บทที่ 5
ในตอนแรกหลี่ซิวเหยานั้นประหลาดใจยิ่ง
‘อวี้หลาง’ เป็นชื่อเล่นของเขา นอกจากมารดาเขาแล้วบนโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก อีกทั้งเขาก็ไม่เคยบอกใครมาก่อน รวมถึงเสิ่นหยวนด้วย
แล้วเหตุใดยามนี้เสิ่นหยวนถึงเรียกเขาว่าอวี้หลางได้เล่า
แต่นี่มิใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเมื่อครู่เสิ่นหยวนเรียกชื่อเล่นของเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ แต่กลับร้องไห้พูดว่าไม่อาจทิ้ง ‘เขา’ ได้
‘เขา’ ผู้นั้นเป็นใครกัน หรือเป็นคนผู้นั้นที่นางแอบซ่อนไว้ลึกๆ ในใจมาโดยตลอด เช่นนั้นแสดงว่าเมื่อครู่เสิ่นหยวนฝันถึงคนผู้นั้น ถึงได้ร้องไห้เสียใจปานนี้?
คิดถึงตรงนี้หัวใจหลี่ซิวเหยาก็คล้ายร่วงหล่น แววตาก็ค่อยๆ หม่นแสงลงเช่นกัน
เขาอุตส่าห์ดั้นด้นเสี่ยงอันตรายต่างๆ นานากลับมาเยี่ยมภรรยาของตนเอง ผลคือกลับได้ยินนางกำลังร้องไห้พลางพูดต่อหน้าเขาว่านางทิ้งคนอีกผู้หนึ่งไม่ได้…เป็นคนที่อยู่ในใจนางมาตลอด
หรือว่าแต่งงานกันมานานเพียงนี้ เขาดีต่อนาง ตามอกตามใจนางปานนี้แล้วก็ยังสู้คนผู้นั้นในใจนางไม่ได้อยู่ดี?!
หลี่ซิวเหยาอยากจะหันหลังจากไปเสียเดี๋ยวนี้ ต่อให้ในใจเขารักเสิ่นหยวนเพียงไร ยามมาได้ยินคำพูดพรรค์นี้เขาก็ไม่มีปัญญาจะสงบอยู่ได้แน่
ทว่าเพิ่งจะหมุนตัวกลับเขาก็รู้สึกว่ามีมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งจับมือขวาของตนเองไว้แน่น
“ท่านพี่!” เขาได้ยินเสิ่นหยวนร้องเรียกเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือเจือสะอื้น “ใช่ท่านหรือไม่”
หัวใจหลี่ซิวเหยากระตุกอย่างแรง
เวลานี้อารมณ์ของเขาเรียกได้ว่าขึ้นไปสูงสุด ลงอย่างที่สุด ทั้งดีใจสุดขีด แล้วก็เสียใจจนสุดขั้ว
ทว่าสุดท้ายแล้วหลี่ซิวเหยายังคงทิ้งเสิ่นหยวนไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับมาช้าๆ แล้วกุมมือเสิ่นหยวนไว้แน่น
บนแก้มขาวผ่องของเสิ่นหยวนเต็มไปด้วยน้ำตา ในดวงตาทั้งสองก็ราวกับมีไอน้ำฉาบอยู่ ภาพตรงหน้าดูพร่ามัว แต่แม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังคงเงยหน้ามองเขา ในสายตามีทั้งความคาดหวังและความตื่นเต้นดีใจ
ดูประหนึ่งว่าเสี้ยวเวลานี้ในดวงตานางมีเขาเพียงคนเดียว
ใจหลี่ซิวเหยาอดจะอ่อนยวบลงไม่ได้ เขานั่งลงตรงขอบเตียง ยกมืออีกข้างขึ้นพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนแก้มเสิ่นหยวนอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “ไฉนจึงร้องไห้จนเป็นเช่นนี้”
ถึงที่สุดแล้วในใจหลี่ซิวเหยาก็ยังคงริษยา เพื่อคนผู้นั้นนางถึงกับร้องไห้เสียใจปานนี้ ในขณะที่นางกลับไม่เคยร้องไห้ให้เขามาก่อนเลย…
สายตาเสิ่นหยวนมองหลี่ซิวเหยาแน่วนิ่ง
หลี่ซิวเหยามีคิ้วดาบพาดเฉียงดูหล่อเหลาองอาจเปี่ยมด้วยอำนาจยิ่ง อีกทั้งเนื่องจากโหนกคิ้วเขาสูงกว่าคนทั่วไป ดวงตาทั้งสองของเขาจึงยิ่งดูลึก ยามเขาทำหน้าเข้ม แววตาที่มองคนก็ราวกับเป็นประกายดาบภายใต้แสงจันทร์ในคืนหิมะตก ปรากฏไอหนาวยะเยือกออกมา
ทว่า…
เสิ่นหยวนสะอื้น ทุกครั้งยามหลี่ซิวเหยายิ้มให้นาง แม้จะแค่มุมปากโค้งน้อยๆ ก็ล้วนสามารถทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับดวงตะวันในวสันตฤดู
คนเช่นนี้นางจะทิ้งเขาไปได้อย่างไรเล่า
เสิ่นหยวนยื่นสองแขนไปกอดคอหลี่ซิวเหยาไว้ แนบหน้ากับแผ่นอกเขา น้ำตาไหลลงมาตามพวงแก้มงามดั่งหยกขาว “ข้าคิดถึงท่านนัก”
หลี่ซิวเหยาตัวแข็งทื่อ สายตาเข้มขึ้น
‘ท่าน’ ที่เสิ่นหยวนพูดนี้หมายถึงคนผู้นั้นในใจนางหรือว่าหมายถึงเขากันแน่?
หลี่ซิวเหยาอยากจะเอ่ยปากถาม แต่ก็กังวลว่าถ้าเปิดโปงเรื่องนี้ออกมาแล้ว ด้วยนิสัยของเสิ่นหยวน เกรงว่าต่อไปในใจนางจะมีปราการป้องกันเขา
แต่ถ้าไม่ถามเขาก็รู้สึกว่าในใจตนเองราวกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่ไม่บ่งหนามออก ในใจก็จะเจ็บปวด แต่ยามบ่งมันออก คิดว่าในใจเขาก็น่าจะเจ็บมากเช่นกัน มิสู้ทำเหมือนเมื่อก่อน แสร้งไม่รู้เรื่องที่ในใจเสิ่นหยวนมีผู้อื่นอยู่ อย่างไรก็ดีกว่าทำให้นางรู้แล้วกลับไปปฏิบัติต่อเขาอย่างห่างเหินมีพิธีรีตองเหมือนที่แล้วมา
หลี่ซิวเหยาคิดว่าเขายังมีเวลาทั้งชีวิต เขาต้องทำให้เสิ่นหยวนลืมคนผู้นั้นในใจนางได้ในสักวัน
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้เขาจึงไม่ได้ถามสิ่งใดอีกแม้แต่คำเดียว เพียงยื่นสองแขนโอบรัดร่างเสิ่นหยวนไว้แน่น
เสิ่นหยวนนอนซบในอ้อมกอดอันอบอุ่นของหลี่ซิวเหยา รู้สึกเพียงในใจสุขสงบมิมีใดเกิน
ทว่านางยังคงนึกว่าตนเองกำลังฝันอยู่
จะอย่างไรเรื่องที่ซานซีก็ไม่มีทางคลี่คลายได้ภายในเวลาอันสั้น หรือต่อให้หลี่ซิวเหยากลับมาแล้วจริงๆ เขาก็ไม่มีทางแอบกลับมาตอนกลางคืนอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้ผู้ใดเข้ามารายงานเช่นนี้
อีกประการหนึ่งเมื่อครู่นางก็ฝันถึงหลี่ซิวเหยาจริงๆ
เสิ่นหยวนไม่ได้ฝันถึงหลี่ซิวเหยาแค่คืนนี้ อันที่จริงนับตั้งแต่เขาจากไปนางก็ฝันถึงเขาแทบทุกคืน
เพียงแต่ความฝันคราวนี้กลับเหมือนจริงยิ่ง ในโสตนางคล้ายสามารถได้ยินเสียงหัวใจที่มั่นคงมีพลังของหลี่ซิวเหยาได้
ด้วยความดีใจเสิ่นหยวนจึงอดใจไม่ไหว เงยหน้าขึ้นจูบคางหลี่ซิวเหยาไปทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่ ข้ากำลังฝันเห็นท่านอีกแล้ว ยามนี้ท่านก็กำลังฝันถึงข้าเหมือนกันใช่หรือไม่”
มิเช่นนั้นความฝันนี้จะเหมือนจริงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร คิดว่าต้องเป็นเพราะพวกนางฝันถึงกันและกัน และกำลังได้พบกันในความฝันเป็นแน่
ได้ยินดังนี้หลี่ซิวเหยาก็สะท้านใจ ก้มหน้ามองเสิ่นหยวนก็เห็นนางกำลังมองเขาด้วยดวงตาสุกใสที่คล้ายว่ามีหมู่ดาวตกลงไปในนั้นก็มิปาน
มิหนำซ้ำเสิ่นหยวนยังพูดว่ากำลังฝันเห็นเขาอีกแล้ว…
“เจ้าฝันถึงข้าบ่อยๆ?” หลี่ซิวเหยาถามเสียงเบา สายตามองตรึงอยู่ที่เสิ่นหยวน หากดูดีๆ จะเห็นได้ถึงความหวังและความดีใจในดวงตาเขา
เสิ่นหยวนคิดว่ายามนี้ตนเองกำลังอยู่ในฝัน จึงไม่มีความสำรวมเฉกเช่นยามปกติ
นางพยักหน้ารับ “ใช่สิ! ตั้งแต่ท่านจากไปข้าก็ฝันถึงท่านทุกคืน ทุกวันล้วนแต่คิดถึงท่าน ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านขณะอยู่ซานซี ทั้งยังไม่รู้ว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อยากจะเขียนจดหมายหาท่าน ก็เกรงว่าจะทำให้ท่านเสียสมาธิ จึงได้แต่รอท่านกลับมาที่บ้านทุกวัน”
บัดนี้คนนอกล้วนนึกว่าหลี่ซิวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่ซานซี เขาเองก็เป็นห่วงอยู่ว่าถ้าเสิ่นหยวนรู้เรื่องนี้เข้าแล้วจะยิ่งกังวล ดังนั้นเขาจึงกำชับองครักษ์ไว้ก่อนแล้วว่าห้ามปล่อยให้มีข่าวลือใดๆ เข้าไปในเรือนจิ้งหยวนได้ หากมีผู้ใดบังอาจปากมากก็ให้ฆ่าทิ้งทั้งหมด
เมื่อสองวันก่อนเสี่ยวเฮ่อผู้เป็นสาวใช้ก็หายตัวไปจากเรือนจิ้งหยวนด้วยสาเหตุจากเรื่องนี้
แต่เนื่องจากระยะนี้เสิ่นหยวนตั้งครรภ์ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงพอไปจัดการสิ่งต่างๆ จึงยังไม่สังเกตเห็น
หลี่ซิวเหยาได้ยินที่เสิ่นหยวนพูดแล้ว ในใจก็ให้ยินดีเหลือประมาณ
นางถึงกับฝันถึงข้าทุกคืน
หลี่ซิวเหยาก้มหน้าลงจูบริมฝีปากนุ่มของเสิ่นหยวนอย่างสุดจะหักห้ามใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงปล่อยนาง
จากนั้นหลี่ซิวเหยาก็เอาหน้าผากแนบกับหน้าผากนาง ก่อนยกมือลูบแก้มที่แดงก่ำของนางเบาๆ กระซิบว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน”
ขอแค่มีเวลาว่างหลี่ซิวเหยาล้วนจะคิดถึงนางอยู่ทุกเวลา และก็เข้าไปพบกับนางในความฝันทุกคืน อยากจะได้พบนางตัวเป็นๆ ประเดี๋ยวนั้นใจแทบขาดเช่นกัน
เพราะฉะนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่ามาพบเสิ่นหยวนในคืนนี้เป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง หลี่ซิวเหยาก็ยังคงอดใจที่จะมาไม่ได้
เสิ่นหยวนซาบซึ้งใจ ทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นจูบคางของเขาอีกครั้ง ต่อจากนั้นก็กุมมือขวาของเขาที่ลูบแก้มนางไว้เบาๆ แล้วดึงมาไว้ตรงหน้าท้องตนเอง มุมปากแต้มยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ท่านพี่ ข้ามีลูกแล้ว ลูกของพวกเรา”
อายุครรภ์ใกล้ห้าเดือน หน้าท้องเริ่มนูนออกมาแล้ว อีกทั้งเสิ่นหยวนสวมชุดนอนสีเขียวครามเพียงตัวเดียว มือของหลี่ซิวเหยาวางอยู่บนท้องน้อยนางก็คล้ายจะรู้สึกได้ว่าสิ่งเล็กๆ ที่อยู่ข้างในกำลังเคลื่อนไหว ดูเหมือนจะกำลังเตะมือเขา
ในใจหลี่ซิวเหยาพลันมีความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเกิดขึ้นมา
เวลานี้ต่อให้หลี่ซิวเหยาเป็นคนใจเย็นเพียงไร หัวใจข้างในอกก็ยังอดจะสั่นสะท้านไม่ได้ มือที่วางอยู่บนท้องน้อยเสิ่นหยวนเริ่มสั่นขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน
เสิ่นหยวนเองก็รู้สึกได้ว่าทารกในท้องกำลังเตะนาง นางจึงใช้มือลูบหน้าท้องตนเองเบาๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะกับหลี่ซิวเหยา “…ไม่กี่วันก่อนเขาก็เตะข้าจากในท้องเช่นนี้แล้ว แต่เป็นแค่การเคลื่อนไหวแผ่วเบาเท่านั้น ไม่ได้แรงเท่าเมื่อครู่ คิดว่าเขาคงจะรู้ว่ายามนี้บิดากำลังสัมผัสเขาอยู่ เพราะดีใจถึงได้ออกแรงปานนี้”
สายตาของหลี่ซิวเหยามองหน้าท้องเสิ่นหยวนแน่วนิ่ง ทันใดนั้นก็อดใจไม่ไหว ก้มหน้าลงไปจูบหน้าท้องนางผ่านชุดนอน
นางตั้งครรภ์ลูกของเขา ต่อไปพันธนาการระหว่างพวกเขาก็จะยิ่งเหนียวแน่นมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้นางย่อมต้องอยู่ข้างกายเขา…เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
ในใจหลี่ซิวเหยารักและเอ็นดูเสิ่นหยวนอย่างที่สุด แต่ก็สงสารและเห็นใจนางอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน
ตามที่หน่วยสอดแนมผู้นั้นมารายงาน บอกว่าระยะนี้เสิ่นหยวนได้รับความลำบากไม่น้อยจากการตั้งครรภ์ ยามนี้หลี่ซิวเหยาได้เห็นกับตาตนเองแล้วเช่นกันว่านางซูบผอมลงไม่น้อย สีหน้าก็ไม่ดียิ่ง
เวลาสำคัญเช่นนี้เขากลับไม่อยู่ข้างกายนาง ได้แต่ปล่อยให้นางได้รับความลำบากทั้งหมดนี้เพียงคนเดียว
ในใจหลี่ซิวเหยาให้ละอายเป็นที่สุด เขาจุมพิตหว่างคิ้วนางอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนถามนางเสียงนุ่ม “ตั้งครรภ์ลำบากมากใช่หรือไม่”
“ไม่ลำบากเลย” เสิ่นหยวนยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “แค่คิดว่านี่เป็นลูกของพวกเราสองคน ข้าก็ไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย”
เสิ่นหยวนในคืนนี้แตกต่างจากเสิ่นหยวนในยามปกติมากจริงๆ
นับตั้งแต่ผ่านเรื่องลวี่อวิ๋นมา ถึงในใจเสิ่นหยวนจะเริ่มเปิดรับเขาอย่างแท้จริงแล้ว แต่นางก็ไม่เคยพูดตรงๆ เช่นนี้กับเขามาก่อน
เมื่อครู่นางบอกว่าคิดถึงเขา บอกด้วยว่าฝันถึงเขาทุกคืน และถึงกับเป็นฝ่ายจูบเขาเองด้วย ตอนนี้ยังบอกอีกว่าเพราะเป็นลูกของพวกเขา นางจึงไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้นหลี่ซิวเหยาก็รู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้เสิ่นหยวนได้รับความลำบากอย่างมาก
หลี่ซิวเหยาไม่รู้ว่าควรแสดงความตื่นเต้นและความยินดีในใจตนเองออกมาเช่นไร จึงทำได้เพียงจุมพิตเสิ่นหยวนอย่างนุ่มนวลแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่า ไล่ตั้งแต่หน้าผาก หว่างคิ้ว ปลายจมูก พวงแก้ม ริมฝีปาก คาง ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ที่เดียว
เสิ่นหยวนนอนอยู่ในอ้อมแขนหลี่ซิวเหยาอย่างน่ารักว่าง่าย เพียงปล่อยให้เขาจุมพิต
ช่วงที่ผ่านมานี้แม้นางจะฝันถึงหลี่ซิวเหยาทุกคืน แต่ส่วนใหญ่เป็นแค่เขากอดนางไว้เท่านั้น ไม่เคยจุมพิตนางเช่นนี้
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้นางก็รู้สึกได้ถึงริมฝีปากอันอบอุ่นและลมหายใจร้อนผ่าวของหลี่ซิวเหยาด้วย ถึงขั้นทำให้นางคิดว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ยามนี้นางได้ถูกหลี่ซิวเหยากอดไว้ในอ้อมแขนพลางจุมพิตด้วยความรักและสงสารอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ตกลงว่านี่เป็นข้าฝันไปหรือไม่ ท่านกลับมาและกำลังกอดข้าอยู่จริงๆ หรือ แทบทำให้ข้าหลงนึกว่าไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว”
หลี่ซิวเหยาที่จุมพิตแก้มนางอยู่ชะงักเล็กน้อย
เรื่องที่ยามนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ซานซีแต่อยู่ที่ชานเมืองหลวง นอกจากองครักษ์คนสนิทไม่กี่คนก็ไม่มีใครรู้อีก เขาไม่รู้ว่าควรบอกเรื่องนี้กับเสิ่นหยวนหรือไม่
หากบอกไปคิดว่านางจะต้องซักไซ้ไล่เลียงเขาว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้แน่นอน
หากเขาบอกแผนการของตนเองให้เสิ่นหยวนฟัง เกรงว่าในใจนางจะมองเขาเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม และคิดว่าเขาไม่เชื่อใจนาง เรื่องเช่นนี้ถึงกับไม่บอกให้นางรู้ก่อนสักคำ ซ้ำยังปิดบังนางมานานเพียงนี้
มิหนำซ้ำตอนนี้นางก็ตั้งครรภ์อยู่ หากเวลานั้นอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา…
ในใจหลี่ซิวเหยาคิดข้อดีข้อเสียออกมามากมายในชั่วพริบตา สุดท้ายเขาก็ยังคงหลุบตาลงน้อยๆ จูบแก้มนางทีหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเบา “นี่เป็นความฝัน ทว่าหยวนหยวน อีกไม่นานข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า แล้วกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน จูบเจ้าเช่นนี้อย่างแท้จริง”
เสิ่นหยวนจึงหัวเราะออกมา ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือหลี่ซิวเหยา
มือขวาของหลี่ซิวเหยาวางอยู่บนท้องน้อยของนางโดยตลอด ดังนั้นยามนี้นางจึงอยากกุมมือซ้ายของเขา แต่น่าประหลาดยิ่ง นางยังไม่ทันแตะถูกมือซ้ายเขาด้วยซ้ำ เขาก็ชักมือกลับไปแล้ว
ยามนี้เสิ่นหยวนพลันเกิดอารมณ์ดื้อรั้นขึ้นมา จะกุมมือซ้ายของหลี่ซิวเหยาให้ได้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ซ้ำยังถามด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดต้องหลบด้วย!”
หลี่ซิวเหยายิ้มเจื่อน
เรื่องบาดแผลจากการถูกธนูยิงที่อกซ้ายเป็นเพียงเรื่องที่เขาใช้ตบตาใต้เท้าจ้าวผู้แทนพระองค์เท่านั้น ด้วยหวังให้ใต้เท้าจ้าวส่งรายงานกลับมาเมืองหลวง แจ้งว่าเขาต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ซานซีหลายเดือน ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ ในใจฮ่องเต้จะได้คลายความระแวดระวังต่อเขาลง เขาถึงสามารถดำเนินตามแผนการอยู่ลับหลังได้
หากแต่บาดแผลที่ฝ่ามือซ้ายนี้…
อย่างไรก็ต้องสร้างบาดแผลที่น่ากลัวออกมาให้ใต้เท้าจ้าวผู้แทนพระองค์เห็นสักหน่อย เพื่อให้เขาเชื่อว่าเรื่องที่หลี่ซิวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นความจริง
ดังนั้นตอนที่หลี่ซิวเหยาใช้กระบี่เฉือนฝ่ามือซ้ายของตนเองจึงมิได้ยั้งมือแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นกระบี่อ่อนที่เขาพกติดตัวเล่มนั้นเดิมก็เป็นอาวุธมีชื่อ คมกริบอย่างที่สุด
เนื่องจากยามนี้เสิ่นหยวนกำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งยืนกรานจะกุมมือซ้ายของหลี่ซิวเหยาให้ได้ เขาจึงไม่กล้าออกแรงปัดป้องมากเกินไป ด้วยกลัวจะทำให้นางเจ็บ สุดท้ายเสิ่นหยวนจึงกุมมือซ้ายของเขาได้สำเร็จในที่สุด ทว่ากลับแตะเจอผ้าพันแผลที่พันจนหนาเตอะแทน
เสิ่นหยวนตระหนกตกใจยิ่ง รีบกุมมือของหลี่ซิวเหยาขึ้นมาดู ก่อนถามเขาด้วยความร้อนใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน มือซ้ายท่านได้รับบาดเจ็บ? รุนแรงหรือไม่!”
เวลาเดียวกันในใจนางก็เริ่มค่อยๆ มีความกังขาปรากฏขึ้น
ฝันถึงหลี่ซิวเหยาก็ดี ฝันว่าถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขนพลางจุมพิตด้วยความรักและสงสารก็ช่าง ต่อให้รู้สึกว่าเหมือนจริงเพียงไรนางก็ยังอธิบายได้ว่านี่เป็นเพราะตนเองคิดถึงหลี่ซิวเหยามากเกินไป
หากแต่ในความฝันนางจะฝันว่ามือซ้ายของหลี่ซิวเหยาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะเช่นนี้ได้อย่างไร
นางจะฝันว่ามือซ้ายของเขาได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งบนผ้าพันแผลยังดูมีเลือดจางๆ ออกมาให้เห็นเชียวหรือ ทุกอย่างดูเหมือนจริงปานนี้?
เสิ่นหยวนเกิดความสงสัย นางจึงยื่นมือไปแก้ผ้าพันแผลบนมือซ้ายของเขาออกอย่างปราศจากความลังเลทันที
หลี่ซิวเหยาไม่กล้าขัดขืนนัก เกรงจะเผลอทำให้นางบาดเจ็บ
เนื่องจากเสิ่นหยวนรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน การเคลื่อนไหวที่มือจึงเร็วขึ้น ครู่เดียวก็แก้ผ้าที่พันมือหลี่ซิวเหยาอยู่ออกได้แล้ว
แม้ผ่านมาหลายวันจนบาดแผลบนฝ่ามือซ้ายของหลี่ซิวเหยาไม่ได้ดูน่าสยดสยองเท่าเมื่อวันนั้นแล้ว แต่เนื้อหนังบริเวณขอบๆ ก็ยังปริออกมาอยู่ อีกทั้งยังเป็นสีเขียวคล้ำ ดูน่ากลัวยิ่ง คิดว่าต่อให้วันหน้าจะหายดีแล้ว ผิวตรงนี้ก็น่าจะเป็นแผลเป็นอยู่ดี
แผลเป็นบนฝ่ามือซ้าย?
ราวกับมีสายฟ้าวาบผ่าน ผ่าลงกลางหมอกหนาแห่งความเขลาในสมอง เสิ่นหยวนรู้สึกตระหนกตกใจเหลือประมาณ เมื่อนางคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทั่วทั้งร่างก็เริ่มสั่นสะท้าน
รอยแผลเช่นนี้…
นางรู้สึกใจเต้นราวกับรัวกลอง หลับตาลงก่อนใช้มือที่กำลังสั่นลูบคลำรอยแผลบนฝ่ามือหลี่ซิวเหยาทันที
ลูบไปลูบมานางก็เริ่มมีน้ำตาไหลนองหน้า
ชาติก่อนแผลเป็นบนมืออวี้หลางก็ลักษณะเป็นเช่นนี้ ไม่ผิดอย่างแน่นอน!
เสิ่นหยวนพลันนึกขึ้นได้อีกว่าหลี่ซิวเหยาก็ดื่มเพียงชาซงหลัว ทั้งยังมีหลายครั้งที่นางฟังเสียงฝีเท้าของหลี่ซิวเหยาผิดเป็นเสียงฝีเท้าของอวี้หลางในชาติก่อน
ไหนจะเวลาที่หลี่ซิวเหยากอดนาง นางก็รู้สึกคุ้นเคยยิ่งเช่นกัน เสียงแหบแห้งเจือสะอื้นที่เรียกนางว่าหยวนหยวนเมื่อครู่นี้ก็…
ในใจเสิ่นหยวนเกิดการคาดเดาอย่างใจกล้ายิ่ง…ความจริงหลี่ซิวเหยาก็คืออวี้หลาง?
ที่แล้วมาเสิ่นหยวนก็มิใช่ไม่เคยมีข้อคาดเดาพรรค์นี้ เพียงแต่หนึ่งคือนางรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จะอย่างไรชาติก่อนนางกับหลี่ซิวเหยาก็เคยพบกันเพียงไม่กี่หน อีกทั้งท่าทีที่เขามีต่อนางก็ล้วนเย็นชาอย่างที่สุด
และสองคือนางเคยได้ยินผู้อื่นพูดว่าหลี่ซิวเหยาเป็นคนเย็นชาทั้งภายนอกและภายใน จึงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะช่วยชีวิตนาง ซ้ำยังดีต่อนางปานนั้น และถึงกับมีใจให้นางอีกด้วย
มิหนำซ้ำนางก็รู้ว่าฝ่ามือซ้ายของอวี้หลางมีแผลเป็นที่ลึกยิ่งอยู่รอยหนึ่ง แต่ว่าหลี่ซิวเหยากลับไม่มี
ทว่าตอนนี้…
เสิ่นหยวนตื่นเต้นยิ่งยวด เงยหน้ามองหลี่ซิวเหยา ทางหนึ่งใช้มือที่สั่นระริกลูบใบหน้าเขา อีกทางน้ำตาก็ไหลลงมาตามแก้ม เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “ทะ…ท่านคืออวี้หลาง? ที่แท้…ที่แท้อวี้หลางก็คือท่าน?”
หลี่ซิวเหยาไหนเลยจะรู้เรื่องในชาติก่อน เขาจึงรู้สึกว่าคำถามของเสิ่นหยวนประหลาดยิ่งนัก
ทั้งที่เมื่อครู่หลี่ซิวเหยาได้ยินเสิ่นหยวนเรียกชื่ออวี้หลางแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าเสิ่นหยวนรู้ชื่อเล่นที่เขาไม่เคยบอกต่อผู้อื่นนี้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้นางมาถามเขาเช่นนี้อีกหมายความอย่างไรกัน เขาย่อมต้องเป็นอวี้หลางอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้หลี่ซิวเหยาจึงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าคืออวี้หลาง”
ครั้นเสิ่นหยวนได้ยินก็น้ำตาไหลพรากในชั่วพริบตา นางยิ่งตื่นเต้นจนริมฝีปากสั่น พูดอะไรไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
ในใจนางมีเพียงความคิดเดียวกำลังพลิกตลบไปมา…เขาคืออวี้หลางจริงๆ เขาคืออวี้หลางจริงๆ! อวี้หลางที่ชาติก่อนอยู่เคียงข้างข้าหนึ่งปีเต็มๆ คอยดูแลข้าอย่างทุ่มเทสุดหัวใจ สอนข้าดีดพิณ ฟังเสียงลมพัดผ่านต้นสนเป็นเพื่อนข้า ที่แท้ก็คือหลี่ซิวเหยา สามีที่ข้าแต่งงานด้วยในชาตินี้
เสิ่นหยวนร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น ทว่าภายในใจกลับยินดี ยินดีจนแทบอยากร้องตะโกนดังๆ
หลี่ซิวเหยาไม่เข้าใจว่าไฉนเสิ่นหยวนถึงตื่นเต้นปานนี้ คล้ายว่าใกล้จะฟั่นเฟือนแล้วอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาเห็นแล้วเป็นห่วงที่สุด นางยังตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ จะอารมณ์พลุ่งพล่านเพียงนี้ได้อย่างไร
หลี่ซิวเหยาหันหน้าไปมองความมืดที่ด้านนอกเล็กน้อย
มานานเพียงนี้แล้ว เขาควรกลับไปเสียที มิเช่นนั้นยามออกนอกเมืองฟ้าก็จะสางแล้ว หากถูกคนค้นพบร่องรอยความเคลื่อนไหวเข้าจริงๆ งานที่เขาทำมาก่อนหน้านี้ก็คงต้องสูญเปล่า
หลี่ซิวเหยาคิดแล้วก็ใช้นิ้วสกัดจุดหลับของเสิ่นหยวนเบาๆ
ในใจเสิ่นหยวนกำลังตื่นเต้นพลุ่งพล่าน อยากจะเอ่ยปากบอกเรื่องมากมายกับหลี่ซิวเหยา แต่จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบลงฉับพลัน สติเริ่มจะเลอะเลือน
แต่เสิ่นหยวนยังคงพยายามจับมือซ้ายของหลี่ซิวเหยาไว้แน่นจนสุดกำลัง พูดพึมพำว่า “อวี้หลาง ท่านอย่าไป ท่านอย่าไป…”
นางเคยได้ยินผู้อื่นพูดว่าคนที่กำลังฝันจะไม่รู้สึกเจ็บ นางอยากหยิกตนเองแรงๆ สักทีหนึ่ง ดูซิว่าจะเจ็บหรือไม่ ดูซิว่าที่แท้แล้วเป็นนางกำลังฝันไปใช่หรือไม่
เสิ่นหยวนกลัวนักว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน เนื่องจากในใจนางไม่รู้ว่าควรจะวางฐานะของหลี่ซิวเหยากับอวี้หลางอย่างไรให้สมดุล ถึงได้สร้างฝันเช่นนี้ออกมาเพื่อหลอกตนเองว่าอันที่จริงอวี้หลางก็คือหลี่ซิวเหยา และหลี่ซิวเหยาก็คืออวี้หลาง เช่นนี้นางจะได้ไม่รู้สึกละอายใจและทุกข์ทรมานอีก
ทว่าตอนนี้นางง่วงงุนนัก ง่วงจนสองตาลืมไม่ขึ้น แม้แต่จะเอ่ยปากพูดคำเดียวก็พูดไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยิกตนเองแล้ว…
หลี่ซิวเหยารับร่างที่อ่อนยวบของเสิ่นหยวนเอาไว้ วางศีรษะนางลงบนหมอนอย่างเบามือ ก่อนห่มผ้าให้นาง สอดเก็บมุมผ้าห่มจนเรียบร้อย
เห็นบนดวงหน้างามดั่งหยกขาวของเสิ่นหยวนยังคงมีคราบน้ำตาอยู่เต็ม แม้จะไม่กระจ่างว่าเหตุใดจู่ๆ นางก็ร้องไห้หนักปานนี้ แต่หลี่ซิวเหยายังคงยกมือเช็ดน้ำตาบนหน้านางอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนจะโน้มหน้าลงจูบหว่างคิ้วนาง แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “เจ้าจงรอข้าอย่างว่าง่าย อีกไม่นานข้าก็จะกลับมา”
พูดจบหลี่ซิวเหยาก็มองเสิ่นหยวนอย่างลึกซึ้งอีกอึดใจ จากนั้นก็หักใจลุกขึ้นยืน หันหลังเดินจากมา บังคับตนเองไม่ให้เหลียวกลับไปมองอีกเด็ดขาด
เขากลัวว่าถ้าเหลียวกลับไปมองเสิ่นหยวนเมื่อใด เขาก็จะตัดใจจากไปไม่ลง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 09 ธ.ค. 63
Comments
comments
No tags for this post.