X
    Categories: everYกระบี่คู่หานซานทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 11 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 11 ผู้อยู่บนมรรคาเดียวกัน

ผู้รับใช้หนุ่มมองไปทางฝูงชน พูดอย่างลังเล “เช่นนั้น เช่นนั้นข้า…”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้มเข้าอกเข้าใจ “ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว”

ผู้รับใช้หนุ่มกล่าวมิกล้าๆ “หากผู้อาวุโสจำทางไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะมานำทางให้อีกครั้ง”

เมิ่งเสวี่ยหลี่บอก “ไม่ต้องยุ่งยาก”

ผู้รับใช้คิดในใจ คู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่ผู้นี้อุปนิสัยอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดยามนั้นถึงถูกเล่าลือว่าเป็นพวกกำเริบเสิบสานโอหังอวดดีได้นะ

นอกหน้าต่างเสียงคนเอะอะ เมิ่งเสวี่ยหลี่นั่งอยู่เพียงลำพังในห้องเรียนว่างเปล่า พลิกเปิดตำรา ‘ปฐมวิถีแห่งมรรคา’ ของตนเล่มนั้น นี่เป็นหนังสือที่จี้เซียวให้เขาเองกับมือเมื่อสามปีก่อน

หมอกเช้าค่อยๆ จางหาย แสงอรุณรุ่งอ่อนโยนจับอยู่บนหน้าหนังสือ

ก่อนแดนสนธยาฮั่นไห่จะเปิด ตามแผนที่เจินเหรินเจ้าสำนักได้วางไว้ สองเดือนแรกตอนกลางวันเมิ่งเสวี่ยหลี่ต้องมาเรียนหนังสืออยู่ที่วิหารถกสัจธรรม ตอนเย็นไปอ่านหนังสือที่หอเก็บคัมภีร์ ส่วนวันที่ไม่ต้องไปวิหารถกสัจธรรมก็ให้ไปดูศิษย์ฝ่ายในฝึกกระบี่ที่ลานสำแดงกระบี่แทน อีกสองเดือนหลังให้ฝึกควบคุมเวทศัสตรา ยกระดับความเร็ววิชาตัวเบา ยามประสบเภทภัยจะได้หนีเอาตัวรอดได้ทัน

เจี้ยนเวยเจินเหรินคิดว่าเมิ่งเสวี่ยหลี่มีเพียงปราณเท่านั้นที่ฝึกได้สมบูรณ์พร้อม และกว่าครึ่งก็เกิดจากการที่จี้เซียวใช้โอสถวิเศษรีดเค้นมันออกมา

จี้เซียวทำเช่นนี้ได้หาใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใดไม่ ศิษย์พี่ร่วมสำนักของเขาคือผู้ปรุงโอสถวิเศษที่เก่งกาจที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญพรต

ส่วนสานุศิษย์ที่เข้าประลองแดนสนธยาฮั่นไห่ในปีนี้ ส่วนใหญ่ล้วนบรรลุสภาวะดับอาสวะทั้งสิ้น เทียบกับเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วนับว่าเหนือกว่ากันสองสภาวะใหญ่ ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ ไม่ฝึกวิธีเอาตัวรอดแล้วจะให้ฝึกฝนอะไร

การจัดการของเจ้าสำนักตรงใจเมิ่งเสวี่ยหลี่พอดี เขารู้สึกว่าการอ่านปฐมวิถีแห่งมรรคาน่าสนใจยิ่ง

ตอนอยู่ในโลกอสูร เขาไม่เคยอ่านหนังสือพวกนี้มาก่อน พรสวรรค์เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของชนเผ่าอสูรมาแต่ไหนแต่ไร การบำเพ็ญเพียรและการต่อสู้ประหัตประหารล้วนเป็นสัญชาตญาณของพวกเขา ต่างกับผู้บำเพ็ญพรตในแดนมนุษย์ที่ถนัดเล่าเรียนเขียนอ่าน ซึมซับความรู้จากบรรพบุรุษรุ่นก่อน

ช่วงแรกของการกลายเป็นมนุษย์ เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่คุ้นชินกับการสูญเสียร่างอสูรที่แข็งแกร่ง คิดฝึกพลังศักยะของมนุษย์ก็ให้รู้สึกปวดหัว โชคดีที่ในมือเขามีตำราปฐมวิถีแห่งมรรคาที่ไม่มีประโยคลึกซึ้งเข้าใจยาก อ่านแล้วให้รู้สึกเพลิดเพลินเล่มนี้ ทำให้เขาเริ่มสนใจในการบำเพ็ญเพียรขึ้นมาทีละน้อย

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนเป็นอสูรข้าคงอ่านมันบ้างแล้ว เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด

เขาใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแดนมนุษย์เอาเสียเลย หาไม่แล้วตอนอยู่ที่แดนนอกพิภพเขาไหนเลยจะบอกได้ว่าอีกฝ่ายคือจี้เซียว ตำรา ‘ปฐมวิถีแห่งมรรคา’ เขาเองก็รู้จัก เป็นตำราพื้นฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป

แต่เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับไม่รู้ว่าตำราในมือเขาเล่มนี้เป็นหนึ่งไม่มีสอง

เพราะตำราเล่มนี้จี้เซียวเจินเหรินเขียนขึ้นจากประสบการณ์ของตนเอง ไม่อย่างนั้นแล้วตำราวิถีมรรคาของใครเล่าจะมีภาพร่างสิงสาราสัตว์วิหคสกุณา สิ่งของล้ำค่าพืชพรรณแปลกประหลาดสารพัดสารพันได้

ซ้ำยังเป็นภาพสีอีก

“เจ้าเป็นเด็กใหม่หรือ ในห้องเรียนไม่อนุญาตให้อ่านนิยาย อาจารย์อาจตำหนิเอาได้”

เมิ่งเสวี่ยหลี่เงยหน้าขึ้นตามเสียง ที่นั่งข้างๆ มีเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้าศึกษาตำราเช้า เมื่อครู่หลังผ่านประตูเข้ามา สายตาของอีกฝ่ายก็จับจ้องอยู่ที่ม้วนหนังสือในมือเขาไม่วางตา

จมูกปากคิ้วคางของเด็กหนุ่มผู้นั้นล้วนได้รูป อาภรณ์นักพรตบนตัวแม้จะมีรูปแบบเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับแฝงไว้ซึ่งลายปักสีเงินเต็มตัวส่องประกายระยิบระยับอยู่กลางแสงอรุณรุ่งแลดูงดงามล้ำค่า

เมิ่งเสวี่ยหลี่ปิดหนังสือ

เด็กหนุ่มมองดูตัวอักษร ‘ปฐมวิถีแห่งมรรคา’ บนหน้าปก เขาเบ้ปาก “วิธีนี้คร่ำครึเสียจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยเขียน ‘บทบันดาลผลแห่งกรรม’ ไว้บนปกนอกด้วยซ้ำ ทว่าไร้ประโยชน์”

ขณะที่เมิ่งเสวี่ยหลี่กำลังจะเปิดปาก เสียงเอะอะที่นอกประตูก็ดังขึ้น

ครั้นมุงดูกันเสร็จ ทุกคนก็กรูกลับเข้ามาในห้องเรียน พวกเขาต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาพลางจัดโต๊ะกลับเข้าที่เข้าทาง ตั้งวางน้ำหมึกพู่กัน

“เขาเดินเร็วมาก ข้าเห็นไม่ชัด ไม่รู้ว่าหน้าตาหล่อเหลาจริงหรือไม่!”

“ข้าเห็นแล้ว ร่างสถิตวิญญาณกระบี่ก็แค่สองตาหนึ่งจมูกเท่านั้น ปากหรือก็ไม่ได้มีมากกว่าชาวบ้าน”

“ฮ่าๆ คัมภีร์เต๋ากล่าวไว้ว่า ‘ผู้ริษยามิดีงาม’ เจ้ามันขี้อิจฉา!”

แม้วิหารถกสัจธรรมจะอยู่ในหานซาน แต่ก็อยู่กึ่งกลางระหว่างโลกของปุถุชนกับโลกของผู้บำเพ็ญพรต

เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าเหล่านี้ต่างมาจากทั่วแดนมนุษย์ ชีวิตยังไม่ดำเนินอยู่บนมรรคาวิถี หรือไม่ก็เพิ่งดึงปราณเข้าร่างได้ไม่นาน วิถีการบำเพ็ญเพียรยังเต็มไปด้วยความรู้สึกเพ้อฝัน

จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น “ศิษย์น้องเปี่ยมพรสวรรค์คนนี้คงไม่เข้าร่วมการสอบใหญ่ปลายปีนี้กระมัง!”

จู่ๆ ห้องเรียนก็เอ็ดอึงยิ่งกว่าเก่าจนหลังคาแทบถล่ม

“ไม่มีทาง ต่อให้มีพรสวรรค์เพียงใด ยังไงก็แค่สองเดือนเท่านั้น เขาจะเอาปัญญาที่ใดดึงปราณเข้าร่างได้ทัน”

“เจ้าไม่เคยเห็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิดแล้วรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีทาง!”

“เช่นนี้ข้าต้องแย่แน่ๆ อุตส่าห์เตรียมตัวมาตั้งสองปี ตั้งใจว่าปีนี้จะเข้าร่วมการสอบ” …เกิดถูกเอาไปเทียบกับศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คราวนี้จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ใด

การสอบประจำปีของวิหารถกสัจธรรมแห่งหานซานมีผู้อาวุโสที่ปรารถนารับศิษย์เป็นคนทดสอบ

คำนับอาจารย์ว่ากันด้วยวาสนา พูดง่ายๆ ก็คือแล้วแต่ดวง หากในใจปรารถนาจะคำนับท่านเจ้าสำนักเป็นอาจารย์ แต่กลับบังเอิญเจอเข้ากับช่วงระยะเวลาที่ท่านเจ้าสำนักไม่รับศิษย์ เช่นนั้นก็คงได้แต่ทอดถอนใจด้วยไร้วาสนา

บรรยากาศในห้องเรียนคึกคัก เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบถอนหายใจนึกอิจฉาเด็กหนุ่มเหล่านั้น ทว่าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เข้าศึกษาตำราเช้าคนนั้นกลับต่างจากคนอื่นๆ

“อย่าไปฟังที่พวกเขาพูดเลย” เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นเบ้ปากน้อยๆ หันข้างกระซิบพูดกับเขา “มีศิษย์น้องเปี่ยมพรสวรรค์คนนี้อยู่ การสอบใหญ่ปีนี้ประมุขยอดเขาทั้งห้าต้องมาดูแน่ เทียบกับปีก่อนๆ แค่ผู้อาวุโสว่างงานคนสองคนที่มายังไงก็ดีกว่ามาก เช่นนี้มีแต่จะส่งผลดีกับพวกเรา ไม่มีผลเสีย”

เมิ่งเสวี่ยหลี่สีหน้าสับสน…หานซานหกยอดเขา แต่กลับพูดแค่ห้ายอดเขา ยอดเขาฉางชุนของพวกเขายังอยู่มิใช่หรือไร

เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นเห็นเขาสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับหรูหราดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘ผู้อยู่บนมรรคาเดียวกัน’ ถึงได้ยอมคุยกับเขา

“ศิษย์น้องคนนั้นข้าเห็นแล้ว ก็แค่เด็กขี้โรคกระเสาะกระแสะคนหนึ่ง มีคุณสมบัติเหมือนกันแล้วไง เขาไหนเลยจะเทียบกับจี้เซียวเจินเหรินได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ร้อยปีก่อนทวดข้าเคยสนทนากับอริยกระบี่ อริยกระบี่ยืนอยู่บนก้อนเมฆ ท่วงท่าของเขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง…”

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดอยู่ในใจ ร้อยปีก่อนเจ้ายังไม่ทันได้เกิดด้วยซ้ำ พูดจาอย่างกับเห็นได้ด้วยตาตนเอง

ทว่าได้ยินคนกล่าวยกย่องจี้เซียวอยู่ข้างหูเช่นนี้ เขาเองก็อดพยักหน้าติดๆ กันไม่ได้

“อืมๆ”

เด็กหนุ่มอาภรณ์ผ้าดิ้นเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบรับเช่นนั้น เขาก็ให้รู้สึกว่า ‘วีรบุรุษผู้กล้าคิดอ่านเฉกเดียวกัน’ จึงยิ่งคุยยิ่งติดลม

“บ้านของบรรพบุรุษข้ามียันต์คุ้มเรือนฝีมือของอริยกระบี่ด้วย ชั่วชีวิตของอริยกระบี่ทิ้งภาพวิจิตรอักษรไว้ไม่มาก ขนาดที่หานซานเองก็ยังมีอยู่แค่ภาพเดียวในตำหนักกลางบนยอดเขาจ้งปี้เท่านั้น”

“ใช่ๆ” เมิ่งเสวี่ยหลี่คิดในใจ ถูกแล้ว ขนาดบนยอดเขาฉางชุนก็ยังไม่มี

สุดหล้าเขาเขียวพบพานผู้รู้ใจ เด็กหนุ่มประสานมือกระฉับกระเฉง “เรียนตามตรง ข้าน้อยเหลนของปรมาจารย์หลิงซวี หลานของนักพรตฉงหยวน บุตรชายเจ้าเมืองไป๋ลู่ ว่าที่เจ้าเมืองไป๋ลู่นามอวี๋ฉี่ซู มิทราบสหายผู้นี้ชื่อเรียงเสียงไร”

เมิ่งเสวี่ยหลี่สับสนงุนงง “เจ้าชื่อไป๋…ไป๋อะไรนะ”

“…อวี๋ฉี่ซู”

“สหายอวี๋ ข้าเมิ่งเสวี่ยหลี่”

“ที่แท้เจ้าก็คือเมิ่ง…” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ชะงักค้าง สีหน้ากลับกลายเป็นพิลึกพิลั่น

ชายชราในอาภรณ์สีน้ำตาลยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าประตู

เหล่าสานุศิษย์ต่างใบหน้าซีดเผือด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ต่างรีบก้มหน้าอ่านหนังสือ ชายชรารูปร่างผอมสูงสายตาดั่งอสุนีบาตกวาดมองไปรอบๆ ช้าๆ ก่อนจะเดินตรงมาทางเมิ่งเสวี่ยหลี่

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด คนผู้นี้คงเป็นอาวุโสผู้สอน

ชายชราก้มมองเขาปราดหนึ่ง พูดตรงไปตรงมาไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจอันใด

“อาวุโสเมิ่ง ข้ารู้ว่าท่านฐานะสูงส่ง ทว่าเมื่อเข้ามายังห้องเรียนนี้ก็ต้องทำตัวเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ เคารพกฎของวิหารถกสัจธรรม มาถึงที่นี่ตรงเวลา ช้าแม้เพียงเค่อ มิได้ การบ้านต้องส่ง ขาดไม่ได้แม้อักษรเดียว หากทำไม่ได้ก็ขอเชิญท่านกลับยอดเขาฉางชุน ให้เจินเหรินเจ้าสำนักหาผู้มีความสามารถอื่นสอนท่านแทน”

สานุศิษย์ทั้งหลายไม่มีใครกล้าเงยหน้า ทำได้เพียงคอยเงี่ยหูฟังว่าคู่ร่วมบำเพ็ญของอริยกระบี่จะตอบอีกฝ่ายเช่นไร

เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่สนใจคำพูดท่อนหลังของอีกฝ่าย เขาเพียงพยักหน้าตอบ “ได้ท่านอาจารย์”

อาวุโสผู้สอนตะลึงงันเหมือนไม่คาดหมายมาก่อน สีหน้าอ่อนโยนลงกว่าเดิมมาก

“ส่วนเรื่องงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเก็บกวาดห้องเรียน ให้นักพรตน้อยบนยอดเขาของท่านทำแทนก็ได้ ท่านไม่ต้องลงมือเอง”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยังคงพยักหน้า

อาวุโสผู้สอนพึงพอใจ เดินกลับไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ยกชายเสื้อขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้หวายที่ตั้งอยู่ชิดผนัง

เขาเรียกศิษย์ขึ้นมาคนหนึ่ง “คัมภีร์เต๋าที่ข้าสอนไปเมื่อวาน ไหนเจ้าลองท่องให้ข้าฟังซิ”

บนผนังขาวสะอ้านมีภาพอักษร ‘เคารพครูบาน้อมนำคำสอน’ เขียนด้วยหมึกเข้มแขวนไว้ แสดงความน่าเกรงขามของอาวุโสผู้สอนคนนี้ออกมาอย่างชัดแจ้ง

ส่วนเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์ผ้าดิ้นที่ชื่ออวี๋ฉี่ซูนั้นยังคงมีท่าทางเหม่อลอย เขากระซิบ “เจ้ากับจี้เซียวเจินเหรินเป็น…”

“คู่ร่วมบำเพ็ญ” เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: