X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่เจ็ด

อีกด้านหนึ่ง เมื่อคนสกุลชุยชนะศึกใต้ต้นไหวกลับมาถึงบ้าน หลิวซื่อก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตนไปโวยวายมาหนนี้คงทำให้ฉยงเหนียงยากจะหาคู่ครองที่ดีได้ ใจคนเป็นแม่จึงห่อเหี่ยวอยู่บ้าง

ผิดกับเด็กหนุ่มคึกคะนองชุยฉวนเป่าที่รู้สึกยังไม่หนำใจ จึงคิดว่าหากวันหน้าเจอเจ้าจางวั่งนั่นในตรอกก็จะซัดไม่ยั้ง

ส่วนชุยจงนั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่ตำบลฝูหรงให้เป็นขี้ปากผู้อื่นอีก เพียงรอไปสำรวจที่เชิงเขาหวงซานสักเที่ยวก็จะย้ายกันไปทั้งครอบครัว

ดังนั้นวันรุ่งขึ้นชุยจงจึงหยุดหาบขนมขาย แล้วจ้างรถเทียมลาหนึ่งคันพาหลิวซื่อกับฉยงเหนียงไปที่ภูเขาหวงซานด้วยกันเลย

ขณะนี้งานก่อสร้างวัดเนี่ยนฝ่าบนภูเขาหวงซานเพิ่งจะแล้วเสร็จ เส้นทางขึ้นเขายังอยู่ระหว่างปูหินรองพื้น ทว่าบ้านเรือนชาวนาที่อยู่สองฟากของถนนหลวงใกล้ซุ้มประตูทางขึ้นเขาล้วนถูกพ่อค้าที่เล็งเห็นโอกาสแสวงกำไรยึดครองไปพอสมควรแล้ว ทั้งปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านค้าอีกด้วย พวกเขาไม่ได้จะใช้งานเองหรอก หากแต่จะรอขายเปลี่ยนมือเพื่อทำกำไรอีกทอดหนึ่ง

มิอาจไม่บอกว่าการค้านี้กำไรดียิ่ง ราคาของบ้านเรือนที่ดัดแปลงโฉมใหม่แล้วนี้ล้วนพุ่งขึ้นสามเท่าตัวในทันที

หลิวซื่อมองพลางขมวดคิ้วอยู่ตลอด รู้สึกว่าบ้านเรือนอันทรุดโทรมเหล่านี้เพียงปรับเปลี่ยนประตูด้านหน้าก็โก่งราคาอย่างหน้าเลือดแล้ว ตามความคิดของนาง บ้านที่คานหลักผุแล้วเยี่ยงนั้นหากมิใช่เพราะอยู่ใกล้วัดหลวง ถึงมอบให้โดยไม่คิดเงินนางก็ไม่เอาหรอก!

ผิดกับฉยงเหนียงที่เห็นแล้วสะท้อนใจอยู่บ้าง ชาติก่อนตอนที่นางแวะเวียนมาเยือนภูเขาหวงซาน ที่นี่เจริญเฟื่องฟูมากแล้ว ร้านของว่างกับร้านอาหารเจเลื่องชื่อในเมืองหลวงล้วนมาเปิดสาขาอยู่ที่นี่ นึกไม่ถึงว่าก่อนรุ่งเรืองจะมีสภาพเยี่ยงนี้

หลังจากสำรวจดูหลายเที่ยว ในที่สุดนางก็ถูกใจสถานที่แห่งหนึ่ง ร้านนี้ไม่ได้อยู่บนถนนหลวง ทว่าอยู่ริมทางสายเล็กข้างถนนหลวงและอยู่บนเนินที่ไม่ค่อยชันนัก ในสายตาของเหล่าพ่อค้าเห็นว่าที่ตั้งร้านนี้ค่อนข้างห่างไกล ซ้ำอยู่บนเนินก็ยิ่งทำให้ผู้คนยั้งฝีเท้า เป็นตัวเลือกชั้นรองในหมู่ชั้นรองโดยแท้ ไม่เหมาะจะใช้งานแต่อย่างใด

แต่ฉยงเหนียงรู้ว่าแถบนี้อิงภูเขา น้ำฝนมีปริมาณมาก ในสิบวันจะมีอย่างน้อยห้าหกวันถูกระลอกฝนโจมตี ร้านอื่นล้วนขมขื่นกับน้ำท่วม มีเพียงร้านนี้ที่สภาพพื้นที่สูงจึงหายห่วงเรื่องน้ำทะลักเข้าร้าน ทำให้มีลูกค้าไม่ขาดสาย ประกอบกับบนเนินราบเรียบมีพื้นที่กว้างขวาง ยังสามารถสร้างคอกม้ากับศาลาพักร้อนได้อีก ต่อให้มีรถม้าสิบกว่าคันก็ยังจอดได้เหลือเฟือ

เพียงแต่ในชาติก่อนร้านอาหารเจที่เปิดกิจการตรงนี้รสชาติไม่ดี ทำให้ชื่อเสียงที่บอกกันปากต่อปากย่ำแย่ การค้าซบเซา สุดท้ายจึงปล่อยขายต่อให้ร้านอาหารอีกร้านในราคาสูง

ในเมื่อรู้ว่าตรงนี้สภาพแวดล้อมดีเยี่ยมที่สุด ฉยงเหนียงจึงสำรวจทั้งด้านหน้าและหลังอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

ประตูใหญ่ของที่นี่ใช้ก้อนหินสีเทาอมเขียวที่แตกร้าวหลายก้อนประกอบเข้าด้วยกันเป็นธรณีประตู แม้ดูซอมซ่อไปบ้าง ทว่าเปรียบกับประตูใหญ่ทั่วๆ ไปของร้านรอบข้างแล้วก็ยังเผยราศีที่ไม่ธรรมดาอยู่หลายส่วน เมื่อก้าวเข้าประตูใหญ่ไป พื้นดินล้วนถูกถมเรียบแน่นดียิ่ง ด้านบนโรยด้วยทรายละเอียดหนึ่งชั้น เหยียบแล้วเกิดเสียงสวบสาบ เพียงแต่นอกจากแถบประตูใหญ่ บริเวณอื่นล้วนยังไม่ทันได้ซ่อมแซมจึงแลดูทรุดโทรม

เจ้าของคือพ่อค้าข้าวในพื้นที่ สูดได้กลิ่นช่องทางทำกำไรจึงซ่อมแซมบ้านบรรพบุรุษที่ทิ้งว่างอยู่หลังนี้ด้วยการปรับเปลี่ยนประตูใหญ่คร่าวๆ แล้วหาโอกาสขายไปในราคาสูง

ทว่าไปๆ มาๆ ผู้ซื้อหลายรายที่มาดูล้วนเดินวนในร้านรอบเดียวก็ส่ายหน้าจากไป กระทั่งราคาก็ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำ หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เจ้าของจึงเลิกล้มความคิดที่จะขายราคาแพง คิดเพียงว่าขอค่าซื้ออิฐทรายก่อนหน้านี้คืนมาก็พอ ดังนั้นยามที่ฉยงเหนียงพาบิดามารดามาสอบถามราคา เจ้าของจึงพาคนสกุลชุยตระเวนดูตัวร้านทั้งด้านหน้าด้านหลังอย่างมีไมตรีกระตือรือร้นยิ่ง

ก่อนหน้านี้หลิวซื่อไปดูหลายร้านที่ซ่อมใหม่จนสว่างกว้างขวาง เมื่อมาดูร้านที่โกโรโกโสจึงยิ่งรู้สึกขัดนัยน์ตา ปากก็บ่นอุบ “เก่าโทรมเยี่ยงนี้ ยังต้องเสียเงินซ่อมแซมอีกเท่าไร ไม่ดีๆ!”

ฉยงเหนียงปล่อยให้มารดาบ่นไปหนึ่งยก จวบจนสีหน้าเจ้าของยิ่งไม่ชวนมอง นางจึงค่อยสอบถามอย่างใจเย็น “ไม่ทราบว่าตัวร้านรวมลานด้านนอกขายราคาเท่าใด”

เจ้าของเห็นสองสามีภรรยาไม่อ้าปาก มีเพียงแม่นางน้อยรูปโฉมงดงามบอบบางมาถามราคา หัวใจก็ยิ่งเย็นเฉียบไปครึ่งดวง เสียงตอบก็อ่อยเบา “เก้าสิบตำลึงเงิน…ขาดตัว”

ร้านค้าที่เมื่อครู่ฉยงเหนียงถามราคาดูล้วนอยู่ที่หนึ่งร้อยถึงสองร้อยตำลึงเงิน ราคาเก้าสิบตำลึงเงินนี้ถือว่าถูกมากแล้วจริงๆ ทว่านางกลับเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หกสิบตำลึงเงิน หากตกลงข้าก็จะทำสัญญาซื้อขายกับท่านทันที”

หลิวซื่อที่อยู่ด้านข้างฟังจบก็ร้อนใจ หมายจะเอ่ยปากยับยั้ง ทว่าถูกชุยจงกระตุกมุมเสื้อไว้เสียก่อน

ผิดกับเจ้าของที่ออกอาการตื่นเต้นยินดีเกลื่อนใบหน้า รีบหันไปถามชุยจงว่า “คำพูดของแม่นางน้อยผู้นี้จริงหรือไม่”

ชุยจงผงกศีรษะรับ “เรื่องซื้อร้านค้า บุตรสาวข้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น!”

เจ้าของที่รู้ว่าหากไม่มีใบบุญของวัดหลวง ร้านของตนนี้แค่ขายได้ยี่สิบตำลึงเงินก็อมิตาภพุทธแล้ว ประกอบกับสภาพดินรอบร้านก็ไม่ดี ไม่อาจปลูกผักผลไม้หรือธัญพืชอันใดได้ จึงยิ่งไม่มีใครเหลือบแล วันนี้มีแม่นางน้อยที่ไม่รู้ราคาตลาดผู้หนึ่งยอมจ่ายหกสิบตำลึงเงิน เขามีเหตุผลใดกันที่จะไม่ขาย

เจ้าของผงกศีรษะตอบรับทันที “ร้านนี้ภูมิลักษณ์ดีเยี่ยม แม่นางมีสายตาแหลมคมจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปที่ถนนหลวงตามผู้รู้อักษรมาเขียนหนังสือสัญญาดีหรือไม่”

พอเห็นฉยงเหนียงพยักหน้า เขาก็รีบวิ่งซอยเท้าไปเชิญคนมา กลัวแต่ว่าพอหมุนตัวไปครอบครัวนี้จะเสียใจภายหลัง

รอจนเจ้าของออกไปแล้ว หลิวซื่อค่อยเอ่ยอย่างเร่งร้อน “ฉยงเหนียง ไม่ใช่แม่ว่าเจ้านะ เหตุใดไม่ดูอีกสักหลายร้านค่อยตัดสินใจเล่า”

ฉยงเหนียงตอบปนยิ้มละไม “ไม่ต้องดูอีกแล้วเจ้าค่ะ ตรงนี้ก็คือทำเลที่ดีที่สุด” จบคำนางก็ชี้แจงแผนงานในใจตนให้บิดามารดาฟัง ทั้งใช้มือทำท่าประกอบ บอกตำแหน่งที่วันหน้าจะสร้างคอกม้ากับสระบัวเสริมภูมิลักษณ์

หลิวซื่อฟังจบก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ลูกแม่ แค่ร้านขายขนมเท่านั้น ไยต้องสร้างคอกม้าใหญ่โตเพียงนั้นด้วย เจ้าจะให้จอดรถม้าได้สิบกว่าคัน คิดว่านี่คือจวนอัครเสนาบดีที่มีรถม้าไปมาขวักไขว่ทั้งวันหรือไร”

ชุยจงคาบกล้องยาเส้นพ่นควันไปพลางอมยิ้มฟังแผนงานของบุตรสาวไปพลาง จากนั้นค่อยเอ่ยเนิบๆ “ว่าไปแล้วครอบครัวพวกเรามีเพียงฉยงเหนียงที่อ่านออกเขียนได้ มีความรู้สูงกว่าใคร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องฟังแม่เจ้าหรอก ให้เจ้ามีสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว เพียงแต่ราคาหกสิบตำลึงเงินยังคงสูงอยู่บ้าง ตามหลักควรจะหั่นราคาลงไปอีก”

ฉยงเหนียงคลี่ยิ้มก่อนยกม้านั่งมาให้หลิวซื่อนั่ง จากนั้นทุบน่องให้มารดาพลางเอ่ยตอบบิดา “ลูกเองก็รู้ว่าให้ราคาสูงไปสักหน่อย แต่มีประโยคหนึ่งที่เขาพูดมีเหตุผล นั่นคือตรงนี้ภูมิลักษณ์ดีเยี่ยม ตามความเห็นของลูกแล้วมูลค่าในวันหน้าจะมิใช่แค่หกสิบตำลึงเงิน หากหั่นราคาลงไปอีก วันหน้าเจ้าของนึกถึงเรื่องนี้จะไม่เจ็บใจแย่หรือ ดังนั้นตอนนี้ให้ผู้อื่นมีกำไรสักหน่อยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

พอดีกับที่เจ้าของรุดกลับมาได้ยินเลาๆ จึงรีบเอ่ยทันใด “ข้าหาผู้รู้อักษรมาเขียนหนังสือสัญญาแทนแล้ว พวกเจ้าห้ามคืนคำเชียว!”

ฉยงเหนียงจะคืนคำเมื่อไรกัน นางรีบลงนามในสัญญา จ่ายเงินมัดจำแล้วตกลงวันที่จะย้ายเข้า ถึงค่อยนั่งรถจากมาพร้อมบิดามารดา

รอจนทั้งสามกลับถึงบ้าน เวลายังคงเช้าอยู่ ประกอบกับชุยฉวนเป่าซักถามเรื่องร้านค้าไม่หยุด ฉยงเหนียงจึงเล่าพลางหยิบพู่กันกับกระดาษออกมาวาดลักษณะของร้านให้เขาดู

เมื่อเริ่มวาดเช่นนี้ก็สะกิดให้ฉยงเหนียงคันไม้คันมือ นางจึงถือโอกาสวาดรูปแบบของโถงใหญ่ออกมาด้วยเลย

หากขายแต่ขนมย่อมไม่มีกำไรอันใด มิสู้เปิดร้านอาหารเจตรงนี้เหมือนในชาติก่อน เอาใจตามความชอบของฮูหยินตระกูลขุนนางเหล่านั้นได้พอดี

ตอนนี้เองเสียงเคาะประตูก็พลันดังมาจากด้านนอก หลิวซื่อที่กำลังทำอาหารจึงเช็ดมือแล้วออกไปเปิดประตู พบว่าผู้ที่นำบริวารมายืนอยู่หน้าประตูก็คือพ่อบ้านจวนอ๋องที่ส่งชุยฉวนเป่ากลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง

พอเห็นว่าเป็นคนของจวนอ๋อง หลิวซื่อก็รีบถามจุดประสงค์ที่มาเยือนอย่างระมัดระวัง

ฉู่เซิ่งเก็บสีหน้าเย่อหยิ่งที่เคยมี ก่อนประสานมือกล่าว “ข้ารับคำสั่งจากท่านอ๋อง จึงเดินทางมาโดยเฉพาะเพื่อสอบถามอาการของบุตรชายเจ้าว่าเป็นเช่นไรแล้ว ต้องการให้จวนอ๋องของพวกเราจ่ายค่าชดเชยเพิ่มเติมหรือไม่”

แม้ชุยฉวนเป่าถูกรถม้าของจวนอ๋องชนบาดเจ็บก่อน ทว่าเงินชดเชยคราวที่แล้วก้อนใหญ่นัก หากยังเซ้าซี้ไม่เลิกราย่อมถูกครหาว่าเป็นอันธพาลไร้เหตุผล ดังนั้นหลิวซื่อจึงรีบปฏิเสธ “อาการของบุตรชายข้าไม่เป็นอันใดมากแล้ว รบกวนให้ท่านพ่อบ้านยุ่งยากใจ ต้องเดินทางมาเที่ยวนี้ บ้านข้าซอมซ่อไม่มีสิ่งอื่นใดจะต้อนรับขับสู้ เพียงขอเชิญท่านพ่อบ้านเข้าไปดื่มชาร้อนสักถ้วย กินของว่างสักหน่อยค่อยไปเถอะเจ้าค่ะ”

ใครจะรู้ว่าฉู่เซิ่งได้ยินคำตอบของหลิวซื่อแล้วกลับพลิกสีหน้าทันตาเห็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะคำนวณบัญชีอีกก้อนหนึ่งกับเจ้า วันนั้นบุตรชายเจ้าชนกับรถม้าของจวนอ๋อง แรงปะทะหนักหน่วงยิ่ง อัญมณีเลี่ยมทองตรงมุมหนึ่งของตัวรถถูกครูดกระเด็นไปกว่าครึ่ง รถม้านี้เป็นสิ่งของพระราชทานจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อัญมณีที่ฝังประดับก็เป็นบรรณาการจากแคว้นปั้นเยวี่ย เมื่อวานส่งตัวรถไปคำนวณค่าซ่อมที่โรงผลิตในเมืองหลวงแล้ว คำนวณค่าใช้จ่ายออกมาเป็นเงินห้าพันตำลึง ไม่รู้สกุลชุยของพวกเจ้าคิดจะนำสิ่งใดมาใช้คืน”

หลิวซื่อฟังจบก็รู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงหึ่งดังขึ้น เรื่องอื่นยังไม่ต้องเอ่ยถึง เพียงได้ยินคำว่า ‘ห้าพันตำลึง’ ก็ทำให้นางขวัญกระเจิงแล้ว

ฉยงเหนียงที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ได้ยินชัดแจ้งเช่นกัน ในใจรู้สึกทันทีว่า…คนจากจวนหลางอ๋องนี้หมายจะรีดไถกันหรือไร

ตอนที่พี่ชายถูกชน แม้เหตุการณ์ชุลมุนอยู่บ้าง ทว่าตามหลักแล้วร่างกายคนเราไม่มีทางจะกระแทกรถม้าได้รุนแรงถึงเพียงนั้นแน่

ฉยงเหนียงจึงเร่งสาวเท้าออกไปแย้งเสียงขรึม “วันนั้นข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ ไม่เห็นรถม้ามีความเสียหายแต่อย่างใด”

ฉู่เซิ่งแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชาก่อนเอ่ย “พูดเช่นนี้ แม่นางแคลงใจว่าจวนหลางอ๋องอันทรงเกียรติของพวกเรากำลังกรรโชกทรัพย์ผู้อื่นหรือไรกัน”

ฉยงเหนียงเม้มปากแน่นพลางตอบอยู่ในใจ…ใช่ ข้ากำลังสงสัยเช่นนี้!

แม้หลางอ๋องฉู่เสียมีคุณความชอบทางการทหารโดดเด่น ทว่าพฤติกรรมที่ไม่สนใจใครหน้าไหนก็ถูกคนในราชสำนักประณามเช่นกัน ก่อนหน้านี้ขณะที่ราชวงศ์ต้าหยวนทำศึกกับชนต่างเผ่าชายแดน เนื่องจากเขื่อนกั้นแม่น้ำหวงเหอแตก ท้องพระคลังเกินครึ่งถูกใช้ไปบรรเทาพิบัติภัย ไม่มีกำลังพอจะสนับสนุนเบี้ยหวัดทหารและค่าเสบียงก้อนใหญ่ของกองทัพหลางอ๋องได้ รัชทายาทซึ่งขณะนั้นดูแลงานภายในอยู่จึงสั่งให้ชะลอเรื่องค่าใช้จ่ายของกองทัพออกไปก่อน

เรื่องนี้ไปแหย่รังต่อเข้าให้แล้ว หลางอ๋องไม่ได้เงินก็ถึงกับราวีด้วยลูกไม้สุดโต่งสารพัดอย่าง จนสุดท้ายกรมอากรไม่เพียงจ่ายเงินให้กองทัพ ยังจับกุมและประหารขุนนางหลายคนที่ว่ากันว่ายักยอกเงินกองทัพไป ถึงค่อยทำให้หลางอ๋องพึงพอใจยุติเรื่องนี้จนได้

นางจำได้ว่าชาติก่อนซั่งอวิ๋นเทียนเคยเอ่ยเรื่องนี้กับนางและให้คำพรรณนาอันชัดเจนอย่างยิ่งเกี่ยวกับหลางอ๋องผู้นั้น… ‘หากเป็นยามกลียุค เขาย่อมเป็นสิงห์ร้ายพยัคฆ์ไว้ลาย ทว่ายามสันติ…นั่นก็คือเภทภัยของราชสำนัก’

ตอนนี้อำนาจใหญ่ของหลางอ๋องเตรียมจะนำมาใช้กับครอบครัวชาวบ้านเล็กๆ ของข้าแล้วกระมัง หัวใจฉยงเหนียงดิ่งลงไม่หยุดยั้ง ด้วยในใจรู้กระจ่างว่าฐานะของตนในปัจจุบันยากจะพูดเหตุผลกับจวนหลางอ๋องได้

ชุยฉวนเป่าฟังแล้วโมโหจึงใช้ไม้เท้าเดินกะเผลกออกมาย้อนถาม “จวนอ๋องของพวกเจ้ายังพูดเหตุผลเป็นอยู่หรือไม่ ชนข้าบาดเจ็บแท้ๆ กลับมีหน้าเรียกร้องให้ครอบครัวข้าชดใช้เงิน?”

อาจเพราะถ้อยคำของชุยฉวนเป่าฟังแล้วระคายหู ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนที่ด้านหลังของฉู่เซิ่งจึงก้าวออกมาพร้อมกับดาบในมือ ถลึงตาใส่เขาด้วยสีหน้าอันอึมครึม ท่าทางบอกชัดว่าหากเขากล้าพูดอีกประโยคเดียวจะเงื้อมือลงดาบจัดการเขาเสีย

ฉยงเหนียงรู้แก่ใจว่าผู้คนที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูบ้านนางในตอนนี้มิใช่จำพวกเดียวกับคนขายเนื้อแซ่จาง ดูจากท่าทางล้วนเป็นพวกดุร้ายที่เคยติดตามหลางอ๋องตวัดคมดาบดื่มเลือดข้าศึกในสนามรบมาแล้ว หากพี่ชายใช้แข็งปะทะแข็งกับพวกเขาจริง ย่อมไม่ได้เปรียบเด็ดขาด

นางจึงก้าวขึ้นหน้าไปขวางชุยฉวนเป่าไว้ทันที “พี่ชาย ขาท่านยังบาดเจ็บอยู่ ตรงนี้มีท่านพ่อท่านแม่อยู่เจรจา พี่ชายก็กลับเข้าไปพักในบ้านเถอะ”

หลิวซื่อรู้จักอุปนิสัยขี้โมโหของบุตรชายดี จึงรีบดันตัวเขาเข้าบ้านไป

ยามที่ชุยจงปั้นยิ้มสอบถามฉู่เซิ่งว่ามีที่ใดเข้าใจผิดไปหรือไม่ ฉยงเหนียงก็มองดูรถม้าที่อยู่ด้านหลังฉู่เซิ่งอย่างชัดเจนแล้ว จุดที่เสียหายนั้นยับเยินอยู่บ้างจริงๆ อัญมณีที่ใช้ฝังประดับและชำรุดไปก็ล้วนจริงแท้แน่นอน ทว่าจะต้องเป็นร่างกายที่หลอมขึ้นจากเหล็กเท่านั้นถึงสามารถกระแทกรถม้าให้อยู่ในสภาพอนาถเยี่ยงนี้ได้

“พ่อบ้านฉู่ ท่านว่ารถม้านี้จะใช่ถูกคนชนมาหรือ” ฉยงเหนียงพูดเหตุผลกับฉู่เซิ่งอย่างอดทน

ฉู่เซิ่งลากเสียงยาวตอบ “ท่านอ๋องบอกว่าใช่ก็ต้องใช่ ผู้ใดกล้าตั้งข้อสงสัย”

ช่างสมเป็นบ่าวนักเลงที่ถนัดแต่ใช้อำนาจเจ้านายมาระรานผู้อื่น หน้าตาไร้หัวจิตหัวใจโดยสิ้นเชิง

ในใจฉยงเหนียงคิดทบทวนเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันนี้อย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งก็รู้ว่ามีคนจงใจทำ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าผู้บงการเบื้องหลังเป็นใครกันแน่

หากเป็นหลางอ๋องก็ชัดเจนว่ามีเจตนาอื่นซ่อนเร้น เขาจะไม่กลั่นแกล้งครอบครัวพ่อค้าเล็กๆ เพื่อเงินเพียงห้าพันตำลึงเด็ดขาด บางทีอาจเป็นใครในจวนอ๋องแอบอ้างเหตุนี้เพื่อจะกรรโชกทรัพย์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้เรื่องราวก็จัดการได้ง่ายแล้ว ในเมื่อมีคนหมายจะหาผลประโยชน์ เพียงจับตัวคนผู้นั้นออกมาก็เรียบร้อย

ดังนั้นนางจึงเอ่ยกับฉู่เซิ่งว่า “ท่านเองก็เห็นแล้ว บ้านข้าไร้ของมีค่า ไม่อาจนำเงินห้าพันตำลึงออกมาได้จริงๆ แต่ไรมาได้ยินว่าหลางอ๋องรักราษฎรดุจลูกหลาน คิดว่าท่านอ๋องเองก็คงไม่ปรารถนาจะได้ชื่อว่าชนชาวบ้านบาดเจ็บแล้วยังบีบคั้นให้สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่รู้พ่อบ้านฉู่พอจะมีหนทางช่วยเหลือข้าหรือไม่”

ระหว่างสนทนา ฉู่เซิ่งก็ถูกเชิญเข้าบ้านและมีน้ำชายกมาต้อนรับแล้ว เมื่อเห็นว่าจังหวะเวลากำลังพอเหมาะ เขาก็เอ่ยปากช้าๆ “ท่านอ๋องของพวกเราใจดีมีเมตตา ย่อมไม่ปรารถนาจะบีบคั้นครอบครัวพวกเจ้าจนถึงตาย ทว่าไร้กฎเกณฑ์ย่อมขาดระเบียบ หากละเว้นพวกเจ้าแต่เพียงเท่านี้ มิใช่ทำให้คนทั่วหล้านึกว่ารถม้าของท่านอ๋องคิดจะล่วงเกินก็ล่วงเกินได้หรอกหรือ สิ่งของพระราชทานถูกทำให้ชำรุดเสียหาย พึงรู้ไว้ว่าหากพูดให้ร้ายแรง…นั่นก็คือศีรษะต้องหลุดจากบ่าเชียวนะ”

ชุยจงฟังมาถึงตรงนี้ก็ใบหน้าถอดสี สามัญชนทั่วไปมีหรือจะคิดว่าสักวันจะไปข้องเกี่ยวกับสิ่งของจากในรั้วในวังได้ กลัวแต่ว่าหากเรื่องบานปลาย บุตรชายตนอาจต้องถูกลากคอไปประหารที่หน้าตลาดจริงๆ

เขาจึงกล่าวเสียงสั่นทันที “ข้ายินดีไปเป็นบ่าวในจวนเพื่อชดใช้ค่าเสียหายของท่านอ๋องขอรับ”

ฉู่เซิ่งมีสีหน้าลำบากใจ “ในจวนยังขาดคนทำขนมอยู่คนหนึ่งจริงๆ แต่น่าเสียดายท่านอ๋องของพวกเรามีความเคยชินที่พิกลอยู่บ้าง ท่านไม่ชอบกินอาหารที่ปรุงโดยผู้สูงวัย เกรงว่าต่อให้เจ้าอยากเข้าทำงานเพียงไรก็ไม่เหมาะ”

ฉยงเหนียงที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างได้จังหวะเอ่ยแทรก “ความเคยชินที่พิกลของท่านอ๋องพบได้ค่อนข้างยากทีเดียว ไม่รู้ว่าคนเช่นไรจึงจะมีโชคดีสามารถทำอาหารที่จะได้เข้าปากท่านอ๋อง”

ฉู่เซิ่งกล่าว “หากอยากจะปัดเป่าเคราะห์ให้พี่ชายเจ้าจริงๆ ข้าก็มีงานอยู่ตำแหน่งหนึ่งให้เจ้าไปลองทำดูได้ ตอนนี้ในจวนขาดแม่ครัวที่ถนัดทำขนมอยู่พอดี ไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องกินขนมของเจ้าแล้วพึงพอใจทีเดียว…”

ฉยงเหนียงฟังจบก็เอ่ยถามพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น “ไม่รู้ว่าแม่ครัวในจวนจะได้ค่าจ้างเดือนละเท่าใด”

ปลายคางของฉู่เซิ่งเชิดสูงยิ่งกว่าเก่า “จวนหลางอ๋องดีต่อข้ารับใช้เสมอมา ตามปกติควรได้เงินห้าตำลึง ทว่าเจ้าไปหนนี้เป็นการชดใช้ความผิดของพี่ชาย ทุกเดือนจึงต้องหักเงินออกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ราวห้าเฉียน”

ฉยงเหนียงไม่ได้พูดจา ทว่าลูกคิดในใจกำลังดีดคำนวณไม่หยุด จวนหลางอ๋องอะไรนี่ช่างมีเมตตาเสียเหลือเกิน คาดว่าระหว่างนั้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่งดเว้น หากคำนวณตามนี้ ต่อให้เป็นแม่ครัวจนตายก็ใช้คืนไม่หมดสิ้นแน่

อีกอย่าง สุดท้ายหลางอ๋องต้องถูกกักบริเวณที่วัดเนี่ยนฝ่า หากเขากินขนมจนคุ้นชิน นางไม่ใช่ต้องติดตามไปถูกกักบริเวณด้วยกันหรือไร

จวนหลางอ๋องคือบ่อเพลิง ฉยงเหนียงไม่อยากจะกระโดดลงไปสักนิด ทว่าจนใจที่ตอนนี้มีคนขุดหลุมพรางเอาไว้ ซ้ำท่าทีที่แสดงออกก็มิใช่จะเจรจาด้วยเหตุผลได้ ขืนนางไม่ไป ดูจากสถานการณ์วันนี้แล้วจะต้องมัดตัวพี่ชายหรือไม่ก็บิดานางไปแน่ เช่นนั้นครอบครัวนี้ก็บ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว

ยามนี้แม้แต่รัชทายาทองค์ปัจจุบันก็ยังไม่อาจทำอย่างไรกับหลางอ๋องผู้กำลังเรืองอำนาจ นับประสาอะไรกับหญิงชาวบ้านตัวเล็กๆ เช่นนางเล่า…

ชุยจงที่ฟังอยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเร่งร้อน “เช่นนั้นไม่ได้หรอก บุตรสาวของข้าผู้นี้อ่อนแอนัก ไม่สามารถรับใช้ผู้สูงศักดิ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือทำขนมของนางก็เรียนรู้มาจากข้า ยังคงให้ข้าเข้าจวนไปรับใช้ผู้สูงศักดิ์เถิด”

ฉู่เซิ่งคร้านจะเปลืองน้ำลายแล้ว เขาเปลี่ยนสีหน้าพลางเอ่ยเพียงว่า “ในเมื่อชี้ทางสว่างให้แล้วพวกเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!” จบคำเขาก็สั่งให้บ่าวร่างใหญ่มัดตัวชุยฉวนเป่าออกไป

ชุยฉวนเป่าแม้กำยำล่ำสัน ทว่าสำหรับชายฉกรรจ์หลายคนนั้นกลับไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ ครู่เดียวเขาก็ถูกหิ้วตัวออกไป ไม่เพียงถูกมัดด้วยเชือก ยังล่ามโซ่เหล็กอีกด้วย

ชั่วขณะนั้นทั่วลานเรือนสกุลชุยพลันอื้ออึงไปด้วยเสียงของหลิวซื่อที่ร่ำไห้ร้องตะโกนจะขอแลกชีวิต

ฉยงเหนียงรีบเอ่ยทันที “ช้าก่อน! ข้าขอถามอีกเพียงประโยคเดียว หากรวบรวมเงินครบห้าพันตำลึงเมื่อไร เรื่องนี้ก็จะถือเป็นอันยุติ และข้าก็จะสามารถกลับบ้านได้แล้วใช่หรือไม่”

ฉู่เซิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่แม่นางผู้นี้กล่าวคือวาจาละเมอเพ้อพก ดูจากทรัพย์สินของสกุลชุย ต่อให้จำนำจำนองจนหมดสิ้นก็ไม่พอจะชดใช้ ดังนั้นเขาจึงผงกศีรษะอย่างรวดเร็ว “หากใช้คืนหมดแล้ว แม่นางย่อมออกจากจวนได้”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะติดตามพ่อบ้านฉู่เข้าจวน เพียงแต่ข้าไปเป็นแม่ครัว มิใช่ขายตัวให้จวนอ๋อง บิดามารดาทางบ้านสุขภาพมิสู้ดี ต้องการผู้ดูแล ไม่รู้ในแต่ละเดือนข้าจะลาหยุดได้สักกี่วัน”

ฉู่เซิ่งตอบ “ตามปกติข้ารับใช้จะกลับบ้านได้เดือนละหนึ่งวัน เพียงแต่ท่านอ๋องจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงนานนัก อีกราวเดือนเศษก็จะกลับจวนอ๋องที่เจียงตงแล้ว”

คิ้วเรียวของฉยงเหนียงยิ่งขมวดมุ่น บัดนี้ไม่ว่าเลือกทางใดล้วนหนีไม่พ้นคนไร้ยางอาย ในเมื่อไม่อาจพูดคุยด้วยเหตุผล นางก็ได้แต่คิดเสียว่าก้มหน้ารับเคราะห์กรรมจากสวรรค์แทน

เงินเพียงห้าพันตำลึงอาจขู่ขวัญผู้อื่นได้ ทว่าฉยงเหนียงมิได้เก็บมาใส่ใจ แผนรับมือในตอนนี้ก็คือต้องเปิดร้านที่เชิงเขาหวงซานให้ลุล่วง วิธีปรุงอาหารเจนางจะสอนให้บิดามารดาทั้งหมด ขอเพียงร้านมีรายได้ ไม่กี่ปีก็ชดใช้เงินห้าพันตำลึงนั้นได้ครบจำนวนแล้ว

สามีภรรยาสกุลชุยไหนเลยจะหักใจลง ทว่าพวกเขาสองคนก็ไร้ซึ่งหนทางอื่น หากมิใช่บุตรชายที่ถูกจับไปต้องโทษบั่นศีรษะ ก็ต้องเป็นบุตรสาวที่เข้าจวนไปเป็นแม่ครัว รอจนฉู่เซิ่งปล่อยตัวชุยฉวนเป่าและพาบ่าวคนอื่นๆ จากไปแล้ว หลิวซื่อก็ได้แต่กอดฉยงเหนียงพลางเปล่งเสียงร้องไห้อย่างหนัก

ฉยงเหนียงเอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงที่นุ่มนวล “ท่านแม่ ลูกเพียงไปทำงานเท่านั้น ค่าจ้างเดือนละห้าเฉียนแม้น้อยไปสักหน่อย แต่ชั่วดีอย่างไรก็ช่วยค่าใช้จ่ายทางบ้านได้ เพียงแต่ท่านกับท่านพ่ออย่าได้ฟังคำยุยงของผู้อื่น นำเงินไปติดต่อให้ผู้อื่นมาช่วยลูกเป็นอันขาด ไม่ช้าวัดเนี่ยนฝ่าก็จะเปิดประตูต้อนรับผู้สักการะ ร้านของพวกเรายังค่อนข้างเก่าโทรม จำเป็นต้องซ่อมแซมให้ดี ท่านกับท่านพ่อโปรดวางใจไปดูแลเรื่องร้านเถิด เมื่อร้านมีรายได้ พวกเราก็จะได้ชดใช้ค่ารถม้าของจวนอ๋อง และลูกก็จะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านในเร็ววัน”

หลิวซื่อประคองดวงหน้าของบุตรสาวด้วยความรุ่มร้อนใจ “ลูกแม่ ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นั้นเป็นคนเจ้าชู้ ไม่กี่วันมานี้ซื้อหานางบำเรอเข้าจวนตั้งหลายหน รูปโฉมของเจ้าแอบซ่อนไว้ไม่ได้หรอก หากว่าถูก…จะให้แม่วางใจลงได้อย่างไรเล่า”

ฉยงเหนียงสวมกอดหลิวซื่อเบาๆ นางแอบอิงในอ้อมอกนั้นพลางสัมผัสไออุ่นของมารดา ปากก็กระซิบตอบ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลใจแทนลูกจริงๆ ขอเพียงท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายสบายดี วันเวลาถัดจากนี้ก็ยังมีความหวัง ลูกจะออกมาจากจวนอ๋องอย่างแน่นอน”

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฉู่เซิ่งก็ส่งรถม้าคันหนึ่งไปรับฉยงเหนียงกับสัมภาระห่อเล็กของนางมายังคฤหาสน์ที่ใช้เป็นจวนอ๋องชั่วคราว

แค่เห็นก็รู้ว่าฉู่เซิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพลิกโฉมหน้า ตอนอยู่ที่สกุลชุยยังวางท่าหยิ่งยโส ทว่าพออยู่ในจวนกลับทำใจดีราวท่านลุงข้างบ้าน ไม่เพียงพาฉยงเหนียงไปยังเรือนเล็กอันเป็นที่พักของนางด้วยตนเอง ยังชี้แจงเรื่องเสื้อผ้าอาหารและความเป็นอยู่ทุกเรื่องอย่างชัดแจ้ง ถึงค่อยปลีกตัวจากไป

เรือนเล็กแห่งนี้สงบเงียบดีทีเดียว เนื่องจากตัวคฤหาสน์สร้างอิงภูเขา เรือนเล็กของนางอยู่ตรงไหล่เขาพอดี เมื่อเปิดหน้าต่างออกไป หมู่แมกไม้ที่เจริญงอกงามจึงล้วนสะท้อนเข้าสู่สายตา แผ่นกระเบื้องสีดำกับก้อนอิฐสีเทาอมเขียวก็ดูงามสง่ายิ่ง ประกอบกับฝนเพิ่งจะลงเม็ดไปหนึ่งระลอก น้ำที่สะสมอยู่บนชายคาจึงร่วงหยดดังเปาะแปะ ให้ความรู้สึกเหมือนได้เร้นกายจากโลกอันวุ่นวาย

ฉยงเหนียงได้ชมทัศนียภาพสีเขียวขจีเต็มสองตา พาให้ชั่วขณะนั้นใจลอยอยู่บ้าง การเกิดใหม่ชาตินี้นางเพียงกลับคืนสกุลชุยเร็วขึ้นก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเพียงนี้ เส้นทางข้างหน้าควรจะเป็นเช่นไรต่อ นางเองก็มองได้ไม่ชัดเจนนัก

นางหารู้ไม่ว่าบริเวณที่สูงยิ่งกว่าของคฤหาสน์อิงภูเขาแห่งนี้มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลารับลมพลางเก็บดวงหน้าด้านข้างอันกลัดกลุ้มของนางเข้าสู่สายตาจนหมดสิ้น

ฉู่เซิ่งที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านเห็นว่างานรอบนี้ข้าน้อยจัดการได้รัดกุมเหมาะสมหรือไม่”

ฉู่เสียถอนสายตาคืนมา เพียงวางเม็ดหมากลงบนกระดานโดยไม่ตอบคำ ครู่หนึ่งให้หลังถึงค่อยกล่าวว่า “สั่งการลงไป อีกสักครู่ข้าจะกินขนมโก๋ถั่วเขียว”

ผู้เป็นนายเอ่ยปากแล้วมีเหตุผลใดที่จะไม่ทำตาม ดังนั้นฉยงเหนียงจึงถูกเรียกตัวไปเข้าครัวทั้งที่ยังไม่ทันได้เปิดห่อสัมภาระ

ห้องครัวของคฤหาสน์แบ่งออกเป็นครัวใหญ่กับครัวเล็ก ครัวใหญ่มีหน้าที่ปรุงอาหารวันละสามมื้อให้กับผู้ใหญ่ผู้น้อยและนางบำเรอในคฤหาสน์ ส่วนครัวเล็กมีไว้สำหรับหลางอ๋องผู้เดียว

คราวก่อนฉยงเหนียงเคยทำขนมที่ครัวเล็กแล้ว เครื่องไม้เครื่องมือและงานใต้เตาจึงนับว่าคุ้นเคย เพียงแต่นอกจากสาวใช้ที่เป็นลูกมือหนึ่งคนกับหญิงรับใช้อาวุโสที่ดูแลเตาไฟอีกหนึ่งคน ทั่วครัวเล็กกลับไม่เห็นใครอื่นอีก

เมื่อถามดูถึงได้รู้ว่าพ่อครัวเล็กคนเดิมล้มป่วย ลาพักชั่วคราว ดังนั้นอาหารสามมื้อของหลางอ๋องจึงต้องให้ฉยงเหนียงรับหน้าที่ไปทั้งหมด แม่ครัวที่จ้างมาเดือนละห้าเฉียนนี้นับว่าถูกใช้งานอย่างคุ้มค่าทีเดียว

ฉยงเหนียงสอบถามรายการอาหารวันนี้จากสาวใช้ที่เป็นลูกมือ สาวใช้นามเมี่ยวหลิงผู้นั้นก็ตอบอย่างไม่ไยดี “เรื่องเหล่านี้พ่อครัวล้วนเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าเพียงรับหน้าที่หั่นล้าง มีหรือจะรู้จักจับคู่วัตถุดิบ”

แรกเริ่มที่ได้ยินว่าพ่อครัวล้มป่วย หัวใจทั้งดวงของเมี่ยวหลิงนึกว่าวันนี้นางจะได้เป็นผู้ปรุงอาหารเสียอีก นางเป็นลูกมือในครัวมาระยะหนึ่งแล้ว เชื่อว่าตนมีฝีมือไม่เลว เดิมทีตนควรจะได้เผยโฉมเบื้องหน้าเจ้านาย ไหนเลยจะคิดว่ามีแม่นางที่งามหยาดเยิ้มเพียงนี้โผล่มา ในใจเมี่ยวหลิงแสนจะไม่ยอมรับนับถือ ย่อมไม่มีสีหน้าที่ดีให้อีกฝ่าย

หลายวันก่อนสตรีนามฉยงเหนียงผู้นี้ก็เคยมาทำขนมที่ครัวเล็ก ตอนนั้นได้พูดคุยสัพเพเหระกับอีกฝ่ายสองสามประโยค รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงบุตรสาวสกุลชุยที่ตั้งแผงขนมในตัวตำบล ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะดูแคลนอีกฝ่ายหลายส่วน

เมี่ยวหลิงเป็นบ่าวที่เติบโตมาในจวน บิดานางเป็นผู้บังคับรถม้าประจำจวนหลางอ๋อง เคยบังคับรถม้าให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าร่วมสิบปี

ท่านอ๋องไม่ชอบให้สาวใช้ปรนนิบัติ ข้างกายจึงมีเพียงบ่าวชายสองคน หากคิดหมายจะใกล้ชิดผู้เป็นนายยิ่งขึ้นก็ต้องหาทางให้ได้งานที่สามารถโผล่หน้าไปได้บ่อยครั้ง งานในครัวเล็กนี้ทั้งสบาย ทั้งอาหารการกินดี ไม่ว่าท่านอ๋องไปที่ใดล้วนต้องพาคนครัวส่วนตัวไปด้วย ค่าแรงรายเดือนก็ก้อนโต หากมิใช่อาศัยหน้าตาของบิดา นางก็ช่วงชิงงานที่ดีเช่นนี้มาไม่ได้หรอก

ทว่าโอกาสเผยโฉมซึ่งหาได้ยากนี้กลับถูกแย่งไปเสียดื้อๆ เมี่ยวหลิงขุ่นเคืองใจจึงอยากจะให้ฉยงเหนียงได้อับอาย

ท่านอ๋องพิถีพิถันกับการกินอย่างยิ่ง แม่ครัวบ้านนอกที่มาจากตำบลเล็กๆ นี้จะไปรู้จักวิธีปรุงที่ละเอียดอ่อนอันใดได้ คิดแล้วเมี่ยวหลิงก็ไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น เพียงอยู่ด้านข้างรอชมเรื่องขบขันเป็นพอ

เพียงไม่กี่ประโยคฉยงเหนียงก็สัมผัสได้ถึงท่าทีไม่เป็นมิตรของเมี่ยวหลิงแล้ว นางจึงไม่หาความหงุดหงิดใจใส่ตัวอีก หลังจากตรวจดูพืชผักในตะกร้าที่ส่งมาวันนี้เสร็จ นางไตร่ตรองเล็กน้อยก็คิดรายการอาหารที่ไม่ยุ่งยากนักออกมาได้

ก่อนอื่นนางเลือกเป็ดตัวอวบที่ถอนขนผ่าอกทำความสะอาดแล้วหนึ่งตัวมาเคลือบหมักด้วยผงเครื่องเทศห้าชนิด คลุกเคล้ากับสุราชั้นดีที่เรียกว่าสุราเฝิน* จากนั้นปูฟางหนึ่งชั้นในหม้อเหล็ก สุมกิ่งของไม้ผลไว้ด้านบน ค่อยจุดฟางให้ติดไฟ วางเป็ดทั้งตัวใส่ลงไปแล้วปิดฝาไม้เพื่อรมควัน

ระหว่างรมควันเป็ด นางก็หั่นหน่อไม้เป็นเส้นกับขาหมูรมควันอย่างคล่องแคล่ว ก่อนราดปรุงด้วยน้ำมันงาออกมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็นที่สดชื่นลื่นคอ

รอจนเป็ดรมควันได้ที่ นางก็นำไปนึ่งต่อในลังถึงให้สุก ฉวยช่วงเวลานี้ขนมโก๋ถั่วเขียวที่ฉู่เสียระบุว่าจะกินนั้นก็นวดแป้งจนเสร็จแล้วถูกนึ่งในลังถึงอีกใบ

ยังดีที่หลายวันนี้นางอยู่ในสกุลชุยช่วยหลิวซื่อทำอาหารมาตลอด ทักษะการใช้มีดในปัจจุบันจึงช่ำชองกว่าเดิมมาก

แม้ไม่พอใจกับการกระทำของฉู่เสีย แต่ด้วยความที่นางเป็นคนทำอะไรพิถีพิถัน ต่อให้นิสัยไม่ยอมแพ้ในชาติก่อนถูกโยนทิ้งไปเกินครึ่งแล้ว แต่ความเคยชินที่จะต้องทำงานจริงจังก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพ่อครัวหลวงที่ถูกฉู่เสียในชาติก่อนโบยตายเพียงเพราะทำอาหารรสชาติไม่ดีผู้นั้นเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ต่อให้ฉยงเหนียงอยากจะใส่ ‘เครื่องปรุงพิเศษ’ ลงไปก็ใจไม่กล้าพอ

เมื่อเป็ดนึ่งสุกแล้ว ฉยงเหนียงเห็นว่าจานอาหารเป็นจานกระเบื้องล้ำค่าซึ่งเคลือบสีไล่ระดับกันตรงพื้นจาน นิสัยรักความเพียบพร้อมก็พลันกำเริบขึ้นมาอีก นางอดไม่ได้ต้องจัดเรียงเนื้อเป็ดที่แล่เป็นชิ้นแล้วอย่างมีระเบียบ ทั้งแกะสลักดอกไม้จากหัวไช้เท้าวางลงไปอีกหนึ่งดอก ส่วนกระดูกเป็ดที่เลาะออกมาก็นำไปเคี่ยวทำน้ำแกงแตงกวา สำหรับกินแกล้มกับขนมอย่างลงตัว

เดิมทีเมี่ยวหลิงนึกว่าฉยงเหนียงลงสนามฉุกละหุกจะมือไม้ปั่นป่วน ไหนเลยจะคิดว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อีกฝ่ายก็ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการจัดตกแต่งจานเนื้อเป็ดและอาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็นนั้นล้วนไม่มีจุดใดที่ไม่เผยซึ่งความงามสง่า

เมี่ยวหลิงรู้แก่ใจดี ต่อให้เป็นพ่อครัวคนเดิมก็ไม่มีฝีมือด้านการจัดจานเช่นนี้ อารมณ์โกรธอัดอั้นจึงทบทวีอย่างช่วยไม่ได้ หญิงบ้านนอกนี่ไปหัดฝีมือมาจากที่ใดกันแน่!

ตอนนี้เองบ่าวชายของฉู่เสียก็มาแจ้งว่าให้ยกอาหารเข้าไปในห้องหนังสือของท่านอ๋อง

เมี่ยวหลิงฟังจบก็เอ่ยกับฉยงเหนียงทันที “เจ้าทำงานมาพักใหญ่คงจะเหนื่อยแล้ว ให้ข้าเป็นคนยกไปก็แล้วกัน”

ฉยงเหนียงคิดเช่นนี้อยู่พอดี จึงรีบตอบรับแล้วล้างมือกินอาหารก่อน โดยกับข้าวก็คือเนื้อเป็ดที่หั่นเหลือเมื่อครู่กับอาหารเรียกน้ำย่อยที่นางเก็บไว้หนึ่งชาม

เพียงแต่นางมีเรื่องในใจ หลังจากกินไปไม่มากแค่พอรองท้องก็กลับไปที่เรือนพักแล้ว

เรือนเล็กแห่งนี้เงียบสงบ มีนางอยู่เพียงลำพัง นางนำน้ำร้อนหนึ่งกาที่หิ้วมาจากครัวเล็กเทลงในอ่าง ตั้งใจจะเช็ดเนื้อตัวขจัดกลิ่นควันไฟบนร่างสักหน่อย

ทว่ายามที่เพิ่งเช็ดตัวไปได้ครึ่งทาง นอกเรือนกลับมีคนมาตะโกนเรียกนางเสียก่อน “ฉยงเหนียง ท่านอ๋องสั่งให้เจ้าไปตักอาหาร!”

ฉยงเหนียงมือไม้ปั่นป่วนรีบเกล้าเรือนผมยาวที่เพิ่งจะคลายออก ก่อนค้นชุดหรูฉวินจากในห่อสัมภาระออกมาผลัดเปลี่ยน ในใจนางกระหวัดถึงพระปรีชาของจยาคังตี้อีกครั้ง หากทรงกักตัวฉู่เสียมารร้ายผู้นี้เร็วขึ้นก็จะยิ่งดี เขาจะได้ไม่อยู่เป็นภัยต่อโลกมนุษย์

เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ฉยงเหนียงไม่เห็นร่องรอยของเมี่ยวหลิงกับบ่าวชายแต่อย่างใด มีเพียงฉู่เสียผู้เดียวนั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยบนเสื่อหอม อาหารหลายอย่างที่นางทำก็จัดวางอยู่บนโต๊ะนั้น แต่กลับไม่เห็นเขาขยับตะเกียบ

หลังจากนางเดินเข้าไปก็คุกเข่าที่ริมเสื่อหอมเพื่อรอคำสั่ง ทว่าไม่เห็นเขาสั่งการเสียที จึงได้แต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นโดยไม่เอ่ยวาจา ชั่วขณะนั้นในห้องหนังสืออันเงียบสงัดมีเพียงเสียงพลิกตำราของฉู่เสีย

ฉยงเหนียงอยู่ว่างจนแสนเบื่อหน่าย จึงใช้หางตาเหลือบมองตำราที่ฉู่เสียวางอยู่ข้างมุมโต๊ะ เล่มที่อยู่บนสุดแง้มให้เห็นเนื้อความหนึ่งหน้า บนนั้นเขียนว่า…

 

ฝนโชกหญ้าชุ่มอาภรณ์คนมิกลับ ท่าข้ามฟากตะวันลับยังวนเวียน’

 

นางตะลึงงันอย่างห้ามไม่อยู่ พลันตระหนักได้ว่าในตำราเล่มนั้นก็คือคำกลอนที่นางเคยแต่งไว้

ชาติก่อนหลิ่วเมิ่งถังหมายจะให้ชื่อเสียงด้านความสามารถของบุตรสาวขจรขจายไปไกล จึงกำชับเป็นพิเศษให้นางรวบรวมบทกวีที่ประพันธ์ในยามปกติมาให้ครบถ้วน จากนั้นเขาก็ไหว้วานคนจัดทำเป็นรูปเล่ม เพียงแต่ไม่เหมาะจะระบุนามจริงของหญิงสาว จึงตั้งฉายา ‘ผู้สันโดษธารกระจ่าง’ สำหรับระบุบนหน้าหนังสือ

หลังจากนางสร้างชื่อในวันเทศกาลซั่งซื่อ ถึงได้เปิดเผยฉายานี้ในหมู่สหายหญิงที่สนิทสนมกัน ส่งผลให้ชั่วขณะนั้นหนังสือรวมบทกวีของผู้สันโดษธารกระจ่างกลายเป็นที่นิยมอย่างสูงและแพร่หลายในวงกว้าง คุณชายตระกูลลือนามทั่วเมืองหลวงที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาล้วนมีติดมือหนึ่งเล่มกันแทบทุกคน เพื่อมิให้ยามพบปะคนงามในงานชุมนุมบทกลอนแล้วขาดหัวข้อสนทนา

แต่นึกไม่ถึงว่าชาตินี้ฉายาผู้สันโดษธารกระจ่างยังไม่ทันจะโด่งดัง หนังสือรวมบทกวีหนึ่งเล่มก็ถึงกับมาปรากฏอยู่ในห้องหนังสือของฉู่เสียแล้ว ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดวาบขึ้นในใจฉยงเหนียงทันใด

ดูเหมือนฉู่เสียจะสังเกตเห็นสายตาของนาง เขาพลันยื่นมือหยิบหนังสือรวมบทกวีเล่มนั้นโยนมาที่ข้างเท้านางแล้วชี้มือมายังหน้าที่เปิดอยู่ “อ่านซิ”

ฉยงเหนียงเงยหน้าเหลือบมองอย่างฉับไวก็สบกับดวงตาอันดำลุ่มลึกของเขาเข้าอย่างจัง นางขบริมฝีปากก่อนจะอ่านเสียงเบา ส่งผลให้สุ้มเสียงอันหวานหูชวนฟังดังสะท้อนห้องหนังสืออันเงียบสงบ

ทว่านางยิ่งอ่านกลับยิ่งกระดากอาย ชาติก่อนนางช่างบ้าบิ่นเสียจริง อายุน้อยๆ ก็ฟังคำของบิดานำบทกลอนไปรวมเล่มแล้ว ยังไม่ทันผ่านชีวิตจะมีอารมณ์สะทกสะท้อนอันลึกซึ้งจากที่ใดได้เล่า บทกลอนเหล่านี้ไม่แคล้วเป็นเสียงโอดครวญที่ปราศจากความรู้สึกจริง เหมือนเสียงทอดถอนใจให้กับกาลเวลาอย่างเลื่อนลอย

บัดนี้ได้เกิดเป็นคนอีกหนึ่งชาติภพ เมื่ออ่านบทกลอนในวัยเยาว์ของตน ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็พลันประดังเข้าใส่จนนางอยากจะฉีกหนังสือรวมบทกวีเล่มนี้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนเข้ากองไฟเผาให้วอดเสียเดี๋ยวนี้ ขณะเดียวกันนางก็นึกฉงนว่าฉู่เสียรู้ได้อย่างไรว่านี่คือบทกลอนของนาง ทั้งให้นางอ่านทวนซ้ำไม่เลิกรา

เมื่ออ่านซ้ำเป็นรอบที่ห้า ฉยงเหนียงก็ข่มกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเงยหน้าถามเสียเลย “ขอบังอาจเรียนถามท่านอ๋อง ข้าน้อยเคยล่วงเกินท่านกระนั้นหรือ”

ฉู่เสียจับจ้องริมฝีปากแดงกับแก้มนวลของฉยงเหนียงโดยตลอด พอเห็นนางเงยหน้า สายตาเขาก็ไม่ได้เบนไปทางอื่น เพียงตอบนางเรียบๆ “ก็ไม่นับว่าล่วงเกินหรอก แค่เคยพนันกับเจ้าเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าถึงกับลืมหมดสิ้นแล้ว”

ฉยงเหนียงกำลังจะเอ่ยปากอีกหน ประกายความคิดก็พลันผุดวาบ นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ จะว่าไปก็เกี่ยวข้องกับกลอนบทที่อ่านไปเมื่อครู่

ตอนนั้นนางตามหลิ่วเจียงจวีไปที่ลานล่าสัตว์ เจอกับคุณหนูผู้หนึ่งที่แต่งตัวเป็นชายแล้วโต้เถียงกันเพื่อแย่งกวางตัวหนึ่ง

คุณหนูผู้นั้นก็ช่างไร้เหตุผลนัก เห็นอยู่ว่าฉยงเหนียงเป็นผู้ยิงได้ก่อน แต่กลับดึงดันจะบอกว่าตนเป็นผู้ยิงถูกกวาง ท่าทางบอกชัดว่าถูกตามใจจนเสียนิสัย

เหตุการณ์โดยรวมฉยงเหนียงจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จำได้เพียงว่ามีบุรุษสวมหมวกสานปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรสีดำผู้หนึ่งตามมาด้วยกันกับคุณหนูผู้นั้น ดูท่าน่าจะเป็นพี่ชายของอีกฝ่าย ความไร้เหตุผลสืบทอดกันมาไม่มีผิดเพี้ยน ฉยงเหนียงที่ถูกยั่วโทสะจึงเอ่ยทักทายย้อนไปถึงบรรพบุรุษสามรุ่นและล่วงหน้าไปถึงลูกหลานห้ารุ่นของพี่น้องคู่นั้นโดยไม่ใช้คำหยาบสักคำเดียว

ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจะพูดมาประโยคหนึ่ง ทำนองว่าคุณหนูปากจัดเช่นนางเป็นสตรีที่ขาดการอบรม วันหน้าออกเรือนจะต้องทุกข์ยาก

นางในตอนนั้นก็เป็นคนถือดี จึงพิศมองบุรุษใต้ม่านแพรดำผู้นั้นขึ้นลงก่อนเอ่ยตอบโต้ ‘ท่านไม่กล้าสู้หน้าผู้คน ย่อมเป็นเพราะรูปโฉมขี้ริ้วยิ่ง ต่อให้ข้าทุกข์ยากก็ไม่ถึงคราวต้องทำอาหารซักเสื้อผ้าให้ท่านหรอก’

บุรุษผู้นั้นแค่นเสียงหัวเราะอันเย็นชาก่อนโต้กลับ ‘นั่นก็ไม่แน่’

ถัดจากนั้นตลอดทั้งวัน กลุ่มของนางก็พบเจอพี่น้องคู่นั้นไม่หยุดหย่อน ต่อมายามที่ออกจากลานล่าสัตว์บังเอิญเจอฝนตกหนัก นางต้องยืนรอเรืออยู่ในศาลาของท่าข้ามฟากอย่างแสนเบื่อหน่าย จึงโพล่งกลอนบทนั้นออกมา รอจนนางหมุนตัวจึงค่อยพบว่าบุรุษผู้นั้นยืนอยู่ด้านหลังของนางพอดี…

คิดมาถึงตรงนี้ เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษใต้ม่านแพรดำผู้นั้นก็ดูเหมือนจะตรงกับฉู่เสีย นางจึงรีบถามหยั่งเชิง “ฤดูร้อนเมื่อปีกลาย ข้าอยู่ที่ลานล่าสัตว์มีเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยกับญาติของท่านอ๋องใช่หรือไม่”

ฉู่เสียหยักยกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจริงใจเท่าใดนัก ถึงค่อยหยิบตะเกียบคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งใส่เข้าปากเคี้ยวชิมรสชาติก่อนเอ่ย “ตอนพูดพนันกับคุณหนูเมื่อปีกลาย ข้านึกไม่ถึงเลยว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูยังนับว่าเข้าปากได้”

แผ่นหลังของฉยงเหนียงผุดซึมไปด้วยเหงื่อเย็น แม้แต่ในชาติก่อนนางก็ไม่เคยรู้ตัวว่าบังเอิญไปล่วงเกินคนใจแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นเยี่ยงนี้เข้า ถ้าเช่นนั้นชาติก่อนที่เขาส่งคนมาสู่ขอนางถึงสกุลหลิ่ว ก็ต้องการจะแต่งนางเข้าจวนมาทำอาหารซักเสื้อผ้าให้เขาเพราะเคยไปลบหลู่เขาเข้ากระมัง

ตอนนี้มาคิดดูแล้ว หลังจากเขาสู่ขอนางไม่สำเร็จ ดูเหมือนจะถูกหอบม้วนเข้าสู่คดีทุจริตขายตำแหน่งขุนนางในการสอบที่กำลังจะถึงนี้ สุดท้ายเขาถูกฮ่องเต้ลงโทษให้ออกจากเมืองหลวงภายในวันที่กำหนด มิเช่นนั้นด้วยท่าทีโหดร้ายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว นางในตอนนั้นคงยากจะออกเรือนไปกับซั่งอวิ๋นเทียน ยังไม่แน่ว่านางจะถูกเขาเคี่ยวกรำจนอยู่ในสภาพใด

คิดมาถึงตรงนี้นางก็วางหนังสือแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนนั้นข้าน้อยไม่รู้ความจึงล่วงเกินท่านอ๋องเข้า หวังว่าผู้ใหญ่เช่นท่านอ๋องจะไม่ถือสาหาความผู้เยาว์ ละเว้นข้าน้อยได้หรือไม่”

ฉู่เสียเห็นนางคุกเข่าอยู่ตรงริมเสื่อหอมก็เอ่ยสั่งเรียบๆ “มารินสุราให้ข้า”

ฉยงเหนียงขบริมฝีปากลุกขึ้นแล้วเดินตรงไป ทว่ายังไม่ทันจะนั่งมั่นคงก็ถูกฉู่เสียยุดข้อมือที่ขาวเนียนแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมอกในคราวเดียว

ริมฝีปากบางของเขาพลันแนบชิดริมติ่งหูนางก่อนกระซิบตอบ “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ หน่อย จะได้มองให้ชัดว่ารูปโฉมของข้าหลางอ๋องคู่ควรที่เจ้าจะทำอาหารซักเสื้อผ้าและปรนนิบัติไปชั่วชีวิตหรือไม่”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: