X
    Categories: everYกระบี่คู่หานซานทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 10 คนตายมิอาจให้ปากคำ

ค่ำคืนสงัดเงียบเหนือยอดเขาฉางชุน สายลมยามราตรีพัดโชย เสียงแซกซ่าจากป่าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลดังมากระทบโสตประสาทอยู่เป็นระยะๆ

เมิ่งเสวี่ยหลี่กับสหายยืนอยู่ริมสระน้ำ พวกเขาต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีต

แสงจันทร์สาดส่อง เงาไม้ไหวพลิ้วอยู่เหนือผิวน้ำ ดอกไม้ใบไม้ราวกับส่ายไหวอยู่กลางธาร

ปลาไนสามตัวแหวกว่ายไปมาอย่างไม่อนาทร ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าใต้ดินโคลนเบื้องล่างมีอาวุธวิเศษที่ผู้คนทั่วหล้าต่างหมายปองซ่อนอยู่

ในวันที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ขอให้จี้เซียวช่วยชีวิต พายุหิมะโถมกระหน่ำ ไม่ว่าวาจาชวนฟังอันใดเขาล้วนกล่าวออกมาหมดสิ้น ยอมงอไม่ยอมหัก แม้นต้องค้อมเอวเพียงเพื่อข้าวสารห้าโต่ว ก็ยังยินดี ยามความตายมาเยือนอยู่เบื้องหน้า เขาเอวอ่อนเสียยิ่งกว่าอ่อน บอกให้งอก็งอ บอกให้หักก็หัก

จี้เซียวคือทางรอดสุดท้ายของเขา

ยามซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของจี้เซียว อันตรายใดๆ ล้วนหายลับไปจนสิ้น จะมีแต่เพียงอ้อมอกอบอุ่นราวกับน้ำจากทะเลสาบตอนเที่ยงวันในวสันตฤดู

ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้อีก หลังอาการบาดเจ็บหายดี จี้เซียวก็กลับกลายเป็นเย็นชาเพิกเฉย เป็นอริยกระบี่ผู้อยู่สูงเกินเอื้อมถึงอีกครา

เชวี่ยเซียนหมิงถาม “เจ้าว่าเขาทิ้งกระบี่ไว้เพื่อสะกดเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือ”

เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดตรงไปตรงมา “หลังหายจากอาการบาดเจ็บ ข้าก็เริ่มฝึกพลังศักยะแบบเดียวกับพวกมนุษย์ สามวันดึงปราณเข้าสู่ร่าง หนึ่งเดือนฝึกปราณสำเร็จหนึ่งขั้น ช่วงนั้นจี้เซียวเฝ้าขมวดคิ้วดูอยู่ตลอดเวลา ข้าว่าคงเพราะข้าฝึกได้เร็วเกินไปเขาถึงได้เป็นกังวล…”

เชวี่ยเซียนหมิงตะลึงตาค้างมองดูอีกฝ่าย “เพราะเช่นนี้เจ้าเลยชะลอการบำเพ็ญเพียร ขยายเวลาฝึกปราณออกไปเป็นสามปี?”

อันที่จริงหลังกลายเป็นมนุษย์ เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงรักษาความสามารถในการต่อสู้เฉกชาวอสูร ฝึกเพียรบำเพ็ญตามแบบฉบับของตน จี้เซียวมองดูพัฒนาการของอีกฝ่ายด้วยยินดี ไม่ชี้แนะเขาด้วยวิธีทั่วไป หากแต่ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ หวังว่าเขาจะค้นพบมรรคา ผสมผสานข้อดีระหว่างมนุษย์และอสูรเข้าไว้ด้วยกันได้ด้วยตนเอง

ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ ย่อมต้องบำเพ็ญเพียรจนกว่าจะบรรลุสภาวะดับอาสวะ ได้สำเร็จ ถึงค่อยคิดเรื่อง ‘สร้างมรรคา’ ทว่าจี้เซียวรู้ดีว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญพรตทั่วไป หนทางเชื่อมต่อถึงสวรรค์ชั้นฟ้าของเขาถูกกำหนดให้ยาวไกล ลำบากยากเข็ญยิ่งกว่า

อีกด้านจี้เซียวยังกังวลเรื่องที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นอีกฝ่ายบำเพ็ญเพียรได้เร็วเช่นนั้น ไม่แน่ว่าจะทำตัวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ใจคนซับซ้อนกว่าอสูร สามารถควบคุมอสูรปีศาจได้ก็ใช่ว่าจะเข้าใจแผนการชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ

เขาตั้งค่ายเวทไว้บนยอดเขาฉางชุน หนึ่งก็เพื่อต่อต้านศัตรูภายนอก ปกป้องคู่ร่วมบำเพ็ญที่ยังอ่อนแอ สองเพื่อป้องกันไม่ให้คู่ร่วมบำเพ็ญของตนแอบหนีออกไปก่อเรื่องข้างนอก

ภายใต้การคุ้มครองของค่ายเวท หากเมิ่งเสวี่ยหลี่ปรารถนาจะท่องไปยังโลกภายนอก อย่างไรก็ต้องมาหาเขาก่อน ถึงตอนนั้นเขาย่อมสามารถลงเขาไปเป็นเพื่อนด้วยได้ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง

ทว่าสามปีผ่านไป เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับไม่เคยมาหาเขาแม้แต่ครั้งเดียว ถึงขนาดเกียจคร้านที่จะบำเพ็ญเพียร วันแล้ววันเล่าทำเพียงเลี้ยงปลาปลูกต้นไม้ดอกไม้หาความสุขใส่ตัว

จี้เซียวมีใจคิดเตือนเมิ่งเสวี่ยหลี่ให้มุมานะ ทว่าครั้นใคร่ครวญดูอีกที บำเพ็ญเพียรอาศัยเวลานับร้อยปี นอกจากนี้เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังมีเขาคอยปกป้องอยู่ข้างๆ แล้วมีความจำเป็นอันใดที่ต้องรีบเร่งเข้าแดนมรรคผลด้วย ก่อนหน้านี้อสูรตนนี้เคยเผชิญหน้ากับเภทภัยใหญ่หลวง ใจกายอ่อนล้าหมดสิ้น จะหยุดพักรักษาตัวสักปีสองปีก็หาใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่

เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุแท้จริง รู้สึกแค่เดิมตนเองเป็นอสูร ไม่ว่าจี้เซียวจะระแวดระวังไม่ไว้วางใจหรือใช้ค่ายเวทกักขังเขา ทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นเรื่องสมควรด้วยกันทั้งสิ้น

“เขาเป็นคนดีเมตตาช่วยเหลือข้า เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

นอกเหนือจากนั้นเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่เคยคิดและก็ไม่กล้าคิด

เชวี่ยเซียนหมิงบอกกับตัวเองในใจ แย่แล้ว ข้าแทบจะไม่รู้จักคำว่า ‘คนดี’ คำนี้เสียแล้ว

เชวี่ยเซียนหมิงรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ท่าทีของเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่มีต่อจี้เซียวเหมือนจะแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น น้ำเสียงราบเรียบไม่เหมือนรักแต่ก็ไม่คล้ายชัง ยอมเสี่ยงอันตรายอยู่ยังแดนมนุษย์สืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของอีกฝ่าย

แค่เป็นมนุษย์ก็กลับกลายเป็นซับซ้อนได้ปานนี้เลยหรือ อสูรไม่เข้าใจ

“จี้เซียวตายไปแล้ว เจ้าควรคิดถึงเรื่องภายหน้า” เชวี่ยเซียนหมิงกล่าว

เหตุใดคนคนนั้นต้องทิ้งอุษาไร้เขตขัณฑ์ไว้ หนำซ้ำคนตายยังมิอาจให้ปากคำ

เมิ่งเสวี่ยหลี่ล้วงเอาเมล็ดสนขึ้นมากำหนึ่งโยนลงไปในสระ “ภายหน้า? อีกสี่เดือนข้าก็จะเข้าแดนสนธยาฮั่นไห่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญพรตกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ฟ้ายังไม่สางเจ้ารีบลงเขาไปเถอะ”

เชวี่ยเซียนหมิงถลึงตาโมโหใส่เขา “ข้าไปของข้าเองได้! ส่งข้าอะไรไม่ต้องพูดทั้งนั้น ไม่เป็นมงคล!” หานซานแห่งนี้อัปมงคลยิ่งนัก คราวก่อนเมิ่งเสวี่ยหลี่พูดคำว่า ‘ส่งเจ้าอีกสักระยะ’ ทว่าแค่ครึ่งทางก็ทำนักพรตน้อยถึงแก่ความตาย เล่นเอาเขาไม่อาจไปจากหานซานได้

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้มโบกมือ เขาเอนกายนอนเกียจคร้านอยู่บนตั่งไม้ไผ่ริมสระ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พลิกอ่านอยู่ใต้จันทร์กระจ่าง “ข้าไม่มีเวลาสนใจเจ้า นับแต่นี้ข้าต้องลับหอกก่อนออกรบ ใช้ประโยชน์ทุกเสี้ยวเวลา”

เชวี่ยเซียนหมิงขยับเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นคิดว่าอาจเป็นเคล็ดวิชาร้ายกาจอะไร แต่แล้วเขากลับพบว่ามันเป็นเพียงหนังสือบางๆ เล่มหนึ่ง น่าจะมีตัวอักษรไม่ถึงพันคำ บนหน้าปกเขียนเอาไว้ว่า ‘ปฐมวิถีแห่งมรรคา’

…คัมภีร์เข้าสู่มรรคาวิถีของมนุษย์ผู้บำเพ็ญพรต พื้นฐานของพื้นฐาน

“เจ้าอ่านหนังสือเล่มนี้นานเท่าใดแล้ว”

“สามปี”

“ฮ่าๆๆ เจ้านี่มันนับวันก็ยิ่งถอยหลังลงคลองเข้าทุกที”

เส้นทางเข้าสู่สำนักหานซาน บริเวณเชิงเขาของเขายอดประมุขมีป่าสนหนาทึบอยู่ผืนหนึ่ง

ยามเช้าหมอกขาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าคล้อยเคลื่อนลอยละล่องอยู่ท่ามกลางสนเขียวสูงระฟ้า เสียงอ่านหนังสือดังก้องลอยออกมาจากป่าลึก ที่เชิงเขาไม่หนาวสะท้านเหมือนบนยอด สัตว์ตัวน้อยปรากฏกายให้เห็นอยู่กลางป่า เสียงแมลงเสียงนกร้องระคนอยู่กับเสียงอ่านหนังสือ

นกกระจอกฝูงหนึ่งกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่บนกิ่งไม้ เมิ่งเสวี่ยหลี่มองดูขนเล็กละเอียดบนตัวของพวกมัน รู้สึกว่านกเหล่านี้ต้องอบอุ่นมากแน่ๆ

“อาวุโสเมิ่ง ด้านหน้าคือวิหารถกสัจธรรม” ผู้รับใช้หนุ่มที่อยู่ข้างกายเขากล่าว “เหล่าสานุศิษย์กำลังศึกษาตำราเช้า คาบเรียนเช้ายังไม่เริ่ม”

เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้าเกรงใจ “ขอบคุณ รบกวนเจ้านำทางแล้ว”

เส้นทางเล็กๆ ที่ปูไว้ด้วยกรวดสีขาวลัดเลาะผ่านป่าสนเชื่อมต่อไปยังวิหารถกสัจธรรม ห้องเรียนแต่ละห้องตั้งอยู่ที่ปลายทาง กระเบื้องดำกำแพงขาวเส้นสายสะอาดสะอ้านเรียบง่ายปรากฏชัดอยู่ท่ามกลางป่าสน เป็นลีลาท่วงทำนองของหานซานมาแต่ไหนแต่ไร

ผู้ที่เข้ามาศึกษาส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์นอก หากผ่านการประเมินพวกเขาก็จะสามารถคำนับอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ เดินขึ้นบันไดหยกสูงชันทะลุม่านเมฆไปพบกับหานซานที่แท้จริงได้

เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับต่างออกไป นับแต่หานซานก่อตั้งสำนัก เขาก็เป็นผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่เคยมาสอน หากแต่มาศึกษา

เพราะด้วยฐานะคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียว ทำให้อาวุโสของเขาสูงกว่าผู้อาวุโสที่มาสอนเหล่านั้นกว่าครึ่ง

ยามนั้นครั้นผู้รับใช้หนุ่มส่งเขาเข้าถึงห้องเรียน จู่ๆ เสียงอ่านหนังสือที่เคยดังก้องก็หยุดชะงัก สายตาอยากรู้อยากเห็นคู่แล้วคู่เล่าล้วนจับจ้องอยู่บนร่างของเมิ่งเสวี่ยหลี่

เหล่าสานุศิษย์สวมใส่อาภรณ์นักพรตสีขาวของทางสำนัก มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในอาภรณ์สีม่วง ทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีเงิน ข้างกายยังมีผู้รับใช้ที่เป็นศิษย์ฝ่ายในคอยช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ให้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป

ผู้รับใช้กล่าว “อะแฮ่ม ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสแห่งยอดเขาฉางชุน สหายร่วมศึกษาของพวกเจ้าใน…วันหน้า แสดงคารวะต่อผู้อาวุโส”

“อา! ที่แท้เขาก็คือเมิ่งเสวี่ยหลี่! คู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่! เขามาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน”

“ได้ยินว่ามาศึกษา…”

“ไม่ใช่ว่าปีหน้าเขาต้องเข้าแดนสนธยาฮั่นไห่แล้วหรือไร ตอนนี้เพิ่งจะมาฟังพื้นฐานเนี่ยนะ?”

“งดงามยิ่งนัก!”

ยามนี้อาวุโสผู้สอนยังไม่มา ด้วยไร้ผู้ควบคุมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายจึงรวมกลุ่มขยิบหูขยิบตา กระซิบกระซาบพูดคุย เสียงทักทายจ้อกแจ้กวุ่นวายดังอยู่ห่างๆ

“ยินดีที่ได้พบอาวุโสเมิ่ง”

“อาวุโสเมิ่งยินดีที่ได้รู้จัก”

ผู้รับใช้หนุ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มองดูเมิ่งเสวี่ยหลี่ด้วยสายตาเป็นกังวล “พวกศิษย์น้องไม่รู้จักธรรมเนียม”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย เขายิ้มตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ไม่เป็นไร วันหน้าพบเจอข้าหาต้องแสดงคารวะอันใดไม่”

นับแต่ขึ้นเขาหานซานมา เขาก็เห็นแต่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสประมุขยอดเขาทั้งหลายแต่ละคนล้วนสุขุมรอบคอบ นักพรตน้อยก็ขี้ขลาดระแวดระวัง เด็กหนุ่มที่กระฉับกระเฉงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้เขาไม่ได้พบพานนานแล้ว

ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งดังขึ้น คนที่ใจกล้าหน่อยถึงกับอยากชวนเขาพูดคุย จู่ๆ ศิษย์ที่นั่งพิงอยู่ข้างหน้าต่างก็ลุกขึ้นยืน สองตาจ้องมองไปข้างนอก ปากก็ร้องตะโกน “มาแล้วๆ!”

จู่ๆ ก็มีคนวิ่งไปที่ข้างหน้าต่าง “มาแล้วจริงๆ!” ก่อนจะวิ่งตื๋อออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว

ศิษย์คนอื่นๆ ต่างพุ่งพรวดไปทันที กระดาษพู่กันปลิวว่อน ตั่งโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด จู่ๆ ทั้งห้องเรียนก็กลับกลายเป็นว่างเปล่า

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยื่นหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เด็กแต่ละห้องต่างกรูกันออกมา มุ่งหน้าตรงไปทางเดียวกันเป็นขบวนขนาดใหญ่ ระคนไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หานซานที่เคยสงบเงียบพลันคึกคักขึ้นมาราวกับตลาด

เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็คิดในใจ หรือมีคนเอาเงินทองมาโปรยเล่น

ผู้รับใช้หนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ เขาขวางศิษย์คนหนึ่งไว้แล้วเอ่ยปากถามสองประโยคก่อนจะกลับมารายงาน

“เมื่อหลายวันก่อน พวกศิษย์พี่สามลงจากยอดเขาจ้งปี้ไปรับศิษย์ พวกเขาพาศิษย์น้องคนหนึ่งกลับมา เป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด ว่ากันว่าหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นับแต่ศิษย์น้องคนนั้นเข้าเขามา สานุศิษย์ในวิหารถกสัจธรรมก็ต่างตั้งตารอเขามาเข้าร่วมเรียน ในที่สุดก็มาแล้ว” ผู้รับใช้หนุ่มพยักพเยิดหน้าไปทางฝูงชน “ทุกคนต่างเฮโลไปที่นั่นกันหมดแล้ว” ศิษย์นอกเหล่านี้ต่างอายุยังน้อยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา อยากรู้อยากเห็น

เมิ่งเสวี่ยหลี่พยักหน้า

ผู้รับใช้เองก็อยากไปดูด้วยเช่นกัน แต่กลับเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่มีทีท่านึกสนใจแม้แต่น้อย จึงเอ่ยว่า “อาวุโสเมิ่งคงไม่รู้ คนผู้นั้นจัดว่าเป็นคนที่ยากจะพบพานได้ในช่วงร้อยพันปี มีพรสวรรค์เช่นเดียวกับจี้เซียวเจินเหริน ข้าไปดูเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”

เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบยิ้ม เฉกเดียวกับจี้เซียวอย่างนั้นหรือ

เป็นไปได้อย่างไร

“ไม่ล่ะ”

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: