บทที่ 9
คิ้วเรียวสวยของเสิ่นหยวนขมวดมุ่น
นางไม่รู้จักสาวใช้ตรงหน้านี้ แต่จุดสำคัญคืออีกฝ่ายแต่งตัวยั่วยวนปานนี้ กิริยาวาจาก็ดูเหลาะแหละเพียงนั้น…
นึกถึงว่าชาติก่อนเสิ่นหงถูกเซวียอี๋เหนียงจงใจให้เสิ่นหรงกับเซวียอวี้ซู่ล่อลวงจนสุดท้ายกลายเป็นมีสภาพเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยวนก็อดจะเย็นเยียบไม่ได้
นางไม่อยากตอบคำถามของสาวใช้ผู้นั้น จึงหันหน้าไปมองชิงเหอ
ชิงเหอเข้าใจ มองสาวใช้ผู้นั้นพลางพูดว่า “นี่คือคุณหนูใหญ่ เจ้ายังไม่รีบหลบให้คุณหนูใหญ่เข้าไปอีก”
สาวใช้นางนั้นได้ฟังแล้วก็ยอบตัวคารวะเสิ่นหยวน ทว่าก็ทำอย่างขอไปที ถ้อยคำที่เปล่งออกมายิ่งไร้ซึ่งความจริงใจ “บ่าวจื่อเซียวคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนไม่แม้แต่จะมองนาง ยกเท้าก้าวเดินตรงเข้าลานเรือน
เสิ่นหงอยู่ในห้องหนังสือที่ห้องข้างฝั่งตะวันตก มือกำลังถือ ‘บันทึกพิธีการ’ อ่านอยู่ ได้ยินเสียงที่ด้านนอกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจากหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งออกไป พอเห็นว่าเป็นเสิ่นหยวนมาหาจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้
เวลานี้เสิ่นหยวนเดินเข้ามาในห้องแล้ว
“พี่หญิงใหญ่” บนใบหน้าเสิ่นหงมีรอยยิ้มเอียงอาย เอ่ยปากเรียก
เขามีใบหน้าเกลี้ยงเกลาน่ามอง แต่เนื่องจากพูดไม่ค่อยคล่อง ทำให้ในความทรงจำของเสิ่นหยวนจดจำว่าเขามีนิสัยเงียบขรึม พูดน้อย ทั้งยังขี้อายมาแต่ไหนแต่ไร ชาติก่อนเสิ่นหยวนไม่เคยให้ความสนใจในตัวน้องชายผู้นี้เสียเท่าไร กลับเป็นตอนที่นางแต่งไปสกุลหลี่แล้วถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา เคยมีหนหนึ่งที่น้องชายแสนจะขี้อายอย่างเขาบุกเข้าสกุลหลี่ไปโต้เถียงกับคนสกุลหลี่
จนถึงตอนนี้เสิ่นหยวนก็ยังจำท่าทางแค้นเคืองของเสิ่นหงซึ่งมีต่อความไม่เป็นธรรมในเวลานั้นได้ ใบหน้าเขาแดงก่ำ คอขึ้นเส้นเลือดยามเผชิญหน้าคนสกุลหลี่
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนพลันขอบตาร้อนผ่าวอยู่บ้าง แต่ก็เก็บสีหน้าผิดปกติของตนเองทันที อมยิ้มพลางเอ่ยเรียก “หงเอ๋อร์”
เสิ่นหงไม่ค่อยพูด แค่พยักหน้าให้แล้วผายมือเชิญนางนั่งลง
เสิ่นหยวนนั่งลง เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้ยกถาดเข้ามาวางน้ำชาให้
เสิ่นหยวนมองสาวใช้นางนั้นอย่างพินิจ ท่าทางอายุราวสิบสามสิบสี่ แม้รูปโฉมจะไม่อาจเทียบกับจื่อเซียว แต่ก็ดูสดใสจิ้มลิ้มอยู่หลายส่วน
เสิ่นหยวนเก็บสายตากลับมา เงยหน้ามองไปนอกหน้าต่างก็เห็นสาวใช้นามจื่อเซียวที่ได้เห็นก่อนหน้านี้กำลังยืนอยู่หลังต้นกล้วยน้ำว้าต้นหนึ่งในลานเรือน หรี่ตามองเข้ามาในเรือน ครั้นสบเข้ากับสายตาเสิ่นหยวนนางก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนด้านข้าง
เสิ่นหยวนหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงมีรอยยิ้มอยู่สองส่วน มองเสิ่นหงพลางพูดว่า “พี่รู้ว่าเจ้าชอบเขียนอักษรและอ่านหนังสือ กลับจากฉางโจวคราวนี้จึงซื้อจานฝนหมึกศิลาลายไหมแดง หมึกเขม่าสน และหนังสือใหม่อีกสองเล่มมาให้เจ้า ไม่รู้เจ้าจะชอบหรือไม่”
พูดพลางให้ชิงเหอยกของไปไว้ตรงหน้าเสิ่นหง
เสิ่นหงเห็นแล้วก็ยื่นมือมารับไป แสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าทันที “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่”
เสิ่นหยวนเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น
ต่อจากนั้นสองพี่น้องก็คุยเล่นกันครู่หนึ่ง เสิ่นหงพูดช้าและกระชับยิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ บางครั้งเขาก็ยังมิแคล้วติดอ่างอยู่เล็กน้อย
หากเป็นในอดีตเสิ่นหยวนได้ยินเขาพูดติดอ่างจะต้องหัวเราะเยาะแน่ ในใจเสิ่นหงเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ใบหน้าจึงได้แดงเถือก ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือคราวนี้เสิ่นหยวนไม่ได้มีท่าทีจะหัวเราะเยาะเขาแม้แต่นิดเดียว กลับแย้มยิ้มฟังเขาพูดอย่างตั้งใจโดยตลอด
เสิ่นหงค่อยๆ คลายใจ ต่อมาก็เริ่มพูดมากขึ้นกว่าตอนแรก
เสิ่นหยวนฟังเขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยตลอด ไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย ครั้นเสิ่นหงตระหนักได้ว่าตนเองถึงกับพูดอะไรไปมากมายต่อหน้าเสิ่นหยวนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็ตกใจอยู่เล็กน้อย
พี่สาวคนนี้ของข้าไม่เคยมีครั้งไหนที่อดทนฟังข้าพูดเหมือนอย่างวันนี้ แล้วไฉนวันนี้กลับ…
เขาช้อนตาขึ้นมองเสิ่นหยวน
นางสวมเสื้อนอกตัวยาวผ่าหน้าที่ทำจากผ้าต่วนซ่อนลายสีขาวงาช้างกับกระโปรงจีบเล็กสีหยก
เท่าที่จำได้นางชอบสีสดใสฉูดฉาดอย่างชมพูดอกท้อ เขียวใบหลิว เหลืองลูกห่านเป็นที่สุด เคยเห็นนางใส่สีเรียบๆ สะอาดตาเช่นนี้เสียเมื่อไร มิหนำซ้ำทั้งตัวนางในตอนนี้ก็ดูสงบนิ่งเรียบเฉย มิได้ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งและเจ้าอารมณ์เช่นที่แล้วมา
เสิ่นหยวนเห็นเสิ่นหงมองนางใจลอยก็ยิ้มพลางถามเขาว่า “หงเอ๋อร์มองพี่เช่นนี้มีอะไรหรือไม่”
เสิ่นหงได้สติกลับมา พอสบเข้ากับสายตาเจือยิ้มของเสิ่นหยวนเขาก็ตอบอย่างติดอ่าง “พี่หญิงใหญ่…เปลี่ยนไปแล้ว”
เสิ่นหยวนเข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ท่านแม่จากไปแล้ว ต่อไปจะไม่มีผู้ใดคิดเผื่อพวกเราเหมือนเมื่อก่อนอีก นิสัยของพี่อย่างไรก็ต้องเปลี่ยน” นางชะงักเล็กน้อยก่อนจะมองเสิ่นหงพลางพูดยิ้มๆ อีกว่า “ทว่าพี่ยังอยู่ ต่อไปพี่จะปกป้องเจ้าและเซียงเอ๋อร์อย่างเต็มที่”
ตอนเสิ่นหงได้ยินเสิ่นหยวนเอ่ยถึงมารดาสีหน้าก็หม่นลง ยามนี้พลันได้ยินเสิ่นหยวนพูดเช่นนี้ เขาก็ตกตะลึง เงยหน้ามองนาง
ทั้งสองคนนั่งอยู่ใกล้กัน มองเห็นเสิ่นหงมีท่าทางตกตะลึงเช่นนี้ เสิ่นหยวนจึงหันตัวเอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม “ก่อนท่านแม่สิ้นใจได้ทิ้งจดหมายไว้ให้พี่ฉบับหนึ่ง บอกให้ต่อจากนี้พี่ต้องดูแลเจ้ากับเซียงเอ๋อร์ให้ดี หงเอ๋อร์ เจ้าวางใจ แม้ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว แต่ตราบที่พี่ยังอยู่ ก็จะปกป้องเจ้าและเซียงเอ๋อร์ให้มั่นคงปลอดภัยได้แน่นอน”
เสิ่นหงต่างกับเสิ่นเซียง ในใจเขายังมีพี่สาวอย่างนางอยู่ อีกทั้งเดิมเขาก็เป็นเด็กความรู้สึกไว ถ้าจะเก็บซ่อนปิดบังเขา มิสู้พูดเรื่องเหล่านี้กับให้เขาชัดเจนไปเลยดีกว่า
เสิ่นหงซาบซึ้งใจตามคาด เขาพลิกมือกุมมือเสิ่นหยวนไว้แน่น น้ำตาคลอหน่วย
เสิ่นหยวนตบหลังมือเขาเบาๆ “ผ่านช่วงปีใหม่เจ้าก็อายุสิบสองแล้ว เอะอะก็ร้องไห้เช่นนี้ใช้ไม่ได้”
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา
นั่งได้อีกครู่หนึ่งเสิ่นหยวนก็บอกว่าตนเองยังมีธุระ ขอตัวไปก่อน อีกสองวันจะมาหาเสิ่นหงใหม่
เสิ่นหงได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นยืน ท่าทำจะไปส่งนาง เสิ่นหยวนยกมือห้ามเขาไว้ ก่อนเอ่ยถามคล้ายไม่มีเจตนา “พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนคนที่รับใช้ข้างกายเจ้าเป็นบ่าวชายนามกวนเฟิง ไฉนผู้ที่เปิดประตูเรือนให้ข้าเมื่อครู่นี้ถึงเป็นสาวใช้นามจื่อเซียวเสียเล่า เมื่อก่อนข้าเหมือนจะไม่เคยเห็นสาวใช้นางนี้อยู่ในบ้าน เหตุใดข้าจากไปได้ปีเดียว ในบ้านก็ซื้อสาวใช้ใหม่เข้ามามากเพียงนี้ แล้วกวนเฟิงไปอยู่ที่ใดแล้ว”
เสิ่นหงอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เสิ่นหยวนฟังอย่างกระท่อนกระแท่น นางถึงได้รู้ว่าปีก่อนกวนเฟิงเกิดล้มป่วย เซวียอี๋เหนียงบอกว่าบ่าวไม่สบาย เกรงว่าจะทำให้เขาไม่สบายไปด้วยจึงไล่กวนเฟิงออกไป ต่อจากนั้นก็เลือกจื่อเซียวกับสาวใช้นามหงหลิงผู้นั้นมารับใช้เสิ่นหงที่เรือนเจ๋อหย่า
เสิ่นหยวนยิ้ม ฟังเสิ่นหงพูดจนจบแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงพาชิงเหอหมุนตัวเดินออกมา
ยามมาถึงหน้าประตูเรือนนางก็หันหน้ากลับไปมองเรือนด้านข้างที่เมื่อครู่จื่อเซียวเข้าไป
เป็นอย่างที่คิด นางมองเห็นเงาคนที่กำลังเกาะอยู่หลังหน้าต่างมองออกมาข้างนอกเพิ่งหดตัวหายไป
เสิ่นหยวนยิ้มเย็นในใจ
ชาตินี้ข้าจะปล่อยให้เซวียอี๋เหนียงส่งคนมาทำให้เสิ่นหงเสียคนเหมือนเมื่อชาติก่อนไม่ได้ สาวใช้นามจื่อเซียวและหงหลิงนี้ไม่อาจปล่อยให้อยู่ที่เรือนเจ๋อหย่าต่อไปได้เด็ดขาด
ขณะเสิ่นหยวนพาชิงเหอกลับมาถึงเรือนซู่อวี้ก็เห็นในลานเรือนมีพวกหีบ โต๊ะเก้าอี้ และฉากบังลมบานพับกองอยู่จำนวนมาก สวีมามา ไฉ่เวย และชิงจู๋กำลังกำชับบ่าวไพร่ให้เบามือเบาเท้าเวลาขน อย่ากระแทกจนของพัง
มองเห็นเสิ่นหยวนกลับมาแล้ว สวีมามาก็รีบเดินมากล่าวกับนาง “ตามคำสั่งของคุณหนู เมื่อวานกลับไปบ่าวก็จัดสินเจ้าสาวของฮูหยินทันที เมื่อครู่ถึงเพิ่งเรียกให้บ่าวไพร่ไปขนสินเจ้าสาวทั้งหมดของฮูหยินมาที่เรือนของท่าน โดยที่บ่าวเฝ้าด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ท่านตาเป็นขุนนางมือสะอาด เมื่อแรกที่มารดาออกเรือนจึงไม่ได้มีสินเจ้าสาวให้มากนัก ที่ดินหนึ่งแห่งกับร้านค้าสองแห่งก็ถึงขีดจำกัดแล้ว อย่างอื่นเพียงแค่หามาให้ครบสามสิบสองหาบเพื่อให้ดูสมเกียรติเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เป็นแค่หญ้าหนึ่งต้น นางก็ไม่อาจให้เซวียอี๋เหนียงมามีส่วนร่วมได้แม้สักกระผีกเดียว
เมื่อคืนเสิ่นหยวนสั่งไฉ่เวยไว้แล้วว่าวันนี้ให้นางเรียกสาวใช้ไปเก็บกวาดทำความสะอาดห้องว่างห้องหนึ่งไว้ใช้เก็บสินเจ้าสาวของมารดา ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นกำลังขนสินเจ้าสาวของมารดาเข้าไปไว้ในห้องนั้นอยู่
เสิ่นหยวนยืนมองอยู่ในลานเรือนได้ครู่หนึ่งก็เรียกสวีมามาให้ตามนางเข้าห้อง
หลังเข้ามาในห้องข้างฝั่งตะวันออกเสิ่นหยวนก็นั่งลงบนเตียงเตาไม้ใกล้หน้าต่าง ก่อนให้ชิงเหอยกม้านั่งกลมมาให้สวีมามานั่ง จากนั้นนางถึงค่อยเอ่ยปากถามเรื่องของแม่นมข้างกายเสิ่นเซียง
สวีมามาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ “แม่นมคนนี้ของคุณหนูสาม บ่าวจำได้ว่าฮูหยินซื้อตัวมาตอนที่ตั้งครรภ์คุณหนูสามได้ราวหกเดือน เวลานั้นเฝิงมามาบอกว่าสามีตาย บุตรชายยังไม่กี่เดือน เลี้ยงไม่ไหว เต็มใจขายตัวเข้ามาในจวนของเรา ฮูหยินเห็นนางน่าสงสารจึงใช้เงินซื้อนางไว้ ต่อมาเมื่อคลอดฮูหยินก็ให้นางเป็นแม่นมของคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “บุตรชายคนนั้นของเฝิงมามา ข้าจำได้ว่าดูเหมือนจะเป็นบ่าวชายประจำตัวพี่ใหญ่?”
“คุณหนูจำได้ไม่ผิด” สวีมามาตอบอย่างนอบน้อม “บุตรชายของเฝิงมามามีอีกชื่อว่าผิงอันเอ๋อร์ รับใช้อยู่ข้างกายคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
บุตรชายของเฝิงมามาทำงานอยู่ใต้คำสั่งของบุตรชายเซวียอี๋เหนียง…
เสิ่นหยวนครุ่นคิดโดยไม่พูดอะไร ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยถาม “สวีมามา เฝิงมามาผู้นี้ท่านเห็นเป็นอย่างไร บอกมาตามจริง”
ภาพจำที่นางมีต่อเฝิงมามาผู้นั้นอย่างไรก็ไม่ค่อยดี ทว่าก็ยังอยากฟังความเห็นของสวีมามา
สวีมามาเองก็ตรงไปตรงมายิ่ง บอกออกมาตามตรง “ตามหลักแล้วบ่าวไม่ควรนินทาผู้ใดลับหลัง เพียงแต่เฝิงมามาผู้นี้ ตอนที่นางเพิ่งมาถึงจวนพวกเราก็ดูเป็นคนซื่อสัตย์เจียมตัวดี แต่ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรถึงเริ่มแต่งตัวขึ้นมา ในคำพูดคำจาก็มีแววทะนงตน คุณหนูเองก็ทราบ พอฮูหยินคลอดคุณหนูสามได้ไม่นาน พวกเราก็แยกบ้านกับนายท่านใหญ่ ฮูหยินต้องดูแลเรื่องในบ้าน ยุ่งง่วนทั้งวัน ไม่มีเวลามาดูแลคุณหนูสาม จึงส่งคุณหนูสามให้เฝิงมามาเลี้ยง ทำให้คุณหนูสามติดเฝิงมามาเป็นที่สุด ฮูหยินเองก็เป็นคนใจดีมีเมตตา ให้เกียรตินางเป็นอันมาก แต่เฝิงมามาผู้นี้กลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ วันๆ เอาแต่ถือตัวว่าเป็นแม่นมของคุณหนูสาม ชอบติชอบเตียน เวลาพูดจาก็ชอบยุแยงให้เกิดเรื่อง เป็นคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างที่สุด บ่าวเห็นนางขัดหูขัดตามานานแล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนฟังคำของสวีมามาจบก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “คงต้องรบกวนสวีมามาเรื่องหนึ่ง เฝิงมามาผู้นั้น เรื่องที่เกี่ยวกับนางและบุตรชายนาง สองวันนี้ท่านช่วยไปสืบแล้วมาบอกข้าที”
จะอย่างไรสวีมามาก็เป็นคนเก่าคนแก่ในจวน ถึงมารดาไม่อยู่แล้วจะทำให้มีฐานะในจวนไม่สู้เมื่อก่อน แต่ก็รู้จักคนมาก อยากสืบเรื่องอะไรย่อมง่ายดายกว่าผู้อื่น
สวีมามาตอบรับทันที เสิ่นหยวนจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงคัดเลือกผ้าอย่างละเอียด ก่อนง่วนกับการวาดแบบลวดลาย ตั้งใจว่าจะเริ่มทำชุดกันหนาวให้เสิ่นเฉิงจาง เสิ่นเซียง และเสิ่นหง
ทว่าตกบ่ายก็มีขันทีน้อยมาจากในวัง บอกว่าเสียนเฟยให้เสิ่นหยวนเข้าวังไปพบในวันพรุ่งนี้
เพิ่งจะยื่นป้ายประจำตัวไปไม่ทันไร คิดไม่ถึงว่าจะได้รับการตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้ แม้แต่เสิ่นหยวนยังรู้สึกเหนือความคาดหมาย นางให้ไฉ่เวยมอบเงินให้ขันทีน้อยผู้นั้นไปห้าตำลึง แล้วจึงเริ่มจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำเข้าวังไปให้เสียนเฟยวันพรุ่งนี้
หลังเสิ่นเฉิงจางเลิกงานกลับมารู้เรื่องนี้ก็ให้คนเรียกเสิ่นหยวนมากำชับกำชาอย่างละเอียด
เขาแค่ไม่วางใจเท่านั้น เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงเสียนเฟยในวังหลวง แต่พอเห็นเสิ่นหยวนในตอนนี้มีท่าทางเยือกเย็นสงบนิ่ง เสิ่นเฉิงจางก็พลันรู้สึกว่าบุตรสาวคนโตคนนี้ของเขารู้ความแล้วจริงๆ
เซวียอี๋เหนียงก็อยู่ด้วย เห็นเสิ่นเฉิงจางมีแววพออกพอใจต่อเสิ่นหยวนอย่างไม่ปิดบัง แม้ใบหน้านางจะยังมีรอยยิ้มบางๆ อ่อนหวานอยู่ตลอด แต่ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าทะเลสาบกลับใกล้จะถูกสองมือที่กำแน่นของนางขยำจนขาดแล้ว
เสิ่นหยวนในตอนนี้ได้รับความสำคัญจากเสิ่นเฉิงจางจริงๆ เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับนาง อีกทั้งเบื้องหลังเสิ่นหยวนยังมีท่านตาและท่านป้าที่เป็นถึงเสียนเฟยอยู่อีก
ที่สำคัญที่สุดคือเซวียอี๋เหนียงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเสิ่นหยวนกลับมาคราวนี้มีการเตรียมตัวมา การดำรงอยู่ของเสิ่นหยวนเป็นไปได้มากว่าภายหน้าจะเป็นภัยคุกคามมาถึงนาง…
อย่างไรเสียอิสตรีก็ต้องแต่งงาน เซวียอี๋เหนียงคิดในใจอย่างเย็นเยียบ ขอแค่ให้เสิ่นหยวนแต่งออกไปได้ ถึงเวลานั้นอีกฝ่ายยังจะสอดมือยุ่งเรื่องในจวนสกุลเสิ่นนี้ได้อีกหรือ ก็ทำได้แค่ดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้หลังเสิ่นหยวนเดินออกไปแล้ว เซวียอี๋เหนียงจึงยิ้มกล่าวกับเสิ่นเฉิงจาง “คุณหนูใหญ่ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ผู้น้อยเห็นแล้วรู้สึกดีโดยแท้”
เสิ่นเฉิงจางเองก็พูดคล้อยตามยิ้มๆ “หยวนเจี่ยไปฉางโจวเที่ยวนี้กลับมาก็เรียบร้อย รู้มารยาทอย่างมาก ข้าเห็นแล้วรู้สึกปลาบปลื้มเช่นกัน”
เซวียอี๋เหนียงยิ้มฟังเขาพูดจนจบ จากนั้นก็กล่าวว่า “ผู้น้อยจำได้ว่าคุณหนูใหญ่เกิดเดือนสิบ เพิ่งจะปักปิ่นได้ไม่นานเองนะเจ้าคะ”
เสิ่นเฉิงจางพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
พิธีปักปิ่นเป็นเรื่องใหญ่ แต่เสิ่นหยวนผ่านการปักปิ่นแล้ว เสิ่นเฉิงจางกลับไม่ได้ส่งจดหมายไปสักฉบับ นับประสากับส่งของขวัญไปให้
เขาได้ยินเซวียอี๋เหนียงพูดเสียงนุ่มอีกว่า “แม้กล่าวว่ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้ฮูหยิน แต่จะอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็อายุไม่น้อยแล้ว เรื่องแต่งงาน นายท่านก็ควรให้ความสนใจสักหน่อย ยังคงต้องหาคู่หมายที่ถูกใจให้คุณหนูใหญ่สักคนเจ้าค่ะ”
ได้ยินเซวียอี๋เหนียงเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของเสิ่นหยวน เสิ่นเฉิงจางก็นึกถึงเรื่องเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวหยวนขึ้นมา ทว่าเสิ่นหยวนกลับมาคราวนี้มิได้เอ่ยถึงหลี่ซิวหยวนอีกแม้แต่คำเดียว คิดว่าในใจนางคงจะปล่อยวางได้นานแล้ว
เช่นนั้นก็ดี สกุลหลี่เองก็ไม่เข้าตาเขา ต้องหาตระกูลที่เหมาะสม ภายหน้าสามารถช่วยส่งเสริมการงานของเขาถึงจะใช้ได้
แม้ตอนนี้เขาจะเป็นรองเสนาบดีกองงานไท่ฉาง แต่กองงานไท่ฉางไม่ได้มีอำนาจจริงอะไร ตอนนี้เขาก็ยังอายุไม่มาก อย่างไรก็ยังอยากก้าวหน้าขึ้นไปอีก จะดีที่สุดหากสามารถเข้าไปทำงานในหน่วยงานสำคัญที่มีอำนาจจริงอย่างหกกรมได้
ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉิงจางจึงพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าย่อมให้ความสนใจ”
เซวียอี๋เหนียงได้ยินแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งอ่อนหวาน
เช้าวันรุ่งขึ้นเสิ่นหยวนแต่งตัวเรียบร้อย หลังสั่งชิงเหอกับชิงจู๋ให้เฝ้าเรือนแล้ว ก็พาสวีมามากับไฉ่เวยนั่งรถม้าไปยังวังหลวง
จวนสกุลเสิ่นอยู่ไม่ห่างจากวังหลวงนัก ไม่ถึงสองก้านธูป ก็มาถึงหน้าประตูวัง
หากมิใช่พระญาติหรือขุนนางคนสำคัญ รถม้าไม่อาจเข้าประตูวังได้ตามใจ เสิ่นหยวนจึงจับมือไฉ่เวยประคองตัวลงจากรถมายืนข้างๆ ดูราชองครักษ์ตรวจสอบสิ่งของที่นางนำมาให้ท่านป้า
ขันทีน้อยที่ไปถ่ายทอดคำพูดยังจวนสกุลเสิ่นเมื่อวานกำลังยืนอยู่ตรงประตูวัง พอเห็นเสิ่นหยวนแล้วก็รีบวิ่งเหยาะๆ มาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวกับนาง “คุณหนูเสิ่น ท่านมาแล้วหรือขอรับ เสียนเฟยมีรับสั่งให้ผู้น้อยมารับท่านที่นี่ ผู้น้อยมารออยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ”
เขาหันหน้าไปพูดกับเหล่าราชองครักษ์ที่กำลังตรวจสอบสิ่งของอยู่ว่า “คุณหนูท่านนี้เป็นหลานสาวของเสียนเฟย ของที่นำมาล้วนเป็นของฝากจากบ้านเกิดที่เสียนเฟยมีรับสั่งให้นำมา ต้องขอรบกวนท่านราชองครักษ์ให้เร่งมือหน่อย เสียนเฟยทรงรออยู่”
ราชองครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวตอบเสียงกระโชกโฮกฮาก “ไม่ว่าเป็นญาติของเจ้านายองค์ใด นำสิ่งของอะไรมาก็ล้วนต้องถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน นี่เป็นกฎ กงกงน้อยก็เป็นคนในวัง กฎเล็กๆ แค่นี้ไม่รู้เชียวหรือ ประตูวังนี้ไหนเลยจะให้คนเข้าออกได้ตามใจชอบ”
ขันทีน้อยผู้นั้นได้ยินแล้วก็หน้าแดงเถือกทันที กำลังจะก้าวไปเถียงกับราชองครักษ์ผู้นั้น กลับถูกเสิ่นหยวนรั้งไว้ด้วยรอยยิ้ม “กงกง เชิญท่านมาทางนี้สักหน่อย”
พอขันทีน้อยหมุนตัวเดินมาแล้ว เสิ่นหยวนก็ส่งสัญญาณให้ไฉ่เวยนำขนมงาทอดเคลือบน้ำตาลให้เขากล่องหนึ่ง “นี่คือขนมประจำบ้านเกิดของเสียนเฟย ขนมงาทอดเคลือบน้ำตาล ท่านลองชิมดู”
ขันทีน้อยเองก็ไม่ได้เกรงใจนาง รับขนมมายัดเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่เกรงใจคุณหนูแล้ว ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ”
ราชองครักษ์ยังตรวจสอบสิ่งของในห่อผ้าอยู่ เสิ่นหยวนก็ไม่รีบ เพียงยืนรอเงียบๆ อยู่ข้างๆ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงล้อรถเคลื่อนไปบนพื้นดังขลุกขลัก นางหันหน้าไปมองก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาช้าๆ
ราชองครักษ์ก้าวไปขวาง ตะโกนถามว่าเป็นผู้ใด แล้วมือเรียวยาวขาวผ่องข้างหนึ่งก็แหวกม่านรถสีน้ำเงิน โผล่ใบหน้างดงามดั่งหยกออกมา
เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาพริ้มเพราอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนตกใจเล็กน้อย ก่อนเก็บสายตากลับมา เบือนหน้าหนีไปมองอิฐกำแพงสีแดงชาดที่ด้านข้างทันที
รถม้านี้กว้างขวางยิ่ง อีกทั้งผนังรถล้วนใช้ไม้ประดู่แกะเป็นลายวั่นจื้อจิ่น บนช่องหน้าต่างก็มีเขียนลายทองไว้ แค่เห็นก็รู้ว่าเจ้าของต้องสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา
ราชองครักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดเสียงกระโชกโฮกฮากกับขันทีน้อย ยามนี้พอเห็นคุณชายผู้นี้กลับเดินไปถามด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าทันที “ซื่อจื่อ ท่านจะเข้าวังหรือขอรับ”
ชายหนุ่มที่ถูกเขาเรียกว่า ‘ซื่อจื่อ’ พยักหน้าให้เขา เสียงสุภาพสดใส ทว่าคำที่พูดออกมากลับกระชับยิ่งยวด “ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้เข้าเฝ้า”
แม้สายตาเสิ่นหยวนจะมองไปที่อื่น แต่กลับตั้งใจฟังบทสนทนาทางด้านนั้น
นางรู้ว่าซ่งฮองเฮาเป็นน้องสาวของหย่งชางโหว คนหนุ่มผู้นี้มาหาฮองเฮา อีกทั้งราชองครักษ์ก็เรียกเขาว่าซื่อจื่อ หรือว่าเขาก็คือซ่งอวิ๋นชิง ซื่อจื่อของหย่งชางโหว?
แม้ชาติก่อนเสิ่นหยวนจะไม่เคยพบซ่งอวิ๋นชิง แต่ก็ได้ยินข่าวว่าเขามีรูปโฉมสง่างามยิ่ง ทั้งยังเป็นคนละมุนละม่อม ไม่ถือพิธีรีตอง เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่พบเห็นได้ไม่มากท่านหนึ่ง
เวลานี้เองก็ได้ยินราชองครักษ์ผู้นั้นยิ้มพลางพูดว่า “เชิญซื่อจื่อเข้าวังขอรับ”
ความหมายคือจะให้ซ่งอวิ๋นชิงนั่งรถม้าตรงเข้าประตูวังเลย
เสิ่นหยวนเหลือบตามองไปเงียบๆ กลับเห็นซ่งอวิ๋นชิงกำลังก้มตัวลงจากรถม้า ทั้งยังพูดว่า “กฎไม่อาจยกเว้น”
ถึงกับจะเดินเข้าประตูวังเอง ทั้งยังกางสองแขนออกให้ราชองครักษ์ดูด้วยว่าบนร่างตนเองไม่ได้พกสิ่งของใด จากนั้นถึงก้าวเท้าเดินไปทางประตูวัง
ทว่าขณะเดินมาถึงเบื้องหน้าเสิ่นหยวนฝีเท้าเขากลับชะงักเล็กน้อย หันหน้ามองมายังนาง
ตอนเขาเปิดม่านรถม้าเมื่อครู่นี้ก็มองเห็นเสิ่นหยวนแล้ว รูปโฉมของเสิ่นหยวนเป็นที่ดึงดูดสายตาในหมู่คนอยู่แต่เดิม ถึงตอนนี้นางจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเรียบก็ยังคงงดงามไร้ใดเทียม ทำให้คนเห็นแล้วละสายตาไม่ได้
เสิ่นหยวนเห็นซ่งอวิ๋นชิงเดินมาก็ก้มหน้าเก็บสายตาลง ยามนี้มองเห็นเพียงรองเท้าแพรสีขาวลายก้อนเมฆปรากฏขึ้นในสายตา นางยอบตัวน้อยๆ คารวะ แต่กลับมิได้มีท่าทีจะเอ่ยปากทักทาย
ไม่มีคนบอกนางหรอกว่าซื่อจื่อตรงหน้านี้เป็นผู้ใดกันแน่ นางก็แค่คาดเดาเองว่าเขาคือซ่งอวิ๋นชิง ซื่อจื่อของหย่งชางโหวเท่านั้น
ซ่งอวิ๋นชิงเองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เห็นนางคารวะ เขาก็พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินผ่านไป
ครานี้เสิ่นหยวนถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
ขณะเดียวกันราชองครักษ์ที่ด้านข้างก็ตรวจสอบสิ่งของทั้งหมดที่เสิ่นหยวนนำมาเสร็จเรียบร้อยและคืนสิ่งของมาแล้ว ขันทีน้อยจึงพาพวกเสิ่นหยวนเข้าวัง
ซ่งอวิ๋นชิงเดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าอยู่ข้างหน้าพวกนางไม่ไกล เงาหลังสูงยาวดุจลำไผ่
ครั้นมาถึงตำหนักอวี้ซิ่วที่ประทับของเสียนเฟยขันทีน้อยก็เข้าไปรายงาน เพียงครู่เดียวก็เดินยิ้มออกมาบอกว่า “คุณหนูเสิ่น เชิญท่านตามผู้น้อยเข้าไปขอรับ”
เสียนเฟยนั่งอยู่บนเตียงเตาใหญ่ใกล้หน้าต่าง ที่ขาคลุมผ้าขนแกะผืนหนาไว้ บนฟูกแพรฝั่งตรงข้ามโต๊ะเล็กมีสตรีอ่อนวัยนางหนึ่งนั่งอยู่ รูปโฉมโดดเด่นยิ่ง
ที่ผ่านมาเสิ่นหยวนเคยพบเสียนเฟยเพียงครั้งเดียว จำได้ว่านางเป็นสตรีที่มีโฉมงามเป็นเลิศ แต่ใบหน้าเสียนเฟยในยามนี้กลับซีดเซียวราวกับเป็นลูกท้อที่ใกล้แห้ง ไร้น้ำไร้นวลแล้ว
เสิ่นหยวนก้าวไปคารวะ เสียนเฟยก็ให้นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ประคองนางลุกขึ้น ก่อนจะพยักหน้าแย้มยิ้มให้นาง “ไม่ได้พบเจ้ามานาน บัดนี้เจ้าเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว”
เสียงของนางเบายิ่ง แผ่วยิ่ง แค่ฟังก็รู้ว่ามีเรี่ยวแรงไม่พอ
เสิ่นหยวนจำได้ว่าชาติก่อนท่านป้าผู้นี้ของตนป่วยตาย ดูจากสภาพของนาง เกรงว่าคงป่วยเข้าขั้นไร้ทางรักษาแล้ว
จะอย่างไรนางก็เป็นป้าแท้ๆ ของข้า เสิ่นหยวนรู้สึกทรมานใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เวลานี้เองเสียนเฟยก็กล่าวแนะนำหญิงสาวที่นั่งอยู่บนฟูกแพรให้นางรู้จักด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านนี้คือหลี่กุ้ยเหริน”
เสิ่นหยวนรู้จัก บุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ที่ชาติก่อนให้กำเนิดองค์ชายรองและสุดท้ายได้เป็นไทเฮาด้วยฐานะมารดาบังเกิดเกล้าขององค์ชายรองผู้นั้น ตอนแรกมีฐานะเป็นเพียงกุ้ยเหริน และพักอยู่ในตำหนักข้างของตำหนักอวี้ซิ่วของเสียนเฟย
หลี่กุ้ยเหรินที่ดูงดงามอ่อนหวานเป็นที่สุดตรงหน้านี้ก็คือหลี่ไทเฮาผู้มีฝีไม้ลายมือร้ายกาจในภายภาคหน้าอย่างนั้นหรือ
บทที่ 10
เสิ่นหยวนคาดเดาอยู่ในใจเช่นนี้ แต่ภายนอกยังคงคารวะหลี่กุ้ยเหรินอย่างเคารพนบนอบ
หลี่กุ้ยเหรินรีบให้คนประคองนางลุกขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มนุ่มนวล “หลานสาวคนนี้ของเสียนเฟยหน้าตางดงามโดยแท้ วันนี้หม่อมฉันเห็นแล้วถึงได้เชื่อว่าเทพธิดาในภาพวาดเหล่านั้นมีตัวตนจริง” ยกมือถอดสร้อยปะการังแดงบนข้อมือ ก่อนพูดยิ้มๆ “นี่น้ำใจเล็กน้อยของข้า ขอคุณหนูเสิ่นอย่าได้รังเกียจ”
ปะการังแดงแต่ละเม็ดบนสร้อยข้อมือนี้มีขนาดเท่าเม็ดบัว ขัดจนเกลี้ยงเกลา สีสุกใสแวววาม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของสุดล้ำค่า เสิ่นหยวนไม่รู้ว่าควรรับไว้ดีหรือไม่ สายตาจึงมองไปทางเสียนเฟย
นางเห็นเสียนเฟยพูดยิ้มๆ “ในเมื่อกุ้ยเหรินตกรางวัลเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็รับไว้เถอะ”
ครานี้เสิ่นหยวนถึงได้ก้าวไปรับ ก่อนกล่าวขอบคุณ
หลี่กุ้ยเหรินรู้ว่าเสียนเฟยกับเสิ่นหยวนได้พบกันย่อมต้องมีเรื่องส่วนตัวมากมายให้พูดคุย นางนั่งต่ออีกประเดี๋ยวเดียวก็ลุกขึ้นกล่าวลาเสียนเฟย
เสิ่นหยวนมองเงาหลังแบบบางที่เดินไปไกลของหลี่กุ้ยเหริน คำนวณวันที่อีกฝ่ายคลอดองค์ชายรองในชาติก่อน คิดว่ายามนี้หลี่กุ้ยเหรินน่าจะมีครรภ์แล้ว พอนางคลอดองค์ชายรองสกุลหลี่ก็จะเฟื่องฟูขึ้น หลี่ซิวหยวนจะได้เป็นขุนนาง หลี่ซิวเหยาจะค่อยๆ ได้กุมอำนาจสามกองกำลังใหญ่…
เสิ่นหยวนใจหล่นวูบน้อยๆ ทว่าภายนอกยังคงสนทนากับเสียนเฟยอย่างนอบน้อมนุ่มนวล ทั้งยังให้สวีมามากับไฉ่เวยนำของฝากที่ตนนำมาจากฉางโจวมอบให้ ของเหล่านี้ล้วนเป็นท่านตาซื้อหาด้วยตนเองเพราะใจที่รักบุตรสาว
สวีมามาเดิมเป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายมารดา ขณะอยู่ที่สกุลเฉินจึงได้พบเสียนเฟยบ่อยครั้ง ทว่าในตอนนั้นเสียนเฟยเป็นเพียงดรุณีน้อยแรกรุ่น ร่าเริง ไร้เดียงสา บัดนี้ได้พบอีกครั้งกลับผ่ายผอมแก่ตัวลงแล้ว ย่อมต่างคนต่างรู้สึกสะท้อนใจ
ในวังมีกฎเข้มงวด ที่เข้าวังมาได้เหมือนเสิ่นหยวนนี้นับว่าฮองเฮามีพระเมตตาเป็นพิเศษแล้ว ทว่าเวลาที่ได้พบกันก็มีจำกัด ดังนั้นเพียงครู่เดียวเสิ่นหยวนก็ต้องลุกขึ้นกล่าวลา
แม้เสียนเฟยจะอาลัย ทว่าก็ติดที่กฎระเบียบจึงได้แต่บอกลาเสิ่นหยวนทั้งที่น้ำตาซึม
ถึงนางจะให้กำเนิดบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน แต่องค์ชายทั้งสองล้วนสิ้นใจตามกันไปแล้ว เหลือเพียงบุตรสาวหนึ่งคนนามว่าจิ่งอวิ๋น อายุสิบเอ็ดปี เมื่อครู่ได้ยินว่าเสิ่นหยวนมาจึงออกมาพบนางเช่นกัน
เวลานี้เสียนเฟยกำลังมองจิ่งอวิ๋นพลางพูดกับเสิ่นหยวน “ข้ารู้ว่าร่างกายนี้ของข้าไม่ไหวแล้ว ไม่แน่วันใดอาจต้องไปหามารดาเจ้าแล้ว เรื่องอื่นนั้นช่างเถอะ แต่ข้าเป็นห่วงอวิ๋นเอ๋อร์ อยู่ในสถานที่อย่างวังหลวง นางไม่มีพี่น้องร่วมอุทร ภายภาคหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
จิ่งอวิ๋นมีนิสัยอ่อนโยน ได้ยินเช่นนี้ก็จับมือเสียนเฟยไว้พลางร้องไห้เรียก “เสด็จแม่”
เสิ่นหยวนเห็นแล้วก็ให้รู้สึกฝาดเฝื่อนในใจเช่นกัน
นางคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดกับเสียนเฟยว่า “หม่อมฉันเห็นว่าหลี่กุ้ยเหรินเมื่อครู่ดูเป็นคนมีเมตตา ต่อไปเสียนเฟยมิทรงลองให้องค์หญิงไปใกล้ชิดนางดูเล่าเพคะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีผลเสีย”
ขอเพียงจิ่งอวิ๋นเป็นที่ชื่นชอบของหลี่กุ้ยเหริน วันข้างหน้าย่อมจะไม่ตกระกำลำบาก
หากแต่นางก็ทำได้แค่แนะนำเพียงเท่านี้ เรื่องอื่นมิอาจพูดได้แล้ว
หลังออกมาจากตำหนักของเสียนเฟยยังคงเป็นขันทีน้อยที่ก่อนหน้านี้นำทางพวกนางเข้าวังออกมาส่งพวกนาง
ครั้นออกจากประตูวังแล้วมองซ้ายมองขวาไม่เห็นคนอื่น สวีมามาก็เอ่ยกับเสิ่นหยวนเสียงเบา “คุณหนู บ่าวเห็นสภาพของเสียนเฟย เกรงว่า…เฮ้อ” พูดพลางถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง สีหน้าสลดลง
เสิ่นหยวนฟังแล้วก็เงียบไปไม่พูดไม่จา
นางรู้ว่าเสียนเฟยจะสิ้นลมตอนปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนปีหน้า ตราบใดที่เสียนเฟยยังอยู่ ในใจบิดากับเซวียอี๋เหนียงยังคงต้องกริ่งเกรงสกุลเฉินบ้างไม่มากก็น้อย ไม่กล้ายกเซวียอี๋เหนียงขึ้นเป็นภรรยาเอกเด็ดขาด ทว่าเมื่อใดที่เสียนเฟยไม่อยู่แล้ว…
มือขวาของเสิ่นหยวนเขี่ยสร้อยปะการังแดงที่สวมอยู่บนข้อมือซ้ายช้าๆ ในใจคิดว่าเห็นทีนางต้องหาวิธีทำให้บิดามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเซวียอี๋เหนียงก่อนจะถึงปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเสียแล้ว
อิ๋งชิวที่อ่อนโยนอ่อนหวานในใจเขาผู้นั้น ลับหลังกลับเป็นคนที่จงใจส่งคนมาล่อลวงสอนให้บุตรชายสายตรงของเขาเสียคน ทำลายชื่อเสียงของบุตรสาวคนที่สามของเขา บีบให้เซียงเอ๋อร์ทำได้เพียงแต่งให้เซวียอวี้ซู่ จนสุดท้ายถูกทรมานจนตาย
ถึงขั้นว่าการตายของท่านแม่ก็เป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเซวียอี๋เหนียงอย่างสลัดไม่หลุด
คิดถึงตรงนี้แววตาของเสิ่นหยวนก็เยียบเย็นลง
หากสืบได้ว่าการตายของมารดามีเซวียอี๋เหนียงอยู่เบื้องหลังจริงๆ นางจะไม่ละเว้นอีกฝ่ายเด็ดขาด
เสิ่นหยวนหลับตานั่งอยู่ในรถม้า มือขวาเขี่ยสร้อยปะการังแดงบนข้อมือซ้ายช้าๆ พร้อมกันนั้นในสมองก็คิดถึงเรื่องที่นางต้องทำหลังจากนี้
ทางด้านบิดานั้นจะต้องทำให้เขาไว้ใจตนเต็มที่ ส่วนทางด้านเซียงเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์ข้างกายพวกเขามีคนดีคนชั่วปะปนกัน ต้องกำจัดคนชั่วเหล่านั้นทิ้งไปโดยเร็วที่สุด ทางด้านเซวียอี๋เหนียง…
เวลานี้เสิ่นหยวนพลันสังเกตเห็นว่ารถม้าโคลงเคลงรุนแรงทีหนึ่ง จากนั้นก็หยุดนิ่งกับที่ นางหวิดจะศีรษะกระแทกเข้ากับผนังรถแล้ว
นางลืมตาขึ้น ให้ไฉ่เวยลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังไฉ่เวยลงไปแล้ว นางก็ยื่นมือไปแง้มม่านหน้าต่างออกดูด้านนอก จึงเห็นว่าสวีมามากำลังคุยอยู่กับสารถี สีหน้าไม่สู้ดีอยู่บ้าง
อีกครู่หนึ่งไฉ่เวยก็เปิดม่านรถม้าขึ้นจากด้านนอก เชิญให้นางลงไป “เมื่อครู่ล้อของรถม้าหลุด สารถีบอกว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องหาคนมาซ่อม หรือไม่ก็ไปจ้างรถม้าแถวนี้มาพาคุณหนูไปส่ง แต่สวีมามาบอกว่าถ้าจะซ่อมล้อก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมจนถึงเมื่อไร จ้างรถม้าข้างนอก สวีมามาก็บอกว่าไม่สะอาด ดังนั้นจึงให้สารถีรีบกลับจวนไปบังคับรถม้าอีกคันมารับคุณหนู ทว่าตอนนี้ต้องขอให้คุณหนูไปรออยู่ข้างๆ สักครู่เจ้าค่ะ”
ไม่มีเหตุผลให้นั่งอยู่ในรถม้าที่ชำรุดอยู่กลางถนนต่อ เสิ่นหยวนจึงจับมือไฉ่เวยประคองตัวลงจากรถ
พอลงมาแล้ว เสิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นก็เห็นด้านข้างมีหอสุราอยู่แห่งหนึ่ง
เหนือประตูใหญ่หอสุรามีป้ายพื้นดำอักษรทองแขวนอยู่ เขียนด้วยอักษรทาส ว่า ‘หอจุ้ยเซียว’ เมื่อมองตั้งแต่ด้านนอกไปถึงด้านในก็ดูโบราณเรียบง่ายเป็นที่สุด
สวีมามาเดินออกมาจากในร้าน ก่อนกล่าวกับเสิ่นหยวนว่า “คุณหนู เมื่อครู่บ่าวไปจองห้องบนชั้นสองไว้แล้ว ให้ไฉ่เวยประคองท่านขึ้นไปนั่งในห้องนะเจ้าคะ บ่าวจะเฝ้าอยู่ที่โถงใหญ่ชั้นล่าง หากสารถีบังคับรถม้ามาถึง บ่าวจะขึ้นไปตามท่านทันที”
โถงใหญ่ชั้นล่างมีคนเข้าออกเป็นระยะ เสิ่นหยวนกับไฉ่เวยล้วนเป็นหญิงสาว นั่งอยู่ในนั้นย่อมดูไม่ค่อยดี แต่สวีมามาอายุมากแล้วจึงไม่ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้
การจัดการนี้ของสวีมามาทำได้เหมาะสมยิ่ง ดังนั้นเสิ่นหยวนจึงไม่คัดค้าน พยักหน้าให้สวีมามา แล้วพาไฉ่เวยเดินขึ้นบันไดไปทันที
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านคนหนึ่งนำทางอยู่ด้านหน้า ขณะที่เดินเขาก็ยังพูดเจื้อยแจ้วไปด้วย “แม่นางโชคดีโดยแท้ เดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เดือนนี้ในเมืองหลวงเริ่มคึกคักแล้ว มีแขกจากต่างถิ่นจำนวนมากรุดมาชมความครึกครื้น ระยะนี้ร้านเราก็ขายดี ถึงจะมีห้องส่วนตัวอยู่เป็นสิบๆ ห้อง แต่ก็ล้วนมีแขกเต็มทุกวัน ห้องที่เมื่อครู่ท่านจองไปเป็นห้องสุดท้ายพอดี”
พูดพลางเดินมาถึงสุดปลายระเบียงยาวชั้นสอง
เสี่ยวเอ้อร์หยุดฝีเท้าลง ยกมือผลักเปิดประตูฉลุลายสองบานตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยว่า “แม่นางดูสิขอรับ นี่ก็คือห้องที่ท่าน…”
ยังพูดไม่ทันจบคำก็เห็นว่าข้างโต๊ะกลมในห้องมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย ถึงจะเป็นเพียงด้านหลัง แต่คนก็มองออกได้ถึงบุคลิกอันสุขุมหนักแน่นดั่งห้วงน้ำลึก ขุนเขาตระหง่าน
ได้ยินเสียงเปิดประตูคนผู้นั้นก็หันหน้ามามอง
เสิ่นหยวนเห็นเขาแล้วก็ตกใจยกใหญ่
ไฉนจึงเป็นหลี่ซิวเหยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!
เสี่ยวเอ้อร์เองก็ตกใจมากเช่นกัน เอ่ยถามหลี่ซิวเหยาอย่างอึกๆ อักๆ “ทะ…ท่านเป็นผู้ใด ไฉน…ไฉนจึง…”
สายตาของหลี่ซิวเหยาวนเวียนอยู่บนใบหน้าเสิ่นหยวนก่อน จากนั้นถึงเลื่อนไปตกบนใบหน้าเสี่ยวเอ้อร์
แม้เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาเยือกเย็นคมกริบก็ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นตกใจจนกลืนถ้อยคำที่อยากพูดกลับลงท้องตามเดิมทั้งหมดทันที
เวลานี้เสี่ยวเอ้อร์อีกคนก็ยกถาดกลมสีแดงที่มีของว่างแกล้มชาสามอย่างวางอยู่เดินมา ครั้นเห็นเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นก็เอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรตรงนี้ ข้าจำได้ว่าห้องนี้มิได้อยู่ในการดูแลของเจ้า”
หอสุรามีห้องส่วนตัวจำนวนมาก เสี่ยวเอ้อร์คนเดียวย่อมดูแลไม่ไหว ดังนั้นแต่ละคนจึงแบ่งห้องกันดูแล เช่นนี้จะได้ไม่สับสน
เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลเสิ่นหยวนจึงกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้รึ เหล่าจางบอกว่าห้องนี้ยังว่าง ก็เลยรับจองให้แม่นางท่านนี้ แต่ไปหาตัวเจ้าเสียทั่วกลับหาไม่เจอ จึงให้ข้านำทางนางมา แล้วไฉน…ไฉนพอข้ามาก็เห็น…”
เขาพูด ตาก็มองไปทางหลี่ซิวเหยา เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นน่ากลัวยิ่ง แค่ถูกมองแวบเดียวก็รู้สึกเหมือนในใจถูกกดทับจนใกล้จะหายใจไม่ออก
เวลานี้เองเสี่ยวเอ้อร์ที่ถือถาดกลมสีแดงอยู่ก็พูดว่า “เหล่าจางถูกผู้ใดทำให้เลอะเลือนเข้าแล้วหรือ ห้องนี้ถูกคุณชายท่านนี้จองไว้ก่อนแล้วแท้ๆ ซ้ำยังเป็นเขาบอกข้าเองด้วย ไฉนตอนนี้กลับไปรับจองให้แม่นางท่านนี้ได้”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นพูดจาออกจะหยาบคายไปสักหน่อย เสิ่นหยวนจึงเบือนหน้าหนีไปมองโถงใหญ่ชั้นล่าง ส่วนไฉ่เวยก็พ่นเสียงออกจากปากเบาๆ สายตาที่หลี่ซิวเหยามองเขามีประกายเย็นยะเยือกอยู่เล็กน้อยแล้ว
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นเห็นแล้วก็รู้สึกเย็นวาบในใจ มือไม้เริ่มอ่อนโดยไม่รู้ตัว แทบจะถือถาดในมือได้ไม่มั่งคง
ทว่าพอเขาพูดเช่นนี้ คนทั้งหลายในที่นี้ก็ล้วนเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเรื่องอะไร
คิดว่าคงเพราะยุ่งจนสับสน คนตรงโต๊ะเก็บเงินถึงคิดว่ายังเหลือห้องส่วนตัวอยู่ห้องสุดท้าย จึงให้เสิ่นหยวนจอง แต่คิดไม่ถึงว่าห้องนี้จะถูกคนจองไว้ก่อนแล้ว และผู้ที่จองก็คือหลี่ซิวเหยา
ที่แท้ก็เป็นเพียงความเข้าใจผิด เสิ่นหยวนคิดในใจ แต่เหตุใดคู่กรณีต้องเป็นหลี่ซิวเหยาด้วย
ยามนี้หลี่ซิวเหยาได้ยืนขึ้นแล้ว เขาผงกศีรษะพยักหน้าให้เสิ่นหยวนก่อนเอ่ยเรียก “แม่นางเสิ่น”
เสิ่นหยวนหมดทางเลือก ได้แต่ยอบตัวคารวะ ก้มหน้าหลุบตาพลางเอ่ยเรียก “คุณชายหลี่”
จะว่าไปตั้งแต่จากกันที่ท่าเรือก็เพิ่งผ่านมาเพียงสองวัน ไยต้องได้เจอเขาเร็วปานนี้ด้วย
เสิ่นหยวนหงุดหงิดใจยิ่ง ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่นั่งรอให้รถม้าของที่จวนมารับนางอยู่ที่โถงใหญ่ชั้นล่างยังดีกว่า
แม้นางจะก้มหน้าอยู่ แต่หูกลับได้ยินเสียงเย็นชาของหลี่ซิวเหยาดังขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ในเมื่อเป็นความเข้าใจผิด แม่นางเสิ่นเข้ามานั่งด้วยกันก็ได้”
เสิ่นหยวนคิดไม่ถึงว่าหลี่ซิวเหยาจะเป็นฝ่ายเชิญนางไปนั่งด้วยกัน นางให้ตระหนกตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ได้
ผลคือสายตาปะทะเข้ากับนัยน์ตาดำล้ำลึกของเขา
เสิ่นหยวนก้มหน้าลงทันที ร่างบางยอบตัวคารวะเขาทีหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ขอบคุณคุณชายหลี่ที่หวังดี แต่บ่าวกำลังรออยู่ชั้นล่าง ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
พูดพลางพาไฉ่เวยหมุนตัวเดินลงบันไดไป
แม้สายตาเมื่อครู่นี้จะทำให้เสิ่นหยวนตกใจ แต่เวลานี้นางจัดการอารมณ์ตนเองเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้ว ภายในใจจึงกลับมาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นอีกครั้ง
คนสกุลหลี่…ชาตินี้ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยอีกแล้ว ไม่พบได้ก็อย่าพบเป็นดีที่สุด หากพบแล้วก็ได้แต่หลบเสีย
ฉีหมิงที่คอยรับใช้อยู่ในห้องเห็นเช่นนี้ก็พึมพำในใจว่า…แม่นางเสิ่นท่านนี้กำลังหลบหน้าคุณชายของข้าแน่นอน คราวก่อนขณะแยกกันที่ท่าเรือเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ได้พบกันที่หอสุราก็ยังเป็นเหมือนเดิม แม่นางเสิ่นท่านนี้ไฉนต้องหลบคุณชายของข้าด้วยเล่า หรือว่าเมื่อก่อนคุณชายของข้าเคยทำนางผิดใจ?
ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาเพียงกล้าคิดอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว สายตาที่หลี่ซิวเหยามองเขาตอนอยู่ที่ท่าเรือคราวก่อนยังเหมือนเกิดอยู่ตรงหน้า
หลี่ซิวเหยาแม้หน้าไม่เปลี่ยนสี แต่ในใจกลับคิดไม่ต่างจากฉีหมิง
นี่แม่นางเสิ่นกำลังเลี่ยงข้อครหาระหว่างชายหญิงหรือว่าจงใจหลบหน้าข้ากันแน่
หากแค่เลี่ยงข้อครหาระหว่างชายหญิงก็แล้วไป นอกจากครั้งนั้นที่ข้าช่วยนางและคราวก่อนที่นั่งเรือกลับเมืองหลวงด้วยกัน พวกเราก็ไม่เคยพบกันอีก เดิมก็นับไม่ได้ว่าคุ้นเคย แต่ถ้านางจงใจหลบหน้าข้า…
ดวงตาหลี่ซิวเหยาหรี่ลงน้อยๆ ทว่าเขาก็มิได้พูดอะไร นั่งกลับลงบนเก้าอี้ริมโต๊ะ เอื้อมมือไปหิ้วกาชาเทียนฉือที่เมื่อครู่เสี่ยวเอ้อร์ยกมาส่งรินลงในถ้วยชาตรงหน้าจนเต็ม ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้าๆ
เขาก็แค่นึกถึงบุญคุณที่ตอนนั้นนางให้เขาติดเรือมาด้วยเท่านั้น นางไม่รับค่าเรือจากเขา ในใจเขาก็รู้สึกว่าเหมือนติดค้างนาง ถึงได้เชิญให้นางมานั่งด้วยกัน ในเมื่อนางไม่ยินดี เช่นนั้นก็ช่างเถอะ
ขณะเสิ่นหยวนกำลังเดินลงบันไดก็มองเห็นสวีมามา
สวีมามานั่งอยู่ตรงโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำติดหน้าต่าง สายตามองไปนอกหน้าต่าง คงกำลังดูว่ารถม้าของจวนสกุลเสิ่นมาแล้วหรือไม่
จวบจนเสิ่นหยวนและไฉ่เวยเดินมาถึงตรงหน้าสวีมามาแล้ว นางก็ยังไม่สังเกตเห็น ไฉ่เวยเอ่ยปากเรียกสวีมามา นางถึงได้หันหน้ามา จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณหนูไม่นั่งในห้องส่วนตัว ลงมาทำไมเจ้าคะ รถม้าของจวนเรายังมาไม่ถึงเลย”
เสิ่นหยวนไม่อยากพูดเรื่องหลี่ซิวเหยากับสวีมามาให้มากความจึงเพียงบอกสั้นๆ “ห้องนั้นถูกคนจองไว้ก่อนแล้ว”
สวีมามาฟังแล้วก็มีสีหน้าโมโห ทำท่าจะไปถามเหล่าจางที่หลังโต๊ะเก็บเงินให้รู้ชัดและขอเงินคืนจากเขาทันที ทว่าถูกเสิ่นหยวนยกมือห้ามไว้ “สวีมามา ช่างเถอะ”
ในโถงใหญ่ชั้นล่างมีคนนั่งอยู่จำนวนมาก หากสวีมามาไปต่อล้อต่อเถียงจะก่อความยุ่งยากยิ่ง ทุกคนจึงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้ อีกไม่นานรถม้าของจวนสกุลเสิ่นก็น่าจะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไปจากที่นี่ได้
สวีมามาได้ยินเสิ่นหยวนพูดเช่นนี้ก็ได้แต่ปล่อยวาง
นางลุกขึ้นให้เสิ่นหยวนนั่งแทน ส่วนตนเองไปยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ กับไฉ่เวย
เสี่ยวเอ้อร์ยกชากาหนึ่งและของว่างอีกสองจานมาให้ ตอนนี้เหล่าจางรู้แล้วว่าตนเองเข้าใจเรื่องห้องผิดจึงรีบมาขอโทษเสิ่นหยวน ทั้งยังเอ่ยปากจะคืนเงินค่าห้องให้สวีมามา
เสิ่นหยวนฟังเขาพูดจบโดยที่มีรอยยิ้มบางๆ อยู่บนหน้าโดยตลอด สุดท้ายก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ท่านไปทำงานของท่านเถอะ”
รอยยิ้มสดใสอ่อนหวาน เสียงพูดนุ่มนวล…
หลี่ซิวเหยาบนชั้นสองมองดูฉากเหตุการณ์นี้ผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบานด้วยแววตาเย็นชา
ยอมจะนั่งในโถงใหญ่ชั้นล่างที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ไม่ยอมนั่งในห้องส่วนตัวอันเงียบสงบที่ชั้นบนกับข้า? ดูท่านางจะหลบข้าจริงๆ
ไม่รู้ว่าที่แล้วมาข้าเคยทำอะไรไว้กันแน่ แม่นางเสิ่นผู้นี้ถึงได้หลีกเลี่ยงข้าราวกับข้าเป็นงูเป็นแมงป่องเช่นนี้
หลี่ซิวเหยาค่อยๆ ดื่มน้ำชาในถ้วย สีหน้าเฉยชา
ฉีหมิงที่ด้านข้างไม่รู้ว่าหลี่ซิวเหยากำลังคิดอะไร ดื่มชาอยู่ดีๆ สุดท้ายกลับยกถ้วยชามายืนอยู่ตรงหน้าต่าง…
หากบอกว่าต้องการชมทิวทัศน์ หน้าต่างที่มีทิวทัศน์ให้ชมก็อยู่อีกด้านหนึ่ง หน้าต่างทางด้านนี้มองเห็นเพียงด้านในโถงใหญ่ ทว่าในโถงใหญ่มีอะไรน่ามองกัน มีแต่คนไปๆ มาๆ จ้อกแจ้กจอแจนัก
จากนั้นพอฉีหมิงชะโงกศีรษะมองดูอยู่ข้างๆ ก็รู้แล้วว่าหลี่ซิวเหยากำลังมองอะไร
มุมที่คุณชายยืนอยู่นี้มิใช่มองเห็นแม่นางเสิ่นพอดิบพอดีหรือ ซ้ำยังทำให้แม่นางเสิ่นมองไม่เห็นคุณชายด้วย เพียงแต่สองคนนี้จะทำอะไรกันแน่ คนหนึ่งหลบ อีกคนก็แอบมองลับหลังเช่นนี้…
ทว่าฉีหมิงไม่กล้าถาม ความคิดความอ่านของหลี่ซิวเหยาเขาไม่เคยกล้าเดาส่งเดช ยิ่งไม่กล้าถามส่งเดชเช่นกัน
เวลานี้เองก็ได้ยินเสียงรองเท้าดังมาตามทาง ฉีหมิงช้อนตาขึ้นมองไปก็เห็นหน้าประตูร้านมีคนมากลุ่มหนึ่ง
เป็นผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมคุณชายในชุดงามหรูหราผู้หนึ่งเดินเข้ามา
แม้คุณชายผู้นี้จะมีนับว่าหน้าตาเกลี้ยงเกลาน่ามอง ทว่าสีหน้าซูบซีดอิดโรย ก้นดวงตาดำมืด ไม่มีประกาย แค่เห็นก็รู้ว่ามีสาเหตุจากการตรากตรำเรื่องบนเตียงหนักเกินไปจนไตพร่อง อีกทั้งสองตาเขายังชำเลืองมองไปทั่ว ทำให้ดูเป็นคนเจ้าชู้เหลาะแหละ หมกมุ่นเรื่องใต้สะดือ
มีผู้ติดตามในชุดเสื้อนอกตัวยาวสีเขียวนกแก้วคนหนึ่งเดินเอื่อยเฉื่อยไปถึงหน้าโต๊ะเก็บเงิน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงวางโต “เอาห้องส่วนตัวให้พวกข้าห้องหนึ่ง ต้องเป็นห้องที่เปิดหน้าต่างแล้วมองเห็นทะเลสาบได้”
สาเหตุที่หอจุ้ยเซียวค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเป็นเพราะสร้างอยู่ข้างทะเลสาบขนาดใหญ่ เปิดหน้าต่างออกไปสามารถมองเห็นผืนน้ำใสสะอาดและดอกท้อแดงใบหลิวเขียวที่ด้านนอกได้ ดังนั้นคุณชายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจึงชอบมาพบปะร่ำสุรากันในหอสุราแห่งนี้
เหล่าจางที่กำลังง่วนกับการคิดบัญชีอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินได้ยินน้ำเสียงส่อเจตนาไม่ดีนี้ก็รีบฉีกยิ้มกว้างพูดว่า “นายท่านท่านนี้ บังเอิญจริงๆ ที่วันนี้ห้องส่วนตัวในร้านถูกจองเต็มแล้ว เป็นวันพรุ่งนี้ท่านช่วยมาเร็วหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ผู้น้อยจะต้องเตรียมห้องที่ดีที่สุดไว้ให้ท่านแน่นอน”
ผู้ติดตามผู้นั้นได้ยินแล้วก็ถลึงสองตาที่โตเหมือนตาวัว ยื่นมือใหญ่เหมือนใบลานข้างหนึ่งไปคว้าคอเสื้อเหล่าจางที่มีโต๊ะเก็บเงินกั้นกลาง ก่อนด่าว่า “ตาสุนัขของเจ้าบอดรึ! นายของพวกข้าเป็นถึงซื่อจื่อของก่วงผิงป๋อ ยอมเข้ามาหอสุราเล็กๆ นี้ของเจ้าก็ถือว่าให้เกียรติเจ้าแล้ว แต่กลับไม่มีห้องส่วนตัว ล้วนถูกคนจองเต็มแล้ว? เจ้าขึ้นไปไล่คนเหล่านั้นออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ แล้วเชิญนายของข้าไปนั่งไม่เป็นรึ กลับมาพูดไร้สาระว่าให้นายของพวกข้ามาใหม่พรุ่งนี้เสียได้!” พูดพลางกำหมัดแน่น ทำท่าจะชกหน้าเหล่าจาง
มีเสียงหนึ่งห้ามปรามไว้ “ไหลฝู ช้าก่อน”
บ่าวเลวที่ถูกเรียกว่า ‘ไหลฝู’ ผู้นั้นหยุดมือลงก่อนหันหน้าไปมอง เห็นนายของพวกเขากำลังมองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างด้วยรอยยิ้มกริ่ม
แม่นางผู้นั้นสวมเสื้อนอกตัวยาวทำจากผ้าต่วนลายดอกสีม่วงอ่อนและกระโปรงจีบเล็กสีขาวปักลายดอกเหมยบนกิ่ง แม้นางจะใส่เสื้อผ้าสีเรียบ แต่รูปโฉมกลับงามเพริศพริ้งประหนึ่งแสงเงินแสงทอง ทำให้คนเห็นแล้วละสายตาไม่ได้
ทว่าคนงามกลับขมวดคิ้ว…
ซื่อจื่อของก่วงผิงป๋อผู้นี้เสิ่นหยวนเคยได้ข่าวมาบ้างเช่นกัน นางรู้ว่านามของเขาคือ ‘หวังซิ่นรุ่ย’ เป็นพวกตัณหากลับอย่างที่สุด ในเมืองหลวงมีคนแค่ไม่กี่คนที่กล้าควบคุมเขา
เหตุผลข้อแรกคือบิดาของเขาคือก่วงผิงป๋อซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในห้าค่ายทัพแห่งสามกองกำลังใหญ่ตอนนี้ ในมือมีอำนาจจริง ส่วนข้อสองนั้นเป็นเพราะบุตรสาวคนโตสายตรงของก่วงผิงป๋อ หรือก็คือพี่สาวของหวังซิ่นรุ่ยผู้นี้ เพิ่งจะได้เลื่อนยศขึ้นเป็นอันผิน ในวังหลวง
อีกทั้งเสิ่นหยวนยังรู้อีกว่าอันผินผู้นี้ภายหน้าจะให้กำเนิดองค์ชายสาม สุดท้ายซ่งฮองเฮาไม่พอใจที่หลี่ซิวเหยากุมอำนาจการปกครองผ่านฮ่องเต้ หรือก็คือองค์ชายรอง จึงมีใจคิดจะปลดองค์ชายรองแล้วยกองค์ชายสามขึ้นครองพระราชบัลลังก์แทน
ส่วนเรื่องนี้สุดท้ายสำเร็จหรือไม่ เสิ่นหยวนไม่รู้แล้ว เวลานั้นนางถูกพิษตาบอด ทั้งวันอยู่แต่ในเรือนเล็กที่กระทั่งตัวนางเองยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ไหนเลยจะยังรู้เหตุการณ์ภายนอกได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก่วงผิงป๋อซื่อจื่อผู้นี้นางก็ยังล่วงเกินไม่ได้ ทว่ากลับเห็นเขาเดินมาหยุดเบื้องหน้านาง ยิ้มให้พลางพูดว่า “แม่นางท่านนี้ ข้านั่งตรงนี้ได้หรือไม่”
แม้ปากเขาจะเอ่ยถาม แต่ตัวกลับนั่งลงร่วมโต๊ะกับเสิ่นหยวนแล้ว ทั้งยังยื่นมือมาหมายจะจับมือเสิ่นหยวนที่วางอยู่บนโต๊ะด้วย
คนงามไม่เพียงหน้าตาน่ามอง มือก็น่ามองยิ่งเช่นกัน
ขาวๆ นุ่มๆ นิ้วก็เรียวบาง ราวกับสลักขึ้นจากหยกขาวมันแพะชั้นหนึ่งก็มิปาน
เสิ่นหยวนสังเกตเห็นเจตนาของเขา จึงชักมือตนเองกลับทันควัน ขณะเดียวกันสีหน้าก็เยียบเย็นลง
สวีมามาและไฉ่เวยอยู่ด้านข้างเสิ่นหยวน สวีมามาจึงเอ่ยปากพูดด้วยโทสะ “คุณชายท่านนี้ ขอท่านระวังกิริยาด้วย”
หวังซิ่นรุ่ยไม่ได้มองสวีมามา แต่เลื่อนสายตาไปวนเวียนอยู่บนใบหน้าของไฉ่เวย จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มไม่จริงจังอย่างที่สุด “สาวใช้ก็เป็นคนงามเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ยังเทียบเจ้านายไม่ติด” พูดพลางโบกมือไล่พวกนางสองคน “ไสหัวไป อย่ามารบกวนข้ากับคนงามประเล้าประโลมกัน”
สวีมามาโมโหจนสั่นไปทั้งร่าง เสิ่นหยวนในเวลานี้ลุกขึ้นยืนแล้ว นางพูดกับสวีมามาและไฉ่เวยเสียงเบา “ไปกันเถอะ” ก่อนจะหมุนตัวก้าวเท้าเดินไปทางประตูร้านอย่างรวดเร็ว
แต่มีหรือจะหนีไปได้ หวังซิ่นรุ่ยกวักมือ บ่าวเลวที่ติดตามมากับเขาเหล่านั้นพลันขวางทางไปของเสิ่นหยวนไว้พร้อมรอยยิ้มกริ่ม
หวังซิ่นรุ่ยยังคงยิ้มหยาบโลนอยู่อีกด้าน “อย่าทำให้คนงามของข้าตกใจ”
เสิ่นหยวนชักสีหน้าแล้ว
นางหันไปเผชิญหน้าหวังซิ่นรุ่ย ก่อนพูดเสียงเย็น “อยู่ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ ขวางทางผู้อื่นโจ่งแจ้งเช่นนี้ ข้าต้องเรียนถามคุณชายสักคำ บ้านเมืองใช่มีกฎเกณฑ์อยู่หรือไม่”
หลี่ซิวเหยาที่ยืนดูเหตุการณ์นี้อยู่ที่หน้าต่างในห้องส่วนตัวชั้นสองขมวดคิ้วน้อยๆ เดินกลับไปที่โต๊ะ เสียงตึงดังขึ้นหนักๆ เขากระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะสูงอย่างแรง น้ำชาในถ้วยกระฉอกออกมาทันที
จากนั้นหลี่ซิวเหยาก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกประตู ทว่าเสียงของฉีหมิงดังขึ้นด้านหลังเขาอย่างรวดเร็วทันที “คุณชาย ก่วงผิงป๋อมีตำแหน่งในห้าค่ายทัพไม่ต่ำ ท่าน…ท่านต้องคิดให้ดีนะขอรับ”
หลี่ซิวเหยาเพิ่งกลับมาจากกรมทหาร รู้ว่าตำแหน่งที่เขาได้รับต่อจากนี้คือหัวหน้ากองในห้าค่ายทัพ หากไปล่วงเกินก่วงผิงป๋อเข้า อย่าว่าแต่เกรงว่าวันเวลาในห้าค่ายทัพของหลี่ซิวเหยาหลังจากนี้จะผ่านไปได้ไม่ดีเลย ตำแหน่งหัวหน้ากองนี้จะเป็นต่อไปได้อย่างมั่นคงปลอดภัยหรือไม่ก็ยังอาจเป็นปัญหา
หลี่ซิวเหยาได้ยินเช่นนี้ ฝีเท้าก็ชะงักลง ต่อจากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปทางโถงใหญ่ชั้นล่างอีกครั้ง
รอยยิ้มบนหน้าหวังซิ่นรุ่ยยิ่งดูหื่นกระหายกว่าเดิม ทั้งยังสั่งให้สองคนขวางประตูหอสุราไว้ ไม่ปล่อยให้เสิ่นหยวนและสาวใช้ของนางออกไปด้วย
คิ้วยาวทั้งสองข้างของหลี่ซิวเหยาขมวดมุ่นยิ่งกว่าเก่า
ในใจเขาย่อมรู้ดีว่าไม่อาจล่วงเกินก่วงผิงป๋อซื่อจื่อ หากแต่…
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดพอเขาเห็นเสิ่นหยวนถูกคนขวางไว้เช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกอึดอัดยิ่ง
ถือเสียว่าใช้คืนบุญคุณที่นางให้เขาติดเรือมาด้วยเมื่อหลายวันก่อนแล้วกัน ส่วนก่วงผิงป๋อซื่อจื่อตรงหน้านี้ เขามีหรือจะโง่บอกที่มาของตนเองให้อีกฝ่ายสืบฐานะได้
ด้วยเหตุนี้หลี่ซิวเหยาจึงไม่ลังเลอีก ก้าวเท้าเดินออกจากประตูอย่างฉับไว เร่งฝีเท้าเดินลงไปที่โถงใหญ่ชั้นล่าง ฉีหมิงเห็นดังนี้ก็วิ่งเหยาะๆ ตามไป
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.