บทที่สาม
ชุยผิงเอ๋อร์พาหญิงรับใช้อาวุโสหนึ่งคนกับสาวใช้อีกสองคนมายืนสะโอดสะองอยู่ตรงหน้าฉยงเหนียง ใบหน้าของชุยผิงเอ๋อร์ฉาบด้วยอารมณ์อันละเอียดซับซ้อนยากบรรยายชนิดหนึ่ง หลังจากมองพิจารณาฉยงเหนียงที่ผมยุ่งและสวมชุดเนื้อหยาบอยู่พักใหญ่ ชุยผิงเอ๋อร์ถึงค่อยแย้มยิ้มเอ่ยช้าๆ “ท่านพ่อข้าปรารถนาให้ชีวิตข้านับจากนี้มีแต่ความราบรื่น จึงให้ข้าเปลี่ยนไปใช้อักษร ‘ชวน’ ที่มีความหมายว่า ‘สายน้ำ’ ตอนนี้ข้าเปลี่ยนนามเป็นหลิ่วผิงชวนแล้ว ข้าอ่อนกว่าพี่สาวครึ่งเดือน พี่สาวเรียกข้าว่า ‘น้องผิง’ ก็ได้”
นางพูดพลางเดินเข้าลานเรือนสกุลชุยไปเองอย่างชำนาญโดยไม่ต้องให้ฉยงเหนียงนำทาง
การหวนเยือนสถานที่เก่าช่างชวนให้รู้สึกสะท้อนใจมากมายนัก บุตรีภรรยาเอกสกุลหลิ่วที่เปลี่ยนนามใหม่เป็นหลิ่วผิงชวนแล้วเดินไปถึงห้องของฉยงเหนียงเป็นอันดับแรก…ห้องนี้ก็คือที่ซึ่งเมื่อก่อนนางเคยอาศัยมาสิบห้าปี ไม่ว่าจะเป็นรอยร้าวเดิมบนลายฉลุของหน้าต่าง หรือว่าส่วนปลายของด้ายที่เย็บบนมุ้ง ไม่มีสักอย่างเดียวที่มิให้ความรู้สึกอันคุ้นเคย
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เห็นร่องรอยของความลำเค็ญเหล่านี้ นางมักคั่งแค้นเสมอที่ตนเกิดผิดมาอยู่ในครอบครัวยากไร้ จนเมื่อยามนี้ได้มาเห็นอีกครั้ง นางถึงสามารถอมยิ้มก้มมองลูกคนชั้นต่ำอันน่าสมเพชซึ่งมาอยู่ที่นี่แทนตนด้วยสายตาเวทนาสงสารได้
หลิ่วผิงชวนมองดูทุกสิ่งที่ตนคุ้นเคยในวันวานด้วยความเบิกบานจากส่วนลึกของจิตใจ ก่อนจะหมุนตัวมาเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ข้าได้ยินป้าฟั่นที่มาส่งของเมื่อหลายวันก่อนรายงานว่าพี่สาวร่ำร้องจะกลับจวนสกุลหลิ่ว?”
ฉยงเหนียงไม่ได้พูดจา สำหรับสตรีที่ชาติก่อนทั้งขโมยสามีทั้งแย่งชิงบุตรชายหญิงของนางไปผู้นี้ นางแค่เห็นก็สะอิดสะเอียนและคร้านจะพูดอะไรด้วยจริงๆ
ทว่าหากคิดในทางกลับกัน ชาติก่อนนางเองก็ยึดครองบิดามารดาแท้ๆ รวมถึงโชควาสนาของหลิ่วผิงชวนไปเช่นกัน ถือได้ว่าเป็นกงเกวียนกำเกวียน ผลกรรมตามสนองนางแล้ว
ในเมื่อเวรกรรมทั้งหมดนี้ล้วนสืบเนื่องมาจากสองสกุลอุ้มลูกผิดตัว เช่นนั้นชาตินี้สลับคืนเร็วขึ้นหนึ่งปีก็ถือว่าตัดกรรมที่มีต่อกัน นับแต่นี้อีกฝ่ายก็เป็นบุตรีภรรยาเอกในตระกูลใหญ่ อยู่บนเส้นทางแห่งลาภยศสรรเสริญนั้นไป ส่วนนางก็จะเป็นบุตรสาวพ่อค้าเดินเท้าติดดินไปตามความจริง ต่างฝ่ายต่างไม่เกี่ยวพันกันอีกก็แล้วกัน
นางมิใช่เทพเซียนหรือพระอรหันต์อันใด ชาติก่อนนางจมบ่อน้ำตายอย่างไร้เหตุผล ย่อมไม่อาจไร้ความแค้นเคือง ทว่าเรื่องในชาติก่อนก็เป็นบัญชีที่ยุ่งเหยิงจริงๆ หากมิใช่สำนึกว่าเกิดใหม่นั้นไม่ง่าย นางอาจกดข่มความรู้สึกขยะแขยงในชั่วพริบตาแรกที่เห็นอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่ จึงได้แต่หวังว่าชาตินี้จะไม่ต้องพัวพันกันอีกเป็นดีที่สุด
เพียงแต่…เมื่อนางเห็นเครื่องแต่งกายของหลิ่วผิงชวนคล้ายคลึงกับนางในชาติก่อนอย่างน่าประหลาด นางก็เข้าใจบางอย่างกระจ่างแจ้งทันที บางทีหลิ่วผิงชวนอาจเกิดใหม่อีกหนึ่งชาติภพเช่นกัน ทั้งมาเกิดใหม่ก่อนนางอีกด้วย ดังนั้นยามที่นางฟื้นตื่น ทุกสิ่งถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนสิ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะหลิ่วผิงชวนจงใจไปพบหน้าเหยาซื่อเร็วขึ้นนั่นเอง
ในใจฉยงเหนียงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดรวดเร็ว…นางจะปล่อยให้หลิ่วผิงชวนค้นพบเรื่องที่นางเองก็เกิดใหม่ไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้หลิ่วผิงชวนคืนฐานะเป็นคุณหนูสกุลหลิ่วแล้ว เหตุที่มาคราวนี้ก็เพียงจะมาอวดตัวว่าเหนือกว่า หมายจะระบายความอัดอั้นที่เก็บกลั้นไว้ในชาติก่อนเท่านั้น
ทว่าหากถูกอีกฝ่ายมองออกว่านางเองก็มาเกิดใหม่ ด้วยอุปนิสัยของหลิ่วผิงชวนแล้วเกรงว่าจะไม่มัวเล่นแมวจับหนูอย่างเย็นใจสบายอารมณ์เช่นนี้อีก อาศัยฐานะของอีกฝ่ายในตอนนี้ย่อมจะเล่นงานนางถึงตายได้อย่างง่ายดาย…บางทีชาติก่อนหลิ่วผิงชวนก็คงเคยทำเช่นนี้มาแล้ว!
เมื่อนึกถึงสองมือที่ผลักตนลงบ่อในตอนนั้น ในใจฉยงเหนียงก็หนาวสั่นนิดๆ นางรีบฝืนข่มความขุ่นแค้นในใจ หลุบคิ้วตาแล้วหาจังหวะเหมาะๆ เผยสีหน้าหม่นหมองระคนเจ็บใจออกไปเล็กน้อย
ในเมื่อคุณหนูสกุลหลิ่วผู้ยิ่งใหญ่นี้มาเพื่อจะดูเรื่องขบขันของข้าฉยงเหนียง เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายดูไปแล้วกัน แต่หากอีกฝ่ายหมายจะฟาดฟันกันก็เชิญออกกระบวนท่ามาได้เลย ข้าจะทนข่มโทสะในชั่วขณะนี้ไว้ วันหน้าค่อยแก้มืออย่างช้าๆ…
หลิ่วผิงชวนเห็นฉยงเหนียงแสดงออกเช่นนั้นก็แสนจะสาแก่ใจ เมื่อแรกที่นางได้เกิดใหม่ ชั่วอึดใจที่ลืมตาขึ้นนั้น นางคิดเพียงอย่างเดียวว่าสวรรค์เบื้องบนคงเห็นใจในความทุกข์ตรมของนาง ถึงให้นางได้กลับมาเขียนแก้โชคชะตาและวาสนารัก!
ชาตินี้นางวางแผนอย่างแยบยลจนได้กลับเข้าสกุลหลิ่วแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องตกอับไปเป็นนางบำเรอของหลางอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นอีก ชาตินี้นางจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน ส่วนลูกคนชั้นต่ำสกุลชุยนี่ นางก็จะไม่ละเว้นไปง่ายๆ นางจะต้องทำให้ชุยเจียงฉยงค่อยๆ ลิ้มรสความขมขื่นของนางในชาติก่อนที่ต้องตกเป็นนางบำเรอและไม่อาจให้กำเนิดบุตรจนชั่วชีวิตดูบ้าง…
เนื้อร้ายในใจของหลิ่วผิงชวนมิได้บรรเทาลงหรือสลายไปเพราะได้ชีวิตใหม่ ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเน่าเฟะกลัดหนองเพราะถูกกาลเวลาบ่มเพาะ กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้ากลับอ่อนโยนขึ้นทุกที
“พี่สาว อย่าได้ตำหนิที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่มาเยี่ยมพี่เลย เป็นเพราะพวกท่านคำนึงถึงจิตใจข้า อันที่จริงข้าก็เคยโน้มน้าวพวกท่านทั้งสองแล้ว อย่างไรเสียก็เลี้ยงดูพี่สาวมาถึงสิบห้าปี คนเคยเป็นพ่อแม่ลูกกันมา สองฝ่ายคิดถึงกันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์…คราวนี้ท่านแม่ข้าจึงให้ข้านำเสื้อผ้าที่ตัดใหม่จำนวนหนึ่งมาให้พี่ด้วย”
ฟังสิ ยังคงเป็นสุ้มเสียงหวานใสที่มาพร้อมน้ำคำอันละมุนละไม เข้าคู่กับคิ้วที่หลุบต่ำและดวงตาที่เป็นมิตร ช่างเหมือนสาวน้อยที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสียนี่กระไร!
หากมิใช่เกิดใหม่อีกหน ฉยงเหนียงก็อาจหลงนึกว่าหลิ่วผิงชวนเป็นคนอ่อนหวานจิตใจดี จากนั้นก็คลายความระวังต่ออีกฝ่าย
น่าเสียดายที่ท่าทีจอมปลอมเยี่ยงนี้ของหลิ่วผิงชวนฉยงเหนียงคนปัจจุบันมองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว นางจึงตอบโดยไม่เผยสีหน้าอาการ “ขอบคุณคุณหนูหลิ่ว เพียงแต่หลังจากกลับมาบ้านสกุลชุย ข้าต้องช่วยพ่อแม่หาบน้ำทำกับข้าว ชุดที่งามวิจิตรเหล่านั้นสวมแล้วไม่ค่อยเหมาะกับโอกาส จะทำให้สิ้นเปลืองของไปเปล่าๆ ยังคงรบกวนคุณหนูหลิ่วนำกลับไปกำนัลแก่ผู้อื่นเถิด”
หลิ่วผิงชวนไม่แปลกใจกับคำตอบนี้ ในชาติก่อนหลิ่วเจียงฉยงผู้เคยลือนามทั่วเมืองหลวงคนนั้นหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งยวด ต่อให้ชาตินี้ตกอับสู่ครอบครัวพ่อค้าแต่แรก ก็ไม่มีทางไยดีสิ่งที่ผู้อื่นเจือจานให้ด้วยความเวทนาเด็ดขาด
คิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มมุมปากของหลิ่วผิงชวนก็ยิ่งคล้ายบุปผาบานสะพรั่ง หึๆ น่าเสียดายที่ชาตินี้สตรีผู้มากความสามารถมิใช่บุตรีตระกูลขุนนางอีกต่อไป กระดูกของคนหัวแข็งเยี่ยงนี้ต่อให้โยนเข้าตรอกในตลาด แม้แต่สุนัขก็ไม่ไยดีจะกัดแทะ
ฟังจากรายงานของป้าฟั่นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ฉยงเหนียงกลับมาอยู่ที่นี่ก็อาละวาดร้องไห้จะเป็นจะตายเรื่อยมา ทำเอาสามีภรรยาสกุลชุยอ่อนล้าเหลือทน คิดว่าคนทั้งบ้านคงจะเอือมระอาอดีตคุณหนูผู้เปราะบางที่จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่กันแทบแย่แล้วกระมัง
เช่นนี้ตรงใจหลิ่วผิงชวนพอดี แม้สกุลหลิ่วจะพรั่งพร้อมด้วยลาภยศ ทว่าหากเอ่ยถึงความผูกพันในครอบครัว อย่างไรเสียสามีภรรยาสกุลชุยที่เลี้ยงดูตนมาก็สนิทชิดใกล้ยิ่งกว่า ยามนี้ตนใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ที่สกุลหลิ่ว แต่ก็ไม่อยากให้ฉยงเหนียงยึดครองความผูกพันของบิดามารดาเลี้ยงสกุลชุยไป ดังนั้นพอได้ยินข่าวว่าฉยงเหนียงอยู่ที่สกุลชุยไม่ได้ใจคนในบ้าน หลิ่วผิงชวนจึงพลันรู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นมาก
แม้ถูกฉยงเหนียงปฏิเสธน้ำใจเรื่องเสื้อผ้า หลิ่วผิงชวนก็ไม่มีท่าทีขุ่นเคือง เพียงให้สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังปูเบาะผ้าดิ้นบนม้านั่งหินในลานเรือน จากนั้นหลิ่วผิงชวนก็ถือผ้าเช็ดหน้ามานั่งบนม้านั่งหิน ตั้งใจจะคอยสามีภรรยาสกุลชุยกลับมาพบกันก่อน ค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง
พอเห็นคุณหนูนั่งปักหลัก สาวใช้กับหญิงรับใช้อาวุโสที่ติดตามนางมาต่างก็ง่วนกับงานทันที ที่ชงชาก็ชงชา ที่โบกพัดก็โบกพัด ยังมีสาวใช้หัวไวอีกคนจุดกำยานไว้ด้านข้าง ด้วยติว่าในลานเรือนมียุงมากเหลือเกิน พวกยุงพวกแมลงวันจะได้ไม่บินหึ่งๆ มารบกวนการพักผ่อนของคุณหนู
สาวใช้ที่หัวไวผู้นั้นมีนามว่าปี้สี่ นางจุดกำยานเสร็จไม่พอ ยังจงใจเยินยอเครื่องแต่งกายของหลิ่วผิงชวนเสียงดังต่อหน้าฉยงเหนียง “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้ทั่วร่างของท่านล้วนดูงามตื่นตา เมื่อครู่ตอนที่ลงจากรถม้า คนบ้านนอกเหล่านั้นล้วนมองท่านจนตาค้างราวกับโง่งมไปทีเดียว!”
วาจาสอพลอยังไม่ทันขาดคำ หญิงรับใช้อาวุโสที่ชงชาอยู่ก็ร้องรับต่อทันที “อย่าว่าแต่คนบ้านนอกเลยเจ้าค่ะ เมื่อวานฮูหยินพาคุณหนูไปร่วมงานชุมนุมบทกลอนที่ฮูหยินอัครเสนาบดีจัดขึ้นเป็นการภายใน บรรดาคุณหนูฮูหยินที่สายตากว้างไกลเหล่านั้นก็ยังมองท่านไม่วางตาเลยมิใช่หรือ แต่ละคนแย่งกันถามว่าชุดของคุณหนูผิงชวนตัดเย็บที่ใด ทำให้ฮูหยินของพวกเราได้หน้ามากเชียวเจ้าค่ะ!”
ปี้สี่รับช่วงต่อ “นั่นสิเจ้าคะ ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าชุดนี้คุณหนูของพวกเราเป็นผู้วาดแบบขึ้นเอง จริงสิ เมื่อครู่เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมนั้นยังสอบถามข้าเลย ก็ตอนที่ไปถามหาคุณชายซั่งที่โรงเตี๊ยมเมื่อครู่นั่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ…”
“อะแฮ่ม…” หลิ่วผิงชวนพลันกระแอมตัดบทเหล่าข้ารับใช้ที่ปากมากคุยฟุ้ง ขณะเดียวกันก็กวาดตามองฉยงเหนียงปราดหนึ่งอย่างแนบเนียน
ฉยงเหนียงคร้านจะแลพฤติกรรมกระโตกกระตากของคนจนที่เพิ่งกลายเป็นผู้มั่งมีใหม่ จึงกลับเข้าห้องครัวไปทำอาหารเย็น โดยถือเสียว่ามองไม่เห็นนายบ่าวที่น่ารำคาญใจกลุ่มนี้
ชาติก่อนที่นางแต่งเข้าสกุลซั่ง มารดาสามีใจดำคร่ำครึ เคร่งครัดเรื่องความกตัญญูของลูกสะใภ้ต่อมารดาสามีเป็นพิเศษ ประกอบกับรู้เบื้องหลังชาติกำเนิดของนาง จึงจิกใช้นางอย่างไม่เกรงใจสักนิด ทั้งเรียกร้องให้นางทำงานครัวด้วยตนเอง โดยอ้างเพียงคำโบราณว่า ‘เจ้าสาวที่เพิ่งแต่งเข้ามาพึงลงครัวทำอาหาร’
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีนั้น คุณหนูที่ได้รับการประคบประหงมมาแต่เล็กเช่นนางจึงสามารถทำอาหารอย่างชำนิชำนาญ ถึงขั้นแสดงฝีมือได้อีกแขนงในงานเลี้ยงของเหล่าสตรีชั้นสูงในเวลาต่อมา
เพียงแต่เมื่อก่อนงานใต้เตาเช่นการเติมฟืนล้วนมีสาวใช้ช่วยทำให้ ตอนนี้นางคนเดียววุ่นทั้งบนหม้อและใต้เตาจึงไม่แคล้วมือเท้าปั่นป่วนอยู่บ้าง ไม่ทันไรดวงหน้าที่ขาวสะอาดก็มีผงขี้เถ้าเกาะเล็กน้อยแล้ว
ชุ่ยอวี้สาวใช้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิ่วผิงชวนเดิมทีเป็นสาวใช้คนสนิทของฉยงเหนียง ยามนี้เห็นนายเก่าสวมชุดเนื้อหยาบเสียบปิ่นไม้ นั่งยองทำงานอยู่หน้าเตาในห้องเพดานเตี้ย ในใจชุ่ยอวี้ก็พลันเจ็บปวด ทนไม่ไหวอยากจะไปช่วยเหลือ ทว่าน่าเสียดายร่างเพิ่งจะขยับก็ถูกหลิ่วผิงชวนตวัดตาใส่ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ชุ่ยอวี้จึงได้แต่ชะงักฝีเท้า เบนสายตาที่เปียกชื้นไปทางอื่น
ตอนที่ฉยงเหนียงลุกขึ้นเทน้ำก็เห็นการกระทำของชุ่ยอวี้อยู่ในสายตา หัวใจนางพลันร้อนผะผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม…เด็กคนนี้ภักดีปกป้องนายไม่เคยเปลี่ยนเลย
ชาติก่อนตอนที่นางออกเรือน แม้สกุลหลิ่วคำนึงถึงหน้าตาจึงมอบสินเจ้าสาวให้ไม่น้อย ทว่าตอนนั้นข้ารับใช้ใกล้ชิดในจวนสกุลหลิ่วล้วนรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนางแล้ว ประกอบกับคนที่นางแต่งด้วยก็เป็นบุตรหลานตระกูลยากจน เมื่อใดที่ฐานะนางถูกเปิดโปง อนาคตก็ไม่อาจคาดเดาเลยจริงๆ
ดังนั้นพวกที่รู้จักอ่านสถานการณ์จึงใช้ทุกวิถีทางไปเอาใจหญิงรับใช้อาวุโสคนสนิทของเหยาซื่อ มุ่งหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยพูดจาต่อหน้าฮูหยิน อย่าให้ตนเป็นสาวใช้ที่ติดตามไปกับขบวนเจ้าสาว มีเพียงชุ่ยอวี้ที่ไม่รู้จักวางแผนอนาคตตนเอง ขันอาสาจะติดตามฉยงเหนียงเข้าไปอยู่ในสกุลซั่ง
หลังจากมาที่สกุลซั่งแล้ว ชุ่ยอวี้ก็อยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด แม้ต่อมาซั่งอวิ๋นเทียนสอบติดขุนนางก็ไม่เคยมีความคิดจะปีนขึ้นเตียงเจ้านายเลย ตอนที่ชุยผิงเอ๋อร์เข้าออกสกุลซั่งบ่อยครั้ง ชุ่ยอวี้ก็เตือนสติฉยงเหนียงหลายหนว่าต้องระวังไว้ น่าเสียดายที่ฉยงเหนียงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ…
ฉยงเหนียงคนน้ำแกงข้นในหม้อเบาๆ ทอดถอนใจให้กับความตามัวใจบอดของตนในเวลานั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าชาติก่อนหลังจากตนตายแล้วเด็กคนนี้เป็นเช่นไรบ้าง ฉยงเหนียงพลันวิตกแทนชุ่ยอวี้จนหลั่งเหงื่อเย็นเต็มมือ หากหลิ่วผิงชวนเกิดใหม่จริงๆ ตามอุปนิสัยของอีกฝ่ายคงจะคิดแค้นและกลั่นแกล้งชุ่ยอวี้เป็นแน่…แล้วบุตรชายหญิงคู่นั้นของตนเล่าต่อมาเป็นเช่นไร
ฉยงเหนียงไม่อยากคิดต่อไปอีก ทว่าดวงตาทั้งคู่ก็ยังคงแดงเรื่อ ทำให้หลิ่วผิงชวนที่อยู่ในลานเรือนมองดูแล้วคล้ายฉยงเหนียงหลั่งน้ำตาเพราะทนงานหนักในครัวไม่ไหว ในใจหลิ่วผิงชวนจึงรู้สึกสาแก่ใจอีกหน
เมื่อชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา* ผ่านไป เสียงของสามีภรรยาสกุลชุยกับชุยฉวนเป่าก็ดังมาจากนอกประตูลาน
วันนี้พวกเขากลับมาเร็วเป็นพิเศษ ดวงตะวันเพิ่งจะคล้อยสู่ทิศตะวันตกก็กลับบ้านแล้ว พวกเขาเห็นรถม้าคันหรูจอดอยู่ที่หน้าประตูบ้านได้ตั้งแต่ไกล ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าสกุลหลิ่วส่งคนมาอีกแล้ว ด้วยเป็นห่วงฉยงเหนียงที่อยู่บ้านตามลำพัง พวกเขาจึงเร่งฝีเท้ามาทันที
ฉยงเหนียงเพิ่งจะยืนขึ้นจากหน้าเตา ยังไม่ทันขยับฝีเท้า หลิ่วผิงชวนก็เยื้องย่างอย่างอ่อนช้อยไปถึงหน้าประตูดุจนางแอ่นโผบิน พอเปิดประตูให้ด้วยตนเองก็มองสามีภรรยาสกุลชุยพร้อมหยาดน้ำที่รื้นหางตา
ชุยจงกับหลิวซื่อต่างก็ตะลึงงันเพราะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วผิงชวนจะกลับมา อย่างไรเสียนี่ก็คือบุตรสาวที่พวกตนเลี้ยงดูมาสิบห้าปี ตอนเล็กๆ ที่ตัวอ่อนนิ่มก็อุ้มไว้แนบอกป้อนนมจนเติบใหญ่ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ลูกในไส้ แต่ชั่วข้ามคืนที่นางจากบ้านไป พวกเขาก็ยังหลั่งน้ำตาแห่งความคะนึงอย่างห้ามไม่อยู่ ตอนนี้พอได้พบหน้า หลิวซื่อจึงข่มใจไม่ไหวกอดหลิ่วผิงชวนไว้ในอ้อมอก
หลิ่วผิงชวนฉวยจังหวะตอนที่เอียงตัว รีบชำเลืองมองฉยงเหนียงที่ยืนอยู่หน้าห้องครัว พอเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ตรงธรณีประตูมองนางกับหลิวซื่อกอดกัน ในใจนางก็ท่วมท้นด้วยอารมณ์เบิกบานที่ยากจะสะกดกลั้น
นางต้องการให้ฉยงเหนียงที่วางตัวสูงส่งจนเคยชินได้รู้ว่าเมื่อออกจากสกุลหลิ่วมาแล้ว คำว่า ‘สตรีผู้มากความสามารถ’ ที่เรียกกันนั้นก็ไม่มีค่าแม้แต่เฉียน** เดียว ต่อให้กลับมาที่สกุลชุยก็ไม่มีที่ให้ฉยงเหนียงหยั่งเท้า!
ชุยฉวนเป่าที่อยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าแข็งค้างของฉยงเหนียง จึงทนไม่ไหวกระตุกแขนเสื้อมารดาพลางส่งสายตาให้
หลิวซื่อมองตามสายตาบุตรชายไป จึงค่อยเห็นว่าใบหน้าของฉยงเหนียงที่เมื่อเช้ายังขาวสะอาดบัดนี้เกาะไปด้วยเขม่าจากเตาไฟ ในดวงตาทั้งคู่มีหยดน้ำขังคลอ ขบริมฝีปากนิดๆ พลางมองตนที่เป็นมารดา ดูอย่างไรก็เผยความน้อยใจไม่สิ้นสุด
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเสียกิริยา ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของฉยงเหนียง หลิวซื่อก็รีบคลายมือออกแล้วหมุนตัวไปเอ่ยกับฉยงเหนียงทันที “ไหนว่าจะรอแม่กลับมาค่อยทำกับข้าวไม่ใช่หรือ ในห้องครัวไอน้ำมันแรงนัก ระวังจะรมตาเจ้าเสีย รีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”
หลิ่วผิงชวนฟังจบก็ซับน้ำตาพลางกล่าวอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่พูดถูกแล้ว เมื่อก่อนพี่ฉยงเหนียงไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ เมื่อครู่ยังทำไปร้องไห้ไปเลย พี่รีบออกมาพักจะดีกว่า ท่านแม่ที่สกุลหลิ่วได้ยินว่าพักนี้พี่ไม่เจริญอาหาร ทั้งฟังจากหญิงรับใช้อาวุโสที่พักก่อนมาส่งสิ่งของเอ่ยรายงานว่าพี่ต้องการจะกลับไป ในใจท่านให้เป็นทุกข์นัก หลายวันนี้ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นทีเดียว แต่ถึงแม้ท่านมิอาจมาเยี่ยมพี่เอง ก็ยังสั่งให้ข้านำรังนกจำนวนหนึ่งมาให้พี่บำรุงร่างกาย”
นางพูดพลางสั่งหญิงรับใช้อาวุโสนำกล่องไม้หุ้มผ้าต่วนแพรใบหนึ่งยกประคองไปถึงเบื้องหน้าฉยงเหนียง
ฉยงเหนียงมองผ่านฝากล่องที่เปิดแง้มอยู่ ข้างในถึงกับเป็นรังนกที่แตกเป็นเศษละเอียดแล้ว ยากนักที่ยังอุตส่าห์รวบรวมเป็นกล่องได้!
หลิ่วผิงชวนคล้ายเพิ่งมองเห็น จึงขึงตาต่อว่าหญิงรับใช้อาวุโสผู้นั้น “ใครกันเป็นผู้บรรจุกล่อง เหตุใดจึงบรรจุแต่เศษแตกเหล่านี้”
หญิงรับใช้อาวุโสเอ่ยตอบทันทีราวท่องบทมาก่อนแล้ว “รังนกของกำนัลมีเพียงกล่องนี้เจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าคุณหนูผิงชวนร่างกายเปราะบาง รังนกที่สมบูรณ์ต้องเก็บไว้ให้ท่านกินก่อน ส่วนที่เหลือทั้งหมดค่อยบรรจุใส่กล่องสำหรับส่งมาให้คุณหนูสกุลชุยเจ้าค่ะ”
ฉยงเหนียงคิดในใจ…หากจิตวิญญาณของข้าเป็นแค่แม่นางน้อยจริงๆ ด้วยสภาพจิตใจของข้าคนเก่า น่ากลัวว่าคงจะร่ำไห้โวยวายวิ่งกลับสกุลหลิ่วไปซักถามเหยาซื่อว่าเหตุใดจึงไร้ไมตรีเพียงนี้ ตัดรอนกันด้วยการให้เศษรังนก เห็นข้าเป็นยาจกขอทานไปแล้วหรือไร
ขืนข้าทำเช่นนี้จริงๆ คิดดูก็รู้ได้ว่าคนสกุลชุยจะกระอักกระอ่วนมากเพียงใด
คิดมาถึงตรงนี้ ฉยงเหนียงก็ยื่นมือรับกล่องหุ้มผ้าต่วนแพรใบนั้นมา หางตานางมองเห็นชุยจงกับหลิวซื่อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางช้อนตาขึ้นมองไปทางหลิ่วผิงชวนที่แสร้งส่งยิ้มขออภัยมาให้นางพลางตอบกลับอย่างผ่อนคลาย “ก่อนนี้เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักคิด ทำให้พ่อแม่ข้าต้องเป็นกังวลเพราะข้าโดยใช่เหตุ พักก่อนข้าป่วยหนัก แม่ข้าดูแลข้าจนซูบเซียวลงไปมาก รังนกนี้แม้ป่นสักหน่อย ทว่าไม่กระทบต่อสรรพคุณ ใช้บำรุงร่างกายให้แม่ข้าได้พอดี”
หลิ่วผิงชวนฟังจบ สีหน้าก็แข็งทื่อนิดๆ คล้ายนึกไม่ถึงว่าฉยงเหนียงจะอดกลั้นไหว แต่เมื่อนึกถึงพฤติกรรม ‘แม้อยู่อย่างทนทุกข์ก็ยังจะรักหน้ายิ่งชีพ’ ของฉยงเหนียงในชาติก่อน หลิ่วผิงชวนก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเพียงกำลังอวดเก่งฝืนทนต่อหน้าตนเท่านั้น ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะหยัน
ฝ่ายหลิวซื่อพอได้ยินคำพูดนี้ก็ผลิยิ้มบนใบหน้า รู้สึกว่าพอฉยงเหนียงคลายทิฐิแล้วความจริงก็เป็นเด็กที่รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น ในจุดนี้เปรียบกับหลิ่วผิงชวนที่ช่างเอาชนะคะคานในทุกเรื่องแล้วยังเหนือกว่ามากนัก
ตอนนี้เองชุยฉวนเป่าที่นิ่งมองอยู่ด้านข้างมาตลอดก็ควักห่อกระดาษห่อหนึ่งจากในอกเสื้อยื่นส่งให้ฉยงเหนียง “พวกเขาบ้านผู้มีอันจะกินช่างมัธยัสถ์นัก กระทั่งเศษของเหลือก็อุตส่าห์จัดใส่กล่องมากำนัลผู้อื่นเพื่อเอาหน้าได้อีก รังนกอะไรนั่นแค่ฟังก็ได้กลิ่นขี้นกแล้ว ห่อนี้คือน้ำตาลจากต้นอ่อนข้าวสาลีที่พี่ซื้อตรงมุมถนน อีกประเดี๋ยวเจ้าเอามันไปชงน้ำดื่มเถอะ”
วาจาแดกดันนี้ทำให้สีหน้าของหลิ่วผิงชวนแปรเปลี่ยนในทันที เมื่อก่อนนางโวยวายใส่ชุยฉวนเป่าเป็นประจำจนเคยชินแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องด่าทอไล่หลังเขาไปอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้นางไม่มีฐานะจะทำเช่นนั้นอีก จึงได้แต่ลอบแค้นเคืองที่ชุยฉวนเป่าไม่รู้จักคิด
หลิวซื่อรู้สึกว่าคำพูดของบุตรชายชวนประดักประเดิดนักจึงรีบเอ่ยเบี่ยงประเด็น “เมื่อครู่ตอนกลับมาแม่ซื้อหมูสามชั้นมาด้วยสองจิน ในเมื่อผิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว แม่ก็จะตุ๋นหมูสามชั้นให้พวกเจ้ากินดีหรือไม่” หลิวซื่อจำได้ว่าหลิ่วผิงชวนชอบกินหมูตุ๋นเป็นที่สุด
แต่น่าเสียดายที่นางลืมไปว่าชุยผิงเอ๋อร์คนเดิมของนางบัดนี้เป็นถึงคุณหนูสกุลหลิ่วผู้สูงส่งและได้กินอาหารชั้นเลิศทุกวัน มีหรือยังจะเห็นหมูสามชั้นที่นางซื้อจากริมทางอยู่ในสายตา
ภายหลังได้ชมภาพอันน่าสมเพชของฉยงเหนียงที่ร่วงตกลงมาจากก้อนเมฆแล้ว หลิ่วผิงชวนก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อ จะได้ไม่ใช้เวลานานไปจนเหยาซื่อนึกระแวงและไม่พอใจขึ้นมา
หลิ่วผิงชวนใคร่ครวญดูแล้วตนมาครั้งนี้ต้องทิ้งความคับอกคับใจไว้ให้ฉยงเหนียงนับไม่ถ้วนเป็นแน่ ตอนนี้อีกฝ่ายก็แค่ฝืนทำเยือกเย็นต่อหน้าตน รอจนตนจากไปแล้ว อีกฝ่ายจะต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนอาละวาดไม่ไยดีสามีภรรยาสกุลชุยแน่นอน ถึงตอนนั้นดูซิว่าชุยฉวนเป่าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ที่ช่วยพูดประคองสถานการณ์ให้หญิงปากดีนั่น!
หลิ่วผิงชวนจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา บอกเพียงว่าวันหน้าสะดวกจะมาเยี่ยมบิดามารดาสกุลชุยใหม่
ก่อนจากหลิ่วผิงชวนใช้ให้หลิวซื่อไปแบ่งผักดองที่ตนกินจนคุ้นลิ้นแล้วมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบากับฉยงเหนียงตอนที่คนอื่นๆ เผลอว่า “ตอนนี้พี่กลับมาสกุลชุยแล้ว ต่อให้ท่านแม่ที่สกุลหลิ่วมีใจจะช่วยเหลือพี่ แต่เพราะติดขัดที่พ่อแม่สกุลชุย ย่อมไม่สะดวกจะแสดงออกชัดเจนนัก ว่ากันถึงที่สุดแล้วคู่ครองของสตรีที่ยังไม่ออกเรือนต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด ท่านแม่ที่สกุลหลิ่วได้ยินว่าอีกไม่ช้าจะมีผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาพำนักช่วงสั้นๆ ที่เชิงเขาสยาซานริมลำธารชิวถานนอกตำบลฝูหรงนี่เอง…ท่านผู้นั้นมีรูปโฉมไม่ธรรมดา ฐานะก็สูงส่ง ที่สำคัญที่สุดคือยังไม่ได้แต่งภรรยาเอก…”
พูดมาถึงตรงนี้หลิ่วผิงชวนก็จงใจเว้นไว้ ลูบคลำกำไลหยกสีเขียวปลอดบนข้อมือตนพลางมองพิจารณาชุดกระโปรงเนื้อหยาบของฉยงเหนียงราวกับสงสารเห็นใจอย่างที่สุด ก่อนจะเอ่ยต่อ “รูปโฉมของพี่สาวงดงามดุจบุปผาดั่งจันทราเช่นนี้ พี่จะต้องยึดกุมให้ทันท่วงทีเชียว หาไม่หากพ่อแม่สกุลชุยเลือกบุตรชาวนามาเป็นสามีของพี่ นี่สิจึงเรียกว่าไม่อาจพลิกฟื้นไปชั่วชีวิต”
ฉยงเหนียงกะพริบตามองหลิ่วผิงชวนด้วยท่าทีที่ดูตื่นตระหนก ทั้งที่จริงในใจอยากจะตบหน้าคุณหนูหลิ่วผู้นี้อีกสักฉาดเหลือเกิน
ดูเอาเถอะ วาจานี้ช่างพูดได้ดียิ่งนัก ฟังเผินๆ ก็เหมือนเหยาซื่อทำทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยวางแผนอนาคตแทนนางจริงๆ
ผู้สูงศักดิ์ที่หล่อเหลาหนุ่มแน่นยากจะพบพานในรอบร้อยปีอะไรนั่น น่าจะเป็นหลางอ๋องฉู่เสียที่หลิ่วผิงชวนไปเข้าหาในชาติก่อนเสียมากกว่า เห็นชัดว่าหลิ่วผิงชวนคิดจะเสี้ยมสอนให้ผู้อื่นแสดงบทบาทเก่าของตนเองที่แอบหนีบิดามารดาออกจากบ้านไปขายตัวแลกเกียรติยศฉากนั้นอีกรอบ
ทว่าหากเปลี่ยนเป็นฉยงเหนียง เหยาซื่อก็คงจะไม่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ไปช่วยไถ่อิสรภาพแทนลูกเลี้ยงอย่างนางกระมัง เช่นนั้นนางจะไม่อเนจอนาถยิ่งกว่าหลิ่วผิงชวนในชาติก่อนหรือไร
อีกอย่างฉู่เสียผู้นั้นชาติก่อนนางเองก็เคยได้พานพบ หากไม่ได้ยินพฤติกรรมของเขามาก่อน อีกฝ่ายก็นับเป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากจริงๆ น่าเสียดายที่เขาลงเอยไม่ดีนัก คู่ควรจะใช้คำว่า ‘ผู้สูงศักดิ์’ เสียเมื่อไร นับดูแล้วช่วงที่พบเห็นเขาบ่อยที่สุดในชาติก่อน น่าจะเป็นช่วงที่เขาก่อกบฏล้มเหลว ยังไม่ทันเปิดฉากก็ถูกจยาคังตี้จับกักบริเวณในวัดเนี่ยนฝ่าบนเขาหวงซานที่ชานเมืองก่อนแล้ว นับแต่นั้นทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน พยัคฆ์ร้ายที่ถูกถอนเขี้ยวแล้วผู้นี้ก็ยังได้รับพระเมตตาให้มาเผยโฉมต่อหน้าผู้คนในงานเลี้ยง
ตอนนั้นจะว่าไปก็แปลกยิ่ง ทุกครั้งที่นางออกจากจวนไปร่วมงานเลี้ยงมักจะเห็นเขาในงานด้วย โจรกบฏที่ก่อการล้มเหลวผู้หนึ่งไม่ว่าไปตรงที่ใดก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นเขายืนโดดเดี่ยวอยู่ในงานไม่มีใครไยดี นางจะรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนเขาเสียด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับมีท่าทีโอหังและดูผ่อนคลายสบายใจเสมอ…
เพียงนึกถึงคนผู้นั้น กระทั่งข้ามมาอีกหนึ่งชาติภพแล้วฉยงเหนียงก็ยังรู้สึกปวดหัว นางจึงเลิกคิดต่อ
หลิ่วผิงชวนมาเยือนเร็วแล้วจากไปดุจสายลมหอบ ชั่วพริบตาลานเรือนอันคับแคบก็หวนคืนสู่ความสงบเงียบเช่นกาลก่อน คงเหลือเพียงหลิวซื่อที่ออกไปส่งตรงเชิงสะพานและยืนมองรถม้าค่อยๆ ลับหายไปตรงมุมถนนอย่างห่อเหี่ยว
ฉยงเหนียงเข้าอกเข้าใจจิตใจของหลิวซื่อได้ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นลูกที่เลี้ยงดูมาจนโตกับมือ หลิวซื่อไม่เหมือนเหยาซื่อที่สะบัดมือทิ้งลูกให้สาวใช้กับแม่นม ความรู้สึกที่มารดาทั้งสองคนมีต่อบุตรสาวย่อมจะลึกซึ้งแตกต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรหลิวซื่อก็มิอาจเป็นเช่นเหยาซื่อที่พอรู้ว่านางไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็เย็นชาไม่เหลือหัวจิตหัวใจของมารดาผู้การุณย์อีก
ฉยงเหนียงวางกล่องไม้หุ้มแพรใบนั้นไว้อีกด้าน ตักน้ำสำหรับล้างหน้ามาให้บิดามารดาก่อนยิ้มถาม “เดิมทีนึกว่าจะเร่งมือทำกับข้าวเสร็จได้ก่อนที่ท่านพ่อท่านแม่จะกลับมาเสียอีก มือไม้ลูกยังคงช้าเกินไป ว่าแต่เหตุใดวันนี้พวกท่านถึงกลับมาได้เร็วเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
พอได้ยินคำถามนี้ ชุยฉวนเป่าก็ตอบอย่างคักคึกตื่นเต้น “ก็เพราะฝีมืออันยอดเยี่ยมจากปลายพู่กันของเจ้าอย่างไรเล่า มีผู้มาสอบขุนนางคนหนึ่งเดินผ่านข้างแผงของพวกเรา พอเห็นขนมที่เจ้าวาดก็พูดตรงๆ เลยว่าเป็นผลงานอัศจรรย์ ทั้งเรียกสหายมาล้อมชมด้วย สุดท้ายมีคุณชายที่ดูมีฐานะหลายคนพูดว่าขนมนี้ไม่อาจแยกขาย จึงเหมาซื้อขนมไปทั้งหมดเลย”
ฉยงเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พลันโล่งใจ ใบหน้ายิ่งยิ้มแฉ่งอย่างชัดเจน…ขนมนั้นก็ต้องซื้อครบชุดสิ!
นางเสียเวลาตลอดช่วงสาย วาดเลียนแบบภาพถนนในตำบลฝูหรงขนาดย่อส่วนลงไปบนขนมทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเต็มถาด ทั้งเพิ่มภาพเหตุการณ์บนถนนขณะเจ้าหน้าที่ส่งเทียบมงคลมาแจ้งข่าวดีต่อผู้ที่สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน* ด้วย
ลางดีเช่นนี้ขอเพียงเป็นผู้เข้าสอบที่ไม่ขาดแคลนเงินทองก็จะต้องซื้อไปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวอย่างแน่นอน
ตอนนี้หลิวซื่อเองก็เดินกลับเข้ามาในลานเรือนแล้ว พอได้ยินคำพูดนี้จึงเอ่ยพร้อมเผยความยินดีบนใบหน้าเช่นกัน “ภาพฝีมือเจ้าประณีตนักเชียว ผู้มาสอบขุนนางเหล่านั้นยังจะสั่งจองอีก แต่พ่อเจ้าไม่ได้รับปากในทันที เพราะกลัวว่าเจ้าจะเสียสายตา ร่างกายแบกรับไม่ไหว”
ฉยงเหนียงยิ้มกล่าว “นี่เป็นเรื่องดี เหตุใดไม่รับปากเล่าเจ้าคะ ภาพเหล่านั้นเพียงใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไป เดิมทีก็ไม่ใช่ผลงานวิจิตรที่ตกทอดมาแต่โบราณอะไรอยู่แล้ว หากพวกเขาต้องการ พรุ่งนี้ลูกจะวาดใหม่ เพียงแต่พรุ่งนี้ท่านพ่อท่านแม่ต้องทำขนมเพิ่มมากหน่อย”
วันนี้ทั้งขายของได้เงิน ทั้งซื้อหมูสามชั้นมา หลิวซื่อจึงทำหมูตุ๋นที่ตนถนัด จากนั้นคนทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมโต๊ะไม้กินข้าวกันเคล้าเสียงสนทนายิ้มหัว
ชาติก่อนฉยงเหนียงได้รับการอบรมว่ายามกินไม่ให้พูดคุย ยามนอนไม่ให้ส่งเสียง ทว่าบรรยากาศอันสุขสันต์สมัครสมานที่คนทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกันเช่นนี้ทำให้นางเกิดความอบอุ่นจากใจชนิดหนึ่ง จึงร่วมพูดคุยไปด้วยหลายประโยค
หลังมื้ออาหาร ฉยงเหนียงช่วยมารดาล้างชาม ก่อนจะไปยืนกินผลไม้รสเปรี้ยวพลางชมทัศนียภาพอยู่ที่ข้างกำแพงลานเรือน บ้านเรือนริมน้ำที่อยู่รอบข้างล้วนกระหวัดวนด้วยควันไฟจากการหุงต้ม แทรกแซมด้วยกลิ่นหอมของอาหารหลากชนิดที่บอกชื่อไม่ถูก ตรงเชิงสะพานแว่วเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กน้อยเปลือยก้นที่วิ่งไล่กันไปถึงใต้สะพานแล้วใช้ฟางข้าวมัดไส้เดือนเพื่อตกปู ไม่รู้ใต้ต้นหลิวที่โน้มกิ่งอยู่ริมตลิ่งมีแม่นางบ้านใดกำลังแอบนัดพบกับชายหนุ่มที่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำ…
ฉยงเหนียงที่เคยผ่านชีวิตมาแล้วหนึ่งชาติภพก็มิได้ต่างจากแม่นางน้อยผู้หนึ่งแม้แต่น้อย นางวางมือแตะกับกำแพงพลางคลี่ยิ้มมองดูทุกสิ่งนี้
เมื่อไม่มีการปิดกั้นของประตูสีชาดกับกำแพงสูง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนอย่างจริงแท้ และรู้สึกได้ชัดแจ้งว่าตนมีชีวิตอยู่อย่างเท้าติดดินจริงๆ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกใหม่ทว่าก็สบายใจยิ่งนัก
เพียงแต่นางหารู้ตัวไม่ว่ารอยยิ้มอันอ่อนหวานเช่นนี้กลับกลายเป็นทิวทัศน์งามในสายตาของผู้อื่น…
“พี่ซั่ง เอ่ยถึงตำราเล่มที่สามแล้ว ไฉนจู่ๆ เงียบเสียงไปเสียเล่า”
คนจากหมู่บ้านเดียวกันที่อยู่ด้านข้างของซั่งอวิ๋นเทียนพลันยื่นมือไปตบบ่าเขา ซั่งอวิ๋นเทียนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างโรงเตี๊ยมถึงค่อยได้สติคืนมา
เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ด นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเข้าสอบในเมืองหลวง มารดาเกรงว่าระหว่างทางเขาจะขาดคนดูแล จึงไหว้วานฟางต๋าผู้เข้าสอบจากหมู่บ้านเดียวกันให้คอยช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ค่าของกินของใช้ในเมืองหลวงนั้นสูงกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงทำเช่นเดียวกับผู้เข้าสอบส่วนใหญ่เสียเลย กล่าวคือมาพำนักเตรียมสอบที่ตำบลฝูหรงนี้ก่อนชั่วคราว รอถึงวันสอบค่อยรุดเข้าเมืองหลวง
คืนนี้หลังมื้ออาหาร ทั้งสองอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงมายืนพิงหน้าต่าง อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟที่แขวนสูงของหอสุราซึ่งอยู่ติดกันเพื่อทบทวนตำราเตรียมการสอบที่จะมาถึง
แต่ใครจะรู้ว่าขณะอ่านอยู่ ซั่งอวิ๋นเทียนกลับเงียบเสียงไปเสียอย่างนั้น ฟางต๋ามองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นเพียงท้ายทอยของฉยงเหนียงที่ผละจากข้างกำแพงลานเรือนไปพอดี
แม้ไม่ได้เห็นใบหน้าตรงๆ ทว่าดูจากรูปร่างที่อรชรนั้นก็เพียงพอจะเห็นได้ว่าเป็นคนงามผู้หนึ่ง ฟางต๋าจึงหยอกเย้าทันที “ตำราย่อมจะนำพามาซึ่งหญิงงาม พี่ซั่งมีความรู้ไม่ธรรมดา ไยต้องกังวลเล่าว่าวันหน้าจะมิอาจสอบผ่านและได้แต่งกับคนงามที่พึงใจ”
เมื่อครู่ซั่งอวิ๋นเทียนเองก็บังเอิญเหลือบไปเห็น ถึงได้ถูกรอยยิ้มอันหวานซึ้งของแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกำแพงลานเรือนด้านนั้นทำให้เคลิบเคลิ้มเผลอสติโดยไม่รู้ตัว บัดนี้เมื่อถูกผู้อื่นจับได้ เขาจึงพลันขัดเขินจนใบหน้าร้อนฉ่าหัวใจเต้นแรง รีบโบกมือชี้แจงว่าตนเพียงมาเมืองหลวงเพื่อลองสอบ ไม่ได้คิดหวังว่าจะโชคดีสอบผ่าน
หลังจากพูดหยอกเย้าจบ ฟางต๋าก็หยิบห่อกระดาษหนึ่งห่อออกมา “วันนี้เจิ้งจวี่เหริน* ซื้อขนมมาหนึ่งถาดใหญ่ ด้านบนถึงกับวาดภาพมงคลแจ้งข่าวการสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน เขาสนิทกับข้าเป็นการส่วนตัวจึงตั้งใจแบ่งขนมสองชิ้นมาให้ข้าเพื่อเป็นสิริมงคล ตอนนี้ท่านก็มาชิมขนมกับข้าเถอะ” เขาพูดพลางคลี่ห่อกระดาษออก
แลเห็นบนขนมแม้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพถนน ทว่าลายเส้นของกระเบื้องมุงหลังคาและต้นหลิวล้วนช่ำชองละเอียดลออ ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าในตำบลเล็กๆ ถึงกับมียอดฝีมือด้านการวาดภาพเช่นนี้อยู่ด้วย มิน่าเล่าผู้คนถึงกล่าวว่าใต้พระบาทโอรสสวรรค์มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ต่อให้เป็นตำบลริมน้ำที่อยู่ติดกับเมืองหลวงก็ยังมียอดคนผู้สันโดษอาศัยอยู่ ทำให้ซั่งอวิ๋นเทียนที่ชื่นชอบการวาดภาพมาแต่ไหนแต่ไรประคองขนมขึ้นพินิจพิเคราะห์อยู่เป็นนาน ไม่อาจหักใจกินเข้าปากได้เสียที
อาการลุ่มหลงเพียงนี้ทำให้ฟางต๋าหัวเราะร่วนทีเดียว “รีบๆ กินเถอะ ต่อให้ขนมนี่งดงามเพียงใดก็เป็นของที่เสียได้ ได้ยินว่าพรุ่งนี้พวกเจิ้งจวี่เหรินยังจะไปจองซื้อที่แผงขนมนั้นอีก หากท่านชื่นชอบก็ไปชมความครึกครื้นด้วยกันสิ”
ซั่งอวิ๋นเทียนตอบรับด้วยความยินดี
ตอนนี้เองเสี่ยวเอ้อร์ที่ชั้นล่างก็นำเทียบคารวะหนึ่งฉบับมาส่ง ชี้แจงว่าตอนกลางวันที่พวกเขาสองคนออกไปข้างนอก มีคุณหนูนั่งรถม้าคันหรูผู้หนึ่งสั่งสาวใช้นำเทียบนี้รวมถึงโสมอีกหนึ่งกล่องมามอบให้ซั่งอวิ๋นเทียนผู้มาจากอำเภอเม่าไฉ
ซั่งอวิ๋นเทียนรับเทียบคารวะที่กรุ่นกลิ่นหอมของดอกไม้มาเปิดออกดูด้วยความฉงน ด้านในคือลายมือที่งามเป็นระเบียบ เขียนเพียงว่า…
‘ข้าคือคุณหนูสกุลหลิ่วแห่งเมืองหลวง นามว่าผิงชวน เร็วๆ นี้ได้ยินว่าซั่งอวิ๋นเทียนบุตรชายอดีตอาจารย์สอนหนังสือของหลิ่วเจียงจวีพี่ชายข้าจะมาสอบที่เมืองหลวงในไม่ช้า ข้าจึงจัดเตรียมของกำนัลแทนพี่ชาย หวังว่าคุณชายซั่งจะรับไว้’
ซั่งอวิ๋นเทียนอ่านแล้วหัวคิ้วขมวดมุ่น ในใจรู้สึกไม่ชอบใจต่อพฤติกรรมของคุณหนูหลิ่วผู้นี้อยู่บ้าง เดิมทีสตรีในตระกูลขุนนางไม่พึงกระทำบุ่มบ่ามขาดความสำรวมเยี่ยงนี้ ไฉนจึงผลีผลามมาเยือนทั้งๆ ที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน
ฟางต๋าที่อยู่ด้านข้างย่อมจะมองออก ครั้นเบนสายตาไปดูรากโสมที่อวบอิ่มต้นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา “บอกแล้วว่าพี่ซั่งมีวาสนาด้านนารี ดูสิ คุณหนูในเมืองหลวงถึงกับมาหาท่านโดยเฉพาะ ช่างสมดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากมีวาสนา แม้อยู่ห่างพันหลี่ ก็ยังได้พบพาน’!”
ยังไม่ทันขาดคำ ซั่งอวิ๋นเทียนก็ฉีกเทียบคารวะนั้นเป็นชิ้นๆ แล้วเอ่ยสีหน้าจริงจัง “พี่ฟางโปรดระวังคำพูด ชื่อเสียงของคุณหนูตระกูลขุนนางใช่สิ่งที่ท่านและข้าลบหลู่ได้หรือ บิดาข้าเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้คุณชายหลิ่วจริง บางทีนางอาจได้รับการไหว้วานจากพี่ชายถึงได้แวะมาส่งของกำนัลแทน เพียงแต่คงเพราะอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการเขียนจดหมายถึงบุรุษด้วยตนเองเช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสม ดังนั้นย่อมไม่พ้นที่ท่านกับข้าจะนิ่งเสียตำลึงทอง ช่วยรักษาเกียรติให้นาง เรื่องนี้จึงขอให้ยุติแต่ในห้องนี้ อย่าได้เล่าต่อออกไปอีก!”
ฟางต๋าถูกกำชับจนเบื้อใบ้ไร้วาจา ได้แต่สั่นศีรษะยิ้มตอบ “พี่ซั่งเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ เมื่อครู่เป็นข้าเองที่หุนหันพลันแล่น แค่กๆ วันหน้าสตรีที่ได้แต่งให้ท่านช่างมีโชควาสนาจริงๆ!”
หลังจากทั้งสองจบบทสนทนายิ้มหัวก็ดับตะเกียงพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองยังไม่ได้กินอาหารเช้าในโรงเตี๊ยมก็เดินเล่นมาถึงหน้าแผงขนมสกุลชุยแล้ว
เดิมทีนึกว่าพวกตนถือเป็นคนกลุ่มแรกๆ คาดไม่ถึงว่าหน้าแผงที่ไม่ใหญ่โตนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนก่อนแล้ว มีผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยมากินขนมแกล้มน้ำชา หมายถือโอกาสพบปะยอดคนผู้วาดภาพบนขนมเมื่อวานนี้ด้วย
ทว่าหลังจากรอคอยอยู่ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา หน้าแผงก็มีเพียงสามีภรรยาสองคนนั้นที่เข้าๆ ออกๆ และไม่เห็นจะยกขนมที่วาดลวดลายออกมาเสียที
พอมีบางคนใจร้อนส่งเสียงถามอย่างหมดความอดทน เถ้าแก่แซ่ชุยก็ยิ้มตอบว่า “อีกประเดี๋ยวจะส่งมา”
ไม่นานนักเด็กหนุ่มรูปกายกำยำผู้หนึ่งก็ยกถาดเดินฉับๆ มาถึงจริงเสียด้วย ไม่ทันรอให้เขาวางถาดลงบนชั้นวาง ผู้คนก็รุมล้อมเข้ามาแล้ว
อาจเพราะเวลากระชั้นชิด วันนี้จึงวาดภาพบนขนมหยกขาวเพียงสิบชิ้น ดูโหรงเหรงบางตา ทั้งภาพบนนั้นก็มิใช่ทิวทัศน์ถนนย่านการค้า หากแต่เป็นภาพวิหคบุปผา
ขอเพียงเป็นผู้ที่พอจะมีความรู้ด้านงานวาดแบบลงรายละเอียด ล้วนรู้ว่างานวาดที่ทดสอบฝีมือมากที่สุดก็คือภาพวิหค สิ่งมีชีวิตที่ประเปรียวนี้หากไม่มีพรสวรรค์กับฝีมือนานนับปีก็ไม่อาจวาดให้ดูราวจะทะยานออกจากแผ่นกระดาษได้ นับประสาอะไรกับการวาดบนขนมซึ่งมิได้เรียบลื่นเช่นกระดาษเซวียนจื่อ ยิ่งเป็นการทดสอบกำลังข้อมือกับความอดทนของผู้วาดโดยแท้
กระนั้นยอดคนนิรนามผู้นี้ก็ยังคงตวัดพู่กันได้ดังใจนึก ไม่ว่าจะเป็นภาพนกขมิ้นเอี้ยวกระหวัดยอดกิ่ง นกสาลิกาเกาะกิ่งแจ้งข่าวดี นกยวนยางหยอกเย้าคู่เคียงน้ำ…ลวดลายบนขนมทั้งสิบชิ้นนี้แตกต่างกันก็จริง ทว่าทุกแบบล้วนชวนให้ผู้รักภาพวาดชมดูได้โดยไม่ละสายตา อย่างน้อยซั่งอวิ๋นเทียนก็บังเกิดอารมณ์วู่วามอยากจะซื้อขนมเหล่านี้มาเป็นของตนทั้งหมด
เมื่อเขาสอบถามราคา เด็กหนุ่มที่มาส่งขนมก็ชิงตอบก่อน โดยไม่รอให้เถ้าแก่แผงขนมได้เอ่ยปาก “ขนมนี้ทำจากแป้งข้าวเหนียวอย่างดี น้ำสะอาดที่ใช้นวดแป้งก็ผสมรังนกชั้นเลิศ กินแล้วมีสรรพคุณบำรุงเป็นเยี่ยม ฉะนั้นขนมนี้จึงราคาหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งชิ้น และมีจำกัดเพียงสิบชิ้นเท่านั้น สินค้ามีน้อยไม่คอยคนนะขอรับ ลูกค้าท่านใดที่ต้องการก็ต้องรีบจับจองเร็วหน่อยแล้ว!”
วาจานี้พอออกจากปาก สามีภรรยาสกุลชุยที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจจนตัวสั่นก่อนใคร ไม้คลึงแป้งเกี๊ยวที่อยู่ในมือหลิวซื่อหวิดจะปลิวกระเด็น
นางอยากจะเคาะเปิดกะโหลกบุตรชายออกดูจริงๆ ว่าตอนล้างหน้าใช่ทำน้ำหกเข้าไปหรือไม่ ขนมราคาหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งชิ้น? ไฉนเขาไม่หยิบมีดปังตอออกไปปล้นกลางถนนเสียเลยเล่า
ในฝูงชนมีคนแค่นหัวเราะเหยียดหยามดังคาด “น้องชายช่างคุยโวเก่งเสียจริง! อย่างแผงลอยกลางแจ้งของพวกเจ้าจะมีรังนกชั้นเลิศอะไรได้ อยากได้เงินจนฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง!”
ชุยฉวนเป่าฟังจบก็ยกหม้อดินเผาใบเล็กที่อยู่บนถาดขนมเมื่อครู่ลงมาเปิดฝาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เผยให้เห็นน้ำแกงสีเหลืองทองในหม้อซึ่งมีโก๋วฉี่กับพุทราแดงลอยอยู่ ดูดีเป็นอย่างยิ่ง
เขากล่าวเสียงดัง “ส่วนผสมในน้ำสะอาดที่ใช้นวดแป้งก็คือรังนกตุ๋นในหม้อดินเผาใบเล็กนี้ ขอบังอาจเรียนถามว่ามีท่านผู้ใดรู้จักรังนกบ้างหรือไม่ ลองชิมดูสักนิดก็จะรู้เอง”
เจิ้งจวี่เหรินที่ซื้อขนมไปเมื่อวานมาจากตระกูลคหบดีจึงก้าวออกมาทันใด
ชุยฉวนเป่าเทรังนกตุ๋นใส่ถ้วยให้เขาลองชิม เขาดื่มลงไปสองคำก็ผงกศีรษะกล่าว “รสชาติไม่แพ้รังนกทรงถ้วยอย่างดีจากหน้าผาริมทะเลที่บ้านข้าเก็บสะสมไว้เลย เป็นของชั้นเลิศจริงเสียด้วย ทั้งฝีมือการตุ๋นเคี่ยวก็ชำนิชำนาญ ตุ๋นคู่กับเถาเจียว และเห็ดหูหนูขาวยิ่งไม่สามัญ มิใช่วิธีการแบบชาวบ้านชนบทเป็นอันขาด!”
ผู้เข้าสอบเหล่านี้อยู่ร่วมกันมาพักหนึ่งแล้ว ต่างรู้ว่าเจิ้งจวี่เหรินผู้นี้เป็นผู้มั่งคั่งที่ไม่ขาดแคลนเงินทอง เสื้อผ้าของกินของใช้ล้วนพิถีพิถัน เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ความระแวงแคลงใจจึงสลายไปสิ้น เพียงแต่ต่อให้ของดีจริงสมราคา ขนมชิ้นละหนึ่งตำลึงเงินนี้ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะมีปัญญาได้อิ่มเอม ดังนั้นจึงเพียงแต่ร่วมกันพิเคราะห์ภาพครู่หนึ่งก็ตั้งท่าจะแยกย้ายกันไป
ฝ่ายเจิ้งจวี่เหรินผู้นั้นแม้จะชื่นชอบความงามประณีตของขนมนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อวานเขาจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อขนมไปหนหนึ่งแล้ว หากวันนี้ยังจะเหมาหมดอีก ย่อมไม่แคล้วถูกครหาว่าถลุงเงินฟุ่มเฟือย ดังนั้นจึงบอกซื้อเพียงหนึ่งชิ้นเพื่อลิ้มลองความแปลกใหม่ ทั้งหมายจะยั่วให้เหล่าสหายร่วมรุ่นนึกอิจฉา
ต่อให้ขายออกแค่ชิ้นเดียว ราคาหนึ่งตำลึงเงินนี้ก็เพียงพอจะซื้อขนมโก๋ข้าวเหนียวได้ร้อยกว่าชิ้นแล้ว สามีภรรยาสกุลชุยฟังจบจึงพลันเปลี่ยนจากวิตกเป็นเบิกบาน
หลิวซื่อใคร่ครวญในใจ…สมองไม้อวี๋ของบุตรชายคิดอุบายการค้าเช่นนี้ไม่ออกแน่ น่าจะเป็นความคิดของฉยงเหนียงมากกว่า รอจนวันนี้ขายของเสร็จแล้วต้องเก็บแผงเร็วหน่อย ข้าจะไปร้านผ้าเพื่อซื้อผ้าสีสดสวยสักหลายฉื่อมาตัดชุดให้ฉยงเหนียง
ข้าจะทำให้สกุลหลิ่วได้รู้เสียบ้างว่าสกุลชุยไม่ต้องให้พวกเขาสกุลหลิ่วแวะเวียนมาเจือจานก็มีชุดงดงามใส่ สกุลหลิ่วจะได้ไม่ส่งคนมาทำให้บุตรสาวข้าต้องเสียน้ำตาโดยใช่เหตุอีก
ทว่าตอนนี้เองกลับมีบ่าวดุร้ายในชุดหรูหราผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า “จงห่อขนมหยกขาวสิบชิ้นนี้มา นายข้าต้องการเหมาทั้งหมด”
เดิมทีเจิ้งจวี่เหรินหมายจะอวดความมั่งมีของตน ไหนเลยคาดคิดว่าจะมีคนโผล่มาตัดหน้ากลางคัน เขาจึงเลิกคิ้วถลึงตาเอ่ยแย้งทันที “ข้าบอกแล้วว่าจะซื้อหนึ่งชิ้น เหตุใดเจ้าไม่รู้จักลำดับก่อนหลังเสียบ้างเล่า!”
บ่าวดุร้ายผู้นั้นวางโตจนเคยชินแล้ว เมื่อครู่ผ่านทางมาเห็นตรงนี้มีฝูงชนรวมตัวคับคั่งจึงเข้ามาร่วมชมความครึกครื้นด้วย พอเห็นขนมนี้ดูประณีตอย่างคาดไม่ถึง เขาก็นึกได้ว่าเจ้านายโปรดปรานภาพวาดมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งไม่กี่วันนี้ก็ไม่เจริญอาหาร เขาจึงคิดจะซื้อขนมพื้นเมืองไปให้เจ้านายกินเปลี่ยนรสชาติสักหน่อย ไม่คิดว่ากลับเจอคนไม่รู้จักกาลเทศะมายั่วอารมณ์เขาเสียได้ เขาจึงไม่แม้แต่จะแลเจิ้งจวี่เหริน เพียงโยนใบไม้ทองคำลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “ผู้ให้ราคาสูงย่อมได้ไป!”
การกระทำนี้เรียกเสียงเซ็งแซ่ได้จากรอบทิศ พฤติกรรมซื้อขนมด้วยใบไม้ทองคำเช่นนี้พบเห็นได้ไม่มาก ไม่รู้ว่านายของเขาคือผู้เข้าสอบจอมผลาญทรัพย์จากตระกูลใดกันแน่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.