บทที่ 3
ฉางหมัวมัวเพียงนึกว่าเสิ่นหยวนเสียดายข้าวของมากมายที่นำติดมาจะถูกโจรสลัดปล้นไปจึงเอ่ยเตือนว่า “นี่เป็นเวลาอะไรแล้ว มีของสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตอีกหรือเจ้าคะ คุณหนู ท่านฟังคำเตือนของบ่าวสักคำ พวกเรารีบลงจากเรือเถิด แล้วส่งคนไปแจ้งทางการ รอทหารมาถึง โจรสลัดเหล่านี้ย่อมจะถูกจับทั้งหมด”
เสิ่นหยวนส่ายหน้า “โจรสลัดอุกอาจเพียงนี้ เกรงว่าทหารที่นี่คงกำราบไม่ไหว อีกทั้งตอนนี้ด้านนอกก็มีแต่พวกโจร พวกเราออกไปอย่างไรก็ต้องพบพวกมันเข้าสักคน เกรงว่ายังไม่ทันลงจากเรือ พวกเราคงถูกพวกมันจับตัวได้เสียก่อน นั่นจะเป็นอันตรายกว่า”
ซ้ำเรื่องที่สำคัญที่สุดคือในใจนางเชื่อว่าหลี่ซิวเหยาสามารถจัดการโจรสลัดเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงสั่งชิงเหอและชิงจู๋ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูที่สุดอย่างใจเย็น “ปิดประตูเสีย ย้ายโต๊ะกับเก้าอี้ไปยันประตูไว้ พวกเราอยู่ในห้องก่อน รออีกครู่หนึ่ง พอสถานการณ์ควบคุมได้แล้ว พวกเราค่อยออกไป”
ปีนี้ชิงเหอกับชิงจู๋อายุเพิ่งจะสิบสาม พวกนางถูกเหตุการณ์นองเลือดที่ด้านนอกทำให้ตกใจจนใบหน้าถอดสีนานแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำของเสิ่นหยวน พวกนางสองคนก็รีบปิดประตู ทั้งยังย้ายโต๊ะและเก้าอี้อีกสองตัวมายันประตูไว้อย่างแน่นหนาด้วย
เสียงอาวุธปะทะกัน เสียงฝีเท้าสับสน และเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านนอกไม่ขาด ทว่าเพียงไม่นานเสียงทั้งปวงนี้ก็หยุดลง
ชิงเหอมีนิสัยใจร้อน อดรนทนไม่ไหว เอ่ยถามเสิ่นหยวนเสียงสั่น “คุณหนู ตอนนี้พวกเราออกไปได้หรือยังเจ้าคะ”
เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกไป แล้วนั่งคิดว่าด้านนอกมีสภาพเช่นไร จนตนเองแทบจะทำตนเองผวาตาย มิสู้ออกไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้เลยดีกว่า
เสิ่นหยวนไม่ได้ตอบคำ แต่เดินไปข้างหน้าต่าง มองไปด้านนอกด้วยความระมัดระวัง
เห็นบนดาดฟ้าเรือมีศพโจรสลัดนอนเกลื่อนจำนวนมาก ปนด้วยร่างลูกเรือที่หนีลงจากเรือไม่สำเร็จอีกสามคน ส่วนกระบี่อ่อนของหลี่ซิวเหยาก็กำลังพาดอยู่บนคอของโจรสลัดคนหนึ่ง
โจรสลัดคนนั้นก็คือหัวหน้าใหญ่ หลี่ซิวเหยาหลุบตามองเขาอย่างเงียบเชียบ สายตาเย็นเยียบคมกริบ
เวลานี้เองฉีหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้น “คุณชาย ตอนนี้จะทำเช่นไรดีขอรับ”
หลี่ซิวเหยาสำแดงฝีมือฉับไวดุจสายฟ้า เสียงฉึบฉับไม่กี่ทีก็เฉือนเอ็นข้อมือและเอ็นข้อเท้าของหัวหน้าใหญ่ขาด จากนั้นเขาก็พลิกมือเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างคล่องแคล่ว ก่อนสั่งเสียงเข้ม “เหลือลิ้นมันไว้ ไปรายงานต่อที่ว่าการท้องที่นี้”
ต่อให้เป็นโจรสลัด แต่ตายไปจำนวนมากเพียงนี้ ยังคงต้องแจ้งให้ที่ว่าการในท้องที่ทราบ
ฉีหมิงรับคำ หมุนตัวเดินลงจากเรือไป
หัวหน้าใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นยามนี้ร้องโอดโอยออกมา ทั้งยังเปล่งเสียงด่าหลี่ซิวเหยาดังลั่นด้วยสารพัดคำหยาบ หลี่ซิวเหยาขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มตัวลงฉีกเสื้อของศพโจรสลัดที่นอนอยู่ข้างเท้าออกมาเป็นริ้ว แล้วหันกลับไปยัดริ้วผ้าเปื้อนเลือดแดงฉานนั้นเข้าปากของหัวหน้าใหญ่ อุดปากของอีกฝ่ายไว้
หลังจัดการเสร็จเขาก็ยืดตัวขึ้นมา สายตากวาดไปทางห้องกลางที่ปิดประตูสนิทห้องนั้น
เมื่อครู่ขณะต่อสู้หางตาเขาเหลือบเห็นคนคุมเรือกับลูกเรือบนเรือต่างแย่งกันหนีลงจากเรือ ยังมีหญิงรับใช้สูงวัยและสาวใช้ใช้แรงงานอีกสองสามคนหนีลงไปด้วย ทว่าแม่นางผู้นั้นกลับไม่ได้หนี แม้แต่ใบหน้าก็ยังไม่โผล่ออกมา
ไม่รู้นางตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ร่างกายแข็งทื่อไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหนีไปแล้ว หรือเป็นเพราะนางเชื่อใจเขา คิดว่าเขาสามารถปราบโจรสลัดเหล่านี้ได้ จึงอยู่เงียบๆ ในห้อง รอให้สถานการณ์มั่นคงกันแน่
ครั้นแล้วเขาก็ยิ้มเยาะตนเองออกมาอีก ทุกคนเพียงได้มาพบกันบังเอิญ เพิ่งพบหน้าคราแรกนางจะเชื่อใจเขาได้อย่างไร เกรงว่านางคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีแรงหนีเสียมากกว่า
ในใจเขากำลังคิดจะไปเคาะประตูบอกแม่นางผู้นั้นว่าปลอดภัย ออกมาได้แล้วดีหรือไม่ ฉับพลันนั้นก็มองเห็นริมฝั่งมีคนจำนวนมากเดินถือคบไฟมาพร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่
หลี่ซิวเหยาใจหายวูบ มือขวาแตะบนด้ามกระบี่อ่อนตรงเอวอีกครั้ง
เวลานี้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา เป็นฉีหมิงกลับมาแล้ว
บนใบหน้าฉีหมิงเต็มไปด้วยความยินดี พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “คุณชาย เมื่อครู่ข้าลงจากเรือ กำลังจะไปหาคนมาถามว่าที่ว่าการอำเภออยู่ที่ใด กลับเห็นทางด้านหน้ามีทหารกองหนึ่งเดินมา พอเข้าไปถามดูถึงได้รู้ว่าคนคุมเรือที่หนีลงจากเรือก่อนหน้านี้ได้ไปแจ้งทางการ นายอำเภอจึงส่งเจ้าหน้าที่ติดตามคนคุมเรือมาขอรับ”
หลี่ซิวเหยาได้ยินเช่นนั้นถึงได้เก็บมือขวาที่วางอยู่บนด้ามกระบี่กลับมา
เวลานี้คนคุมเรือได้นำเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นขึ้นเรือมาแล้ว
ทุกพื้นที่มีแต่คบไฟส่องสว่าง ทำให้เห็นว่าบนดาดฟ้าเรือมีแต่เลือดและศพกลาดเกลื่อน บนผิวน้ำยังมีศพโจรสลัดที่ต้องลูกธนูตายอยู่อีกจำนวนมาก
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่มาต่างตกใจจนสะดุ้งโหยง เงยหน้ามองหลี่ซิวเหยาที่ยืนมือไพล่หลังอยู่เบื้องหน้าพร้อมกัน
เห็นว่าคนหนุ่มผู้นี้มีท่าทางสุขุมเยือกเย็น ถึงขั้นว่าชุดผ้าไหมสีเขียวครามบนตัวเขาไม่มีเลือดเปื้อนแม้แต่หยดเดียว
เจ้าหน้าที่แซ่หวังผู้เป็นหัวหน้าก้าวขึ้นหน้ามา เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่ออย่างที่สุดทันที “โจรสลัดเหล่านี้ล้วนเป็นท่านสังหารเพียงลำพัง?”
หลี่ซิวเหยาเพียงพยักหน้า มิได้พูดอะไร
เจ้าหน้าที่หวังสูดหายใจเย็นเยียบ รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คนโดยสิ้นเชิง
พึงต้องรู้ว่าโจรสลัดเหล่านี้โหดเหี้ยมห้าวหาญเป็นที่สุด สร้างความยุ่งยากให้พวกเขามานานแล้ว นายอำเภอจัดกำลังพลไปล้อมปราบหลายครั้ง แต่ก็ล้วนเสียหายหนักกลับมา ไม่อาจปราบได้เสียที ทว่าตอนนี้โจรสลัดที่เหี้ยมหาญเหล่านี้กลับถูกคนหนุ่มที่ดูมีอายุเพียงยี่สิบเช่นนี้ปราบปรามสังหารทิ้งด้วยตัวคนเดียว
หัวใจเจ้าหน้าที่หวังสั่นรัว เขายิ่งเคารพต่อท่าทีของหลี่ซิวเหยามากกว่าเดิม “ขอเรียนถามว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร เป็นคนที่ใดหรือ”
คนเช่นนี้หากรั้งอยู่ที่อันเต๋อได้ ต่อไปยังต้องกลัวโจรสลัดอะไรอีก ไม่ว่าโจรอะไรก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
หลี่ซิวเหยามองเขาปราดหนึ่ง เพียงตอบสั้นๆ ว่า “ข้าแซ่หลี่”
เรื่องอื่นเขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เจ้าหน้าที่หวังเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ทางหนึ่งสั่งเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาให้หามศพโจรสลัดทั้งหมด รวมถึงหัวหน้าใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไปยังที่ว่าการอำเภอ ทางหนึ่งก็กล่าวกับหลี่ซิวเหยา “ยังต้องรบกวนให้ท่านตามข้าไปที่ว่าการอำเภอเพื่อพบนายอำเภอและบอกเล่าเรื่องในคืนนี้สักหน่อย”
นี่เป็นคำขอที่สมเหตุสมผล หลี่ซิวเหยาจึงไม่ปฏิเสธ
เจ้าหน้าที่หวังหันกลับไปถามคนคุมเรือที่ด้านหลังเขาอีกว่า “บนเรือนี้ของเจ้ายังมีผู้ใดอีกหรือไม่ ล้วนต้องตามข้าไปที่ว่าการอำเภอด้วยกันทั้งหมด เพื่อบอกเล่าเรื่องในคืนนี้ต่อนายอำเภอให้ชัดเจน”
คนคุมเรือยืนมือแนบลำตัว กล่าวตอบอย่างนอบน้อม “บนเรือนี้ของผู้น้อยยังมีแม่นางที่จะไปเมืองหลวงและสาวใช้ของนางอีกไม่กี่คน”
เจ้าหน้าที่หวังจึงถามว่า “แม่นางผู้นั้นตอนนี้อยู่ที่ใด”
คนคุมเรือยื่นมือชี้ห้องกลาง “แม่นางท่านนั้นอยู่ในห้องนั้นมาตลอดตั้งแต่ขึ้นเรือมาจากฉางโจว”
เจ้าหน้าที่หวังเห็นห้องที่คนคุมเรือชี้ในตอนนี้ประตูยังคงปิดสนิท จึงเรียกให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ด้านข้างเดินไปเคาะประตู
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นรับคำ ก่อนเดินไปยกมือเคาะ
เวลานี้หลี่ซิวเหยาก็ช้อนตามองทางนั้นอยู่เช่นกัน นิ้วชี้มือขวาที่ไพล่หลังอยู่กระดิกน้อยๆ
ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังเบาๆ มีแม่นางในชุดเสื้อกั๊กตัวยาวสีเขียวขี้ม้า หน้าตางามแฉล้มนางหนึ่งเดินออกมา สายตามองคนจำนวนมากที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรืออึดใจหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปพูดเสียงเบา “คุณหนู ท่านออกมาเถิดเจ้าค่ะ”
จากนั้นคนทั้งหลายก็เห็นแม่นางอีกคนเดินออกมาทันที
นางสวมเสื้อนอกตัวยาวแขนกว้างทำจากผ้าต่วนลายดอกสีฟ้าอ่อนและกระโปรงผ้าไหมบางสีขาว ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมผ้าต่วนสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนอีกตัว ดูเรียบสะอาดตาอย่างที่สุด ทว่ายามนี้นางก้มหน้าน้อยๆ คนทั้งหลายจึงมองเห็นรูปโฉมนางไม่ชัด
เจ้าหน้าที่หวังก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว กุมหมัดคารวะพลางกล่าว “รบกวนแม่นางแล้ว ทว่าตามกฎ คนบนเรือล้วนต้องไปที่ว่าการอำเภอสักเที่ยวหนึ่งเพื่อเล่าเรื่องที่ได้เห็นในคืนนี้ให้นายอำเภอฟัง”
เนื่องจากเห็นอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวอายุน้อย เสียงของเจ้าหน้าที่หวังจึงอดจะเบาลงกว่าปกติสองส่วนไม่ได้
“ท่านเกรงใจแล้ว เรื่องนี้สมควรกระทำ”
เสิ่นหยวนยอบตัวคารวะเขา ก่อนกล่าวด้วยเสียงสงบนิ่ง
หลี่ซิวเหยาได้ยินเสียงนางสงบนิ่ง ทั้งตัวคนก็ดูสงบเยือกเย็น ในใจจึงคิดว่าเมื่อครู่นางคงไม่ได้ตกใจจนขวัญกระเจิง
เวลานี้ก็เห็นเสิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นมา
ยามนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง แสงจากคบเพลิงก็ส่องไปทั่วทุกพื้นที่ หลี่ซิวเหยาจึงมองเห็นใบหน้าของเสิ่นหยวนชัดเจนทันที
เขาให้ตกใจเล็กน้อย
เป็นนาง?
เจ้าหน้าที่หวังกับบรรดาเจ้าหน้าที่ข้างกายเขามองเห็นสองตาของเสิ่นหยวนก็ล้วนตกตะลึงตาค้างไปเช่นกัน
แม่นางที่รูปโฉมงามเลิศเพียงนี้ ในชีวิตไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่เจ้าหน้าที่หวังถึงได้สติกลับมา ถ้อยคำที่เอ่ยยิ่งเบาลงกว่าครู่ก่อน ประหนึ่งกลัวว่าเสียงดังนิดเดียวก็จะทำให้แม่นางตรงหน้านี้ตกใจอย่างไรอย่างนั้น “เชิญแม่นางตามข้าลงจากเรือไปยังที่ว่าการอำเภอเถิด”
เสิ่นหยวนพยักหน้า “รบกวนท่านแล้ว”
นางไม่ได้มองหลี่ซิวเหยาแม้แต่แวบเดียว เพียงเดินลงจากเรือตามหลังเจ้าหน้าที่หวังไป
เสิ่นหยวนจำเรื่องเมื่อชาติที่แล้วได้อย่างชัดเจน ก่อนนางจะแต่งเข้าสกุลหลี่นางไม่เคยพบหลี่ซิวเหยา เป็นวันที่สองหลังนางแต่งให้หลี่ซิวหยวน ครอบครัวบ่าวสาวทำความคุ้นเคยกันที่จวนสกุลหลี่ นางถึงได้พบหลี่ซิวเหยาเป็นครั้งแรก
และตอนนี้ในใจนางก็คิดว่า…จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่ซิวเหยาจดจำนางได้ สำหรับเขาแล้ว นางเป็นเพียงหญิงสาวแปลกหน้าที่บังเอิญได้มาพบกันเท่านั้น หรือไม่เขาก็อาจรู้สึกว่านางมีจิตใจดี ยอมให้เขาขึ้นเรือ พาเขาไปเมืองหลวงด้วย
ไม่ล่วงเกินเขาเช่นนี้อย่างไรก็เป็นเรื่องดี
เรื่องทุกอย่างหลังมาถึงที่ว่าการอำเภอนั้นราบรื่นยิ่ง
นายอำเภอดีอกดีใจที่โจรสลัดถูกปราบปรามสังหารทิ้งจนหมด หากนำเรื่องนี้รายงานต่อเบื้องบน ทางนั้นจะต้องตกรางวัลเขาแน่นอน เดิมเขาอยากจะรั้งตัวหลี่ซิวเหยาไว้เป็นมือปราบในที่ว่าการของตน แต่ครั้นได้รู้เรื่องที่อีกฝ่ายเดิมทีเป็นถึงแม่ทัพลาดตระเวนแห่งเมืองเหลียว ได้รับหนังสือจากกรมขุนนางให้ไปรายงานตัวกับกรมทหาร เขากลับเดินลงจากที่นั่งมาคารวะหลี่ซิวเหยาทันที
ยศของแม่ทัพลาดตระเวนสูงกว่านายอำเภอ มิหนำซ้ำตอนนี้หลี่ซิวเหยาได้เข้าเมืองหลวง ยศจะต้องสูงขึ้นอีกแน่นอน
หลังจากนั้นนายอำเภอก็ถามถึงประวัติครอบครัวของเสิ่นหยวน แน่นอนว่าคืนนี้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้ ตามกฎแล้วคนบนเรือล้วนต้องบอกฐานะของตนเองออกมาให้ชัดเจน เสิ่นหยวนไม่มีทางเลือก จึงได้แต่บอกประวัติครอบครัวของตนออกไป
ครั้นนายอำเภอได้ยินว่าบิดาของเสิ่นหยวนคือรองเสนาบดีกองงานไท่ฉางคนปัจจุบัน ท่าทีที่มีต่อนางก็ยิ่งนอบน้อมกว่าเดิม
หลังซักถามทุกเรื่องจนชัดเจนแล้ว นายอำเภอก็ออกคำสั่งนำตัวหัวหน้าโจรสลัดไปขังคุกนักโทษประหาร รอแค่รายงานเบื้องบนและเลือกวันได้แล้วก็จะทำการประหารชีวิต ส่วนหลี่ซิวเหยาและเสิ่นหยวนนั้น นายอำเภอได้ให้คนไปจ้างม้าและเกี้ยวมา แล้วไปส่งคนทั้งสองกลับเรือด้วยตนเอง
เสิ่นหยวนเดินเว้นระยะตามหลังหลี่ซิวเหยาสองก้าว เหยียบไม้กระดานขึ้นเรืออย่างเงียบๆ
คนทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไร จวบจนใกล้จะถึงห้องพักของตนเอง เสิ่นหยวนถึงได้ยอบตัวคารวะหลี่ซิวเหยา หลุบตามองต่ำพลางเอ่ยปากพูด “เรื่องในคืนนี้ต้องขอบคุณคุณชายมากที่ให้การช่วยเหลือ”
คืนนี้หากไม่มีหลี่ซิวเหยาอยู่ นางกับผู้ติดตามคงถูกโจรสลัดเหล่านั้นปล้นเป็นแน่แท้ เมื่อคิดดูเช่นนี้ การที่ไม่กี่วันก่อนยอมให้หลี่ซิวเหยาขึ้นเรือมานั้น สุดท้ายก็กลายเป็นช่วยตัวนางเองเอาไว้ด้วย คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยวนก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้
เดิมนึกว่าชาตินี้จะไม่ต้องมีความสัมพันธ์ยุ่งเกี่ยวใดๆ กับคนสกุลหลี่อีก แต่สุดท้ายนางก็ยังติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตนี้ต่อหลี่ซิวเหยาแล้ว
หลี่ซิวเหยาได้ยินก็หันกลับมามองนาง
แสงจันทร์กระจ่างสีนวลอ่อนส่องลงบนร่างสาวน้อยเบื้องหน้า นางสวมชุดสีเรียบสะอาดตา ทั้งตัวคนดูเฉยเมยสงบนิ่งอย่างยิ่ง
เรื่องเมื่อครู่ถึงกับไม่ได้ทำให้นางตกใจ? เขาจำได้ว่าเวลานั้นนางปีนขึ้นต้นหม่อน ถูกงูตัวหนึ่งบนนั้นทำให้ตกใจจนกรีดร้องออกมา หูของเขาเกือบจะถูกนางทำให้หนวกไปแล้ว
หลี่ซิวเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ผิดปกติอะไรออกมา เพียงกล่าวอย่างราบเรียบเป็นพิธีรีตองว่า “แม่นางเสิ่นเกรงใจแล้ว ทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ผู้แซ่หลี่สมควรทำ”
เสิ่นหยวนยอบตัวคารวะหลี่ซิวเหยาอีกครั้ง “ดึกแล้ว คุณชายรีบไปพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวก่อน”
หลังพูดจบเสิ่นหยวนก็ก้มหน้าลง ก่อนพาไฉ่เวยและพวกฉางหมัวมัวกลับเข้าห้องพักของตนเอง
หลี่ซิวเหยามองเงาหลังแบบบางของนางแวบหนึ่ง ก่อนพาฉีหมิงตรงกลับห้องด้านหลังโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ยังดีที่วันถัดมาทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว ธงวัดทิศทางลมบนเรือค่อยๆ ขยับหมุน คนคุมเรือสั่งลูกเรือให้ชักใบเรือขึ้น ปลดเชือกออก แล้วเรือก็มุ่งหน้าออกเดินทางต่อไป
คนคุมเรืออยากจะไปจากที่นี่ใจจะขาดอยู่แล้ว แม้เมื่อคืนโจรสลัดจะถูกหลี่ซิวเหยาสังหารเรียบ แต่ลูกเรือคนหนึ่งของเขาก็ถูกโจรสลัดฆ่าตายขณะหนีเอาชีวิตรอด ทั้งยังมีอีกสองคนได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นเรื่องที่จะจบลงได้ด้วยเงินเท่านั้น
คนคุมเรือจึงเริ่มไม่พอใจ รู้สึกว่างานที่เขารับมาครานี้ไม่เพียงไม่ได้กำไร แต่ตนเองยังต้องเสียเงินด้วย มิหนำซ้ำยังเจอเคราะห์หนัก อย่างน้อยภายในปีนี้เขาก็ไม่อยากรับงานอีกแล้ว
ยังดีที่หลังจากนั้นหลี่ซิวเหยากับเสิ่นหยวนต่างให้คนนำเงินมาให้เขานอกเหนือจากค่าเรือ ซ้ำยังเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย นับแล้วยังพอให้เขาไม่ต้องรับงานในปีหน้าได้ทั้งปี
เช่นนี้คนคุมเรือถึงได้พอใจขึ้นมา เริ่มให้การดูแลเรื่องอาหารการกินในแต่ละวันของหลี่ซิวเหยาและเสิ่นหยวนมากกว่าเดิม
สามวันต่อจากนั้นเรือล้วนแล่นตามลม ระหว่างนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก จึงมาถึงท่าเรือเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ระหว่างสามวันนี้เสิ่นหยวนไม่ได้ก้าวออกนอกประตูห้องแม้แต่ก้าวเดียว หากไม่มีอะไรทำก็เพียงแค่นั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็นั่งว่างๆ อยู่ในห้อง แม้จะอุดอู้ไปบ้าง แต่อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็สามารถเลี่ยงไม่ต้องพบเจอหลี่ซิวเหยาได้
ครั้นถึงท่าเรือ ขณะนางจับมือไฉ่เวยประคองตัวก้าวลงจากเรือและเดินไปบนไม้กระดาน ก็มองเห็นหลี่ซิวเหยายืนอยู่เบื้องหน้าพอดี
หลี่ซิวเหยามองเห็นนางลงจากเรือก็ใช้สายตาบอกให้ฉีหมิงหยิบเงินสองก้อนออกมา “นี่เป็นค่าเรือ แม่นางเสิ่นโปรดรับไว้”
เสิ่นหยวนนิ่งงันไปเล็กน้อย นึกอยากหัวเราะอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายนางก็กลั้นเอาไว้
เขาไม่ยอมติดค้างน้ำใจผู้อื่นอย่างที่คิดจริงๆ ทว่าเงินนี้…
“คุณชายหลี่ บุญคุณช่วยชีวิตของท่าน ข้ายังไม่รู้หนทางจะตอบแทนเลย จะยังกล้ารับค่าเรือจากท่านได้อย่างไรกัน” เสิ่นหยวนยอบตัวคารวะเขา ก่อนกล่าวต่อทันที “ข้าอยากกลับจวนแล้ว ขอลาคุณชายตรงนี้”
บนท่าเรือมีคนที่ทางบ้านส่งมารับเสิ่นหยวน หลังจากนางกล่าวอำลาหลี่ซิวเหยาแล้ว ก็จับมือไฉ่เวยก้าวขึ้นรถม้าประดับแพรสีเขียวที่จอดอยู่ข้างๆ ทันที ทั้งยังปลดม่านสีเขียวอ่อนทางด้านหน้าให้ปิดลงมาด้วย
คราวนี้เสิ่นหยวนถึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ คลายมือขวาที่กำแน่นมาโดยตลอดออก
ในที่สุดก็ไม่ต้องเผชิญหน้าหลี่ซิวเหยาอีกแล้ว
ไม่รู้เหตุใดทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเขา นางมักจะรู้สึกประหม่าอย่างห้ามตนเองไม่ได้ แต่ละถ้อยคำที่พูดกับเขาล้วนต้องใคร่ครวญอย่างระวัง ไม่กล้าให้มีข้อผิดพลาด
เสิ่นหยวนปลอบตนเองว่าจะต้องเป็นเพราะข่าวเกี่ยวกับหลี่ซิวเหยาที่นางได้ยินเมื่อชาติก่อนล้วนพูดถึงแต่ความโหดร้ายทารุณ ความโหดเหี้ยมอำมหิต และอารมณ์อันไม่คงเส้นคงวาของเขา ดังนั้นในใจถึงได้เกรงกลัวเขาเป็นที่สุด
มิหนำซ้ำขณะเขาสู้กับพวกโจรสลัดเพียงลำพังในคืนนั้น เพลงกระบี่ก็โหดเหี้ยมยิ่งยวด แต่ละกระบวนท่าล้วนมุ่งไปที่จุดตายของผู้อื่น ภาพเหตุการณ์ก็นองเลือดจริงๆ อันที่จริงนางยังถูกทำให้ตกใจอยู่บ้าง
ทว่าตอนนี้ดีแล้ว ภายหน้าพวกนางน่าจะไม่มีโอกาสให้พบหน้ากันอีก
สารถีหวดแส้ม้าในมือ รถม้าก็เคลื่อนออกจากท่าเรือไปอย่างช้าๆ
ฉีหมิงมองรถม้าเคลื่อนจากไปพลางหันหน้ามากล่าวกับหลี่ซิวเหยา “คุณชาย ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าแม่นางเสิ่นท่านนี้หลบหน้าท่านอยู่บ้างเล่าขอรับ”
หลี่ซิวเหยาเก็บสายตาที่มองรถม้ากลับมา ก่อนเลื่อนไปมองฉีหมิง “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าสนใจเรื่องผู้อื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
เสียงเขาเยียบเย็นอยู่บ้าง ฉีหมิงได้ยินแล้วให้ใจหายวาบ รีบก้มหน้าลง กล่าวตอบอย่างเคารพนบนอบ “ผู้น้อยมิกล้า”
หลี่ซิวเหยามองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำหน้าไป
หนึ่งวันก่อน เรือนส่วนในของสกุลเสิ่น
เสิ่นหลันกำลังนั่งก้มหน้าปักผ้าอยู่บนเตียงเตา ไม้ใกล้หน้าต่างในห้องข้างฝั่งตะวันตกของเรือนชิงอี
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เงยหน้าขึ้นมองเซวียอี๋เหนียง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งยังคงก้มหน้าปักดอกเสาเย่าบนสะดึงในมือ นางอดไม่ไหวพูดขึ้นว่า “อี๋เหนียง วันพรุ่งนี้เสิ่นหยวนก็จะกลับมาแล้ว”
เซวียอี๋เหนียงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงปักดอกไม้ต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อน พร้อมกันนั้นก็พูดอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ข้ารู้ เมื่อครู่ข้าก็จัดคนไปรับนางที่ท่าเรือในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เสิ่นหลันวางสะดึงในมือลง “เหตุใดอี๋เหนียงต้องให้คนไปรับนางด้วยเจ้าคะ ตอนแรกนางถูกส่งตัวจากไปอย่างซมซาน ไม่ดีกว่าหรือถ้ายามนี้ให้นางกลับมาอย่างซมซาน ไฉนท่านต้องไว้หน้านางเช่นนี้เล่า”
“นี่ข้าไม่ได้ไว้หน้านาง” เซวียอี๋เหนียงยกมือลูบรอยย่นบนสะดึง แล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหลัน กล่าวว่า “แต่ข้าไว้หน้าตัวข้าเอง”
เห็นเสิ่นหลันมีสีหน้าไม่เข้าใจ นางก็อธิบายอย่างสงบ “ตอนที่ฮูหยินสิ้นใจไป นายท่านบอกจะไว้ทุกข์ให้ฮูหยินหนึ่งปี เรื่องในเรือนส่วนในมอบให้ข้าดูแลจัดการชั่วคราว เวลานี้นางกลับมาแล้ว หากข้าไม่ส่งคนไปรับนางที่ท่าเรือ รอนางกลับมาร้องไห้อาละวาดต่อหน้าบิดาเจ้า ย่อมจะเป็นความผิดของข้า แต่ถ้าตอนนี้ข้าส่งคนไปรับนางกลับมาจากท่าเรือดีๆ บิดาเจ้าเห็นแล้ว ในใจมีแต่จะชื่นชมที่ข้าจัดการงานละเอียดรอบคอบ ทั้งยังใจกว้าง เรื่องที่ทำให้บิดาเจ้าพอใจได้เช่นนี้ เหตุใดข้าจะไม่ทำ”
“อี๋เหนียงท่านจะระมัดระวังเกินไปแล้ว” น้ำเสียงของเสิ่นหลันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ตอนแรกเสิ่นหยวนทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้นออกมา ท่านพ่อโกรธเกรี้ยวยิ่ง หากมิใช่ฮูหยินห้ามไว้ นางคงถูกท่านพ่อส่งไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชีนานแล้ว ในใจท่านพ่อรังเกียจนางออกปานนั้น อีกทั้งตอนนี้ฮูหยินก็ตายไปเกือบปีแล้ว ท่านดูแลทุกอย่างในเรือนส่วนในนี้ ยังต้องกลัวอะไรอีก”
เซวียอี๋เหนียงไม่ได้พูดอะไร แต่มองเสิ่นหลันอย่างละเอียด เสิ่นหลันถูกนางมองจนขนลุกอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยถาม “อี๋เหนียง ท่านมองข้าเช่นนี้เพราะเหตุใด”
สายตาเซวียอี๋เหนียงมองเสิ่นหลันตรงๆ เอ่ยปากถามนางตามตรง “เจ้าไม่ดีใจที่นางกลับมา? หรือว่าอันที่จริงในใจเจ้ากลัวนางจะกลับมา?”
เสิ่นหลันกัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตางามหลุบลง
นางย่อมจะไม่ชอบเสิ่นหยวน
ทั้งๆ ที่เป็นบุตรสาวของบิดาเหมือนกัน แต่แค่เพราะเสิ่นหยวนเกิดจากครรภ์ของฮูหยิน ในขณะที่นางเกิดจากครรภ์ของอี๋เหนียง ยามออกไปข้างนอกคนที่ผู้อื่นสังเกตเห็นแรกสุดจึงเป็นเสิ่นหยวนเสมอ แต่เมื่อเอ่ยถึงนางในสายตากลับมีแววดูถูกอยู่บ้าง
เสิ่นหยวนอาศัยอะไรถึงได้สูงศักดิ์ปานนั้น ขณะที่นางต่ำต้อยเพียงนี้ และที่สำคัญที่สุดคือที่แล้วมาเสิ่นหยวนอาศัยความเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของตนเองเชิดหน้าชูคอต่อหน้านางเป็นประจำ มีไม่น้อยที่ออกคำสั่งกับนาง ซึ่งนางก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนทำตัวเป็นเบี้ยล่างอีกฝ่าย บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
ส่วนที่ว่ากลัวเสิ่นหยวนนั้น…
เสิ่นหลันเงยหน้าขึ้น มองเซวียอี๋เหนียงก่อนแค่นเสียงเบาๆ อย่างดูแคลน “นางหน้าโง่ปานนั้น ข้าต้องกลัวอะไรนาง”
จะว่าไป เสิ่นหยวนก็เป็นคนที่เชื่อคนอื่นง่ายจริงๆ รู้สึกอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้า ไม่เคยรู้จักปิดบัง แค่นางฟังผู้อื่นพูดดีเข้าหน่อยก็หลุดเรื่องในใจออกมาจนหมดเปลือกแล้ว
เรื่องเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวหยวนในตอนแรกนั้นก็เป็นเพราะเสิ่นหลันเห็นเสิ่นหยวนใจไม่อยู่กับร่องกับรอยบ่อยครั้ง ประเดี๋ยวดีใจ ประเดี๋ยวกลัดกลุ้ม นางจึงไปพูดดีๆ ปลอบใจอีกฝ่ายพร้อมกับตะล่อมถามไปด้วย ถึงได้รู้เรื่องของหลี่ซิวหยวน
หลังจากนั้นนางก็ยุยงให้เสิ่นหยวนเขียนจดหมายหาหลี่ซิวหยวน และส่งของจำพวกถุงหอมปักลายไปให้เขาด้วย ทั้งนางยังซื้อตัวสาวใช้คนหนึ่งของเสิ่นหยวน โดยให้แอบนำจดหมายฉบับหนึ่งที่เสิ่นหยวนเขียนให้หลี่ซิวหยวนแต่ยังไม่ได้ส่งไปมอบแก่บิดาเงียบๆ
บิดาเดือดดาลมากตามคาด หวิดจะส่งเสิ่นหยวนไปอยู่สำนักชีแล้ว แม้ว่าต่อมาเป็นเพราะฮูหยินขอร้องไว้ อีกฝ่ายจึงไม่ถูกส่งตัวไปสำนักชี เพียงถูกส่งไปบ้านท่านตาที่ฉางโจวแทน แต่อย่างน้อยก็ออกไปไกลหูไกลตานาง
ทว่าตอนนี้เสิ่นหยวนกลับมาอีกแล้ว อีกฝ่ายกลับมาด้วยเหตุผลใดกัน ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนั้นออกมาแท้ๆ ยังมีหน้ากลับมาอีก?
เสิ่นหลันกำเข็มปักผ้าในมือแน่น
เซวียอี๋เหนียงมองเห็นอากัปกิริยานี้ของเสิ่นหลันด้วยสายตาเฉียบไว จึงพูดขึ้นทันที “ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวสกุลเสิ่น ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่สกุลเฉินไปชั่วชีวิต อีกทั้งเมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ยังต้องรับกลับมาหาคู่หมั้นคู่หมายให้”
เสิ่นหลันยิ้มเย็น “ในใจนางมีหลี่ซิวหยวนอยู่ ผู้ใดจะยังต้องการนางอีก มิหนำซ้ำนางยังมีนิสัยเช่นนั้น หมั้นหมายกับใคร มิใช่นำหายนะไปให้คนผู้นั้นหรือ”
“หลันเจี่ย!” เซวียอี๋เหนียงวางสะดึงในมือลง เรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
เสิ่นหลันได้สติกลับมา นึกถึงคำพูดที่ตนเองเพิ่งพูดก็ก้มหน้าลงอย่างกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
เรื่องของเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวหยวนในครานั้น บิดามีคำสั่งห้ามผู้ใดเอ่ยถึงอีก บ่าวไพร่ไม่ว่าคนใดที่รู้เรื่องนี้ก็ล้วนถูกโบยตายจนหมด ไม่ว่าอย่างไรหากเรื่องนี้แพร่ออกไป อย่าว่าแต่เสิ่นหยวนเลย แม้แต่สกุลเสิ่นทั้งหมดล้วนต้องถูกคนดูถูก คุณหนูคนอื่นในสกุลเสิ่นก็จะไม่มีบุรุษที่มีชาติตระกูลดีมาขอแต่งงานเช่นกัน
ความร้ายแรงของเรื่องนี้เสิ่นหลันมิใช่ไม่รู้ แต่เมื่อครู่นางถูกความริษยาทำให้สมองเลอะเลือนไปจริงๆ ถึงได้หลุดปากพูดเรื่องนี้ออกมา เมื่อครู่ถูกเซวียอี๋เหนียงตวาดเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเช่นนี้ นางก็ตระหนักได้ทันที
ทว่าในใจเสิ่นหลันกลับไม่ได้หวาดกลัวนัก เซวียอี๋เหนียงเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของนาง หลุดปากพูดต่อหน้าอีกฝ่ายจะเป็นไรไป มีหรือที่เซวียอี๋เหนียงจะนำเรื่องนี้ไปบอกบิดา
เวลานี้เซวียอี๋เหนียงกำลังใช้สายตาบอกให้รุ่ยเซียง หัวหน้าสาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ออกไปเฝ้าต้นทาง
รุ่ยเซียงเข้าใจความหมายของนาง รีบเดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า เฝ้าอยู่นอกประตู ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้
ครั้นในห้องเหลือเพียงเซวียอี๋เหนียงและเสิ่นหลัน เซวียอี๋เหนียงก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสิ่นหลันอย่างอ่อนใจอยู่บ้าง “เรื่องนั้นของเสิ่นหยวน วันหลังเจ้าห้ามวู่วามพูดออกมาตามอำเภอใจอย่างเมื่อครู่นี้อีก หากคนนอกรู้เข้า ฐานะที่เป็นบุตรสาวสกุลเสิ่นเหมือนกัน ชื่อเสียงของเจ้าจะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย อีกทั้งอี๋เหนียงก็เคยบอกเจ้าหลายครั้งหลายหนแล้วว่าต้องอดทนอดกลั้นให้ได้ทุกเรื่อง ห้ามให้คนมองออกได้ง่ายๆ ว่าในใจเจ้าคิดอะไร ต่อให้ในใจเจ้าไม่ชอบเสิ่นหยวนมากเพียงไร แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้วนางก็เป็นพี่สาวของเจ้า มิหนำซ้ำยังเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงด้วย เบื้องหน้าเจ้ายังต้องทำท่าทางเคารพต่อนาง มิเช่นนั้นหากให้บิดาเจ้าได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าเข้า ในใจเขาจะมองเจ้าอย่างไร จะยังรู้สึกว่าเจ้าเป็นบุตรสาวผู้อ่อนหวานชวนให้คนสงสารอยู่อีกหรือไม่”
บทที่ 4
เสิ่นหลันยิ่งก้มหน้าลงต่ำ ทว่าในใจนางยังคงไม่ใคร่ใส่ใจ จึงกัดริมฝีปากเบาๆ
เซวียอี๋เหนียงเห็นท่าทางของเสิ่นหลันก็ถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะเอ่ยว่า “เสิ่นหยวนผู้นั้นไม่มีความคิดความอ่านเลยสักนิด ทั้งยังมีนิสัยเย่อหยิ่ง ไม่ต่างกับประทัดที่แค่จุดก็ระเบิด คนเช่นนี้อันที่จริงรับมือได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเพราะเรื่องนั้น ในใจบิดาเจ้าจึงนึกรังเกียจนางอยู่แล้ว ถึงนางจะกลับมาก็ขัดขวางอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าเพียงต้องแสดงท่าทีนอบน้อมต่อหน้านาง ผู้อื่นล้วนจะชมว่าเจ้าให้ความเคารพพี่สาว เช่นนี้เจ้าจะมีชื่อเสียงที่ดี บิดาเจ้าเห็นแล้วก็จะรู้สึกว่าบุตรสาวอย่างเจ้านั้นรู้ความ รู้จักคิดถึงส่วนรวม เช่นนี้มีอะไรไม่ดีเล่า”
เสิ่นหลันไม่ได้ปริปาก ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “แต่พอข้านึกถึงสมัยก่อนที่นางอาศัยฐานะบุตรสาวสายตรงมาออกคำสั่งต่อหน้าข้า ในใจข้าก็…”
นางไม่ชอบหน้าเสิ่นหยวน อยากให้อีกฝ่ายไปแล้วไปลับตลอดกาลใจแทบขาด
“ไฉนเจ้าต้องไปใส่ใจนางเพียงนั้นด้วย ข้าก็เห็นเจ้าปฏิบัติกับเสิ่นเซียงดียิ่งมิใช่หรือ นางก็เป็นบุตรสาวสายตรงเหมือนกัน ทั้งนิสัยยังเย่อหยิ่งและเจ้าอารมณ์กว่าเสิ่นหยวนเสียอีก”
“นั่นไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ” เสิ่นหลันเงยหน้าขึ้นมา “แม้เสิ่นเซียงจะนิสัยเย่อหยิ่ง แต่นางยังดีต่อพี่สาวคนรองอย่างข้า ทั้งยังยอมเชื่อฟังทำตามคำของข้าด้วย”
“เมื่อก่อนเสิ่นหยวนก็มิใช่เชื่อฟังทำตามคำของเจ้าหรือไร อี๋เหนียงจำได้ว่าแม้นิสัยนางจะเย่อหยิ่งไปบ้าง แต่ก็ดีต่อน้องสาวอย่างเจ้าไม่น้อย มีเครื่องประดับอะไรก็ยอมยกให้เจ้า ในจุดนี้เสิ่นเซียงเทียบนางไม่ติด ฝ่ายนั้นมีแต่รับ ไม่มีให้ มียามใดที่เคยให้อะไรกับเจ้าสักนิดบ้าง ไฉนเจ้ากลับอยู่ร่วมกับเสิ่นเซียงได้เล่า” เซวียอี๋เหนียงย้อนถาม
เสิ่นหลันหลุบตาลง ไม่พูดอะไร
นั่นจะเทียบกันได้อย่างไรเล่า เสิ่นเซียงรูปโฉมสู้ข้าไม่ได้ แต่เสิ่นหยวน…
เสิ่นหลันกัดฟันเบาๆ รูปโฉมของเสิ่นหยวนเฉิดฉายกว่าผู้ใดเพียงนั้น ไม่ว่าที่ใดหากมีเสิ่นหยวนอยู่ ผู้อื่นก็จะจับจ้องไปที่อีกฝ่ายเป็นตาเดียว มีหรือจะสังเกตเห็นนาง
เรื่องเช่นนี้ไม่อาจพูดกับอี๋เหนียงได้ เสิ่นหลันจึงทำท่าคล้ายซึมซาบในวาจานี้ของเซวียอี๋เหนียงแล้วออกมา
แต่ถึงนางจะแสดงท่าทางโอนอ่อนนี้ออกมา เซวียอี๋เหนียงก็รู้ว่าเสิ่นหลันไม่ได้ฟังคำพูดของตนเข้าหูทั้งหมด
จะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ตนคลอดออกมา นางมีนิสัยใจคอเช่นไรมีหรือจะปิดบังตนได้ ทว่าไม่รีบร้อน อย่างไรก็ต้องค่อยๆ สั่งสอนกันไป
ด้วยเหตุนี้เซวียอี๋เหนียงจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงจับสะดึงในมือให้เสิ่นหลันดู “ผ่านช่วงปีใหม่ เริ่มฤดูใบไม้ผลิเจ้าก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว และช่วงไว้ทุกข์ให้ฮูหยินก็จะหมดลงเช่นกัน ไม่ต้องใส่ชุดสีเรียบเหล่านั้นทั้งวันอีก ไม่กี่วันก่อนอี๋เหนียงได้ผ้าไหมหางโจวสีชมพูดอกท้อมาพับหนึ่ง คิดจะตัดกระโปรงให้เจ้า ตรงขอบก็ปักดอกเสาเย่าเช่นนี้ เจ้าเห็นเป็นอย่างไร…หญิงสาวจะอย่างไรก็ต้องแต่งตัวงดงามมีสีสันหน่อย”
เสิ่นหลันเงยหน้ามองดอกเสาเย่าที่ปักอยู่บนสะดึงทันที
กลีบดอกสีชมพู เกสรสีเหลืองอ่อน ใบสีเขียว ปักได้ดีจริงๆ เหมือนกับเด็ดดอกเสาเย่าของจริงมาติดลงไปก็มิปาน
นางเอ่ยชมจากใจจริง “ดอกเสาเย่านี้ของอี๋เหนียงปักได้ดีโดยแท้ เหมือนกับของจริงเลยเจ้าค่ะ”
เซวียอี๋เหนียงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
แม้ท่านปู่นางจะเป็นจิ้นซื่อ และได้เป็นถึงราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน ขั้นห้า แต่ล้วนกล่าวกันว่าเขาเป็นยาจกฮั่นหลิน ไม่มีงานที่ได้รับประโยชน์ ยังคงสองมือสะอาดเอี่ยม ซ้ำบิดานางก็ไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ขวนขวายหาความก้าวหน้า ภายหลังท่านปู่สิ้นใจลงในบ้านก็ยิ่งมีความเป็นอยู่ลำบากยากแค้น นางกับมารดาต้องทำงานปักผ้าถึงดึกดื่นทุกวันเพื่อนำไปขายแลกเงินมาใช้จ่ายในบ้าน ที่นางมีฝีมือปักผ้ายอดเยี่ยมก็เป็นเพราะเวลานั้นถูกชีวิตความเป็นอยู่บีบบังคับ บนมือไม่รู้มีรอยด้านเกิดขึ้นมาตั้งเท่าไร
ทว่าตอนนี้…เซวียอี๋เหนียงก้มหน้ามองนิ้วมือที่ได้รับการดูแลจนขาวผ่องอ่อนนุ่มของตนเอง ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
ชีวิตที่มีเงินอย่างไรก็สบายยิ่ง ตอนนี้นางไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องความเป็นอยู่อีกแล้ว งานเย็บปักถักร้อยนี้มีอารมณ์ก็ทำ ถ้าไม่มีอารมณ์ ไม่จับเข็มจับด้ายเป็นปีครึ่งปีก็ไม่มีผู้ใดกล้าว่าอะไรนาง
นางเงยหน้ามองนกฮว่าเหมย ที่ปักอยู่บนสะดึงของเสิ่นหลันก่อนเอ่ยถาม “เจ้าปักเจ้านี่ไปเพื่ออะไร”
ในแววตาเสิ่นหลันมีประกายลนลานวาบผ่าน ทว่าอยู่ต่อหน้าเซวียอี๋เหนียงนางไม่เคยกล้าโกหก ยังคงตอบตามความจริงเสียงเบา “ไม่กี่วันก่อนพี่ใหญ่ได้นกจาบฝนมาตัวหนึ่ง ชมชอบมันเสียยิ่งกว่าอะไร จึงขอให้ข้าปักผ้าคลุมกรงนกของเขาเจ้าค่ะ”
เซวียอี๋เหนียงฟังแล้วก็โมโหจนใบหน้าเปลี่ยนสี
“เขายังไม่รู้จักปรับปรุงตัวอีก ไม่กี่ปีก่อนอี๋เหนียงอุตส่าห์ขอให้บิดาเจ้าไหว้วานคนพาเขาไปเล่าเรียนที่สำนักการศึกษาหลวง หวังว่าเขาจะได้ลาภยศติดมือออกมา ภายหน้าจะได้เป็นที่พึ่งของพวกเราสองแม่ลูก แต่เขากลับดีนัก เข้าสำนักศึกษาหลวงได้ไม่ถึงปีก็ถูกไล่ออกมา เรื่องเช่นนี้แพร่งพรายออกไปจะเอาหน้าไว้ที่ใด เวลานั้นบิดาเจ้าโมโหยิ่งกว่าอะไร อี๋เหนียงต้องเสียแรงขอร้องอยู่หลายวันกว่าบิดาเจ้าจะหายโมโห แล้วส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาตรงตรอกถงฮวา แต่เขาก็ดีเหลือเกิน วันๆ ไม่คิดหาความก้าวหน้า เอาแต่เลี้ยงนก การเลี้ยงนกนี้ทำให้เขาสอบได้จวี่เหริน** สอบได้จิ้นซื่อหรือไร”
เซวียอี๋เหนียงยิ่งพูดยิ่งโมโห สุดท้ายก็ตวัดมือยึดสะดึงในมือเสิ่นหลันมา คว้ากรรไกรเล่มเล็กที่วางอยู่ในตะกร้าใบเล็กด้านข้าง ก่อนกัดฟันแทงลงบนนกฮว่าเหมยที่ใกล้ปักเสร็จแล้วบนสะดึงนั้น
ได้ยินเพียงเสียงผ้าขาดแควกบาดหูดังขึ้น ผ้าขาวที่ขึงตึงอยู่บนสะดึงขาดออกจากกันทันที
เสิ่นหลันส่งเสียงอุทานเบาๆ ยกมือปิดปาก มองเซวียอี๋เหนียงด้วยสายตาหวาดผวา
หน้าอกเซวียอี๋เหนียงยังคงสะท้อนขึ้นลงเร็วแรง ชั่วครู่ให้หลังนางถึงค่อยถอนหายใจยาว โยนกรรไกรเล็กและสะดึงที่ขึงผ้าขาดในมือทิ้ง
บิดาเซวียอี๋เหนียงในตอนนั้นก็ชอบเลี้ยงนก เลี้ยงจนทรัพย์สมบัติของครอบครัวไม่มีเหลือ ทำให้ต่อมาบ้านของพวกนางต้องลำเค็ญเพียงนั้น และตอนนี้บุตรชายของนางก็ชอบเลี้ยงนกเช่นกัน…
ช้อนตาขึ้นเห็นเสิ่นหลันมีสีหน้าหวาดผวา เซวียอี๋เหนียงก็เอ่ยปากปลอบนาง “อี๋เหนียงเพียงแต่ถูกความไม่ได้เรื่องของพี่ใหญ่เจ้าทำให้โมโหเท่านั้น”
เสิ่นหลันพยักหน้า
นางรู้ว่าเซวียอี๋เหนียงมีนิสัยสุขุมหนักแน่นมาแต่ไหนแต่ไร ในใจมีเรื่องอะไรก็ไม่มีทางแสดงออกมาทางสีหน้า มีแต่เรื่องของพี่ใหญ่ที่ทำให้อีกฝ่ายสะกดกลั้นความโมโหไว้ไม่ได้ทุกครั้ง
เสิ่นหลันยื่นมือไปกุมมือเซวียอี๋เหนียงพลางเอ่ยปลอบ “อี๋เหนียง พี่ชายเพียงแค่ติดเล่นมากไปหน่อย รอสักระยะให้เขารู้ความแล้วย่อมจะหักห้ามใจเอง”
เซวียอี๋เหนียงยิ้มขื่น
เขาใกล้จะสิบแปดแล้ว ยังต้องรอถึงเมื่อไรกว่าจะหักห้ามใจ รู้จักหาความก้าวหน้าได้ ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ว่าเบื้องล่างยังมีน้องชายที่เกิดจากภรรยาเอกอยู่อีกคน ถ้าเขาก้าวหน้าได้ก็ยังดี แต่ถ้าไม่ได้ สมบัติของสกุลเสิ่นนี้ในภายภาคหน้าก็…
เซวียอี๋เหนียงหลับตาลง ทว่าขณะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสองตานางก็ใสกระจ่าง บนหน้าไม่เห็นโทสะใดๆ อีก นางพลิกมือมากุมมือเสิ่นหลันไว้ มองอีกฝ่ายพลางพูดด้วยท่าทางจริงจัง “พี่ชายเจ้าเป็นพวกไม่รู้จักหาความก้าวหน้า ภายหน้าอี๋เหนียงได้แต่ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องรู้ความ อย่าห่วงการเล็กจนเสียการใหญ่”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ที่สุดแล้วเซวียอี๋เหนียงก็ยังไม่วางใจ จึงพูดต่ออีกว่า “วันพรุ่งนี้เสิ่นหยวนกลับมา ไม่ว่าในใจเจ้าจะไม่ชอบนางเพียงไร ภายนอกก็ต้องทำท่าทางสนิทสนมอบอุ่นกับนางออกมา ห้ามให้ผู้อื่นจับจุดอ่อนของเจ้าได้จนเรื่องลอยไปเข้าหูบิดาเจ้าเด็ดขาด มิเช่นนั้นที่พวกเราทำมาทั้งหมดคงสูญเปล่า”
เสิ่นหลันพยักหน้า “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
เซวียอี๋เหนียงครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “กับเสิ่นเซียง เจ้ายังต้องทำตัวเหมือนเมื่อก่อน ไปมาหาสู่กับนางให้มาก คอยยุยงให้ในใจนางไม่ชอบเสิ่นหยวน ทุกเรื่องก็ให้นางออกหน้า ทำให้พวกนางสองพี่น้องร่วมมารดาทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผลดีต่อพวกเรา ส่วนเสิ่นหง จะอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายสายตรงเพียงคนเดียวของบ้าน ว่างๆ เจ้าก็ไปใกล้ชิดเขาหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่มีผลร้ายต่อเจ้า”
เสิ่นหลันรับคำทุกประโยค เห็นเซวียอี๋เหนียงมีสีหน้าอ่อนเพลีย นางก็ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “อี๋เหนียง ท่านพักผ่อนสักครู่เถอะ ข้าขอตัวกลับก่อน”
เซวียอี๋เหนียงพยักหน้า มองเสิ่นหลันเดินไปทางประตู
เพียงแต่ยามที่เสิ่นหลันเดินไปถึงประตูฉลุลาย นางกลับหันหน้ามามองเซวียอี๋เหนียงพลางทำท่าเหมือนอยากพูดอะไร “อี๋เหนียง เรื่องของหลี่ซิวหยวนนั้น เสิ่นหยวนคงไม่รู้หรอกนะเจ้าคะว่าข้าบงการอยู่เบื้องหลัง”
เวลานั้นนางถูกความริษยาทำให้สมองเลอะเลือน ไม่ได้คิดพิจารณาให้รอบคอบก็จ่ายเงินซื้อตัวสาวใช้นามตงเอ๋อร์ที่ข้างกายเสิ่นหยวน ให้ขโมยจดหมายที่เสิ่นหยวนเพิ่งเขียนถึงหลี่ซิวหยวนแล้วนำไปให้บิดาดู หากเสิ่นหยวนกลับมาคราวนี้แล้วรู้ว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นเป็นนางบงการฟ้องบิดาอยู่เบื้องหลังล่ะก็…
เสิ่นหลันขยำผ้าเช็ดหน้าแพรสีเขียวอมเหลืองอ่อนในมือแน่น
เซวียอี๋เหนียงเห็นความกระวนกระวายของเสิ่นหลันอยู่ในแววตา จึงเอ่ยปากปลอบนางว่า “ตอนนั้นที่เจ้ามาบอกอี๋เหนียงเรื่องนี้ อี๋เหนียงก็หาความผิดของสาวใช้นางนั้นมาเป็นเหตุผล ส่งตัวนางไปให้พ่อค้าทาสทันที และได้กำชับเป็นพิเศษด้วยว่าให้ขายนางไปไกลๆ เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนั้นจะไม่มีใครรู้ความในอีกแล้ว”
คราวนี้เสิ่นหลันถึงค่อยวางใจ เดินออกประตูมาพาสาวใช้กลับไปเรือนของตน
ยามเสิ่นหยวนมาถึงจวนเป็นเวลาบ่ายแล้ว นางยืนอยู่หน้ากำแพงบังตาบริเวณประตูใหญ่ มองดูภาพสลักนูนลายใบบัว ดอกบัว และปลาไนหลากสีบนนั้น ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
บิดาชิงชังที่นางทำเขาขายหน้า แม้ชาติก่อนเขาจำต้องฝืนใจตอบตกลงให้นางแต่งกับหลี่ซิวหยวนตามคำสั่งของท่านป้า ทว่านับแต่นางแต่งเข้าสกุลหลี่บิดาก็ไม่อนุญาตให้นางเหยียบเข้าประตูจวนสกุลเสิ่นอีกแม้แต่ก้าวเดียว ด้วยเหตุนี้จวบจนตายนางก็ไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้สักครั้ง
คิดไม่ถึงว่าตนเองจะยังมีวันที่ได้กลับมาอีก
นางค่อยๆ ยกมือลูบไปบนกำแพงบังตา ศิลาสีเทาเขียวบนนั้นถูกแสงแดดส่องจนอุ่นเล็กน้อย
เสิ่นหยวนรู้สึกว่าดวงตายิ่งร้อนกว่าเดิม คล้ายน้ำตาจะหยดลงมาในเสี้ยวเวลาถัดไป
ฉับพลันนางก็เงยหน้าขึ้น ฝืนบังคับให้น้ำตาไหลกลับลงไป จากนั้นก็มองไปด้านหน้า ยกเท้าก้าวเดินตรงไปด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
ในที่สุดนางก็กลับมาแล้ว และชาตินี้นางจะไม่มีวันยอมมีจุดจบน่าสังเวชเช่นเมื่อชาติก่อนอีก รวมถึงน้องชายน้องสาวของนางด้วย ขณะมารดายังอยู่บนโลกได้หวังอยู่ตลอดให้พวกนางสามพี่น้องมีชีวิตที่ดี ฉะนั้นนางก็จะดูแลพวกเขาให้ดี ไม่ปล่อยให้มีจุดจบน่าเศร้าเช่นในชาติก่อนเด็ดขาด
เซวียอี๋เหนียงพาพวกเสิ่นหลันมารอรับเสิ่นหยวนอยู่ตรงประตูรองซึ่งกั้นเรือนส่วนหน้าและเรือนส่วนใน ครั้นเห็นเสิ่นหยวนเดินมานางก็ก้าวมาหาก่อนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที “คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เสิ่นหยวนมองเซวียอี๋เหนียง
เมืองหลวงช่วงปลายปีอากาศเย็นมากแล้ว เซวียอี๋เหนียงสวมเสื้อผ้าต่วนผ่าหน้าลายดอกสีม่วงอ่อน เสื้อนอกตัวยาวคอตั้งป้ายข้างสีขาวนวลอมเหลืองและกระโปรงจีบเรียบสีม่วงอ่อน รูปโฉมงามสง่าบริสุทธิ์ อากัปกิริยาอ่อนโยนน่าชิดเชื้อ
อันที่จริงชาติก่อนตอนเสิ่นหยวนยังไม่ออกเรือนนั้นรู้สึกว่าเซวียอี๋เหนียงเป็นคนที่ดีมาโดยตลอด เนื่องจากไม่เคยมีเวลาใดที่เซวียอี๋เหนียงไม่มีรอยยิ้มบนหน้าให้นาง พูดจาก็นุ่มนวลราวกับฝนโปรยปรายในฤดูวสันต์ สามารถพูดได้ตรงใจนาง ทำให้นางพอใจได้อย่างพอเหมาะพอดี
ทว่าหลังแต่งไปสกุลหลี่แล้ว บิดาก็สิ้นใจลงในสี่ปีให้หลัง นางมางานศพ เซวียอี๋เหนียงกลับให้คนมาขวางนางไว้ข้างนอก ไม่ให้นางเข้าประตู
เสิ่นหยวนยังจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันตงจื้อ* ท้องฟ้ามีปุยหิมะพัดลอยล่อง เซวียอี๋เหนียงกับเสิ่นหรงยืนอยู่ด้านหลังธรณีประตู มองนางจากที่สูงกว่า ในสายตาเซวียอี๋เหนียงมีเพียงแววยโสและดูแคลน พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ‘เจ้ายังนึกว่าเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลเสิ่นอยู่หรือ บิดาเจ้าเคยบอกไว้นานแล้วว่าสกุลเสิ่นไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นเจ้าอีก ตอนนี้เจ้ากลับมาทำอะไร มาให้อับอายขายหน้าคนหรือไร!’
ทั้งยังตวาดสั่งคนเฝ้าประตูทั้งซ้ายขวาว่า ‘วันหลังหากนางมาอีก ก็ไม่ต้องพูดอะไรกับนางแล้ว ใช้ไม้ตีไล่ไปเลย!’
เวลานั้นนางมีชีวิตอยู่ในสกุลหลี่อย่างยากลำบาก แม้แต่สาวใช้ยังเทียบไม่ได้ เสิ่นเซียงน้องสาวของนางก็ถูกทรมานจนตายที่สกุลเซวีย เสิ่นหงผู้เป็นน้องชายถูกพวกเขาล่อลวงให้เข้าออกหอนางโลม แล้วจงใจหาหญิงที่มีโรคไปให้เขาจนเขาติดโรคมา ทำให้ถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน ไม่รู้หายไปที่ใดนานแล้ว แม้แต่เป็นหรือตายก็มิอาจรู้ได้
ส่วนเสิ่นหลันในเวลานั้นได้แต่งให้บุตรชายสายตรงของรองเจ้ากรมพิธีการแล้ว สกุลเสิ่นไร้บุรุษอื่น เสิ่นหรงจึงได้สืบทอดทุกอย่างของสกุลเสิ่น บิดาเองก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ แม้เซวียอี๋เหนียงจะยังคงเป็นอนุ แต่บุตรชายนางได้สืบทอดทุกอย่างของสกุลเสิ่น เป็นอนุหรือไม่จะมีอะไรสำคัญอีกเล่า
คิดถึงเรื่องทุกอย่างนี้ เสิ่นหยวนก็รู้สึกว่าเลือดลมตีขึ้นตีลงในใจ
นางจิกฝ่ามือแน่น มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากเอามือฟาดไปที่ใบหน้าอันดูอ่อนโยนใจดีไร้พิษภัยตรงหน้านี้ให้สุดแรง แต่นางยังคงอดกลั้นไว้ ไม่เพียงแค่นั้น นางยังแย้มยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้พบอี๋เหนียงมาหนึ่งปีกว่า อี๋เหนียงสบายดีหรือไม่”
เซวียอี๋เหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
ในอดีตเสิ่นหยวนไม่มีทางทักทายผู้อื่นอย่างสงบเยือกเย็นเพียงนี้ ด้วยนางมีนิสัยเย่อหยิ่ง ทั้งยังหุนหันพลันแล่น แม้แต่กับนายท่านและฮูหยินนางก็ยังออกอาการรำคาญเล็กๆ นับประสาอะไรกับผู้อื่น หากแต่ยามนี้…
เซวียอี๋เหนียงไม่ตอบอะไร สายตาพินิจมองเสิ่นหยวนอย่างละเอียด
เสิ่นหยวนสวมเสื้อนอกตัวยาวผ่าหน้าลายดอกสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนและกระโปรงจีบเล็กสีขาวงาช้าง บนศีรษะมีเพียงปิ่นมุกสีขาวหนึ่งอันและดอกไม้ประดับขนนกกระเต็นขนาดเล็กยิ่งอีกสองดอกเท่านั้น
นางดูสงบเสงี่ยมเมินเฉยเพียงนี้ มีชั่วครู่หนึ่งที่เซวียอี๋เหนียงไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือเสิ่นหยวน
ไฉนไปฉางโจวแค่ปีเดียว พอกลับมานางก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเล่า
เสิ่นหยวนเห็นเซวียอี๋เหนียงมองตนเองด้วยท่าทางใจลอยอยู่บ้างก็อมยิ้มมุมปากพลางเอ่ยถาม “อี๋เหนียงเอาแต่มองข้าเช่นนี้ มีอะไรหรือไม่”
เซวียอี๋เหนียงพลันได้สติกลับมา รีบยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเพราะข้าไม่ได้เห็นคุณหนูใหญ่มาหนึ่งปีกว่า พอได้มาเห็นกะทันหัน คุณหนูใหญ่ยิ่งดูงดงามชวนมองกว่าเก่า จึงอดจะมองนานๆ ไม่ได้”
นางหันหน้ากลับไปเรียกเสิ่นหลัน “เจ้ามิใช่พูดบ่อยๆ ว่าเจ้าคิดถึงพี่สาวเจ้ามากหรือไร บัดนี้พี่สาวเจ้ากลับมาแล้ว เจ้ายังไม่รีบมาพบพี่สาวเจ้าอีก”
เสิ่นหลันได้ยินก็รีบก้าวมาหา ยื่นมือมากุมมือเสิ่นหยวน น้ำตาคลอหน่วย พูดขึ้นด้วยความตื้นตันระคนดีใจ “พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาได้เสียที ท่านไม่ทราบหรอกว่าหนึ่งปีมานี้ในใจน้องสาวคิดถึงท่านมากเพียงไร”
เสิ่นหยวนมองเสิ่นหลันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ทว่าในใจนางไม่เชื่อคำของเสิ่นหลันแม้แต่น้อย หากเสิ่นหลันคิดถึงนางอย่างที่พูดจริง ไฉนหนึ่งปีกว่านี้ถึงไม่เห็นส่งจดหมายมาให้นางสักฉบับ ทั้งไม่เห็นเสิ่นหลันร้องขอความเมตตาต่อหน้าบิดาให้รับนางกลับเมืองหลวงในเร็ววัน
ถึงอย่างนั้นบนหน้าเสิ่นหยวนยังคงมีรอยยิ้ม ซ้ำยังยกมือตบหลังมือเสิ่นหลันเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หนึ่งปีกว่านี้พี่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน”
เสิ่นหลันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เมื่อครู่ยามเสิ่นหยวนปราศรัยทักทายอยู่กับเซวียอี๋เหนียง นางมองดูจากด้านข้างก็ให้รู้สึกแปลกใจแล้ว มาตอนนี้ ความรู้สึกแปลกใจนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
คนตรงหน้านี้ใช่เสิ่นหยวนจริงหรือ คำที่นางพูดออกมาเมื่อครู่เป็นคำที่นางในอดีตไม่มีทางพูดออกมาได้แน่
เวลานี้เสิ่นหยวนได้ชักมือเสิ่นหยวนออกจากมือตนแล้วเดินไปหยุดยังเบื้องหน้าเด็กชายที่ด้านข้าง มองเขาด้วยน้ำตาคลอหน่วย
เด็กชายมองเสิ่นหยวนเดินมาใกล้พลางพยักหน้าให้นางอย่างรีบร้อนคล้ายเหนียมอายอยู่บ้าง ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยเรียก “พะ…พี่หญิงใหญ่”
น้ำตาของเสิ่นหยวนพลันไหลลงมา
นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว กุมมือน้องชายผู้นี้ไว้แน่น มองเขาพลางเรียกเสียงเบา “หงเอ๋อร์”
นี่คือเสิ่นหงน้องชายร่วมมารดาของนาง นางยังจำได้ว่าชาติก่อนตอนนางอายุสิบสาม เสิ่นหงใช้เงินเก็บของตนเองไปเลือกเฟ้นปิ่นหยกเขียวอันหนึ่งมาให้นางจากในร้านเครื่องประดับ ทว่านางกลับเดียดฉันท์ว่าหยกนั้นคุณภาพไม่ดี ไม่คู่ควรกับนาง เลยยกปิ่นนั้นให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ต่อหน้าเสิ่นหง
เวลานั้นทั้งหน้าเสิ่นหงมีแต่ความผิดหวัง ตอนนี้นึกกลับไปก็ทิ่มแทงใจเสิ่นหยวนเหลือเกิน
“หงเอ๋อร์” เสิ่นหยวนออกแรงกุมสองมือเสิ่นหงแน่นขึ้น แม้ดวงตานางจะยังมีน้ำตา แต่บนหน้ากลับมีรอยยิ้มบางๆ มองเขาพลางพูดเสียงนุ่ม “พี่กลับมาแล้ว”
เพราะฉะนั้นข้าจะไม่มีวันปล่อยให้น้องชายคนเดียวของข้าต้องมีจุดจบอันน่าเศร้าเช่นเมื่อชาติก่อนอีก
เสิ่นหงเห็นเสิ่นหยวนมีท่าทางเช่นนี้ ในใจกลับตระหนกตกใจอย่างที่สุด
เขาพูดไม่คล่องนัก ติดอ่างอยู่เล็กน้อย ท่าทางก็ดูอ่อนแอปวกเปียก พี่หญิงใหญ่ถึงได้ดูถูกเขาเสมอมา นางพูดกับเขาน้อยครั้งนัก เคยกุมมือเขาเช่นนี้ พูดกับเขาอย่างอ่อนโยนเพียงนี้เสียเมื่อไร
ชั่วขณะหนึ่งเสิ่นหงถึงกับเบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าเวลานี้เขาควรพูดอะไร
ทว่ายามนี้เสิ่นหยวนควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว
เมื่อครู่ขณะมองเห็นเสิ่นหง นางตื่นเต้นเกินไปจริงๆ คิดว่าคงทำเขาตกใจอยู่บ้างกระมัง
นางเก็บมือที่กุมมือเสิ่นหงกลับมา ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะมองไปทางสาวน้อยผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ
เห็นเสิ่นหยวนมองมา นางก็ยอบตัวคารวะก่อนเอ่ยทัก “พี่หญิงใหญ่”
นี่คือเสิ่นเซียวน้องสาวคนที่สี่ของนาง เกิดจากเว่ยอี๋เหนียงอนุอีกคนของบิดา น่าเสียดายที่เว่ยอี๋เหนียงป่วยตายไปตั้งแต่หลายปีก่อน ยามมารดาของเสิ่นหยวนยังอยู่ได้ให้การดูแลเสิ่นเซียวเป็นอันมาก มักพูดว่านางเป็นแม่นางน้อยที่ว่านอนสอนง่าย เพียงแต่นิสัยอ่อนแอจึงถูกคนรังแกได้ง่ายไปสักหน่อย
เสิ่นหยวนพยักหน้าให้เสิ่นเซียว แย้มยิ้มพลางเอ่ยเรียกว่า “น้องหญิงสี่”
ส่วนเสิ่นหรงกับเสิ่นเซียงกลับไม่ได้มา
เซวียอี๋เหนียงยิ้มพลางอธิบาย “พี่ใหญ่ของท่านเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาตรงตรอกถงฮวายังไม่กลับมา ส่วนเซียงเจี่ย เมื่อครู่ข้าให้สาวใช้ไปถามแล้ว นางบอกว่ารู้สึกไม่ใคร่สบายนัก จึงไม่อยากออกจากห้อง”
ในใจเสิ่นหยวนกระจ่างดีว่าเสิ่นเซียงหาใช่ไม่สบายเลยไม่อยากออกจากห้อง อันที่จริงอีกฝ่ายไม่อยากมารับนาง เกรงว่าในใจน้องสาวผู้นี้คงยังไม่อยากให้พี่สาวคนนี้กลับมากระมัง
เสิ่นเซียงคิดมาตลอดว่ามารดาลำเอียงรักนาง มีของดีอะไรก็ให้แต่นาง ส่วนนางเองเมื่อชาติก่อนก็ไม่ชอบที่เสิ่นเซียงชอบเถียงนาง ดังนั้นจึงไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเสิ่นเซียง วันนี้อีกฝ่ายไม่ออกมาต้อนรับนางกลับบ้านก็เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งกว่าอะไร
อยากจะใกล้ชิดกับเสิ่นเซียงย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน เสิ่นหยวนรู้ดีว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ นางจึงเพียงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
เวลานี้เซวียอี๋เหนียงก็พูดยิ้มๆ ขึ้นมาจากด้านข้างอีกครั้ง “พักก่อนข้าได้รับจดหมาย ทราบว่าคุณหนูใหญ่จะกลับมา ในใจให้ยินดีเหลือเกิน เช้ามาจึงให้คนไปเก็บกวาดเรือนซู่อวี้ของท่าน ทั้งยังเพิ่มเติมข้าวของเข้าไปจำนวนหนึ่ง คุณหนูใหญ่ ท่านจะกลับไปดูตอนนี้เลยหรือไม่ หากยังขาดตกสิ่งใด ท่านก็บอกข้าได้เลย ข้าจะให้สาวใช้นำไปส่งให้ท่านทันที”
ในใจเสิ่นหยวนพลันเจ็บปวดขึ้นมา
เมื่อก่อนตอนมารดายังอยู่มีอำนาจดูแลเรื่องในบ้าน นางขาดอะไรต้องการอะไรมีหรือต้องไปบอกคนอื่น สามารถให้สาวใช้ไปหยิบมาตรงๆ ได้เลย ทว่าตอนนี้มารดาจากไปแล้ว เซวียอี๋เหนียงดูแลเรือนส่วนใน นางขาดอะไรไปกลับต้องบอกอีกฝ่ายก่อน
เสิ่นหยวนมองเซวียอี๋เหนียง ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “อี๋เหนียงพูดเช่นนี้เหมือนเห็นข้าเป็นคนนอก นี่เป็นบ้านของข้า หากข้าขาดอะไรย่อมจะให้สาวใช้ไปหยิบเอง”
รอยยิ้มบนหน้าเซวียอี๋เหนียงแข็งค้างไป
วาจานี้ของเสิ่นหยวนแฝงใบมีดโกนอยู่บ้าง
หลังจากนั้นเซวียอี๋เหนียงก็ยิ้มพลางพูดอย่างอ่อนโยนทันที “คุณหนูใหญ่ ท่านอย่าได้คิดมาก ข้าเพียงแค่เป็นห่วงคุณหนูใหญ่เท่านั้น”
สูงศักดิ์ต่ำศักดิ์มีความแตกต่างกัน แม้ตอนนี้นางจะดูแลเรือนส่วนในของจวนสกุลเสิ่นนี้ แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้วนางก็เป็นเพียงอนุคนหนึ่ง อย่างมากก็นับเป็นเจ้านายได้ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่เสิ่นหยวนกลับเป็นบุตรสาวคนโตสายตรง เป็นเจ้านายที่ชอบด้วยทำนองคลองธรรม ดังนั้นเบื้องหน้านางจึงไม่อาจไม่เคารพต่อเสิ่นหยวน
กระนั้นมือขวาของเซวียอี๋เหนียงยังคงออกแรงขยำผ้าเช็ดหน้าแพรสีเขียวอมฟ้าอ่อนในมือแน่น
เสิ่นหยวนไม่ได้มองนางอีก เพียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ
น่าจะใกล้ยามเซิน** แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่ว่าการจะเลิกงานยามเซิน ตอนนี้บิดาน่าจะใกล้ถึงบ้านแล้วกระมัง
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยวนก็เอ่ยสั่งชิงเหอกับชิงจู๋ รวมถึงหญิงรับใช้สูงวัยและสาวใช้ใช้แรงงานอีกไม่กี่คน “พวกเจ้านำหีบที่ข้านำกลับมาไปไว้ที่เรือนซู่อวี้ให้หมด”
พวกชิงเหอชิงจู๋รับคำ แล้วเสิ่นหยวนก็กล่าวกับไฉ่เวยและฉางหมัวมัว “สองคนตามข้าไปห้องหนังสือส่วนหน้าของท่านพ่อ”
นางจำได้ว่ายามบิดาเลิกงานกลับมาจะชอบไปพักผ่อนที่ห้องหนังสือส่วนหน้าก่อน
เซวียอี๋เหนียงได้ยินคำนางแล้ว ใบหน้าก็เปลี่ยนสีน้อยๆ
ที่ผ่านมาเสิ่นหยวนไม่ชอบเจอหน้านายท่านที่สุดแล้ว เนื่องจากนายท่านเห็นนางก็มักจะดุด่าว่านางที่ไม่เรียนเย็บปักถักร้อยให้ดี มักจะทดสอบว่านางเรียนคุณธรรมสตรีได้เป็นอย่างไรแล้ว ฉะนั้นเสิ่นหยวนจึงมักคิดหาทางหลบเลี่ยงนายท่านเสมอ แต่ไฉนตอนนี้นางจึงกลายเป็นฝ่ายต้องการไปพบนายท่านเองเสียเล่า
ยิ่งกว่านั้นเซวียอี๋เหนียงก็กังวลว่าถ้าสองพ่อลูกคู่นี้ได้พบหน้ากันจะอย่างไรพ่อลูกก็มีสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ถึงเวลานั้นขอแค่เสิ่นหยวนร้องไห้สักหน่อย เมื่อนายท่านใจอ่อน ด้วยนิสัยหยิ่งจองหองเช่นที่แล้วมาของเสิ่นหยวนต่อไปไม่รู้จะเกิดเรื่องขึ้นอีกเท่าไร อย่างไรก็ยุ่งยากยิ่ง
ทางที่ดีขอให้นายท่านระอานางไปให้ตลอด ไม่พบหน้านางอีก เช่นนี้เสิ่นหยวนก็ก่อคลื่นลมใดๆ ไม่ได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เซวียอี๋เหนียงจึงกล่าวเสียงนุ่ม “คุณหนูใหญ่ เรื่องพบนายท่านข้าว่าท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนดีกว่า เรื่องนั้นยังติดอยู่ในใจนายท่าน นายท่านยังคงโกรธเคืองท่านอยู่ ข้าขอพูดอย่างไม่กลัวจะทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังเสียใจ ไม่กี่วันก่อนบ่าวมาแจ้งข่าวว่าเรือที่ท่านนั่งมาจะถึงเมืองหลวงวันนี้ แต่นายท่านถึงกับไม่ต้องการให้ใครไปรับที่ท่าเรือ จะให้ท่านกลับมาเอง ข้าต้องชักแม่น้ำมาเกลี้ยกล่อมเป็นครึ่งค่อนวัน นายท่านถึงยอมตกลงให้คนไปรับท่านที่ท่าเรือ ตอนนี้นายท่านยังโกรธเคืองอยู่ หากท่านไปพบนายท่านวันนี้ก็ไม่รู้ว่านายท่านจะว่าอะไรท่านบ้าง ยังคงรออีกสักหลายวันให้นายท่านคลายโทสะก่อนค่อยไปพบจะดีกว่า”
นางชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดยิ้มๆ อีกว่า “นี่ข้าหวังดีต่อคุณหนูใหญ่ ไม่อยากเห็นนายท่านตำหนิท่าน”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.