X
    Categories: everYทดลองอ่านยุทธจักรเริงรมย์

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่สี่

 

ลมใบไม้ร่วงโหมกระหน่ำดังซู่ๆ บนเวทีเด็กหนุ่มยืนอยู่ด้วยท่าทางหยิ่งยโส เส้นผมดำขลับปลิวสยายในสายลม ชุดผ้าไหมสีดำที่ขลิบขอบเงินดูมืดทะมึนอย่างประหลาดราวกับท้องฟ้ายามราตรีก่อนพายุฝนจะมา

เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นทุ้มต่ำ “ข้าก็หลงนึกว่ายุทธภพฝ่ายธรรมะจะมีคนแบบไหนออกมาต่อกรกับสำนักภูษานิลของข้า คาดไม่ถึงว่าดูอยู่ข้างล่างเวทีตั้งนาน แต่กลับเห็นเพียงกองขยะโง่เง่ากองหนึ่ง”

เสี่ยวชุนถอนหายใจ เขายังนึกว่าประมุขฝ่ายมารที่ผู้คนเล่าลือกันว่าผิดบาปอย่างไม่อาจอภัยได้ราวกับไร้บรรพบุรุษไม่มีทายาทนั้นจะมีสามเศียรหกกร ใครจะไปนึกว่าคนที่ปรากฏตัวกลับมีแค่หนึ่งจมูกหนึ่งปาก บวกกับอีกสองตา

ช่างทำให้เขาผิดหวังจริงๆ

เด็กหนุ่มชุดดำพูดจบแล้ว พิษที่กระจายอยู่ในสายลมเมื่อครู่นี้ก็ได้เวลาออกฤทธิ์ อาวุธต่างๆ นานาข้างล่างเวทีหล่นลงพื้นดังเคร้งคร้างทันที ประกอบกับเสียงชาวยุทธ์กระอักเลือดดังโอ้กอ้ากและเสียงล้มบนพื้น ทั่วทั้งริมทะเลสาบและเพิงไม้ไผ่ชุลมุนโกลาหลกันไปหมด

“เซียนเนรเทศมือพิษ…หลันชิ่ง!” ซือถูกระอักเลือดพลางร้องคำรามลั่น “ทุกคนระวัง!”

“ถูกพิษกันหมดแล้วยังจะให้ระวังอะไรอีก” เสี่ยวชุนพึมพำ ซือถูอู๋หยาช่างเป็นคนที่ชอบทำวัวหายแล้วล้อมคอกจริงๆ

ชายชราหานไจที่อยู่ร่วมศาลาเดียวกันคล้ายมีกำลังภายในล้ำลึกยิ่ง เขาแค่สีหน้าซีดขาวและริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีดำเท่านั้น เขาหลับตาไม่ขยับเขยื้อน เสี่ยวชุนเดาว่าเขาคงกำลังปรับลมหายใจ

ตอนที่จามเมื่อครู่เสี่ยวชุนก็เดาได้คร่าวๆ ว่ามีคนยืนโปรยผงพิษอยู่เหนือลม พิษชนิดนี้เขาเคยเห็นมาก่อน จึงแอบยัดยาลูกกลอนครอบจักรวาลให้ชายชราแล้วบอกเบาๆ “ของดีขอรับ ผู้อาวุโสกินเถอะ ถือเป็นของขวัญที่ผู้น้อยตอบแทนสำหรับน้ำชากานี้”

ไม่ใช่เวลาจะล้อเล่นแล้ว เสี่ยวชุนเองก็เลิกพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ไม่ได้เรียกท่านผู้เฒ่าอีก แต่เรียกว่าผู้อาวุโสโดยตรง

หานไจกลืนยาลงไป แม้พลังปราณยังหยุดนิ่งไร้กำลัง แต่ความเจ็บรุนแรงก็หายไป เขายิ้มให้เสี่ยวชุนเป็นเชิงขอบคุณ เสี่ยวชุนก็คลี่ยิ้มสดใส

“ประมุขใหญ่ซือถู เจ้าว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” เสี่ยวชุนหันกลับมามองซือถู “คนที่ใช้พิษเก้าในสิบเป็นคนเสียสติ แม้หลันชิ่งนั้นจะไม่ได้เสียสติ แต่ข้าว่าก็ใกล้แล้วล่ะ คนของพวกเจ้าเหล่านี้จัดชุมนุมผู้กล้าอยากทำลายรังของเขา เป็นใครก็ไม่สบอารมณ์ คนเราพอไม่สบอารมณ์แล้วล่ะก็…” เขามองชาวยุทธ์ที่กระดุกกระดิกไม่ได้พวกนั้นแล้วถอนใจขึ้นอีก “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีคนตายมากน้อยเท่าไร บาปกรรมจริงๆ…”

ซือถูกระอักเลือดอีกคำ

กระอักเลือดไม่ทำให้คนตาย เสี่ยวชุนรู้ฤทธิ์ของยาพิษ รู้ว่าตนเองมีเวลาอย่างน้อยครึ่งก้านธูป แต่ที่นี่มีคนอย่างน้อยก็หลายร้อยคน ข้อหนึ่งเขาไม่มียาครอบจักรวาลมากมายขนาดนั้น ข้อสองหากจะให้ถอนพิษให้ทีละคนก็คงเหนื่อยตาย

เสี่ยวชุนย้ายตำแหน่งกระถางธูปเก้ามังกรชิงมุกที่ตอนแรกวางอยู่ข้างหนึ่งมา แล้วเทยาครอบจักรวาลที่เหลืออยู่ลงไปทั้งหมด

“วันนั้นที่ทำร้ายจอมยุทธ์น้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ ผู้น้อยทำไม่ถูก ซือถูอู๋หยาขออภัยจอมยุทธ์น้อยไว้ตรงนี้ด้วย! วันนี้ทุกคนกำลังเผชิญหายนะ ขอให้จอมยุทธ์น้อยเห็นแก่คุณธรรมยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้ยุทธภพข้ามพ้นจากหายนะครั้งนี้ด้วย” แม้ซือถูจะชิงชังเสี่ยวชุนจนต้องกัดฟันกรอด แต่พอเห็นทุกคนถูกพิษกันหมด มีเพียงเสี่ยวชุนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร ก็คิดในใจว่าเด็กบ้านี่ต้องมีวิธีถอนพิษแน่

ตอนนี้กลุ่มผู้กล้าถูกหลันชิ่งควบคุมอยู่ระหว่างความเป็นความตาย อีกทั้งเหตุยังเกิดที่ปราสาทเขาหลิวเขียวของตนด้วย ต่อให้ซือถูจะไม่เต็มใจอย่างไร แต่เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของปราสาทเขาหลิวเขียวและชีวิตของเหล่าผู้กล้าแล้ว ตอนนี้เวลานี้ก็ได้แต่ยอมก้มหัวให้เสี่ยวชุน

“ถ้าหากข้าให้เจ้าเอาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับข้าล่ะ เจ้าจะเอาไหม” เสี่ยวชุนจี้ใจดำ เย้าแหย่อย่างขี้เล่น

“เจ้า!” ซือถูบันดาลโทสะแล้วพ่นเลือดออกมาคำใหญ่

“เฮ้อๆ ล้อเล่นน่ะ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจริงใจกับแม่นางเลี่ยวเชี่ยวหรือไม่ก็เท่านั้น” คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ซือถูโมโหจนกระอักเลือดอีก เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นแล้วก็รีบบอก

“เลี่ยวเชี่ยวกับข้าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่เพราะทางบ้านเกิดตกอับขึ้นมาจึงถูกบังคับให้ต้องเข้าหอคณิกา ข้าไถ่ตัวนางกลับมาย่อมต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจอยู่แล้ว จอมยุทธ์น้อยจ้าวไม่ต้องเป็นกังวลให้มากหรอก!” ซือถูเอ่ยทุกคำด้วยเสียงดังกึกก้อง ดวงตาคู่นั้นที่มองเสี่ยวชุนอยู่แทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว

“เช่นนั้นก็ดี” เสี่ยวชุนจึงได้สบายใจ

กลิ่นหอมของยาครอบจักรวาลในกระถางอวลออกมาแล้ว เด็กหนุ่มชุดดำที่บั่นหัวคนไปหลายคนแล้วสังเกตเห็นในทันที หันมองมาทางศาลารั้งสดับ

แม้จะได้รับยาถอนพิษแล้ว คนที่มีพลังแก่กล้าก็ยังต้องรอให้เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ* จึงจะฟื้นพลังกลับมาทั้งหมด คนที่อ่อนแอหน่อยอย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม เสี่ยวชุนจ้องเด็กหนุ่มชุดดำ มองกระบี่เปื้อนเลือดในมืออีกฝ่ายที่ชี้มาทางกระถางธูป หรือก็คือชี้มาทางเขานั่นเอง

เสี่ยวชุนแอบคิดใคร่ครวญ มากน้อยอย่างไรก็ต้องช่วยถ่วงเวลาให้พวกผู้กล้า ไม่อย่างนั้นแม้จะถอนพิษแล้วแต่พลังยุทธ์ยังไม่ฟื้นคืนก็ยังไม่มีกำลังต่อต้านอยู่ดี และคงตายหมดไม่เหลือสักคน

เขาจึงส่งยาถอนพิษที่กำลังไหม้ให้ท่านผู้เฒ่าหนวดขาวที่สีหน้าไม่ได้ย่ำแย่เท่าก่อนหน้าพร้อมบอกว่า “ผู้อาวุโส ต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าจะไปเจอเจ้านั่นก่อนเพื่อถ่วงเวลาไว้สักเล็กน้อย”

หานไจพยักหน้าแล้วปลดกระบี่สีเงินที่พันรอบเอวส่งให้เสี่ยวชุน

“สหายน้อยระวังตัวด้วย”

“ขอรับ” เสี่ยวชุนยิ้ม

หานไจยกกระถางธูปให้ซือถูดมก่อน จากนั้นก็ออกจากศาลารั้งสดับ ทยอยช่วยถอนพิษให้คนอื่นๆ ทีละคน

เสี่ยวชุนเห็นท่านผู้เฒ่าทำหน้าที่ได้ดีก็วางใจ หันกลับไปมองเด็กหนุ่มในชุดดำ หยักยกมุมปากเป็นรอยยิ้มสดใส กระโดดจากศาลารั้งสดับไปยังบนเวที ใช้วิชาตัวเบาเหินทะยานเมฆา เงาร่างคล่องแคล่วงดงามแผ่วเบาดุจนางแอ่นเหิน

คนสองคนบนเวทีประจันหน้ากัน

หลันชิ่งเห็นคนผู้นี้แต่งกายด้วยผ้าป่านสีขาวธรรมดาๆ ผมที่ผูกไว้หลุดลุ่ยหลายปอย ดูท่าอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ด แต่กลับมีรูปโฉมงดงามน่าหลงใหล หล่อเหลาคมคาย อีกทั้งแผ่นหลังตั้งตรงแน่ว ท่วงท่าสูงตระหง่านราวกับต้นสนโดดเดี่ยวที่ตั้งอยู่บนโลกและสวรรค์ ดวงตาทั้งคู่ดำขลับดุจดาราที่รวมตัวกันทอรัศมีสว่างไสว

พอคิดว่าอีกประเดี๋ยวคนที่เป็นอิสระทำตัวสบายๆ ไม่อยู่ใต้การควบคุมของผู้ใดคนนี้จะต้องตายด้วยคมกระบี่ของเขา หลันชิ่งก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้

“น้องชาย ถอนพิษที่มีแค่เฉพาะสำนักข้าได้ วิชาแพทย์ไม่เลว แต่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าหลันชิ่ง ไม่กลัวจะตายโดยไร้ที่ฝังกลบรึ” หลันชิ่งบอก

“กลัวแต่ว่าเจ้าฆ่าคนพวกนี้เกลี้ยงแล้ว ต่อให้ข้าไม่เป็นศัตรูกับเจ้าแล้วนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น เจ้าก็คงไม่เมตตาละเว้นข้าหรอกกระมัง” ลมรุนแรงพัดชายเสื้อส่งเสียงดังเป็นระยะ เสี่ยวชุนเงยหน้าหัวเราะลั่นหลายครั้ง

เขาสะบัดกระบี่ที่ท่านผู้เฒ่าให้เขา พลังไหลเคลื่อนทั่ว ปลายกระบี่ชี้ที่พื้น ตอนนี้มันส่งเสียงมังกรครวญออกมาอย่างน่าเกรงขามอยู่ในหูไม่หยุด

กระบี่นี้เป็นสีขาวปลอดทั้งหมด เดิมนั้นสีและความแวววาวก็แตกต่างจากอาวุธทั่วไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ถูกกำอยู่ในมือของเสี่ยวชุน มังกรทะยานขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าที่สลักไว้ตรงส่วนหัวอย่างวิจิตรราวกับมีชีวิตคล้ายจะเผ่นโผนออกมาจากตัวกระบี่เข้าโรมรันกับหลันชิ่งด้วยกัน

“แม้หานไจจะให้กระบี่มังกรครวญแก่เจ้า แต่เกรงว่าเจ้าคงต้านข้าได้ไม่นานเท่าไร”

“ต้านได้หรือไม่ได้ แน่ล่ะว่าต้องลองต้านดูก่อนจึงจะรู้” เสี่ยวชุนเสียงดังกังวาน บอกโดยไม่มีความกลัวสักนิด

เสี่ยวชุนรู้ตนเองดี วิชากระบี่เขาไม่โดดเด่น วรยุทธ์ก็พื้นๆ ปกติเวลาบรรดาศิษย์พี่ฝึกยุทธ์ เขามักจะเล่นสมุนไพรอยู่ในห้องยา แต่พลังวัตรชั้นยอดที่พากเพียรฝึกฝนมาหลายสิบปีที่อาจารย์มอบให้เขาล้วนเป็นพลังวัตรลึกล้ำที่ยากจะมีได้ อีกทั้งเขาเป็นคนเคลื่อนไหวว่องไว ดังนั้นเสี่ยวชุนจึงตัดสินใจจะเอาชนะอีกฝ่ายด้วยความเร็ว

ตอนที่หลันชิ่งลงมือ เสี่ยวชุนรวบรวมสมาธิไม่กล้าฟุ้งซ่าน เกรงว่าหากเผลอเข้า วันนี้คงต้องสิ้นใจอยู่ที่ปราสาทเขาหลิวเขียว จะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตสำเริงสำราญอย่างเทพเซียนของเขาที่หุบเขาเทพเซียนอีก

กระบี่พุ่งเข้ามาพร้อมพลังเต็มเปี่ยมตรงเข้าประชิดเสี่ยวชุน ด้วยกระบวนท่ารวดเร็วเหี้ยมโหดและแม่นยำประหนึ่งมังกรแหวกว่ายผ่านอากาศด้วยความเร็วราวสายฟ้า เสี่ยวชุนรู้ว่าหากฝืนรับกระบี่นี้เกรงว่าจะถูกพลังที่มาพร้อมกับกระบี่สะเทือนจนกระดูกมือแตก เขาจึงถอยร่นติดๆ กันแล้วใช้ข้อมือหมุนกระบี่เกาะเกี่ยวบนกระบี่ของอีกฝ่าย โคจรกำลังภายในทั้งหมดที่มีกระแทกกระบี่ในระยะประชิด

ตะวันส่องแสงอยู่เหนือศีรษะพอดี บนเวทีพลันเกิดเสียงดังสนั่น ไม่มีใครทันได้เห็นชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นเพียงเสี่ยวชุนถูกสะเทือนจนกระเด็นสูงลิ่วหลายจั้ง** แล้วจึงร่วงตกลงมาอย่างแรง พอตกถึงพื้นก็กระอักเลือดคำใหญ่

หลันชิ่งคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะมีพลังวัตรลึกล้ำขนาดนี้ แม้ตอนที่กระบี่ทั้งสองประสานกันนั้นจะถอนกำลังทันเวลา แต่ก็สายเกินไปแล้ว พลังปราณฟ้าดินที่แข็งแกร่งสองสายปะทะกันซึ่งๆ หน้าอย่างเต็มกำลัง หน้าอกเขาเจ็บรุนแรงไปพักหนึ่ง แวบร่างหลบแล้วแต่ก็ยังบาดเจ็บไม่น้อย

“เจ้าหนู ถ้าหากข้าไม่ดึงกำลังภายในกลับ เมื่อครู่เจ้าอาจจะสิ้นใจตรงนี้แล้วก็ได้” หลันชิ่งยิ้มบาง แม้จะควบคุมเลือดลมที่พลุ่งพล่านม้วนตลบอยู่ในร่างอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังมีเลือดซึมออกมาจากมุมปากอยู่ดี

“ถ้าหากเจ้าไม่ดึงกำลังภายในกลับ ข้าตาย เจ้าเองก็หนีไม่พ้นต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ผู้น้อยย่อมต้องเสี่ยงตาย มิฉะนั้นด้วยชื่อเสียงเลื่องลือของประมุขฝ่ายมารหลันชิ่ง เกรงว่าแค่กระบวนท่าเดียวก็คงถูกเจ้าซัดจนหมอบแล้ว มีหรือจะมีเวลามายื้อเวลาให้ผู้อาวุโสในยุทธภพเหล่านี้ได้ฟื้นคืนกำลังมาสังหารปีศาจอย่างเจ้า” เสี่ยวชุนก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน ยิ้มอย่างสบายๆ ไร้ข้อยึดติด

การจู่โจมนี้ล้วนอาศัยเพียงสองสามกระบวนท่านั้นที่ใช้เล่นกับท่านผู้เฒ่า ครั้งนี้จำต้องสู้ด้วยกำลังทั้งหมด เมื่อครู่เขานึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหันจึงใช้กระบวนท่าอันตรายหลอกล่อศัตรูเช่นนี้

“เยี่ยม!” ชาวยุทธ์ที่อยู่ข้างล่างเวทีไม่มีผู้ใดที่ไม่โห่ร้องชื่นชมคนที่ใจกว้างและกล้าหาญสู้เพื่อคุณธรรมไม่ยอมถอยผู้นี้

“เจ้าอยากช่วยพวกเขารึ” หลันชิ่งถาม

“ณ ที่นี้เหลือข้าเพียงคนเดียวที่สู้ได้ แล้วทำไมจึงจะไม่ช่วย” เสี่ยวชุนตอบ

อยู่ๆ หลันชิ่งก็ยิ้ม ยกมือขึ้น จากนั้นอยู่ๆ รอบทิศก็มีกลุ่มคนชุดดำกระโดดเข้ามาพร้อมกระบี่ในมือ ในเวลาสั้นๆ ที่ยกมือขึ้น คมกระบี่ก็ตวัดลงมา เสียงร้องโหยหวนจากข้างล่างเวทีดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ขยับตัวไม่ได้เป็นอัมพาตอยู่บนพื้นถูกคนชุดดำสังหารจนเลือดสาดอยู่ตรงนั้นโดยไร้กำลังตอบโต้

“ทำไมเจ้าถึงอำมหิตขนาดนี้!” เสี่ยวชุนสีหน้าเปลี่ยน หน้าซีดไม่หาย

“อำมหิต?” หลันชิ่งหัวเราะอีก “เป็นเช่นนั้นรึ”

“ทำไมจะไม่ใช่!” เสี่ยวชุนตะโกน “ฆ่าคนตั้งมากมายไปทำไม! ฆ่าคนแล้วจะทำให้เจ้ามีความสุขหรือ”

“มีความสุขสิ! ทำไมจะไม่มีความสุข!” หลันชิ่งฉีกยิ้มร้ายกาจ

แต่แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วที่ต่อสู้กับหลันชิ่งก็มีคนจำนวนหนึ่งค่อยๆ ฟื้นคืนวรยุทธ์แล้วหยิบอาวุธยันร่างกายที่อ่อนแรงฝืนตอบโต้คนชุดดำ

หลันชิ่งรู้สึกว่าเวลาสายมากแล้ว ตอนนี้ควรยุติเรื่องราวเสียที

เขายิ้มพร้อมเดินมาทางเสี่ยวชุน ค่อยๆ เข้าใกล้อีกฝ่าย “เจ้าอายุยังน้อยแต่มีความสามารถขนาดนี้ ถ้าวันนี้ปล่อยเจ้าไว้ วันหน้าจะต้องเป็นภัยใหญ่หลวงต่อข้าแน่ ข้าจะกำจัดเจ้าแต่เนิ่นๆ ดีไหม หาไม่แล้วต่อไปคงจะมีคนที่ทำให้ข้าต้องหนักใจเพิ่มขึ้น”

“ไม่ดี!” เสี่ยวชุนถอยร่นไปหลายก้าว รีบร้องบอก

“อยากฆ่าเขา เจ้าต้องถามข้าก่อน” ร่างสีขาวพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วพลิ้วร่อนลงมา กระบี่เงินที่เย็นเยียบนำพาจิตสังหารที่ชวนให้คนสั่นสะท้าน

ร่างที่ลอยละล่องขาวสะอาดดุจหิมะ ดวงหน้างามล่มเมืองเย็นยะเยือกประหนึ่งน้ำค้างแข็ง เขาคืออวิ๋นชิงที่หายไปจากข้างกายเสี่ยวชุนโดยไร้ร่องรอยเป็นเวลานาน

“อวิ๋นชิง เจ้ามาได้อย่างไร!” พอเสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงปรากฏตัวก็รีบตะโกนลั่น

คราวนี้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อครู่ตอนที่หลันชิ่งบอกว่าอยากฆ่าเขาเสียอีก รีบดึงมืออวิ๋นชิงมาทางตนเอง อวิ๋นชิงบาดเจ็บสาหัสยังรักษาไม่หาย แถมร่างกายยังถูกพิษร้าย คนรอบจัดร้ายกาจอย่างหลันชิ่ง อวิ๋นชิงหรือจะเป็นคู่ต่อกรของอีกฝ่ายได้

“ข้าตามหาทุกที่แล้วไม่เจอเจ้า ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง” อวิ๋นชิงยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย เห็นรอยเลือดตรงหน้าอกเสี่ยวชุนแล้ว นัยน์ตาที่เดิมไม่มีอารมณ์กลับวูบไหว

 

* เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

หลันชิ่งหรี่ตามองตงฟางอวิ๋นชิงที่แต่ไรมาไม่ชอบสนิทสนมกับผู้คน ทว่าตอนนี้กลับปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้ลากดึง อารมณ์ในดวงตาเปลี่ยนกลับไปกลับมา และจากนั้นก็ถอยกลับเข้าไปในสายตาเย็นชาโดยไม่ปรากฏให้เห็นอีก

“ไอ้หยา! ตงฟาง ทำไมเจ้ายังไม่ตายอีกเนี่ย!” อยู่ๆ หลันชิ่งก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจพลางเอ่ยขึ้น “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ข้าใช้เวลาตั้งนานเพื่อปรุงพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้เจ้าโดยเฉพาะ ทำไมเจ้าถึงใจร้ายทำข้าเสียน้ำใจได้นะ”

คำพูดของหลันชิ่งทำให้เสี่ยวชุนตัวสั่นเทิ้มจริงๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้เสี่ยวชุนสงสัยคือกิริยาและสีหน้าตอนพูดของหลันชิ่งทำไมถึงทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขาเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาก่อนเช่นกัน แต่คนคนนั้น…เสี่ยวชุนมองหลันชิ่งอีก…หน้าตาไม่ได้ธรรมดาทั่วไปเหมือนอย่างนี้นี่นา…

อวิ๋นชิงไม่พูดมาก เห็นเพียงเขาช้อนตาที่ฉายจิตสังหารขึ้น ขณะเดียวกันคนชุดขาวอีกหลายคนก็กรูกันขึ้นมาบนเวที โอบล้อมหลันชิ่งไว้

อวิ๋นชิงกระโดดพร้อมส่งคมกระบี่พุ่งตรงไปข้างหน้า ทว่าหลันชิ่งหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย

คนชุดดำเห็นประมุขของตนถูกล้อมไว้ ส่วนใหญ่ก็กระโดดขึ้นเวทีมาด้วย พริบตานั้นเห็นเพียงเงาร่างคนชุดดำและเงาร่างคนชุดขาวประสานอาวุธกันบนเวทีกว้าง ออกกระบวนท่าอย่างดุเดือดฉับไว

โดยเฉพาะคู่ของหลันชิ่งและอวิ๋นชิง แม้จะทั้งดำทั้งขาว ท่วงท่าที่ฟาดฟันอาวุธนั้นปราดเปรียวว่องไวจนดวงตายากจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่าได้ เห็นเพียงสองเงาร่างที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจนใกล้จะรวมกันเป็นสีเทาอย่างไรอย่างนั้น

เสี่ยวชุนหยิบกระบี่ขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าไประหว่างกลางทั้งสองคน เลือกช่องว่างจากที่อวิ๋นชิงออกกระบวนท่า ใช้กระบี่โจมตีหลันชิ่งโดยตรง แม้เขาจะไม่ชอบฆ่าคน แต่ถ้าหากครั้งนี้ปล่อยไว้ไม่สนใจ เกรงว่าทั้งกลุ่มคนและฝูงสัตว์ที่ปราสาทเขาหลิวเขียวคงถูกปีศาจตนนี้กำจัดจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

กระบี่ของอวิ๋นชิงวาดตรงไปที่ใบหน้าของหลันชิ่ง หลันชิ่งถอยหลังไปครึ่งก้าวราวกับมีเวลาให้ใช้เหลือเฟือ หน้ากากหนังมนุษย์ที่เดิมปกคลุมใบหน้าไว้นั้นถูกฟันเป็นสองส่วนแล้วร่วงร่อนลงมาสู่พื้นตามแรงลมอย่างช้าๆ

เสี่ยวชุนตาค้าง เพิ่งจะเห็นชัดว่าใต้หน้ากากหนังมนุษย์คือรูปโฉมงดงามเลิศล้ำที่ชวนให้ตะลึงลานและไม่อาจกะพริบตา

ถ้าหากอวิ๋นชิงคือบัวที่โผล่พ้นน้ำ คนคนนี้ก็คือโบตั๋นที่บานสะพรั่ง

“คะ…คนงาม!”

แม้ว่าตรงนี้สองฝ่ายจะปะทะกันอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หัวใจที่รักของสวยงามของเสี่ยวชุนก็ไม่ได้ผงะถอยสักนิด ดวงตาดอกท้อสุกใสทั้งคู่ถลึงกว้าง สายตาจับจ้องรูปโฉมงดงามที่ไร้ผู้ใดเทียมเท่าของหลันชิ่งไม่วางตา ปากก็อ้ากว้างจนน้ำลายเกือบหยดติ๋งๆ แล้ว

ความงามของหลันชิ่งคือความสง่างามที่ต่างจากอวิ๋นชิงโดยสิ้นเชิง รูปโฉมงดงามพร้อมสรรพ บุคลิกโดดเด่นเหนือผู้คน ดวงตาหงส์ฉายประกายเจ้าเล่ห์ เรียวคิ้วดุจกิ่งหลิว ชุดผ้าไหมแบบชาวฮั่นสีดำขลิบขอบเงินและผมดำขลับที่ถูกรัดด้วยเชือกเงินขับเน้นผิวเนื้อประหนึ่งหิมะ ยามกวาดสายตานั้นช่างเพริศพริ้งรัดรึงใจ รอยยิ้มบางแขวนประดับอยู่ที่ปลายคิ้ว

ทว่าคนที่เดิมควรจะบริสุทธิ์เหนือโลก ในดวงตากลับฉาบด้วยความงามประหลาดที่พรากจิตวิญญาณผู้คน ความงามประหลาดนี้ตกอยู่ในความหล่อเหลาของเขา ทำให้พอเขายิ้มแล้วดูสง่างามอย่างเยือกเย็นชั่วร้าย รอบตัวก็ยิ่งมีกลิ่นอายปีศาจเข้มข้น

หลันชิ่งประมุขฝ่ายมารเป็นคนที่ชวนให้จิตใจสั่นสะท้านเช่นนี้

เสี่ยวชุนมองไปเรื่อยๆ แล้วเหม่อไปอีกครา

ทำไมออกจากหุบเขาครั้งแรกก็ได้เจอคนงามถึงสามคน

ตอนแรกก็อวิ๋นชิง ตามด้วยเลี่ยวเชี่ยว ต่อมาก็หลันชิ่ง

เขาออกมาคราวนี้โชคดีอะไรอย่างนี้นะ…

คนงาม…

ยามยอดฝีมือประมือกันมีใครบ้างที่ใจลอยขาดสติเช่นนี้ หลันชิ่งเห็นเสี่ยวชุนยิ้มเซ่อเผยให้เห็นช่องโหว่จึงใช้ท่าหลอกล่ออวิ๋นชิงออกไป แล้วจู่ๆ ก็ตวัดคมกระบี่ ประกายเงินที่ว่องไวราวอสรพิษก็หายวับ กระบี่แทงทะลุตำแหน่งด้านหน้าของหัวใจตรงหน้าอกเสี่ยวชุน รวดเร็วจนคนไม่ทันกะพริบตา

เสี่ยวชุนรู้สึกเจ็บปวดสาหัสรุนแรงไปพักหนึ่ง เห็นมือที่กุมด้ามกระบี่ของหลันชิ่งอยู่ตรงหน้าอกตนเอง และยังคงเห็นตัวกระบี่ที่เหลือให้เห็นส่วนเล็กๆ นั้นได้อย่างแจ่มชัด เลือดพุ่งปรี๊ดออกมาเล็กน้อย เลือดอุ่นร้อนไหม้สีแดงสดเจือด้วยกระไอสีม่วง

เสี่ยวชุนสะท้านไปทั้งตัว เริ่มเหงื่อแตก

พอเงยหน้ามองเจ้าของกระบี่เล่มนี้ เห็นเพียงคนงามจับใจเผยรอยยิ้มยั่วยวน ในรอยยิ้มที่ทำให้เขาหนาวเข้ากระดูกมาพร้อมกับสีหน้าเกียจคร้านอย่างแมวที่อิ่มเอมใจ

สีหน้าแบบนี้เสี่ยวชุนเคยเห็นมาก่อน…เขามั่นใจว่าตนเองเคยเห็นมาก่อน

ในหุบเขาเทพเซียน ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่วางยาพิษในร่างกายเขา ตอนที่แสร้งถามอย่างปรารถนาดีว่าเขาปรับตัวได้แล้วหรือยัง สีหน้าที่แสดงออกมาก็คือสีหน้าแบบนี้

แล้วมองดวงตานี้ คิ้วนี้ ปากนี้ จมูกนี้ เสี่ยวชุนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย

“เสี่ยวชุน!” อวิ๋นชิงร้องลั่น

หลันชิ่งหันกลับไปมองอวิ๋นชิงที่อยู่ข้างกายอย่างนึกสนุก คนที่จิตใจเย็นชาและเลือดเย็นคนนี้เริ่มมีความรู้สึกตั้งแต่เมื่อไร เสียงที่เรียกเสี่ยวชุนนั้นสั่นสะเทือนออกมาจากเลือดเนื้อ

แค่เพียงประโยคนี้ก็ทำให้คนคนนี้สมควรตายแล้ว!

หลันชิ่งกระชากกระบี่ออกจากหน้าอกเสี่ยวชุนอย่างสนอกสนใจ เลือดคล้ายไหลพุ่งออกมาเป็นละอองไออยู่บนเวที คนที่บาดเจ็บสาหัสก็กลับเก่งกาจนัก แค่โงนเงนสองที ดวงตาที่เฉลียวฉลาดสุกใสคู่นั้นยังจับจ้องเขาอยู่

หลันชิ่งอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่คนคนนั้นกลับเอ่ยพูดกับเขาก่อน

“ศิษย์พี่ใหญ่…” เสี่ยวชุนร้องเรียกด้วยเสียงหายใจอ่อนแรง “ศิษย์พี่…ศิษย์พี่สือโถว…”

ในระยะที่อยู่ใกล้ชิดกันที่สุด ได้ยินเสียงเรียกที่ดังออกจากปากของเสี่ยวชุนแล้วหลันชิ่งก็ตะลึงงัน

“ศิษย์พี่…เป็นท่านใช่ไหม ข้าคือ…เสี่ยวชุนอย่างไรล่ะ…ศิษย์น้องแปดของท่านจ้าวเสี่ยวชุน…”

เสี่ยวชุนไอทีหนึ่ง ห้ามเลือดที่ไหลออกจากมุมปากไม่อยู่ เขาเอามือปิดปากและจมูกก่อนจะไออีกที ต่อมาจึงนึกได้ว่ารูตรงหน้าอกของตนเองใหญ่กว่า เลือดที่ไหลออกมาก็มากกว่า จึงใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายสกัดจุดชีพจรใหญ่ทั้งหกไว้ เขาโงนเงนจนใกล้จะยืนไม่อยู่แล้ว

การถ่วงเวลาของอวิ๋นชิงและเสี่ยวชุนในคราวนี้ทำให้ชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะฟื้นคืนพลังกันพอสมควรแล้ว หลันชิ่งเห็นสถานการณ์ศึกอยู่ในสภาพที่คุมเชิงกันอยู่ หากเสียเวลาต่อไปก็จะมีแต่เสียเปรียบ จึงยกกระบี่ขึ้นบีบอวิ๋นชิงที่พุ่งเข้ามาหมายจะชิงตัวคนให้ถอยไป

กระบี่ดุดันฉับไวทุกท่วงท่า อวิ๋นชิงไม่อาจต้านทานได้ พอกระบี่ของหลันชิ่งตวัดลงมาก็สะเทือนอาวุธในมือของอวิ๋นชิง อีกทั้งฉวยโอกาสสะบัดอย่างรุนแรงเพื่อให้อาวุธร่วง อวิ๋นชิงรู้สึกเจ็บ แขนเกือบถูกหลันชิ่งฟันขาด

“อ๊ะ…” พอเสี่ยวชุนเห็นเหตุการณ์ก็ร้องอย่างเจ็บปวด

“วันนี้สายมากแล้ว ข้าออกมาทั้งวันจนเพลียแล้ว” หลันชิ่งหัวเราะบอก “ตงฟาง สหายน้อยคนนี้ของเจ้าถูกชะตาข้าทีเดียว เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้ข้ายืมเขาก่อน ให้เขาเล่นเป็นเพื่อนข้าสักสองสามวัน เจ้าคงไม่ถือสาหรอกใช่ไหม!”

หลันชิ่งโอบเอวเสี่ยวชุน แต่กลับไม่รีบช่วยห้ามเลือดให้ แค่ให้เสี่ยวชุนพิงร่างเขาอย่างโงนเงน ลูบผมเสี่ยวชุนอย่างสนิทสนมนิดๆ

“เจ้ากล้ารึ” อวิ๋นชิงประชิดเข้ามาอีก

หลันชิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมจะไม่กล้า”

“อวิ๋นชิง…มือ…” เสี่ยวชุนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างยากเย็น หยิบเอาขวดสีเหลืองส้มออกมา จากนั้นขวดก็หล่นลงบนเวทีโดยไร้แรงจะถือไว้ให้มั่น

หลันชิ่งยกแขนโบก อุ้มเสี่ยวชุนแล้วสำแดงวิชาตัวเบาราวนกกระเรียนโบยบินสู่ฟ้า คนชุดดำรีบตามหลังหลันชิ่งอย่างใกล้ชิด สกัดพวกอวิ๋นชิงที่พยายามตามมาอย่างเต็มที่

หลันชิ่งมีพลังยุทธ์เลิศล้ำ อีกทั้งมีคนคอยสกัดหลังให้ เงาร่างปราดเปรียวหายลับไปในป่าทึบนอกเขตปราสาทเขาหลิวเขียว

อวิ๋นชิงตามหาอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งตะวันลับเหลี่ยมเขา ผืนป่าเป็นสีดำสนิท จึงรู้ตัวว่าตนเองคลาดกับหลันชิ่งแล้ว เงาร่างของเสี่ยวชุนก็หายลับไปแล้วเช่นกัน

“หลันชิ่ง…” อวิ๋นชิงกัดฟันกำหมัด และกำปั้นอีกข้างที่กำไว้หลวมๆ ยังมีเลือดไหลไม่หยุด นั่นคือบาดแผลที่หลันชิ่งมอบให้เขา

 

ร้อนรุ่มไปทั้งตัว เจ็บไปทั้งตัว

เสี่ยวชุนวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความจริง แต่กลับไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลย

เขาได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวข้างๆ หู ได้ยินใครกำลังพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ ยังเหมือนแต่ก่อนอยู่อีก ไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด”

แล้วใครบางคนก็ทั้งหัวเราะทั้งถอนหายใจข้างหูเขาอีก และยังยื่นมือมาแตะหน้าผากเขาด้วย

ช่วงเวลากึ่งฝันกึ่งตื่น ร่างกายร้อนไหม้ราวกับเตาหลอม ความเจ็บเข้ากระดูกที่ยากจะทานทนยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างที่สะลึมสะลือเขาลืมตาขึ้น พบว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีขาว นั่นคือท้องฟ้าในเมืองหลวงที่เป็นสีเทามืดมัวในวันที่หิมะโปรยปราย

เขาลืมตา ไม่กล้าหลับตา ปล่อยให้หิมะที่ปลิวเข้ามาในตาและในปากเริ่มละลายอย่างช้าๆ

หันหน้าไปอย่างยากเย็น ข้างๆ มีมารดาที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัว เขาพยายามขยับร่างกาย ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ เพื่อไปหามารดา ถนนที่เต็มไปด้วยหิมะพลันถูกร่างกายท่อนล่างของเขาลากเลื่อนมาจนอาบย้อมกลายเป็นสีแดง

นอนอยู่ในอ้อมอกมารดา ทั้งเย็นเฉียบทั้งเป็นน้ำแข็ง แต่กลับนำพาความร้อนไหม้ที่ราวกับถูกแผดเผาด้วยไฟนรกในร่างกายของเขาออกไปได้พอดี

ลืมตามองท้องฟ้า หิมะยังคงตก แต่เขาไม่รู้สึกหนาว ไม่เลยสักนิด

ใครบางคนกระซิบข้างหูเขาอีก “หลับตาลงซะ เจ้าลืมตามาทั้งวันแล้ว ควรนอนได้แล้ว”

เสี่ยวชุนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาอุดลำคอไว้ ลองส่งเสียงออกมาสองครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้

“นอนไม่ได้…นอนแล้ว…ก็คือตาย…”

ท่านแม่ก็นอนแล้วและไม่ลืมตาขึ้นมาอีก ร่างกายอ่อนนุ่มที่เดิมนั้นอวลอุ่นหอมหวนเย็นลงแล้ว

“เป็นไข้จนเลอะเลือนแล้วรึ”

ใครบางคนตีแก้มเขาสองทีด้วยแรงที่ไม่ถือว่าเบา ดึงสติเขากลับมา

คนคนนั้นจับหัวเขาให้หันไป เขาจึงเห็นใบหน้าหล่อเหลายวนใจและรอยยิ้มในดวงตาที่ซ่อนไม่มิด

“มนุษย์ยาแห่งเขาเทพเซียนหรือจะตายง่ายๆ ตอนนั้นที่ถูกฟันเป็นสองท่อนเจ้ายังรอดมาได้เลย คราวนี้แค่กระบี่ทะลุหัวใจ หัวใจและเส้นเลือดบาดเจ็บแค่นิดเดียว หากเจ้าอยากตายพญายมก็ไม่รับเจ้าไว้หรอก!”

“ศิษย์…ศิษย์พี่ ท่านแม่ข้า…ล่ะ…”

“ใต้หลุมศพ” ศิษย์พี่หัวเราะ ในดวงตาฉายความเยียบเย็นอันอ่อนจาง

เสี่ยวชุนหลับตาลงช้าๆ

ที่แท้เป็นความฝัน! ท่านแม่คือของปลอม เป็นภาพลวงตา ศิษย์พี่ต่างหากที่เป็นของจริง เป็นความจริง

แต่ไม่ว่าจะภาพลวงตาหรือความเป็นจริงเขาก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม เจ็บจังเลย…

มารดามันเถอะ

สิ่งที่ทนไม่ไหวมาตลอดชีวิตนี้ก็คือความเจ็บนี่แหละ…

เมื่อเสี่ยวชุนลืมตาอีกครั้งก็กลายเป็นเรื่องหลังจากนั้นนานมากแล้ว เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย นอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ มีผ้าม่านโปร่งสีดำที่กั้นเตียงให้แยกจากข้างนอก

พอลองขยับตัว มีแค่ตอนที่รั้งแผลตรงหน้าอกที่ยังทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย หลังจากโคจรพลังและปรับลมหายใจแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็นอันตราย แค่ชีพจรอ่อนไปหน่อย ต้องกินยาและใช้เวลาบำรุงสักหน่อยก็จะหายดี

พระจันทร์นอกหน้าต่างทั้งโตทั้งกลม คงเป็นวันที่สิบห้าแล้วกระมัง

เสี่ยวชุนสวมชุดคลุมสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ กุมหน้าอกเดินออกไปข้างนอกช้าๆ

ทางเดินยาวข้างนอกมีคนชุดดำเฝ้าอยู่ พอเห็นเขาออกมาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขวาง แสดงว่าต้องมีคนกำชับไว้แล้วแน่ เขาเดินวนไปทั่วทุกที่ สุดท้ายก็เดินออกจากประตูเล็กแล้วไปถึงตำหนักใหญ่

ในตำหนักใหญ่ของสำนักภูษานิล นักดนตรีและนางรำฝึกหัดกำลังเล่นดนตรีและร่ายรำ ในตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหราเต็มไปด้วยของประดับประดาแบบโบราณ ไม่มีสักชิ้นที่มาจากช่างฝีมือไร้ชื่อ เสี่ยวชุนลูบต้นเสาที่ปิดแผ่นทองคำ คิดอย่างเหม่อๆ ว่าต่อให้เป็นพระราชวังก็คงหรูหราอย่างมากเท่านี้กระมัง

บนเสามีมุกราตรีเม็ดใหญ่เท่ากำปั้นหลายเม็ดคอยให้แสงสว่างในตำหนัก หลันชิ่งที่ห่อตัวด้วยผ้าเนื้อบางสีดำกำลังหรี่ตามองหญิงนางรำข้างล่างเวทีที่เริ่มร่ายรำอย่างสง่างาม ข้างกายยังมีสตรีร่างแบบบางน่ารักคอยรินสุราให้ ส่วนสองข้างของเขาก็มีองครักษ์ชุดดำสองคนยืนเฝ้าอยู่นิ่งนาน

แต่ไม่ว่าสตรีในตำหนักใหญ่จะงดงามเพียงใด พอรวมกันแล้วก็ยังสู้เสน่ห์น่าหลงใหลส่วนเดียวของหลันชิ่งไม่ได้ รูปโฉมของหลันชิ่งชวนให้หวั่นไหวอย่างมิอาจพรรณนา ทั้งยังแฝงด้วยความกล้าหาญเฉพาะตัวของบุรุษ แค่มองเรียวคิ้ว แค่ยกมุมปาก สีหน้าที่ชำเลืองมองสรรพสิ่งในโลกนี้ คงมีไม่กี่คนที่จะต้านทานไหว

“ตื่นแล้วหรือ” พอหลันชิ่งแลเห็นศิษย์น้องแปดของเขาก็กวักมือเรียก

“คนงาม…” เสี่ยวชุนฉีกยิ้มมุมปากอย่างสดชื่น

“หืม?” หลันชิ่งเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเข้า

เมื่อเสี่ยวชุนพบว่าตนเองเรียกผิดไปก็รีบแก้ “แหะๆ…ศิษย์พี่ใหญ่…”

เขาเดินมาหน้าตั่งของหลันชิ่ง หลันชิ่งโบกมือให้สตรีข้างกายถอยออกไป ยกตำแหน่งที่มีคนนั่งจนร้อนแล้วให้เขา

เสี่ยวชุนนั่งลงด้วยหน้ายิ้มแป้น

“ยังกล้ายิ้มอีก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเรื่องดีของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าพังหมดแล้ว” หลันชิ่งบันดาลโทสะ กลอกตาใส่เสี่ยวชุน

“ถ้าหากฆ่าคนเป็นเรื่องดี ทำพังไปก็ดีแล้วล่ะ” เสี่ยวชุนบอก

“ยังจะพูดอีก เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าได้เลย!” ไม่รู้มือของหลันชิ่งมาวางบนคอของเสี่ยวชุนตั้งแต่เมื่อไร เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนผู้อื่นไม่ทันได้ป้องกันตัว

“ศิษย์พี่ฆ่าข้าไปแล้ว” เสี่ยวชุนยิ้มพร้อมชี้หน้าอกตนเอง “ไว้ชีวิตข้าเถอะครั้งนี้”

หลันชิ่งแค่นเสียงหึ คลายมือที่บีบคอเสี่ยวชุนแล้วย้ายไปวางบนบ่าอีกฝ่าย ดึงให้เด็กหนุ่มโน้มตัวลงนอน จากนั้นก็ผลักลงไปเบาๆ เสี่ยวชุนจึงได้นอนพิงตักหลันชิ่งไปแบบนี้

ทั้งสองคนคล้ายสนิทสนม ดูเหมือนศิษย์พี่จะอ่อนโยนกับเขาเต็มที่ แต่เสี่ยวชุนกลับรู้สึกหนาวสะท้านเพราะเหตุนั้น

คืนวันที่ได้อยู่ด้วยกันในหุบเขา เขารู้จักนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ยิ่งศิษย์พี่ใหญ่ดีกับเขามากเท่าไร ความทุกข์ทรมานที่เขาจะได้รับในภายหลังก็ยิ่งมากเท่านั้น นี่กลายเป็นกฎข้อบังคับที่มิอาจฝ่าฝืนมานานแล้ว สลักลึกอยู่ในใจของเสี่ยวชุน ไม่ว่าจะล้างถูอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้

“ศิษย์พี่เป็นคนวางยาพิษในร่างอวิ๋นชิงหรือ” เสี่ยวชุนขัดขืนอยากลุกขึ้นนั่ง

“อวิ๋นชิง? เรียกซะสนิทสนมขนาดนี้เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเขา พิษของข้าเจ้าถอนได้รึ แต่เห็นเขาท่าทางยังไม่หายดี ทำไมรึ ถอนพิษไม่ได้?” หลันชิ่งดื่มสุรา มือข้างหนึ่งกดลงบนบาดแผลของเสี่ยวชุนทำให้เขาเจ็บจนร้องครวญพร้อมกับขดตัวเป็นก้อน ยอมนอนหนุนตักหลันชิ่งอย่างว่าง่าย ไม่กล้าขยับอีก

เสี่ยวชุนเล่าเรื่องราวที่ตนเองได้เจออวิ๋นชิงให้ศิษย์พี่รู้ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วสำทับด้วยว่าพิษที่ศิษย์พี่ใช้นั้นไร้เทียมทาน ศิษย์น้องสติปัญญาทึ่มทื่อ ไม่ว่าจะถอนพิษอย่างไรก็ถอนไม่ได้ทำนองนั้น

หลันชิ่งฟังสองสามประโยคนี้แล้วจากโมโหก็กลายเป็นหัวเราะ

“หอคณิกา? คงมีแต่เจ้าที่คิดออกมาได้นะ มิน่าล่ะลูกน้องข้าหาเขาไม่เจอ” หลันชิ่งโบกมือ องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็รีบร้อนออกไป

“เปล่าประโยชน์ ข้านอนไปแล้วอย่างน้อยครึ่งเดือน เขาไม่มีทางทนรอได้นานขนาดนั้น น่าจะไปตั้งนานแล้ว”

“เจ้า…ตกลงรู้หรือไม่ว่าตงฟางอวิ๋นชิงคือใคร รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าจะฆ่าเขา” หลันชิ่งชะงัก ลองหยั่งเชิงถาม

“ไม่รู้ขอรับ” เสี่ยวชุนบอกตามตรง “ข้ารู้แค่ว่าเขาเป็นสหายคนแรกที่ข้ารู้จักหลังออกมาจากหุบเขา ข้าไม่อาจเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย พวกท่านมีความแค้นอะไรต่อกัน บอกไม่ได้หรือ”

หลันชิ่งขำพรืด พ่นสุราออกมาจากปาก แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะลั่น “เพราะเห็นคนเดือดร้อนแล้วต้องช่วย จึงทำให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันน่ะรึ คนหนึ่งคือศิษย์น้องที่รักของข้า อีกคนคือศัตรูตัวฉกาจของข้า”

เสี่ยวชุนพยักหน้า มองศิษย์พี่ใหญ่ของตนด้วยอาการลังเล

มีปัญหาแล้ว หัวเราะจนเป็นแบบนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ

“ศิษย์พี่ยังไม่ตอบข้าเลย” เสี่ยวชุนบอก

“เขาน่ะเป็นคนที่ต้องตายแน่นอน” หลันชิ่งลูบดวงหน้าคมคายของเสี่ยวชุน หัวเราะอย่างงดงามหยาดเยิ้ม “เจ้าตัวตลกนี่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ตนเองช่วยคือใคร อาจารย์ช่างโชคร้ายนัก สอนเจ้ามาตั้งนานก็ไม่ช่วยให้เจ้าฉลาดขึ้นบ้างเลย คนที่ไม่รู้จักกันก็ยังช่วยออกหน้าให้ ข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องกลับไปหรอก ดูเหมือนวิชาจะรุดหน้าขึ้นบ้างเล็กน้อย จะได้ช่วยศิษย์พี่ด้วยเลย ศิษย์พี่จะได้สอนเจ้าไม่ให้เจ้าโง่งมต่อไป”

“ไม่ต้อง! ไม่ต้องขอรับ!” เสี่ยวชุนโบกมือ “ศิษย์พี่เอายาถอนพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวให้ข้าเถอะ ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนยาพิษของท่านออกฤทธิ์ขึ้นมามันโหดร้ายแค่ไหน”

“เสี่ยวชุน…คนบางคนสมควรต้องตาย…” หลันชิ่งดื่มสุราอีก

“สวรรค์เมตตาทุกสรรพสิ่ง” เสี่ยวชุนบอก

“ข้าไม่ใช่สวรรค์ ยิ่งกว่านั้นตอนที่ข้าต้องแบกรับอะไรพวกนั้น ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยข้า” หลันชิ่งหมุนถ้วย มองเงาในถ้วยที่ขยับไม่หยุด

“แน่นอนว่ามี อาจารย์เป็นคนช่วยท่านไม่ใช่หรือ” เสี่ยวชุนบอก

“อาจารย์มาช้าเกินไป”

“แต่ท่านก็ยังรอดมาได้!”

“จ้าวเสี่ยวชุน!” หลันชิ่งถูกอีกฝ่ายเถียงจนทำให้หงุดหงิดแล้ว จึงซัดฝ่ามือใส่บาดแผลตรงหน้าอกเสี่ยวชุน ทำเอาเด็กหนุ่มเจ็บจนร้องโอยๆ เลือดซึมออกมาเปียกเสื้อผ้าตรงหน้าอก

คนยังมีชีวิตรอด แต่หัวใจกลับตายไปแล้ว เสี่ยวชุนเองก็รู้ดี

เสี่ยวชุนไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนจึงช่วยรักษาหัวใจของศิษย์พี่ใหญ่ได้ เหมือนกับที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะช่วยท่านแม่ที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนมาได้

เขานึกถึงอวิ๋นชิง นึกถึงคนที่ปราสาทเขาหลิวเขียวพวกนั้น

เข่นฆ่าไม่จบสิ้น…

หรือนี่ก็คือยุทธภพ…

 

ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมให้ยาถอนพิษเขา เช่นนั้นหากปรุงเองก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

พักผ่อนมาหลายวันแล้ว บาดแผลก็ดีขึ้นแล้วสามสี่ส่วน เสี่ยวชุนคลำทางไปถึงห้องยาที่ไม่มีใครคอยเฝ้ายาม เปิดกล่องรื้อตู้หาสมุนไพรที่ถูกเก็บสะสมไว้ออกมาหมด

ในเมื่อจันทร์ครึ่งเสี้ยวมาจากสำนักภูษานิล ในห้องยาของสำนักภูษานิลต้องเหลือหญ้าพิษที่ใช้ทำยาในตอนแรกหลายอย่าง

เสี่ยวชุนเอามุกราตรีที่ควักออกมาจากเสาในตำหนักใหญ่มาใช้แทนเทียนไข แล้วเปิดไหเปิดหีบในห้องยา ค้นไปค้นมาอยู่อย่างนั้น

“ดีนกยูง ดอกลำโพง หญ้าไส้ขาด ยางน่อง หยางเหมย…สุดท้ายก็พอเดาถูกอยู่บ้าง…”

“หลิวเถา…อันนี้มีพิษ…สารหนู…อันนี้พิษแรงกว่า…” เสี่ยวชุนท่องชื่อยาที่หาเจอ

เสี่ยวชุนค้นไปค้นมาแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง

“ว้าก!! ตะขาบห้าสีตัวเบ้อเริ่ม…”

แล้วค้นหาดูอีกพักหนึ่ง

“มารดามันเถอะ ศิษย์พี่ไปหาแมงมุมหิมะตัวอ้วนขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย…”

ห้องยาห้องนี้ยิ่งดูก็ยิ่งน่ากลัว ถ้าหากอาจารย์ไม่ได้ฝึกเขาให้กลายเป็นหมอยาที่ร้อยพิษไม่กล้ำกรายตั้งแต่เด็ก ห้องยานี้เขาเข้ามาได้แต่คงออกไปไม่ได้ ลำพังแค่คลำสิ่งของพวกนี้เขาก็กลัวว่าตนเองคงต้องถูกพิษตาย

พลิกหาต่อไปอีก “ปีกนางฟ้า ถู่ซือจื่อ* ชะมด อู่เว่ยจื่อ**…ยาบำรุงพลังหยาง…”

อีกฝั่งหนึ่ง “เหอโส่วอู กระดองเต่า โสมคน บัวหิมะ…นี่ค่อนข้างปกติ…” แล้วมือก็หยิบบัวหิมะเอามาเคี้ยว กลิ่นหอมปะทะเข้าจมูก โคจรพลังบำรุงเลือด สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อบาดแผลของเขา

คืนนี้เขายุ่งอยู่ในห้องยา รู้คร่าวๆ แล้วว่าศิษย์พี่ใช้พิษอะไร แต่หากจะทำยาถอนพิษออกมาจริงๆ เสี่ยวชุนคิดว่าหากไม่ใช้เวลาสองถึงสามเดือนก็คงยาก หลังจากที่ศิษย์พี่ออกจากหุบเขาไปแล้ว ทักษะด้านใช้พิษก้าวหน้าไปมาก ส่วนเขาแม้จะได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรง แต่กลับเชี่ยวชาญในด้านรักษาอาการเจ็บป่วย บำรุงร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น ส่วนด้านการถอนพิษยังคงอ่อนด้อยไปหน่อย

ครั้นแล้วหลังจากนั้นหลายวันเสี่ยวชุนเดินไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่มีใครสนใจ เขาจึงเอาผ้าห่มพร้อมหมอนมาปูนอนบนพื้นในห้องยา

ไฟในเตาใหญ่ลุกไหม้โดยไม่สนวันและคืน ในห้องยาร้อนจนเขาหน้าแดงก่ำทั้งวัน

ศิษย์พี่เหมือนกำลังยุ่ง เหตุการณ์ที่งานชุมนุมผู้กล้าวันนั้นลุกลามใหญ่โต คนที่เรียกกันว่าฝ่ายธรรมะคงชิงชังศิษย์พี่ใหญ่เข้ากระดูก ไม่แน่ตอนนี้อาจเริ่มโจมตีสำนักภูษานิลกลับแล้ว

เสี่ยวชุนหยิบพัดใบลานมาโบกพัด ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด บางทีควรเรียกศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ห้า และศิษย์พี่หกมามัดตัวศิษย์พี่ใหญ่กลับหุบเขาไปด้วยกัน นับจากนี้ไม่เหยียบย่างเข้าไปในยุทธภพอีก คลื่นลมจึงจะสงบลงได้

เพียงแต่…หากจะจับศิษย์พี่ใหญ่มัดคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นแน่นอน

หากแบกอาจารย์มาด้วย ไม่รู้จะมีความเป็นไปได้มากขึ้นหรือไม่

ขณะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย ยาในเตาก็ใกล้ได้ที่แล้ว เสี่ยวชุนเอาพัดมาพัด อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ รอให้ยาเสร็จแล้วออกจากที่นี่ไปตามหาอวิ๋นชิงก่อน เอายาให้อวิ๋นชิงกินเป็นเรื่องสำคัญกว่า พิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวรุนแรงยิ่งนัก เกรงว่าในโลกนี้คงมีแค่อวิ๋นชิงกระมังที่ทนรับไหว!

ปากเริ่มร้องเพลงพื้นบ้าน ทำนองเพลงไม่มีความอ่อนโยนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของพวกสตรี แต่กลับเป็นความหาญกล้าอย่างบุรุษ เสี่ยวชุนครวญเพลงขณะที่โบกพัดไปด้วย

“รัวกลองผ่อนจังหวะตีฆ้อง กลองหยุดฆ้องชะงักฟังขับขาน ถ้อยคำเหลวไหลเรียงร้อยเพลงพาน ยินข้าขับขานสิบแปดลูบไล้ เพียงยื่นมือแตะปอยผมข้างแก้มพี่ เมฆดำทะยานรี่กลืนครึ่งฟ้า เพียงยื่นมือแตะเนินเนื้อพี่สาวตรงหน้า…”

“ข้ายังว่าเหตุใดหลายวันมานี้ไม่เห็นเจ้า ที่แท้ก็มาอยู่ตรงนี้เอง” อยู่ๆ เสียงบุรุษที่ฟังดูเกียจคร้านก็ดังขึ้นขัดเสียงร้องเพลงของเสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนหันกลับไป เห็นว่านอกจากกางเกงสีดำแล้วหลันชิ่งก็คลุมเสื้อนอกไว้แค่ตัวเดียว เสื้อคลุมทำจากผ้าไหม เนื้อผ้าบางและมองเห็นทะลุปรุโปร่ง สองแขนราวกับหยกไร้ตำหนิ เห็นผิวเนื้อกำยำได้วับแวม และยังมีเรียวคิ้วที่ประดับยิ้ม แผ่นอกเปลือยเปล่า เอวคอดกิ่ว เสี่ยวชุนมองจนเลือดลมพลุ่งพล่าน เลือดกำเดาเกือบพุ่ง

“ดึกป่านนี้แล้วศิษย์พี่ยังไม่นอนหรือ” เสี่ยวชุนรีบแสร้งหัวเราะ ทำอะไรไม่ถูก…ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ! แม้ตั้งแต่เล็กจะรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่งาม แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยแสดงให้เห็นท่าทางที่ชวนให้จิตใจปั่นป่วนอย่างนี้มาก่อน

“ร้องเพลงสิบแปดลูบไล้ในที่ของข้า เจ้าเห็นที่นี่เป็นหอนางโลมหรือไร” หลันชิ่งถาม

“ศิษย์น้องแค่ว่างๆ อยู่รอให้ยาเสร็จขอรับ ก็เลยครวญเพลง ศิษย์น้องกำลังรอให้ยาเสร็จ รู้สึกเบื่อเลยครวญเพลงไปเรื่อยขอรับ” เสี่ยวชุนบอก

“ยาของเจ้าไม่มีวันเสร็จหรอก” หลันชิ่งพลันยิ้มสดใส

เสี่ยวชุนรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่าง

เห็นเพียงหลันชิ่งเดินไปข้างเตาแล้วซัดพลังออกไปหนึ่งฝ่ามือ เตาเกิดเสียงดังโครม แตกแล้ว พังแล้ว หล่นลงมาแล้ว หม้อใบใหญ่ที่อยู่ข้างบนก็พลิกเข้าไปในถ่านที่ร้อนแดง ยาไหลออกมาหมดและถูกไฟเผาไหม้จนแห้ง

เสี่ยวชุนอ้าปากกว้าง

“หากกล้าทำยาให้ตงฟางอวิ๋นชิงต่อหน้าข้าอีก ฝ่ามือถัดไปข้าจะซัดที่หัวของเจ้า” หลันชิ่งเดินเข้ามา ตบใบหน้าแดงเรื่อของเสี่ยวชุนที่ถูกไฟในเตาส่องเบาๆ

“ข้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านแท้ๆ ท่านมาที่ห้องยาเองนะ” เสี่ยวชุนพึมพำ

“เหมือนกันนั่นแหละ” หลันชิ่งบอก

“ความจริงข้าก็แค่ลองดูเท่านั้น” เสี่ยวชุนบอกเสียงแผ่ว “ศิษย์น้องไม่มีความสามารถจะถอนพิษจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้ ศิษย์พี่ประเมินศิษย์น้องสูงเกินไปแล้ว…พิษนี้…ยากนะ…”

“ยากแล้วยังลอง? เสียแรงไปเปล่าแล้วก็ช่างมันเถอะ แต่ยังจะผิดใจกับศิษย์พี่เพราะคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่ไม่กี่วันอีก ตอนนี้เห็นคนนอกสำคัญกว่าคนในแล้วใช่ไหม”

“ข้าแค่ไม่อยากเห็นใครตายไปต่อหน้าต่อตาข้า” เสี่ยวชุนบอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ปิดตาซะสิ” หลันชิ่งสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

แต่นอกจากเรื่องพวกนี้เสี่ยวชุนยังคิดด้วยว่าอยากให้อวิ๋นชิงเจ็บน้อยลงหน่อย อยากให้อวิ๋นชิงอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน

ชิงชังต่อสู้เพราะบุญคุณความแค้นอะไรนั่นเขาไม่สนและไม่คิดจะสนด้วย…

เขาแค่อยากให้อวิ๋นชิงดีขึ้นบ้างก็เท่านั้น…

 

* ถู่ซือจื่อ เป็นพืชชนิดหนึ่ง เมล็ดใช้ทำยา มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำหนัด เพิ่มปริมาณน้ำเชื้อ

** อู่เว่ยจื่อ (Schisandra berry) แปลตรงตัวว่าผลไม้ห้ารส มีทั้งรสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด และขมปนกัน ช่วยบำรุงไต

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ ฉบับเต็ม

ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป, JamClub หรือคลิกสั่งซื้อได้ที่ Jamshop

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Editor Jamsai: