X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่หก

ยามที่หลิ่วผิงชวนกลับมาถึงจวนสกุลหลิ่ว ดวงตะวันก็ค่อยๆ คล้อยสู่ทิศตะวันตกแล้ว นางเพิ่งจะเข้าห้องไปผลัดเปลี่ยนชุดกระโปรง หญิงรับใช้อาวุโสข้างกายเหยาซื่อก็มาแจ้งว่าฮูหยินเรียกนางไปพบ

หลิ่วผิงชวนฟังจบก็นึกถึงความเจ้าระเบียบของเหยาซื่อ จึงถอดชุดกระโปรงลำลองเนื้อฝ้ายนุ่มตัวนี้ออก เปลี่ยนเป็นชุดหรูฉวินที่ดูเข้าทีแล้วค่อยไปพบมารดา

เหยาซื่อกินอาหารเย็นไปแล้ว ขณะนี้กำลังนั่งพิงอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยให้สาวใช้ทุบน่องด้วยค้อนคนงามที่สลักจากหยก พอนางเห็นหลิ่วผิงชวนมาถึงก็มองพิจารณาขึ้นลงรอบหนึ่ง

เมื่อตอนที่ยังไม่ได้บุตรสาวแท้ๆ กลับคืนมา นางก็เฝ้าคะนึงหาทุกคืนวัน ทว่ารอจนบุตรสาวกลับมาอยู่ข้างกายแล้ว ในใจนางกลับไม่แคล้วเกิดการเปรียบเทียบ

หลิ่วผิงชวนแม้ไม่มีรูปโฉมดั่งบุปผาจันทราที่ชวนให้ตะลึงในความงามเช่นฉยงเหนียง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนงามที่หมดจดพริ้มเพราผู้หนึ่ง เพียงแต่ในด้านของการวางตัว…กลับมักเจือด้วยท่วงทีอันไม่สง่าผ่าเผยของผู้ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย

เหยาซื่อรู้สึกว่าการเลี้ยงดูของสกุลชุยได้ทำลายบุตรสาว นางจึงเชิญอาจารย์ด้านอักษรภาพวาดกับทักษะพิณมาสอนหลิ่วผิงชวน ตั้งมั่นว่าจะบ่มเพาะบุตรสาวที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถออกมาอีกคน

ควรรู้ว่าฉยงเหนียงมีพรสวรรค์ด้านอักษรภาพวาดมากทีเดียว ตั้งแต่เล็กนางก็เรียนรู้จนจับพู่กันวาดภาพได้เองโดยไม่มีอาจารย์ รอจนเชิญอาจารย์มาสอนเขียนอ่าน ก็ทำให้อาจารย์ที่สอนนางตอนนั้นตกตะลึงอยู่บ่อยครั้ง ถึงขั้นหลุดปากตรงๆ ว่าหากเด็กหญิงนี้เป็นชายจะต้องโดดเด่นเป็นแน่แท้

ส่วนหลิ่วผิงชวนหลังกลับมาที่สกุลหลิ่วในชาติก่อนก็เคยบากบั่นทุ่มเทด้านอักษรภาพวาดมาช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้เมื่อหวนคืนสู่วัยแรกแย้มอีกครั้ง ยามเรียนรู้ย่อมทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าก็ไม่ด้อย ทว่าภาพวาดและโคลงกลอนนั้นนอกจากความมุมานะแล้ว พรสวรรค์ต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด สติปัญญาแต่กำเนิดของนางไม่เทียบเท่าฉยงเหนียง ภาพอักษรฝีมือนางก็เพียงแต่คล้ายคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป แค่พอจะฝืนอวดได้เท่านั้น

เมื่อมีผู้โดดเด่นดุจไข่มุกหยกเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ก่อน เหยาซื่อย่อมไม่แคล้วเกิดความคิดที่จะดึงต้นกล้าเพื่อเร่งโต* ตั้งข้อเรียกร้องสารพัดกับการเรียนของหลิ่วผิงชวน

พักนี้หลิ่วผิงชวนเดินทางกลับไปที่ตำบลฝูหรงบ่อยครั้งยิ่ง ละทิ้งการเรียนไม่พอ ยังทำให้ในใจเหยาซื่อเริ่มจะคิดเล็กคิดน้อย รู้สึกว่าบุตรสาวปล่อยวางสามีภรรยาสกุลชุยไม่ลง ในหัวใจยังคงมองสกุลชุยเป็นบ้านของตนเองอยู่ ดังนั้นรอจนบุตรสาวกลับมา เหยาซื่อจึงให้หญิงรับใช้อาวุโสไปเรียกนางมา เตรียมจะใช้คำพูดอบรมนาง

เมื่อเห็นหลิ่วผิงชวนเข้ามาแล้ว เหยาซื่อก็ให้นางนั่งบนเก้าอี้กลมที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะหลับตาเอ่ยเนิบๆ “นับดูเดือนนี้เจ้าก็กลับตำบลฝูหรงไปตั้งสองหนแล้ว สามีภรรยาสกุลชุยนั้นเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี เจ้าคิดถึงพวกเขาก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลซั่งซื่อ เจ้าต้องไปเข้าเฝ้าในวัง ฉลองเทศกาลเป็นเพื่อนองค์หญิงยงหยาง ถึงตอนนั้นเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่มารวมตัว ไม่พ้นต้องประชันฝีมือเผยจุดเด่นจุดด้อย เจ้าเสียเวลาที่สกุลชุยไปนานเพียงนี้ พื้นฐานย่อมอ่อนกว่าผู้อื่น ช่วงไม่กี่วันนี้ก็อย่าได้ออกจากจวนอีกเลย ขยันหมั่นเพียรมากหน่อยถึงจะชอบด้วยเหตุผล”

หลิ่วผิงชวนฟังจบก็รู้ว่ามารดาไม่พอใจแล้ว นี่ก็ใช้คำพูดตำหนินางอยู่

บิดามารดาบังเกิดเกล้าของนางรักหน้าตาเป็นที่สุด ชาติก่อนที่ยังคงเลี้ยงดูฉยงเหนียงไว้ในจวนตลอดมา นอกจากเพราะนางที่เป็นลูกแท้ๆ ได้กลายเป็นนางบำเรอของหลางอ๋องไม่เหมาะจะกลับเข้าจวน ก็ยังเป็นเพราะตอนที่ฉยงเหนียงในวัยสิบห้าเข้าวังไปร่วมฉลองเทศกาลซั่งซื่อ ได้สร้างชื่อต่อหน้าผู้คนในคราวเดียว จนเป็นที่กล่าวขวัญในฐานะสตรีผู้มากความสามารถ เชิดหน้าชูตาให้สามีภรรยาสกุลหลิ่วอย่างเต็มที่ ทำให้ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่อาจตัดใจปล่อยฉยงเหนียงจากไปได้

คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วผิงชวนก็ตอบปนยิ้มน้อยๆ “ลูกทราบในความกังวลของท่านแม่เจ้าค่ะ ขอท่านแม่โปรดวางใจ ภาพวาดที่จะประชันในงานเทศกาลซั่งซื่อ ลูกได้ตระเตรียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวังแน่นอนเจ้าค่ะ”

ชาติก่อนฉยงเหนียงใช้แต้มน้ำหมึกแทนบุปผา ก่อนจะพ่นละอองน้ำให้สีหมึกกระจายตัว ทำให้ดอกตูมแต่ละดอกนั้นพลันบานสะพรั่งดุจได้สายลมวสันต์อาบไล้ในชั่วข้ามคืน ผู้คนในที่แห่งนั้นไม่มีใครไม่ตื่นตะลึง ต่างพากันสอบถามว่าผู้วาดภาพนี้เป็นคุณหนูจากจวนใด นับแต่นั้นชื่อเสียงของหลิ่วเจียงฉยงก็เป็นที่เลื่องระบือ เพียงแต่ภาพที่วาดด้วยการพ่นละอองน้ำก็แค่ยอดเยี่ยมที่ความคิดแปลกใหม่เท่านั้น วิธีนี้ทำให้ผู้อื่นประหลาดใจได้ก็จริง ทว่าการจะหัดทำตามกลับไม่ยากเย็นเลย

ในเมื่อเหยาซื่อขุ่นเคืองแล้ว เช่นนั้นหลิ่วผิงชวนก็ต้องสงบเสงี่ยมสักหน่อย ไม่อาจไปที่ตำบลฝูหรงอีก ไหนๆ ชาตินี้ซั่งอวิ๋นเทียนไม่ได้ถูกรถม้าชนขาหัก เขาย่อมเข้าสอบได้ตามกำหนดแน่ ถึงตอนนั้นขอเพียงนางจัดการอย่างแยบยล ฉวยจังหวะที่หลิ่วเจียงจวีพี่ชายนางเชิญซั่งอวิ๋นเทียนมาที่จวน ไปพบปะเขาสักหลายๆ หนแล้วเผยความในใจ เชื่อว่าขอเพียงพี่ซั่งไม่โง่เขลา ต้องยินดีรับรักสตรีชั้นสูงตระกูลใหญ่เช่นนางแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้อารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ถูกปลุกขึ้นที่ตำบลฝูหรงก็พลันสงบลง เกิดใหม่ชาตินี้นางไม่เพียงต้องการสามีกับฐานะอันพึงมีแต่ดั้งเดิมของตน ยิ่งต้องการจะยึดครองชื่อเสียงในอดีตของฉยงเหนียงทั้งหมด ไม่เช่นนั้นความเจ็บแค้นจากชาติก่อนจะขจัดให้สูญสิ้นไปได้อย่างไร

นึกถึงแผนการที่ตนวางเอาไว้ตอนออกจากตำบลฝูหรง หลิ่วผิงชวนที่เดินออกจากห้องของเหยาซื่อก็คลี่ยิ้มอย่างกระหยิ่มได้ใจยิ่ง…ชุยเจียงฉยง ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้เต็มกลืนเลยคอยดู!

เนื่องจากชุยฉวนเป่าบาดเจ็บ หลิวซื่อไม่วางใจจึงเก็บแผงเพื่อจะอยู่บ้านดูแลเขาก่อนสักหลายวัน ส่วนชุยจงก็หาบขนมจำนวนหนึ่งไปเร่ขายปลีกตามถนนใหญ่และตรอกซอย นับว่ายังมีรายรับอยู่บ้าง

วันนี้พอชุยจงคอนหาบกลับมา ฉยงเหนียงกำลังช่วยหลิวซื่อกวาดทำความสะอาดลานเรือน จากนั้นคนทั้งครอบครัวก็มานั่งกินอาหารเย็นด้วยกันที่ใต้ต้นไม้ในลานเรือน

ข้าววันนี้คือข้าวใหม่ที่หลิวซื่อหุงด้วยหม้อดินเผา ส่วนอาหารเรียกน้ำย่อยคือยำหัวไช้เท้าฝอยที่ฉยงเหนียงเป็นผู้ปรุง หัวไช้เท้านี้ฉยงเหนียงดองในโถดินเผาใบเล็กเพื่อให้รสชาติเข้าเนื้อ หัวไช้เท้าสีขาวหิมะที่กรุบกรอบถูกโรยเกลือกับขิงซอยแล้วราดด้วยน้ำมันพริกที่ผสมงา รสชาติชวนให้เจริญอาหารเป็นที่สุด

คิดถึงบิดาที่หาบขนมมาทั้งวัน เหงื่อออกไปมิใช่น้อย ฉยงเหนียงจึงตุ๋นน้ำแกงกระดูกหมูด้วยน้ำปรุงรสเปรี้ยวที่ใช้ดองหัวไช้เท้า ก่อนเติมถั่วลิสงที่สุกนิ่มแล้วลงไป ทำให้กลิ่นความสดชื่นลอยฟุ้งไปทั่วลานเลยเชียว

ไม่กี่วันมานี้ชุยฉวนเป่าสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงความเปลี่ยนแปลงที่น้องสาวคนใหม่นำมาให้กับครอบครัวนี้ นั่นก็คือด้านอาหารการกินดูพิถีพิถันกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว อย่างเช่นหัวไช้เท้านี้ เมื่อก่อนเพียงต้มให้นิ่มเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงมือของฉยงเหนียงกลับสามารถพลิกแพลงวิธีกินได้สารพัดอย่าง

สำหรับชีวิตอันฝืดเคืองของครอบครัวเล็กที่ต่ำต้อย ไม่มีสิ่งใดจะชวนให้คึกคักฮึกเหิมยิ่งไปกว่าอาหารที่ใช้ความตั้งใจหนึ่งโต๊ะอีกแล้ว ยามที่รสชาติอันหอมหวานเคลือบริมฝีปากและซี่ฟัน วันเวลาซึ่งเดิมทีซ้ำซากจำเจก็คล้ายพลันมีรสชาติขึ้นมา

หลังจากได้ดื่มน้ำแกงกระดูกหมูที่มีรสชาติสดชื่นเข้มข้นและกระตุ้นความอยากอาหารนั้นไปหนึ่งคำ ชุยฉวนเป่าก็อดไม่ได้ต้องเหลือบมองน้องสาวคนนี้ของตนอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกว่ามีน้องสาวคนใหม่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจเสียจริง

เห็นบิดากับพี่ชายกินข้าวคำโต ฉยงเหนียงเองก็สบายใจเช่นกัน

เมื่อก่อนช่วงเวลาที่นางจะลงครัวก็คือยามรับใช้มารดาสามี หรือไม่ก็ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าคุณหนูฮูหยิน มาตรองดูอย่างละเอียดแล้ว ดูเหมือนบุตรชายหญิงที่นางรักที่สุดกลับเคยได้กินอาหารฝีมือนางเพียงไม่กี่หน

นางในอดีตช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร มัวแต่เอาใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้น แต่กลับละเลยเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ดังนั้นชาตินี้นางจึงเต็มใจที่จะอาบเหงื่อเติมฟืนอยู่หน้าเตาในบ้านอันซอมซ่อ เพื่อให้คนในครอบครัวได้กินอย่างอิ่มสุขเต็มที่

ทางหนึ่งนางตักข้าวให้พี่ชาย อีกทางหนึ่งก็ฉวยเวลาระหว่างมื้ออาหารบอกเล่าความคิดที่ตนใคร่ครวญอยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้ว

ไม่กี่วันนี้ได้เงินขายขนมมาไม่น้อย สามารถเป็นทุนรอนได้พอดี บิดามารดาอายุมากขึ้นทุกวันจะให้กรำแดดโกรกลมเช่นนี้ไปตลอดย่อมมิใช่หนทางที่ถูกควร

ตำบลฝูหรงเล็กเกินไป ทำการค้าต่อก็ไม่มีทางจะเห็นเงินเหลือมากนัก ทว่าทุนรอนที่มีอยู่หยิบมือนี้หากนำไปเปิดร้านในเมืองหลวงก็จะเป็นเช่นเศษกรวดจมสู่ท้องทะเล ไม่อาจทำให้น้ำกระเซ็นแม้สักครึ่งวง แต่หากเป็นร้านที่เชิงเขาหวงซานชานเมืองหลวงกลับสามารถซื้อได้อย่างเหลือเฟือ

ภูเขาหวงซานนั้นเป็นที่ตั้งของวัดเนี่ยนฝ่าซึ่งเป็นวัดหลวง เนื่องจากอยู่ใกล้เมืองหลวง ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนจะมีผู้ไปจุดธูปไหว้พระไม่ขาดสาย และมักพลาดช่วงเวลาอาหารจึงต้องหาของกินที่เชิงเขา หากไปเปิดร้านที่นั่น ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีลูกค้า

ฉยงเหนียงชี้แจงอย่างมีเหตุผลเป็นแบบแผน ทว่าหลิวซื่อกลับไม่ค่อยเห็นพ้อง เพียงรู้สึกว่าดั้นด้นไปทำการค้าที่เชิงเขาใช่ว่าจะได้เห็นลูกค้าหลั่งไหลมาดุจกระแสน้ำทุกวัน แล้ววันเวลาที่เหลือมิต้องเงียบเหงาวังเวงขาดรายได้หรือไร เห็นชัดว่าความคิดของฉยงเหนียงเป็นคำพูดของคุณหนูผู้มีเงิน ไม่รู้ถึงความเหนื่อยยากของชาวบ้านกว่าจะได้เงินในแต่ละวัน

แม้หลิวซื่อพูดอย่างอ้อมค้อมนุ่มนวล ทว่าฉยงเหนียงก็ฟังออกถึงสิ่งที่มารดาห่วงพะวง หากมิใช่ผ่านชีวิตมาแล้วหนึ่งชาติภพ นางเองก็นึกไม่ออกหรอกว่าจะไปเปิดร้านขนมที่เชิงเขาหวงซาน

ในชาติก่อน ภายหน้าจยาคังตี้จะมีพระราชโองการสร้างตำหนักที่เชิงเขาหวงซานสำหรับพักผ่อนคลายร้อน อุทยานหลวงอันโอ่อ่านั้นกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ร้านค้าโรงนาที่มีอยู่แต่เดิมล้วนต้องย้ายไปที่อื่น

ทว่าจยาคังตี้มีพระเมตตา ทั้งราชวงศ์ต้าหยวนก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง เรื่องที่สร้างความลำบากแก่ราษฎรเช่นนี้ย่อมจะมีค่าชดเชย ตอนนั้นขอเพียงเป็นบ้านเรือนไร่นาที่อยู่ในเขตก่อสร้าง ล้วนได้รับค่าชดเชยห้าเท่าหลังหักราคาตลาด ดังนั้นตอนนี้ซื้อร้านค้าหนึ่งแห่ง รอวันหน้าได้ค่าชดเชยห้าเท่ามาก็รับรองว่าเพียงพอเลี้ยงดูบิดามารดาในยามชราแล้ว

อีกอย่างเปิดร้านที่เชิงเขาหวงซาน ลูกค้าล้วนแต่เป็นผู้มั่งมี ทำกำไรหนึ่งเดือนเทียบเท่าสามเดือน หักลบดูแล้วย่อมดีกว่าที่บิดามารดาต้องนอนดึกตื่นเช้าทุกวันเช่นนี้มิใช่หรือไร

สิ่งที่ในใจฉยงเหนียงวิตกอยู่ตลอดคือเรื่องที่หลายปีข้างหน้าชุยจงจะป่วยหนัก หากตรากตรำน้อยลงได้ บางทีถึงตอนนั้นอาการป่วยของบิดาอาจจะไม่ร้ายแรงนัก เพียงแต่เรื่องที่ตนเกิดใหม่ยากจะเล่าให้มารดาฟัง จึงจำต้องหาเหตุผลอื่นมาโน้มน้าว ทว่าโน้มน้าวเช่นนี้ย่อมไม่ค่อยจะเห็นผลสักเท่าใด

หลังจากฉยงเหนียงชักแม่น้ำทั้งห้า ศีรษะของหลิวซื่อก็ยังคงส่ายไปมาดุจกลองป๋องแป๋ง สุดท้ายเอ่ยปากตรงๆ ว่าให้ฉยงเหนียงไม่ต้องกังวลเรื่องทำมาหากินของบิดามารดา สรุปคือจะไม่ทำให้นางท้องหิวแน่นอน

ตอนนี้เองชุยจงที่กินข้าวไปหลายคำแล้วสูบยาเส้นเงียบๆ ที่ข้างด้านมาตลอดก็เอ่ยปาก “ฉยงเหนียงอยู่ในตระกูลใหญ่รอบรู้กว้างขวาง ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผล เพียงแต่การซื้อร้านค้าเป็นเรื่องใหญ่ไม่อาจบุ่มบ่าม อย่างน้อยก็ต้องไปดูด้วยตนเองก่อน พรุ่งนี้พ่อกับแม่ไม่ตั้งแผงไม่หาบขนมแล้ว ให้พี่ชายเจ้าอยู่ที่บ้าน พ่อจะจ้างรถเทียมลาคันหนึ่ง พวกเราสามคนไปวนดูที่เชิงเขาหวงซานกันสักหน่อย”

หลิวซื่อเห็นหัวหน้าครอบครัวถือวาจาเหลวไหลของเด็กสาวเป็นจริงเป็นจังก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ ทว่าก็ไม่เหมาะจะด่าทอความเลอะเลือนของตาเฒ่าต่อหน้าบุตรชายบุตรสาว นางจึงได้แต่หุบปากเงียบไปก่อน

รอจนเก็บชามตะเกียบเสร็จ สองสามีภรรยากลับเข้าห้องแล้ว หลิวซื่อถึงนั่งขัดสมาธิบนเตียง ตบผ้าห่มเอ่ยประท้วงอย่างเร่งร้อน “ตาเฒ่าหนังเหนียว! นึกว่าตนเองมีปัญญาจะเป็นพ่อค้ามั่งคั่งได้จริงๆ น่ะหรือ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอพวกถลุงเงินแบบไม่ใช้หัวคิด ในมือพวกเราถึงได้เห็นเงินแท้ทองจริงกับเขาบ้าง ต่อไปไม่ใช่จะหาใบไม้ทองคำได้ทุกวันเสียหน่อย! บุตรชายเป็นหนุ่มขึ้นทุกวัน ใกล้จะต้องทาบทามลูกสะใภ้ให้เขาแล้ว ตอนฉยงเหนียงออกเรือนก็ต้องจัดเตรียมสินเจ้าสาวที่เข้าท่าให้นางเช่นกัน มีอย่างไหนบ้างไม่ต้องใช้เงิน ถ้าซื้อร้านแล้วขาดทุนขึ้นมา พวกเรากลับตำบลฝูหรงก็ไม่มีที่ให้ตั้งแผงแล้ว เจ้าก็รู้ว่าเหล่าอู่ที่ขายบะหมี่รวมมิตรอยู่ติดกัน จ้องจะยึดแผงของพวกเรามาตั้งกี่ครั้งกี่หน…”

ชุยจงสูบยาเส้นสองคำ ก่อนจะพลันเคาะกล้องยาใส่ผนังแรงๆ “ต่อให้เขาไม่ยึดไป พวกเราก็อยู่ตำบลฝูหรงต่อไปไม่ได้แล้ว วันสองวันนี้เจ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่รู้หรอกว่าคำนินทาข้างนอกลือกันจนกลายเป็นเช่นไร!”

แต่ไรมาหลิวซื่ออยู่บ้านไม่ต้องฟังเสียงใคร พอเห็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งปกติเงียบขรึมพลันมีโทสะ นางจึงตกใจจนสะดุ้งตัวโยน “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ”

ชุยจงขมวดคิ้วตอบ “ไม่รู้เป็นใครแต่งเรื่องว่าฉยงเหนียงของพวกเราถูกฉุดคร่าไปจนเสียความบริสุทธิ์แล้ว…ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปฉยงเหนียงจะออกเรือนได้อย่างไรกัน ไม่สู้ไปจากตำบลนี้แต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาไม่มีเรื่องมาพูดสนุกปากอีก!”

หลิวซื่อฟังจบก็พลันเดือดดาล รีบซักไซ้ชุยจงว่าคนข้างนอกพูดเช่นไรบ้าง ทว่าตาเฒ่ากลับอุดรูทวารไม่ผายลมออกมาเสียที เอาแต่ขยับปากหมุบหมับสูบยาเส้นต่ออีกหนึ่งกล้อง

นางอารมณ์ร้อนยิ่ง ทั้งมีนิสัยเป็นแม่ไก่ปกป้องลูก จึงรีบเหยียบส้นรองเท้าผ้าแล้วคลุมเสื้อหนึ่งตัวพุ่งออกจากลานเรือนไปทันที

 

ตำบลฝูหรงมีขนาดเล็ก บริเวณที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงจะออกมาคุยเล่นรับลมเย็นกันในยามตะวันรอนของทุกวันก็มีอยู่แค่ไม่กี่แห่ง หลิวซื่อมุ่งหน้าเลียบแนวคันป้องกันตลิ่งไปไม่นานนักก็ถึงใต้ต้นไหว ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางตำบล

นางไม่ได้ก้าวขึ้นบันไดของคันป้องกันตลิ่ง เพียงยืนอยู่ด้านล่างฟังผู้ที่นั่งอยู่ข้างบนสนทนาสัพเพเหระ

ได้ยินเฉียนซื่อภรรยาของคนขายเนื้อแซ่จางเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน “นึกว่าแค่ผิงเอ๋อร์ที่เคยอยู่บ้านนั้นไม่สำรวมกิริยา เขียนคิ้วแต่งหน้ามายั่วเย้าวั่งเอ๋อร์ลูกข้าทุกวี่วัน นึกไม่ถึงบุตรสาวที่เปลี่ยนตัวมาใหม่จะหูตาแพรวพราวยิ่งกว่า ถึงขั้นโปรยสายตาหยาดเยิ้มให้คนมีเงินกลางถนนใหญ่ ยั่วยวนจนหัวใจบุรุษคันคะเยอ ต้องฉุดตัวนางขึ้นรถม้าไปทันที…”

วาจายังไม่ทันจะขาดคำก็มีคนร้องรับ “ฉุดขึ้นไปแล้วเป็นอย่างไรต่อหนอ”

เฉียนซื่อพลันเปล่งเสียงหัวเราะบาดหู “ยังจะเป็นอย่างไรได้เล่า ชายหญิงก็คงอิงแอบแนบชิด แม่นางน้อยคลายสายรัดกระโปรงแล้วก็ย่อมจะเสียเปรียบนายท่านน่ะสิ! ได้ยินว่าตอนลงจากรถม้านางถึงกับเดินกะเผลกกะปลกกะเปลี้ย ไม่รู้เผชิญเมฆฝนไปกี่หน…”

ไม่รอให้นางพูดจนหนำใจ หลิวซื่อก็วิ่งปรี่ขึ้นมาบนขั้นบันไดแล้วถลึงตาจ้องเฉียนซื่อเขม็ง จากนั้นก็โถมตรงเข้าใส่อีกฝ่ายดุจแม่สุนัขป่า

เฉียนซื่อรวมถึงเหล่าผู้ฟังล้วนคาดไม่ถึงว่าหลิวซื่อจะโผล่มาจากด้านล่างของคันป้องกันตลิ่งราวภูตผี ขณะยังตะลึงค้างอยู่ก็ถูกหลิวซื่อกดล้มลงกับพื้นแล้ว

“หญิงลิ้นเน่า! ถึงกับแต่งเรื่องให้ร้ายบุตรสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของข้า ลองให้ผู้อื่นดูบ้างซิว่าใต้กระโปรงเจ้าซุกบุรุษคู่นอนไว้กี่คน”

อย่าเห็นว่ายามปกติหลิวซื่อเรียกลูกค้าด้วยรอยยิ้มอันใจดีเป็นอันขาด ตอนที่ยังไม่ออกเรือนนิสัยเอาเรื่องของนางเป็นที่เลื่องลือในสกุลหลิวทีเดียว ยามนี้พอโทสะถาโถมหัวใจ สองแขนยิ่งมีเรี่ยวแรงมากเป็นพิเศษ เพียงไม่กี่ทีก็กระชากกระโปรงของเฉียนซื่อจนขาดวิ่นแล้ว

เนื่องจากช่วงนี้อากาศร้อนขึ้น เฉียนซื่อสวมเสื้อผ้าเนื้อบางจึงเผยถึงเนื้อหนังในไม่กี่อึดใจ ทำเอานางขวัญกระเจิงรีบใช้สองมือปิดหน้าปิดหลัง ปิดไปพลางก็ขดตัวกรีดร้องลั่นไปพลาง

ปกติเพื่อนบ้านโดยรอบล้วนวุ่นอยู่กับการหาเลี้ยงครอบครัว ไม่เคยได้อยู่ว่าง ตอนนี้ได้ชมละครฉากเด็ดที่ไม่ต้องมียกพื้นให้แสดง แต่ละคนย่อมจะเบิกตากลมชมความครึกครื้น ขอยล ‘เนื้อตากแห้งรมควัน’ ค้างปีของสกุลจางที่ปกติไม่เปิดเผยต่อคนนอกกันสักหน่อย

บางคนที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องรู้สึกว่ายังไม่ครึกครื้นพอ จึงรีบไปแจ้งถึงหน้าประตูบ้านของคนขายเนื้อแซ่จาง รอจนเขาพาจางวั่งบุตรชายรุดมาถึง เฉียนซื่อภรรยาของเขาก็อับอายจนกระโดดหนีลงไปอยู่ในแม่น้ำก่อนแล้ว ทว่าปากยังมิวายด่าตอบโต้หลิวซื่อข้ามแม่น้ำในสภาพผมเผ้ายุ่งสยาย ใบหน้าแดงก่ำ ชุดกระโปรงลอยฟ่องอยู่บนผิวน้ำ

เมื่อคนขายเนื้อแซ่จางที่บ่ากว้างเอวหนาผู้นั้นพุ่งตัวพร้อมสายลมมาเห็นสภาพของภรรยาที่แช่ร่างอยู่ในแม่น้ำ เขาก็โหวกเหวกโวยวาย หมายจะกระชากผมหลิวซื่อทันที

ตอนนี้ชุยจงที่ได้ข่าวก็พาฉยงเหนียงบุตรสาวรุดมาถึงแล้วเช่นกัน พอเห็นว่าหลิวซื่อกำลังจะเสียเปรียบ ชุยจงก็ตวาดก้องแล้วพุ่งปราดไปขวางคนขายเนื้อแซ่จางไว้ได้ในคราวเดียว แน่นอนว่าจางวั่งก็ต้องปรี่เข้ามาช่วยบิดาของตนให้ลงมือถนัดขึ้น

คราวนี้จึงกลายเป็นสองสกุลตะลุมบอนกัน ใต้ต้นไหวขนาดใหญ่มีทั้งรองเท้าปลิวทั้งเสียงคนเอ็ดตะโร ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด

ฉยงเหนียงใช้ชีวิตมาสองชาติภพก็ยังไม่เคยเห็นการต่อสู้อีนุงตุงนังของชาวบ้านที่ครึกโครมจะแจ้งเพียงนี้มาก่อน ชั่วขณะนี้นางจึงทำตัวไม่ค่อยถูกอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นชุยฉวนเป่าใช้ไม้เท้าเดินกะเผลกออกมาจากบ้าน นางก็คิดว่าหากไม่ทำอะไรสักหน่อย วันนี้ชื่อเสียงของสกุลชุยคงยากจะกอบกู้เป็นแน่

ดังนั้นนางจึงเหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะปลดไม้ตากผ้าของเพื่อนบ้านมาหนึ่งท่อนแล้วเข้าร่วมวงต่อสู้

ชุยจงกำลังสู้พัวพันอยู่กับคนขายเนื้อแซ่จาง โดยมีหลิวซื่อช่วยใช้เล็บตะกุยใบหน้าอีกฝ่าย สองพยัคฆ์กลุ้มรุมหนึ่งหมีจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ส่วนชุยฉวนเป่าแม้กำยำล่ำสัน ทว่าเพราะกระดูกร้าวจึงถูกจางวั่งขัดขาจนล้มกับพื้นแล้วถูกกระหน่ำทั้งหมัดเท้า

วิชาพลองที่เคยฝึกกับอาจารย์สอนยุทธ์ในชาติก่อนพลันผุดขึ้นในใจฉยงเหนียง นางสะบัดไม้ตากผ้าแล้วควงกวาดหนึ่งวงรอบไปหาจางวั่งทันใด

ผู้คนในตำบลเล็กๆ มีหรือจะเคยเห็นเพลงยุทธ์เช่นนี้ เมื่อวิชาพลองที่ชวนให้ดวงตาพร่าลายออกกระบวนท่าโดยแม่นางน้อยที่ภายนอกดูอ้อนแอ้นบอบบางผู้หนึ่ง ก็กลับกลายเป็นน่ามองอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นทำให้ผู้คนซึ่งเดิมทีกำลังห้ามทัพอยู่เคลื่อนไหวช้าลง ต่างก็แบ่งสมาธิไปชมภาพหญิงงามควงพลอง

ทว่าจางวั่งนั้นกลับต้องอเนจอนาถยิ่ง ฉยงเหนียงแม้ดูแขนขาเรียวบาง แต่ทุกกระบวนท่าล้วนใช้หลักการยืมแรงมาออกแรง จงใจหวดใส่บริเวณที่เนื้อนิ่มกระดูกเปราะโดยเฉพาะ ร่างกายที่ถูกสุรานารีบั่นทอนจนกลวงโหวงของจางวั่งมีหรือจะทานทนไหว เขาพลันเจ็บปวดจนต้องร้องโอดโอยไม่หยุดปาก เท้าก็กระโดดโหยงอยู่กับที่พลางหลบหลีกไม้พลองของนาง อันที่จริงเขาก็อยากจะจับตัวนางให้ได้ ทว่าข้อได้เปรียบของไม้พลองที่เป็นอาวุธยาวถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ มือเขาเพิ่งจะยื่นออกไปก็ถูกฟาดจนต้องร้องครวญครางเรียกหามารดาเลยทีเดียว

การศึกอันถึงอกถึงใจใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งถ้วยชาก็เห็นผลแพ้ชนะแล้ว จางวั่งถูกหวดฟาดจนไร้หนทางจะหลบหนี จึงกระโดดลงไปแช่ร่างอยู่ในแม่น้ำตามมารดาของเขา

ส่วนคนขายเนื้อแซ่จางที่มีแต่เนื้อเผละทั้งร่างก็สู้ศึกยืดเยื้อไม่ไหว จึงหอบแฮกๆ นั่งแปะกับพื้น ก่อนจะขยับกระพุ้งแก้มด่าทอต่อ ร่ำร้องไม่หยุดว่าจะกลับบ้านไปฉวยมีดเลาะกระดูกที่คมกริบมาแทงคนสกุลชุยยกครัว

เมื่อครู่หลิวซื่อปะทะฝีปากกับเฉียนซื่อจนเสียงแหบแห้งแล้ว ส่วนชุยจงกับชุยฉวนเป่าก็ไม่ใช่คนที่ฝีปากคม ชั่วขณะนั้นจึงได้ยินคนขายเนื้อแซ่จางตะเบ็งเสียงดังขึ้นทุกที

ฉยงเหนียงฟังแล้วก็เก็บไม้พลอง เอ่ยเสียงดังไปหาฝูงชน “ในเมื่อวันนี้เพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาล้วนอยู่ที่นี่ ก็มิสู้พูดให้กระจ่างกันเสียเลย ได้ยินว่ามีคนโจษจันกล่าวหาข้าด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังสกปรกหู ไม่รู้ว่าคำนินทาเหล่านี้แรกเริ่มแพร่ออกมาจากผู้ใดกันแน่”

แม่นางน้อยที่มุ่นมวยกลมผู้หนึ่งเป็นเพื่อนบ้านของฉยงเหนียง หลายวันนี้หัดงานเย็บปักจากฉยงเหนียงมาไม่น้อย มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว นางจึงชี้มือไปทางแม่น้ำทันใด “จางวั่งเป็นคนพูดว่าเขาเห็นที่ถนนเองกับตา”

ฉยงเหนียงกวาดตามองฝูงชนรอบทิศ ก่อนถามย้ำเสียงกังวาน “วาจานี้เป็นความจริงหรือ”

คนทั้งหมดเกรงภัยจะมาถึงตัว ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดจา

ฉยงเหนียงถือไม้พลองเดินไปถึงเบื้องหน้าคนขายเนื้อแซ่จางแล้วเอ่ยด้วยแววตาอันเย็นชา “ตามหลักแล้วข้าควรเรียกท่านว่าลุงจาง แต่เรื่องขัดแย้งในวันนี้มิใช่พวกเราสกุลชุยเป็นผู้เริ่ม พี่ชายข้าถูกรถม้าของท่านอ๋องผู้หนึ่งที่พำนักระยะสั้นอยู่นอกตำบลชนจนขาได้รับบาดเจ็บ จึงถูกส่งตัวไปเยียวยาทำแผลยังคฤหาสน์ที่เป็นจวนชั่วคราวของท่านอ๋อง ข้าติดตามไปด้วยในฐานะญาติคนเจ็บมีอันใดไม่ถูกต้องเล่า แต่กลับถูกบุตรชายของลุงจางพูดเสียจนเลวร้ายถึงเพียงนั้น ท่านอ๋องเคยกินขนมของบ้านข้า ดังนั้นระหว่างที่ข้ารอพี่ชายจึงทำขนมให้ท่านอ๋องหนึ่งชุด วุ่นอยู่ในครัวตั้งแต่ไปถึง ได้ยินว่าที่นี่ก็มีคนไปเป็นคนงานระยะสั้นที่คฤหาสน์นอกตำบลหลังนั้น ถูกผิดจริงเท็จเป็นเช่นไร เพียงสอบถามดูก็จะรู้เอง”

คนขายเนื้อแซ่จางถูกแม่นางน้อยจ้องมองจนอึดอัดไปทั้งร่าง ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่อยู่ต่อหน้าแม่นางน้อยซึ่งอ่อนแอดุจกิ่งหลิวต้านลม แต่เขากลับทำอย่างไรก็ทำท่าวางโตไม่ออก ตอนนี้ยิ่งถูกนางตอกหน้าจนเบื้อใบ้ไร้วาจา สุดท้ายจึงได้แต่เอาสีข้างเข้าถู “เป็นสาวเป็นนางบุ่มบ่ามขึ้นรถม้าของคนแปลกหน้า ดูเจ้าจะไม่ใช่หญิงที่อยู่ในกรอบ…โอ๊ย!”

เขายังไม่ทันจะพูดจบคำ ฉยงเหนียงก็หวดปากเขาไปหนึ่งไม้พลอง

“บุตรชายของลุงจางกินดื่มพนันเที่ยว เข้าตรอกมืดดื่มสุราเคล้านารีทุกค่ำคืน นับว่าอยู่ในกรอบตรงที่ใด วันทั้งวันแทะโลมแม่นางน้อยกับสะใภ้สาวของครอบครัวที่สุจริต ทั่วถนนใหญ่มีใครบ้างไม่รู้ว่าบุตรชายบ้านสกุลจางเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ! เป็นเพราะวันก่อนไปถึงสกุลชุยหมายจะเอาเปรียบข้า แต่ถูกพี่ชายข้าก่นด่าไปหนึ่งยกจึงคิดแค้นอยู่ในใจกระมัง จะบอกท่านให้ว่าอย่าดีแต่เอามีดมาพูดขู่ขวัญคน ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ที่สตรีให้ความสำคัญที่สุดถูกคนสกุลจางทั้งครอบครัวทำลายไปเปล่าๆ ต่อให้เอาชีวิตนี้เข้าแลกข้าก็ต้องทวงความกระจ่างให้ได้ หากบุตรชายท่านยังกล้าพูดจาเหลวไหลไปทั่ว ข้าจะทำให้สกุลจางของท่านสิ้นลูกสิ้นหลาน แล้วค่อยแขวนคอตายหน้าประตูบ้านท่าน”

ยามที่เอ่ยวาจานี้ บนใบหน้าฉยงเหนียงปราศจากแววดุร้าย ทว่าน้ำเสียงอันราบเรียบเมื่อเข้าคู่กับแววตาเยือกเย็นที่ไม่สมกับวัยของนาง กลับทำให้คนขายเนื้อแซ่จางหนาวสั่น

ตอนนี้เองผู้คนก็เริ่มเข้ามาไกล่เกลี่ยอย่างขอไปที บอกว่าฉยงเหนียงไม่รู้ความ พูดกับผู้อาวุโสเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน อีกอย่างทุกคนล้วนเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เพียงเข้าใจผิดเท่านั้นชี้แจงกันก็พอ ทั้งในเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงผู้สูงศักดิ์ ชาวบ้านสามัญไม่พึงนำผู้สูงศักดิ์มาเป็นข้อถกเถียง…ท่ามกลางเสียงโขมงโฉงเฉงจากหลายคนหลายปาก ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมสองสกุลให้กลับไปจนได้ จากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันจากไป

ทว่าสำหรับบุตรสาวสกุลชุยที่เพิ่งสลับกลับคืนมาผู้นี้ ผู้คนทั้งหลายนับว่ามองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปแล้ว

นี่สิคือลูกในไส้ ความแสบสันจัดจ้านของหลิวซื่อมีผู้สืบทอดแล้ว! นิสัยเยี่ยงนี้หากถูกฉุดขึ้นรถม้าไปจริงก็ไม่แน่ว่าจะเสียเปรียบ ข้อมือที่เพรียวบางนั้นเพียงบิดวูบ ‘พลองสืบสกุล’ ของผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นเป็นได้ถูกบิดหนึ่งวงรอบจนอ่อนปวกเปียกแล้ว มีหรือยังสามารถพรมพิรุณไม่ขาดสาย ก่อเมฆฝนไม่ขาดตอน

แต่ต่อให้เป็นสตรีที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ด้วยอุปนิสัยที่ดุร้ายเพียงนี้ ทั้งมีมารดาซึ่งเข้ากระชากเสื้อผ้าผู้อื่นทันทีที่พูดไม่เข้าหู ก็ทำให้ผู้คนเห็นแล้วผงะชะงักฝีเท้าทันที

อย่างน้อยที่สุดในใจฉู่เซิ่งซึ่งชมการต่อสู้อยู่ในหอสุราวั่งอวิ๋นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำนานแล้วก็คิดเช่นนี้ เขาลอบช้อนตามองท่านอ๋องของตนแวบหนึ่ง

“ท่านอ๋อง วันนี้มีคนจากในวังมาแจ้งว่าองค์หญิงยงหยางทรงรบเร้าจะเสด็จมาพบท่านอ๋องที่คฤหาสน์ ท่านอ๋องเห็นว่า…”

นับแต่การต่อสู้อันวุ่นวายเมื่อครู่เริ่มต้นขึ้น สองตาของฉู่เสียก็จับจ้องเงาร่างอรชรนั้นไม่ละสายตา สุราในมือไม่ได้ดื่มลงคอสักหยดเดียว ต่อเมื่อเห็นเงาร่างสายนั้นลับหายไปตรงปากตรอก เขาถึงค่อยยกจอกสุราขึ้นกล่าว “ข้าสั่งให้เจ้าซื้อนางบำเรอกลับมาจำนวนหนึ่งไม่ใช่หรือ นางจะมาก็มาเถอะ จะได้มองให้ชัดว่าข้างกายข้าหลางอ๋องไม่มีที่สำหรับสตรีในราชวงศ์ ยิ่งจะช่วยให้ผู้ที่อยู่ในวังท่านนั้นมีข้ออ้างมาปั้นแต่งความผิดข้า…”

ฉู่เซิ่งรีบขานตอบ “ข้าน้อยติดต่อพ่อค้าทาสที่เชื่อถือได้และเลือกซื้อนางบำเรอที่โฉมงามความประพฤติดีมาแล้วขอรับ ข้าน้อยเห็นท่านอ๋องมองแม่นางสกุลชุยรื่นตา เดิมทีก็จัดรายการของกำนัลไว้แล้ว ด้วยเห็นว่านางมาจากครอบครัวที่สุจริตไม่ด่างพร้อย เพื่อแสดงว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญ ข้าน้อยจึงเตรียมจะไปทาบทามสามีภรรยาสกุลชุยเรื่องรับนางเข้าจวนด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้ดูแล้ว แม่นางผู้นี้แม้ชวนมอง อุปนิสัยกลับช่าง…”

ฉู่เสียดื่มสุราในจอกช้าๆ พริ้มตาลิ้มรสชาติ เนิ่นนานให้หลังถึงเอ่ยเนิบๆ “ยกเลิกของกำนัลไปเถอะ พ่อบ้านที่ทำงานคล่องใช่ว่าจะหาง่าย ข้ากลัวว่าพอเจ้าเข้าสกุลชุยไปเอ่ยปาก จะถูกคนทั้งครอบครัวนั้นกระหน่ำด้วยพลองจนตายคาลานเรือนไปเสียก่อน”

ฉู่เซิ่งรู้อุปนิสัยของผู้เป็นนายดี ท่านอ๋องเย็นชาไม่ชอบพูดเล่นมาแต่ไหนแต่ไร คำพูดเมื่อครู่จึงมีความหมายตามตัวอักษรนั้นจริงๆ

หลังจากได้ประจักษ์กับตาถึงความห้าวหาญดุดันของคนสกุลชุยทั้งผู้ใหญ่และผู้เยาว์ ฉู่เซิ่งก็เป็นกังวลแทนผู้เป็นนายจนหลั่งเหงื่อเย็นเต็มมือ แต่ด้วยความภักดีที่พึงยึดถือจนสุดหัวใจ เขาจะถอยหนีมิได้ “เพื่อท่านอ๋องแล้ว ข้าน้อยขอบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ปฏิเสธเป็นอันขาด!”

ฉู่เสียพยักหน้ากล่าว “มีความภักดีเช่นนี้ก็ดียิ่ง ในจวนชั่วคราวมีนางบำเรอไม่น้อยแล้ว แต่กลับขาดมือดีในการปรุงอาหาร เจ้าจงไปเยือนสกุลชุย ว่าจ้างแม่นางผู้นั้นมาเป็นแม่ครัวทำอาหารประจำจวนข้าดีกว่า!”

ฉู่เซิ่งรีบผงกศีรษะขานรับ “แม้ดูแล้วครอบครัวนั้นจะให้ความสำคัญกับบุตรสาวอย่างมาก แต่ถึงเวลาหากจ่ายค่าจ้างก้อนใหญ่ แม่นางผู้นั้นจะต้องยินยอมเป็นแน่”

ฉู่เสียเพียงเหยียดนิ้วมือออกไปห้านิ้วอย่างเกียจคร้าน ฉู่เซิ่งก็ผงกศีรษะแสดงว่าเข้าใจ “ค่าจ้างเดือนละห้าสิบตำลึงเงิน รับรองทำให้แม่นางผู้นั้นไม่ปฏิเสธแน่ๆ ขอรับ”

ฉู่เสียแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เงินแค่ห้าเฉียนก็พอแล้ว”

พ่อบ้านฉู่ผู้จงรักภักดีฟังจบก็รู้สึกว่างานนี้จัดการยากอยู่บ้าง

แต่ไรมาเจ้านายของเขาเห็นสตรีดุจไร้ตัวตน คำสั่งอันถี่ถ้วนที่จะให้เขาไปจ้างแม่ครัวผู้หนึ่งเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทว่านึกถึงความร้ายกาจของคนสกุลชุยเมื่อครู่นี้ ฉู่เซิ่งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ค่าจ้างต่ำเยี่ยงนี้ แม้แต่จ้างคนงานระยะสั้นสักคนก็ยังยาก เกรงว่าคนสกุลชุยคงจะไม่ตอบรับ ถ้าอย่างไรกลับไปแล้ว ข้าน้อยค่อยคัดเลือกผู้มีฝีมือปรุงอาหารล้ำเลิศคนใหม่ประจำจวนดีหรือไม่ขอรับ”

ฉู่เสียไม่ได้กล่าวใดๆ อีก เพียงวางจอกสุราแล้วลุกขึ้นเดินก้าวยาวออกจากหอสุราแห่งนั้น

ยามนี้ผืนฟ้าแห่งรัตติกาลสลัวมัว ร้านรวงสองฟากแม่น้ำล้วนจุดไฟแขวนโคมกันแล้ว สายลมยามค่ำพลันโชยมา โบกชายอาภรณ์กว้างให้พัดพลิ้ว ชุดยาวตัวหลวมอันเป็นที่ชมชอบในสมัยราชวงศ์เว่ยและจิ้นชุดนี้ยิ่งขับเน้นรูปกายอันสูงใหญ่ให้แลดูสง่างามขึ้นอีกหลายส่วน

พอเห็นคุณชายเอวสอบในชุดงามหรูเดินออกมาจากหอสุรา สตรีในสำนักโคมเขียวที่ด้านข้างต่างก็แย่งกันปรี่ไปหา รอจนเดินเข้าไปใกล้ สายตาของพวกนางที่คลุกคลีกับโลกโลกีย์ก็ถึงกับมองเคลิบเคลิ้ม

สวรรค์! ถึงกับมีบุรุษที่องอาจเหนือสามัญเพียงนี้ ทว่าแม้เขาจะหล่อเหลายิ่งนัก บนใบหน้ากลับคล้ายฉาบด้วยเกล็ดน้ำค้างอันเย็นเฉียบ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ แววตานั้นยิ่งคมประดุจดาบ เห็นแล้วพาให้หัวใจหนาวสั่น

อีกอย่างคุณชายผู้นี้ก็ดูเหมือนจะเมาสุราแล้ว การกระทำจึงบ้าบิ่นยิ่ง หลังจากเดินวนรอบรถม้าอันหรูหราคันหนึ่งก็ถึงกับสั่งให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังไปทุบทำลายมุมหนึ่งของรถม้า

พอฉังจิ้นได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายก็ไม่ถามถึงสาเหตุ ยื่นขาอันล่ำสันของตนเตะใส่แท่นหินริมทางที่ใช้สำหรับผูกเชือกม้าในทันที พละกำลังของเขารุนแรงยิ่ง ส่งผลให้ก้อนหินนั้นพลันปลิวละลิ่วไปหามุมหนึ่งของตัวรถราวว่าวที่สายป่านขาด

ลักษณะภายนอกของรถม้าคันนั้นงามวิจิตร บริเวณใกล้ประตูรถฝังอัญมณีเลี่ยมทองคำไว้โดยรอบ โดยเฉพาะนัยน์ตาสองข้างของสัตว์มงคลไป๋เจ๋อยิ่งประดับด้วยหินโมราสีดำชั้นเลิศ ทว่าบัดนี้หลังจากถูกโจมตีไปหนึ่งหน อัญมณีหลายเม็ดก็พลันแตกกระเด็นจนไม่เห็นร่องรอย

ฉังจิ้นยังคิดจะซ้ำอีกสักหลายเท้า แต่ฉู่เสียโบกมือเป็นความหมายว่าใช้ได้แล้ว

ฉู่เซิ่งที่ติดตามอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนายยืนเบิกตาค้างไปทันใด เขาไม่เข้าใจเลยว่ารถม้าพระราชทานคันนี้ไปขัดนัยน์ตาท่านอ๋องเช่นไรกันแน่

ตอนนี้เองฉู่เสียก็เอ่ยปาก “คราวนี้เจ้าคงรู้แล้วกระมังว่าต้องไปทำภารกิจอย่างไร”

แรกเริ่มฉู่เซิ่งตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นหัวสมองก็พลันหมุนวนเร็วรี่

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: