X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน เกิดใหม่อีกที ไม่ขอสามีสกุลหลี่ บทที่ 7 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 7

ห้องเก็บของไม่มีผู้ใดมาทำความสะอาดนานแล้ว พอผลักประตูฉลุลายเปิดออกกลิ่นราอับชื้นก็โชยมาปะทะหน้า

ไฉ่เวยพูดขึ้นว่า “คุณหนูไปยืนรอในลานเรือนสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ รอพวกบ่าวเข้าไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศแล้ว ท่านค่อยเข้ามา”

เสิ่นหยวนพยักหน้า ไปยืนรออยู่ในลานเรือนกับฉางหมัวมัว

สิบกว่าวันนี้ฉางหมัวมัวเมาเรือมาตลอด วันนี้หลังกลับมาก็ยังไม่ได้พัก คอยอยู่เป็นเพื่อนนางที่ห้องหนังสือส่วนหน้าของบิดา ยามนี้เสิ่นหยวนเห็นฉางหมัวมัวมีสีหน้าอ่อนเพลียแล้วจึงกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด “ลำบากหมัวมัวแล้ว ตอนนี้ท่านรีบไปพักผ่อนเถอะ”

ฉางหมัวมัวกลับส่ายหน้า “บ่าวไม่เหนื่อย จะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูอีกสักครู่เจ้าค่ะ”

เสิ่นหยวนซึ้งใจ ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “อีกสองสามวันข้าจะให้คนไปที่ดินเพื่อรับบุตรสาวและบุตรเขยท่านมาพบหน้าท่าน ได้ยินว่าท่านยังมีหลานชายอีกคน ปีนี้อายุสิบสองแล้วใช่หรือไม่ ถึงตอนนั้นจะรับมาพบท่านด้วยแล้วกัน”

ฉางหมัวมัวได้ยินเสิ่นหยวนเอ่ยถึงเรื่องนี้ ในใจก็ยินดีขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หลานชายคนนั้นของบ่าวจะว่าไปตอนนี้ก็อายุสิบสองแล้ว แต่บ่าวกลับเคยพบหน้าเขาครั้งเดียวตอนเขาครบหนึ่งขวบ”

“วันหน้าก็ดีแล้ว ทุกคนอยู่ใกล้กัน หากท่านอยากพบพวกเขา ท่านก็บอกข้า ข้าจะให้คนไปส่งท่านทันที” กระนั้นเสิ่นหยวนยังคงมีความเห็นแก่ตัว “หมัวมัว มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องปรึกษากับท่านสักหน่อย”

“คุณหนูกล่าวอะไรเช่นนี้” ฉางหมัวมัวรีบพูด “ท่านมีเรื่องอะไรก็สั่งมาได้เลย บ่าวจะทำตามทุกอย่างเจ้าค่ะ”

เสิ่นหยวนยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้ มองนางพลางพูดช้าๆ “หมัวมัว ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้ามีน้องสาวร่วมอุทรอยู่คนหนึ่ง ทว่าน้องสาวคนนี้ของข้ามีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ฝีมือเย็บปักถักร้อยไม่ดี คนข้างกายนางก็มีทั้งดีชั่วปะปนกัน อาจจะมีผู้ที่เจตนาไม่ดีจงใจสั่งสอนให้นางเสียคน ความต้องการของข้าคืออีกสองสามวันพอเรียนท่านพ่อแล้ว ก็คิดจะให้หมัวมัวไปสอนน้องสาวคนนี้ของข้าเย็บปัก พร้อมกันนั้นก็ให้ท่านคอยดูนางไปด้วย มีท่านอยู่ข้างกายน้องสาวข้า ข้าจะได้วางใจ”

นางคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ฉางโจวแล้ว ถึงได้ไปขอท่านตาให้ฉางหมัวมัวตามนางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

เซวียอี๋เหนียงดูแลเรือนส่วนในของจวนสกุลเสิ่นมาเกือบปี คาดว่าคนจำนวนมากในจวนสกุลเสิ่นนี้ล้วนเชื่อฟังคำสั่งของอีกฝ่ายและจะต้องมีหูตาอยู่จำนวนมากแน่ ขณะที่นางนั้นเพิ่งกลับมา ข้างกายยังต้องการคนที่ไว้ใจได้

ฉางหมัวมัวย่อมไม่มีอะไรให้ไม่เต็มใจต่อเรื่องนี้ มิหนำซ้ำนางยังกล่าวอย่างสะท้อนใจด้วยว่า “ความเหนื่อยยากลำบากใจนี้ของคุณหนู หวังว่าคุณหนูสามจะเข้าใจ”

เสิ่นหยวนยิ้มโดยไม่พูดอะไร ด้วยรู้ว่าเสิ่นเซียงไม่ชอบนางมาแต่ไหนแต่ไร อยากจะเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เสิ่นเซียงมีต่อนางไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น ทว่าอย่างไรก็ต้องลองพยายามดูอย่างสุดความสามารถ

เวลานี้ก็เห็นไฉ่เวยเดินมาแล้วกล่าวว่า “คุณหนู กลิ่นในห้องหายไปหมดแล้ว เชิญท่านเข้าไปได้เจ้าค่ะ”

เสิ่นหยวนจึงเดินเข้าไปในห้องกับฉางหมัวมัว

ในห้องมีโคมจุดอยู่หลายดวง ส่องสว่างไปทุกมุม จึงมองเห็นว่าด้านในมีหีบตั้งอยู่จำนวนมาก ยังมีพวกโต๊ะเก้าอี้และฉากบังลมอยู่อีก ทว่าล้วนแต่มีฝุ่นจับ ดูท่าหนึ่งปีกว่ามานี้คงไม่มีคนมาทำความสะอาดเลย

เสิ่นหยวนให้ชิงเหอและชิงจู๋เปิดหีบและตู้เหล่านั้น ข้างในล้วนแต่เป็นพวกภาพวาดภาพอักษร เครื่องกระเบื้องเคลือบ แพรพรรณ เครื่องหนัง รวมทั้งอัญมณีต่างๆ

นางไม่รู้เลยว่าตนเองจะมีของดีมากเพียงนี้ อีกทั้งคนโลภมากอย่างเซวียอี๋เหนียง ตลอดเวลาที่นางจากไป ฝ่ายนั้นถึงกับไม่เคยหมายตาของเหล่านี้ของนาง?

เสิ่นหยวนยังไม่ไปคิดเรื่องเหล่านี้ เพียงให้ไฉ่เวยหยิบพวกแจกันกระเบื้องสีเรียบและเครื่องทองสำริดหนาหนักจำนวนหนึ่งไปเปลี่ยนกับของตกแต่งที่มีประกายทองระยิบระยับภายในห้อง ก่อนจะให้ชิงเหอและชิงจู๋หยิบม่านหน้าต่างสีหยกจากในตู้ไปเปลี่ยนแทนม่านหน้าต่างสีชมพูดอกท้อในห้องตอนนี้ ส่วนม่านเตียงก็ใช้ม่านไหมสีม่วงอมน้ำเงินอ่อน ดูเรียบสะอาดตา

อีกทั้งให้ชิงเหอไปเรียกหญิงรับใช้สูงวัยกับสาวใช้ใช้แรงงานเข้ามาช่วยกันเปลี่ยนม่าน

ชิงเหอรับคำแล้วเดินออกไป เสิ่นหยวนมองชิงจู๋ปิดประตูห้องเก็บของ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับไฉ่เวย “เมื่อครู่ข้าเห็นว่าแพรพรรณเครื่องหนังวางอยู่ในตู้นานพอดูแล้ว อีกไม่กี่วันนี้ถ้าอากาศดีก็นำออกมาตากแดดเสีย อากาศหนาวแล้ว ข้าอยากทำชุดฤดูหนาวให้ท่านพ่อกับเซียงเอ๋อร์และหงเอ๋อร์ ส่วนข้าวของเหล่านี้ในห้องเก็บของ สองวันนี้เจ้ากับชิงเหอชิงจู๋ต้องลำบากหน่อย ตรวจนับให้ละเอียด ลงบันทึกไว้แล้วนำมาให้ข้าดู”

ไฉ่เวยตอบรับทีละเรื่องเสร็จก็ไปดูบ่าวรับใช้เปลี่ยนม่าน ส่วนเสิ่นหยวนเข้าไปนั่งบนเตียงเตาในห้อง

เพียงชั่วครู่ก็มีสาวใช้มารายงานว่ามีคนนำอาหารเย็นมาส่งแล้ว

หญิงรับใช้สูงวัยที่นำอาหารเย็นมาส่งมีท่าทีเคารพนบนอบยิ่ง เรียกเสิ่นหยวนว่า ‘คุณหนูใหญ่’ ทุกคำ เสิ่นหยวนรู้ว่านี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เสิ่นเฉิงจางสั่งให้ห้องครัวทำอาหารดีๆ ปริมาณมากมาให้นางเป็นพิเศษ บ่าวไพร่ในจวนนี้มีผู้ใดสายตาไม่ดีบ้าง ล้วนรู้ทันทีว่าเสิ่นเฉิงจางมีท่าทีต่อนางเช่นไรจึงย่อมไม่กล้าละเลยนาง

กล่าวกันถึงที่สุด ไม่ว่าเป็นผู้ใดการจะมีชีวิตอยู่ในจวนสกุลเสิ่นนี้ก็ยังต้องดูว่าเสิ่นเฉิงจางมีท่าทีอย่างไรต่อคนผู้นั้น

กระนั้นเสิ่นหยวนยังคงให้ไฉ่เวยนำเงินร้อยเฉียน มอบแก่หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นไปซื้อสุราดื่ม หญิงรับใช้สูงวัยรับเงินเสร็จก็โขกศีรษะให้เสิ่นหยวน ก่อนจะเดินจากไปอย่างยินดีปรีดา

เสิ่นหยวนยิ้มน้อยๆ

ชื่อเสียงในจวนของนางที่ผ่านมาหาได้ดีไม่ แน่นอนว่าย่อมมีสาเหตุจากตัวนางเองด้วย ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าต้องมีคนคอยฉวยโอกาสนี้โจมตีนางอยู่เบื้องหลังเช่นกัน ต่อไปนางต้องระวังตัวให้ดี

แค่เปลี่ยนพวกม่านไม่ต้องใช้เวลานาน พอเปลี่ยนเสร็จทั้งหมดเสิ่นหยวนก็ให้ไฉ่เวยนำเงินมอบให้สาวใช้ใช้แรงงานและหญิงรับใช้สูงวัยคนละสองร้อยสามร้อยเฉียน

จะว่าไปนี่เป็นเพียงบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทว่าแต่ละคนพอรับเงินแล้วกลับมีสีหน้าดีอกดีใจ เอ่ยขอบคุณเสิ่นหยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในใจเสิ่นหยวนคิดว่าในอดีตไม่รู้นางให้ของดีเสิ่นหลันไปตั้งเท่าไร แต่สุดท้ายเสิ่นหลันกลับกลายเป็นหมาป่าเลี้ยงไม่เชื่อง ซ้ำยังมีใจเคียดแค้นนาง สู้ให้ของดีกับคนเหล่านี้ยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ยังรู้จักขอบคุณ

เสิ่นหยวนทางหนึ่งคิดถึงเรื่องโง่เขลาในอดีตของตน ทางหนึ่งก็ค่อยๆ กินข้าว

ในเมื่อเป็นคำสั่งของเสิ่นเฉิงจางคนในครัวย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ของที่ส่งมาล้วนแต่เป็นอาหารอย่างดีปริมาณก็มาก แต่เสิ่นหยวนกลับกินไม่ค่อยลงนัก

นางกินเต้าหู้เมล็ดซิ่งไปสองสามคำ ไข่พิราบตุ๋นสองคำ กินข้าวอีกเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบในมือลงแล้ว

ชิงเหอกับชิงจู๋กินข้าวก่อนนานแล้ว เวลานี้จึงยืนรับใช้อยู่ข้างๆ เห็นเสิ่นหยวนไม่กินต่อ ชิงเหอก็รีบยกชามาให้นางล้างปาก ส่วนชิงจู๋ก็รีบเก็บจานชามบนโต๊ะเล็กออกไป

ชั่วครู่หนึ่งสาวใช้ที่ด้านนอกก็เข้ามารายงานอีก บอกว่า “สวีมามา ต้องการพบคุณหนูเจ้าค่ะ”

เสิ่นหยวนได้ยินก็รีบพูด “รีบให้นางเข้ามา”

สวีมามาเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายมารดา ติดตามมาจากสกุลเฉิน เป็นคนที่จงรักภักดีและมารดาไว้ใจที่สุด

สาวใช้ตอบรับก่อนถอยออกไป ครู่เดียวก็เห็นหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อนอกตัวยาวสีกรมท่าเดินเข้ามา

พอมองเห็นเสิ่นหยวน สวีมามาก็คุกเข่าลง ร้องไห้พลางร้องเรียก “คุณหนู” และพูดอีกว่า “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

ขอบตาเสิ่นหยวนก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน

นางลุกขึ้นจากเตียงเตา ก้มตัวลงประคองสวีมามาลุกขึ้นด้วยตัวเอง น้ำตาไหลออกจากดวงตา “สวีมามา ท่านอย่าทำเช่นนี้ ท่านเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายท่านแม่ นั่นหมายถึงเป็นผู้อาวุโสกว่าข้า ข้ายังต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำที่ทุ่มเทใจดูแลท่านแม่มาโดยตลอด”

“นี่ล้วนเป็นสิ่งที่บ่าวควรทำ คุณหนู ท่านอย่าพูดเช่นนี้ จะทำให้บ่าวอายุสั้นเอานะเจ้าคะ”

เสิ่นหยวนให้ชิงเหอยกม้านั่งกลมมา เชิญให้สวีมามานั่งลง สวีมามาปฏิเสธอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ขัดความต้องการของเสิ่นหยวนไม่ได้ จึงหย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่ง

เสิ่นหยวนนั่งลงบนม้านั่งเช่นกัน ครั้นให้สาวใช้รินชามาให้แล้วก็เอ่ยถามถึงเรื่องยามมารดาล้มป่วยว่าเชิญหมอท่านใดมา กินยาอะไร ต่อมาสิ้นใจได้อย่างไร

สวีมามาตอบอย่างละเอียด “…คุณหนูก็ทราบว่าแต่ไรมาฮูหยินเป็นโรคหอบหืด เป็นมาแต่เกิด นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ พอถึงฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงอาการก็กำเริบได้ง่าย เพียงแต่หลายปีมานี้ได้กินยาของท่านหมอโจว ทั้งยังบำรุงรักษาสุขภาพอย่างเอาใจใส่ และไม่ได้เข้าใกล้สัตว์มีขนอย่างแมวหรือสุนัข โรคหอบหืดนี้ของฮูหยินจึงค่อยๆ ดีขึ้น จนอาการไม่กำเริบสองปีแล้ว ทว่าฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว จู่ๆ โรคนี้ของฮูหยินก็กำเริบ กินยาที่ท่านหมอโจวสั่งแล้วก็ไม่ดีขึ้น ซ้ำยังเป็นหนักขึ้นทุกวัน”

เสิ่นหยวนฟังถึงตรงนี้ก็มุ่นหัวคิ้วแล้วถามว่า “เวลานั้นสวีมามาเคยหาสาเหตุหรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ โรคของท่านแม่ถึงกำเริบ”

สวีมามามองเสิ่นหยวนแวบหนึ่ง เสิ่นหยวนสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงรีบพูดว่า “ท่านแม่รักใคร่เอ็นดูข้าที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรท่านก็รู้ นางป่วยตายแล้ว ข้าย่อมเจ็บปวดปานหัวใจถูกคว้าน หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไร ท่านจงบอกออกมา สวีมามา ท่านไม่เชื่อใจข้าหรือ”

สีหน้าสวีมามาลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายก็ยังคงตอบเสียงเบา “อันที่จริงเรื่องนี้เป็นการคาดเดาของบ่าวเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน คุณหนูแค่ฟังเอาไว้ก่อนนะเจ้าคะ”

“สวีมามา ข้าเข้าใจดี” เสิ่นหยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่หัวใจกลับค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น

หากการตายของมารดามีเงื่อนงำจริง

เสิ่นหยวนพลันจิกฝ่ามือตนเองแน่น

ยามนี้สวีมามาก็ค่อยๆ พูดว่า “เวลานั้นฮูหยินโรคกำเริบกะทันหัน ในใจบ่าวรู้สึกแปลก จึงร่วมมือกับแม่นางหงเวยและแม่นางชุ่ยเวยสาวใช้ข้างกายฮูหยินตรวจดูภายในห้องและลานเรือนอย่างถี่ถ้วน ผลคือพบแมวตัวหนึ่งอยู่ใต้เตียงฮูหยิน ไม่รู้ว่าเดรัจฉานตัวนั้นอยู่ที่ใต้เตียงฮูหยินมานานเท่าไรแล้ว เหมือนว่ามีคนวางของกินไว้ใต้นั้นเป็นประจำ เพื่อทำให้แมวตัวนั้นไม่ไปอยู่ที่อื่น”

หัวใจของเสิ่นหยวนเต้นรัวแรงทันที

โรคหอบหืดของมารดาจะอยู่ใกล้พวกแมวพวกสุนัขไม่ได้ ดังนั้นในเรือนทิงเสวี่ยของมารดาจึงไม่เคยเลี้ยงสัตว์ใดๆ ทั้งยังคอยตรวจตราอย่างเข้มงวดไม่ให้แมวและสุนัขจรจัดเข้าไปด้วย แล้วไฉนจึงมีแมวอยู่ใต้เตียงมารดาได้ ซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่าอยู่มานานเท่าไรแล้ว

หากกล่าวว่าแมวตัวนั้นเดินเข้าไปเอง ไม่มีคนจงใจเอาไปปล่อยไว้ ผู้ใดจะไปเชื่อ

ผู้ที่สามารถนำแมวไปปล่อยไว้ใต้เตียงมารดาได้อย่างเงียบเชียบย่อมต้องเป็นคนในเรือนของมารดา เกรงว่ายังเป็นผู้ที่สามารถเข้าออกห้องได้ตามสบายด้วย

สาวใช้ในเรือนทิงเสวี่ยมีจำนวนมาก แต่สาวใช้ใช้แรงงานทั่วไปไม่อาจเข้าออกห้องนอนของมารดาได้ตามอำเภอใจ คิดแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น…

เสิ่นหยวนจึงถามว่า “บรรดาสาวใช้ที่เมื่อก่อนเคยปรนนิบัติท่านแม่อยู่ที่ใด สวีมามา ท่านเรียกพวกนางมาพบข้าที”

เมื่อได้พบและสอบสวนอย่างละเอียดแล้วก็น่าจะได้เบาะแสบางอย่าง

ทว่าสวีมามาฟังแล้วกลับตอบด้วยท่าทางลำบากใจ “หลังจากฮูหยินสิ้นใจได้ไม่นาน สาวใช้ทั้งหมดในเรือนทิงเสวี่ยก็ถูกเซวียอี๋เหนียงไล่ออกไป หัวหน้าสาวใช้อย่างหงเวยและชุ่ยเวย รวมถึงสาวใช้ระดับรองอย่างอวี้หมิงและอวี้จันล้วนถูกจับแต่งงานไปอยู่ที่ห่างไกล ส่วนสาวใช้ที่เหลือเหล่านั้นก็ล้วนถูกไล่ไปทำงานหนักที่เรือนส่วนหน้า มีเพียงบ่าวที่ยังเฝ้าเรือนทิงเสวี่ยของฮูหยินอยู่คนเดียว อีกทั้งฮูหยินก็ได้มอบหมายให้บ่าวบอกเรื่องบางอย่างต่อคุณหนู ทว่าไม่กี่วันนี้บ่าวได้ยินคนพูดว่าเซวียอี๋เหนียงคิดจะไล่บ่าวไปเช่นกัน โชคดียิ่งที่ท่านกลับมายามนี้ มิเช่นนั้นหากช้ากว่านี้เพียงไม่กี่วัน เกรงว่าบ่าวคงจะไม่ได้พบท่าน และทำงานที่ฮูหยินมอบหมายให้บ่าวไม่สำเร็จแล้ว”

ยามที่เสิ่นหยวนกลับมาจวนสกุลเสิ่นเมื่อชาติก่อนได้เลยช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาไปแล้ว ส่วนสวีมามาก็ถูกเซวียอี๋เหนียงไล่ไปก่อนหน้าที่นางจะกลับมาถึง ดังนั้นพอกลับมาจึงไม่ได้พบสวีมามา เรื่องที่ว่าเหตุใดมารดาอาการกำเริบจึงไม่มีทางได้ล่วงรู้ แต่บัดนี้…

ไฉนพอมารดาตายได้ไม่ทันไร เซวียอี๋เหนียงก็ต้องไล่สาวใช้ทั้งหมดข้างกายมารดาไปด้วย นี่นางเป็นวัวสันหลังหวะหรือมีเรื่องอะไรกันแน่

“ท่านพ่อก็ปล่อยให้เซวียอี๋เหนียงไล่สาวใช้ข้างกายท่านแม่ไปเช่นนี้น่ะหรือ” เสิ่นหยวนจิกฝ่ามือพลางเอ่ยถามช้าๆ

สวีมามามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “หากบ่าวบอกออกมา คุณหนูก็อย่าคิดมากนะเจ้าคะ เวลานั้นฮูหยินล้มป่วยแล้ว พอได้รับจดหมายที่คุณหนูให้คนส่งมาฉบับแล้วฉบับเล่า ฮูหยินอ่านทีไรเป็นได้สงสารท่าน ร้องไห้เป็นครึ่งค่อนวันเสมอ ต่อมาไม่รู้จดหมายพวกนั้นไปตกอยู่ในมือเซวียอี๋เหนียงได้อย่างไร เซวียอี๋เหนียงนำมันไปขอพบนายท่าน คิดว่านางคงไปพูดอะไรเข้า ทำให้นายท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ถือจดหมายมาที่เรือนทิงเสวี่ยอย่างเดือดดาลทันที ตำหนิฮูหยินว่าสั่งสอนลูกได้ดีนัก จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่ถึงสองวันนายท่านก็บอกว่าตอนนี้ฮูหยินกำลังป่วย ไม่มีแรงจะดูแลงานในเรือนส่วนใน จึงให้เซวียอี๋เหนียงดูแลแทน รวมถึงรายรับจากพวกที่ดินและร้านค้าที่เป็นสินเจ้าสาว ฮูหยินได้ยินแล้วก็โมโหจนอาการทรุดหนักทันที ผ่านไปไม่กี่เดือนฮูหยินก็จากไป”

สวีมามาพูดถึงตรงนี้ก็เริ่มน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวงาช้างในมือซับน้ำตา

เสิ่นหยวนเงียบไป ทว่ากลับยิ่งจิกฝ่ามือตนเองแน่นจนเล็บกดลึกเข้ากลางฝ่ามือ

เวลานี้เองสวีมามาก็หยิบสมุดเล่มหนึ่งและจดหมายอีกฉบับออกมาจากในแขนเสื้อ ใช้สองมือยื่นมาให้ “คุณหนู สมุดเล่มนี้คือรายการสินเจ้าสาวในตอนนั้นของฮูหยิน ส่วนจดหมายนี้เป็นฮูหยินสั่งบ่าวก่อนสิ้นใจว่าต้องมอบแก่ท่านให้ได้”

เสิ่นหยวนรับมา ขณะเปิดจดหมายมือก็สั่นเทา

ลายมือของมารดาอ่อนช้อยงดงามเหมือนกับตัวของนางเอง ในจดหมายบอกว่านางรู้ตัวว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังห่วงพวกเสิ่นหยวนสามพี่น้อง ทั้งยังบอกอีกว่าพี่สาวคนโตเปรียบเสมือนมารดา ต้องการให้เสิ่นหยวนดูแลน้องชายและน้องสาวให้ดี จากนั้นก็พูดเรื่องสินเจ้าสาวของนาง บรรดาข้าวของข้างในห้องเก็บของที่ติดตัวนางมาตอนแต่งงาน รวมถึงที่ดินและร้านค้าต่างๆ ล้วนให้เสิ่นหยวนดูแลแทนชั่วคราว รอเสิ่นเซียงและเสิ่นหงโตแล้วค่อยแบ่งให้ทั้งสองเท่าๆ กัน ท้ายจดหมายยังกำชับเสิ่นหยวนด้วยประโยคที่จริงใจ ให้นางปรับปรุงนิสัยที่แล้วมาของนางเสีย ต่อไปมารดาไม่อยู่แล้ว หากนางยังมีนิสัยเช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดคอยส่งเสริมให้ท้าย ไม่อาจเป็นเช่นที่แล้วมาได้อีก

ท่านแม่

เสิ่นหยวนยกจดหมายฉบับนี้แนบกับอกตนเองแน่น ก้มหน้าลงพร้อมน้ำตานองหน้า

สวีมามายังพูดเสียงเบาอยู่ข้างๆ ว่า “ฮูหยินห่วงว่าข้าวของในห้องเก็บของจะถูกคนหมายตา ก่อนสิ้นใจจึงสั่งให้บ่าวเฝ้าไว้ให้ดี รอคุณหนูกลับมาแล้วก็ส่งมอบให้คุณหนูเองกับมือ แม้แต่ข้าวของในเรือนของคุณหนูฮูหยินก็กลัวเช่นกันว่าจะมีผู้อื่นมาขโมยไปยามท่านไม่อยู่ จึงให้คนมาเฝ้าที่นี่ไว้โดยเฉพาะ เพียงแต่บ่าวไร้ประโยชน์นัก พวกที่ดินและร้านค้าในสินเจ้าสาวของฮูหยิน เดิมทีช่วงปลายปีก่อนเซวียอี๋เหนียงก็เข้ามาดูแลพวกรายรับแล้ว ยิ่งหลังฮูหยินจากไปเซวียอี๋เหนียงก็บอกว่าคุณหนูสามยังอายุไม่ถึงสิบสี่ จะดูแลได้อย่างไร ยิ่งไม่มีเหตุผลให้บ่าวมาดูแลแทน และก็ไม่อาจให้สิทธิ์ผู้ดูแลเหล่านั้นดูแลอย่างเต็มที่ได้ ด้วยไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะฉวยโอกาสยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ดังนั้นเซวียอี๋เหนียงจึงอธิบายให้นายท่านฟัง นายท่านก็เลยให้เซวียอี๋เหนียงรับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว บอกว่ารอคุณหนูกับคุณหนูสามออกเรือนและคุณชายรองโตแล้ว ค่อยแบ่งที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นของฮูหยินให้พวกท่านดูแลเอง บ่าวอยู่ในจวนทั้งวันออกไปที่ใดไม่ได้ จึงไม่ทราบว่าที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นของฮูหยินตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว”

เสิ่นหยวนไม่ได้พูดอะไร นางรู้ว่าทางบ้านของเซวียอี๋เหนียงยากจน ในอดีตได้รับความลำบากเรื่องเงินทองไม่น้อย จึงทำให้เซวียอี๋เหนียงเห็นเงินสำคัญที่สุด ให้อีกฝ่ายดูแลที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นในสินเจ้าสาวของมารดาก็ไม่ต่างกับให้แมวเฝ้าปลาย่าง ต้องมีแอบลักกินเองแน่นอน

แต่ถ้ายามนี้ไปบอกบิดาว่าต้องการรับช่วงดูแลที่ดินและร้านค้าในสินเจ้าสาวของมารดาเองโดยไม่ไตร่ตรอง ยังไม่พูดถึงว่าไม่มีเหตุผล เกรงว่าถึงเวลานั้นแค่เซวียอี๋เหนียงยุแยงเข้าหน่อย นางก็คงไม่ได้ตามหวัง ฉะนั้นเรื่องนี้ทำได้เพียงค่อยๆ จัดการไป

ต่อจากนั้นเสิ่นหยวนก็คุยกับสวีมามาอีกครู่ใหญ่ถึงค่อยขึ้นเตียงพักผ่อน

เพียงแต่กลับมาจากฉางโจว เดินทางทางน้ำมาสิบกว่าวัน จู่ๆ มานอนบนเตียงจึงรู้สึกคล้ายว่ายังอยู่บนเรือ คล้ายร่างกายยังส่ายโอนเอนไม่หยุด อีกทั้งเมื่อครู่เพิ่งฟังสวีมามาเล่าเรื่องมากมายของมารดา มีหรือจะยังหลับลง ยามโฉ่วหนึ่งเค่อ ถึงค่อยผล็อยหลับไป

 

วันถัดมาเสิ่นหยวนตื่นเช้ายิ่ง ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นม่านไหมสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนเหนือศีรษะ ครั้นหันหน้าไปสิ่งที่มองเห็นเป็นฉากบังลมโครงไม้ประดู่ติดผ้ามุ้งสีขาวปักลายผีเสื้อและดอกเสาเย่าตั้งอยู่ไม่ไกล

เสิ่นหยวนจำได้ว่าฉากบังลมนี้เป็นมารดาปักให้นางเองกับมือ เวลานั้นมารดายังยิ้มพลางพูดกับนางว่า ‘หยวนหยวนของข้างดงามตรึงใจเหมือนกับดอกเสาเย่า อนาคตจะต้องมีสามีที่ดีแน่นอน’

ถ้อยคำคล้ายยังดังอยู่ในโสต แต่ยามนี้มารดากลับไม่อยู่แล้ว

เสิ่นหยวนนอนเหม่ออยู่บนเตียงได้ครู่หนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยปากเรียกไฉ่เวย

เมื่อคืนไฉ่เวยอยู่เวรจึงนอนในห้องนอนด้านนอก ระหว่างสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงของเสิ่นหยวน จึงรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินอ้อมฉากบังลมมาถามว่า “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”

เสิ่นหยวนตอบรับในลำคอคำหนึ่ง ไฉ่เวยก็ถอยออกไปเปิดประตูเรียกให้ชิงเหอและชิงจู๋ยกน้ำเข้ามาปรนนิบัติเสิ่นหยวนล้างหน้าบ้วนปาก

เมื่อเสิ่นหยวนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ไฉ่เวยก็ถามอีกว่า “คุณหนู วันนี้ท่านจะใส่ชุดอะไรเจ้าคะ”

เสื้อผ้าที่ผ่านมาของเสิ่นหยวนล้วนมีสีสันสดใสฉูดฉาด แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาย่อมไม่อาจสวมใส่ ยามอยู่ที่บ้านท่านตาที่ฉางโจวจึงได้ตัดชุดสีเรียบสะอาดตาไว้หลายชุดแล้ว

เสิ่นหยวนมองเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าแวบหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เสื้อนอกตัวยาวผ่าหน้าที่ทำจากผ้าต่วนซ่อนลายสีขาวงาช้างตัวนั้นกับกระโปรงจีบเล็กสีหยกตัวนั้นแล้วกัน”

ไฉ่เวยรับคำ ก่อนหยิบชุดนั้นออกจากตู้มาใส่ให้เสิ่นหยวนอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทรงผมที่ทำให้ดูเรียบง่าย ส่วนเครื่องประดับที่ใส่ก็ล้วนเป็นเครื่องเงินสีเรียบๆ สะอาดตาเช่นกัน

หลังแต่งตัวเรียบร้อยและสั่งให้ชิงเหอชิงจู๋อยู่เฝ้าเรือนแล้ว เสิ่นหยวนก็พาไฉ่เวยออกไปคารวะบิดา

 

เสิ่นเฉิงจางสวมเสื้อนอกตัวยาวสีน้ำเงินเทา กำลังกินอาหารเช้าอยู่โดยมีเซวียอี๋เหนียงปรนนิบัติ

ครั้นเห็นเสิ่นหยวนเดินมา เสิ่นเฉิงจางก็เอ่ยถามนางอย่างมีเมตตาปรานี “เจ้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เพิ่งจะถึงบ้านเมื่อวานนี้ ไฉนไม่พักให้มากหน่อย ตื่นเช้าเพียงนี้ไปไย”

เสิ่นหยวนตอบยิ้มๆ ด้วยท่าทางนอบน้อม “ลูกไม่ได้มาคารวะท่านพ่อตั้งนานแล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตื่นเช้ามาคารวะท่านให้ได้เจ้าค่ะ”

ที่แล้วมาเสิ่นหยวนรำคาญจะฟังเสิ่นเฉิงจางบ่นว่านางไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ทุกวัน ปกติสิบวันครึ่งเดือนถึงค่อยมาคารวะเสิ่นเฉิงจางสักหน ซ้ำยังต้องให้มารดาคะยั้นคะยอถึงจะยอมมาด้วย ยามนี้กลับเป็นฝ่ายมาคารวะเองแต่เช้า เสิ่นเฉิงจางเห็นแล้วก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจ เขาจึงถามเสิ่นหยวนว่า “กินอาหารเช้ามาหรือยัง”

เสิ่นหยวนยิ้มพลางส่ายหน้า “ลูกทราบว่าอีกประเดี๋ยวท่านพ่อยังต้องไปประชุมราชการเช้า ลูกตื่นแล้วก็รีบมาคารวะเลย จึงยังไม่ทันได้กินเจ้าค่ะ”

“ในเมื่อยังไม่ได้กิน เช่นนั้นก็มานั่งกินด้วยกันกับข้า” เสิ่นเฉิงจางพูดพลางทอดถอนใจอีกว่า “จะว่าไปพวกเราสองพ่อลูกก็ไม่ได้นั่งกินอาหารเช้าด้วยกันนานมากแล้ว”

เสิ่นหยวนยิ้มรับ เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเสิ่นเฉิงจาง

เซวียอี๋เหนียงที่ยืนฟังเสิ่นเฉิงจางกับเสิ่นหยวนคุยกันอยู่ข้างๆ ให้รู้สึกตระหนกตกใจ

เมื่อคืนขณะเสิ่นหยวนกับเสิ่นเฉิงจางคุยกันอยู่ในห้องไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ดังนั้นเซวียอี๋เหนียงจึงรู้แค่ว่าสองพ่อลูกคืนดีกันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสิ่นเฉิงจางถึงกับเมตตาปรานีต่อเสิ่นหยวนปานนี้

ดูแล้วช่างเป็นภาพพ่อลูกผูกพันที่ชวนประทับใจนัก

ในใจเซวียอี๋เหนียงกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเบื้องหน้ากลับยังคงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่อยู่ที่ฉางโจวมาหนึ่งปีกว่า แม้นายท่านจะไม่พูด แต่ผู้น้อยก็รู้ว่าในใจนายท่านระลึกถึงคุณหนูใหญ่”

รับชามและตะเกียบจากสาวใช้ด้านข้างมาวางลงตรงหน้าเสิ่นหยวนด้วยตนเอง

เซวียอี๋เหนียงเป็นอนุ เสิ่นหยวนเป็นบุตรสาวสายตรง ฐานะยังคงต่างกัน ฉะนั้นเสิ่นหยวนสามารถนั่งกินข้าวข้างเสิ่นเฉิงจางได้ แต่เซวียอี๋เหนียงกลับทำได้เพียงยืนรับใช้อยู่ข้างๆ

ทว่าเซวียอี๋เหนียงจะอย่างไรก็เป็นคนรักในใจบิดา ยังคงต้องแสร้งทำดีด้วยไว้ก่อน เสิ่นหยวนจึงพยักหน้าน้อยๆ ให้อีกฝ่าย “รบกวนอี๋เหนียงแล้ว”

“คุณหนูใหญ่เกรงใจแล้ว” เซวียอี๋เหนียงยิ้มพลางตอบกลับ แต่ในใจตระหนกยิ่ง

เสิ่นหยวนสุภาพรู้มารยาทเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ดูกิริยาวาจาเรียบร้อยเหมาะสมอย่างที่คุณหนูตระกูลใหญ่สมควรเป็น ทั้งๆ ที่ในอดีตนางมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองออกปานนั้น

เสิ่นเฉิงจางเห็นเสิ่นหยวนสุภาพรู้มารยาทเช่นนี้ ในใจเขาก็ยินดี

สองพ่อลูกกินอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ เซวียอี๋เหนียงก็รับชุดขุนนางสีแดงเข้มมาจากมือสาวใช้ สวมให้เสิ่นเฉิงจางด้วยตนเอง

เสิ่นเฉิงจางทางหนึ่งกางสองแขนออกให้เซวียอี๋เหนียงสวมชุดขุนนางให้เขา อีกทางก็กล่าวกับเสิ่นหยวน “เจ้าไม่อยู่บ้านมาปีกว่าย่อมห่างเหินกับพี่น้องในบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ บัดนี้เจ้ากลับมาแล้วก็ควรไปมาหาสู่กับพวกเขาให้มาก”

เสิ่นหยวนยืนอยู่ข้างๆ หลุบตารับคำอย่างเชื่อฟัง

เวลานี้เองเซวียอี๋เหนียงก็พูดยิ้มๆ มาจากด้านข้าง “พอรู้ว่าคุณหนูใหญ่กลับมาเมื่อวาน ข้าก็พาคุณหนูคุณชายทุกคนไปต้อนรับคุณหนูใหญ่ที่ประตูรองแต่เช้า คนอื่นนั้นช่างเถอะ แต่หลันเจี่ยนั้นหนึ่งปีกว่ามานี้พูดถึงคุณหนูใหญ่ทีไรเป็นต้องร้องไห้ทุกที บอกว่าคิดถึงพี่หญิงใหญ่ที่สุด มีหลายครั้งที่บอกจะมาขอให้ท่านรับคุณหนูใหญ่กลับมา เห็นหรือไม่ เมื่อวานพอหลันเจี่ยเห็นคุณหนูใหญ่ก็ตื่นเต้นจนร้องไห้ออกมาทันที จับมือคุณหนูใหญ่พลางเรียกพี่หญิงใหญ่ไม่ขาดปาก”

เสิ่นเฉิงจางฟังแล้วก็พยักหน้า ใบหน้าก็มีรอยยิ้มเช่นกัน “พวกนางพี่น้องรักใคร่ผูกพันกัน ข้าที่เป็นบิดาดูอยู่ข้างๆ ก็ยินดีไปด้วย”

เสิ่นหยวนใบหน้ามีรอยยิ้มโดยตลอด ทว่าในใจกลับกำลังหัวเราะเสียงเย็น

ฝีมือโกหกตาใสของเซวียอี๋เหนียงนี้ วันนี้นับว่าข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว

เสิ่นหยวนเอ่ยปากพูดเสียงนุ่ม “แม้หนึ่งปีกว่ามานี้ข้าจะอยู่ที่บ้านท่านตา แต่ในใจก็คิดถึงท่านพ่อ อี๋เหนียง และพี่น้องทุกคนเป็นที่สุด” ยิ้มพลางกล่าวอีกว่า “ข้ากลับมาคราวนี้ยังนำของฝากจากฉางโจวกลับมาด้วย แม้จะไม่มีค่ามากมายอะไร แต่ก็เป็นน้ำใจของข้า ประเดี๋ยวจะส่งไปให้อี๋เหนียงกับเหล่าพี่น้อง ขออี๋เหนียงอย่ารังเกียจเลย”

เซวียอี๋เหนียงรีบยิ้มเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวอะไรเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณไว้ตรงนี้แล้ว”

เสิ่นเฉิงจางเห็นพวกนางปรองดองกันเช่นนี้ ในใจย่อมจะยินดี

เวลานี้เองเซวียอี๋เหนียงก็หยิบเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่เสิ่นเฉิงจางสวมประจำมา ทำท่าจะคลุมให้เขา แต่กลับถูกเสิ่นเฉิงจางยกมือห้าม “วันนี้ข้าไม่สวมเสื้อคลุมตัวนี้” ก่อนจะสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปเอาเสื้อคลุมสีครามเข้มที่คุณหนูใหญ่ให้ข้าเมื่อคืนมา”

เซวียอี๋เหนียงมีสีหน้าอึ้งงันไป

บทที่ 8

เซวียอี๋เหนียงมองดูสาวใช้ประคองเสื้อคลุมสีครามเข้มตัวนั้นมาให้แล้วก็พูดยิ้มๆ “นี่เป็นของที่คุณหนูใหญ่ทำให้นายท่านเองกับมือ? ลายปักกระเรียนและต้นสนบนนี้ทำได้ดีโดยแท้ ราวกับมีชีวิตจริงๆ”

กระนั้นรอยยิ้มบนหน้ากลับดูฝืดฝืนอยู่บ้าง มือที่ถือเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนก็กำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว

เสิ่นหยวนที่อยู่ด้านข้างมองดูอากัปกิริยาทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ เพียงไม่นานนางก็เบือนหน้าหนี สายตามองดูต้นไทรแคระกระถางหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะสูงด้านข้าง

เสิ่นเฉิงจางทางหนึ่งให้สาวใช้คลุมเสื้อคลุมสีครามเข้มตัวนั้นให้เขา อีกทางก็กล่าวกับเซวียอี๋เหนียง “เจ้าเห็นแล้วใช่ประหลาดใจมากเช่นกันหรือไม่ เวลาสั้นๆ เพียงปีเดียว ฝีมือเย็บปักของหยวนเจี่ยถึงกับดีปานนี้แล้ว ตอนแรกที่เห็นข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน”

เซวียอี๋เหนียงปรับอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแย้มยิ้มนุ่มนวลพูดว่า “คุณหนูใหญ่งดงามหลักแหลม หากตัดสินใจเรียนจริงๆ ย่อมจะเรียนได้ไว” ชะงักเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงอาดูร “หากฮูหยินในยมโลกล่วงรู้ว่ายามนี้ฝีมือเย็บปักของคุณหนูใหญ่ดีปานนี้ ในใจนางจะต้องปลาบปลื้มมากเป็นแน่ ไม่เสียแรงที่ในอดีตฮูหยินสิ้นเปลืองแรงใจไปกับคุณหนูใหญ่มากถึงเพียงนั้น”

เสิ่นหยวนยิ้มเย็นในใจ นี่เซวียอี๋เหนียงคิดจะหยิบเรื่องในอดีตระหว่างข้ากับหลี่ซิวหยวนมาพูดอีกแล้ว? จะได้ทำให้บิดารู้สึกไม่พอใจต่อข้า

พึงรู้ว่าจากคำพูดของเซวียอี๋เหนียง สาเหตุที่มารดาสิ้นใจก็เป็นเพราะถูกเรื่องของนางกับหลี่ซิวหยวนทำให้โมโหตาย

และก็เป็นไปตามคาด พอเสิ่นเฉิงจางได้ยินเซวียอี๋เหนียงพูดถึงมารดานาง รอยยิ้มบนหน้าก็เลือนหายไปทันที

เวลานี้เสิ่นหยวนจึงทำท่าทางเศร้าเสียใจออกมา ก่อนพูดเหมือนจะร้องไห้ “เป็นเพราะที่แล้วมาลูกไม่ควบคุมความประพฤติของตนเอง ถึงได้ทำให้ท่านแม่ต้องสิ้นเปลืองสมองไปกับลูกมากเพียงนั้น ตลอดหนึ่งปีกว่าที่อยู่บ้านท่านตาที่ฉางโจว ลูกคัดพระสูตรขอพรให้ท่านแม่ทุกวัน บัดนี้กลับมาแล้ว ลูกจำได้ว่าในห้องพระของท่านแม่มีพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวสูงราวหนึ่งฉื่อ อยู่องค์หนึ่ง ลูกคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะไปห้องพระ อัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอินองค์นั้นไปไว้ในห้องนอนของลูก จุดธูปสามดอกเช้าเย็น อธิษฐานขอพรให้ท่านแม่ หวังว่าท่านพ่อจะเห็นด้วย”

ครั้นนางเอ่ยถึงพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้น ใบหน้าของเซวียอี๋เหนียงก็เปลี่ยนสีน้อยๆ

พระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้นทำจากหยกมันแพะ เกลี้ยงเกลา แวววาว ขาวสะอาดตลอดทั้งองค์ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดในสินเจ้าสาวของมารดาเสิ่นหยวน เซวียอี๋เหนียงถูกใจมานานแล้ว หลังมารดาเสิ่นหยวนจากไปได้ไม่นาน นางก็เปรยต่อหน้าเสิ่นเฉิงจางว่าอยากสวดมนต์ขอพรให้ฮูหยินทุกเช้าเย็น จึงอยากอัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้นไปไว้ในเรือนของตนเอง

เสิ่นเฉิงจางรู้สึกว่าเซวียอี๋เหนียงคิดถึงฮูหยินเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องดีจึงตกปากอนุญาตทันที ทว่าตอนนี้เสิ่นหยวนกลับเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา…

จะอย่างไรก็เป็นสินเจ้าสาวของมารดาเสิ่นหยวน ทั้งยังล้ำค่าเพียงนั้น บัดนี้มาคิดดู ตอนนั้นยกให้เซวียอี๋เหนียงง่ายๆ เช่นนั้นก็น่าละอายอยู่บ้าง

เสิ่นเฉิงจางจึงพูดด้วยท่าทางลำบากใจ “พระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้นของมารดาเจ้า ก่อนหน้านี้อี๋เหนียงของเจ้าบอกว่าต้องการสวดมนต์ขอพรให้มารดาเจ้าเช้าเย็น ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องดีต่อมารดาเจ้า จึงให้นางอัญเชิญกลับไปตั้งที่เรือน หากเจ้าอยากอัญเชิญพระมาไว้กราบไหว้เช้าเย็น เช่นนั้นวันหลังก็ไปอัญเชิญจากวัดกลับมาสักองค์สิ พระของวัดเฉิงเอินนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว ข้าจะให้ผู้อารักขาคุ้มกันเจ้าไปส่ง”

เสิ่นหยวนยิ้มเย็นในใจ

เรื่องที่พระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้นของมารดาถูกเซวียอี๋เหนียงขอไป สวีมามาเล่าให้นางฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้นางเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เดิมก็ไม่ได้คิดจะขอกลับมาจริงๆ

ถึงพระโพธิสัตว์ล้ำค่าเพียงไร แต่จะเทียบกับคนได้หรือ นางต้องการคนต่างหาก

ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงกล่าวเสียงนุ่ม “เจตนาดีที่อี๋เหนียงมีต่อท่านแม่นี้ช่างหาได้ยาก ในใจข้าซาบซึ้งโดยแท้”

เซวียอี๋เหนียงเองก็ทำสีหน้าลำบากใจ “คุณหนูใหญ่เกรงใจแล้ว ตอนที่ฮูหยินยังอยู่ปฏิบัติต่อข้าดีเพียงนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ” ทว่ากลับแอบกัดฟันกรอด

เสิ่นหยวนพูดเช่นนี้ชัดเจนว่ากำลังเหน็บแนมนาง โทสะอ่อนๆ นี้ทำเอานางรู้สึกแน่นหน้าอกจริงๆ

เสิ่นหยวนยังคงยิ้มให้เซวียอี๋เหนียง จากนั้นก็มองไปทางเสิ่นเฉิงจาง “เอ่ยถึงท่านแม่ ลูกกลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ข้างกายท่านแม่มีสวีมามาอยู่คนหนึ่ง ท่านพ่อคงทราบกระมัง สวีมามาผู้นี้เป็นคนทำอะไรสุขุมรอบคอบ ทำงานก็มีระเบียบแบบแผน ที่ผ่านมาได้รับความสำคัญจากท่านแม่อย่างที่สุด ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ปกติที่ข้างกายลูกก็ไม่มีผู้ใหญ่มีประสบการณ์คอยสั่งสอน ใจลูกจึงอยากให้สวีมามาผู้นี้มาเป็นมามาผู้ดูแลในเรือนของลูกต่อจากนี้ งานดูแลบ่าวไพร่ในเรือนลูกเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญที่สุดคือลูกอยากให้นางคอยช่วยชี้แนะให้มาก ท่านพ่อคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ”

เมื่อครู่ขณะเสิ่นหยวนเอ่ยถึงเรื่องพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาว ในใจเสิ่นเฉิงจางก็รู้สึกละอายอยู่บ้างแล้ว ของล้ำค่าของมารดาเสิ่นหยวนเขากลับยกให้เซวียอี๋เหนียงง่ายๆ เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้พอเสิ่นหยวนเอ่ยถึงสวีมามาขึ้นมาเขาจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

“เรื่องนี้ย่อมดี สวีมามาเป็นคนสุขุมคนหนึ่ง” เสิ่นเฉิงจางกล่าวอีกว่า “ต่อไปก็ให้นางอยู่รับใช้ที่เรือนเจ้าแล้วกัน มีนางคอยดูแลเจ้า ข้าก็วางใจ”

เสิ่นหยวนยิ้มพลางเอ่ยรับคำ แต่เซวียอี๋เหนียงกลับสองแก้มเกร็ง

สินเจ้าสาวของฮูหยินล้วนอยู่ในห้องเก็บของของเรือนใหญ่ นางหมายตาของหลายชิ้นอยู่นานแล้วจึงได้ไล่สาวใช้ทั้งหมดของเรือนทิงเสวี่ยไป ทว่าสวีมามากลับเป็นกระดูกที่แทะยาก

สวีมามาติดตามฮูหยินมาหลายปี นับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนสกุลเสิ่นแล้ว เสิ่นเฉิงจางเองก็รู้ว่าไม่อาจแตะต้องสวีมามาตามอำเภอใจ จำต้องหาข้ออ้างที่ดีที่สุดให้ได้ ดังนั้นหลายวันมานี้เซวียอี๋เหนียงจึงกำลังใคร่ครวญว่าจะหาจังหวะที่เสิ่นเฉิงจางอารมณ์ดีพูดกับเขาว่าสวีมามาปรนนิบัติฮูหยินมาหลายปี อายุมากแล้ว ควรต้องเลือกที่ดินดีๆ สักที่ ส่งตัวนางไปใช้ชีวิตบั้นปลาย

รอสวีมามาจากไปแล้ว บรรดาของในห้องเก็บของของฮูหยินก็จะไม่มีผู้ใดเฝ้าอีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเสิ่นหยวนถึงกับเอ่ยปากขอตัวสวีมามาในตอนนี้

เซวียอี๋เหนียงจึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “สวีมามาผู้นี้ย่อมเป็นคนสุขุมรอบคอบ เพียงแต่นางอายุมากแล้ว ทั้งยังปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินมาหลายปี ไม่มีความดีก็มีความชอบ ผู้น้อยกำลังคิดอยู่ว่าจะหาโอกาสคุยกับนายท่านเสียหน่อยว่าให้เลือกสถานที่ดีๆ จากในที่ดินของสกุลเสิ่นเราแล้วส่งตัวนางไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ถือว่าตอบแทนที่นางเคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยิน แม้คุณหนูใหญ่ต้องการรั้งตัวนางไว้ แต่สวีมามาก็อายุมากแล้ว ถ้าให้นางปรนนิบัติรับใช้คุณหนูใหญ่อีก ผู้น้อยเกรงว่า…”

“อี๋เหนียงคิดมากไปแล้ว” เสิ่นหยวนแย้มยิ้มอ่อนหวาน เอ่ยตัดบทนาง “แม้ข้าจะต้องการให้สวีมามาเป็นผู้ดูแลในเรือนข้า แต่มีหรือจะยังให้นางลงมือทำอะไรด้วยตนเอง เพียงคิดจะให้นางคอยชี้แนะเวลาบ่าวไพร่คนใดทำอะไรผิดเท่านั้นเอง”

ก่อนหันไปพูดกับเสิ่นเฉิงจางอีกว่า “ลูกอกตัญญู ยามท่านแม่จากไป ลูกไม่สามารถอยู่ข้างกายท่านแม่ได้ สวีมามาเป็นผู้ที่รับใช้ข้างกายท่านแม่มานานที่สุด ยามเห็นนางลูกก็เหมือนได้เห็นท่านแม่ นับว่าทำให้ลูกคลายความคิดถึงท่านแม่ได้เล็กน้อย”

ยามมารดาเสิ่นหยวนสิ้นใจ เดิมทีบุตรสาวอย่างนางก็ต้องการกลับมางานศพ แต่เวลานั้นเสิ่นเฉิงจางฟังเซวียอี๋เหนียงพูดจนคิดว่ามารดาเสิ่นหยวนถูกนางทำให้โมโหตาย ไหนเลยจะยังอยากเห็นลูกเนรคุณผู้นี้อีก จึงไม่ให้นางกลับมางานศพมารดา ยามเขาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาในใจก็ยังรู้สึกผิด อีกทั้งตอนนี้เสิ่นหยวนก็พูดเสียน่าเวทนาปานนี้…

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉิงจางจึงกล่าวทันที “ต่อจากนี้ให้สวีมามารับหน้าที่เป็นมามาผู้ดูแลที่เรือนซู่อวี้ เรื่องนี้เอาตามนี้ วันหลังไม่ต้องพูดอีก”

เซวียอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าในอกพลันมีลมกลุ่มหนึ่งตีขึ้นมา ทั้งร่างอ่อนยวบ

ที่แล้วมาเสิ่นเฉิงจางล้วนเชื่อฟังทำตามคำนางมาตลอด ไม่เคยมียามใดที่ปฏิเสธเด็ดขาดเช่นนี้ ทั้งยังเป็นต่อหน้าเสิ่นหยวน…

จากนั้นเสิ่นเฉิงจางก็หมุนตัวก้าวเท้าเดินออกข้างนอกเพื่อรีบไปทำงาน เสิ่นหยวนยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางนอบน้อม มองส่งเขาจากไป

ครั้นเงาเสิ่นเฉิงจางหายลับไปจากประตูเรือน เสิ่นหยวนก็เอ่ยปากขอตัวกับเซวียอี๋เหนียง ทำท่าจะพาไฉ่เวยจากไป

บิดาไม่อยู่ นางก็คร้านจะเสแสร้งนอบน้อมกับเซวียอี๋เหนียงอีก ทุกคนอยู่ร่วมกันเฉยๆ ได้ก็พอแล้ว

เซวียอี๋เหนียงกลับกวาดตามองเสิ่นหยวนอย่างละเอียด พลันยิ้มออกมา “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูใหญ่ถึงกับพูดได้ปราดเปรื่องเพียงนี้”

เป็นเพราะการพูดอันปราดเปรื่องและการเสแสร้งทำตัวอ่อนแอน่าสงสารนี่กระมัง บ่ายเมื่อวานตอนนางเพิ่งกลับมา นายท่านยังโมโหจนแทบไม่อยากมีบุตรสาวอย่างนางอยู่ชัดๆ แต่ตอนนี้พอเห็นนางกลับมีท่าทางเมตตาถึงเพียงนั้น ที่สำคัญที่สุดคือนางพูดแค่ไม่กี่คำก็ถึงกับบงการความคิดของนายท่านได้ แม้แต่ข้าก็ยังเทียบไม่ติด

คิดถึงตรงนี้เซวียอี๋เหนียงก็รู้สึกว่าในใจเย็นวาบน้อยๆ

“คนเราย่อมจะค่อยๆ เติบใหญ่รู้ความ” สีหน้าเสิ่นหยวนราบเรียบ “พอเติบใหญ่รู้ความแล้วย่อมจะรู้จักแยกแยะดีชั่ว แยกแยะว่าซื่อสัตย์หรือคิดคดได้เอง”

เซวียอี๋เหนียงสีหน้าชะงักค้าง ทว่าเวลานี้เสิ่นหยวนพาไฉ่เวยหมุนตัวเดินออกประตูไปแล้ว

เวลานี้เป็นต้นฤดูหนาว แม้ใบของต้นไม้ในสวนจะร่วงไม่หมด แต่ที่สายตามองเห็นก็เป็นทัศนียภาพวิเวกวังเวงเสียส่วนใหญ่

ยังดีที่วันนี้แดดออกมาก สาดส่องลงมาประหนึ่งผงทองเป็นประกายระยิบระยับ

ยามเสิ่นหยวนกับไฉ่เวยกลับถึงเรือนซู่อวี้ก็เห็นประตูห้องเก็บของเปิดกว้างอยู่ ชิงจู๋กำลังนำคนตรวจนับสิ่งของข้างใน โดยจดบันทึกไว้ในสมุดทุกรายการ ส่วนชิงเหอก็กำลังสั่งให้บ่าวไพร่ขนหนังสัตว์แพรพรรณที่ด้านข้างออกมาตากในสวนตรงจุดที่มีแดดเพื่อไล่กลิ่นอับ ทั่วทั้งลานเรือนมีแต่ผ้าสารพัดสี ทำให้รู้สึกว่าโลกมนุษย์ดูครึกครื้นขึ้นมาทันใด

มองเห็นเสิ่นหยวนกลับมาแล้ว ชิงเหอก็รีบเดินมาคารวะนาง เอ่ยทักว่า “คุณหนู” จากนั้นชิงจู๋ก็วางสมุดและพู่กันในมือลงแล้วเดินมาคารวะและกล่าวทักเช่นกัน

ชิงเหอหลักแหลมร่าเริง ชิงจู๋สุขุมรอบคอบ ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองล้วนจงรักภักดีต่อเสิ่นหยวนอย่างที่สุด

เสิ่นหยวนยิ้มพลางกล่าวกับพวกนางสองคน “พวกเจ้าไปทำงานในมือต่อเถอะ”

ชิงเหอกับชิงจู๋รับคำแล้วรีบไปทำงานของตนทันที ส่วนเสิ่นหยวนก็พาไฉ่เวยกลับเข้าห้อง

เสิ่นหยวนมีเรื่องต้องทำอีกมาก…

โดยต้องให้คนไปยื่นป้ายประจำตัวที่วัง เมื่อต้นปีท่านป้าให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ท่านตา บอกว่าคิดถึงพวกบะหมี่อิ๋นซือ และชาเชวี่ยเสอของบ้านเกิด ครั้นได้รู้ว่าเสิ่นหยวนอยู่ที่ฉางโจวก็กำชับให้นำของจากทางบ้านเกิดกลับเมืองหลวงด้วย ยามมาถึงก็ให้ยื่นป้ายประจำตัวต่อวังหลวงเพื่อพบนาง

อีกเรื่องคือตอนนี้สวีมามาได้เป็นมามาผู้ดูแลที่เรือนซู่อวี้ของนางแล้ว สินเจ้าสาวของมารดาที่วางไว้ในห้องเก็บของเรือนทิงเสวี่ยจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดเฝ้าแล้ว เช่นนี้ใช้ได้หรือ จะต้องขนมาไว้ในห้องเก็บของที่เรือนซู่อวี้ของนางทั้งหมด เช่นนี้ถึงจะทำให้เซวียอี๋เหนียงที่หมายตาในสิ่งของเหล่านี้ของมารดาไม่อาจลงมือได้สะดวก

แล้วไหนจะเรื่องของฝากที่นำกลับมาอีก ต้องนำมาจัดแบ่งให้กับคนในจวน

สาวใช้ยกชาซงหลัวมาให้ เสิ่นหยวนยังไม่ดื่ม กลับสั่งไฉ่เวยว่า “เจ้าพาสาวใช้สองคนนำของฝากที่พวกเรานำกลับมาจากฉางโจวไปให้เซวียอี๋เหนียง คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง และคุณหนูสี่ตามลำดับนี้ แล้วก็ส่งไปให้อี๋เหนียงคนอื่นด้วย”

ตอนที่กลับมาได้แยกของฝากที่จะให้แต่ละคนไว้คนละห่อแล้ว ตอนนี้แค่นำไปส่งเป็นใช้ได้ ส่วนของเสิ่นเซียงกับเสิ่นหงนั้น เสิ่นหยวนต้องการนำไปให้ด้วยตนเอง

ในจดหมายที่มารดาทิ้งไว้ให้นางก่อนสิ้นใจต้องการให้นางดูแลน้องทั้งสองของตนให้ดี นางย่อมจะฟังคำมารดา เพียงแต่ที่แล้วมาเสิ่นเซียงและเสิ่นหงล้วนไม่สนิทสนมกับนาง ตอนนี้จึงต้องค่อยๆ เริ่มเข้าหาพวกเขา

ไฉ่เวยรับคำพลางหาบรรดาของฝากที่แยกเป็นห่อเรียบร้อยแล้วออกมาจากในหีบที่นำกลับมาจากฉางโจว ก่อนสั่งสาวใช้สองคนมาถือแล้วออกไปส่งให้แต่ละคน

อากาศดี ม่านลายดอกตรงประตูจึงถูกรวบขึ้น ชิงเหอเดินเข้ามา ยิ้มกล่าวกับเสิ่นหยวน “วันนี้แดดดี คิดว่าแพรพรรณหนังสัตว์เหล่านั้นน่าจะตากได้หมดในวันเดียวเจ้าค่ะ”

วันนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้น ชิงเหอก็สั่งให้คนเปิดห้องเก็บของ นำผ้าเหล่านั้นออกมาตากแดด ตอนนี้ก็ทำเสร็จพอดี

เสิ่นหยวนให้ชิงเหอตามนางไปส่งของฝากให้เสิ่นเซียงและเสิ่นหงด้วยกัน

เสิ่นเซียงเป็นพวกคิดมาก ที่แล้วมารู้สึกว่ามารดาลำเอียงชอบเสิ่นหยวนและเสิ่นหงที่สุด แต่ไม่ชอบนางโดยสิ้นเชิง ถึงมีของดีอะไรก็จะให้เสิ่นหยวนกับเสิ่นหงก่อน ที่เหลือถึงให้นาง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสิ่นเซียงคิดมาก เสิ่นหยวนจึงไปหาเสิ่นเซียงก่อน

เสิ่นเซียงพักที่เรือนลวี่ฉี่ ฝูหรง ต้นหนึ่งในลานเรือนกำลังบานพอดี ดอกสีชมพูประดับเต็มกิ่ง ดูสวยงามและบอบบาง

สาวใช้ที่หน้าประตูเข้าไปรายงาน เพียงครู่เดียวก็ออกมาเปิดม่านเชิญเสิ่นหยวนเข้าไป

เสิ่นหยวนก้มศีรษะน้อยๆ ยกเท้าก้าวเข้าห้อง

เสิ่นเซียงกำลังนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่บนเตียงเตาไม้ใกล้หน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ครั้นมองเห็นเสิ่นหยวนเข้ามา นางก็ไม่ได้มีท่าทีจะลุกขึ้นต้อนรับ เพียงเปิดเปลือกตาเล็กน้อยมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งเป็นอันเสร็จเรื่อง

กระทั่งวางท่าวางทางให้ดีๆ ยังคร้านจะทำ

ฝีเท้าเสิ่นหยวนชะงักไป แต่เพียงไม่นานใบหน้านางก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เมื่อวานพี่ได้ยินเซวียอี๋เหนียงบอกว่าเจ้าไม่สบาย เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่”

พูดพลางนั่งลงตรงขอบเตียงเตาโดยมีโต๊ะเล็กบนเตียงคั่นกลาง

หน้าตาของเสิ่นเซียงยังคงเกียจคร้านเช่นเดิม “ดีขึ้นแล้ว” น้ำเสียงติดรำคาญอยู่บ้าง

เสิ่นหยวนพินิจมองเสิ่นเซียง

ที่สุดแล้วก็เป็นพี่น้องร่วมอุทรมารดาเดียวกัน รูปโฉมหน้าตาย่อมคล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย ทว่าสีผิวของเสิ่นเซียงออกจะคล้ำกว่า มิได้ขาวผ่องเป็นยองใยเหมือนนาง

เสิ่นเซียงเองก็คิดเรื่องสีผิวนี้ จึงเริ่มทาแป้งสารพัดชนิดลงบนใบหน้าและตัวตั้งแต่สองสามปีก่อนด้วยอยากให้ผิวขาวขึ้น

ไม่ได้พบกันหนึ่งปีกว่า ดวงหน้าของเสิ่นเซียงนั้นงามเฉิดฉายขึ้นแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี” เสิ่นหยวนเก็บสายตากลับมา ก่อนยิ้มกล่าวว่า “พี่กลับจากฉางโจวคราวนี้ได้นำของมาฝากเจ้าด้วย”

นางกวักมือเรียกให้ชิงเหอเดินมาเปิดกล่องหุ้มแพรที่ถืออยู่ในมือออก

มีหวีทองสลักลายผีเสื้อเชยบุปผาเล่มหนึ่ง สบู่หอมสองก้อน แป้งดอกมะลิหนึ่งตลับ และแป้งดอกปิ่นหยกอีกหนึ่งตลับ

เสิ่นหยวนยิ้มพลางพูดอยู่ข้างๆ “หวีของฉางโจวโด่งดังที่สุดในใต้หล้า ไปถึงฉางโจว ไหนเลยจะไม่ซื้อหวีกลับมา สบู่หอมสองก้อนนี้ล้วนมาจากอำเภอลิ่วเหอ คุณภาพดียิ่งเช่นกัน แป้งดอกมะลิตลับนี้และแป้งดอกปิ่นหยกตลับนี้ก็มิใช่ของที่ซื้อได้ในร้านรวงทั่วไป ล้วนมีเนื้อสัมผัสยอดเยี่ยม เซียงเอ๋อร์ ของเหล่านี้เจ้าชอบหรือไม่”

นางรู้ความชอบของเสิ่นเซียง จึงได้เลือกของเหล่านี้มาตามความชอบของอีกฝ่าย

เสิ่นเซียงเห็นของแล้วก็เผยสีหน้าดีใจออกมาตามคาด ทว่าปากกลับพูดอย่างเดียดฉันท์ “ก็ธรรมดาๆ”

เสิ่นหยวนยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร

ความกินแหนงแคลงใจระหว่างพวกนางพี่น้องย่อมมิใช่ให้ของเล็กน้อยก็จะขจัดไปได้ทันที ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

เวลานี้ก็เห็นที่ด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งยื่นมือมาหยิบตลับแป้งดอกมะลิขึ้นดูพลางพูดยิ้มๆ กับเสิ่นหยวน “คุณหนูใหญ่ผิวพรรณดี คิดว่าคงไม่เคยต้องทาแป้งเหล่านี้กระมังเจ้าคะ”

เสิ่นหยวนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองคนพูด

อายุราวสี่สิบ สวมเสื้อนอกตัวยาวสีเหลืองดอกสน กระโปรงสีชมพูดอกท้อ ผ้าล้วนเป็นผ้าไหม บนศีรษะยังปักปิ่นยอดทองไว้อันหนึ่ง การแต่งกายดีกว่าบ่าวทั่วไปมาก

เสิ่นหยวนรู้ว่าอีกฝ่ายคือแม่นมของเสิ่นเซียง…แซ่เฝิง

แต่ไรมานางไม่ชอบเฝิงมามาผู้นี้เอาเสียเลย ด้วยอีกฝ่ายชอบพูดจาแฝงแววกระทบกระเทียบ คิดว่าผู้อื่นเป็นคนโง่ มีแต่ตนที่ฉลาด

ทว่าตอนที่มารดายังอยู่มักจะปลอบนางว่าเฝิงมามาผู้นี้จะดีจะชั่วก็เคยให้นมเสิ่นเซียงอยู่หลายปี ปรนนิบัติรับใช้เสิ่นเซียงอย่างเอาใจใส่ ที่สำคัญที่สุดคือเสิ่นเซียงให้ความสำคัญกับแม่นมผู้นี้เป็นที่สุด ย่อมไม่อาจกระทำการเด็ดขาดได้ในยามนี้ ยังคงต้องอดทนกับเฝิงมามาสักหน่อย

ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงกล่าวเรียบๆ “ไม่ได้พบเฝิงมามาตั้งปีกว่า เฝิงมามากลับดูอ่อนเยาว์ขึ้น แม้แต่สีฉูดฉาดอย่างสีเหลืองดอกสนจับคู่กับสีชมพูดอกท้อก็ยังใส่ได้ไหว”

เฝิงมามาหารู้ไม่ว่าเสิ่นหยวนกำลังเยาะหยันนาง จึงมีสีหน้าภาคภูมิใจพลางยกมือลูบจอนผม

เสิ่นหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยกถ้วยชามีฝาบนโต๊ะเล็กขึ้นดื่ม

เวลานี้เองเสิ่นเซียงกลับเห็นกล่องหุ้มแพรอีกกล่องที่ชิงเหอถือไว้ในมือ จึงรีบเอ่ยถาม “นั่นคืออะไร ให้ผู้ใดกัน”

“นั่นเป็นของที่พี่ซื้อมาจากฉางโจว จะให้หงเอ๋อร์” เสิ่นหยวนวางถ้วยชาในมือลง ยิ้มกล่าวกับเสิ่นเซียง “คิดว่าจะมาหาเจ้าที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปหาหงเอ๋อร์ จึงได้นำของที่จะให้เขาติดมาด้วย”

เสิ่นเซียงร้องอ้อคำหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ทว่าสายตากลับเหลือบไปทางกล่องนั้นเป็นระยะ

เสิ่นหยวนรู้ความคิดความอ่านของเสิ่นเซียง นางจะต้องคิดว่าของที่ตนให้เสิ่นหงดีกว่าของที่ให้นางเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงให้ชิงเหอเปิดกล่องในมือให้เสิ่นเซียงดู ก่อนจะยิ้มพูดว่า “หงเอ๋อร์ชอบอ่านหนังสือคัดอักษร พี่จึงไม่ได้ซื้ออะไรให้เขามาก แค่ซื้อจานฝนหมึกศิลาลายไหมแดงหนึ่งจาน แท่งหมึกเขม่าสนหนึ่งก้อน และหนังสือใหม่อีกสองเล่มเท่านั้น”

เสิ่นเซียงขี้เกียจเรียนหนังสือ ย่อมจะไม่สนใจของเหล่านี้ นางจึงเลื่อนสายตาหนีไม่มองอีก ทว่ายังคงทำหน้าตาเกียจคร้านอยู่ตลอด เสิ่นหยวนพูดสามคำ บางทีนางก็ไม่ตอบสักคำ มีบ้างที่ทำท่ารำคาญออกมาด้วย เฝิงมามาผู้นั้นก็คอยเปิดปากพูดกระแหนะกระแหนอยู่ข้างๆ ช่างไร้กฎเกณฑ์สิ้นดี

เสิ่นหยวนไม่ชอบเฝิงมามาผู้นี้จากใจจริง อยากจะเอ่ยปากตวาดด่าอยู่หลายครั้ง แต่เห็นแก่หน้าเสิ่นเซียง ไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองพี่น้องที่เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่ลงด้วยสาเหตุจากเฝิงมามา ฉะนั้นนางจึงยังคงอดทนต่อไป ไม่พูดอะไรออกมา

เรื่องบางเรื่องต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป…

เสิ่นหยวนนั่งได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากขอบเตียงเตา เอ่ยถามเสิ่นเซียงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ตอนนี้พี่จะนำของพวกนี้ไปให้หงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์อยากไปด้วยกันกับพี่หรือไม่”

เสิ่นเซียงเบะปากอย่างดูแคลนอยู่บ้าง

นางดูถูกเสิ่นหง คนที่แค่พูดยังไม่คล่อง มิหนำซ้ำนิสัยยังปวกเปียกเชื่องช้าปานนั้นอีก

“ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ไม่ไปด้วยหรอก ท่านไปเองเถอะ” นางเอนตัวพิงอยู่กับหมอนอิงใบใหญ่ ร่างกายนิ่งไม่ไหวติง ท่าทีจะลุกขึ้นส่งเสิ่นหยวนก็ไม่มีแม้แต่น้อย

เสิ่นหยวนหาได้ใส่ใจ ยังคงพูดด้วยเสียงอ่อนโยนและใบหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นอีกสองวันพี่จะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”

คราวนี้เสิ่นเซียงเพียงแค่นเสียงออกจมูก แค่พูดก็คร้านจะพูดแล้ว

และเพียงเสิ่นหยวนพาชิงเหอหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป เสิ่นเซียงก็นั่งตัวตรง หยิบตลับใส่แป้งดอกมะลิและแป้งดอกปิ่นหยกขึ้นมาเปิดดูทันที

ขาวสะอาดเนื้อเนียนละเอียดอย่างที่คิดจริงๆ ดีกว่าแป้งที่ขายในตลาดมากนัก

เฝิงมามามองแป้งดอกมะลิตลับนั้น ปากกลับพูดว่า “คุณหนูใหญ่ก็จริงๆ เลยเชียว ที่ใดไม่มีแป้งดอกมะลิกับแป้งดอกปิ่นหยกขายบ้างเล่า ต้องซื้อจากฉางโจวกลับมาให้ท่านด้วยรึ นี่นางต้องการเยาะเย้ยว่าผิวของคุณหนูขาวไม่เท่านางกระมัง”

ปกติเสิ่นเซียงถือสาเรื่องสีผิวคล้ำของตนเองเป็นที่สุด เรื่องที่เสิ่นหยวนผิวขาวราวหิมะแรกก็ทำนางไม่ชอบใจมานานแล้ว ตอนนี้ได้ยินเฝิงมามาพูดเช่นนี้อีก ในใจนางก็โมโหขึ้นมาตามคาด จึงวางตลับแป้งในมือทิ้งลงบนโต๊ะ ใบหน้าแฉล้มเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “นางแค่ขาวหน่อยเดียว กลับทำเหมือนกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ ต้องมาคอยอวดเป็นประจำ” และพูดอย่างโกรธขึ้งอีกว่า “แป้งนี้ข้าไม่เอาแล้ว!”

กระนั้นในใจยังคงนึกเสียดาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือไปหยิบตลับแป้งมาส่องดูไปมา ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเรียกสาวใช้นามมู่เหลียนมาสั่งว่า “เจ้าออกไปสืบดูหน่อย พี่หญิงใหญ่ให้อะไรกับพี่หญิงรองและน้องหญิงสี่บ้าง”

นางอยากจะดูว่าในใจเสิ่นหยวนใช่คิดกับน้องสาวอย่างนางแย่ที่สุดหรือไม่

มู่เหลียนรับคำก่อนหมุนตัวถอยออกไป

เสิ่นเซียงเล่นข้าวของที่เสิ่นหยวนมอบให้นางเหล่านั้นต่อ รู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งชอบ เฝิงมามาที่ด้านข้างเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ ในใจก็คิดว่าอีกประเดี๋ยวต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับเซวียอี๋เหนียง

เซวียอี๋เหนียงเคยสั่งไว้ว่าทำให้คุณหนูสามกับคุณหนูใหญ่ไม่ลงรอยกันไปตลอดได้ถึงจะดี ดังนั้นเมื่อใดที่เฝิงมามาสบโอกาสก็จะพูดถึงเสิ่นหยวนในทางไม่ดีต่อหน้าเสิ่นเซียงเสมอ

 

หลังเสิ่นหยวนเดินออกจากประตูเรือนลวี่ฉี่แล้ว ก็คิดว่าประเดี๋ยวต้องไปถามเรื่องพื้นเพของเฝิงมามาจากสวีมามาเสียหน่อย ชาติก่อนนางไม่เคยสนใจเรื่องของเสิ่นเซียง ย่อมจะไม่สนใจเรื่องของแม่นมผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ต้องสืบดูให้ละเอียดแล้ว

ในใจคิดเช่นนี้ แต่เท้ากลับไม่ชะงัก ยังคงพาชิงเหอเดินตรงไปที่เรือนเจ๋อหย่า

เรือนเจ๋อหย่าเป็นเรือนริมน้ำ ด้านในปลูกกล้วยน้ำว้าและไผ่เขียวไว้ ดูสงบเงียบอย่างที่สุด

เสิ่นหยวนให้ชิงเหอก้าวไปเคาะประตู เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้หน้าตาแฉล้มอายุราวสิบห้าสิบหกซึ่งแต่งกายงามเพริศพริ้งนางหนึ่งเดินมาเปิดประตูเรือน

ยามมองเห็นเสิ่นหยวนหางตาชี้ของสาวใช้ผู้นั้นก็กระดกขึ้น สายตาพินิจมองนางขึ้นลง จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใคร”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: