถึงพื้นก็รีบถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จัดการเปลี่ยนเสื้อกับคนที่โชคร้ายนั่น แล้วช่วยเธอนำศพแขวนขึ้นไป
เมื่อเธอส่งสัญญาณบอกให้เขาตามเธอไป เขาไม่พูดอะไร พยายามลากขาที่บาดเจ็บเดินตามไปทันที
ผู้หญิงคนนั้นพาเขาเข้าไปในเหมือง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นสามคนที่เหลือ แอลลี่เข้ามาช่วยพยุงให้เขานั่งลง
“นักล่าที่อยู่ด้านนอกเข้าใจว่าพวกคุณตายหมดแล้ว พวกมันจะไม่ไล่ฆ่าพวกคุณอีก”
“แปลว่าตั้งแต่แรกคุณก็ไม่ได้คิดจะให้พวกเราเปลี่ยนฐานะมาเป็นนักล่าน่ะสิ”
“ถูกต้อง” ฮั่วเซียงมองทั้งสี่คนแล้วพูดต่อว่า “พวกคุณเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่สามารถจะชนะพวกนั้นได้”
เดวิดมองเธอแล้วพูดว่า “คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าพวกเรารออยู่ในนี้ยังไงก็ต้องอดตาย”
“พวกคุณจะไม่อดตาย” เธอพูดเรียบๆ “เกมนี้กำลังจะจบ เมื่อเกมจบแล้วจะมีคนมาช่วยพวกคุณ”
“ใคร” แอลลี่ถาม
“องค์กรเรดอาย”
“องค์กรเรดอาย?” วิลล์ขมวดคิ้วสงสัย
“เป็นองค์กรที่ทำการตรวจสอบเหตุผิดปกติโดยเฉพาะ พวกเขาตามสืบเกมนี้มานานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือคนของเรดอาย?” เดวิดถาม
เธอน่ะหรือ…
ฮั่วเซียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันเป็นคนที่พวกเขาจ้างมา”
“คนขององค์กรนั้นรู้ว่าคุณอยู่ตรงนี้เหรอ” ดวงตาของแอลลี่เป็นประกายขึ้นมา
“พวกเขาไม่รู้ ยังไม่รู้” เธอโกหกหน้าตายตามที่หานอู่ฉีสั่งไว้ พร้อมกับหยิบปืนและมีดสั้นที่ได้จากนักล่าที่ตายด้วยฝีมือเธอในขณะที่ไปช่วยวิลล์ ส่งให้แอลลี่กับเดวิดและวิลล์ แต่เมื่อเห็นแววตาไม่สบายใจของพวกเขา เธอจึงได้แต่พูดปลอบใจอีกครั้งว่า “แต่เมื่อเกมจบแล้วพวกเขาจะรู้ว่าพวกคุณอยู่ที่ไหน”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฮั่วเซียงพูดถึงว่าเกมจบ ทำให้วิลล์อดที่จะถามต่อไม่ได้ว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าเกมจะจบลงเร็วๆ นี้”
“เพราะฉันจะทำให้มันจบเอง”
ทุกคนอึ้งในคำพูดของเธอ พวกเขายังจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยพูดว่าวิธีที่จะทำให้เกมนี้จบลงมีอยู่วิธีเดียว ก็คือเหยื่อหรือนักล่าตายหมด
นักล่าพวกนั้นคิดว่าเหยื่อตายหมดแล้ว
ยกเว้นเธอ
เธอเป็นเหยื่อคนสุดท้ายในเกมนี้ แต่เธอกลับดูสงบนิ่งราวกับรอเวลาไปกินอาหารมื้อค่ำ…ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะเป็นเดวิด แอลลี่ หรือวิลล์ ล้วนแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้พูดเรื่องจริง
เธอจะทำให้มันจบ
“รออยู่ที่นี่ รออยู่อย่างสงบ”
ฮั่วเซียงพูดแล้วก็หมุนตัวจะจากไปอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน” วิลล์เรียกเธอให้หยุด ยื่นปืนที่เธอเพิ่งให้เขามา “ถ้าคุณต้องการจะจบเกมนี้ คุณควรจะเอามันไปด้วย”
“เอากระบอกนี้ไปด้วย” แอลลี่พูดพร้อมกับยกปืนของเธอขึ้น
คำพูดของพวกเขาทำให้เธอต้องหยุดนิ่ง หันกลับมามองชายผิวสี สาวผมแดงและชายสูงวัย แล้วยกมุมปากขึ้น
“ขอบคุณ พวกคุณเป็นคนดีจริงๆ”
เธอพูดเสียงเบาแต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับปืนมา วินาทีถัดมาเธอหันหลังแล้วหายไปในความมืด ไม่ได้ทิ้งไว้แม้กระทั่งเสียงก้าวเท้า
Comments
comments
No tags for this post.