บทที่สี่
เจิ้งจวี่เหรินแม้ร่ำรวยก็เป็นเพียงคหบดีจากบ้านนอก อย่างไรเสียก็ไม่มีปัญญาเอาอย่างพฤติกรรมโยนใบไม้ทองคำเยี่ยงนั้น ทว่าเรื่องเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าสหายรุ่นราวคราวเดียวกันจะให้เขาอดทนยอมแพ้ไปได้อย่างไร
เนื่องจากเขาไม่แน่ใจที่มาของอีกฝ่าย จึงได้แต่เล่นงานชุยจงแทน “ข้าเอ่ยปากจะซื้อก่อน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขาย หากไม่อาจจัดการอย่างยุติธรรม วันนี้ข้าจะล้มแผงของเจ้าเสีย!”
อุปนิสัยของชุยจงสมดังชื่อที่มีความหมายว่า ‘ซื่อสัตย์’ ทำสิ่งใดล้วนยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง เขาจึงรีบหันไปหาบ่าวดุร้ายผู้นั้นแล้วยิ้มพูดไกล่เกลี่ย “ในเมื่อลูกค้าท่านนั้นเอ่ยปากก่อน จะอย่างไรก็ต้องขายให้เขาหนึ่งชิ้น ลูกค้าท่านนี้ซื้ออีกเก้าชิ้นที่เหลือ ข้าจะคิดราคาให้ท่านถูกหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”
บ่าวดุร้ายผู้นั้นคร้านจะเปลืองน้ำลาย เพียงส่งสายตาให้ลูกสมุนร่างกำยำหลายคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ละคนก็พากันชักดาบพกที่ส่องแสงแปลบปลาบออกมา หนึ่งในนั้นพลันเงื้อมือลงดาบ สิ้นเสียงฉับก็เฉือนมุมโต๊ะออกไปแล้ว
นี่ใช่พฤติกรรมของสุภาพชนเมื่อไรกัน ตอนนี้ฝูงชนเพิ่งจะสังเกตว่าเครื่องแต่งกายของคนเหล่านี้ไม่คล้ายชาวภาคกลาง บนร่างยิ่งแผ่ซ่านความดุดันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
สามีภรรยาสกุลชุยพลันลนลานไม่รู้ควรจะรับมือเช่นไรดี
ตอนนี้เองเสียงพูดอันละมุนละไมของสตรีก็พลันดังมา “เปิดประตูทำการค้าก็ย่อมขายแก่ผู้ให้ราคาสูง ส่วนลูกค้าที่เอ่ยปากก่อนท่านนั้น โปรดลองดูว่าจะซื้อขนมชนิดอื่นไปดีหรือไม่”
ซั่งอวิ๋นเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองตามสายตาของทุกคนไป เห็นแม่นางน้อยร่างอรชรผู้หนึ่งสวมงอบยืนอยู่เบื้องหลังฝูงชนดุจดอกบัวที่ชูช่อสะท้อนผิวน้ำ เพียงแค่มองปราดเดียวนี้เขาก็ไม่อาจละสายตาอีก
ที่แท้วันนี้ฉยงเหนียงรีบตื่นแต่เช้านำพวกโก๋วฉี่กับเศษรังนกที่หลิ่วผิงชวนกำนัลให้ไปแช่น้ำสะอาดที่ตักจากบ่อแล้วตุ๋นปรุงด้วยตนเอง จากนั้นผสมแป้งข้าวเหนียวแล้วทำเป็นขนมหยกขาวสิบชิ้นนี้กับมือ
ตอนที่นางยังเป็นฮูหยินจวนสกุลซั่งก็เคยกินเจกับเหล่าฮูหยินของผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง หลายครั้งที่ไทเฮานึกครึ้มอกครึ้มใจให้ขายอาหารเจการกุศลเพื่อรวบรวมเงินบริจาค นางก็ค่อยๆ ฝึกฝนวิธีทำอาหารเจครบชุดจนสันทัดช่ำชองและได้รับคำชมจากไทเฮาว่ารสชาติดี นางจึงเข้าครัวบรรจงทำอาหารเจกับอาหารที่มีสรรพคุณทางยาไปเอาใจไทเฮาอยู่บ่อยครั้ง
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว นางสืบทอดรสมือที่ดีมาจากหลิวซื่อนั่นเอง ดังนั้นขนมหยกขาวที่นางเป็นผู้นึ่งจึงไม่ด้อยกว่าในวังหลวงเป็นอันขาด ราคาชิ้นละหนึ่งตำลึงเงินนี้มิใช่เรียกราคาสูงส่งเดช พึงรู้ไว้ว่าชาติก่อนขนมฝีมือนางที่มีมูลค่าสูงสุดในงานการกุศลถูกขายออกไปด้วยราคาชิ้นละหนึ่งก้อนทองเชียว
ส่วนชุยฉวนเป่าก็รู้แก่ใจว่าเมื่อวานที่ได้กินหมูตุ๋นเป็นผลงานของน้องสาวที่ดูคล้ายเปราะบางผู้นี้ เด็กหนุ่มยังคงตะกละไม่หาย มุ่งหวังว่าวันนี้จะได้กินอาหารดีๆ อีก ดังนั้นเขาจึงว่าง่ายคอยเชื่อฟังคำกำชับของฉยงเหนียงที่ต้องการให้เรียกราคาสูง รอจนท่องคำของนางได้ขึ้นใจ เขาก็ยกประคองถาดใบใหญ่นำขนมไปส่ง
ทว่าพอพี่ชายจากไปแล้ว ในใจฉยงเหนียงกลับกระสับกระส่าย ชาติก่อนนางมีชื่อเสียงเกื้อหนุนในฐานะสตรีผู้มากความสามารถ นางลงมือปรุงอาหารใช่ว่าจะหาซื้อได้ด้วยเงินทอง ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงบุตรสาวพ่อค้าแผงลอยในตำบลเล็กๆ ขนมหนึ่งชิ้นเรียกราคาหนึ่งตำลึงเงิน ตรองอย่างละเอียดแล้วนางก็ขาดความมั่นใจขึ้นมา ดังนั้นจึงสวมงอบออกจากบ้านมายืนสังเกตการณ์อยู่หลังฝูงชนแต่ไกล
เมื่อแรกที่ได้ยินว่าเจิ้งจวี่เหรินจะซื้อขนมหยกขาวหนึ่งชิ้น นางก็พลันโล่งอก ในใจรู้ดีว่าขอเพียงขายออกหนึ่งชิ้นก็มีกำไรแน่แล้ว ใครจะรู้ว่าชั่วพริบตากลับมีบ่าวดุร้ายผู้หนึ่งโผล่มาทำมือเติบจนเกิดเหตุโต้เถียงกัน
เดิมทีมีคนมาแข่งราคาย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าฉยงเหนียงดวงตาเฉียบคม มองเห็นป้ายพกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของบ่าวดุร้ายผู้เป็นหัวหน้านั้นในปราดเดียว บนป้ายคือรูปสลักสัตว์มงคลไป๋เจ๋อตรงกลางมีอักษรจ้วนคำว่า ‘ฉู่’ อยู่ตัวหนึ่ง
ในชาติก่อนรูปสัญลักษณ์นี้ยังถูกปักลายบนธงของกองทัพด้วย ธงรูปไป๋เจ๋อซึ่งเดิมทีเป็นตัวแทนของลางมงคลนี้ไม่ว่าไปถึงที่ใดก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งข่าวศึกจุดขึ้นทั่ว จากนั้นก็จะมีการรบราฆ่าฟันอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสัญลักษณ์ของหลางอ๋องฉู่เสียมิใช่หรือไร!
บรรดาศักดิ์หลางอ๋องนี้เป็นอ๋องต่างแซ่ มารดาของฉู่เสียคืออวิ๋นเจ๋อฟูเหรินญาติผู้พี่ของจยาคังตี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน บิดาคือฉู่กุยหนงซึ่งเดิมมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ฝู่หย่วน
เนื่องจากในอดีตฉู่กุยหนงเป็นผู้ปราบเหตุไม่สงบในแดนใต้ จยาคังตี้ซาบซึ้งที่เขาตรากตรำอย่างหนักและสร้างความชอบใหญ่หลวง จึงแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องต่างแซ่ ปกครองพื้นที่ศักดินาที่เจียงตง เมื่อฉู่กุยหนงล่วงลับ ฉู่เสียบุตรชายคนเดียวของเขาก็สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อ
ทว่าต่างจากฉู่กุยหนงผู้โอบอ้อมและรักษาจารีต อ๋องหนุ่มผู้นี้กลับมีความประพฤติพิลึกเหลวไหลนับไม่ถ้วนตั้งแต่เล็ก กระนั้นเขาก็สืบทอดวิชายุทธ์อันยอดเยี่ยมกับฝีมือคุมทัพราวเทพเซียนมาจากบิดา หลายครั้งที่เขาคุมทัพล้วนคว้าชัยอย่างงดงาม จึงได้รับพระราชทานทั้งบำเหน็จและคำชมเชย
บางทีนี่อาจจะส่งเสริมความทะเยอทะยานของเขา จนสุดท้ายจิตใจคนเราไม่รู้จักเพียงพอ คิดการกบฏขึ้นมา
ตอนนั้นฉยงเหนียงออกเรือนแล้ว จู่ๆ อยู่มาปีหนึ่งไพร่พลของหลางอ๋องฉู่เสียก็พลันรุกเข้าสู่เมืองหลวง บุกรวดเดียวมาถึงด่านเหร่าสยาซึ่งอยู่ห่างจากเชิงกำแพงเมืองเพียงห้าร้อยหลี่
ชั่วขณะนั้นทุกคนในเมืองหลวงล้วนเกรงภัยมาถึงตัว แม้แต่ซั่งอวิ๋นเทียนก็เร่งสั่งคนขุดห้องลับใต้ดินแล้วตระเตรียมเสบียงกรังให้บุตรกับภรรยาเข้าไปซ่อนตัวหลบภัย
ไหนเลยจะคาดคิดเมื่อไพร่พลนั้นใกล้ประชิดกำแพงเมืองหลวง จยาคังตี้กลับมุ่งหน้าไปยังค่ายใหญ่ของฉู่เสียด้วยตนเอง ไม่รู้เช่นกันว่าพูดอย่างไร ฉู่เสียถึงกับประกาศถอยทัพ จยาคังตี้ก็เพียงลงโทษฉู่เสียผู้แสนอุกอาจด้วยความผิดฐานละทิ้งหน้าที่โดยพลการ สั่งกักบริเวณฉู่เสียในวัดเนี่ยนฝ่าซึ่งเป็นวัดหลวงบนภูเขาหวงซาน แล้วประกาศต่อภายนอกเพียงว่าเขาอยู่ปฏิบัติธรรมโดยไม่ปลงผม เพื่อไถ่บาปจากการเข่นฆ่าในสนามรบที่ผ่านมา…
สำหรับจุดจบสุดท้ายของหลางอ๋องผู้นี้ ฉยงเหนียงที่ตกบ่อลึกไปก่อนแล้วย่อมไม่อาจรู้ได้ แต่คาดว่าเขาคงจะเคาะมู่อวี๋นับผมขาวแต่ละเส้นที่เพิ่มมาบนศีรษะไปจนแก่เฒ่ากระมัง
ทว่าปัจจุบันฉู่เสียกำลังเรืองอำนาจ บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมกำเริบเสิบสาน หากจะฆ่าใครสักคนสองคนกลางถนนก็ไม่นับเป็นเรื่องอันใดเลย
ฉยงเหนียงกลัวว่าหากบิดาที่สัตย์ซื่อจนเกินเหตุของตนพูดเพิ่มอีกประโยคเดียว อาจทำให้ดาบใหญ่ถูกเงื้อขึ้นแล้วฟันฉับลงมาอีกครั้ง นางจึงรีบเปล่งเสียงยับยั้งทันที
ทว่าพอนางเปล่งเสียงกลับทำให้หัวใจของหลิวซื่อลอยค้างขึ้นมา ช่วงคอขาดบาดตายเช่นนี้ บุตรสาวจะออกมาก่อกวนอันใดอีก
ฉยงเหนียงไม่อาจมัวพะวงมากมาย เพียงเดินขึ้นหน้าไปคีบขนมสิบชิ้นนั้นด้วยตนเอง นางหยิบกล่องสำหรับใส่ขนมออกมา จากนั้นก็บรรจุขนมหยกขาวเข้าไปอย่างระมัดระวังแล้วส่งให้บ่าวดุร้ายที่เป็นหัวหน้าอย่างแสนนอบน้อม
เขาเห็นฉยงเหนียงยังนับว่ารู้จักกาลเทศะ จึงเพียงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชาแล้วนำคนของตนเดินอาดๆ จากไป
ตอนนี้ฉยงเหนียงค่อยหันมาเอ่ยกับเจิ้งจวี่เหริน “บกพร่องต่อคุณชายเสียแล้ว ข้าน้อยโชคดียิ่งนักที่ฝีมืออันอ่อนด้อยสามารถเข้าตาอันเฉียบคมของคุณชาย วันพรุ่งนี้ข้าน้อยจะทำใหม่อีกถาด แล้วให้พี่ชายนำไปส่งคุณชายโดยไม่คิดเงินเป็นอย่างไร”
เพลิงโทสะท่วมฟ้าของเจิ้งจวี่เหรินดับสนิทตั้งแต่เห็นรูปโฉมของฉยงเหนียงชัดถนัดตาแล้ว ตอนนี้ยิ่งได้รู้ว่าที่แท้ขนมวาดลายล้วนเป็นฝีมือของนางเอง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าขนมที่กินไปเมื่อวานนั้นจนถึงบัดนี้ภายในปากก็ยังคงหอมหวน เจือไปด้วยกลิ่นดอกซิ่งของแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
ผู้สร้างความลำบากแก่หญิงงามหาใช่วีรบุรุษที่แท้จริง ต่อให้ขนมนั้นนางเป็นผู้ใส่กล่องให้บ่าวดุร้ายป่าเถื่อนนั่นเองกับมือ เขาก็ตำหนินางไม่ลงหรอก ดังนั้นเขาจึงรีบตอบเสียงรัว “เปิดประตูทำการค้ามีเหตุผลใดจะไม่รับเงินเล่า เพียงแต่ต้องรบกวนแม่นางสิ้นเปลืองแรงใจทำขนมมากหน่อย ข้าจะห่อกลับเมืองหลวงเพื่อให้อาจารย์ที่เตรียมจะไปเยี่ยมคารวะได้ลิ้มลอง”
ฉยงเหนียงเห็นเหตุวุ่นวายนี้คลี่คลายลงแล้วก็ไม่ปรารถนาจะรั้งอยู่เบื้องหน้าฝูงชนต่อไป หลังจากบอกกล่าวต่อบิดามารดาเสร็จก็เตรียมจะติดตามพี่ชายกลับบ้าน ทว่าระหว่างหมุนตัวเงยหน้าขึ้น กลับประสานสายตากับซั่งอวิ๋นเทียนที่อยู่ในกลุ่มคนพอดี
ฉยงเหนียงไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้ตนยังจะได้พบอดีตสามีอีก
คิ้วตาของซั่งอวิ๋นเทียนกระจ่างหล่อเหลายิ่งกว่าในความทรงจำ ความสุขุมหนักแน่นที่ซึมซาบหล่อหลอมมาจากการเป็นขุนนางยังไม่ทันคืบคลานสู่หางตาและปลายคิ้ว ในแววตายังคงสว่างหมดจดดุจเดียวกับยามที่นางพบเขาในครั้งแรก ทว่าอาการใจสั่นหวั่นไหวในอดีตล้วนถูกน้ำในบ่อที่หนาวเสียดกระดูกนั้นโถมทะลักเข้าสู่หูและจมูกจนชะล้างสิ้นไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวแล้ว
ฉยงเหนียงเพ่งมองเขาแน่วนิ่ง เขาเองก็กำลังมองนางอย่างตกตะลึงในความงาม แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยผู้นี้จึงมองเขาอย่างเปิดเผย แต่ในใจเขากลับเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยินดี
เพียงแต่พริบตาต่อมา ขณะที่เขาคลี่ยิ้มซึ่งแฝงล้นด้วยความประหม่าเคอะเขิน ฉยงเหนียงก็หันหน้าจากไปอย่างเฉยเมยเสียแล้ว
แม้ภาพที่เขาไม่ซื่อสัตย์และปกป้องหลิ่วผิงชวนในชาติก่อนจะชวนให้แสลงใจเพียงไร แต่ในเมื่อชาตินี้ความรักความแค้นทั้งปวงไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่น้อย นางไยต้องเป็นสตรีเจ้าอารมณ์จมปลักกับอดีตจนมิอาจถอนตัวด้วยเล่า ขอให้เขาราบรื่นในเส้นทางขุนนางเช่นเดียวกับชาติก่อนก็แล้วกัน ทว่าชาตินี้นางไม่ขอเกี่ยวพันกับเขาอีกแม้เพียงน้อยนิด
ชาติก่อนซั่งอวิ๋นเทียนเคยเล่าว่าช่วงก่อนสอบตอนที่พำนักชั่วคราวอยู่ในตำบลฝูหรง เขาถูกรถม้าชนจนกระดูกขาหัก ทำให้พลาดกำหนดสอบรอบนั้นไป
ต่อมาหลูซื่อมารดาของเขาขายสมบัติบรรพบุรุษที่บ้านเกิดเพื่อย้ายมาอาศัยที่ชานเมืองหลวง ระหว่างนั้นเขาจึงได้พบฉยงเหนียงที่วัดโดยบังเอิญ เมื่อนางรู้ว่าเขาเป็นบุตรของอาจารย์ที่เคยสอนหนังสือให้หลิ่วเจียงจวีพี่ชายนาง ในใจก็มีความรู้สึกที่ดีให้ หลายครั้งตอนที่พี่ชายเชิญเขามาพูดคุยสัพเพเหระที่จวน นางจึงได้รู้จักเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น และปลงใจเรื่องสำคัญชั่วชีวิตกับเขาในที่สุด หลังออกเรือนฉยงเหนียงล้วนอยู่เคียงข้างขณะที่เขาจดจ่อตรากตรำอ่านตำรา จวบจนเขาสอบผ่านหน้าพระที่นั่งในการสอบ
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ชาติก่อนเขาก็ประสบเหตุที่นี่ และน่าจะห่างจากวันที่ถูกชนขาหักอีกไม่ไกลแล้วกระมัง
มิน่าเล่า เมื่อวานหลิ่วผิงชวนถึงรุดมาเป็นพิเศษ อีกฝ่ายนอกจากจะมาชมเรื่องขบขันยามนางตกยาก ก็ยังดีดลูกคิดรางแก้วจะมาดักพบซั่งอวิ๋นเทียนล่วงหน้านั่นเอง
นึกถึงคำพูดเมื่อวานที่สาวใช้คนสนิทของหลิ่วผิงชวนหลุดปากว่าไปเยี่ยมคารวะคุณชายซั่ง ฉยงเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก
ในเมื่อชาตินี้ข้าไม่ได้แต่งให้ซั่งอวิ๋นเทียน เช่นนั้นหลิ่วผิงชวนอยากจะทอดไมตรีอย่างไรก็เชิญตามสะดวกเถอะ ไม่มีข้าฉยงเหนียงขวางทางอยู่ตรงกลางก็ขอให้พวกเจ้าครองคู่กลมเกลียวตลอดไป มีลูกหลานสืบสกุลให้มากๆ ก็แล้วกัน
ฉยงเหนียงบังคับตนเองไม่ให้คิดต่อ มิเช่นนั้นหากไปกระหวัดคิดถึงบุตรชายหญิงที่ชาตินี้ตนไร้วาสนาได้พบแล้ว น้ำตาก็จะพรั่งพรูเป็นทำนบแตกอีก
ชุยฉวนเป่ากำลังดีอกดีใจที่วันนี้ค้าขายได้ใบไม้ทองคำมา ไม่รู้มารดาจะซื้อของอร่อยอะไรมาให้เขาได้กินมื้อใหญ่ แต่พอหันหน้าไปกลับเห็นน้องสาวขอบตาแดง เขาจึงรีบถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”
ฉยงเหนียงพยายามกะพริบตาถี่ๆ ตอบเพียงว่า “ลมแรงฝุ่นเลยเข้าตาข้า”
ชุยฉวนเป่าแม้ไม่ซักไซ้ต่อ แต่ก็มองออกว่านางไม่ร่าเริง เขาจึงตัดสินใจทันทีว่าจะต้องขอเงินมารดาไปซื้อของเอาใจน้องสาว
สกุลชุยได้รายรับเป็นใบไม้ทองคำหนึ่งใบ ทำให้มีอันจะกินขึ้นมาทันตาเห็น ประกอบกับวันนี้ที่แผงก็เกือบจะเผชิญคมดาบ สองสามีภรรยาจึงเก็บแผงเร็วขึ้น
หลิวซื่อคิดว่าอีกไม่ช้าก็จะถึงเทศกาลซั่งซื่อ จึงตั้งใจไปที่ร้านผ้าแล้วซื้อผ้าไหมสีกลีบบัวให้ฉยงเหนียง เนื้อผ้าที่ละเอียดลออเช่นนี้หลิวซื่อไม่กล้าตัดเย็บเองแน่ คิดแล้วก็จ่ายเงินอีกจำนวนหนึ่งไหว้วานช่างฝีมือดีที่อยู่ร้านติดกันให้ตัดเป็นชุดหรูฉวิน รอจนถึงวันเทศกาลซั่งซื่อจะได้ให้บุตรสาวสวมเสื้อใหม่ครบชุดไปลอยโคมบุปผากับเหล่าแม่นางน้อยที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง
วันรุ่งขึ้นหลังจากสามีภรรยาสกุลชุยไปตั้งแผง ชุยฉวนเป่าก็เป็นเพื่อนน้องสาวไปวัดตัวที่ร้านตัดเสื้อ พอวัดตัวเสร็จ สองพี่น้องก็ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน หากแต่เดินเล่นดูร้านค้าเล็กๆ สองฝั่งของตรอกไปทีละร้าน
ใกล้จะถึงเทศกาลซั่งซื่อแล้ว ในตำบลมีประเพณีลอยโคมบุปผาของเหล่าแม่นางน้อย ช่วงเช้าตรู่หลิวซื่อจึงให้เงินชุยฉวนเป่ามาครึ่งก้วน บอกให้เขาพาน้องสาวไปเลือกซื้อโคมบุปผาสวยๆ กลับมาสักอัน
ฉยงเหนียงนึกถึงเทศกาลซั่งซื่อปีที่นางอายุสิบห้าในชาติก่อน ตอนนั้นนางฉลองอยู่ในวังหลวง แม้จะเรียกว่าฉลองเทศกาล แต่อันที่จริงคือการเข้าวังไปเป็นสหายเพื่อเสริมบรรยากาศฉลองเทศกาลขององค์หญิงยงหยางพระธิดาองค์เล็กที่จยาคังตี้โปรดปรานมากที่สุดต่างหาก
นั่นคือครั้งแรกที่ฉยงเหนียงเข้าวัง แม้นางดูคล้ายสุขุมเยือกเย็น แต่ที่จริงในใจไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ทุกคำพูดและการกระทำยามอยู่เบื้องหน้าคนในราชวงศ์ล้วนต้องไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง การคุกเข่าหมอบคำนับยังไม่ต้องเอ่ยถึง ลำพังการนั่งเป็นเพื่อนก็ต้องยืดเอวตรงแน่ว ทำเอานางกลับจวนแล้วยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว ได้เล่นสนุกเมื่อไรกันเล่า
อีกทั้งช่วงลอยโคมบุปผา สหายเช่นพวกนางก็ได้แต่มององค์หญิงสนุกสนานอยู่ผู้เดียว
คิดมาถึงตรงนี้ ฉยงเหนียงก็ยิ่งตั้งอกตั้งใจเปรียบเทียบของอยู่หลายร้าน จนกระทั่งเลือกได้โคมบุปผาสีชมพูขนาดเท่าอ่างล้างหน้าที่ทำจากผ้าใยไหมผสมใยป่าน
บนกลีบดอกของโคมบุปผาจะต้องเขียนคำขอพร โดยทั่วไปมักเลือกติดเป็นแถบกระดาษที่เจ้าของร้านเชิญคนมาเขียนคำมงคลไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ฉยงเหนียงติว่าคำเหล่านั้นล้วนดาษดื่นเกินไป นางจึงขอยืมหมึกพู่กันจากเจ้าของร้านแล้วจับพู่กันเขียนกลอนสั้นๆ ลงไปหนึ่งแถว
ชุยฉวนเป่าไม่รู้หนังสือ รู้สึกเพียงว่าอักษรของน้องสาวแสนจะน่ามอง ประกอบกับท่าทางยามเขียนกลอนอันต่อเนื่องล้วนดูลื่นไหล ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจโดยไร้สาเหตุ
รอจนซื้อโคมบุปผาเสร็จ สองพี่น้องก็ค่อยๆ เดินย้อนกลับไป ตำบลฝูหรงไม่ใหญ่โต นอกจากตรอกเล็กที่เงียบสงบคดเคี้ยวก็มีถนนใหญ่เพียงสายเดียวที่ทอดยาวไปเชื่อมกับถนนหลวง
จู่ๆ เสียงม้าร้องฮี้ก็ดังมาให้ได้ยิน ชุยฉวนเป่าหันหน้าไปมองก็เห็นรถม้าที่แสนหรูหราคันหนึ่งพุ่งตรงมา มีบัณฑิตผู้หนึ่งดูท่าจะหลบไม่ทัน กำลังจะถูกรถม้าชนอยู่รอมร่อ
แต่ไรมาชุยฉวนเป่าเป็นคนตรงและมีน้ำใจ สมองไม่ทันจะยั้งคิด ร่างกายก็พุ่งไปเบื้องหน้าช่วยกระแทกบัณฑิตคนนั้นออกไปด้านข้างก่อนแล้ว ทว่าตัวเขาเองกลับหลบไม่พ้น ถูกรถม้าชนล้มในทันที
ฉยงเหนียงตระหนกจนร้องเรียกเสียงลั่น “พี่ชาย!”
พอล้อรถบดทับขาของชุยฉวนเป่าไป เด็กหนุ่มก็เจ็บปวดจนร้องโหยหวนหนึ่งหน
หลังประสบเหตุการณ์นี้ ม้าที่สูญเสียการควบคุมก็ถูกบังคับได้ในที่สุด จากนั้นมันก็หอบหนักน้ำลายฟูมปาก ล้มลงกับพื้นราวหมดสิ้นกำลังวังชา
ฉยงเหนียงรีบวิ่งไปประคองพี่ชาย ส่วนบัณฑิตที่ได้รับการช่วยเหลือผู้นั้นก็ได้สติรีบมาช่วยพยุงอีกแรง
นางกับบัณฑิตผู้นั้นนั่งยองอยู่ด้วยกัน ครั้นดวงตาสบประสาน ต่างก็ตะลึงงันอย่างห้ามไม่อยู่
ฉยงเหนียงลอบคิดในใจ…หรือนี่จะเป็นเวรกรรมแต่กำเนิด? เหตุใดคนที่พี่ชายช่วยไว้ถึงได้เป็นซั่งอวิ๋นเทียนไปได้เล่า
ต่างจากซั่งอวิ๋นเทียนที่ในใจยินดียิ่ง คิดเพียงว่า…ข้ากับแม่นางผู้นี้ช่างมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก ถึงได้พบพานนางอีกครั้งแล้ว
ขณะที่ฉยงเหนียงประหลาดใจก็กวาดหางตาไปเล็กน้อย และค่อยพบว่าบนถนนใหญ่ของตำบลฝูหรงนี้ช่าง ‘แออัด’ เสียจริง เจ้ากรรมนายเวรทั้งชาติก่อนและชาตินี้ถึงกับมารวมตัวพร้อมหน้าอยู่ในที่เดียวกันได้ สตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าแพรและยืนอยู่ตรงจุดลับตาที่มุมถนนนั้นมิใช่หลิ่วผิงชวนหรือไร
สมองของฉยงเหนียงฉับไวเสมอมา ความคิดเพียงหมุนวูบก็พลันเรียบเรียงได้กระจ่างแล้ว ชาติก่อนซั่งอวิ๋นเทียนก็น่าจะถูกรถม้าชนขาหักในวันนี้ จึงเป็นเหตุให้พลาดกำหนดสอบ แต่ชาตินี้เขาถูกพี่ชายนางช่วยเอาไว้ เคราะห์ภัยจึงลามมาที่ตัวพี่ชายแทน เห็นสภาพขาที่ดูไม่เป็นธรรมชาติของพี่ชายแล้วต้องกระดูกร้าวเป็นแน่ ส่วนเหตุที่หลิ่วผิงชวนมาปรากฏตัวที่นี่ เกรงว่าความคิดเดิมที่ตั้งใจไว้ก็คือ ‘หญิงงามช่วยวีรบุรุษ’
คิดมาถึงตรงนี้ ฉยงเหนียงก็โกรธตนเองอย่างห้ามไม่อยู่ หากมิใช่หลังจากเกิดใหม่นางคิดแต่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น สกุลชุยก็คงไม่มีทางจะมีเงินเหลือมาซื้อโคมบุปผาหรอก น่าจะทำโคมเองที่บ้านเสียมากกว่า
และหากมิใช่พี่ชายมาเดินเล่นซื้อโคมเป็นเพื่อนนาง มีหรือจะต้องรับเคราะห์แทนซั่งอวิ๋นเทียนจนร่างกายเจ็บหนักเช่นตอนนี้
อันที่จริงหลิ่วผิงชวนโกรธและหงุดหงิดใจยิ่งกว่าฉยงเหนียงเสียอีก ชาตินี้นางได้สลับตัวกลับคืนสกุลหลิ่วเร็วขึ้น กล่าวได้ว่าสุขกายสบายใจยิ่งนัก ทว่าต่อให้บ้านบิดามารดาดีสักเพียงใดก็มิใช่ที่พักพิงสุดท้ายของสตรีที่ยังไม่ออกเรือน นางยังคงต้องวางแผนเลือกสามีให้ตนเองเสียแต่เนิ่นๆ ชีวิตถึงจะมั่นคง
เนื่องจากชาตินี้นางคือบุตรีภรรยาเอกในตระกูลสูงศักดิ์ บุรุษที่จะเลือกได้จึงกว้างขวางอย่างยิ่ง เบื้องบนขึ้นไปถึงเชื้อพระวงศ์ เบื้องล่างลงมาถึงตระกูลขุนนางต่างๆ ในเมืองหลวง ล้วนแต่มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทว่าหลิ่วผิงชวนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็ยังคงรู้สึกว่าไม่มีใครจะตรงใจยิ่งไปกว่าซั่งอวิ๋นเทียนอีกแล้ว
วันหน้าเขาจะเป็นถึงขุนนางสำคัญในหมู่เสนาบดี มีอำนาจล้นเหลือในราชสำนัก เกียรติยศสูงส่งถึงเพียงใด เพียงน่าแค้นใจที่หลังจากฉยงเหนียงตายไปในชาติก่อน ตนกลับไม่เคยได้นั่งตำแหน่งภรรยาเอกเสียที
ตอนนั้นพอฉยงเหนียงตกบ่อน้ำตาย ซั่งอวิ๋นเทียนก็สะเทือนใจอย่างหนัก ปฏิเสธคำแนะนำที่หลิ่วเมิ่งถังจะให้ยกนางขึ้นเป็นภรรยาอีกคน หากมิใช่ติดขัดที่เขาถูกจับได้คาเตียงว่าลักลอบมีสัมพันธ์กับนาง ไม่อาจบิดพลิ้วง่ายๆ เขาคงถึงขั้นไม่คิดจะให้นางขึ้นเกี้ยวแต่งเข้าสกุลเป็นอนุด้วยซ้ำไป
หลังจากนางแต่งเข้าสกุลซั่งในฐานะอนุแล้ว ความรู้สึกอันหวานล้ำละมุนละไมเช่นยามที่สองคนลักลอบเป็นชู้กันล้วนไม่หลงเหลืออยู่อีก หัวใจของซั่งอวิ๋นเทียนคล้ายตายไปพร้อมกับฉยงเหนียงแล้ว เขาไม่เคยย่างเท้าเข้าห้องนางอีกเลย นางนึกไม่ถึงสักนิดว่าผลลัพธ์ที่ตนซุ่มวางแผนบงการให้เด็กรับใช้ไปเอาชีวิตฉยงเหนียงจะกลับกลายเป็นทำให้ครึ่งชีวิตหลังของตนต้องเฝ้าห้องหออันว่างเปล่าอย่างเดียวดาย เป็นม่ายทั้งที่ยังมีสามี…
เมื่อนึกถึงความทุกข์ระทมดุจหวงเหลียน* ที่กินไม่หมดสิ้นในชาติก่อน ความเคียดแค้นที่หลิ่วผิงชวนมีต่อฉยงเหนียงก็ยิ่งทวีความลึกล้ำ และยิ่งเกิดทิฐิยึดมั่นต่อซั่งอวิ๋นเทียนจนไม่อาจยอมปล่อยมือได้
ชาตินี้นางโชคดีได้เกิดใหม่ ทั้งไม่มีฉยงเหนียงมากั้นกลางอีก นางย่อมต้องวางแผนอย่างถี่ถ้วนเพื่อเอาชนะใจซั่งอวิ๋นเทียน จะได้ผูกวาสนาครองคู่กับเขาจนแม้แต่เทพเซียนยังต้องนึกอิจฉา
ทว่านางไม่มีรูปโฉมที่งามจับตาเช่นฉยงเหนียง ยิ่งไม่มีความสามารถด้านโคลงกลอนเหมือนอีกฝ่าย หวนนึกถึงเมื่อแรกที่นางได้ฟังเหตุการณ์จากปากฉยงเหนียงว่าทั้งสองพบเจอกันด้วยบทกวี นางก็ไม่เหลือความมั่นใจสักนิดที่จะทำให้ซั่งอวิ๋นเทียนหลงรักนางแต่แรกพบได้
อีกอย่างต่อให้ซั่งอวิ๋นเทียนหลงรักปักใจต่อนางจริง หากเขาไม่มีความสำเร็จติดตัว บิดามารดานางก็ไม่มีทางจะรับปากตบแต่งนางที่เป็นบุตรีภรรยาเอกให้กับชายหนุ่มยากจนผู้หนึ่งเด็ดขาด
คิดไปคิดมานางจึงตัดสินใจจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ซั่งอวิ๋นเทียนจะถูกรถม้าชน ใช้การช่วยให้เขาพ้นเคราะห์เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกัน ด้วยฝีมือของนางในการปรนนิบัติบุรุษ เขาจะต้องหวั่นไหวต่อนางเฉกเช่นเมื่อชาติก่อนแน่นอน
หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บก็ย่อมเข้าสอบได้อย่างราบรื่น เมื่อเขาสอบติดแล้วไปสู่ขอกับบิดานาง นางค่อยไปขอร้องให้บิดาพยักหน้า ทุกอย่างก็จะเหมาะเจาะลงตัว
เนื่องจากในอดีตตอนที่นางพูดคุยสัพเพเหระกับซั่งอวิ๋นเทียน จำได้ว่าวันที่เขาบาดเจ็บก็คือช่วงนี้ ดังนั้นวันนี้นางถึงเลือกบ่าวร่างกายกำยำสองคนให้ติดตามมาด้วย หมายจะให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
นึกไม่ถึงเลยว่าแผนการที่คิดมาเกือบหนึ่งเดือนกลับถูกชุยฉวนเป่าคนซื่อบื้อนั่นก่อกวนเสียจนควบคุมไม่ได้ ยามที่เห็นพี่ซั่งประสานสายตากับฉยงเหนียง หลิ่วผิงชวนก็แค้นใจจนแทบอยากจะพุ่งตัวไปกระชากบุรุษสตรีคู่นั้นแยกออกจากกันทันที
ทว่ารอจนนางเห็นรูปสัญลักษณ์ไป๋เจ๋อบนตัวรถม้าคันนั้น ใบหน้าก็พลันสิ้นสีเลือด รีบเหน็บผ้าแพรคลุมใบหน้าให้มิดชิด กระถดถอยเข้ามุมแล้วเลี้ยวเข้าหอน้ำชาที่อยู่แถวนั้นแทน
ชุยฉวนเป่ารู้สึกเพียงว่ากระดูกขาคล้ายถูกตะปูเหล็กตอกฝัง ปวดร้าวเสียจนกระทั่งเสียงครางก็เปล่งไม่ออกแล้ว ตั้งแต่ที่รถม้าคันก่อเหตุจอดนิ่ง ผู้บังคับรถม้าก็ห่วงแต่ตรวจสอบม้าที่ล้มลง ไม่มีท่าทีจะดูว่าคนเจ็บเป็นเช่นไรแม้แต่น้อย
ซั่งอวิ๋นเทียนเห็นแล้วความคิดผดุงคุณธรรมก็พลันท่วมท้น จึงยืนขึ้นถามเสียงเย็นใส่ผู้บังคับรถม้า “ในตลาดที่พลุกพล่านกลับกระทำการสะเพร่าถึงเพียงนี้ ชนถูกผู้อื่นแล้วก็ยังไม่เห็นรู้สึกผิด ไม่ทราบเป็นรถม้าของจวนใดกันแน่ ถึงได้ใจกล้าใช้อำนาจใหญ่กลางย่านการค้าเช่นนี้”
ผู้บังคับรถม้าผู้นั้นมีรูปร่างสูงกำยำ เขาฟังแล้วไม่แม้แต่จะเหลือบแลซั่งอวิ๋นเทียน เพียงย่นคิ้วตรวจดูม้าที่ชักเกร็ง ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยโทสะแล้วถ่มน้ำลายลงพื้นหนึ่งคำ พอเขาเดินกลับมาถึงหน้ารถม้าก็รายงานเสียงเบาต่อผู้ที่อยู่ในตัวรถ “เรียนท่านอ๋อง ม้านั่นดูท่าจะไม่ไหวแล้ว ฟองน้ำลายในปากของมันมีกลิ่นเปรี้ยว สาเหตุคล้ายถูกวางยา…ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ถึงกับไม่ทันสังเกตเห็น ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ”
ในรถม้าเงียบกริบไร้สุ้มเสียง องครักษ์ที่รุดมาจากด้านหลังมีสีหน้าหงุดหงิดตำหนิตนเอง พอได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยเสียงเบา “เห็นทีจะมีคนไม่อยากให้ท่านอ๋องเข้าเมืองหลวงจึงได้วางยาม้า ถึงกับใช้วิธีการต่ำช้าเพียงนี้!”
ซั่งอวิ๋นเทียนจดจำองครักษ์ที่รุดมาผู้นั้นได้ เขาก็คือบ่าวดุร้ายที่เหมาซื้อขนมลายวิหคบุปผาไปเมื่อวานมิใช่หรือไร ตอนนั้นผู้อื่นเพียงพูดจาไม่เข้าหู เขาก็สั่งชักดาบจะทำร้ายคน วันนี้ยิ่งหนักข้อ ทั้งที่ฝ่ายเขาชนคนบาดเจ็บก็ยังทำเหมือนมองไม่เห็น ไฉนบนแผ่นดินอันร่มเย็นใต้พระบาทโอรสสวรรค์ถึงกลายเป็นไม่มีกฎหมายไปเสียแล้ว
ซั่งอวิ๋นเทียนเดินเข้าหาด้วยโทสะอันคุกรุ่น ซักถามเสียงเฉียบขาดหมายมั่นจะทวงคำอธิบายให้จงได้ ทั้งรบเร้าจะลากคนไปพบเจ้าหน้าที่
องครักษ์ผู้นั้นมีนามว่าฉังจิ้น ปกติยามอยู่ที่เจียงตงก็เป็นพวกไม่ฟังเสียงใคร ยามนี้เขากำลังอารมณ์เสีย พอเห็นซั่งอวิ๋นเทียนส่งเสียงหนวกหูน่ารำคาญจึงยกเท้าเตะใส่ไปทันที
ซั่งอวิ๋นเทียนแม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็ไม่อาจทนรับหนึ่งฝ่าเท้าของแม่ทัพที่ผ่านสนามรบมาแล้วได้ ฝีก้าวของเขาจึงพลันเซถอยหลังไป จนกระทั่งล้มใส่ฉยงเหนียงที่เพิ่งจะยืนขึ้นพอดี
เดิมทีฉยงเหนียงตรวจสอบอาการบาดเจ็บของพี่ชายอยู่ พอเห็นเขาค่อยยังชั่วขึ้น ลมหายใจสม่ำเสมอ สามารถพูดจาได้ และไม่พบว่าช้ำใน นางถึงโล่งใจขึ้นเล็กน้อย กำลังคิดจะเรียกคนมาช่วยพยุงพี่ชายกลับบ้าน หลีกหนีให้ไกลจากสถานที่อันวุ่นวายนี้
สัญลักษณ์บนตัวรถม้านั้นนางเองก็เห็นแต่แรกแล้ว พูดเหตุผลกับหลางอ๋องน่ะหรือ มิสู้ท่องคัมภีร์เต้าเต๋อจิงหนึ่งเล่มให้พยัคฆ์สุนัขป่าที่โหดเหี้ยมฟังยังจะเข้าท่ากว่า หากมีเวลาเปลืองน้ำลายอยู่ที่นี่ ก็ควรเอาเวลารุดกลับบ้านไปเชิญหมอมาสมานกระดูกให้พี่ชายถึงจะสมเหตุสมผล
แต่นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งจะยืนตัวตรงก็ถูกซั่งอวิ๋นเทียนถอยมาทับจนล้มลงกับพื้น เจ็บจนต้องเปล่งเสียงร้องโอดโอยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ฉังจิ้นมองตามเสียงไปก็กล่าวเสียงดัง “นี่มิใช่แม่นางที่ทำขนมวาดลายคนนั้นหรือไร!”
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของคนในรถม้าได้เล็กน้อย นิ้วเรียวนิ้วหนึ่งพลันแง้มม่านรถขึ้นนิดๆ ดวงตาที่เรียวยาวดำลุ่มลึกคู่หนึ่งเพียงชำเลืองมองด้านนอกผ่านร่องผ้าม่าน ก็เห็นสภาพทุลักทุเลที่ฉยงเหนียงถูกทับล้มกับพื้นเต็มตาแล้ว
เนื่องจากผ้าบนศีรษะของนางคลุมไม่ค่อยถูกวิธีนัก บัดนี้จึงหย่อนคลายออกทั้งหมด ทำให้เรือนผมที่ดำขลับเรียบลื่นดุจเส้นไหมสยายทิ้งตัวลงมา ขับเน้นดวงหน้าที่ขาวสว่างให้แลดูผอมบางขึ้นอีกหลายส่วน ประกอบกับเจ้าของดวงหน้าร้อนใจจนแก้มขาวนวลกลายเป็นแดงเข้มขึ้น จึงดูราวดอกไห่ถังสีเมฆสายัณห์ถูกกลบด้วยดอกสาลี่ที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ ทำให้ผู้อื่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางน่าสงสารชวนถนอมอยู่บ้าง
ซั่งอวิ๋นเทียนแม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ถึงอย่างไรก็ล่วงเกินแม่นางผู้นี้เสียแล้ว เขาจึงลุกขึ้นอย่างลนลานก่อนจะไปพยุงนาง แต่กลับถูกนางช้อนตาจ้องใส่อย่างเย็นชา ทำให้เขาชะงักท่าทางไปทันใด
ผ้าม่านนั้นก็ชะงักค้างไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนจะถูกปล่อยลงดังเดิม ฉังจิ้นที่เชิดคิ้วถลึงตาอยู่ถูกเรียกมาที่หน้ารถม้า
เขาเอียงหูฟังเสียงจากด้านในเพียงครู่เดียวก็ผ่อนคลายสีหน้า กระชากซั่งอวิ๋นเทียนออกไปแล้วเดินไปกล่าวใกล้ๆ ฉยงเหนียง “ไม่กี่วันมานี้นายข้าไม่เจริญอาหาร เมื่อวานกินขนมที่เจ้าทำแล้วรู้สึกว่ารสชาติดียิ่ง จึงอยากเชิญเจ้าไปยังที่พักเพื่อทำขนมเพิ่ม เงินรางวัลก็จะให้เจ้ามากหน่อย”
พอเขาเอ่ยปากเช่นนี้ ในใจฉยงเหนียงก็อยากจะด่าทอถึงมารดาของเขายิ่งนัก รถม้าคันนี้ชนคนแล้วไม่เอ่ยถึงค่าชดใช้ แต่กลับจะให้ข้าที่เป็นเจ้าทุกข์ไปทำขนมให้เขาเสียอย่างนั้น? ช่างเป็นคนที่ไม่สนใจเหตุผลเลยจริงๆ ชาติก่อนฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชา ไฉนมิได้รับสั่งบั่นคอเจ้าคนผู้นี้ทันทีเสียเลยเล่า
อันที่จริงฉยงเหนียงกับผู้ที่อยู่ในรถม้าคันนี้แม้เคยพบหน้าไม่บ่อยนัก แต่กลับมีความเกี่ยวพันกันพอสมควรทีเดียว มิใช่เพียงเพราะหลิ่วผิงชวนเคยเป็นนางบำเรอของเขา แต่ยังเป็นเพราะเขาเคยไหว้วานให้คนนำคำพูดมาแจ้งที่จวนสกุลหลิ่วว่าต้องการจะสู่ขอฉยงเหนียง
นึกดูอย่างละเอียดแล้ว ดูเหมือนครั้งแรกที่นางได้พบหลางอ๋องซึ่งเข้าเมืองหลวงมาพอดี ก็คือตอนที่นางเข้าวังหลวงในวันเทศกาลซั่งซื่อของปีนี้
เพียงแต่ตอนนั้นความคิดจิตใจทั้งหมดของนางจดจ่ออยู่ที่องค์หญิงยงหยางกับฮองเฮา สำหรับอ๋องต่างแซ่ผู้มาจากชายแดนนี้นางไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดท่ามกลางสตรีชนชั้นสูงที่งามหยาดเยิ้มทั้งกลุ่ม ท่านอ๋องผู้เห็นหญิงงามหลากหลายจนชินตาเช่นเขาถึงมาถูกตาต้องใจในตัวนางได้
เนื่องจากแต่ไรมารัชทายาทไม่ค่อยจะลงรอยกับอ๋องต่างแซ่ผู้นี้ ทำให้ฮองเฮาไม่ชอบหน้าเขาไปด้วย ประกอบกับคำเล่าลือเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่ดี ตอนนั้นหลิ่วเมิ่งถังจึงปฏิเสธการสู่ขอของเขาอย่างเด็ดขาด
ชาตินี้นางกับหลิ่วผิงชวนสลับคืนฐานะเร็วขึ้น เดิมทีนางไม่น่าจะมีจุดที่มาบรรจบกับหลางอ๋องได้อีก ไม่คิดเลยว่ากลับยังได้มาพบกันที่นี่
ฉยงเหนียงเม้มปากตอบเสียงเบา “ผู้สูงศักดิ์จำคนผิดแล้ว ข้าน้อยมิใช่ผู้มีฝีมือทำขนมอันใดนั่นหรอก”
ฉังจิ้นแน่ใจว่าตนเองตาไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะมองยอดหญิงงามแห่งแคว้นเช่นนี้ผิดคน เขาไม่เชื่อที่นางกล่าวแม้แต่น้อย จึงสั่งผู้ใต้บังคับบัญชามาหามชุยฉวนเป่าไปรักษาอาการ ฉยงเหนียงที่ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมไม่สำเร็จก็ย่อมถูก ‘เชิญ’ ขึ้นเกี้ยวติดตามไปด้วยกัน
ส่วนซั่งอวิ๋นเทียนที่ถูกฉังจิ้นผลักไปอยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้แต่เบิกตามองฉยงเหนียงถูกพาตัวไปพลางร้อนใจจนเต้นผาง
ทางด้านหลิ่วผิงชวนที่นั่งอยู่บนชั้นสองของหอน้ำชานั้น แม้มองดูเหตุการณ์บนถนนด้านล่างโดยไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง แต่เมื่อเห็นฉยงเหนียงถูกพาตัวไป หลิ่วผิงชวนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าบานและพรูลมหายใจยาว
รูปโฉมของฉยงเหนียงนั้นงามเป็นเลิศ ในเมื่อถูกหลางอ๋องจับตัวไปก็ไม่มีเหตุผลที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องกลับมา
ชาติก่อนตนในฐานะนางบำเรอของหลางอ๋องย่อมรู้ซึ้งถึงความไร้ไมตรีของเขา ต่อให้รูปโฉมชวนมองสักเพียงใด ในสายตาของท่านอ๋องผู้นั้นก็เป็นแค่ความแปลกใหม่เพียงไม่กี่วัน หากแก่งแย่งจะเป็นคนโปรดจนทำให้หลางอ๋องรำคาญใจขึ้นมา เช่นนั้นพ่อบ้านแห่งจวนอ๋องก็จะมีวิธีสั่งสอนที่ไม่รู้จบสิ้น
ด้วยรูปโฉมของฉยงเหนียง รอจนหลางอ๋องเล่นเบื่อเมื่อไรก็น่าจะตกรางวัลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่โหดเหี้ยมหยาบคายเหล่านั้นกระมัง
คิดมาถึงตรงนี้ ความตระหนกหวาดหวั่นที่หลิ่วผิงชวนพลันพบเจอหลางอ๋องก็ค่อยๆ กดข่มลงไปได้ เห็นเงาร่างของซั่งอวิ๋นเทียนที่อยู่ด้านล่างเดินวนกลับไปกลับมาอย่างรุ่มร้อนใจ นางก็หัวเราะเยาะอย่างมั่นใจในตนเอง…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.