บทที่ 5
วาจานี้ของเซวียอี๋เหนียงดูเผินๆ เหมือนคิดเผื่อเสิ่นหยวน ทั้งยังวิเคราะห์ผลดีผลร้ายในเรื่องนี้อย่างเอาใจใส่ หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องไม่กล้าไปพบบิดาในตอนนี้แน่นอน และเกรงว่าคงจะเกลียดบิดาด้วย นางคงรู้สึกว่าอย่างไรตนเองก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่วันนี้เรือของนางมาถึงเมืองหลวง บิดากลับไม่ต้องการให้คนไปรับนางที่ท่าเรือ ถึงเวลานั้นนางจะต้องร้องไห้อาละวาดกับบิดาเป็นแน่ ซึ่งแต่ไรมาบิดาก็ไม่ชอบให้นางร้องไห้อาละวาดเป็นที่สุด เอาแต่บอกว่านางไม่มีลักษณะของคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิด…
ทว่าเสิ่นหยวนในอดีตได้ตายไปแล้ว เสิ่นหยวนในตอนนี้ไหนเลยจะเชื่อคำของเซวียอี๋เหนียงง่ายๆ เช่นนั้น
ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง มีเรื่องมากมายที่มองเห็นได้ชัดกว่ากาลก่อน
ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงเพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ขอบคุณอี๋เหนียงที่เตือนด้วยความหวังดี แต่ข้าไม่ได้กลับมาบ้านหนึ่งปีกว่า วันนี้ได้กลับมาแล้ว ย่อมต้องไปพบท่านพ่อก่อน ต่อให้ท่านพ่อโกรธข้า เคืองข้า หรือจะตำหนิข้า แต่นี่ก็เป็นเพราะเมื่อก่อนข้าทำผิดไว้ สมควรจะได้รับแล้ว” นางพูดพลางหมุนตัวเดินไปทางห้องหนังสือส่วนหน้า
เซวียอี๋เหนียงอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าที่นางพูดไปถึงกับห้ามปรามเสิ่นหยวนไม่ได้
หลังจากนั้นนางก็ก้าวเท้าตามไปทันที ยิ้มพลางพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไปรอนายท่านกลับมาที่ห้องหนังสือส่วนหน้าด้วยกันกับคุณหนูใหญ่ หากนายท่านจะตำหนิท่านจริงๆ ข้าจะได้ช่วยเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ”
ทำเรื่องผิดบาปไว้มากย่อมจะร้อนตัวกว่าผู้อื่น เซวียอี๋เหนียงกังวลยิ่งว่าอีกประเดี๋ยวเสิ่นหยวนจะซักถามขึ้นมาว่าที่แท้ฮูหยินตายอย่างไร หากนายท่านเชื่อตามที่นางร้องไห้โวยวายแล้วต้องการสอบสวนขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็…
เซวียอี๋เหนียงพลันใจกระตุก
เสิ่นหยวนไม่ได้สนใจเซวียอี๋เหนียง นางอยากตามมาก็ให้ตามมา จะออกอุบายชั่วร้ายอะไรก็ไม่เป็นไร จากนี้พวกนางคงต้องข้องแวะกันอีกไม่น้อย อย่างไรก็ต้องค่อยๆ เริ่มเผชิญหน้ากันตั้งแต่ตอนนี้อยู่ดี
เมื่อมาถึงห้องหนังสือส่วนหน้าก็ยังไม่เห็นบิดา
หน้าประตูมีบ่าวชายอายุสิบห้าสิบหกปีอยู่สองคน กำลังนั่งตากแดดรับไออุ่นพลางคุยเล่นกันอยู่ใต้มุขระเบียง ครั้นเห็นเซวียอี๋เหนียงกับเสิ่นหยวนมาถึงพวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนมือแนบลำตัวพลางเอ่ยเรียก “เซวียอี๋เหนียง คุณหนูใหญ่”
เซวียอี๋เหนียงชิงเอ่ยปากถามก่อน “นายท่านกลับมาแล้วหรือยัง”
บ่าวชายที่สวมเสื้อนอกตัวยาวสีเขียวครามคนหนึ่งตอบว่า “นายท่านยังกลับมาไม่ถึงขอรับ”
เซวียอี๋เหนียงพยักหน้า ก่อนจะสั่งเขาว่า “ไปดูที่ประตูใหญ่ที หากนายท่านกลับมาแล้วก็รีบมาบอกให้ข้ากับคุณหนูใหญ่รู้”
บ่าวชายผู้นั้นรับคำเสร็จก็หมุนตัววิ่งออกไป
เซวียอี๋เหนียงจึงสั่งบ่าวชายอีกคนเปิดประตูห้องหนังสือให้ตนกับเสิ่นหยวนเข้าไป
ไฉ่เวยก้าวไปเลิกม่านขึ้น เสิ่นหยวนก้มศีรษะเดินเข้าไป จากนั้นเซวียอี๋เหนียงก็ตามหลังนางเข้ามา
ห้องหนังสือส่วนหน้าของบิดานี้มีทั้งหมดสามห้อง ห้องกลางเป็นโถงรับแขก ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้มะกล่ำทั้งห้อง ห้องข้างฝั่งตะวันออกเป็นห้องหนังสือ บนชั้นหนังสือติดผนังมีหนังสือวางเรียงราย ห้องข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่สำหรับบิดาใช้พักผ่อน มีฉากบังลมปักไผ่เขียววางอยู่ฉากหนึ่ง ที่ด้านหลังเป็นตั่งไม้หนึ่งตัว
คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้กลางโถง ครู่เดียวก็มีสาวใช้ยกชามาให้
เสิ่นหยวนหยิบถ้วยมีฝาปิดขึ้นมาดื่มพลางมองดูแต่ละจุดในห้อง
ข้างในนี้ยังมีสภาพเหมือนในความทรงจำนาง ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
เซวียอี๋เหนียงยังไม่ดื่มชา แต่กล่าวกับเสิ่นหยวนด้วยถ้อยคำน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ถามเรื่องของนางตอนอยู่ที่บ้านท่านตา รวมถึงเหตุการณ์ระหว่างเดินทางกลับมา ทว่าล้วนถูกเสิ่นหยวนตอบกลับมาด้วยคำพูดผ่านๆ ไม่กี่คำ
นั่งอยู่ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บ่าวชายคนก่อนหน้านี้ก็วิ่งหอบแฮกๆ กลับมาบอกว่านายท่านกลับถึงจวนแล้ว
เสิ่นหยวนวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเล็กข้างมือ
เพียงครู่เดียวนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง ตามด้วยม่านหน้าประตูถูกเลิกขึ้น ภายในห้องสว่างขึ้นทันที ก่อนจะมีคนเดินเข้ามา
เสิ่นหยวนกับเซวียอี๋เหนียงต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้ เซวียอี๋เหนียงก้าวไปต้อนรับ ใบหน้าอมยิ้มพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล “นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ทั้งยังก้าวไปรับเสื้อคลุมด้วยตนเอง
เสิ่นหยวนเงยหน้ามองบิดาของตน
บิดามีนามว่าเสิ่นเฉิงจาง เป็นบุตรคนรองในตระกูล รูปร่างหน้าตาซูบผอม ไว้หนวดยาวสามปอย ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนที่ภูมิฐาน ซื่อตรง คงแก่เรียนอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนคุกเข่าลง เอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพ่อ” ทั้งยังก้มตัวลงกล่าวว่า “ลูกอกตัญญูมาคารวะท่านแล้ว”
บนตัวเสิ่นเฉิงจางยังสวมชุดขุนนางสีแดงเข้มอยู่ ตรงเอวมีเข็มขัดทองรัดไว้
เขามองเสิ่นหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา วาจาที่เปล่งออกมาก็เยียบเย็นเช่นกัน “ใครเป็นพ่อเจ้า ข้าไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายอย่างเจ้า”
เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากเบาๆ คุกเข่าอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร
นางไม่รู้ว่ายามนี้ในใจตนเองรู้สึกเช่นไรต่อเสิ่นเฉิงจางกันแน่
นางเป็นบุตรสาวของเสิ่นเฉิงจาง ในใจบิดาย่อมมีนางอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ในใจเขาฐานะของนางเทียบกับฐานะของเสิ่นหลันไม่ได้เสมอมา
เสิ่นหยวนยังจำได้ว่าชาติก่อนเวลาบิดาพบนางเป็นต้องรังเกียจว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ดุว่านางอย่างรุนแรงทุกครั้งไป มารดาเคยให้ปิ่นลายผีเสื้อเย้าบุปผาฝังทับทิมประดับทองถักกับนางอันหนึ่ง นางปักไว้บนศีรษะ เมื่อบิดาพบเห็นเข้าเขาก็บอกว่านางฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นนางเห็นบนศีรษะเสิ่นหลันปักปิ่นหยกขาวสลักลายเมฆหลินจือ พอถามดูกลับพบว่าบิดาเป็นผู้มอบให้
นางเองเคยร้องไห้อาละวาด รู้สึกว่าบิดาลำเอียง มารดาก็ปลอบนางว่า ‘เพราะรักมากจึงตำหนิมาก เจ้าเป็นบุตรสาวคนโตสายตรง บิดาเจ้าย่อมจะเข้มงวดกับเจ้ามากกว่าคนอื่น’ ในเวลานั้นนางเชื่อคำมารดา ในใจถึงขั้นรู้สึกยินดี
แต่ระหว่างหลายปีที่นางแต่งไปสกุลหลี่แล้วถูกเมินเฉยไม่เหลียวแลนั้น ว่างๆ นางก็จะรื้อฟื้นแต่ละเรื่องในอดีตเหล่านั้นออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วพินิจพิจารณา จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าบิดาคล้ายรู้สึกละอายใจบางอย่างต่อเซวียอี๋เหนียง เสิ่นหรง และเสิ่นหลันสามแม่ลูก
ประหนึ่งว่าติดค้างพวกเขา จึงอยากจะชดเชยให้อย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นเขาถึงได้อ่อนโยนกับทั้งสามเสมอ ยิ่งกับเซวียอี๋เหนียงยิ่งปฏิบัติด้วยอย่างนุ่มนวล
ทว่ากับมารดา บิดามีเพียงความเคารพให้เท่านั้น เป็นความเคารพอย่างที่สามีภรรยาพึงมีให้ต่อกัน คิดว่าในใจมารดาคงรู้ดีถึงจุดนี้ เพราะชาติก่อนเสิ่นหยวนเคยเห็นนับครั้งไม่ถ้วนว่ามารดานั่งบนเตียงเตาคนเดียว ตามองเหม่อไปนอกหน้าต่าง สีหน้ามีแต่ความเหงาหงอยเดียวดาย
บุรุษผู้หนึ่งรักสตรีนางหนึ่งหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ชัดไปกว่าตัวสตรีนางนั้นเอง
ต่อให้ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ แต่เสิ่นหยวนคิดขึ้นมาทีไรในสมองก็ยังคงมีภาพสีหน้าเหงาหงอยเดียวดายของมารดาปรากฏออกมาชัดเจนเช่นเดิม
นางยิ่งกัดริมฝีปากแน่น
ได้ยินเสิ่นเฉิงจางพูดเสียงเย็นอีกว่า “เจ้ามาคุกเข่าอะไรอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวจะทำพื้นห้องหนังสือข้าสกปรก รีบออกไปเสีย!”
เสิ่นหยวนยังคงหมอบอยู่ที่เดิม ทั้งยังพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ เรื่องในตอนนั้นลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดอภัยให้ลูกสักครั้ง ลูกรับปากว่าต่อไปจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีกเด็ดขาด”
นางเป็นบุตรสาวสกุลเสิ่น อย่างไรก็ต้องกลับมา ในจุดนี้ย่อมหนีไม่พ้น อีกทั้งยังมีน้องชายน้องสาวร่วมอุทรอยู่ที่นี่อีก นางจำต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และต้องขอให้บิดาอภัยด้วย
แม้บิดาจะไม่ยุ่งเรื่องในเรือนส่วนใน แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้วเขาก็เป็นเจ้านายของจวนสกุลเสิ่น วันหน้านางจะมีชีวิตเช่นไรในจวนสกุลเสิ่นนี้ล้วนต้องดูว่าบิดามีท่าทีต่อนางอย่างไร
เพียงแต่แม้นางจะยอมรับผิดอย่างจริงใจเช่นนี้ เรื่องเมื่อปีที่แล้วก็ยังคงทำให้ในใจเสิ่นเฉิงจางเดือดดาลเหลือกำลัง มิหนำซ้ำหลังจากเสิ่นหยวนถูกส่งไปบ้านท่านตาได้ไม่นาน เซวียอี๋เหนียงก็นำจดหมายที่เสิ่นหยวนเขียนถึงมารดามาให้เสิ่นเฉิงจางดูอีก
ในจดหมายมีแต่ถ้อยคำต่อว่าต่อขาน ร้องไห้อาละวาดจะกลับเมืองหลวง ซ้ำยังวอนขอมารดาให้ส่งเสริมนางแต่งงานกับหลี่ซิวหยวนด้วย
นางถึงกับไม่รู้จักสำนึกและปรับปรุงตัวเพียงนี้! เสิ่นเฉิงจางโมโหจนสองมือสั่นระริกทันที อยากจะให้ตนเองไม่เคยมีบุตรสาวอย่างเสิ่นหยวนใจแทบขาด ทั้งยังพุ่งไปหามารดาของเสิ่นหยวน ถามนางว่าเป็นมารดาคนเช่นไร ถึงได้สั่งสอนบุตรสาวที่ไร้ยางอายเพียงนี้ออกมา
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพลิงโทสะในใจเสิ่นเฉิงจางก็ยิ่งลุกโชน
สาวใช้ยกน้ำชามาให้ก็ถูกเขาใช้มือปัดตกพื้น
เครื่องกระเบื้องตกพื้นแตกเสียงดังเพล้ง แทรกด้วยเสียงเจือโทสะของเขา “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูด? ออกไป!”
เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากแน่นสุดชีวิต ชั่วครู่ต่อมานางก็ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปในที่สุด
เซวียอี๋เหนียงเห็นแล้วในใจก็แอบโล่งอก
ทางที่ดีขอให้เสิ่นเฉิงจางโกรธเสิ่นหยวนเช่นนี้ไปตลอด วันหน้านางจะได้ไม่ต้องกลัวเกรงอะไรมากนัก อีกทั้งเรื่องของฮูหยิน…
ตอนนี้เสิ่นเฉิงจางมีท่าทีเช่นนี้ต่อเสิ่นหยวน คิดว่าถึงเสิ่นหยวนเอ่ยเรื่องมารดานางขึ้นมา เขาก็คงอารมณ์เสียด่าว่านางเป็นแน่ จะอย่างไรตอนนั้นตนก็เคยบอกกับเสิ่นเฉิงจางว่าฮูหยินถูกคุณหนูใหญ่ทำให้โมโหหนัก ถึงได้กลัดกลุ้มใจจนป่วยหนักเช่นนั้น ภายหลังพอเพิ่งจะทุเลาขึ้นมาบ้าง คุณหนูใหญ่กลับส่งจดหมายมาเร่งเร้าฮูหยินเป็นประจำ ขอให้ฮูหยินช่วยส่งเสริมนางแต่งงานกับหลี่ซิวหยวนด้วย ฮูหยินถูกโทสะทำร้ายหัวใจ ถึงได้รักษาไม่หายและจากโลกไปเช่นนั้น
เรื่องของฮูหยิน…ทางที่ดีอย่ามีผู้ใดเอ่ยขึ้นมาอีกตลอดกาลเป็นดี
เซวียอี๋เหนียงวางใจแล้ว เห็นเสิ่นเฉิงจางโมโหจนใบหน้าเปลี่ยนสีบ้างแล้ว นางก็เดินไปยกมือแตะขมับสองข้างของเขา ทางหนึ่งนวดขมับให้เขาด้วยแรงพอเหมาะ อีกทางก็เอ่ยเตือนเสียงอ่อนเสียงหวาน “นายท่านอย่าโมโหเกินไป คุณหนูใหญ่มีนิสัยรั้นเช่นนี้อยู่แล้ว เวลาชอบอะไรหรือผู้ใดก็จะต้องเอามาครอบครองให้ได้ ท่านใช่ว่าจะไม่ทราบ เหตุใดต้องโมโหจนเป็นเช่นนี้ด้วย หากโมโหจนกระทบกระเทือนสุขภาพท่าน ผู้น้อยกับหรงเกอ รวมถึงหลันเจี่ยจะทำอย่างไร พวกเราสามแม่ลูกล้วนต้องพึ่งพานายท่านนะเจ้าคะ”
คำพูดประเภทเป็นที่พึ่งพานี้บุรุษมักจะชอบฟัง ด้วยทำให้เขาเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาในใจ
เสิ่นเฉิงจางรู้สึกว่าโทสะในใจคลายลงเล็กน้อยทันที
เขายกมือกุมมือบางขาวผ่องของเซวียอี๋เหนียงที่แตะขมับเขาเอาไว้ ก่อนถอนหายใจกล่าวว่า “นางลูกเนรคุณคนนี้! ข้าถูกนางทำให้โมโหมากจริงๆ หากไม่ใช่ท่านพ่อตาเขียนจดหมายมาบอกว่าจะให้นางกลับมาเมืองหลวง ข้าก็อยากให้นางอยู่ที่ฉางโจวไปชั่วชีวิตนัก ถือเสียว่าไม่เคยมีบุตรสาวคนนี้”
เซวียอี๋เหนียงกำลังจะเอ่ยปากพูด กลับได้ยินเสียงบ่าวชายดังขึ้นอย่างระมัดระวังที่นอกประตู “นายท่าน?”
เสิ่นเฉิงจางขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “มีอะไร!”
เขาได้ยินบ่าวชายกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “นายท่าน คุณหนูใหญ่กำลังคุกเข่าอยู่ในลานเรือน ไม่ว่าพวกบ่าวจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร คุณหนูใหญ่ก็เอาแต่คุกเข่าไม่ยอมจากไป ท่านเห็นว่าควรทำเช่นไรดีขอรับ”
เสิ่นเฉิงจางเงียบไป
อันที่จริงเมื่อครู่นี้ขณะเสิ่นหยวนคุกเข่าหมอบกับพื้นพูดว่าตนเองสำนึกผิดแล้ว เสิ่นเฉิงจางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน มาตอนนี้เสิ่นหยวนทำเช่นนี้อีก เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม
ในอดีตเสิ่นหยวนทำความผิดให้เขาไม่พอใจเป็นเนืองนิตย์ ทุกครั้งยามเขาดุนาง นางล้วนแต่ทำคอแข็ง อย่างไรก็ไม่ยอมรับผิด ทว่าบัดนี้…
เสิ่นเฉิงจางไม่ได้พูดอะไร
ในใจเซวียอี๋เหนียงเองก็ตระหนกตกใจอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
นับตั้งแต่เจอหน้าเสิ่นหยวนก่อนหน้านี้ นางก็พอจะรู้สึกแล้วว่าเสิ่นหยวนเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก มาบัดนี้นางถึงขั้นรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านนอกนั้นมิใช่เสิ่นหยวนเลยทีเดียว
ไฉนอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปได้มากเพียงนี้
เซวียอี๋เหนียงรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างอย่างอธิบายไม่ได้ นางรีบเอ่ยเรียก “นายท่าน…”
เดิมตั้งใจจะพูดอะไรสองสามคำ ทางที่ดีคือทำให้เสิ่นเฉิงจางหงุดหงิดต่อการกระทำพรรค์นี้ของเสิ่นหยวน แต่เสิ่นเฉิงจางกลับคิดว่านางจะขอความเมตตาแทนเสิ่นหยวน เขาจึงยกมือขึ้นเป็นการห้ามไม่ให้นางพูดต่อ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าไม่ต้องขอร้องแทนนาง นางจะคุกเข่าก็ปล่อยให้นางทำไป”
เขาจะคอยดูว่าคราวนี้นางสำนึกผิดและยอมปรับปรุงตัวจากใจจริงหรือไม่
เซวียอี๋เหนียงเห็นเสิ่นเฉิงจางพูดเช่นนี้ คำพูดที่เตรียมไว้เหล่านั้นก็พูดไม่ออกแล้ว
วันนี้เป็นวันฟ้าครึ้ม อากาศเย็น ยังไม่ถึงยามโหย่ว ฟ้าก็เริ่มมืด
บ่าวชายไล่จุดโคมที่แขวนตามระเบียง แสงเทียนในห้องหนังสือสว่างขึ้นแล้ว มีสาวใช้ยกกล่องอาหารเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่ในลานเรือน ร่างไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ไฉ่เวยมองอยู่ข้างๆ รู้สึกทรมานใจยิ่งนัก จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “คุณหนู ท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ ในใจนายท่านยังโมโหท่านอยู่ ถึงท่านคุกเข่าต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้รอสองสามวันให้นายท่านหายโมโหก่อน ท่านค่อยมาหาใหม่ดีกว่า”
ฉางหมัวมัวก็เอ่ยโน้มน้าวว่า “คุณหนู ท่านรีบลุกขึ้นเถิด ท่านคุกเข่าอยู่เช่นนี้ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนหาได้ขยับตัวไม่
ข้าไม่มีเวลามากพอถึงขั้นรอให้ท่านพ่อมายกโทษให้ข้าเองได้
บิดาดีต่อเซวียอี๋เหนียงเพียงนั้น เป็นแค่อนุก็ยังให้นางดูแลเรื่องในเรือนส่วนในของจวนสกุลเสิ่น เห็นได้ว่าเขาเชื่อใจนางมากเพียงไร อีกทั้งเมื่อผ่านช่วงปีใหม่เริ่มฤดูใบไม้ผลิมารดาก็จะจากไปครบหนึ่งปี บิดาไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้มารดาอีก
แม้ว่าชาติก่อนบิดาจะไม่ได้ยกเซวียอี๋เหนียงขึ้นเป็นภรรยาเอก แต่ชาตินี้ผู้ใดจะไปรู้เล่า อย่างไรเซวียอี๋เหนียงก็ได้รับความโปรดปรานจากบิดาออกปานนั้น อีกทั้งอีกฝ่ายก็มีบุตรชาย และหงเอ๋อร์ น้องชายนางก็มิได้เป็นที่รักใคร่ของบิดา…
ไฉ่เวยกับฉางหมัวมัวเห็นว่าโน้มน้าวเสิ่นหยวนไม่ได้จึงแต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ
ส่วนภายในห้องหนังสือเสิ่นเฉิงจางนั่งอยู่ริมโต๊ะกลม เซวียอี๋เหนียงยืนอยู่ข้างเขา ในมือจับตะเกียบงาช้างคีบกับข้าวให้เขาอยู่
เสิ่นเฉิงจางเป็นคนให้ความสำคัญกับสุขภาพ อาหารเย็นจึงเน้นรสอ่อน กับข้าวบนโต๊ะล้วนเป็นจานผัก มีตีนไก่ผัดเป็นจานเนื้อเพียงจานเดียว โดยเนื้อไก่นั้นเอาไปลวกน้ำก่อนแล้ว
เซวียอี๋เหนียงคีบหน่อไม้ผัดใส่จานเล็กลายครามตรงหน้าเสิ่นเฉิงจาง ก่อนจะหันไปคีบหน่อไม้น้ำดองต่อ
บนข้อมือนางสวมกำไลหยกเขียววงหนึ่ง แม้เนื้อหยกจะธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนข้อมือของนางก็ยังขับให้ดูขาวปานหิมะแรก
เสิ่นเฉิงจางเห็นกำไลหยกเขียววงนี้ ดวงตาก็มีแววอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา
“กำไลหยกเขียววงนี้เป็นของที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อตอนนั้น?”
เซวียอี๋เหนียงได้ยิน บนหน้าก็มีเลือดฝาดขึ้นมาน้อยๆ
นางก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย มองกำไลบนข้อมือ เสียงนุ่มนวลปานสายน้ำวสันต์ “นายท่านยังจำกำไลวงนี้ได้หรือเจ้าคะ”
“ข้าย่อมจำได้” เสิ่นเฉิงจางทอดถอนใจก่อนกล่าวว่า “ข้ายังจำได้ว่าอิ๋งชิวในราตรีนั้นงดงามเพียงไร ในตอนนั้นยังเป็นข้าสวมกำไลวงนี้บนข้อมือเจ้าด้วยตนเอง”
‘อิ๋งชิว’ คือนามของเซวียอี๋เหนียง
เซวียอี๋เหนียงยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ทำให้เสิ่นเฉิงจางเห็นแล้วคล้ายว่าได้กลับไปในราตรีนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน
ชุยอิงอิงปฏิเสธจางเซิงด้วยสีหน้าจริงจังยามทิวา ตกราตรีกลับเยื้องกรายพาตนเองมาให้ถึงเตียง
เสิ่นเฉิงจางยื่นมือไปกุมมือเซวียอี๋เหนียงไว้พลางกล่าว “กำไลวงนี้ไม่ดีนัก วันหน้าข้าจะมอบกำไลที่ดีที่สุดให้เจ้าแล้วกัน”
เซวียอี๋เหนียงได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้กำไลวงนี้จะเป็นของธรรมดา แต่ในใจผู้น้อยกลับมองว่ามันล้ำค่ากว่าเครื่องประดับอื่นใด ถึงนายท่านจะมอบกำไลที่ดีกว่าให้ผู้น้อยในตอนนี้ ผู้น้อยก็ไม่สวมหรอกเจ้าค่ะ”
เสิ่นเฉิงจางเข้าใจความหมายในคำพูดนางดี เขาซาบซึ้งใจยิ่ง บีบมือนางพลางกล่าว “นั่งลงกินข้าวกับข้าเถอะ”
เซวียอี๋เหนียงปฏิเสธ “นายท่าน ผู้น้อยเป็นเพียงอนุเท่านั้น จะนั่งกินอาหารกับท่านได้อย่างไร นี่ผิดธรรมเนียมนะเจ้าคะ”
“เจ้าอยู่กับข้ายังต้องพูดเรื่องธรรมเนียมอะไรอีก” เสิ่นเฉิงจางกลับยืนกราน ซ้ำยังดึงมือนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา ก่อนจะหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้นำชามและตะเกียบมาอีกชุดหนึ่ง
คนทั้งสองกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้ว สาวใช้ก็มาเก็บจานชามออกไป ส่วนทั้งสองก็นั่งคุยกัน
เซวียอี๋เหนียงหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง
หน้าต่างเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง สามารถมองเห็นคนที่ยังคุกเข่าอยู่ในลานเรือนได้
เซวียอี๋เหนียงครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “นายท่าน แม้ว่าตอนนั้นคุณหนูใหญ่จะไม่รู้ความจนสร้างเรื่องที่ทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นนั้นออกมา แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงหญิงสาวนางหนึ่ง หากคุกเข่าเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว” นางชะงักเล็กน้อยก่อนพูดอีกว่า “เพื่อเห็นแก่หน้าของฮูหยิน ท่านก็ควรให้คุณหนูใหญ่ลุกขึ้นนะเจ้าคะ”
ได้ยินเซวียอี๋เหนียงพูดเช่นนี้ เสิ่นเฉิงจางก็โมโหขึ้นมาตามคาด
“มารดานางถูกนางทำให้โมโหจนตาย ถ้าเพื่อมารดานางข้าก็ควรลงโทษนางให้หนักสิ ให้นางคุกเข่าไปเช่นนี้เถิด เจ้าไม่ต้องขอร้องแทนนางอีก”
เซวียอี๋เหนียงรีบทำท่าทางหวั่นเกรงออกมา ตอบรับว่า “เจ้าค่ะ ผู้น้อยทราบแล้ว”
เสิ่นเฉิงจางไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินเข้าไปห้องข้างฝั่งตะวันออก เลือกหนังสือเล่มหนึ่งบนตู้มาอ่าน
เซวียอี๋เหนียงรู้ว่าเวลาเขาอ่านหนังสือไม่ชอบถูกคนรบกวน นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ไม่กี่วันนี้อากาศเย็นขึ้นแล้ว ผู้น้อยเห็นเสื้อคลุมบนตัวนายท่านเป็นของเมื่อปีก่อน จึงอยากจะทำตัวใหม่ให้นายท่าน ผ้าต่วนสีน้ำเงินดำ ด้านบนปักลายว่านน้ำเพิ่มลงไป นายท่านเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
สีน้ำเงินดำดูสุขุมล้ำค่า ว่านน้ำเป็นหนึ่งในบุปผาสี่สง่า เสิ่นเฉิงจางชื่นชมว่านน้ำมาแต่ไหนแต่ไร บอกว่ามันทนความหนาวเย็น วางเฉยต่อสิ่งเร้า เรื่องเหล่านี้เซวียอี๋เหนียงล้วนทราบทั้งสิ้น
ที่จริงเซวียอี๋เหนียงรู้ความชอบทั้งหมดของเสิ่นเฉิงจางดีประดุจนิ้วมือตนเอง นางรู้ด้วยว่าเสิ่นเฉิงจางชอบสตรีที่อ่อนหวานโอนอ่อนและจิตใจดี ดังนั้นหลายปีมานี้นางจึงแสดงท่าทางเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าเสิ่นเฉิงจางมาโดยตลอด
เสิ่นเฉิงจางฟังแล้วก็พอใจตามคาด ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนอิ๋งชิวแล้ว”
เซวียอี๋เหนียงยิ้มพลางเอ่ยขอตัวกับเขา ก่อนพารุ่ยเซียงเดินออกประตูไป
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่กลางลานเรือน เซวียอี๋เหนียงเดินมาหยุดที่เบื้องหน้านาง
“คุณหนูใหญ่” นางเรียกเสิ่นหยวนด้วยใบหน้ายิ้ม ทว่าดวงตากลับไม่มีรอยยิ้มสักเท่าไร “ท่านลุกขึ้นมาเถอะ เมื่อครู่ข้าเกลี้ยกล่อมนายท่านอยู่พักใหญ่ แต่ในใจนายท่านยังคงโมโหท่านอยู่มาก ต่อให้ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้สามวันสามคืนก็ไม่มีประโยชน์”
เสิ่นหยวนเงยหน้ามองเซวียอี๋เหนียงอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วพลันยิ้มออกมา
นางไม่เชื่อหรอกว่าเซวียอี๋เหนียงจะขอร้องบิดาจริงๆ เกรงว่าจะยุแยงเสียมากกว่า
“อี๋เหนียงเดินระวังด้วย” เสิ่นหยวนเพียงพูดเช่นนี้ จากนั้นก็หันหน้าไปมองไผ่หางหงส์กอหนึ่งที่ปลูกอยู่ตรงมุมลานเรือน
นางถึงกับดื้อด้านเพียงนี้?!
เจอปฏิเสธอย่างไม่แข็งไม่อ่อนเช่นนี้ ในใจเซวียอี๋เหนียงย่อมจะหงุดหงิด ทว่านางมิได้แสดงออกทางสีหน้า กลับพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายตนเอง ข้ายังต้องรีบกลับไปตัดเสื้อคลุมให้นายท่านอีก คงต้องขอตัวก่อน”
เซวียอี๋เหนียงก้าวเดินจากมา แต่ครั้นออกมาพ้นประตูเรือนแล้ว นางก็สั่งรุ่ยเซียงเสียงเบา “เจ้าบอกให้สาวใช้สักคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ด้วย หากมีอะไรให้มาบอกข้าทันที”
รุ่ยเซียงรับคำ
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าอยู่ในลานเรือน นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองคุกเข่ามานานเท่าไรแล้ว
ไฉ่เวยกับฉางหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ ร้อนใจยิ่งกว่าอะไร ขณะที่นางกลับสงบนิ่งโดยตลอด เอาแต่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
เสิ่นหยวนจะแสดงให้บิดาเห็นว่านางสำนึกผิดและปรับปรุงตัวจากใจจริงแล้ว มิเช่นนั้นต่อไปภายหน้าเรื่องนั้นก็จะยังติดอยู่ในใจบิดาไปตลอด ทำให้บิดาระอานาง เช่นนั้นชีวิตในจวนนี้ของนางแค่คิดก็รู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร
อีกประการหนึ่ง ในใจเสิ่นหยวนคิดว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของบิดา นางไม่เชื่อหรอกว่าบิดาจะใจแข็งให้นางคุกเข่าต่อไปเรื่อยๆ ได้จริงๆ…อย่างไรก็ต้องลองเดิมพันดูสักครั้ง
อันที่จริงแม้ยามนี้เสิ่นเฉิงจางจะนั่งถือหนังสืออ่านอยู่ที่โต๊ะ แต่ในใจกลับไม่สงบ ผ่านไปครู่หนึ่งเป็นต้องเงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ก้มหน้าก้มตา ไม่ขยับเขยื้อน
ไม่รู้ว่านางร้องไห้แล้วหรือไม่ นางเป็นคนเปราะบางมาแต่ไหนแต่ไร แค่ถูกเข็มตำนิ้วนิดเดียวก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว
เสิ่นเฉิงจางคิดถึงว่าเสิ่นหยวนตอนยังเด็กมีหน้าตาผิวพรรณประหนึ่งหยกเจียระไน เหล่าสหายเห็นแล้วเป็นต้องอิจฉาเขา บอกว่าเขามีบุตรสาวดีเช่นนี้ อนาคตไม่รู้จะได้บุตรเขยที่โดดเด่นเพียงไร
เสียงปังดังขึ้น เป็นเสิ่นเฉิงจางโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะ
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ สองมือไพล่หลัง เดินไปเดินมาภายในห้องด้วยอารามหงุดหงิดงุ่นง่าน บ่าวชายที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ได้แต่ยืนก้มหน้า ไม่กล้าหายใจแรง
เพียงชั่วครู่ให้หลังก็เห็นเสิ่นเฉิงจางสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ก่อนพูดเสียงเข้ม “ให้นางเข้ามา”
บ่าวชายได้ยินแล้วรีบรับคำ จากนั้นก็เลิกม่านเดินออกไปหยุดตรงหน้าเสิ่นหยวน กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านให้ท่านเข้าไปขอรับ”
มุมปากเสิ่นหยวนโค้งขึ้นน้อยๆ
ข้าชนะเดิมพันแล้ว
ไฉ่เวยและฉางหมัวมัวที่ด้านข้างรีบก้าวมาพยุงนางลุกขึ้น
เสิ่นหยวนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนยกเท้าก้าวเข้าไปในห้อง
พอเข้าห้องมาก็เห็นเสิ่นเฉิงจางยืนมือไพล่หลังอยู่กลางห้อง มองนางด้วยสายตาที่แยกแยะอารมณ์ไม่ออก
เสิ่นหยวนค่อยๆ เดินไปใกล้เขา ก่อนจะสองขาอ่อนยวบ คุกเข่าโครมห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าว นางคลานเข่าใช้สองมือกอดขาเสิ่นเฉิงจางไว้อย่างรวดเร็ว เปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมาทันที ทางหนึ่งร้อง อีกทางก็พูดสะอึกสะอื้นไม่หยุด “ท่านพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านโปรดอภัยให้ลูกด้วยนะเจ้าคะ”
บทที่ 6
เสิ่นหยวนร้องไห้จนสุดท้ายคล้ายจะหายใจไม่ทัน ทำได้เพียงน้ำตาไหลเงียบๆ ไม่มีเสียงร้องไห้ออกมา และยิ่งพูดอะไรไม่ออก
จะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง เสิ่นเฉิงจางเห็นเสิ่นหยวนเป็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าหวั่นไหวอยู่บ้าง
และที่สำคัญที่สุดคือเสิ่นหยวนมีนิสัยดื้อรั้น ที่ผ่านมาล้วนแต่ยอมถูกตีถูกลงโทษ แต่ไม่ยอมก้มหน้ารับผิดเด็ดขาด ทว่ายามนี้นางกลับร้องไห้จนมีสภาพเช่นนี้ต่อหน้าเขา ทั้งยังบอกว่านางสำนึกผิดแล้ว ขอให้เขาให้อภัย
นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเฉิงจางได้ยินเสิ่นหยวนเป็นฝ่ายยอมรับผิดเอง และเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นนางทำเช่นนี้จึงยิ่งสะเทือนใจ
ด้วยเหตุนี้โทสะในใจเสิ่นเฉิงจางจึงค่อยๆ สลายไปตามเสียงร้องไห้ของเสิ่นหยวน กระนั้นเขายังคงทำหน้าตึง ถามขึ้นเสียงเย็น “เจ้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ?”
เสิ่นหยวนพยักหน้าทั้งที่ยังร้องไห้ “นับแต่ลูกไปถึงบ้านท่านตาที่ฉางโจวก็ทบทวนตนเองทุกคืนวัน เวลานั้นก็รู้ว่าตนเองผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าตัวว่าผิด ไฉนในจดหมายที่เจ้าเขียนถึงมารดาเจ้าจึงยังต่อว่าต่อขานอยู่ตลอด ซ้ำยังต้องการให้มารดาเจ้าคิดหาทางช่วยให้เจ้าได้แต่งงานกับหลี่ซิวหยวนอีก”
เสิ่นเฉิงจางพูดถึงเรื่องนี้ ในใจก็ยิ่งโมโห
เฉินซู่ซินมารดาของเสิ่นหยวนเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน มีคุณธรรมความสามารถ ปีที่นางอายุสิบหกได้แต่งเข้ามาในจวนสกุลเสิ่น แม้เสิ่นเฉิงจางจะไม่ได้มีความรักร้อนแรงต่อนาง แต่ก็ยังเคารพนางยิ่ง อีกทั้งจะอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมายี่สิบปี จะมากจะน้อยย่อมต้องมีความผูกพันอยู่บ้าง ดังนั้นกับเรื่องที่เฉินซู่ซินตายไปในใจเขาก็เจ็บปวด และเต็มใจจะไว้ทุกข์ให้นางหนึ่งปี
แน่นอนว่าไม่ไว้ทุกข์ก็ไม่ได้ แม้บิดาของเฉินซู่ซินจะเกษียณตัวกลับบ้านเกิดแล้ว แต่ในราชสำนักยังมีลูกศิษย์อยู่จำนวนมาก อีกทั้งพี่สาวของเฉินซู่ซินยังเป็นถึงเสียนเฟยของฮ่องเต้ เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินสกุลเฉิน
ได้ยินเสิ่นเฉิงจางเอ่ยถึงจดหมายฉบับนั้น เสิ่นหยวนก็จำได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ
ชาติก่อนหลังนางไปถึงบ้านท่านตา ในใจยังคงขุ่นเคืองที่เสิ่นเฉิงจางส่งนางไปที่นั่น อีกทั้งเวลานั้นมีหรือที่ในใจนางจะวางหลี่ซิวหยวนลงได้ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายหามารดาอยู่หลายฉบับ ตัดพ้อต่อว่าบิดา ทั้งยังร้องขอมารดาช่วยทำให้นางได้แต่งงานกับหลี่ซิวหยวน
ทว่าเรื่องจดหมายนี้บิดาทราบได้อย่างไร เสิ่นหยวนกล้าพนันได้เลยว่ามารดาไม่มีทางเป็นฝ่ายนำจดหมายไปให้บิดาดูด้วยตนเองเด็ดขาด เว้นแต่จะถูกผู้มีเจตนาอื่นจงใจนำไปให้บิดาดูเพื่อให้บิดาโกรธนางกว่าเดิม
คนผู้นั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเซวียอี๋เหนียงหรือไม่ก็เสิ่นหลัน แต่อาจเป็นผู้อื่นได้ด้วยเช่นกัน เพราะชาติก่อนนางก็เข้าหาผู้คนไม่เป็น ล่วงเกินคนไว้ไม่น้อยจริงๆ
เสิ่นหยวนจึงร้องไห้ตอบว่า “จดหมายพวกนั้นเป็นลูกเขียนในวันที่ไปจากเมืองหลวง ไม่ขอปิดบังท่านพ่อ เวลานั้นในใจลูกขุ่นเคืองท่านพ่ออยู่บ้างจริงๆ รู้สึกว่าท่านไม่รักไม่สงสารลูกเลยสักนิด ถึงกับใจดำส่งลูกไปบ้านท่านตา จากไปเช่นนั้น ไม่รู้เมื่อไรที่ลูกจะได้พบท่านอีก ส่วนเรื่องหลี่ซิวหยวน ตอนที่ไปจากเมืองหลวงนั้น ในใจลูกยังวางเขาไม่ลงอยู่บ้าง แต่ครั้นไปถึงบ้านท่านตาได้ระยะหนึ่ง ลูกทบทวนอยู่หลายวันก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นลูกทำผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องการแต่งงานล้วนต้องให้บุพการีและแม่สื่อดูแล ใช่เรื่องที่ลูกจะตัดสินใจเองได้เสียหน่อย เพื่อลงโทษและเพื่อตักเตือนตนเอง หลังจากนั้นลูกจึงคัดคุณธรรมสตรีและตำราสอนหญิงทุกวัน ยังตั้งใจเรียนเย็บปักถักร้อยกับฉางหมัวมัวด้วยเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าชาติก่อนถึงนางจะไปบ้านท่านตาแล้วก็ไม่ได้ทบทวนตนเองแม้แต่น้อย ทั้งวันเอาแต่คิดว่าจะกลับเมืองหลวงโดยเร็วอย่างไร ต้องทำเช่นไรถึงจะแต่งให้หลี่ซิวหยวนได้ ต่อมามีข่าวเรื่องมารดาสิ้นใจแล้วส่งมา นางเศร้าโศกระทมใจเหลือประมาณจนถึงกับหมดสติ ยามนั้นมารดาให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมามอบแก่ท่านตาก่อนสิ้นใจ ขอให้เขาดูแลบุตรสาวบุตรชายทั้งสามของตน ทั้งยังเล่าเรื่องของเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวหยวน ขอให้เขาช่วยส่งเสริม ท่านตาถามความต้องการของนาง จากนั้นก็ส่งจดหมายไปบอกบิดานางถึงเรื่องนี้ บิดาไม่อาจไม่ตอบตกลง ท่านตาจึงขอให้ใต้เท้าเฉิน อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่บัดนี้เป็นผู้ตรวจการฝ่ายขวาออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้ จัดการให้นางได้หมั้นหมายกับหลี่ซิวหยวนจนสำเร็จ
แม้บรรพบุรุษสกุลหลี่จะเคยมีคนเป็นมหาบัณฑิตตำหนักเหวินหวา ซ้ำยังเคยมีขุนนางชั้นสูงถึงระดับเสนาบดี และบิดาของหลี่ซิวหยวนเองก็มีตำแหน่งเป็นบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน แต่โชคร้ายที่สิ้นใจไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ดังนั้นสกุลหลี่ในตอนนี้จึงมีฐานะและอำนาจในเมืองหลวงเพียงระดับธรรมดา ผู้ตรวจการฝ่ายขวาออกหน้าเป็นพ่อสื่อด้วยตนเอง ซ้ำบิดาของเสิ่นหยวนก็เป็นรองเสนาบดีกองงานไท่ฉาง และยังมีท่านตาระดับนั้น รวมถึงท่านป้าที่เป็นเสียนเฟยอยู่ในวังอีกคน ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นสกุลหลี่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลสูงกว่า
เวลานั้นมารดาของหลี่ซิวหยวนจึงได้ตอบตกลงเรื่องการแต่งงานนี้ หลังจากนั้นเสิ่นหยวนก็พักอยู่ที่บ้านท่านตามาโดยตลอด จนกระทั่งไว้ทุกข์ให้มารดาครบหนึ่งปีแล้ว นางถึงได้กลับเมืองหลวง พักอยู่ที่บ้านได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็แต่งออกไปจวนสกุลหลี่
นึกถึงเรื่องเหล่านี้เมื่อชาติก่อนขึ้นมาเสิ่นหยวนก็ให้รู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน ยังจำได้ว่าสองวันหลังจากนางเกิดใหม่ในชาตินี้ ท่านตาได้ให้คนเรียกนางไปที่ห้องหนังสือของเขา
ทั้งชีวิตท่านตามีเพียงบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวสองคน โชคร้ายที่ท่านยายจากไปเร็ว หลังจากนั้นบุตรชายก็สิ้นใจตามไปอีก เหลือหลานชายไว้ให้เพียงคนเดียว บุตรสาวทั้งสองยามนี้ก็สิ้นใจไปหนึ่งคนแล้ว ในใจคนชราอย่างเขาย่อมจะโศกเศร้าระทมใจเป็นธรรมดา
ยามเสิ่นหยวนได้พบท่านตาก็รู้สึกว่าเวลาสั้นๆ เพียงวันสองวันนี้เขาคล้ายจะแก่ลงไปไม่น้อย
ท่านตาเห็นนางมาถึงก็กล่าวขึ้นว่า ‘ก่อนมารดาเจ้าจากไปได้เขียนจดหมายมาให้ข้าฉบับหนึ่ง ข้าเพิ่งจะได้รับเมื่อวาน’
ท่านตาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ‘มารดาเจ้าบอกไว้ในจดหมายว่าหากในใจเจ้ายังคะนึงถึงหลี่ซิวหยวนผู้นั้นอยู่ จะแต่งกับเขาให้ได้ นางก็จะให้ข้าพยายามจนสุดกำลังเพื่อช่วยทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ข้าเรียกเจ้ามาตอนนี้ก็ด้วยอยากถามเจ้าถึงเรื่องนี้ เจ้ายังอยากแต่งให้หลี่ซิวหยวนผู้นั้นอยู่หรือไม่’
เสิ่นหยวนย่อมไม่อยากแต่ง
ชาติก่อนพอแต่งให้หลี่ซิวหยวนแล้ว นางถึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้ที่ในใจเขาชอบมาตลอดคือเซี่ยเจินเจิน บุตรสาวของอาจารย์เขา พอนางแต่งไปเช่นนั้นก็เป็นการแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน และสุดท้ายตนเองก็ไม่มีจุดจบที่ดี
นางกล่าวขอบคุณในความหวังดีของท่านตา ก่อนจะยืนกรานปฏิเสธ หลังจากนั้นท่านตาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทว่าตอนนี้บิดากลับเอ่ยถึงมันขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนพูดเรื่องนี้ต่อหน้าบิดาไม่หยุด ทำให้ในใจบิดายิ่งขุ่นเคืองนางกระมัง ทว่านับแต่นางได้กลับมาเกิดใหม่ก็ให้คนส่งพวกคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง รวมถึงพระสูตรที่นางคัดลอกเองมาให้บิดาเป็นประจำ ใช้สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านางสำนึกผิดจากใจจริงแล้ว ซ้ำยังเย็บพวกถุงเท้า สนับเข่าจำนวนหนึ่งให้คนส่งมาให้บิดาด้วย
แน่นอนว่าแรกๆ นางเย็บปักได้แย่ยิ่ง หลังได้เรียนจากฉางหมัวมัวถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้น ทว่านางรู้สึกว่าต่อให้งานที่ตนทำแรกๆ นั้นย่ำแย่เพียงไรก็ยังควรให้คนส่งของที่ตนทำมาให้บิดา หลังจากนั้นฝีมือนางเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น จึงยิ่งควรส่งของที่ตนทำเหล่านั้นมาให้บิดาอีก
แม้ของที่นางทำล้วนเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ยังคงมีข้อดี ประการแรก…การทำเช่นนี้สามารถแสดงให้เห็นว่าในใจบุตรสาวอย่างนางมีบิดาอย่างเสิ่นเฉิงจางอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นห่วงเป็นใยว่าเขาจะหนาวจะร้อนหรือไม่ด้วย ส่วนประการที่สองซึ่งสำคัญที่สุดคือนางทำเช่นนี้ก็เท่ากับให้บิดาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในทุกวันของนาง
ช่วงเวลานั้นนางสงบใจลงได้และอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักสามเชื่อฟัง* สี่คุณธรรมของสตรีที่เมื่อก่อนนางไม่คิดจะอ่านที่สุด ทั้งภาวนาขอพรให้มารดาจากใจ คัดพระสูตรทุกวัน และนางยังเรียนเย็บปักถักร้อยจนเป็น เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงท่าทีว่าตนเองสำนึกผิดแล้วให้เสิ่นเฉิงจางเห็น
บางครั้งการกระทำก็มีพลังในการสั่นคลอนใจคนได้มากกว่าคำพูดใดๆ
และก็เป็นไปตามคาด บิดาเห็นคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง และพระสูตรที่นางคัด รวมถึงได้รับบรรดาถุงเท้า สนับเข่าที่นางทำกับมือแล้วก็ถึงกับตอบจดหมายนางอย่างหาได้ยาก แม้ถ้อยคำในจดหมายยังคงรุนแรงยิ่ง แต่นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีแล้ว
น่าเสียดาย หลังจากจดหมายฉบับนั้นบิดาก็ไม่ส่งจดหมายมาอีก เสิ่นหยวนเดาว่าน่าจะเพราะมีคนพบว่าบิดาเขียนจดหมายให้นาง จึงไปพูดบางอย่างจนทำให้บิดาขุ่นเคืองนางต่อ ฉะนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรชาตินี้เสิ่นหยวนถึงกลับเมืองหลวงมาก่อนกำหนด
ชาติก่อนข้ารอจนผ่านช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาไปแล้วถึงค่อยเดินทางจากฉางโจวกลับมาเมืองหลวง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชาตินี้การกลับมาก่อนล่วงหน้าจะทำให้ได้พบกับหลี่ซิวเหยาระหว่างทาง ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่…
เสิ่นหยวนโยนความคิดที่ผุดขึ้นมากะทันหันในสมองนี้ทิ้งไป ก่อนจะร้องไห้พูดอีกว่า “ท่านพ่อ ลูกสำนึกผิดและปรับปรุงตัวแล้ว เกือบหนึ่งปีมานี้ลูกให้คนส่งคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง และพระสูตรเหล่านั้นมาให้ท่าน ซ้ำยังมีงานเย็บปักเหล่านั้นอีก ลูกไม่เชื่อหรอกว่าในใจท่านพ่อจะไม่ทราบ”
เสิ่นหยวนรู้ว่าแม้ภายนอกเสิ่นเฉิงจางจะดูเคร่งครัดเข้มงวด แต่อันที่จริงเป็นคนหูเบา ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง ผู้อื่นพูดอะไรต่อหน้าเขาบ่อยมากหน่อยก็ทำให้เปลี่ยนใจได้ทันที
และก็เป็นไปตามคาด พอเสิ่นเฉิงจางเห็นเสิ่นหยวนร้องไห้จนมีคราบน้ำตาเปรอะเต็มหน้า ซ้ำปากยังพูดคำเหล่านี้ออกมา เพลิงโทสะที่เพิ่งลุกพึ่บขึ้นในใจเขาก็สลายไปทันใด
จะอย่างไรเสิ่นหยวนก็ไม่อยู่ให้เสิ่นเฉิงจางเห็นหน้ามาหนึ่งปีกว่า ถึงก่อนหน้านี้ในใจจะขุ่นเคืองเพียงไร แต่ก็ผ่านมานานแล้ว ให้เพลิงโทสะก่อนหน้านี้ลูกใหญ่เพียงไร ยามนี้ก็ค่อยๆ สลายหายไป มิหนำซ้ำข้าวของที่เสิ่นหยวนให้คนส่งมาให้เขาเกือบหนึ่งปีนี้ก็ทำให้เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเสิ่นหยวนจริงๆ
เสิ่นเฉิงจางจึงก้มตัวลง ยื่นมือไปประคองเสิ่นหยวนลุกขึ้นมา “หากเจ้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ และวันหน้าสามารถแก้นิสัยไม่ดีของเจ้าได้ ในใจพ่อย่อมจะไม่ถือโทษเจ้าอีก”
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” เสิ่นหยวนสะอึกสะอื้น ย่อตัวคารวะเสิ่นเฉิงจาง
ชาติก่อนถึงนางจะได้รับความไม่เป็นธรรมมากเพียงไรก็ล้วนยอมถูกตีถูกลงโทษ แต่ไม่ยอมเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ในขณะที่เสิ่นหลันกลับร้องไห้ออกมา ถึงได้รับความไม่เป็นธรรมแค่นิดเดียวนางก็จะร้องไห้ไม่หยุดอย่างกับว่าตนเองได้รับความไม่เป็นธรรมใหญ่หลวงเทียมฟ้าเสียอย่างนั้น ซึ่งเสิ่นเฉิงจางยอมรับลูกไม้นี้ได้ มีครั้งใดบ้างที่ไม่ปกป้องเสิ่นหลัน
เพียงแค่เสียน้ำตาไม่กี่หยด ทำท่าทางเศร้าเสียใจออกมาเท่านั้น ผู้ใดทำไม่เป็นบ้าง เสิ่นหยวนคิดอย่างเย็นชาในใจ ข้าก็ทำเป็นเช่นกัน
เสิ่นเฉิงจางเป็นพวกเห็นคนร้องไห้แล้วใจอ่อนอย่างที่คิด เขาโบกมือให้เสิ่นหยวน ถอนหายใจก่อนพูดว่า “หากมารดาเจ้ายังอยู่ เห็นเจ้ามีท่าทางว่านอนสอนง่าย นุ่มนวลอ่อนหวานเช่นตอนนี้ ในใจจะปลาบปลื้มมากเพียงไรกัน”
นึกถึงมารดาเสิ่นหยวนก็อดน้ำตาร่วงออกมาอีกไม่ได้
แน่นอนว่าน้ำตานี้ของนางออกมาจากใจ ไม่ได้เหมือนเมื่อครู่ที่เพียงแค่บีบน้ำตาให้เสิ่นเฉิงจางดูเท่านั้น
เสิ่นเฉิงจางเห็นนางร้องไห้อีก ในใจก็อดสงสารไม่ได้อยู่บ้าง ทว่าหางตากลับเหลือบเห็นไฉ่เวยกับฉางหมัวมัว จึงขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยถามว่า “สองคนนี้เป็นใคร ไฉนเมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็น”
ฉางหมัวมัวเป็นคนของสกุลเฉิน ที่ผ่านมาเสิ่นเฉิงจางย่อมจะไม่เคยเห็นหน้า ส่วนไฉ่เวยแม้เมื่อก่อนจะเป็นสาวใช้ในเรือนเสิ่นหยวน แต่ก็เป็นเพียงสาวใช้ทำความสะอาด กระทั่งเสิ่นหยวนยังเห็นหน้าไม่บ่อย นับประสาอะไรกับเสิ่นเฉิงจาง ด้วยเหตุนี้เขาถึงจำไฉ่เวยไม่ได้
เสิ่นหยวนแนะนำไฉ่เวยกับฉางหมัวมัวให้เขาทราบ คนทั้งสองรีบก้าวมาคารวะเสิ่นเฉิงจาง
ในจดหมายที่เสิ่นหยวนส่งมาช่วงเกือบหนึ่งปีนี้มีเอ่ยถึงฉางหมัวมัวบ่อยครั้ง บอกว่าตนกำลังเรียนเย็บปักจากอีกฝ่ายอยู่ ดังนั้นพอเสิ่นหยวนแนะนำ เสิ่นเฉิงจางจึงมองฉางหมัวมัวนานขึ้นสองอึดใจ จะอย่างไรฉางหมัวมัวก็เป็นคนของบ้านพ่อตา เสิ่นเฉิงจางจึงยังปฏิบัติต่อนางอย่างนับว่าเกรงใจ พยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนกล่าวเรียบๆ “ที่ผ่านมารบกวนเจ้าคอยสอนงานฝีมือให้บุตรสาวข้าแล้ว”
ฉางหมัวมัวก็กล่าวตอบอย่างเคารพนบนอบว่า “สามารถสอนคุณหนูได้ถือเป็นบุญของบ่าว นายท่านเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นเฉิงจางพยักหน้าอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่สายตากลับมองไปทางไฉ่เวย
มองอยู่ครู่หนึ่งหัวคิ้วเขาก็ขมวดน้อยๆ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงหันหน้ามามองเสิ่นหยวนพลางถาม “ข้าจำได้ว่าตอนเจ้าไปบ้านท่านตาเจ้า หัวหน้าสาวใช้ข้างกายเป็นคนที่ชื่อไฉ่เยวี่ย? ไฉนตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นไฉ่เวยคนนี้ ไฉ่เยวี่ยผู้นั้นไปที่ใดแล้วเล่า”
เสิ่นหยวนได้ยินดังนั้น สองมือที่ทิ้งแนบลำตัวก็ค่อยๆ กำแน่น
ไฉ่เยวี่ย…สาวใช้นางนั้นเดิมเป็นคนที่เสิ่นหยวนไว้ใจที่สุด อีกทั้งเสิ่นหยวนก็ใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นข้าวของที่มอบให้สาวใช้นางนั้นย่อมมีไม่น้อย
ตุ้มหูโคมทองแท้ ปิ่นยอดทองด้ามเงิน เสื้อผ้าแพรพรรณมีอะไรไม่ให้อีกฝ่ายบ้าง แต่เสิ่นหยวนคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าไฉ่เยวี่ยผู้นั้นถึงกับเป็นพวกเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!
หลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ หลี่ซิวหยวนไม่ชอบนาง ไม่เหลียวแลนาง ผู้อื่นก็ล้วนเหยียบย่ำข่มเหง เวลานั้นท่าทีที่ไฉ่เยวี่ยมีต่อนางก็ค่อยๆ กลายเป็นไม่เคารพ ยิ่งต่อมาหลี่ซิวหยวนรับอนุมาคนหนึ่ง รักใคร่โปรดปรานอย่างที่สุด ไฉ่เยวี่ยถึงกับถูกอนุผู้นั้นซื้อตัว เริ่มกระทำการลบหลู่นางทุกวิถีทาง ถึงขั้นว่ามีบางครั้งที่เสิ่นหยวนนึกสงสัยว่าที่นางได้รับพิษนั้นเป็นอนุผู้นั้นว่าจ้างไฉ่เยวี่ยให้วางยาใช่หรือไม่ อย่างไรไฉ่เยวี่ยก็เป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดนางที่สุด การจะวางยาพิษนางจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
หากนางตายไปด้วยระดับความโปรดปรานที่หลี่ซิวหยวนมีต่ออนุผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าจะยกอีกฝ่ายขึ้นเป็นภรรยาเอก
เพราะฉะนั้นสาวใช้ที่ไม่จงรักภักดีต่อเจ้านายอย่างไฉ่เยวี่ยเก็บไว้จะมีประโยชน์อันใด หลังนางเกิดใหม่ได้ไม่กี่วันเสิ่นหยวนก็หาเหตุผลว่าไฉ่เยวี่ยขโมยเสื้อผ้าเครื่องประดับนาง ให้คนส่งตัวอีกฝ่ายไปที่ว่าการ
แน่นอนว่าคุกใหญ่ของที่ว่าการไม่มีทางอยู่สบาย นับประสาอะไรกับที่นางจ่ายเงินให้ผู้คุมข้างในนั้น ‘ดูแล’ ไฉ่เยวี่ยเป็นพิเศษอีก
ตอนนี้เห็นเสิ่นเฉิงจางถามขึ้นมา เสิ่นหยวนก็หลุบตาลง เอ่ยตอบเสียงเบา “ท่านพ่อจำได้ไม่ผิด หัวหน้าสาวใช้ข้างกายลูกเดิมเป็นคนที่ชื่อไฉ่เยวี่ย เพียงแต่ลูกก็คิดไม่ถึงว่าสาวใช้นางนั้นจะเป็นคนเช่นนั้น ยามนั้นลูกยังอยู่บนเรือไปบ้านท่านตาที่ฉางโจว สาวใช้ผู้นั้นก็แอบพูดกับสาวใช้คนอื่นลับหลังว่าลูกไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อแล้ว เกรงว่าวันหน้าท่านพ่อจะไม่รับลูกกลับเมืองหลวงอีก นางเสียใจนักว่าตอนแรกไม่น่ามาเป็นสาวใช้ของลูกเลย ต่อมาพอถึงบ้านท่านตาได้ไม่กี่เดือน นางถึงกับขโมยเครื่องประดับล้ำค่าของลูกแล้วคิดจะหนีไป โชคดีที่ถูกหญิงรับใช้สูงวัยที่อยู่เวรกลางคืนพบเห็นเข้า นางถึงได้หนีไม่สำเร็จ เวลานั้นลูกผิดหวังและรู้สึกเจ็บใจจริงๆ จึงได้ใช้ข้อหาขโมยทรัพย์สินเจ้านายให้คนส่งตัวนางไปรับโทษยังที่ว่าการ”
นางหันหน้าไปมองไฉ่เวย ก่อนกล่าวกับเสิ่นเฉิงจางต่อว่า “แม้ที่ผ่านมาสาวใช้นางนี้จะเป็นเพียงสาวใช้ทำความสะอาดของลูก แต่นางเป็นคนซื่อสัตย์ นิสัยก็อ่อนโยนเชื่อฟัง ลูกจึงได้ยกนางขึ้นมาเป็นสาวใช้ประจำตัวเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้เจ้าทำดีแล้ว” เสิ่นเฉิงจางพยักหน้า “คนเป็นบ่าว สำคัญที่สุดคือต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้านาย ไม่อาจแหกกฎ”
เขาพูดสะกิดไฉ่เวยอีกเล็กน้อยอย่างไม่เบาไม่แรง ให้นางซื่อสัตย์ภักดี ไฉ่เวยก้มหัวน้อมรับ
เสิ่นเฉิงจางถามเสิ่นหยวนอีกว่า “เจ้ามาถึงบ้านเมื่อไร”
“ลูกมาถึงก่อนยามเซินไม่นานเจ้าค่ะ” เสิ่นหยวนหลุบตาลง เสียงนุ่มนวลนอบน้อม
เสิ่นเฉิงจางนับเวลาดูแล้วก็กล่าวว่า “เจ้ามาถึงแล้วก็ตรงมาที่ห้องหนังสือนี้ของข้าเลย? ไม่ได้กลับไปพักก่อน?”
“ท่านเป็นท่านพ่อของลูก ไม่ได้พบท่านมาหนึ่งปี วันนี้ลูกกลับมาย่อมต้องมาพบท่านก่อน ไหนเลยจะไปพักผ่อนก่อนได้เล่าเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนตอบได้เคารพนบนอบยิ่ง ทั้งยังแสดงความอาลัยอาวรณ์ที่ตนเองมีต่อบิดาออกมา เสิ่นเฉิงจางได้ยินแล้วย่อมรู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันใจ
เขายกมือลูบเคราใต้คาง เห็นเสิ่นหยวนมีแววเหนื่อยล้าบนใบหน้า คิดถึงว่าเมื่อครู่นางยังคุกเข่าอยู่ในลานเรือนเป็นนานสองนาน เสิ่นเฉิงจางก็รีบพูดว่า “ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เสิ่นหยวนตอบรับคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ทว่ายังไม่จากไป กลับหันไปมองไฉ่เวยแทน
ไฉ่เวยเข้าใจ ยื่นห่อผ้าสีหมึกขลิบแพรที่กอดไว้ในอ้อมแขนมาตลอดให้ด้วยสองมือ
เสิ่นหยวนรับมาเปิดออก ก่อนหยิบเสื้อคลุมสีครามเข้มปักลายกระเรียนและต้นสนอวยพรอายุยืนยาวที่พับเรียบร้อยตัวหนึ่งออกมาจากข้างใน ก่อนใช้สองมือประคองยื่นไปตรงหน้าเสิ่นเฉิงจาง “ลูกเห็นว่าช่วงนี้อากาศเย็นขึ้นแล้ว คิดว่าท่านพ่อเดินทางไปกลับจากทำงานเช้าเย็นอาจจะหนาว จึงได้ตั้งใจทำเสื้อคลุมมาให้ท่าน หากท่านพ่อใส่ทั้งเช้าทั้งเย็นก็ถือว่าลูกได้แสดงความกตัญญูเล็กน้อยแล้ว”
เสื้อคลุมนี้ทำจากผ้าต่วนหางโจว ลายกระเรียนและต้นสนที่ปักอยู่ด้านบนประณีตเหมือนจริง สีสุภาพงามสง่า พอมองดูก็นึกว่ากระเรียนเซียนสองตัวบนนั้นจะบินขึ้นฟ้าจริงๆ
เสิ่นเฉิงจางยื่นมือมารับไป ครั้นลูบลายปักบนนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มและพึงใจอย่างที่สุด
คำพูดของเสิ่นหยวนซึมซาบไปถึงส่วนลึกในใจเขาทุกคำ นับว่ามีใจกตัญญูที่บุตรสาวมีต่อบิดา
“เจ้ารู้ความจริงๆ แล้ว” เขาทอดถอนใจ “พ่อเห็นแล้วก็ดีใจ”
เขายิ้มให้นางอีก “จากนี้เวลาพ่อไปกลับจากทำงานจะต้องใส่เสื้อคลุมตัวนี้ที่เจ้าทำแน่นอน”
เสิ่นหยวนเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ท่าทางอ่อนหวานงดงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก
เมื่อก่อนในใจนางรู้สึกใกล้ชิดกับเสิ่นเฉิงจางจริงๆ สิ่งที่แสดงออกต่อหน้าเขาจึงล้วนเป็นอารมณ์แท้จริงของตนเอง ทว่ากลับถูกเขาดุด่าไม่ชอบใจสารพัด ตอนนี้ในใจนางรู้สึกห่างเหินกับเขาแล้ว คำพูดคำจาติดจะพิธีรีตอง เขากลับรู้สึกปลาบปลื้มเสียอย่างนั้น
เสิ่นเฉิงจางรู้ว่าเสิ่นหยวนยังไม่ได้กินอาหารเย็น จึงสั่งให้บ่าวชายไปห้องครัว ถ่ายทอดคำสั่งของเขาให้ส่งอาหารดีๆ ปริมาณมากไปที่เรือนซู่อวี้ของเสิ่นหยวน
บ่าวชายตอบรับมือแนบลำตัว ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
จากนั้นเสิ่นเฉิงจางก็หันหน้ามาพูดกับเสิ่นหยวน “เจ้านั่งเรือมาหลายวัน คงจะเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เสิ่นหยวนตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ก่อนพาไฉ่เวยและฉางหมัวมัวถอยออกจากห้องไป
กลางท้องฟ้าสีน้ำเงินมืดมิดมีจันทร์ข้างขึ้นลอยอยู่ดวงหนึ่ง ดวงดาวบางตาไม่กี่ดวงส่องกะพริบเลือนราง
เสิ่นหยวนค่อยๆ เดินไปตามระเบียงยาว เดินไปพลางมองดูทุกอย่างรอบตัวไปพลาง ในใจนิ่งสงบ
ฉางหมัวมัวกลับทอดถอนใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู เมื่อครู่ท่านร้องไห้เหมือนจะขาดใจ บ่าวได้ยินแล้วปวดใจนัก”
เสิ่นหยวนยกยิ้ม หากนางไม่ร้องไห้จนทำให้คนปวดใจสะเทือนใจ เมื่อครู่บิดาจะอภัยต่อความผิดที่นางทำในอดีตอย่างง่ายดายเพียงนั้นได้อย่างไร บางครั้งการร้องไห้และแสดงความอ่อนแอก็เป็นฝีมืออย่างหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ผ่านมาเซวียอี๋เหนียงกับเสิ่นหลันใช้ลูกไม้นี้ได้ชำนาญเสียเหลือเกิน
เพียงครู่เดียวก็มาถึงเรือนซู่อวี้ ชิงจู๋กำลังยืนถือโคมกระดาษโครงไม้รอพวกนางอยู่หน้าประตูเรือน
ยามเสิ่นหยวนถูกบิดาส่งตัวไปฉางโจวข้างกายมีเพียงไฉ่เยวี่ย ไฉ่เวย และสาวใช้อายุน้อยอีกสองคนติดตามไปด้วย แต่ไปถึงฉางโจวได้ไม่ถึงสองเดือนก็มีสาวใช้อายุน้อยนางหนึ่งป่วยตาย
ต่อมาเสิ่นหยวนกลับมาเกิดใหม่ได้จัดการลงโทษไฉ่เยวี่ยไป สาวใช้อีกคนที่เหลือก็ถูกนางไล่ไปเช่นกัน
นางจำได้ว่าสาวใช้อายุน้อยผู้นั้นถูกเซวียอี๋เหนียงซื้อตัว มักจะนำเรื่องของนางไปบอกเซวียอี๋เหนียงเป็นประจำ ต่อมาข้างกายนางไม่มีคนให้เรียกใช้ ท่านตาจึงแบ่งสาวใช้ที่เพิ่งไว้ผมยาว* ได้ไม่นานมาให้นางสองคน นั่นก็คือชิงเหอและชิงจู๋ ซึ่งชิงเหอเป็นคนที่นางช่วยไว้ไม่ให้ถูกขายเข้าหอนางโลมและพากลับไปเป็นสาวใช้ที่บ้านท่านตา
ส่วนชิงจู๋เป็นเด็กสาวที่มีใบหน้ากลมและฉลาดหลักแหลมยิ่ง ครั้นมองเห็นเสิ่นหยวนกับพวกฉางหมัวมัวและไฉ่เวยเดินมาแต่ไกลก็รีบถือโคมมารับ กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” จากนั้นก็ถือโคมส่องทางอยู่ข้างหน้านาง
ประตูสีเขียวสองบานของเรือนซู่อวี้เปิดอยู่ ตรงระเบียงมีโคมไฟแขวนไว้ ในห้องยิ่งมีแสงไฟสว่างโร่
เสิ่นหยวนเดินเข้าไป อาศัยแสงไฟในห้องและตรงระเบียงมองดูต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นในเรือนของตน
นางเป็นบุตรสาวสายตรง อีกทั้งมารดารักนางที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ของทุกอย่างที่ให้นางล้วนเป็นของที่ดีที่สุด ในลานเรือนนี้ปลูกต้นฉุยซือไห่ถัง* กล้วยน้ำว้า และดอกชาภูเขา ประดับด้วยภูเขาหิน ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่วิจิตรงดงาม
ชาติก่อนหลังแต่งไปสกุลหลี่เสิ่นหยวนคิดถึงเรือนซู่อวี้ของนางทุกวัน ทว่าจนตายก็ไม่สามารถกลับมาได้แม้แต่แวบเดียว คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้กลับมาอีก
เสิ่นหยวนให้สะท้อนใจเหลือประมาณ ทางหนึ่งค่อยๆ มองดูทุกสิ่งอย่างในลานเรือน ทางหนึ่งก็ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดศิลาเขียว
ชิงจู๋เลิกม่านไว้รอก่อนแล้ว เสิ่นหยวนจึงก้มศีรษะน้อยๆ แล้วเดินเข้าไป
ทุกอย่างในห้องเก็บกวาดจนเสร็จแล้ว แม้แต่เตียงนอนก็ปูเรียบร้อย ชิงเหอกำลังเปิดฝาเตากำยานสามขาเคลือบฟ้าบนโต๊ะเตี้ย ก่อนวางกำยานรูปดอกเหมยลงไปด้านใน
เห็นเสิ่นหยวนเข้ามาแล้ว นางก็รีบวางฝาเตากำยานในมือลง ก่อนเดินมาคารวะ “คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนพยักหน้า นั่งลงบนเตียงเตาไม้ใกล้หน้าต่าง จากนั้นก็กวาดตามองดูภายในห้อง
ก่อนหน้านี้เซวียอี๋เหนียงบอกว่าให้คนมาเก็บกวาดเรือนซู่อวี้แล้ว ทั้งยังเติมข้าวของเข้ามาจำนวนหนึ่ง ยามนี้ดูแล้วอีกฝ่ายไม่ได้โกหกจริงๆ
เพียงแต่สิ่งที่ซื้อมาเพิ่มภายในห้องนี้ล้วนเป็นของที่มีประกายทองระยิบระยับ อีกทั้งม่านหน้าต่างก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีชมพูดอกท้อ ม่านไหมบนเตียงยิ่งเป็นลายดอกสีแดงสด
เสิ่นหยวนรู้ว่าเซวียอี๋เหนียงตกแต่งเรือนนี้ตามความชอบในอดีตของนาง หากเป็นนางในชาติก่อนย่อมจะมองไม่ออกถึงอุบายอันแยบยลในเรื่องนี้ ยังจะรู้สึกว่าเซวียอี๋เหนียงดียิ่งเสียด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้…
บิดาไม่ชอบให้นางฟุ่มเฟือยเป็นที่สุด ที่ผ่านมาเคยดุด่านางเพราะเรื่องนี้มาไม่น้อย อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้มารดา สามารถใช้สีฉูดฉาดอย่างสีชมพูดอกท้อและสีแดงสดได้เสียที่ใด
นี่นางเพิ่งจะกลับมาเซวียอี๋เหนียงก็วางหลุมพรางดักนางทั้งในที่ลับและในที่แจ้งไว้มากเพียงนี้แล้ว
เสิ่นหยวนมุ่นคิ้วเรียว
นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนถามไฉ่เวย “ของของข้ามีอะไรบ้าง”
ในอดีตนางเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบ แค่เรื่องว่าตนเองมีของอะไรบ้างก็ยังไม่แน่ใจ แต่คลับคล้ายจะจำได้ว่าควรมีอีกไม่น้อย
ไฉ่เวยได้ยินแล้ว สีหน้าจึงดูกระวนกระวายอยู่บ้าง
“คุณหนู เมื่อก่อนบ่าวเป็นเพียงสาวใช้ระดับล่างในเรือนนี้ ของเหล่านั้นของท่านบ่าวไม่อาจเห็น จึงไม่ทราบว่ามีอยู่เท่าไร ตามหลักแล้วน่าจะเป็นไฉ่เยวี่ยดูแล บันทึกรายการก็สมควรจะอยู่ที่นางเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนเข้าใจดีว่าเรื่องนี้โทษไฉ่เวยไม่ได้ นางจึงไม่ถามอะไรอีก เพียงพูดว่า “ไม่เป็นไร ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นหัวหน้าสาวใช้ในเรือนซู่อวี้นี้แล้ว ต่อไปเรื่องเหล่านี้เจ้าต้องเป็นคนดูแล”
ไฉ่เวยตอบรับ
เสิ่นหยวนจำได้ว่าของเหล่านั้นของตนล้วนเก็บอยู่ในห้องหนึ่งทางปีกตะวันตก ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกชิงเหอกับชิงจู๋มาแล้วให้จุดโคม จะไปดูเสียหน่อยว่าตนเองมีของอะไรบ้างกันแน่
ทั้งต้องเปลี่ยนม่านหน้าต่างสีชมพูดอกท้อและม่านไหมลายดอกสีแดงสดเหล่านั้นออกเสีย หากวันพรุ่งนี้เรื่องลอยไปเข้าหูบิดาว่าช่วงไว้ทุกข์มารดานางยังมีของสีสดใสเช่นนี้ประดับห้อง น้ำตาที่นางเสียไปต่อหน้าบิดาก่อนหน้านี้ก็ต้องเสียเปล่าแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.