บทที่ 1
เสิ่นหยวนฝันถึงชาติก่อนของนางอีกแล้ว…
ลมเย็นพัด ต้นอู๋ถง ผลัดใบ สองตานางพันด้วยผ้าขาว เท้าเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นไม้เย็น
สาวใช้ประคองแขนนางมานั่งที่เก้าอี้พนักกลมบนเฉลียง แสงแดดต้นฤดูใบไม้ร่วงส่องลงบนตัว ทำให้รู้สึกอบอุ่นนัก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงดังเข้าโสต นางเอียงศีรษะ เอ่ยยิ้มๆ ไปยังทิศทางนั้น ‘ท่านมาแล้ว?’
‘อืม’ เสียงแหบอย่างที่สุด แต่นางกลับฟังออกถึงความอ่อนโยนในนั้น ‘ไฉนเจ้าไม่ใส่รองเท้า’
เสิ่นหยวนยิ้มน้อยๆ
เวลานั้นนางสังเกตเห็นแล้วว่ายาระงับพิษในกายไม่อยู่ สัมผัสต่างๆ ที่ร่างกายมีต่อโลกภายนอกกำลังค่อยๆ หายไป วันเวลาที่สองเท้าสามารถรู้สึกถึงพื้นไม้เย็นสบายเช่นนี้เกรงว่าจะคงอยู่อีกไม่นานนัก ดังนั้นนางจึงอยากใช้โอกาสยามนี้สัมผัสให้มากขึ้นสักหน่อย
นางมิได้ตอบอะไร เพียงเงยหน้าขึ้นกล่าวยิ้มๆ ‘ท่านสอนข้าดีดพิณเถิด’
ในตอนแรกนางถูกคนวางยาพิษ ตื่นมาสองตาก็มองไม่เห็นแล้ว จึงไม่รู้ว่าคนที่สอนนางคือผู้ใด เขาไม่เคยยอมเปิดเผยฐานะและชื่อแซ่ของเขาให้นางรู้ พออยู่ด้วยกันต่อมานางถึงค่อยๆ รู้ว่าเขาเป็นทหารผู้หนึ่ง ลำคอถูกควันหนาที่เกิดจากการศึกทำลายขณะอยู่ในสนามรบ เสียงพูดในตอนนี้ถึงได้แหบปานนี้
ทว่าคนที่เป็นเช่นนี้กลับบรรเลงพิณออกมาได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ
เสิ่นหยวนบังเอิญได้ยินเขาบรรเลงแค่ครั้งเดียวก็วอนขอให้เขาสอนนาง และเขาเองก็มิได้ปฏิเสธ
มือใหญ่หนากว้าง กลางฝ่ามือมีรอยด้านและรอยแผลเป็น ถูกมือใหญ่เช่นนี้กุมอยู่บนหลังมือของตน เสิ่นหยวนถึงกับรู้สึกอุ่นใจยิ่ง
ก็เหมือนกับยามนี้ มือของเขาจับมือนางวางลงบนหน้าพิณ ดีดสายพิณทีละสาย เสียงพิณเสนาะโสตหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วมือนางประหนึ่งสายน้ำ เสิ่นหยวนรู้สึกว่านางราวกับได้ยินเสียงบุปผาผลิบานยามวสันตฤดู
ฉากเหตุการณ์พลันเปลี่ยนไป…
นางที่อยู่ในอ้อมแขนเขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ภายในร่างกายเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด ก่อนได้ยินเขาถามนางเสียงเข้มว่า ‘เจ้ามีความปรารถนาใดยังไม่ลุล่วง บอกข้ามา ข้าจะไปจัดการให้เจ้า!’
เสิ่นหยวนส่ายศีรษะ
ชีวิตนี้นางโอหังเอาแต่ใจ ไม่เชื่อฟังคำบุพการี จะแต่งงานกับหลี่ซิวหยวนให้ได้ มีจุดจบเช่นตอนนี้ล้วนเป็นนางทำตนเอง นางไม่ชิงชังผู้ใด และไม่เคียดแค้นผู้ใดเช่นกัน
นางเพียงรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเกินจะกล่าว
เสิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นในอ้อมแขนเขา เหยียดมุมปากอย่างยากลำบาก พยายามส่งยิ้มให้เขา ‘ขอบคุณที่ท่านช่วยข้า บุญคุณของท่าน ข้ามิอาจตอบแทนได้ในชาตินี้แล้ว หากชาติหน้ามีจริง ข้าขอตอบแทนในชาติหน้าแล้วกัน’
สุดท้ายขณะนางหลับตาลง ริมโสตคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจอันโศกเศร้าและเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งของเขา ยังมีเสียงเบาๆ ของเขากำลังเรียกนาง ‘หยวนหยวน’
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากอยู่ด้วยกันมานานที่เขาเรียกชื่อนาง
เสิ่นหยวนพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงสลัว นางได้ยินเสียงลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดกระโชก รวมถึงเสียงฝนกระทบเปาะแปะบนประทุนเรือ
ในห้องพักเงียบกริบ ไฉ่เวยผู้เป็นสาวใช้กำลังหลับอยู่บนพื้นกระดาน ระหว่างสะลึมสะลือได้ยินเสียงเสิ่นหยวนลุกขึ้นนั่ง นางก็สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามทันที “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนตอบรับในลำคอเบาๆ คำหนึ่งแล้วถามนางว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
ไฉ่เวยมองเทียนที่จุดไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กแวบหนึ่งก่อนตอบ “เพิ่งจะเข้ายามอิ๋น เจ้าค่ะ คุณหนูนอนต่ออีกหน่อยเถิด”
เสิ่นหยวนพยักหน้า เอนตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ทว่าผ่านความฝันเมื่อครู่นี้มา ยามนี้นางได้หายง่วงแล้ว จึงเพียงนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงฝนที่ดังเปาะแปะอยู่ด้านนอกพลางคิดเรื่องในใจ
ถ้าพูดออกมาเกรงว่าผู้อื่นคงได้คิดว่านางเป็นภูตผีปีศาจ หากแต่ตัวนางเองรู้ดี นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ และตอนนี้หากว่ากันจริงๆ ควรต้องนับเป็นชาติที่สองของนางกระมัง
นางเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของสกุลเสิ่น บรรพบุรุษก็เคยครองบรรดาศักดิ์โหว เพียงแต่สืบทอดแค่สามรุ่น คนรุ่นหลังส่วนใหญ่ได้ดีจากการสอบขุนนาง เดิมทีนับเป็นตระกูลบัณฑิตเช่นกัน ทว่านับแต่รุ่นทวดลงมากลับมีเพียงบิดาของนางที่สอบขุนนางได้
ตอนนี้บิดามีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกองงานไท่ฉางแล้ว และท่านตาของนางยิ่งไต่เต้าไปได้ถึงตำแหน่งรองผู้ตรวจการฝ่ายซ้าย หลังจากนั้นก็เกษียณกลับบ้านเกิด ซ้ำนางยังมีท่านป้าที่กินตำแหน่งเสียนเฟย อยู่ในวังอีกคน
เสิ่นหยวนลอบถอนหายใจเงียบๆ
นางถูกมารดาประคบประหงมตามอกตามใจมาตั้งแต่เล็กจนโต เดิมควรมีอนาคตดีงามปานโรยด้วยบุปผชาติ ทว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางมีใจรักในตัวหลี่ซิวหยวน ไม่คำนึงถึงเรื่องที่สตรีพึงรักนวลสงวนตัว ทั้งเขียนจดหมายให้เขา ทั้งมอบถุงหอมให้เขา สุดท้ายเรื่องเหล่านี้ไม่รู้ถูกบิดาทราบเข้าได้อย่างไร บิดาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของบุตรสาวอย่างที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่านางทำเช่นนี้ทำให้เขาขายหน้ายิ่งนัก ด้วยอารามโกรธจัดจึงจะส่งนางไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชี ท้ายที่สุดมารดาต้องร้องไห้คุกเข่าขอร้องอยู่เป็นนาน บิดาถึงตอบตกลงตามข้อเสนอของมารดาว่าจะส่งนางไปอยู่ที่บ้านท่านตาสักพักหนึ่ง
วันถัดมามารดาส่งนางขึ้นเรือไปฉางโจวทั้งน้ำตาอาบหน้า กำชับกำชานางอย่างละเอียดเสร็จก็บอกว่ารอสักพักให้บิดาหายโกรธแล้ว จะส่งคนไปรับนางกลับมาทันที
เวลานั้นเสิ่นหยวนไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพียงคิดว่าแค่ไปเที่ยวเล่นบ้านท่านตาไม่กี่วันประเดี๋ยวก็กลับมาได้ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าคำกำชับของมารดาช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
แต่นางคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้พบหน้ามารดา
มารดาของนาง…มารดาที่รักนางปานแก้วตาดวงใจล้มป่วยสิ้นใจไปหลังนางจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งปี น่าแค้นใจที่ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ถึงอาการป่วยของมารดาสักนิด ซ้ำยังส่งจดหมายวิงวอนให้มารดาผลักดันเรื่องการแต่งงานของนางกับหลี่ซิวหยวนให้สำเร็จอยู่หนแล้วหนเล่า
ถึงแม้นางจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในชาตินี้ แต่ก็กลับมาในช่วงที่นางมาถึงบ้านท่านตาที่ฉางโจวและมารดาสิ้นใจไปแล้ว
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้นางล้วนไม่ได้พบหน้ามารดาเป็นครั้งสุดท้าย
เสิ่นหยวนคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว หัวใจคล้ายมีมีดคมกริบกำลังกรีดอยู่ตลอด เจ็บจนนางแทบจะหายใจไม่ออก
นางพยายามตั้งสติ ก่อนพลิกตัวนอนตะแคง เสียงเสื้อผ้าเสียดสีสวบสาบได้ยินชัดเป็นพิเศษในราตรีอันเงียบสงัด
ไฉ่เวยเพิ่งจะเริ่มเคลิ้มหลับ กลับถูกทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก
“คุณหนู” นางเรียกเสิ่นหยวนเสียงเบา “ท่านหลับหรือยังเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนลืมสองตาขึ้นยิ้มให้นาง “ยัง ข้ากระหายน้ำอยู่บ้าง เจ้ารินน้ำมาให้ข้าดื่มที”
ไฉ่เวยตอบรับ รีบลุกไปหยิบกาน้ำชาดินม่วงในถังชาเก็บความร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กด้านข้างมารินน้ำ แล้วยื่นส่งมาให้ตรงหน้าเสิ่นหยวนด้วยสองมือ “คุณหนู ดื่มน้ำเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนลุกขึ้นนั่ง มือขวารับถ้วยมา ดื่มน้ำอุ่นๆ ลงไปสองอึกเสร็จก็ยื่นถ้วยคืนให้ไฉ่เวย “ตอนเช้ายังต้องเร่งเดินทาง เจ้าเองก็นอนเถอะ”
ภายใต้แสงเทียนสลัวรางไฉ่เวยมองเห็นได้ว่าใต้ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่น่ามองของเสิ่นหยวนมีสีคล้ำจางๆ วงหนึ่ง สีหน้าก็ซีดเซียวอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่
ในใจไฉ่เวยรู้ดีว่าคุณหนูไม่ชินกับการนั่งเรือ ซ้ำหลังจากพวกนางขึ้นเรือที่ท่าเรือฉางโจวก็อยู่บนเรือมาสิบวันแล้ว เป็นธรรมดาที่คุณหนูจะรู้สึกไม่สบาย
ทว่าคุณหนูที่เดิมเป็นคนบอบบางรักสบายเพียงนั้น ในสิบวันนี้กลับไม่เคยได้ยินนางปริปากบ่นสักคำ และไม่เคยเห็นนางพาลโกรธใครเหมือนในสมัยก่อนที่เวลาไม่พอใจก็จะหาข้ออ้างมาระบายอารมณ์ลงกับบ่าวไพร่
ตลอดหลายเดือนมานี้คุณหนูเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ไฉ่เวยทอดถอนใจ ก่อนจะรีบยื่นสองมือไปรับถ้วยแล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่กี่วันมานี้เรือล้วนแล่นตามลม เรือของพวกเราแล่นได้เร็ว อีกไม่กี่ชั่วยามก็น่าจะถึงเมืองเหลียวในซานตง พอเรือผ่านเมืองเหลียว คำนวณระยะทางดู อีกห้าวันก็น่าจะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนพยักหน้า เอนตัวนอนลงบนเตียง หลับตาลง
ทว่าสิ่งที่ว้าวุ่นอยู่ในสมองล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนเหล่านั้น ประเดี๋ยวเป็นภาพบิดาบริภาษนางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดว่า ‘ข้าไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นเจ้า!’ ประเดี๋ยวเป็นภาพมารดาคุกเข่ากับพื้น ร่ำไห้วิงวอนบิดาไม่ให้ส่งนางไปสำนักชี ประเดี๋ยวเป็นภาพหลี่ซิวหยวนมองนางด้วยความรังเกียจ พูดอย่างเย็นชาว่า ‘ข้าไม่เคยชอบเจ้า ผู้ที่ข้าชอบมีเพียงเจินเจินคนเดียวเสมอมา’ ประเดี๋ยวก็เป็นภาพนางตระหนกตกใจ คุกเข่าร่ำไห้กับพื้นขณะได้รู้ข่าวการตายของน้องชายและน้องสาว
ตลอดราตรีนี้มีความฝันมากมาย ทั้งยังหนักหนา เสิ่นหยวนนอนหลับไม่สบายอย่างยิ่ง ครั้นใกล้ฟ้าสางนางตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกเวียนศีรษะไปหมด
ไฉ่เวยคลุมเสื้อคลุมผ้าต่วนสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนให้เสิ่นหยวน ประคองนางออกไปสูดอากาศที่หัวเรือ
ยามฟ้าสางเรือของพวกนางก็มาถึงเมืองเหลียวแล้ว คนคุมเรือรายงานเสิ่นหยวนผ่านประตูว่าเสบียงอาหารบนเรือหมดแล้ว ไม่แน่ว่าวันนี้อาจต้องจอดเรือที่นี่สักครึ่งวัน เขาต้องให้ลูกเรือสองคนขึ้นฝั่งไปหาซื้อเสบียง
เสิ่นหยวนอนุญาต
นางรู้ว่าเมืองเหลียวแห่งนี้เป็นแหล่งปลูกสาลี่เป็ดและพุทรากรอบชั้นดี เป็ดตุ๋นสี่มงคลก็โด่งดังในใต้หล้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงให้ไฉ่เวยเรียกหญิงรับใช้สูงวัยนางหนึ่งมา แล้วยื่นเงินไปก้อนหนึ่ง ให้อีกฝ่ายลงเรือไปซื้อสาลี่เป็ดและพุทรากรอบ รวมถึงเป็ดตุ๋นสี่มงคลมาอีกสองสามตัว
หญิงรับใช้สูงวัยรับเงินแล้วก็ถอยออกไปอย่างเคารพนบนอบ เสิ่นหยวนยืนอยู่ที่หัวเรือ มองอีกฝ่ายเหยียบไม้กระดานลงจากเรือไป
บนฝั่งไร้ผู้คน มีต้นหลิวปลูกอยู่ไม่กี่ต้น ทว่ายามนี้เป็นช่วงที่อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใบหลิวจึงครึ่งเขียวครึ่งเหลือง ดูไปมีแต่ความเหี่ยวเฉา ปราศจากความมีชีวิตชีวาเฉกเช่นฤดูคิมหันต์ ยังมีต้นเฟิงขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่ใบเป็นสีแดงก่ำดุจอัคคีหลังต้องน้ำค้างแข็งฤดูสารท
เสิ่นหยวนยืนอยู่ที่หัวเรือได้ครู่หนึ่ง มองเห็นด้านข้างมีสตรีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าโพกศีรษะไว้กำลังพายเรือเล็กร้องขายกระจับสดและรากบัวอยู่ นางคิดได้ว่าฉางหมัวมัวชอบกินกระจับกรอบๆ นี้เป็นที่สุด จึงให้ไฉ่เวยเรียกสตรีนางนั้น ให้พายเรือเล็กมาใกล้ๆ เพื่อจะซื้อกระจับสด
ไฉ่เวยรับคำแล้วกวักมือเรียกสตรีนางนั้นมา ก้มตัวลงบอกอีกฝ่ายเรื่องต้องการซื้อกระจับ สตรีนางนั้นตอบรับคำหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ก่อนเอื้อมมือไปหยิบตาชั่งที่วางอยู่ข้างเท้ามาชั่งกระจับ
ที่ผ่านมาเสิ่นหยวนไม่เคยเห็นตาชั่งมาก่อน ให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ จึงก้าวสองก้าวไปดูใกล้ๆ
ทว่าเวลานี้นางกลับได้ยินคนตะโกนขึ้นจากทางด้านหลัง “คนคุมเรือ! คนคุมเรือ! ไม่ทราบว่าเรือลำนี้ของเจ้าจะไปเมืองหลวงใช่หรือไม่”
เสิ่นหยวนหันหน้ากลับไปมอง เห็นคนท่าทางเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นเฟิงตะโกนพูดกับคนคุมเรือตรงริมฝั่ง และที่ด้านข้างเขามีอีกคนหนึ่งยืนอยู่
บนตัวคนผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมสีเขียวคราม รูปโฉมหล่อเหลาผึ่งผาย ทว่าสีหน้าแววตากลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แม้แต่ใบเฟิงสีแดงก่ำปานอัคคีเหนือศีรษะเขาก็ยังข่มกลิ่นอายเย็นชาทั่วร่างเขาไม่ได้
เสิ่นหยวนตกใจยิ่งยวด
นางจำคนผู้นี้ได้
หลี่ซิวเหยา บุตรชายคนโตสายรองสกุลหลี่ พี่ชายของสามีในชาติก่อนของนาง ต่อมาภายหลังได้ช่วยสนับสนุนให้หลานชายเยาว์วัยของตนเองได้ขึ้นบัลลังก์ กลายเป็นพระญาติผู้มีอำนาจอันเปี่ยมล้นในพระราชสำนัก
ในใจเสิ่นหยวนยังคงตระหนกไม่คลาย คนคุมเรือที่กำลังง่วนกับการตวงข้าวทำอาหารกลับยืดตัวขึ้นมาพูดกับผู้ติดตามคนนั้น “เป็นเรือที่จะไปเมืองหลวง มีอะไรหรือ”
เสียงของผู้ติดตามคนนั้นดังกังวาน “ข้ากับคุณชายของข้าต้องการไปเมืองหลวง ขอติดเรือไปด้วยได้หรือไม่ เรื่องค่าจ้างมาคุยกันได้”
คนคุมเรือมองมาทางเสิ่นหยวนแวบหนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้คนผู้นั้น “เรือของข้ามีคนเหมาแล้ว ไม่สะดวกจะรับคนไปอีก น้องชายลองไปถามที่อื่นดูเถิด”
เดิมเรือจากเมืองเหลียวไปเมืองหลวงก็มีน้อยเต็มที ทั้งยามนี้เป็นช่วงปลายปี อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แม่น้ำลมแรง ทำให้ยิ่งมีเรือน้อยลงไปอีก เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามจะยังหาเรือไปเมืองหลวงได้จากที่ใด
สีหน้าผู้ติดตามนามฉีหมิงมีแววลำบากใจ ยังคงหันตัวไปกล่าวกับหลี่ซิวเหยาที่ยืนอยู่ข้างกัน “คุณชาย ท่านดูเถิด เรื่องนี้ควรทำเช่นไรดีขอรับ”
สามวันมานี้ไม่ว่าพวกเขามองเห็นเรือลำใดก็จะถามว่าไปเมืองหลวงหรือไม่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอเรือที่ไปเมืองหลวงในที่สุด แต่กลับถูกคนเหมาไว้แล้ว ไม่รับคนเพิ่ม
ทว่าคุณชายได้รับหนังสือจากกรมขุนนางเรียกไปรายงานตัวที่กรมทหารอย่างเร่งด่วนที่สุด ทางบกช้าเกินไป จึงได้คิดเดินทางทางน้ำ แต่ก็ยังหาเรือไปเมืองหลวงไม่ได้เสียที…
ฉีหมิงกล่าวอีกว่า “คุณชาย ข้าจะไปบอกกับคนคุมเรือผู้นั้นว่าขอแค่เขาให้พวกเราขึ้นเรือ พวกเราจะให้เงินเพิ่มเป็นอย่างไรขอรับ หรือไม่ข้าไปขอพบคนที่เหมาเรือลำนี้ก็ได้ ขอแค่ให้พวกเราขึ้นเรือ พวกเราก็ให้เงินเขาด้วยอีกคน”
สายตาหลี่ซิวเหยาเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ
ก่อนคนคุมเรือจะตอบเมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายได้มองไปทางเสิ่นหยวนแวบหนึ่ง แม้จะเลื่อนสายตากลับมาทันที แต่หลี่ซิวเหยาก็ยังสังเกตเห็นนาง
คิดว่าหญิงสาวนางนั้นคงเป็นคนที่เหมาเรือนี้ไว้เป็นแน่
ก่อนหน้านี้นางหันหน้ามามองเพียงแวบเดียวก็รีบหันหน้ากลับไป เวลานี้หลี่ซิวเหยาจึงมองเห็นเพียงหลังอันแบบบาง
“ช่างเถอะ” หลี่ซิวเหยาเก็บสายตากลับมา สีหน้าราบเรียบ “รอถามเรือลำอื่นแล้วกัน”
เขาเป็นคนที่ไม่เคยยอมขอร้องใคร
ฉีหมิงจนใจ ทำได้เพียงรับคำ จากนั้นเขาก็ทำท่าจะเดินออกไปจากริมฝั่งตามหลังหลี่ซิวเหยา
เวลานี้เองเสิ่นหยวนกลับกระซิบบางอย่างริมหูไฉ่เวย ไฉ่เวยมองเงาหลังของหลี่ซิวเหยาและฉีหมิงที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวแวบหนึ่ง เอ่ยปากตอบรับเสิ่นหยวนเสียงเบา ก่อนจะเดินไปหยุดเบื้องหน้าคนคุมเรือ ถ่ายทอดคำพูดของเสิ่นหยวนเบาๆ
คนคุมเรือฟังแล้วก็รีบตะโกน “น้องชายท่านนั้นโปรดช้าก่อน! ผู้ว่าจ้างของพวกข้าบอกว่าจะให้พวกท่านทั้งสองเดินทางไปเมืองหลวงด้วยกัน เชิญทั้งสองท่านขึ้นเรือมาเถิด!”
ฉีหมิงดีใจจนเผยออกมาทางสีหน้า ร้องเรียกคุณชายด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในใจหลี่ซิวเหยาเองก็คาดไม่ถึง ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ยังคงเรียบเฉย
เขาหันกลับมาก็มองเห็นหลังแบบบางนั้นหายลับเข้าประตูห้องพักไปพอดี
เขาเก็บสายตากลับมาพลางยกเท้าเดิน ก่อนเหยียบไม้กระดานขึ้นเรือ ผงกศีรษะให้คนคุมเรือและไฉ่เวยน้อยๆ ก่อนสั่งให้ฉีหมิงนำเงินสองก้อนออกมาให้คนคุมเรือและไฉ่เวย “นี่เป็นค่าเรือ”
ในใจคนคุมเรืออยากรับเงินนี้แต่ก็ไม่กล้ารับ สายตาเหลือบไปทางไฉ่เวยไม่หยุด ไฉ่เวยย่อมจะไม่รับ เพียงแต่พูดว่านี่เป็นคำสั่งของคุณหนู
เดิมทีก็เป็นเรือที่ผู้อื่นเหมาเอาไว้ แต่นางไม่เพียงให้พวกเขาขึ้นเรือไปด้วยกัน แม้แต่ค่าเรือก็ยังไม่รับ หลี่ซิวเหยารู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยปากว่าจะไปขอบคุณเจ้านายไฉ่เวยต่อหน้า
ไฉ่เวยลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็นำทางหลี่ซิวเหยาเดินไปทันที
เสิ่นหยวนพักอยู่ห้องกลาง ยามเดินมาถึงหน้าห้องประตูถูกปิดอยู่ ไฉ่เวยไม่อาจเชิญให้หลี่ซิวเหยาเข้าไปได้ จึงหันหน้าไปกล่าวกับเขา “คุณชายโปรดรอสักครู่ ให้บ่าวเข้าไปรายงานก่อน”
หลี่ซิวเหยาหยุดยืนนิ่ง พยักหน้าให้นางเบาๆ “รบกวนแม่นางแล้ว”
ไฉ่เวยผลักประตูเปิด เดินเข้าไปแล้วงับประตูปิดทันที
เสิ่นหยวนกำลังนั่งมองแม่น้ำด้านนอกอยู่ตรงหน้าต่างเรือ ได้ยินเสียงก็หันหน้ากลับมา
ไฉ่เวยยอบตัวคารวะนาง ก่อนบอกเล่าเรื่องเมื่อครู่เบาๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “คุณชายท่านนั้นเห็นบ่าวไม่รับค่าเรือ ก็ต้องการจะมาขอบคุณท่านต่อหน้าให้ได้ ตอนนี้เขาอยู่นอกประตู คุณหนูเห็นว่าเรื่องนี้…”
เสิ่นหยวนมิใคร่อยากพบหลี่ซิวเหยานัก
ชาติก่อนนางแต่งให้หลี่ซิวหยวน แม้หลี่ซิวเหยาจะเป็นพี่ชายอีกฝ่าย แต่เพราะเกิดจากสาวใช้อุ่นเตียง มารดาของหลี่ซิวหยวนจึงไม่ชอบเขานัก หลี่ซิวเหยาเองก็กลับบ้านน้อยครั้ง ส่วนมากล้วนพักอยู่ในค่ายทหาร ต่อมาหลี่ซิวเหยาได้กุมอำนาจกองทัพ ช่วยให้องค์ชายรองผู้เกิดจากพี่สาวของหลี่ซิวหยวนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ มีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งพระราชสำนัก คนสกุลหลี่ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยเขา จึงไม่กล้าดูถูกเขาเช่นที่แล้วมาอีก
ถึงอย่างนั้น ชาติก่อนหลังเสิ่นหยวนแต่งเข้าสกุลหลี่ก็ได้พบหน้าหลี่ซิวเหยาแทบนับครั้งได้
หลี่ซิวหยวนไม่ชอบนาง ที่แต่งนางก็เพราะถูกท่านป้าของนางข่มขู่บีบคั้น ในเวลานั้นนางเองก็โง่เขลาเบาปัญญา คิดเพียงว่าตนเองรูปโฉมงามเฉิดฉายปานนี้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ชื่นชม นานวันเข้าหลี่ซิวหยวนมีหรือจะไม่ชอบนาง
นางแต่งให้หลี่ซิวหยวนด้วยความปีติยินดีเต็มหัวใจ แต่สิ่งที่ได้มาหลังจากนั้นคือหลี่ซิวหยวนไม่เคยเหยียบย่างเข้าห้องนางแม้แต่ก้าวเดียว ถึงขั้นว่าคืนวันแต่งงานเขาก็ยังไม่มาพบนาง
แรกๆ ท่านป้าของนางยังอยู่บนโลก บิดาก็ยังเป็นรองเสนาบดีกองงานไท่ฉาง แม้หลี่ซิวหยวนจะไม่แยแสนางเพียงใด แต่อย่างน้อยมารดาของหลี่ซิวหยวนก็ยังปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี ทว่าต่อมาท่านป้าของนางลาจากโลกนี้ไป บิดาก็ถูกปลดจากตำแหน่ง มารดาของหลี่ซิวหยวนจึงเริ่มไม่ชอบนาง บ่าวไพร่ในจวนสกุลหลี่ก็ล้วนเป็นผู้มีฝีมือด้านการประจบประแจงผู้มีฐานะสูง เหยียบย่ำผู้มีฐานะต่ำ เห็นหัวแต่ผู้สูงศักดิ์มั่งคั่ง ชีวิตนางจึงผ่านไปอย่างยากลำบาก ต้องว้าเหว่ตรอมตรม
ต่อมายังรู้ข่าวเรื่องที่น้องหญิงสามถูกคนสกุลเซวียทรมานจนตายและน้องรองถูกคนล่อลวงจนติดกามโรค ถูกบิดาขับออกจากตระกูล เสิ่นหยวนจำได้ว่าคืนนั้นเวลาดึกสงัด นางแอบหนีไปร้องไห้อยู่ริมทะเลสาบในสวนตามลำพัง ก่อนจะมีคนลากนางไปด้านหลัง
นางหันหน้าไปมองด้วยความตกใจ ก็เห็นหลี่ซิวเหยากำลังยืนอยู่ด้านหลังนาง
เวลานั้นเขากลายเป็นพระมาตุลาผู้มากอำนาจแล้ว สีหน้าแววตาจึงเปี่ยมด้วยพลังกดดันของผู้มีตำแหน่งสูง
เขามองนางปราดหนึ่ง ก่อนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ‘มีเพียงคนที่ยังชีวิตอยู่ดี ถึงจะมีโอกาสทำให้คนที่เคยเยาะเย้ยเหยียบย่ำตนเองเหล่านั้นได้รับจุดจบที่สมควรได้’
ยามนี้นึกขึ้นมา เวลานั้นเขาคงคิดว่านางอยากกระโดดน้ำตายกระมัง
มุมปากเสิ่นหยวนพลันโค้งขึ้น
ในเวลาที่ยากลำบากและตรอมตรมที่สุด มีคนผู้หนึ่งยอมพูดกับตนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเพียงเข้าใจผิด แต่เจตนาดีนี้ยังคงมีค่าให้ซาบซึ้ง ดังนั้นเมื่อครู่นางถึงได้ยอมรับหลี่ซิวเหยาขึ้นเรือมา
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางรู้ว่าภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นพระมาตุลาผู้มีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งพระราชสำนัก แม้ไม่พูดถึงเรื่องเอาใจเขา แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรล่วงเกิน
“คุณชายท่านนี้เกรงใจแล้ว” เสิ่นหยวนไม่มีท่าทีจะเปิดประตู เพียงนั่งอยู่บนม้านั่งกลม พูดผ่านบานประตูบางๆ “เดิมก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากจนถึงขั้นต้องรับค่าเรือจากคุณชาย หรือให้คุณชายมาขอบคุณต่อหน้าด้วยตนเอง เชิญคุณชายกลับไปเถิด”
เสียงของนางนุ่มเบาน่าฟังยิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบ คล้ายไม่ใส่ใจต่อเรื่องราวใดๆ บนโลกนี้
ครั้นแล้วเสิ่นหยวนก็ให้ไฉ่เวยออกไปส่งหลี่ซิวเหยา
ไฉ่เวยรับคำ เปิดประตูออกไป
หลี่ซิวเหยาประสานมือคารวะไปยังประตู เสียงราบเรียบเช่นกัน “ผู้น้อยแซ่หลี่ ขอบคุณในคุณธรรมอันสูงส่งของแม่นาง วันหน้าจะตอบแทนแน่นอน”
มุมปากเสิ่นหยวนโค้งขึ้นมาอีก
นางรู้ว่าหลี่ซิวเหยามีนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา เขายอมเสียเลือดดีกว่าจะเอ่ยปากขอร้องผู้ใด ทั้งไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยปราศจากสาเหตุ กระนั้นเรื่องในวันนี้นางก็ไม่เคยคิดอยากได้สิ่งตอบแทนจากหลี่ซิวเหยาอยู่แล้ว
เสิ่นหยวนหันหน้าไปทางหน้าต่างเรือ หลุบตาลง มองผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นน้อยๆ ด้วยสีหน้าเฉยชา
ชาติก่อนใช้ชีวิตห้าปีอันไม่น่าจดจำอยู่ในสกุลหลี่ ชาตินี้นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดในสกุลหลี่อีกแล้ว วันนี้รับหลี่ซิวเหยาติดเรือไปด้วยก็ถือว่าคืนน้ำใจในคำพูดนั้นที่เขาพูดกับนางในชาติก่อน นับแต่นี้ไม่ติดค้างต่อกันอีก
ครั้นคนที่ไปซื้อเสบียงอาหารกลับมา คนคุมเรือก็สั่งลูกเรือปลดเชือก ชักใบเรือขึ้น เรือแล่นออกจากฝั่ง เดินทางมุ่งหน้าต่อไปอีกครั้ง
เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว สาวใช้อายุน้อยนามชิงเหอและชิงจู๋ถือถาดใหญ่สีแดงชาดเข้ามา
เป็ดตุ๋นสี่มงคลหั่นเป็นชิ้นหนึ่งจาน แตงมะเขือหนึ่งจาน หมี่กึงผัดหนึ่งจาน และแกงหน่อไม้ตุ๋นขาหมูรมควันอีกจานใหญ่ พร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งถ้วย
ไฉ่เวยจัดอาหารเหล่านี้ลงบนโต๊ะเรียบร้อยก็เรียกเสิ่นหยวนมากิน “บนเรือไม่มีวัตถุดิบดีๆ และก็ไม่มีพ่อครัวฝีมือดีอะไร คุณหนูกินประทังท้องเสียหน่อยนะเจ้าคะ”
นางจำได้ว่าเมื่อก่อนเสิ่นหยวนพิถีพิถันเรื่องเหล่านี้เป็นที่สุด อาหารไม่ถูกปากนิดเดียวนางก็ไม่กินแล้ว ทั้งยังจะอารมณ์เสียด้วย ผู้ที่เคราะห์ร้ายมีหรือจะพ้นบ่าวอย่างพวกนาง ดังนั้นพอเห็นอาหารง่ายๆ เช่นนี้บนโต๊ะในใจไฉ่เวยจึงกระวนกระวายอยู่บ้าง เกรงว่าเสิ่นหยวนจะอารมณ์เสีย
แต่ครั้นเสิ่นหยวนเดินมาเห็นอาหารเหล่านี้แล้ว กลับนั่งลงบนม้านั่งกลมข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินโดยที่ไม่มีสีหน้าไม่พอใจแม้แต่น้อย
ขณะนางกินสีหน้านั้นจริงจังยิ่ง และจดจ่อยิ่ง คล้ายนางเห็นคุณค่าของข้าวทุกเม็ดและผักทุกใบ ทนให้สิ้นเปลืองไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น
และอันที่จริงเสิ่นหยวนก็เสียดายข้าวทุกเม็ดและผักทุกใบจริงๆ
ชาติก่อนนางกินข้าวกล้องที่สกุลหลี่อยู่หลายปี กับข้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีผักแก่ๆ ได้สักจานก็นับว่าหาได้ยากแล้ว เพราะฉะนั้นกับข้าวตรงหน้าเหล่านี้ถือว่าดีมากจริงๆ
เสิ่นหยวนค่อยๆ กินจนหมด ชิงเหอและชิงจู๋เก็บถ้วยชามออกไป ไฉ่เวยก็นำผ้าเช็ดมืออุ่นๆ มาให้เสิ่นหยวนเช็ดมือ
เสิ่นหยวนรับมาเช็ดมือพลางกล่าวกับนาง “เมื่อครู่ข้ากินเป็ดตุ๋นสี่มงคลจานนั้นรู้สึกว่ารสชาติดียิ่ง ประเดี๋ยวตอนเจ้ากับชิงเหอชิงจู๋กินข้าวก็แบ่งไปกินเถิด อีกอย่างฉางหมัวมัวอายุมากแล้ว เป็ดนี้เกรงว่านางคงกินไม่ไหว ทั้งนางก็เมาเรือ อาเจียนหนัก ประเดี๋ยวเจ้านำสาลี่เป็ด พุทรากรอบ กับกระจับสดไปให้นางด้วยตนเองสักหน่อย”
ไฉ่เวยตอบรับอย่างเคารพนบนอบเสร็จก็เรียกสาวใช้อีกคนที่กินข้าวแล้วเข้ามาคอยรับใช้ ส่วนตนเองออกไปส่งของที่เสิ่นหยวนมอบให้ฉางหมัวมัว
บทที่ 2
ฉางหมัวมัวเดิมเป็นหญิงปักผ้าในบ้านเฉินป๋อหลุนท่านตาของเสิ่นหยวน มีฝีมือปักผ้าแบบซูโจวเป็นเลิศ ต่อมานางแต่งให้ผู้ดูแลคนหนึ่งของสกุลเฉิน ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน โชคร้ายที่ต่อมาสามีและบุตรชายนางต่างสิ้นใจตามกันไป บุตรสาวคนเดียวในตอนนั้นเป็นสาวใช้ติดตามมารับใช้มารดาเสิ่นหยวนหลังออกเรือน ครั้นอายุมากก็ได้มารดาเสิ่นหยวนจัดการให้แต่งเป็นภรรยาของผู้ดูแลที่ดิน
ตลอดหนึ่งปีกว่าที่เสิ่นหยวนอาศัยอยู่บ้านท่านตานี้ก็ได้ฉางหมัวมัวช่วยสอนนางเย็บปักโดยตลอด คราวนี้นางจะเดินทางกลับเมืองหลวง ฉางหมัวมัวคิดถึงว่าชีวิตนี้ของตนมีเพียงบุตรสาวเป็นญาติคนเดียวแล้วและอีกฝ่ายยังอยู่ที่เมืองหลวง ทันทีที่เฉินป๋อหลุนมาบอกว่าเสิ่นหยวนต้องการให้ตนเดินทางไปที่เมืองหลวงด้วย ฉางหมัวมัวจึงตอบรับคำขอนี้โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด
ที่เฉินป๋อหลุนเห็นควรกับเรื่องนี้ในทันที ด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าที่แล้วมาสกุลเสิ่นอบรมสั่งสอนเสิ่นหยวนอย่างไร สตรีพึงมีสี่คุณธรรมแต่นางใกล้จะถึงวัยปักปิ่น แล้ว งานเย็บปักถักร้อยกลับย่ำแย่เหลือเกิน หลังนางมาถึงฉางโจว เขาถึงสังเกตเห็นเรื่องนี้ จึงได้จัดฉางหมัวมัวมาสอนนางเย็บปักโดยเฉพาะ
แต่อย่างไรก็สอนเพียงปีเดียว ไหนเลยจะพอ ให้ฉางหมัวมัวตามเสิ่นหยวนกลับเมืองหลวงด้วยก็ดีเช่นกัน เหตุผลข้อแรกคือสอนเสิ่นหยวนเย็บปักต่อได้ ส่วนข้อสองนั้น ฉางหมัวมัวเป็นคนที่เขาวางใจ หากภายหน้าเสิ่นหยวนมีเรื่องอะไรในสกุลเสิ่น นางก็ช่วยเหลือได้
จะอย่างไรมารดาเสิ่นหยวนก็สิ้นลมแล้ว แม้เสิ่นหยวนจะยังมีน้องชายและน้องสาวร่วมอุทรอยู่ในสกุลเสิ่นอีกสองคน แต่เด็กไม่มีแม่อย่างไรก็น่าสงสาร
ด้วยเหตุนี้ฉางหมัวมัวจึงติดตามเสิ่นหยวนขึ้นเรือไปเมืองหลวง กระนั้นนางก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว ที่ผ่านมาไม่ได้นั่งเรือบ่อยนัก ดังนั้นขึ้นเรือได้วันแรกก็เริ่มเมาเรือ นอนอยู่บนตั่งลุกไม่ขึ้นมาตลอด
ไฉ่เวยได้รับคำสั่งจากเสิ่นหยวน ในมือถือกล่องอาหารไม้ไผ่ลงรักเถาหนึ่ง จานที่อยู่ด้านในใส่สาลี่เป็ด พุทรากรอบ และกระจับสดไว้
นางผลักประตูเปิด เดินเข้าไปในห้องก็เห็นฉางหมัวมัวที่หน้าผากวางผ้าเอาไว้กำลังนอนอยู่บนตั่งด้วยสีหน้าซีดเซียว
ได้ยินเสียงฉางหมัวมัวก็หันหน้ามามอง พอเห็นเป็นไฉ่เวยนางก็รีบใช้มือยันตั่งพยายามจะลุกขึ้น
ขณะเสิ่นหยวนเพิ่งมาถึงฉางโจว ไฉ่เวยยังเป็นเพียงสาวใช้ระดับล่างข้างกายนาง ทว่าต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เมื่อต้นปีหัวหน้าสาวใช้ของเสิ่นหยวนทำผิดจนถึงขั้นติดคุก นางจึงยกไฉ่เวยขึ้นมาเป็นหัวหน้าสาวใช้ประจำตัว ให้คอยปรนนิบัติรับใช้
หัวหน้าสาวใช้ของเสิ่นหยวนย่อมเอาไปเทียบกับผู้อื่นไม่ได้ ดังนั้นบนหน้าฉางหมัวมัวจึงเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยปากด้วยความกระตือรือร้น “แม่นางไฉ่เวยมาแล้วหรือ รีบมานั่งเถิด”
ไฉ่เวยก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าว กล่าวยิ้มๆ “ท่านลุกขึ้นมาทำไมกัน รีบพักเถิด”
นางเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน จิตใจดีงามบริสุทธิ์ แม้จะมีฐานะเป็นหัวหน้าสาวใช้ประจำตัวเสิ่นหยวน แต่ก็ไม่ได้วางท่าข่มคนแม้แต่น้อย
นางประคองฉางหมัวมัวนั่งพิงผนังเรือเสร็จก็หยิบหมอนนุ่มมารองหลังอีกฝ่าย จากนั้นก็ทำท่าทางบอกให้ฉางหมัวมัวดูกล่องอาหารในมือนาง “คุณหนูทราบว่าท่านเมาเรือจนกินอะไรไม่ลง จึงให้นำสาลี่เป็ดกับพุทรากรอบมาโดยเฉพาะ ยังมีกระจับสดนี่ที่คุณหนูตั้งใจซื้อมา สั่งให้ข้านำมามอบกับท่าน”
ฉางหมัวมัวฟังแล้วในใจให้ตื้นตันเป็นที่สุด “ข้าแค่เคยสอนคุณหนูเย็บปักเพียงปีเดียวเท่านั้น เดิมก็ต้องขอบคุณนางด้วยซ้ำที่ทำให้ข้าตามนางไปเมืองหลวงได้ ไม่คิดเลยว่าในใจคุณหนูจะยังนึกถึงข้าเช่นนี้ ข้าซาบซึ้งใจจริงๆ”
ไฉ่เวยเม้มปากหัวเราะเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ทว่าในใจนางก็นึกประหลาดใจเช่นกัน
เดิมทีคุณหนูเย่อหยิ่งออกปานนั้น เคยเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสียเมื่อไร คุณหนูสามกับคุณชายรองเป็นน้องสาวและน้องชายร่วมมารดากับนาง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพวกเขาก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกเขานัก แต่ไฉนตอนนี้ถึงดีต่อฉางหมัวมัวปานนี้เล่า
มิหนำซ้ำเมื่อครู่คุณหนูยังพูดด้วยว่ารสชาติเป็ดตุ๋นสี่มงคลนั้นดียิ่ง ให้นางกับชิงเหอชิงจู๋แบ่งไปกิน นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นในอดีตแน่นอน
จะว่าไป…นับแต่ได้รู้ข่าวการตายของฮูหยิน นิสัยของคุณหนูก็ดูเหมือนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
ก็ถูก คุณหนูได้ฮูหยินประคบประหงมจนเติบใหญ่ ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮูหยินที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ฮูหยินจากไปแล้ว นายท่านถึงกับใจดำไม่ให้คุณหนูกลับไปร่วมงานศพ คุณหนูย่อมต้องเสียใจมากแน่นอน นิสัยเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง
ไฉ่เวยทอดถอนใจเงียบๆ ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่ได้แสดงออก เพียงยิ้มพลางพูดคุยเล่นกับฉางหมัวมัวสองสามคำ จากนั้นนางก็ยืนขึ้นกล่าวยิ้มๆ “ทางคุณหนูยังรอให้ข้าไปปรนนิบัติอีก ข้าขอตัวก่อนแล้ว หมัวมัวพักผ่อนให้เต็มที่ หากมีอะไรก็ให้สาวใช้ไปบอกข้า”
ฉางหมัวมัวนั่งตัวตรงบนตั่ง กล่าวว่า “รบกวนแม่นางกลับไปรายงานคุณหนูแทนข้าสักคำ บอกว่าขอบคุณนางมากที่อุตส่าห์มีใจนึกถึงบ่าวชรา”
ไฉ่เวยยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับ ก่อนหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป
ครั้นไฉ่เวยกลับไปหาเสิ่นหยวนก็เห็นอีกฝ่ายกำลังถือสะดึงไว้ในมือ ก้มหน้าปักกอกล้วยไม้อยู่ ส่วนชิงเหอกับชิงจู๋ก็คอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆ
“นำของไปให้ฉางหมัวมัวแล้ว?” เห็นไฉ่เวยกลับมาเสิ่นหยวนก็วางสะดึงเล็กในมือลง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามนาง
ไฉ่เวยตอบ “บ่าวนำของไปให้ฉางหมัวมัวตามที่คุณหนูสั่งแล้วเจ้าค่ะ นางยังบอกให้บ่าวขอบคุณคุณหนูแทนนางด้วย”
เสิ่นหยวนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ก้มหน้าลงปักกอกล้วยไม้ที่ยังทำไม่เสร็จบนสะดึงต่อ
แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างเล็กของเรือ ตกลงบนร่างเสิ่นหยวน ผิวนางขาวปานหิมะแรก ทั่วกายมีบุคลิกลักษณะสงบนิ่งเรียบเฉย
ชั่วแวบหนึ่งนั้นไฉ่เวยเกิดภาพหลอนขึ้นมา คล้ายว่าเสิ่นหยวนควรเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เสิ่นหยวนที่เย่อหยิ่งจองหองในอดีตเป็นเพียงจินตนาการในสมองของตนเท่านั้น
สองวันให้หลังเรือแล่นตามลมโดยตลอดจึงรุดหน้าไปรวดเร็ว แต่ตอนมาถึงอันเต๋อก็เริ่มมีฝนตกหนัก ลมพัดย้อนทาง เรือต้องแล่นทวนลม ซ้ำเบื้องหน้าแม่น้ำยังแตกออกเป็นหลายสาย มีหินโสโครกจำนวนมาก คนคุมเรือรายงานว่าวันนี้เกรงจะแล่นเรือไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงหยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราว รอฝนหยุดทิศทางลมเปลี่ยนค่อยเดินทางต่อ
เสิ่นหยวนอนุญาตให้หยุดเรือ
ฝนนี้ตกจนเย็นถึงได้หยุด ดวงอาทิตย์ปรากฏตามหลังมาทันที
เสิ่นหยวนฟุบอยู่บนหน้าต่างเรือ มองดวงอาทิตย์ยามเย็นที่อยู่ไกลออกไปกำลังลับขอบฟ้า ริมฝั่งมีต้นไม้ บนผิวน้ำล้วนเป็นแสงแดดยามเย็น เป็นสีเขียวตัดสีแดงอย่างแท้จริง
หางตาพลันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ท้ายเรือ รูปร่างสูงใหญ่ตระหง่าน สองมือไพล่หลังมองดูผิวแม่น้ำไหลเชี่ยวที่เบื้องหน้า ลมแม่น้ำพัดสายรัดเอวและแขนเสื้อสีเขียวครามของเขาปลิวขึ้น บุคลิกสง่างามเหนือสามัญ
…เป็นหลี่ซิวเหยา
เสิ่นหยวนนั่งหลังตรงไม่ได้ฟุบต่อ ยื่นมือไปหยิบหนังสือมาอ่าน
เรือที่นางเหมาลำนี้มีขนาดใหญ่มาก วันนั้นหลังจากให้หลี่ซิวเหยากับผู้ติดตามของเขาขึ้นเรือมา นางก็ให้คนคุมเรือจัดให้พวกเขาพักที่ห้องด้านหลัง ส่วนนางกับผู้ติดตามของนางย่อมจะพักที่ห้องกลางและห้องด้านหน้า สองวันมานี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้พบหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว
เสิ่นหยวนรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดียิ่ง ชาตินี้นางก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลหลี่อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นนางก็รู้ว่าภายภาคหน้าหลี่ซิวเหยาจะได้กลายเป็นขุนนางมากอำนาจที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นอีก ทางที่ดีต่อแต่นี้อย่าได้เจอกันอีกเป็นดีที่สุด
อาทิตย์ยามเย็นค่อยๆ ลาลับเหลี่ยมเขา วันนี้เป็นวันที่จันทร์เต็มดวง บนฟ้ามีจันทร์กระจ่างหนึ่งดวง ในน้ำก็มีอีกหนึ่งดวง ริมฝั่งมีหมอกควันปกคลุม ทัศนียภาพงดงามอย่างที่สุด
ไฉ่เวยจุดเทียนบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กเสร็จก็ใช้โป๊ะตะเกียงครอบไว้ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นเสิ่นหยวนยังนั่งมองดวงจันทร์อยู่ตรงหน้าต่าง มือถือหนังสือค้างไว้เฉยๆ ไม่ได้พลิกเปิดต่อ จึงเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่ราวแขวนเสื้อด้านข้างมาคลุมลงบนตัวนาง
“คุณหนู กลางคืนลมแรง ไอน้ำก็มาก ท่านนั่งหลบเข้ามาหน่อยดีกว่านะเจ้าคะ ระวังจะไม่สบายเอา” นางเตือนเสิ่นหยวนเสียงนุ่ม
เสิ่นหยวนยังมองดูแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำด้านนอก รู้สึกว่าในใจสงบนิ่งยิ่งยวด
ชาติก่อนนางเคยมีนิสัยหุนหันพลันแล่นเพียงนั้น ต่อมาภายหลังถูกพิษจนตาบอด ใจกลับค่อยๆ สงบลง บางทีอาจเป็นเพราะได้เรียนดีดพิณกับคนผู้นั้น ใจข้าถึงค่อยๆ สงบลงกระมัง
คิดถึงคนผู้นั้นเสิ่นหยวนก็รู้สึกใจอ่อนยวบอย่างห้ามไม่อยู่ มุมปากพลอยยกขึ้นตามไปด้วย
เพียงนึกเสียดายที่จนตายก็ยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่
เสิ่นหยวนถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นนางก็หันหน้ากลับมาสั่งไฉ่เวย “เจ้าไปจุดกำยานมาเตาหนึ่ง”
ไฉ่เวยรับคำ เดินไปหยิบเตาทองแดงสามขาปิดเงินลายดอกเสาวรสใบเล็กๆ ใบหนึ่งมา ก่อนหยิบกำยานรูปดอกเหมยก้อนหนึ่งมาเผา ภายในห้องพลันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ บริสุทธิ์อบอวลเต็มห้องทันที
เสิ่นหยวนเองก็ไปหยิบถุงพิณของตนเองมาเปิดออก ด้านในเป็นพิณประดับหยกทรงใบตองตัวหนึ่ง
ในห้องไม่มีโต๊ะวางพิณ เสิ่นหยวนจึงให้ไฉ่เวยหยิบเบาะกกใบหนึ่งมาให้ ก่อนนั่งลงหันหน้าไปทางหน้าต่างเรือ นำพิณวางบนตัก ก้มหน้าลงน้อยๆ นิ้วขาวเรียวบางค่อยๆ ดีดสายพิณ
เมื่อก่อนมารดาก็เคยเชิญคนมาสอนนางดีดพิณ แต่เวลานั้นนางไม่อาจสงบใจเรียนได้ เล่าเรียนอยู่หลายปีก็ยังดีดไม่เป็นแม้แต่เพลงเดียว ซ้ำยังบ่นว่านิ้วของตนเองถูกสายพิณเย็นเฉียบบาดจนเจ็บ แต่ในหนึ่งปีที่นางถูกพิษจนตาบอดนั้นกลับเรียนดีดพิณจนเป็นด้วยการสั่งสอนจากคนผู้นั้น
เรื่องจำพวกเรียกพิณย่อมจะลำบากยิ่ง นิ้วมืออันบอบบางของนางค่อยๆ ถูกเสียดสีจนเกิดรอยด้านบางๆ แต่นางในเวลานั้นไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่น้อย กลับรู้สึกว่าหัวใจที่เดิมทีแห้งเหี่ยวของตนเองค่อยๆ พองฟูขึ้นมา
ยามที่อยู่บ้านท่านตาในฉางโจว นางก็ฝึกดีดพิณเป็นครู่สั้นๆ ทุกวันเช่นกัน
นางไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีหน้าตาเช่นไร และก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ นางไร้หนทางจะหาตัวเขา แต่นางก็ไม่อยากลืมความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นั้นกับนางที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนี้ไป ยามว่างนางจึงมักดีดพิณ ด้วยคิดว่าอาจมีสักวันที่คนผู้นั้นจะบังเอิญมาได้ยินนางบรรเลง ได้ยินเสียงพิณที่คล้ายกับของเขาแล้วมาสอบถาม เวลานั้นนางก็จะได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ใดกันแน่
เสียงพิณอ้อยอิ่งค่อยๆ ดังขึ้นในราตรีอันเงียบสงบนี้
หนึ่งห้องกั้นกลาง หลี่ซิวเหยาที่กำลังยืนเงยหน้าชมจันทร์อยู่ท้ายเรือพลันได้ยินเสียงพิณนั้น เขาให้ประหลาดใจ อดไม่ไหวต้องหันหน้ากลับไปมองทางห้องกลาง
ฉีหมิงยืนมือแนบลำตัวอยู่ด้านหลังเขาสองก้าว ได้ยินเสียงพิณที่ดังมากะทันหันนี้ก็ตกใจจนสะดุ้ง อดจะหันหน้ากลับไปมองไม่ได้
จากนั้นเขาก็เก็บสายตากลับมามองหลี่ซิวเหยาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาทันที ก่อนเอ่ยว่า “หากมิใช่คุณชายยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้าคงสงสัยว่าเสียงพิณนี้เป็นท่านบรรเลง ‘ห่านป่าโฉบพื้นทราย’ เพลงนี้เป็นเพลงที่เมื่อก่อนท่านชอบบรรเลงที่สุด มิหนำซ้ำ ไฉนเสียงพิณถึงเหมือนกับของท่านเพียงนี้ได้”
มารดาบังเกิดเกล้าของหลี่ซิวเหยาเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ศาสตร์ทั้งสี่อย่างพิณ หมาก อักษร วาดภาพล้วนแต่แตกฉาน เพียงแต่ภายหลังตระกูลตกยาก ถูกขายเป็นทาส ต่อมาจึงถูกบิดาของหลี่ซิวเหยารับเป็นสาวใช้อุ่นเตียง แต่อย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ บิดาหลี่ซิวเหยาไม่กล้ายกย่องนางเกินไป ดังนั้นจวบจนสิ้นใจนางจึงเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงเท่านั้น แม้แต่อนุอย่างเป็นทางการก็ยังนับเป็นไม่ได้
หากแต่มารดาผู้เป็นภรรยาเอกของบิดาหลี่ซิวเหยากลับไม่ใคร่ชอบบุตรชายคนโตสายรองอย่างเขานัก คร้านจะดูแลเขา จึงโยนเขาให้มารดาบังเกิดเกล้าของเขาดูแลเอง แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี จะอย่างไรสองแม่ลูกก็ได้อยู่ด้วยกัน และหลี่ซิวเหยาก็ได้เล่าเรียนศาสตร์ทั้งสี่นั้นจากมารดาในช่วงปีเหล่านั้น หลังมารดาเขาสิ้นใจ เขาก็เข้ากองทัพแล้ว ผู้อื่นเอาแต่พูดว่าเขาเป็นทหารหยาบช้าผู้หนึ่ง หารู้ไม่ว่าอันที่จริงเขาแตกฉานในเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เช่นกัน มีเพียงฉีหมิงผู้ติดตามประจำตัวเขาที่รู้เรื่องเหล่านี้
หลี่ซิวเหยาได้ยินคำของฉีหมิง สีหน้ายังคงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงกล่าวเรียบๆ “ใต้ฟ้านี้มีเสียงพิณคล้ายกันอยู่มากมาย มีอะไรน่าตกใจกัน”
ทว่าในใจนั้นยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องจากเมื่อครู่เขาได้ยินการดีดไล่เสียงอยู่จุดหนึ่ง
เพลงนี้ตรงจุดนี้เดิมไม่มีการไล่เสียง เป็นเขาเพิ่มเข้าไปเอง เสียงพิณของคนผู้นี้คล้ายกับข้าก็ช่างเถอะ แต่ไฉนจุดการไล่เสียงนี้ก็ยัง…
ในสมองเขาอดจะมีภาพหลังแบบบางที่ได้เห็นเมื่อสองวันก่อนปรากฏขึ้นมาไม่ได้ ในใจแอบคิดกับตนเอง ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่ บางทีอาจต้องลองถามดู
เดิมทีเขาไม่มีความสนใจต่อหญิงสาวผู้นั้นสักนิด คิดเพียงว่าแม่นางผู้นี้ให้ขึ้นเรือมา ยินดีพาเขาติดไปเมืองหลวงด้วย แม้นางจะยังไม่ยอมรับค่าเรือจากเขา แต่รอให้ถึงเมืองหลวง หลังลงเรือแล้ว เขาจะจ่ายค่าเรือให้อีกเป็นเท่าตัว ทว่าตอนนี้เขาพลันอยากรู้บ้างแล้วว่านางเป็นผู้ใด
ในใจเขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ กลับได้ยินฉีหมิงพูดกระซิบรัวเร็ว “คุณชาย ท่านรีบดูด้านหน้าสิขอรับ”
หลี่ซิวเหยาเงยหน้ามองไป
เห็นผิวแม่น้ำกว้างใหญ่ถูกสายลมราตรีพัดจนเกิดริ้วคลื่นสุดลูกหูลูกตา ทว่าตลอดแนวพงอ้อเหี่ยวเฉาสองฝั่งกลับมีเรือเล็กโผล่ออกมาราวสามสิบสี่สิบลำ
บนเรือเล็กแต่ละลำมีคนอยู่สี่ห้าคน สองคนพายเรือ ที่เหลือล้วนจับอาวุธ แสงจันทร์กระจ่างส่องลงบนอาวุธเหล่านี้เกิดเป็นแสงแยงตา
หลี่ซิวเหยาขมวดคิ้วยาวทั้งสอง
เขารู้…นี่เป็นไปได้มากว่าจะเจอโจรสลัดเข้าแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาเป็นแม่ทัพลาดตระเวนอยู่ที่เมืองเหลียว เนื่องจากระยะก่อนเขาปราบโจรสลัดจนมีความดีความชอบ เมื่อเรื่องถูกรายงานขึ้นไป กรมขุนนางถึงได้ให้เขากลับเมืองหลวงไปรายงานตัวที่กรมทหาร ดังนั้นพอเห็นบรรดาโจรสลัดตรงหน้า ในใจเขาจึงไม่หวาดหวั่นสักนิด เพียงสั่งฉีหมิงเสียงเข้มว่า “กลับห้องไปเอาธนูข้ามา!”
ฉีหมิงเองก็เคยติดตามหลี่ซิวเหยาออกปราบโจร แต่ทุกครั้งล้วนมีทหารกองใหญ่ไปด้วย สภาพที่มีแค่เขากับหลี่ซิวเหยาเพียงสองคนบนเรือเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ในใจเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นอยู่บ้าง ครั้นได้ยินเสียงสุขุมมั่นคงของหลี่ซิวเหยาเขาก็พยายามตั้งสติเต็มกำลัง ก่อนวิ่งฉิวกลับห้องไปหยิบธนูมา
หลี่ซิวเหยารับคันธนูมาไว้ในมือ พาดลูกธนูเข้ากับคัน น้าวสายจนคันโก่งเป็นวงเดือน จากนั้นก็ปล่อยมือ ได้ยินเพียงเสียงฟิ้วดังขึ้น ลูกธนูดอกนั้นพุ่งแหวกอากาศไปปักลงบนหัวเรือเล็กลำหน้าสุด ฝังลงเนื้อไม้หลายชุ่นขนหางยังคงสั่นไม่หยุด
คนบนเรือเล็กตกใจสะดุ้งโหยง แม้แต่ฝีพายยังลืมพาย
ครั้นแล้วก็ได้ยินหลี่ซิวเหยาพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด “ตรงหน้านั้นเป็นผู้ใด! รีบถอยไปเสีย มิเช่นนั้นธนูในมือข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
เริ่มด้วยการเตือน…ขู่ขวัญก่อนก็ถือเป็นเรื่องดี ด้วยบนเรือมีสตรีอยู่จำนวนมาก หากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะพลอยทำให้พวกนางลำบาก
เวลานี้คนบนเรือเล็กกำลังมองลูกธนูที่ปักอยู่บนหัวเรือ มีคนเอ่ยไปทางชายร่างสูงใหญ่เคราเฟิ้มเต็มหน้าด้วยความลังเล “ไฉนเรือลำนี้จึงมีคนต่อสู้เป็นอยู่ด้วย หัวหน้าใหญ่ พวกเราถอยก่อนจะดีกว่า”
หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นกลับแค่นเสียงเย็นออกจมูก มองหลี่ซิวเหยาที่เบื้องหน้า ในดวงตามีประกายเหี้ยมเกรียมวาบผ่าน พูดว่า “สองหมัดยากชนะสี่มือ ต่อให้บนเรือมีคนต่อสู้เป็นแล้วอย่างไร พวกเรามีคนตั้งมากยังต้องกลัวเขาอีกหรือ หนึ่งคนหนึ่งดาบก็เพียงพอจะสับเขาให้เละเป็นกองเนื้อแล้ว พายต่อไปข้างหน้า อย่าหยุด!”
ตอนกลางวันเขาส่งคนมาดูลาดเลาแล้ว รู้ว่าเรือลำนี้จะไปเมืองหลวง บนเรือส่วนใหญ่เป็นสตรี ทั้งยังดูเหมือนมาจากครอบครัวร่ำรวย เงินทองและสิ่งของมีค่าต้องมีไม่น้อยแน่ มิหนำซ้ำตามที่คนของเขาบอกมา แม่นางผู้นั้นก็งดงามปานเทพธิดาบนสวรรค์ แม้แต่คนงามในภาพวาดยังเทียบนางไม่ติด หัวหน้าใหญ่ผู้นี้เป็นพวกบ้าตัณหา ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดมุ่งร้ายหวังจะมาชิงทรัพย์ฉุดคน
เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่บนเรือตรงหน้ามีคนต่อสู้เป็นคนเดียวเลย ต่อให้มีเป็นสิบคน เขาก็ไม่ยอมถอยแน่นอน
เขาสะบัดดาบโค้งในมือจนเป็นประกาย ตวาดสั่งลูกน้องให้พายเรือ และตวาดสั่งบรรดาคนที่ด้านหลังให้ตามมาโดยเร็วทันที
หลี่ซิวเหยาเห็นว่าการขู่ขวัญของตนไม่ทำให้คนเหล่านี้ล่าถอย ซ้ำตอนนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าคนเหล่านี้เป็นโจรสลัดจริงๆ โดยมิต้องสงสัย จึงไม่ยั้งมืออีก
เขาเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูจากในกระบอกมาทีเดียวสามดอก พาดกับคันธนูแล้วปล่อยออกไปพร้อมกันทีเดียว บนเรือลำหน้าสุดมีคนล้มลงสามคนทันควัน
หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นรู้ว่าคนบนเรือฝ่ายตรงข้ามมีวิชาธนูแก่กล้า พอเห็นหลี่ซิวเหยาน้าวสายธนูจึงผลุบตัวหลบหลังคนข้างๆ ทันที ตอนนี้คนผู้นั้นต้องลูกธนูตายไปแล้ว เขาก็ยื่นมือไปหิ้วตัวคนผู้นั้นมาไว้เบื้องหน้าตนเองเพื่อบังลูกธนูของหลี่ซิวเหยา พร้อมกันนั้นก็หันหน้ากลับไปคำรามใส่คนด้านหลังด้วยอาการกระหืดกระหอบ “รีบพาย! รีบพาย! รอขึ้นเรือใหญ่ได้เมื่อไร ธนูของเขาก็ไม่มีที่ให้แผลงฤทธิ์แล้ว!”
เขายังพูดเสียงดังอีกว่า “ผู้ที่เหมาเรือลำนี้เป็นแม่นางจากครอบครัวร่ำรวย มีสตรีอยู่มาก และยังมีแก้วแหวนเงินทองอีกหลายหีบ ขอเพียงพวกเจ้าบุกขึ้นเรือได้ แต่ละคนจะได้รางวัลห้าสิบตำลึงเงินพร้อมสตรีหนึ่งนาง ใครฆ่าเจ้าคนยิงธนูได้ ตกรางวัลอีกห้าร้อยตำลึงเงิน!”
รางวัลหนักย่อมมีผู้กล้า พวกเดนตายเหล่านี้เมื่อได้ยินคำของหัวหน้าใหญ่แล้ว ไหนเลยจะยังสนใจธนูอีก สองตาแดงก่ำ ถึงขั้นใช้ดาบโค้งในมือจ้ำพายอย่างสุดชีวิต
เรือเล็กเหล่านี้แล่นเข้าหาเรือใหญ่ด้วยความเร็วปานติดปีกบิน แม้ระหว่างนี้หลี่ซิวเหยาจะยิงธนูมือเป็นระวิงจนฆ่าโจรสลัดไปได้จำนวนมาก แต่อย่างไรจำนวนคนก็มากเกินไป ยามนี้จึงมีคนปีนกระโดดขึ้นจากเรือเล็กมาแล้ว
หลี่ซิวเหยาโยนคันธนูในมือให้ฉีหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนเอื้อมมือชักกระบี่อ่อนตรงเอวตนเองออกมา ฟันใส่ลำคอของโจรสลัดคนที่กระโดดขึ้นเรือมาคนแรก
โจรสลัดผู้นั้นตายทันทีโดยไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องโหยหวน ศพหงายหลังตกลงแม่น้ำ เกิดเสียงน้ำดังตูมใหญ่ขึ้นมา
เหตุการณ์ที่ท้ายเรือเหล่านี้ทำให้คนบนเรือตกใจนานแล้ว คนคุมเรือกับลูกเรือกลุ่มหนึ่งพรั่นพรึงจนหน้าซีดเผือด วิ่งไปรอบเรือพลางร้องตะโกนลั่นไม่หยุด “โจรสลัดมาแล้ว! โจรสลัดมาแล้ว!”
พวกที่ขลาดกลัวมากๆ ก็ตกใจจนปัสสาวะราดออกมาตรงนั้นเลย
เสิ่นหยวนกับไฉ่เวยที่อยู่ในห้องพักก็ได้ยินเสียงเหล่านี้เช่นกัน คนทั้งสองเดินไปส่องดูตรงหน้าต่าง เห็นหลี่ซิวเหยากำลังสู้กับโจรสลัดพวกนั้นอยู่ที่ท้ายเรือ
หลี่ซิวเหยากุมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ในมือ มองเห็นเพียงประกายแสงเยียบเย็นภายใต้แสงจันทร์ แม้โจรสลัดเหล่านั้นจะมีคนมาก แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเข้าใกล้ตัวเขาได้
บนดาดฟ้าเรือมีแต่เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นอยู่ทั่ว ทั้งยังมีเสียงคนกรีดร้องดังมาเป็นระยะ หรือไม่ก็เห็นท่อนแขนท่อนขาตกลงบนดาดฟ้าเรือ ไฉ่เวยไหนเลยจะเคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้ นางจึงตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสี มือเท้าอ่อนยวบในทันที แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังพูดกับเสิ่นหยวนด้วยความเด็ดเดี่ยว “คุณหนู หากอีกประเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้น ท่าน…ท่านก็มาหลบที่ด้านหลังบ่าว บ่าวถึงตายก็จะปกป้องท่านให้ได้!”
ในใจเสิ่นหยวนให้ซาบซึ้งยิ่งนัก
ชาติก่อนนางไม่ได้ทำดีอะไรต่อคนข้างกายตนเอง สุดท้ายจึงถูกบิดารังเกียจ น้องชายและน้องสาวต่างเห็นพี่สาวอย่างนางเป็นความอับอาย สาวใช้ข้างกายเหล่านั้นก็พากันทอดทิ้งนางไปยามที่นางตกยากหรือไม่ก็ซ้ำเติมนาง มีเพียงไฉ่เวยสาวใช้ผู้ซึ่งนางไม่เคยใส่ใจที่ยังจงรักภักดี ไม่ทอดทิ้ง และไม่เคยจากนางไปที่ใด ดังนั้นหลังจากเกิดใหม่นางจึงยกไฉ่เวยขึ้นมาเป็นหัวหน้าสาวใช้ประจำตัวนาง จากที่เดิมเป็นเพียงสาวใช้ระดับล่าง
ได้ยินไฉ่เวยพูดเช่นนี้ เสิ่นหยวนก็กุมมืออีกฝ่ายไว้พลางพูดทันที “ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของหลี่ซิวเหยาร้ายกาจยิ่ง โจรสลัดจำนวนมากเพียงไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เจ้าไม่ต้องกลัว พวกเราไม่เป็นอะไรแน่”
อันที่จริงในใจเสิ่นหยวนก็กลัวเช่นกัน มือทั้งสองเย็นเฉียบ แต่นางรู้ว่าหลี่ซิวเหยาเป็นคนที่เก่งกาจยิ่ง
ในชาติก่อนช่วงไม่กี่ปีสุดท้ายที่ฮ่องเต้ชรายังไม่สวรรคต หากมิใช่อุทกภัยภาคใต้ก็เป็นภัยแล้งภาคเหนือ หรือไม่ก็ฝูงตั๊กแตนสร้างความเสียหาย ขุนนางกังฉินในพระราชสำนักมีมาก ค่าเสบียงอาหารที่แบ่งสันลงไปจึงถูกยักยอกไปกว่าค่อน เหลือไม่เท่าไรที่ไปถึงมือราษฎร สุดท้ายราษฎรจึงไม่มีข้าวกิน พากันลุกฮือก่อกบฏขึ้นไม่น้อย พวกหว่าล่าทางชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือฉวยโอกาสขณะเกิดจลาจลยกทัพใหญ่รุกราน หลี่ซิวเหยาก็ได้สร้างความดีความชอบนับไม่ถ้วนในการเดินทัพขึ้นเหนือหลายครั้งนั้น จนสุดท้ายก้าวกระโดดเป็นแม่ทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว กุมอำนาจสามกองกำลังใหญ่ จากนั้นก็สนับสนุนองค์ชายรองที่ยังเยาว์วัยสืบพระราชบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ทว่าอันที่จริงอำนาจใหญ่ในพระราชสำนักยังคงถูกกุมแน่นอยู่ในมือเขา
นางปลอบไฉ่เวยเช่นนี้และปลอบตนเองไปด้วย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังปัง ประตูห้องพักถึงกับถูกกลุ่มคนกระแทกเปิดจากด้านนอก
เสิ่นหยวนกับไฉ่เวยตกใจสะดุ้งโหยง รีบมองไปก็เห็นฉางหมัวมัวกำลังปราดเข้ามา ด้านหลังนางยังตามมาด้วยชิงเหอและชิงจู๋ที่ตกใจจนใกล้จะร้องไห้รอมร่อ
พอฉางหมัวมัวเข้ามาได้ก็รีบพูดกับเสิ่นหยวนว่า “เมื่อครู่บ่าวได้ยินเสียงร้องตะโกนที่ข้างนอก ทราบว่าบนเรือมีโจรสลัดขึ้นมา ในใจให้เป็นห่วงคุณหนูยิ่งนัก จึงลุกขึ้นมาจากที่นอน คุณหนู ท่านรีบลงไปจากเรือตอนที่โจรสลัดยังมาไม่ถึงตัวท่านเถิดเจ้าค่ะ”
เรือเทียบท่าอยู่ริมฝั่ง ระหว่างที่ชุลมุนวุ่นวายนี้ คนคุมเรือกำลังสั่งการลูกเรือเสียงดังให้พาดไม้กระดาน เพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง
หากหนีขึ้นฝั่งแล้วตรงไปในเมืองอย่างไรก็ปลอดภัย
เวลานี้ชิงเหอชิงจู๋ก็ต่างเร่งด้วยความร้อนใจเช่นกัน “คุณหนู ท่านรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
ประตูเพิ่งจะถูกฉางหมัวมัวกระแทกเปิดอย่างแรง ลมราตรีเย็นเฉียบกรูหอบเข้ามาในห้องทันที เทียนบนโต๊ะที่เดิมยังสว่างอยู่ถูกลมพัดดับทันควัน
ทว่ายังดีที่คืนนี้จันทร์เต็มดวง ส่องให้ทุกที่สว่างราวกับกลางวัน
เนื่องจากประตูเปิดออกกว้าง เสิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นจึงมองเห็นหลี่ซิวเหยากำลังต่อสู้ดุเดือดอยู่กับโจรสลัดเหล่านั้น
กระบี่อ่อนในมือเขากวัดแกว่งจนเห็นเพียงเงา มีแต่ประกายแสงเย็นเยียบทั่วทุกที่ ไม่ว่าประกายกระบี่วาดผ่านไปที่ใด ก็จะมีโจรสลัดส่งเสียงร้องพลางล้มลงทันที
เสิ่นหยวนพลันส่ายหน้า พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่ไป”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.