X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่สอง

เมื่อขอบฟ้าเริ่มปรากฏสีขาวพุงปลาทีละน้อย ตำบลฝูหรงเล็กๆ ที่อยู่ริมน้ำชานเมืองหลวงยังคงเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ เรือไป๋เผิงที่อยู่ใต้สะพานหินโค้งจอดเกาะกลุ่มสองลำบ้างสามลำบ้าง พวกมันไหวกระเพื่อมตามระลอกน้ำพลางรอคอยให้คนบังคับเรือตื่นจากห้วงนิทราอันแสนหวานเช่นทุกวัน

ทว่าผู้ที่เลี้ยงชีพโดยพึ่งพาฝีมือในการนึ่งขนมนั้น ต้องตื่นเช้ากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง

ดังนั้นสกุลชุยที่จะไปขายขนมชนิดต่างๆ กับเกี๊ยวน้ำเป็นอาหารเช้าริมทางในวันนี้จึงเริ่มจุดเตาไฟและนวดแป้งลงนึ่งในลังถึงนานแล้ว

ไม่นานนักประตูไม้ที่ถูกควันไฟรมจนเก่าคร่ำคร่าก็ถูกผลักเปิดดังแอ๊ด แม่นางน้อยที่ดูแล้วอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีและมีเรือนผมยาวดำขลับทิ้งตัวสยายลงมากึ่งหนึ่ง กำลังหิ้วถังไม้ที่สูงเกือบถึงเอวหนึ่งใบก้าวออกมาจากด้านในของประตู

แม้สีท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ ทว่าแสงรำไรเพียงแค่นั้นก็พอจะส่องสว่างผิวพรรณอันขาวสะอาดตาของแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว จริงอยู่สายลมอันอบอุ่นอ่อนโยนที่เคล้าด้วยดอกท้อกับริ้วฝนพรำของตำบลริมน้ำแห่งนี้เหมาะแก่การอยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง แต่หญิงงามที่มีกลิ่นอายสูงส่งเกินบรรยายเช่นแม่นางน้อยผู้นี้กลับพบเห็นได้ไม่มาก

แลเห็นดวงตาใต้คิ้วที่เหินสะบัดคู่นั้นราวน้ำพุใสซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกเย็นอันบางเบา ใต้จมูกที่โด่งรั้นคือริมฝีปากบางจิ้มลิ้มที่กำลังเม้มนิดๆ เนื้ออิ่มตรงกึ่งกลางของปากรูปกระจับนั้นดุจขนมดอกซิ่งที่เพิ่งจะออกจากลังถึง ทั้งเย้ายวนจนไม่อาจละสายตา ทั้งคล้ายเคลือบด้วยน้ำแข็งอันแวววาวดึงดูดใจ

นางไม่ได้รีบร้อนไปตักน้ำสะอาดในบ่อ ทว่าไปยืนบนเชิงสะพานหินที่ทอดผ่านหน้าลานเรือนของตนแล้วก้มหน้าส่องดูแม่น้ำก่อน บนผิวน้ำที่ออกสีเขียวนิดๆ นั้นมองเห็นเงาของนางได้รางๆ นางจึงวางถังน้ำลงพื้น หยิบหวีไม้ท้อซึ่งซี่หวีหักไปบางส่วนแล้วเล่มหนึ่งออกมาจากด้านในของสายคาดเอวเนื้อหยาบ จากนั้นอาศัยเงาในแม่น้ำค่อยๆ สางรวบเรือนผมยาวดำขลับที่ทิ้งตัวอยู่ข้างหัวไหล่ ก่อนดึงผ้าสีน้ำเงินผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อมาห่อคลุมเส้นผมซึ่งรวบขึ้นอย่างยากเย็นด้วยท่าทางที่ค่อนข้างงุ่มง่าม

นางมองดูเรือนผมของตนซึ่งนับว่าเป็นทรงได้เสียที แม้ตรงจอนยังมีเส้นผมรุ่ยลงมาหลายปอย แต่ก็ถือว่าสามารถออกไปพบเจอผู้คนได้แล้ว

นับดูหลิ่วเจียงฉยงมีชีวิตมาสองชาติภพแล้ว ทว่าในอดีตโอกาสที่นางเคยลงมือหวีผมด้วยตนเองกลับมีอยู่น้อยแสนน้อย ไม่แปลกเลยที่ตอนนี้นางจะวุ่นวายจนมือไม้ปั่นป่วน

หลิ่วเจียงฉยง? นางฝืนยิ้มน้อยๆ ให้กับเงาบนผิวน้ำ ไม่สิ ตอนนี้ชื่อจริงของข้าควรเป็นชุยเจียงฉยงแล้ว

ยามที่นางจมลงในน้ำอันเย็นเฉียบบ่อนั้น ความรักกับความแค้นก็ล้วนดับสูญไปด้วย เดิมทีนางนึกว่าตนเองไร้กำลังจะกอบกู้อะไรได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าชั่วขณะที่วิญญาณออกจากร่างกลับคล้ายเป็นห้วงฝันอันเลื่อนลอย เพียงพริบตานางก็ได้หวนกลับมาในปีที่ตนเองอายุสิบห้านี้อีกครั้ง

จริงอยู่ว่ารูปโฉมนางยังคงเดิม ทว่าสภาพรอบข้างกลับเปลี่ยนไปราวฟ้ากับดิน มองเค้าเดิมในชาติก่อนไม่ออกสักนิดเดียว

ในชาติก่อนที่คล้ายเป็นห้วงฝันนั้น ชีวิตของนางกล่าวได้ว่าราบรื่นจนชวนให้สตรีทั่วไปอิจฉา ทว่าหลังจากมีชาติก่อนอันดีงามเพียงนั้นแล้ว เมื่อได้มีชีวิตใหม่อีกหนึ่งชาติภพ นางกลับต้องตกอับมาเป็นบุตรสาวครอบครัวพ่อค้าแผงลอย นับว่าร่วงจากก้อนเมฆลงสู่ส่วนลึกของโคลนตมก็ว่าได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงจะโกรธแค้นกล่าวโทษสวรรค์ว่ากลั่นแกล้งคน ขอยอมแขวนคอตายเองก็ไม่ขอยอมรับความทุกข์ยากของชีวิตภพใหม่อันแสนต่ำต้อยนี้หรอก

แต่สำหรับนางที่กลายมาเป็นชุยเจียงฉยงแล้ว เมื่อแรกที่ดวงตาอันสะลึมสะลือทั้งคู่ลืมขึ้นเห็นหยากไย่บนคานห้อง กับสามีภรรยาสกุลชุยที่กำลังขมวดคิ้วมองนาง ตอนนั้นแม้นางจะยังตระหนก ทว่าไม่ช้าในใจก็คืนสู่ความสงบ

ความอบอุ่นและเหน็บหนาวบนโลกนี้คนเราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ภายใต้อาภรณ์อันหรูหราฟุ้งเฟ้อในชาติก่อนซ่อนรอยด่างพร้อยไว้มากเพียงใดก็มีแต่เจ้าตัวที่ล่วงรู้

นางกลายมาเป็นชุยเจียงฉยงก็ดีเหมือนกัน ทุกสิ่งก็แค่หวนคืนสู่ตำแหน่งดั้งเดิมของมันเท่านั้น เพียงแต่ว่า…ในชาติก่อนความลับเรื่องชาติกำเนิดถูกเผยออกมาตอนที่นางอายุสิบหก แต่เหตุใดตอนนี้จึงเลื่อนเร็วขึ้นปีหนึ่งเล่า หรือเพราะการเกิดใหม่ของนางทำให้ชาตินี้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น?

จำได้ว่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในคราแรก บริเวณข้อพับแขนปวดแสบราวถูกไฟเผา นางม้วนแขนเสื้อขึ้นดูก็เห็นตรงข้อพับปรากฏสัญลักษณ์ ‘วั่น’ สีแดงสด ซึ่งคล้ายคลึงกับเครื่องหมายสวัสติกะในพุทธศาสนา นี่เป็นสัญลักษณ์ที่นางไม่เคยมีในชาติก่อน เครื่องหมายสวัสติกะสื่อถึงความสว่างไสว และยังแฝงนัยถึงสังสารวัฏอันไม่สิ้นสุด ในใจนางจึงคิดว่า…หรือนี่จะเป็นผลตอบแทนที่ขณะมีชีวิตข้าทำกุศลสั่งสมไว้มาก?

ในช่วงไม่กี่วันแรกของการเกิดใหม่ ฉยงเหนียงมักใจลอยและยังแคลงใจว่าตนใช่กำลังฝันอยู่หรือไม่ รอจนสงบใจและรู้สถานภาพของตนชัดเจนในที่สุด นางที่เพิ่งฟื้นไข้จึงแสร้งทำทีว่าป่วยจนเลอะเลือน สอบถามเหตุการณ์ก่อนนี้อย่างหน้าตาเฉย

ฟังจากความหมายของชุยจงบิดานางแล้ว สาเหตุที่ค้นพบว่าสองสกุลอุ้มบุตรสาวสลับตัวกันนั้น ต้องเริ่มเล่าจากที่ชุยผิงเอ๋อร์ออกความคิดให้ทางบ้านเข้าไปขายขนมในเมืองหลวง

เมื่อชุยจงเห็นพ้อง ชุยผิงเอ๋อร์ก็ติดตามบิดาเข้าเมืองหลวงไปขายขนมแบบหาบเร่ มีอยู่หนหนึ่งขณะนำขนมที่สาวใช้ในจวนสกุลหลิ่วสั่งซื้อไว้มาส่ง บังเอิญถูกเหยาซื่อฮูหยินใต้เท้าหลิ่วพบเข้า ชุยผิงเอ๋อร์หน้าตาละม้ายเหยาซื่อเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้เหยาซื่อกับหญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ข้างกายนางมองตาค้าง

เนื่องจากฉยงเหนียงไม่คล้ายใครในสกุลหลิ่วเลย ประกอบกับคำกล่าวเล่นของชุยผิงเอ๋อร์ที่พูดว่า ‘ข้าคล้ายฮูหยินเพียงนี้ ยังนึกว่าเมื่อแรกพ่อแม่อุ้มข้ามาผิดเสียด้วยซ้ำ’ ก็ยิ่งทำให้เหยาซื่อบังเกิดความสงสัย

หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันไม่กี่ประโยคก็เผอิญรู้ว่านางคือบุตรสาวของสกุลชุยในตอนนั้น เพียงนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ตนบงการให้แม่นมทำ ในใจเหยาซื่อก็พลันแตกตื่น รีบซักถามอย่างละเอียด รวมทั้งคาดคั้นแม่นมสองคนนั้นจนเค้นได้ข้อมูลจากปากของแม่นมแซ่อิ่น ทำให้ล่วงรู้ความจริงที่อีกฝ่ายอุ้มบุตรสาวของสองสกุลมาผิดคน

ทั้งสองสกุลต่างก็พลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ทว่าไม่ทันไรฝ่ายสกุลหลิ่วก็ตั้งสติได้ เห็นว่ายังดีที่บุตรสาวของสองสกุลล้วนยังไม่ถึงวัยปักปิ่นไม่เคยหมั้นหมายกับผู้ใด ฉยงเหนียงเองก็ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนภายนอก ด้วยตามธรรมเนียมของแผ่นดินต้าหยวนแล้ว สตรีจะนับว่าถึงวัยปักปิ่นในวันเทศกาลซั่งซื่อจากนั้นเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงถึงจะติดตามมารดาเข้าออกงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เป็นทางการ และถือโอกาสกำหนดคู่หมายได้ ดังนั้นนอกจากญาติมิตรแล้ว ครอบครัวขุนนางในเมืองหลวงส่วนใหญ่จึงยังไม่เคยได้พบเห็นคุณหนูแห่งจวนสกุลหลิ่วผู้นี้

คนสกุลหลิ่วรู้สึกว่า…การกอบกู้ทุกสิ่งล้วนยังทันกาลอยู่!

ภายหลังเหยาซื่อได้เห็นชุยผิงเอ๋อร์กับตา ด้วยความรักลูกนางจึงรีบไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่า ให้หลิ่วเมิ่งถังออกหน้าเจรจาตกลงกับพ่อค้าสกุลชุยว่าจะสลับคืนบุตรสาวของสองสกุลกันอย่างเงียบๆ

อย่างไรเสียเมื่อสตรีเติบใหญ่ขึ้นย่อมเปลี่ยนไปมากมาย ต่อให้มีคนต่างแซ่เคยเจอฉยงเหนียง ขอเพียงเฉไฉว่านางโตขึ้นแล้วหน้าตาเปลี่ยนก็ไม่อาจจับผิดได้แล้ว

ทว่าเมื่อฉยงเหนียงได้ยินข่าวกลับร้องไห้เศร้าเสียใจมิคลาย ทั้งปฏิเสธตรงๆ ว่าไม่ยินยอมไปจากจวนสกุลหลิ่ว แต่หากจะให้นางอยู่ต่อ เช่นนั้นชุยผิงเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ในจวนสกุลหลิ่วอย่างไร้ฐานะอันชอบธรรม จะอย่างไรเหยาซื่อก็มีบุตรช้า ตอนนั้นวัยเลยสามสิบถึงค่อยมีลูกแฝดชายหญิงคู่นี้ ย่อมไม่เหมาะที่จะบอกผู้อื่นกระมังว่าตนคลอดบุตรสาวออกมาอีกคน หรือจะบอกว่าชุยผิงเอ๋อร์คือลูกของอนุนางบำเรอ

แม้เหยาซื่อทำใจแข็งต่อฉยงเหนียงที่ตนเลี้ยงดูมาถึงสิบห้าปีไม่ได้อยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นชุยผิงเอ๋อร์ที่หน้าละม้ายตนและฉลาดชวนเอ็นดูกลับต้องสวมชุดกระโปรงที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน เหยาซื่อก็พลันละอายใจว่าตนติดค้างบุตรสาวแท้ๆ มากเหลือเกิน สุดท้ายนางจึงกัดฟันเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในจวนสองคนให้ใช้กำลังดันตัวฉยงเหนียงขึ้นรถม้าแล้วส่งคืนสกุลชุยไปเสีย

หลังจากฉยงเหนียงมาถึงสกุลชุยก็ร้องไห้อาละวาดไม่หยุด ดื่มน้ำก็ติว่าชามบิ่น กินข้าวก็ทนไม่ได้ที่เมล็ดข้าวหยาบ สุดท้ายนางถึงกับไข้ขึ้นสูงจนลุกไม่ไหว สลบไสลไปสามวันสามคืนติดกัน

ดังนั้นพอฉยงเหนียงลืมตาขึ้น หลิวซื่อมารดาแท้ๆ ของนางจึงทั้งยินดีทั้งเป็นกังวล สิ่งที่ยินดีคือบุตรสาวฟื้นขึ้นมาเสียที ส่วนสิ่งที่เป็นกังวลคือหากบุตรสาวยังคงร้องไห้อาละวาดอีกจะทำอย่างไรดีเล่า

ทว่าอาจเพราะครั้งนี้ฉยงเหนียงเป็นไข้สูงจนกระเทือนถึงสมอง เมื่อฟื้นแล้วจึงถามแต่คำถามที่แปลกพิกล ราวกับไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงกลับมาที่สกุลชุยได้

หัวใจของหลิวซื่อลอยคว้างขึ้นมาอีกครั้ง วิตกว่าบุตรสาวจะไข้ขึ้นจนเป็นโรคประหลาด นางจึงค้นกำไลเงินคู่หนึ่งที่เป็นสินเจ้าสาวของตนออกมาจากก้นหีบ เตรียมจะให้ชุยจงไปจำนำแลกเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเชิญหมอมารักษาฉยงเหนียง

ทว่าฉยงเหนียงกลับยับยั้งไว้ นางเรียกหลิวซื่อว่า ‘ท่านแม่’ อย่างสงบเยือกเย็น บอกเพียงว่า ‘ลูกดีขึ้นมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปเชิญหมอหรอก’

ไม่ว่านั่นจะเป็นห้วงฝันอันเหลวไหลตื่นหนึ่งหรือไม่ แต่การได้เกิดใหม่อีกหนึ่งชาติภพนี้ก็ดียิ่งนัก

หลังจากฉยงเหนียงเข้าใจสถานการณ์ของตนกระจ่างแล้ว เว้นแต่สองวันแรกที่ยังดูคล้ายจิตใจห่อเหี่ยว ไม่ช้านางก็กระตือรือร้นและพยายามปรับตัวกับชีวิตชาวบ้านที่เมื่อก่อนเคยหวาดหวั่นมิคลาย

ทว่าสามีภรรยาสกุลชุยกลับยังคงวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง จนแล้วจนรอดเมื่อเห็นบุตรสาวแท้ๆ ที่บอบบางก็ยังรู้สึกว่านางคือคุณหนูในจวนคนใหญ่คนโต ยามพูดจากับนางจึงจงใจระมัดระวังไปเสียทุกอย่าง

ฉยงเหนียงไม่อยากให้คนในครอบครัวมีท่าทีห่างเหินเช่นนี้ต่อไป ดังนั้นเช้าวันนี้ขณะที่สามีภรรยาสกุลชุยง่วนอยู่กับการจุดเตาไฟนึ่งขนม นางจึงเป็นฝ่ายหิ้วถังน้ำออกจากลานเรือนมาตักน้ำเอง เพียงแต่แม่นางน้อยมีรูปร่างเล็กอ้อนแอ้นไปสักหน่อย แม้ในถังน้ำยังว่างเปล่า แต่เมื่อหิ้วมาถึงข้างบ่อน้ำก็ยังคงปวดเมื่อยข้อมือ

อาจเพราะความทรงจำในวาระสุดท้ายยามร่วงดิ่งถึงก้นบ่อเมื่อชาติก่อนเลวร้ายเหลือทน นางจึงมองปากบ่อที่แสนลึกนี้อย่างลังเลอยู่บ้าง

ตอนนี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ “แม่นางน้อยบ้านชุยยกไม่ไหวกระมัง จะให้พี่วั่งช่วยประคองสักเล็กน้อยหรือไม่เล่า”

ฉยงเหนียงหันไปก็เห็นชายหนุ่มท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยผู้หนึ่ง นางจำได้เลาๆ เหมือนหลิวซื่อเคยบอกว่าคนผู้นี้มีนามว่าจางวั่ง เป็นบุตรชายคนเดียวของเถ้าแก่ร้านเนื้อหมูตรงถนนด้านหน้า เขาอาศัยว่าทางบ้านฐานะดี จึงเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ สิ่งที่ชื่นชอบที่สุดก็คือการแทะโลมหญิงม่ายกับสะใภ้สาวของเพื่อนบ้านซึ่งมักนั่งทำแบบรองเท้าอยู่ข้างประตู

ดูท่าทางเขาเพิ่งจะกลับจากการร่ำสุรายามราตรีมา รุ่งสางแล้วยังไม่ทันกลับถึงบ้าน ในยามนี้หมวกผ้าบนศีรษะเขาเอียงกระเท่เร่ เชือกผูกเสื้อก็หลวมรุ่ยร่าย กลิ่นสุรายิ่งคลุ้งไปทั้งร่าง

จางวั่งเองก็รู้จักฉยงเหนียง อย่างไรเสียเรื่องที่คนขายขนมสกุลชุยกับครอบครัวชาติตระกูลดีตระกูลหนึ่งอุ้มลูกสลับผิดตัวกันก็โจษจันไปทั้งถนนแล้ว

แม่นางน้อยสกุลชุยที่เพิ่งเปลี่ยนตัวกลับมานี้คงเป็นเพราะอยู่ดีกินดีมาแต่เล็กจึงได้งามเฉิดฉายเหนือสามัญ และด้วยรูปโฉมของนางที่สืบทอดแต่จุดเด่นของสามีภรรยาสกุลชุย จึงยิ่งประกอบกันเป็นโฉมสะคราญแห่งแคว้นผู้หนึ่ง คนงามหยาดเยิ้มปานเทพธิดาที่ปกติจะลงจากรถม้าคันหรูมาให้ได้ยลเท่านั้น บัดนี้ถึงกับหล่นลงมาอยู่ที่มุมถนนในตลาดแห่งนี้ บุรุษเจ้าสำราญทั้งถนนนับว่ามีโชคที่จะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับหญิงงามแล้ว!

เมื่อเช้าตรู่จางวั่งเพิ่งออกจากประตูบ้านของนางโลมเถื่อน* พอเตร็ดเตร่มาถึงละแวกบ้านสกุลชุย เขาก็พลันนึกถึงแม่นางน้อยที่มาใหม่ จึงตั้งใจหยุดรออยู่ครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะได้พบคนงามตกยากผู้นี้เข้าจริงๆ ดังนั้นเขาจึงประชิดเข้ามาใกล้ หมายจะหยอกเอินนางเสียหน่อย

ชุยผิงเอ๋อร์ที่เดิมอยู่บ้านสกุลชุยก็เป็นบุปผางามผู้หนึ่ง ทั้งมีความคิดอ่านตื้นเขินยิ่ง เขาเพียงนำแป้งตลับกับดอกไม้แซมผมมาให้บ่อยเข้าก็เกี้ยวชุยผิงเอ๋อร์จนมีไมตรีต่อเขาแล้ว หากมิใช่หลิวซื่อป้าจอมดุนั่นคอยจ้องไม่คลาดสายตา เขาก็คงสามารถล่อลวงชุยผิงเอ๋อร์พาเข้าตรอกไปเปลื้องเอี๊ยมชั้นในโดยไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดเดียวแล้ว

ทว่าครึ่งปีมานี้แม่นางน้อยใจกล้าผู้นั้นกลับวางท่าขึ้นมา ไม่ค่อยยินดีจะหัวร่อต่อกระซิกกับเขาแล้ว เดิมทีเขาก็หงุดหงิดอยู่บ้าง ย่อมนึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งที่ดียิ่งกว่ามาในภายหลัง! พอชุยผิงเอ๋อร์ที่ช่างเล่นตัวนั่นจากไป ชุยเจียงฉยงผู้งามยวนใจยิ่งกว่าก็ถูกสลับคืนมา นับแต่จางวั่งยืนเขย่งบนก้อนหินแล้วมองข้ามกำแพงไปเห็นนางในแวบแรก กระดูกทั่วร่างของเขาก็คล้ายอ่อนยวบทันใด รู้สึกว่าเทพธิดาจุติลงมาก็คงเป็นเช่นนี้ ขอเพียงรอจนแม่นางน้อยผู้นี้ถึงวัยปักปิ่น เขาจะให้มารดาเชิญแม่สื่อไปสู่ขอนางถึงบ้าน

สวรรค์หนอสวรรค์ ช่างสมเป็นดอกสุ่ยเซียนที่ฟูมฟักมาด้วยน้ำทองคำ! ยามที่เห็นนางยืนมุ่นคิ้วพลางยืดช่วงเอวอันคอดกิ่วปานกิ่งหลิวแล้ว จางวั่งก็รู้สึกเพียงว่าไฟอันร้อนเร่าที่ตนระบายบนเรือนร่างนางโลมเถื่อนเมื่อคืนนี้ถึงกับคุโชนแล้วพลันลุกโพลงยิ่งกว่าเก่า จนมีเค้าว่าจะแผดเผาเป้ากางเกงเขาให้มอดไหม้แล้ว!

พอเห็นจางวั่งประชิดเข้าหาด้วยอาการน้ำลายสอ ฉยงเหนียงก็รีบถอยหลบตามสัญชาตญาณ กระทั่งถังน้ำก็ไม่ต้องการแล้ว นางหมุนตัวหมายจะเดินกลับทันที แต่จนใจที่จางวั่งขวางไว้อย่างเหมาะเหม็ง ทำให้นางไม่อาจจะปลีกตัวได้แม้แต่น้อย

ในชาติก่อนที่คล้ายดั่งห้วงฝันนั้น แม้นางเคยฝึกวิชาต่อสู้ แต่ก็เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่าสตรีทั่วไป ยามนี้นางอายุยังน้อย เรี่ยวแรงไม่เพียงพอ ยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ของคนเสเพลที่อยู่ตรงหน้านี้

พอเห็นเขาตั้งท่าจะรุกเข้ามาทำรุ่มร่าม ฉยงเหนียงจึงยกชายกระโปรงขึ้นนิดๆ เตรียมจะฉวยจังหวะที่เขาไม่ระวังเล็งไปที่เป้ากางเกงแล้วใช้เพลงเตะ ‘ไก่กระเจิงไข่แตกร้าว’ ทว่าในตอนนั้นเองเสียงตวาดกร้าวก็พลันดังมาจากด้านหลังของจางวั่งเสียก่อน “จงอยู่ห่างๆ น้องสาวข้า! ระวังข้าจะหักขาเจ้าทิ้งเสีย!”

จางวั่งหันหน้าไปก็เห็นเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อสีน้ำเงินตัวสั้นแบบผ่าหน้าผู้หนึ่ง กำลังหิ้วถังน้ำหนึ่งใบกับไม้คานหาบหนึ่งอันยืนอยู่ด้านหลังของตน

ผู้มาก็คือชุยฉวนเป่าพี่ชายร่วมอุทรตัวจริงของฉยงเหนียง เขากับนางเป็นฝาแฝดกัน อายุสิบห้าปีเท่ากัน ทว่าเขาได้รูปร่างที่สูงใหญ่มาจากชุยจงผู้เป็นบิดา จึงดูกำยำดุจลูกวัวเลยทีเดียว เขาถลึงดวงตาที่กลมโตจ้องจางวั่งอย่างดุดัน ท่าทางบอกชัดว่าหากอีกฝ่ายแตะต้องน้องสาวเขาแม้เพียงนิด เขาจะควงไม้คานหาบบุกเข้ามาทันที

จางวั่งเห็นว่าตอนนี้ตนไม่อาจได้เปรียบแล้ว จึงเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้วพูดอย่างฉุนเฉียว “ก็แค่เพื่อนบ้านอยากยื่นมือช่วยเหลือน้องสาวเจ้าตักน้ำ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะมาโวยวายใส่ข้าทำอะไร เจตนาดีกลับถูกมองเป็นหวังร้ายเสียได้!” เขาพูดพลางสะบัดแขนเสื้อเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป

ชุยฉวนเป่าคร้านจะฟังคำบ่นงึมงำของอีกฝ่าย เพียงเดินไปที่ข้างบ่อน้ำ ยกถังใบที่ฉยงเหนียงทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมามัดเชือกแล้วหย่อนลงไปตักน้ำในบ่อ จากนั้นค่อยตักน้ำจนเต็มถังใบที่ตนนำมา หลังจากสอดไม้คานหาบเสร็จ เขาคนเดียวก็หาบน้ำสองถังเดินก้าวยาวมุ่งเข้าลานเรือนโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง

ฉยงเหนียงจึงเร่งซอยเท้าติดตามพี่ชาย หนึ่งคนอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง เดินมุ่งหน้าเข้าลานเรือนไป

หลายวันที่นางกลับมา ชุยฉวนเป่าไม่ค่อยไยดีนางเท่าไรนัก นางคาดว่าคงเพราะตนเองที่กลับสกุลชุยมาก่อนจะเกิดใหม่ผู้นั้นร้องไห้อาละวาดหนักเหลือทน ทั้งเอ่ยวาจารังเกียจสกุลชุยออกไปมากมาย จึงไม่เพียงทำร้ายจิตใจบิดามารดา ยังทำให้ในใจพี่ชายฝาแฝดรู้สึกตำหนินางไปด้วย

ชาติก่อนเป็นเพราะฉยงเหนียงซาบซึ้งที่บิดามารดาเลี้ยงให้นางอยู่ในจวนสกุลหลิ่วต่อไป ดังนั้นนางจึงจงใจห่างเหินกับสกุลชุย ไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อพวกเขาก่อน

กระทั่งต่อมาออกเรือนเป็นแม่คนแล้ว นางถึงค่อยรู้จักโลกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนึกเสียใจภายหลังที่ปฏิบัติกับบิดามารดาแท้ๆ อย่างใจจืดใจดำเกินไป นางจึงส่งคนดั้นด้นไปสืบข่าวความเป็นไปของสกุลชุย หมายจะลอบช่วยเหลือพวกเขาบ้าง ทว่าข่าวที่สืบได้มากลับทำให้นางเป็นกังวลมิคลาย โดยรวมคือพี่ชายร่วมอุทรผู้นี้ของนางไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย เนื่องเพราะต่อมาชุยจงเกิดป่วยหนักต้องใช้เงินโดยด่วน ชุยฉวนเป่าหมายจะหาเงินทางลัดจึงเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งอบายมุข ไปเป็นนักเลงคุมบ่อนพนัน ยิ่งกว่านั้นยังแต่งกับพี่สาวของสหายสนิทที่กินเที่ยวด้วยกันผู้หนึ่ง

สตรีผู้นั้นถึงกับเป็นนางโลมที่ออกมาจากสำนักนางโลมเถื่อน ภายหลังออกเรือนก็ยังคงไม่เปลี่ยนนิสัย อาศัยเงินเก็บที่ได้จากการขายรอยยิ้มและเนื้อหนังมังสามาอวดศักดาในบ้านสามี เรื่องกตัญญูต่อบิดามารดาของสามีจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

ส่วนเหตุใดต่อมาชุยฉวนเป่าจึงตีน้องชายภรรยาจนถึงแก่ความตายกระทั่งกลายเป็นคดีความนั้น ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้ในอนาคตผู้นั้นของฉยงเหนียงกระมัง…

คิดมาถึงตรงนี้ หัวคิ้วของฉยงเหนียงก็ขมวดปมนิดๆ ชาติก่อนนางมัวว้าวุ่นใจกับความลับเรื่องชาติกำเนิด ซ้ำเพ้อฝันจะยื้อทุกสิ่งซึ่งเดิมทีไม่สมควรจะเป็นของนางเอาไว้ ผลสุดท้ายจึงจบลงที่สามีนอกใจ บุตรชายบุตรสาวก็ห่างเหิน

สวรรค์ดีต่อนางมิใช่น้อยที่ให้ได้มาเกิดใหม่อีกครั้ง ฉะนั้นครั้งนี้นางจะไม่หวังสูงเกินตัว ไม่มัวไปไขว่คว้าชื่อเสียงกุลสตรีอะไรนั่น และยิ่งจะไม่ทอดทิ้งบุตรไว้กับแม่นมหรือสาวใช้จนต้องลงเอยอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียวเช่นนั้นอีก ในตลาดที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของชีวิตปุถุชนแห่งนี้ นางจะขอสงบใจเป็นสตรีตระกูลพ่อค้า กตัญญูต่อบิดามารดา แต่งให้สามีที่ประพฤติดีเสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งจะเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง…

คิดมาถึงตรงนี้ นางก็มองเงาหลังของเด็กหนุ่มผู้แข็งกร้าวที่อยู่เบื้องหน้า และอดไม่ได้ที่จะยิ่งเร่งฝีเท้าพลางเอ่ยปากเรียก “พี่ชาย รอข้าด้วยสิ!”

ฉยงเหนียงมีเนื้อเสียงที่หวานใสโดยกำเนิด ทั้งอยู่ในวัยกำดัด เสียงเรียก ‘พี่ชาย’ คำนี้จึงเสนาะหูปานนกขมิ้น ต่อให้ในใจชุยฉวนเป่ามีความขุ่นเคืองต่อนางเพียงไร เขาก็ยังชะงักฝีเท้าอย่างห้ามไม่อยู่

รอจนฉยงเหนียงที่อยู่ด้านหลังสาวเท้าวิ่งมาถึง แล้วควักผ้าผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อมาเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากให้ ชุยฉวนเป่าที่เผชิญกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของน้องสาวก็ไม่อาจปั้นหน้าบึ้งตึงได้ต่อไป

จะว่าไปในใจเขารู้สึกว่าชุยผิงเอ๋อร์เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขามากกว่า แม้ชุยผิงเอ๋อร์จะมีนิสัยเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้ง ของกินของใช้ก็ล้วนต้องแย่งสิ่งที่ดีที่สุดในบ้านไปเสมอ ทว่าต่อให้ทะเลาะกันเช่นไร ความรักความผูกพันที่มีต่อน้องสาวมาสิบห้าปีมีหรือบอกว่าเปลี่ยนคนก็จะเปลี่ยนกันได้

เพียงแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใจเขาเหน็บหนาว นั่นคือชุยผิงเอ๋อร์น้องสาวที่โต้คารมกันมาจนเติบใหญ่และอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง นางกลับขึ้นรถม้าคันหรูเข้าจวนผู้ดีมีตระกูลไปอย่างไม่ลังเลและไม่มีท่าทางอาลัยอาวรณ์แม้สักนิด ไม่เพียงบิดามารดาของเขาที่เสียใจ เขาเองก็รู้สึกย่ำแย่อย่างมาก หนำซ้ำฉยงเหนียงน้องสาวที่สลับคืนมาผู้นี้ยังเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ทั้งวี่วัน รังเกียจว่าสกุลชุยยากจนข้นแค้น ในใจเด็กหนุ่มจึงยิ่งอัดอั้นด้วยไฟโทสะ รู้สึกเพียงว่าคนที่ถูกส่งคืนมากลางคันเช่นนี้จะอย่างไรก็ไม่เหมือนคนในครอบครัว มองเช่นไรก็ใกล้ชิดด้วยไม่ลง

ทว่ามาถึงตอนนี้ ท่าทีชิงชังเย็นชาของฉยงเหนียงในช่วงหลายวันก่อนล้วนหายไปจนสิ้นแล้ว ดวงหน้าที่ขาวนวลดุจทาแป้งนั้นกำลังอมยิ้มมองเขาอยู่ คิ้วตาของนางมีเค้าของหลิวซื่อในวัยสาวอยู่หลายส่วนทีเดียว…ชุยฉวนเป่าเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าคุณหนูที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือน้องสาวร่วมอุทรของเขาจริงๆ

ยามที่เขาเดินหน้าต่อ ฝีเท้าจึงผ่อนช้าลงหลายส่วนอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อสองพี่น้องเดินเข้าประตูบ้านมาพร้อมกัน หลิวซื่อกำลังนึ่งขนมดอกซิ่งอยู่หน้าเตา พอมองผ่านไอน้ำที่พวยพุ่งเห็นบุตรสาวกลับมาแล้ว นางก็รีบตะโกนเรียก “ขนมเพิ่งจะนึ่งเสร็จเลย ฉยงเหนียงมากินก่อน ฉวนเป่า เจ้าเติมโอ่งน้ำเต็มแล้วก็มากินได้เลย!”

ฉยงเหนียงได้ยินมารดาเรียกหาก็ยกอ่างไม้ใส่น้ำมาด้วย

หลิวซื่อที่ถูกเคี่ยวกรำอยู่หลายวันพอจะจับนิสัยความเคยชินของบุตรสาวผู้บอบบางที่เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้แล้ว บรรดาคุณหนูในจวนขุนนางคงจะมีกฎระเบียบเช่นนี้กันหมด ก่อนกินอาหารต้องใช้น้ำอุ่นล้างมืออยู่เป็นนาน น้ำเย็นไปเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้!

นางจึงรีบหยิบกระบวยน้ำเต้าไปตักน้ำร้อนในหม้อเหล็กใบใหญ่ออกมาสองกระบวย ทั้งคว้าดอกซิ่งแห้งที่เหลือจากการนึ่งขนมติดมือมาหนึ่งขยุ้มแล้วโปรยลงอ่างไม้ใบนั้นไปด้วย ปากก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาใจนิดๆ “เมื่อก่อนเจ้ารังเกียจว่าน้ำในหม้อเหล็กมีกลิ่นตุๆ แต่เช้าตรู่เช่นนี้ใช้หม้อดินเผาใบเล็กแยกต้มน้ำให้ไม่ทันจริงๆ แม่ใช้กลีบดอกซิ่งกลบกลิ่นให้แล้ว เจ้าก็กล้อมแกล้มล้างมือสักหน่อยดีหรือไม่”

ฉยงเหนียงถูกท่าทีระวังรอบคอบของหลิวซื่อกระตุ้นให้ขอบตาร้อนผะผ่าว ที่แท้ก่อนหน้านี้ตนทำตัวร้ายกาจเช่นไรกันแน่ ถึงทำให้หญิงเก่งที่เฉียบขาดเสมอมาผู้นี้ระมัดระวังกับตนถึงเพียงนี้ได้

น่าขันที่ตนยังจะมีหน้ามาเรียกร้องกับมารดาบังเกิดเกล้าเยี่ยงนี้ ทั้งที่ตนเองในชาติก่อนสู้ปรนนิบัติอย่างรอบคอบในทุกรายละเอียดทั้งต่อหลูซื่อมารดาสามีที่เข้มงวดไร้หัวใจ…และต่อเหยาซื่อมารดาเลี้ยงผู้นั้น โดยที่ไม่เคยแสดงความกตัญญูต่อหลิวซื่อมารดาแท้ๆ เลยสักวัน

และที่ยิ่งน่าเสียดายคือตนอุตส่าห์รับใช้อย่างระมัดระวังถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่ได้รับความสงสารเห็นใจจากหลูซื่อมารดาสามีและเหยาซื่อมารดาเลี้ยงแม้สักนิด สุดท้ายสองสกุลยังคงเห็นพ้องที่จะยกชุยผิงเอ๋อร์เข้าจวนในฐานะภรรยาอีกคนของซั่งอวิ๋นเทียน โดยไม่แม้แต่จะสอบถามตนก่อนสักคำ

ยามนี้มาคิดดูแล้ว ตนในตอนนั้นช่างน่าขบขันและน่าสมเพชจริงๆ

“ท่านแม่ ต่อไปท่านไม่ต้องโปรยกลีบดอกไม้หรอก เดิมนี่ก็เป็นน้ำที่ใช้นึ่งขนม มีกลิ่นหอมหวานของดอกซิ่งในตัวอยู่แล้ว อีกอย่างน้ำต้มที่ได้จากการนึ่งแป้งข้าวเหนียวมีสรรพคุณบำรุงผิวดีนักเชียว หลายวันมานี้มือลูกขาวเนียนขึ้นไม่น้อยเลย น้ำนี่ลูกตักมาให้ท่านพ่อกับพี่ชายล้างมือ ท่านแม่โปรยกลีบดอกไม้ลงไปด้วย หากพวกเขาบ่นว่าหอมเกินไปจะทำเช่นไรเล่า”

หลิวซื่อฟังถ้อยคำอันอบอุ่นนุ่มนวลของฉยงเหนียงจบก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน รอจนเห็นบุตรสาวส่งยิ้มหวานให้ตน หลิวซื่อถึงได้ยิ้มแฉ่งจนหว่างคิ้วเกิดริ้วย่นอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็ไม่บอกแม่แต่แรก หากรู้ว่าน้ำนี่ให้พวกเขาใช้ อย่าว่าแต่โปรยกลีบดอกไม้เลย ต่อให้สาดทรายลงไปด้วยหนึ่งกำมือก็ขัดมือหยาบๆ ของพวกเขาให้เนียนขึ้นไม่ได้หรอก!”

ชุยจงที่เพิ่งผ่าฟืนเสร็จเห็นมือเรียวบางทั้งคู่ของฉยงเหนียงยกอ่างไม้ใบใหญ่เทอะทะเดินมาหาเขาอย่างระมัดระวัง เขาก็รีบยื่นมือไปรับมาวางไว้ข้างๆ บนโต๊ะตัวใหญ่ที่ใช้ผึ่งขนม

ฉยงเหนียงดึงผ้าที่พาดอยู่บนบ่าของตนลงมา รอจนชุยจงล้างมือเสร็จก็ยื่นผ้าให้บิดาเช็ดมือ เดิมนางคิดจะเทน้ำทิ้งแล้วตักใหม่อีกอ่างหนึ่งไปให้พี่ชายล้าง แต่พอนึกถึงเมื่อวานที่หลิวซื่อตวาดด่าชุยฉวนเป่าเรื่องใช้น้ำร้อนเพิ่มหนึ่งอ่างว่าล้างผลาญ นางก็เข้าใจแล้วว่าฟืนกับน้ำร้อนสำหรับบ้านคนธรรมดานั้นเป็นสิ่งที่ควรประหยัด

ดังนั้นนางจึงข่มใจรอจนบิดากับพี่ชายล้างมือเสร็จ แล้วเตรียมจะกล้อมแกล้มล้างมือตนด้วยน้ำอ่างนั้น

พอดีหลิวซื่อเห็นเข้าจึงรีบบอกว่า “แม่จะตักน้ำให้เจ้าใหม่” นางพูดพลางเทน้ำทิ้งแล้วตักอีกหนึ่งอ่างมาโปรยกลีบดอกไม้ลงไปเล็กน้อย

มือคู่นั้นของบุตรสาวบอบบางขาวละเอียดเสียจนผู้ได้เห็นรู้สึกรักถนอม สมควรที่จะบำรุงให้ดีๆ ยังดีในบ้านมีสามีกับบุตรชายที่กำยำแข็งแรง งานหนักล้วนให้พวกเขาเหล่าบุรุษรับหน้าที่ได้ บุตรสาวผู้นี้จะต้องพักฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปรับตัวกับชีวิตในครอบครัวเล็กที่อัตคัดนี้ไปทีละน้อย หาไม่ด้วยร่างกายที่เปราะบางเพียงนั้นเกิดล้มป่วยเช่นหลายวันก่อนอีก นางที่เป็นแม่คงจะปวดใจแย่

เพียงแต่รอจนฉยงเหนียงมานั่งกินอาหาร กลับมีเพียงชุยฉวนเป่ามานั่งกินกับนาง สามีภรรยาสกุลชุยไม่มีเวลาจะสนใจเรื่องกินล้วนออกไปตั้งแผงขายอาหารเช้ากันแล้ว

ที่ชุยฉวนเป่ากินอยู่คือเศษขนมดอกซิ่งซึ่งเหลือจากการตัดแต่งขอบมุม ขนมดอกซิ่งของสกุลชุยมีไส้ด้วย ทว่าตรงขอบมุมที่ตัดทิ้งจะไม่มีไส้

ผิดกับในชามของฉยงเหนียงที่เป็นขนมก้อนใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่าซึ่งหลิวซื่อตั้งใจเก็บไว้ให้ เมื่อนางกัดไปหนึ่งคำพร้อมไส้ที่สอดแทรกอยู่ ไส้น้ำผึ้งซึ่งสืบทอดตำรับจากบรรพบุรุษก็ให้รสหอมหวานในทันที และทิ้งกลิ่นหอมอวลไว้ทั่วปาก

หลังจากกัดไปหนึ่งคำเล็กแล้วมองดูในชามของพี่ชาย ฉยงเหนียงก็หมุนตัวเข้าห้องครัวไปหยิบมีดออกมาตัดขนมของตนเป็นสองชิ้น แล้วแบ่งชิ้นที่ใหญ่กว่าให้พี่ชายไป

ทว่าชุยฉวนเป่าไม่เอา บอกเพียงว่าปกติตนได้กินเสมอ กินมาจนเอียนแล้ว ให้ฉยงเหนียงกินให้หมดชิ้น แต่นางรู้ว่าเขากำลังพูดปด วัตถุดิบสำหรับนึ่งขนมล้วนมีต้นทุน สามีภรรยาสกุลชุยต้องคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงไม่อาจตัดใจกินกระทั่งเศษตรงขอบมุม!

พี่ชายกับน้องสาวต่างยกขนมให้กันอยู่สักพัก ในที่สุดขนมชิ้นนั้นก็ถูกฉยงเหนียงบังคับยัดใส่ปากของชุยฉวนเป่า เด็กหนุ่มที่แก้มป่องจึงได้แต่ขึงตาใส่ฉยงเหนียงที่ยิ้มหน้าบาน

อย่างไรเสียทั้งสองก็อายุยังน้อย ระหว่างผลักดันยกขนมให้กัน คู่พี่น้องซึ่งเดิมทีมีช่องว่างก็สนิทสนมขึ้นไม่น้อยเลย

หลังกินอาหารเสร็จ ชุยฉวนเป่าก็ให้ฉยงเหนียงพักผ่อน จากนั้นนำชามตะเกียบของทั้งสองคนไปล้างจนสะอาด รอจนหมุนตัวกลับมาเขาก็เห็นฉยงเหนียงยืนอยู่บนม้านั่งไม้ กำลังรื้อหาอะไรสักอย่างในหีบเสื้อผ้า

เดิมตอนที่ฉยงเหนียงออกจากจวนสกุลหลิ่วมาวันนั้น อาภรณ์ที่สวมอยู่บนร่างคือชุดกระโปรงแพรไหม ปิ่นปักผมบนศีรษะแม้จะไม่มาก ทว่าแต่ละชิ้นก็เป็นงานฝีมืออันประณีตจากร้านเลื่องชื่อในเมืองหลวง หลังจากกลับมาอยู่ที่สกุลชุย เครื่องแต่งกายอันหรูหราเหล่านี้ก็กลายเป็นความคะนึงอย่างสุดท้ายที่มีต่อชีวิตในวันวาน ตอนแรกนางจึงสวมใส่ติดกายอยู่ทุกวัน

ทว่าไม่กี่วันนี้นับแต่ฉยงเหนียงฟื้นไข้เกิดใหม่ นางก็ถอดออกทั้งหมดแล้วให้หลิวซื่อเก็บใส่หีบเสื้อผ้า หันมาทำตัวให้เข้ากับคนที่นี่ สวมใส่ชุดกระโปรงที่ชุยผิงเอ๋อร์ไม่ได้นำไป

อันที่จริงเสื้อผ้าเหล่านี้แม้ผ่านการซักจนเก่าไปบ้าง แต่ก็ยังไม่มีรอยปะชุน ฝีเข็มก็ล้วนถี่แน่น ปกเสื้อยิ่งได้ชุยผิงเอ๋อร์ที่รักสวยรักงามปักลวดลายไว้ ฉยงเหนียงสวมแล้วพอดีตัวทีเดียว

หลายวันนี้ฉยงเหนียงได้ยินตอนที่บิดามารดาคิดถึงชุยผิงเอ๋อร์แล้วสนทนากันอย่างสะทกสะท้อนใจ พวกเขาต่างก็งุนงงสงสัยว่าชุดหรูฉวิน* ตัวที่ชุยผิงเอ๋อร์สวมไปจวนสกุลหลิ่วในคราแรกนั้นเป็นชุดเศษผ้าที่ไปปะชุนมาจากที่ใดกันแน่ ใช้เศษผ้าปะซ้อนเศษผ้าจนดูยากไร้ถึงเพียงนั้น ทำเอาเหยาซื่อพูดแดกดันตรงๆ ว่าสามีภรรยาสกุลชุยใจร้ายใจดำกับบุตรสาว

อาจเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ ภายหลังฉยงเหนียงกลับมาที่สกุลชุย ทางสกุลหลิ่วจึงส่งเสื้อผ้าตามมาให้อีกไม่น้อย ถือว่าเหยาซื่อให้การดูแลฉยงเหนียงในฐานะแม่ลูกเป็นครั้งสุดท้าย

ทว่าตอนที่ส่งเสื้อผ้ามา ฉยงเหนียงในเวลานั้นร่ำไห้ตะโกนใส่หญิงรับใช้อาวุโสที่มาส่งเสื้อผ้าว่าอยากกลับไปพบเหยาซื่อ นางร่ำไห้อย่างหนักจนทำให้หญิงรับใช้อาวุโสแทบไม่อาจปลีกตัวกลับไป นับแต่นั้นจึงไม่เห็นคนสกุลหลิ่วส่งเสื้อผ้ามาอีกเลย

ฉยงเหนียงในตอนนั้นเห็นสกุลหลิ่วชักช้าไม่ส่งคนมารับนางเสียที จึงประท้วงด้วยการโยนเสื้อผ้าที่ส่งมาหลายห่อนั้นเข้าเตาไฟจนไหม้หมดในคราวเดียว

แน่นอนว่าเรื่องนี้ฉยงเหนียงคนปัจจุบันได้ยินหลิวซื่อเอ่ยถึงในภายหลัง หลิวซื่อกลัวว่านางจะคับอกคับใจจึงปลอบโยนด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล บอกว่ารอตอนฉลองวันขึ้นปีใหม่จะซื้อชุดสวยให้นางใส่ รับรองไม่ด้อยกว่าที่สกุลหลิ่วส่งมาเด็ดขาด

เมื่อฉยงเหนียงได้ยินเรื่องล้างผลาญที่ตนเคยกระทำก็โกรธฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง มิใช่นางเสียดายเสื้อผ้าเหล่านั้น ทว่าโกรธตนเองในวัยสิบห้าคนเก่าที่ไม่รู้จักคิดเพียงนี้ หากตอนนั้นพับเสื้อผ้าใส่ห่อไปจำนำที่โรงรับจำนำ มิเท่ากับช่วยค่าใช้จ่ายทางบ้านได้แล้วหรือ

ชาติก่อนในตอนแรกที่นางดูแลปากท้องของสกุลซั่ง นางยังมีทุนรอนจากสินเจ้าสาวที่สกุลหลิ่วให้มา ต่างจากปัจจุบันที่กลับมาอยู่สกุลชุย ดังคำกล่าวว่า…ทุกเรื่องยากที่การเริ่มต้น นางย่อมต้องคิดคำนวณให้ถี่ถ้วน

แม้ตอนนี้สกุลชุยจะยากจน แต่ก็ยังไม่นับว่าตกอับ เพียงแค่ทุกมื้อไม่เห็นธัญพืชเนื้อดี ส่วนเนื้อหมูครึ่งจิน ที่ไปซื้อเป็นครั้งคราวก็ล้วนเลือกแต่ที่มีมันหนาเตอะ หลังจากซื้อกลับบ้านมาเคี่ยวเป็นน้ำมันหมูแล้ว ก็จะนำกากหมูที่ทอดจนกรอบมาผัดกับต้นกระเทียมให้ฉยงเหนียงกินเป็นกับข้าว

ดูจากท่าทางของชุยฉวนเป่ายามที่มองชามข้าวของนางแล้วกลืนน้ำลาย ฉยงเหนียงก็รู้ได้ว่ากับข้าวชนิดนี้ถือเป็นของฟุ่มเฟือยในบ้านสกุลชุย ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือต้องทำให้สกุลชุยหาเงินซื้อเนื้อสัตว์ได้

แน่นอนว่าต่อไปยังต้องเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง หาไม่รอถึงยามที่บิดาป่วยหนัก สกุลชุยก็จะต้องเผชิญความทุกข์ยากต่างๆ ซ้ำรอยชาติก่อนอีก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉยงเหนียงจึงเลือกปิ่นกลัดเคลือบทองคำอันหนึ่งจากในหีบเสื้อผ้าแล้วหมุนตัวมาถามชุยฉวนเป่า “พี่ชาย โรงรับจำนำแถวนี้อยู่ที่ใดท่านรู้หรือไม่”

เดิมทีชุยฉวนเป่านึกว่าน้องสาวอาการเก่ากำเริบ คิดจะหยิบชุดหรูหราออกมาแต่งตัวอีกแล้ว เขาไม่ได้คิดเลยว่านางจะเอ่ยเรื่องไปโรงรับจำนำ จึงตะลึงงันไปทันที

ฉยงเหนียงเห็นเขาไม่ขานตอบก็ยืนค้างอยู่บนม้านั่งไม้พลางชี้แจง “ข้าอยากจะซื้อของสักหน่อย แต่ไม่สะดวกใจจะขอเงินจากท่านแม่ ไว้ข้าจำนำปิ่นนี้แล้วจะซื้อลูกอมให้พี่กินดีหรือไม่”

ชุยฉวนเป่ามองดูดวงหน้าจิ้มลิ้มที่ขาวผุดผาดดุจหยกสลักของนาง ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเป็นแม่นางน้อย แต่กลับพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ใช้หลอกล่อเด็ก เขาจึงทั้งฉุนทั้งขันยื่นมือไปยึดจับร่างที่ยืนโคลงเคลงของนางให้มั่นคง ทางหนึ่งพยุงแขนน้องสาวไว้ อีกทางหนึ่งก็เรียกให้นางลงมาจากม้านั่งไม้ “เจ้าจะซื้ออะไรเล่า พี่ยังมีเงินเก็บเป็นเหรียญอีแปะจำนวนหนึ่ง ปิ่นนั่นเจ้าเก็บไว้เถอะ”

ไม่ทันจบคำเขาก็ค้นถุงผ้ากลางเก่ากลางใหม่ใบเล็กๆ ออกมาจากบนเตียงของเขา ก่อนเทเหรียญอีแปะข้างในออกมาห้าเหรียญ

แม้ชาติก่อนอยู่ที่สกุลหลิ่วฉยงเหนียงก็มีพี่ชายหนึ่งคน ทว่าหลิ่วเจียงจวีหลงใหลในวิชายุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ทั้งคบหาสหายในยุทธภพจำนวนหนึ่งจนวันทั้งวันไม่เห็นร่องรอย ครั้นต่อมาเขาไปเป็นทหาร ความสัมพันธ์กับฉยงเหนียงจึงไม่นับว่าแน่นแฟ้น

ตอนนี้แม้ชุยฉวนเป่ายังมักปั้นหน้าขรึมกับนาง แต่ก็มีท่าทีของผู้เป็นพี่ชายไม่น้อย เขาถึงกับใจดีเทเงินให้นางหมดหน้าตักเช่นนี้ ทำให้หัวใจนางร้อนผะผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมเลยทีเดียว

ชาติก่อนแม้ได้อยู่ในตระกูลที่เรืองอำนาจ ทว่าพออยู่นานวันเข้าหัวใจกลับเย็นเฉียบไปทั้งดวง ไม่เหลือน้ำใจคนอยู่แม้แต่น้อย ต่อให้มีอาภรณ์หรูหราอาหารเลิศรสมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบความจริงใจกับเหรียญอีแปะห้าเหรียญที่วางเรียงอยู่ข้างเตียงในตอนนี้ได้

นางเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะรับ “เงินนี้ข้าจะนำไปใช้ก่อน วันหน้าจะคืนให้พี่เป็นเท่าตัวแน่นอน”

ชุยฉวนเป่าถูกท่าทางจริงจังของนางเย้าให้คลี่ยิ้มอีกครั้ง เขาตอบนางเพียงว่า “ใช้แล้วก็ใช้ไปสิ ต้องการให้เจ้ามาใช้คืนเสียเมื่อไร” จากนั้นเขาก็พานางออกไปข้างนอกด้วยกัน

เดิมทีเขานึกว่านางจะซื้อของกระจุกกระจิกเช่นดอกไม้แซมผมหรือลูกอม คาดไม่ถึงว่านางจะตรงไปยังร้านภาพอักษรที่มุมถนน

เจ้าของร้านเพิ่งจะถอดบานประตูหน้าร้านเสร็จ ก็เห็นแม่นางผิวขาวเนียนผู้หนึ่งตรงเข้ามาเอ่ยถามว่า “ในร้านมีพู่กันก้ามปูขนาดเล็กที่สุดหรือไม่”

พู่กันก้ามปูนั้นใช้สำหรับงานวาดที่เน้นความละเอียด เช่นใช้ลงน้ำหมึกในจุดที่ประณีตยิ่งยวดอย่างเส้นผมของสตรีชั้นสูง แม่นางน้อยผู้นี้แม้งดงาม ทว่าดูจากชุดผ้าสีน้ำเงินบนร่างแล้วกลับไม่คล้ายทายาทของผู้รู้ศิลปะที่จะได้เรียนวาดภาพ เมื่อถามชัดเจนแล้วว่านางจะเป็นผู้ใช้ เจ้าของร้านก็เอ่ยเย้าทันที “พู่กันนี้เรียวเล็กเกินไป เจ้าถือไม่อยู่มือหรอก คงไม่ใช่ซื้อผิดกระมัง”

ฉยงเหนียงปรายตามองเขาเรียบๆ ปราดหนึ่งก่อนเอ่ยเสริมอีกประโยค “พู่กันก้ามปูของอำเภอเหวยเป็นของชั้นเลิศ ทว่าราคาสูงนัก เถ้าแก่หยิบพู่กันซานลี่ของอำเภอเม่ามาก็พอ” นางพูดพลางควักเหรียญอีแปะสี่เหรียญจากในกระเป๋า

วาจาที่เอ่ยนี้มิใช่แม่นางน้อยผู้ไร้เดียงสาความรู้ตื้นเขินจะสามารถพูดออกจากปากได้เด็ดขาด เจ้าของร้านอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน

นี่เป็นผู้ชำนาญชัดๆ! พู่กันก้ามปูของอำเภอเหวยขึ้นชื่อว่าลงพู่กันได้ละเอียดลออ มีราคาถึงห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งด้าม หากมิใช่ผู้รักศิลปะจากตระกูลลือนามก็ไม่ซื้อใช้หรอก ต่อให้แม่นางผู้นี้ซื้อไหว ร้านภาพอักษรในตำบลเล็กๆ อย่างร้านของเขาก็ไม่มีทางจะนำสินค้าล้ำค่าเพียงนี้มาขาย!

ความรู้สึกดูแคลนในใจเจ้าของร้านลดฮวบทันที จึงขายพู่กันซานลี่หนึ่งด้ามให้ฉยงเหนียงในราคาสี่เหรียญอีแปะโดยไม่ได้ต่อรองกับนางเลย

ฉยงเหนียงลังเลเล็กน้อย ก่อนถามเจ้าของร้านอย่างกระดากปากว่าจะขายผงหงฉวี่* หนึ่งก้อนเล็กให้นางในราคาหนึ่งเหรียญอีแปะได้หรือไม่

เห็นภาพที่นางขบริมฝีปากแน่นพร้อมดวงหน้างามที่แดงก่ำ เจ้าของร้านก็นึกสงสาร ผงหงฉวี่นั้นโดยมากครอบครัวชาวบ้านทั่วไปมักซื้อไปแต้มลวดลายบนหมั่นโถวหรือชุยปิ่ง** ที่ทำในช่วงเทศกาลไหว้เจ้า ราคาเพียงไม่เท่าไร เจ้าของร้านจึงใช้กระดาษฟางข้าวมาห่อหนึ่งก้อนเล็กให้ฉยงเหนียงโดยไม่คิดเงิน

เดิมทีชุยฉวนเป่านึกว่าน้องสาวอยากซื้อของกินเล่น คาดไม่ถึงว่านางจะซื้อพู่กันเรียวเล็กที่มีขนอยู่แค่ไม่กี่เส้นมาหนึ่งด้าม เด็กหนุ่มพลันนึกเสียดายเงินเก็บส่วนตัวที่ตนสู้เก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบาก รู้สึกเพียงว่าน้องสาวที่ออกมาจากตระกูลชั้นสูงนี้ใช้จ่ายส่งเดช ซื้อแต่ข้าวของที่ไร้ประโยชน์

ทว่าเขายังไม่นับว่าสนิทกับนางมากนัก ในเมื่อให้เหรียญอีแปะออกไปแล้ว ย่อมไม่เหมาะจะเอ่ยปากตำหนินาง เขาจึงได้แต่เดินตามหลังนางไปอย่างคับอกคับใจ

ฉยงเหนียงย่างเท้าด้วยฝีก้าวอันแผ่วพลิ้ว ยกชายกระโปรงผ้าเดินข้ามสะพานตัดผ่านตรอกมาจนถึงที่ตั้งแผงของสามีภรรยาสกุลชุย

เมื่อคืนนางได้ยินบทสนทนาสัพเพเหระของบิดามารดา ความว่าหลายวันนี้มีผู้ที่จะเข้าสอบขุนนางในเมืองหลวงเดินทางมาที่ตำบลฝูหรงจำนวนมาก ด้วยที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง คนเหล่านั้นจึงมาพำนักที่นี่กันชั่วคราว

สองสามีภรรยายินดีเป็นล้นพ้น เดิมนึกว่าคลื่นมนุษย์ที่พลันมาเยือนนี้จะทำให้การค้าดีขึ้นบ้าง ไม่คาดคิดว่าบัณฑิตเหล่านี้หากมีเงินทองก็มักตีสนิทผู้มีชื่อเสียง ชอบไปกินอาหารสังสรรค์กันในหอน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ ส่วนพวกที่ในมือขาดเงินยิ่งชอบเคี่ยวโจ๊กเปล่ากันในที่พักหรือซื้อชุยปิ่งมาเติมท้องให้อิ่ม

เมื่อเป็นเช่นนี้ แผงขนมสกุลชุยจึงกลายเป็นอยู่ระหว่างกลาง ทั้งไม่บนไม่ล่าง ทั้งไม่สามัญไม่สูงส่ง พวกเขาอุตส่าห์ทำขนมโก๋ถั่วเขียวกับขนมโก๋ชนิดอื่นๆ มาจำนวนมาก แต่กลับขายแทบไม่ออก

ยามนี้แม้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทว่าต่อให้นำขนมไปแขวนเก็บไว้ในบ่อก็ยืดอายุได้ไม่กี่วัน ซึ่งก็เท่ากับพวกเขาจะต้องขาดทุนค่าวัตถุดิบก้อนโต คำว่า ‘กลุ้ม’ คำเดียวจะเพียงพอได้อย่างไรเล่า

เมื่อวานฉยงเหนียงได้ยินคำสนทนาของพวกเขาแล้วก็ครุ่นคิดมาทั้งคืน

ชาติก่อนตอนที่นางออกเรือน สินเจ้าสาวของสกุลหลิ่วแม้ดูมีจำนวนหลายหาบ แต่แท้จริงเป็นวิธีบรรจุหีบให้ดูใหญ่โตเท่านั้น นับโดยละเอียดแล้วไม่มากมายแต่อย่างใด นางไม่อยากนั่งกินนอนกินสินเจ้าสาวเพียงเท่านั้นจนหมดตัว จึงเปิดร้านขายใบชาและภาพอักษรร้านหนึ่งในเมืองหลวง ทั้งฝึกฝนจนมีฝีมือวาดภาพและเขียนอักษรเป็นเลิศ

เดิมทีนึกว่าเกิดใหม่ชาตินี้กลับสู่ครอบครัวพ่อค้าแผงลอยแล้ว ฝีมือเชิงอักษรศิลป์เหล่านั้นจะไร้ประโยชน์เสียอีก ทว่าพอประกายความคิดวาบผ่าน แผนการหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจนาง ดังนั้นนางจึงรุดไปซื้อพู่กันที่เรียวเล็กกับผงหงฉวี่มาแต่เช้า เตรียมลองดูว่าวิธีที่ตนคิดจะได้ผลหรือไม่

ชาวตำบลฝูหรงไร้น้ำชาไม่สุขใจ แม้กระทั่งยามเช้าเพิ่งตื่นนอนก็ยังต้องดื่มชาให้กระปรี้กระเปร่า

หลิวซื่อกำลังต้มชาบนเตาที่เรียบง่ายพลางร้องเรียกคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่คุ้นเคยกัน คนต่างถิ่นตาไม่ถึง ผิดกับคนในตำบลที่ล้วนชื่นชอบรสหวานแท้ๆ ของขนมต้นตำรับสกุลชุย ซึ่งกินแกล้มน้ำชาได้ดีที่สุด ดังนั้นแผงเล็กๆ ขนาดสามโต๊ะจึงมีลูกค้านั่งอยู่ครบทุกโต๊ะ

ตอนนี้เองหลิวซื่อเงยหน้าเห็นบุตรสาวกับบุตรชายเดินมาด้วยกัน จึงรีบเอ่ยถาม “พวกเจ้ามาทำอันใดกัน”

ฉยงเหนียงยืดคอดูขนมหลากชนิดเต็มสามถาดใหญ่บนชั้นวางที่อยู่ข้างแผง ก่อนคลี่ยิ้มตอบ “ลูกอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงมาดูว่าจะช่วยงานท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่ ลูกเคยเห็นพ่อค้าแม่ขายในเมืองหลวงชอบวาดลวดลายบนขนมเพื่อเพิ่มความน่ากิน ท่านแม่ ลูกเคยเรียนวาดภาพอยู่บ้าง จึงอยากขอวาดลวดลายบนขนมเหล่านี้ ดูว่าจะดึงดูดลูกค้ามาชิมได้หรือไม่”

รอผ่านไปอีกไม่กี่วันขนมเหล่านี้ก็เสียรสชาติแล้ว สามีภรรยาสกุลชุยทำการค้ายึดถือความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง ต่อให้ขนมยังกินได้อยู่ก็จะไม่ขายให้เสียชื่อเสียงประจำตระกูลของตนเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากบุตรสาวอยู่ว่างอยากจะวาดภาพก็ตามใจนางแล้วกัน นางจะได้ไม่ฟุ้งซ่านกลัดกลุ้มอยู่ทั้งวัน ดังนั้นหลิวซื่อจึงตอบรับในทันที

เพียงแต่รูปโฉมของฉยงเหนียงดึงดูดสายตาเกินไป เดิมทีเรื่องที่สกุลชุยแลกคืนบุตรสาวก็โจษจันจนคนรู้กันทั้งถนนแล้ว นางออกมาเผยโฉมเช่นนี้จะไม่ล่อตาล่อใจพวกเจ้าชู้เสเพลหรือ หลิวซื่อจึงรีบเรียกชุยฉวนเป่ายกขนมโก๋ถั่วเขียวหนึ่งถาดไม้ใหญ่กลับบ้านไปให้ฉยงเหนียงวาดเล่น

 

เมื่อสองพี่น้องกลับมาถึงบ้าน ฉยงเหนียงก็หยิบจานก้นแบนใบเล็กๆ มาละลายผงหงฉวี่ก้อนนั้น เมื่อผสมน้ำจนได้สีแก่อ่อนตามที่ต้องการแล้ว นางก็ม้วนแขนเสื้อจับพู่กันเริ่มวาด

ชุยฉวนเป่าไม่สนใจเรื่องอักษรภาพวาดเหล่านี้ จึงออกไปหาพวกพ้องที่ถนนด้านหน้าเพื่อจะไปตัดฟืนบนเขานอกตำบลด้วยกัน

รอจนเขาตัดฟืนกลับมามัดใหญ่ก็เป็นตอนเที่ยงวันแล้ว เขาแวะล้างคราบเหงื่อไคลเต็มใบหน้าที่ริมแม่น้ำด้านนอกก่อนเข้าบ้าน

หลังจากเดินเข้าลานเรือนผ่านไปใต้ร่มต้นหม่อนแล้วเหลือบเห็นขนมถาดนั้นโดยบังเอิญ เขาก็พลันตกตะลึงจนลืมขยับฝีเท้าเลยทีเดียว

บนขนมนั้นล้วนเป็นภาพบ้านเรือนบนถนนย่านการค้า ซึ่งวาดได้ละเอียดประณีตจนผู้พบเห็นต้องตาค้าง

ฉยงเหนียงเพิ่งออกมาจากห้องชั้นในก็เห็นพี่ชายยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เด็กสาวจึงเอ่ยปนยิ้ม “ข้าเสียเวลาวาดตลอดช่วงสายจนแขนหมดแรงแล้ว กลัวว่าระหว่างส่งกลับไปที่แผงจะทำถาดไม้พลิกคว่ำ จึงต้องขอรบกวนพี่ชายช่วยส่งขนมกลับไปอีกครั้ง”

ชุยฉวนเป่าตะลึงมองขนมอีกพักใหญ่จึงค่อยได้สติคืนมา จากนั้นมองพิจารณาน้องสาวแท้ๆ ของตนอย่างละเอียด…ภาพวาดแม้จะประณีต แต่ขนมก็ยังคงเป็นขนม จะขายออกได้แน่หรือ ชุยฉวนเป่านึกฉงนอยู่ในใจ

ทว่าคิดอีกที ขนมนี่ก็แค่ให้น้องสาวได้มีความสุขกับการวาด ถึงขายไม่ออกจะเป็นไรไปเล่า เขาจึงรีบม้วนแขนเสื้อแล้วยกถาดไม้นำผลงานของนางไปอวดบิดามารดาโดยไม่รอช้า

ชุยฉวนเป่าออกไปได้ไม่นาน ฉยงเหนียงก็ไปพักงีบสักครู่หนึ่ง ไม่รู้หลับไปนานเท่าใดจึงแว่วเสียงเกือกม้าอยู่ไม่ไกลจากประตูลานเรือน จากนั้นครู่เดียวก็มีคนเคาะประตูดังก๊อกๆๆ

ฉยงเหนียงลุกขึ้นจัดแต่งผม ค่อยออกจากตัวบ้าน เดินผ่านลานเรือนไปส่องร่องประตูดูเบื้องนอก นางพลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูออกในทันที

ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสายตาคือสตรีวัยกำดัด อายุราวสิบสี่สิบห้าปีเช่นกัน เรือนผมของอีกฝ่ายมุ่นเฉียง สวมอาภรณ์หรูหรา ตัวเสื้อสีขาวแขนทิ้งชาย ช่วงเอวที่สอบเข้านิดๆ กับส่วนชายที่บานออกล้วนแตกต่างจากชุดกระโปรงที่มีขายในตอนนี้

ทว่าฉยงเหนียงเห็นแล้วคุ้นตายิ่ง เพราะนี่คือรูปแบบชุดที่ชาติก่อนนางเป็นผู้วาดขึ้นเองต่อหน้าธารกำนัลในงานเลี้ยงหนหนึ่ง ทั้งยังเชิญช่างมาตัดเย็บตามแบบที่นางคิดค้นนี้ด้วย เป็นเหตุให้เหล่าสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงพากันแต่งตัวตามนาง

หากไม่มองหน้าผู้สวมใส่ ฉยงเหนียงก็เผลอนึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือตนเองในชาติก่อน…เครื่องแต่งกายทั้งร่าง ตลอดจนเรือนผม ล้วนไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนตัวนางในอดีต!

นึกมาถึงตรงนี้ ความคิดพิกลอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นโดยไร้คำอธิบาย สายตาฉยงเหนียงเพ่งมองใบหน้าที่เคยรู้จักมักคุ้นกันดีนั้นแน่วนิ่งพลางเอ่ยถามเสียงเย็น “ชุยผิงเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: