X
    Categories: everYกระบี่คู่หานซานทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน กระบี่คู่หานซาน เล่มที่ 1 บทที่ 12 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 12 กินเมล็ดสนหรือไม่

อวี๋ฉี่ซูหันหน้ากลับไป ไม่พูดอะไรกับเขาอีก

ตลอดทั้งวันแม้เมิ่งเสวี่ยหลี่จะไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตาของศิษย์น้องที่มาใหม่รายนั้น แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายชื่อเซียวถิงอวิ๋น สุขภาพมิสู้แข็งแรง ใบหน้าไม่ธรรมดา มิค่อยพูดจา

หากมิใช่เพราะอีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนไป วันนี้ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ย่อมไม่แคล้วเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญของจี้เซียวที่มาเข้าเรียนวิชาพื้นฐานอย่างเขาแน่

เหล่าสานุศิษย์ในวิหารถกสัจธรรมล้วนมีชาติกำเนิดแตกต่าง บ้างก็มาจากตระกูลผู้บำเพ็ญพรตเหมือนอย่างอวี๋ฉี่ซูที่ขนานนามตัวเองยาวยืด บ้างก็มาจากชนบทไม่เคยเข้าสำนักศึกษา ไม่รู้จักหนังสือ

ในป่าสนห้องเรียนหกห้องเรียงรายต่อกันเป็นแถวหน้ากระดาน เมิ่งเสวี่ยหลี่อยู่ห้องหนึ่ง ส่วนศิษย์น้องเซียวนั้นถูกแยกอยู่ห้องสี่

“ข้าว่าอีกไม่นานเขาก็จะถูกย้ายมาเรียนร่วมกับพวกเรา” นักเรียนห้องหนึ่งกล่าว

สำหรับเมิ่งเสวี่ยหลี่แล้วการเข้าเรียนนับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ เขาอ่านตำราเขียนหนังสืออยู่กับพวกเด็กหนุ่ม ฟังอาวุโสผู้สอนอธิบายคัมภีร์เต๋า รวมถึงลุกขึ้นตอบคำถาม

หลังการสอนเสร็จสิ้นก็มาถึงขั้นตอนตอบคำถาม ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกคนเฝ้ารอที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดด้วยเช่นกัน

อาวุโสผู้สอนนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย เขาช้อนตาขึ้นช้าๆ “ถามมา!”

ห้องเรียนเงียบสงัดไปชั่วขณะ จู่ๆ คนคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนแสดงคารวะ “ท่านอาจารย์ ตอนข้านั่งสมาธิ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังลอยอยู่บนฟ้า เหาะข้ามสำนักหานซานไปอยู่เหนือทะเลหนานไห่ เช่นนี้หมายความว่าข้าบรรลุมรรคาแล้วใช่หรือไม่”

อาวุโสผู้สอนสบถ “เหลวไหล เจ้าตกเข้าสู่บ่วงอาสวะแล้ว! ภาพฝันลวงหลอกใจคน รีบตื่นให้ไว!”

ขณะที่ศิษย์คนนั้นนั่งลงด้วยความขัดเขินก็มีคนอีกคนลุกขึ้นยืน “ท่านอาจารย์ ทุกครั้งตอนนั่งสมาธิ ข้าสงบนิ่งได้ไม่เกินหนึ่งเค่อก็รู้สึกว่าทั่วร่างร้อนรุ่มเกินทน ต้องทำเช่นไรถึงจะนั่งสมาธิได้ตลอดทั้งคืนเช่นผู้อื่น”

อาวุโสผู้สอนตวาด “คิดอ่านฟุ้งซ่าน จิตใดเลยจะสงบได้! คืนนี้ไปคัด ‘คัมภีร์สำนึกถูกผิด’ มายี่สิบจบ!”

เสียงรับปากดังขึ้นติดๆ

คำถามมากมายจำพวกต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถรับรู้ถึงไอทิพย์ที่ลอยคล้อยเคลื่อนอยู่ยังแดนมนุษย์ได้ ต้องทำเช่นไรถึงจะนั่งสมาธิยาวนานจนเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งได้ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับเหล่าสานุศิษย์ห้องหนึ่งในเวลานี้ที่สุด

ไม่ว่าเรื่องใดเริ่มต้นล้วนยากลำบาก การบำเพ็ญเพียรก็เช่นกัน นับแต่ดึงปราณเข้าร่างจนถึงช่วงฝึกปราณขั้นหนึ่ง ทุกคนทำได้ก็แต่เพียงสำรวจทดลองดู

“ศิษย์ใคร่ขอถาม หลังไอทิพย์เข้าสู่ร่างจนเต็ม กลายเป็นพลังปราณครอบคลุมทั่วร่าง ความรู้สึกในยามนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร”

อาวุโสผู้สอนลังเล ผ่านมานานถึงเจ็ดสิบปี ความรู้สึกลุ่มลึกเช่นนั้นเขาลืมมันไปนานแล้ว

“วันนี้ยังมีใครมีคำถามอีกหรือไม่”

สานุศิษย์แต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครตอบ

“ดูท่าคงไม่มีแล้ว” อาวุโสผู้สอนเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ ท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนเล็กน้อย “อาวุโสเมิ่ง ท่านยินดีอธิบายคำถามสุดท้ายนั่นหรือไม่”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ขานตอบ “ได้ขอรับ ท่านอาจารย์”

อาวุโสผู้สอนพยักหน้าพึงพอใจ สามปีก่อนเมิ่งเสวี่ยหลี่ดึงปราณเข้าร่าง ยามนี้ฝึกปราณสมบูรณ์พร้อมเหมาะที่จะพูดเรื่องความรู้สึกกับสานุศิษย์เหล่านี้ที่สุด

เมิ่งเสวี่ยหลี่อธิบาย “หลังไอทิพย์เข้าร่างจนเต็ม ความรู้สึกจะเหมือนไอหมอกยามเช้าลอยละล่องอยู่กลางป่า ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ไอหมอกกลายเป็นน้ำค้างบนใบหญ้า เฉกเช่นไอทิพย์ควบแน่นกลายเป็นพลังปราณ”

อาวุโสผู้สอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มพยักหน้า “เหมาะแล้ว” พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินออกจากห้องเรียนไป “เลิกได้”

เหล่าสานุศิษย์ที่อยู่ในห้องกลับไม่มีใครเดินตามออกไป เด็กหนุ่มที่เป็นคนตั้งคำถามเอ่ยปากร้อนรน “ไอทิพย์เหมือนไอหมอกที่ไม่อาจจับต้อง พลังปราณกลับเหมือนน้ำที่มีรูปร่าง?”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ “ประมาณนั้น พลังปราณไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เหมือนกระแสธารไหลเซาะทางน้ำ”

สานุศิษย์ทุกคนต่างคล้ายเข้าใจอะไรได้บางอย่าง

เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดต่อ “เข้าสู่ภาวะสงบนิ่งก็คล้ายกับตอนกำลังจะตื่นจากฝัน รับรู้ถึงโลกภายนอกได้รางๆ แต่กลับบอกตัวเองว่าฟ้ายังไม่สว่าง ขอนอนต่ออีกสักครู่”

ศิษย์ที่ถูกสั่งให้คัดคัมภีร์เต๋ายี่สิบจบพูดด้วยความลิงโลดยินดี “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะกลับไปลองดู”

เห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่ท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนั้น จากที่หวาดกลัวอาวุโสผู้สอนจนไม่กล้าถามคำถาม ยามนี้พวกเขากลับพากันขอคำชี้แนะจากเมิ่งเสวี่ยหลี่

คำถามใดหากเมิ่งเสวี่ยหลี่รู้ก็ล้วนตอบทุกคำถาม

อวี๋ฉี่ซูในอาภรณ์ผ้าดิ้นอ้าปากคล้ายมีอะไรอยากจะถามเช่นกัน แต่สุดท้ายกลับทำเพียงเดินจากไปเงียบๆ

เช้าวันที่สอง เมิ่งเสวี่ยหลี่เข้าป่าสนเพียงลำพัง มุ่งหน้าตรงไปยังวิหารถกสัจธรรม

ไม่รู้เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นมายืนอยู่ข้างทางเดินเล็กๆ ที่ปูลาดด้วยหินสีขาวนานเท่าใดแล้ว นอกเสื้อคลุมหรูหรางดงามเปียกชื้นด้วยไอหมอกหนาวเหน็บ ตาปรือคล้ายง่วงนอน

ที่แท้ก็อวี๋ฉี่ซู

เมิ่งเสวี่ยหลี่ยิ้ม “เจ้ารอข้าอยู่งั้นหรือ”

อวี๋ฉี่ซูพยักหน้าคล้ายมีเรื่องกลัดกลุ้ม แต่ไม่ว่าเช่นไรเขาก็ไม่ยอมปริปาก ทำเพียงเดินขึ้นหน้าไปพร้อมกับเมิ่งเสวี่ยหลี่เงียบๆ

ใกล้ถึงวิหารถกสัจธรรม ชายคาสีดำปรากฏให้เห็นอยู่รางๆ หลังพุ่มสน ในที่สุดอวี๋ฉี่ซูก็พูดออกมา “เจ้าไม่เหมือนกับที่ข้าคิด”

เมิ่งเสวี่ยหลี่ล้วงเอาเมล็ดสนถุงเล็กๆ ออกมาถุงหนึ่ง กินพลางฟังพลาง “ไม่เหมือนตรงที่ใด”

“ชื่อเสียงของเจ้าในโลกผู้บำเพ็ญพรตนอกเขาหานซานแย่เสียยิ่งกว่าแย่ พวกเขาล้วนบอกว่าเจ้า…” ต่อหน้าเมิ่งเสวี่ยหลี่เช่นนี้ เขาไหนเลยจะพูดออก “เอาเป็นว่าเขาว่าเจ้าไม่ดีก็แล้วกัน”

ก่อนหน้านี้แม้เขาจะไม่เคยพูดออกมา แต่ก็เชื่ออยู่ลึกๆ

เมิ่งเสวี่ยหลี่เอ่ยขึ้น “ความชมชอบพื้นๆ ธรรมดา หยิ่งทะนงถือตนว่าเป็นที่เอ็นดู ใช้มารยาล่อลวงใจคน ไม่มีคุณธรรมความประพฤติไม่คู่ควร?”

“ยังมีแย่กว่านั้นอีก”

“อืม ข้ารู้”

อวี๋ฉี่ซูรู้สึกผิดคาด “เจ้าไม่โกรธ?”

“โกรธอะไร ข้าพำนักอยู่บนยอดเขาฉางชุน มีกินมีดื่มไม่ต้องทำงาน” เมิ่งเสวี่ยหลี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นก็นับว่าได้รับประโยชน์ใหญ่หลวงแล้ว ปล่อยให้ผู้อื่นได้พูดบ้างสักสองสามประโยคจะเป็นไรไป”

อวี๋ฉี่ซูคิด หรือว่าทุกวันตื่นนอนขึ้นมาแค่บอกกับตัวเองว่า ‘คู่ร่วมบำเพ็ญของข้าคือจี้เซียว’ เท่านั้นก็สามารถลืมเรื่องกลัดกลุ้มทั้งมวลได้แล้ว?

หากคนที่ถูกชาวบ้านนับพันหมื่นเฝ้าเหยียดหยามดูแคลนเป็นตัวเอง เขาคงไม่มีทางวางตัวงามสง่าเช่นนี้ได้ เกรงว่าทุกวันคงได้แต่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ เฝ้าคิดหาวิธีพิสูจน์ตนเอง

เมิ่งเสวี่ยหลี่แบมือ “กินเมล็ดสนหรือไม่”

เขาไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารตามลำพังแล้วปล่อยให้คนอื่นจ้องมอง ดังนั้นทุกครั้งเวลานักพรตน้อยมารายงานข่าวให้เขาฟัง เขาจึงมักถามประโยคนี้อยู่เสมอ

ทว่าในสายตาของเด็กหนุ่มอย่างอวี๋ฉี่ซู นี่คือการแสดงน้ำใจ เป็นการสื่อสารให้รู้ถึงความต้องการเป็นสหาย

เด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าดิ้นนิ่งเงียบ สีหน้าซับซ้อนหลากหลาย สุดท้ายเขาก็พูดอย่างจริงจัง “กิน!”

 

ชื่อเสียงเรื่องความสามารถในการไขข้อข้องใจของเมิ่งเสวี่ยหลี่ขจรขจายออกไป สานุศิษย์ในห้องเรียนข้างๆ เองก็เริ่มมาขอคำชี้แนะจากเขา

จากผู้อาวุโสไม่เอาไหน จู่ๆ ก็กลายเป็นนักเรียนชั้นยอดคนหนึ่ง

“อาวุโสเมิ่ง ข้าเอาผลไม้เชื่อมมาให้ท่าน”

“อาวุโสเมิ่ง ข้าวานให้คนซื้อเมล็ดแตงเคล้ามันปูจากตลาดที่เชิงเขามาให้!”

เพื่อแสดงน้ำใจ สานุศิษย์ทั้งหลายจึงมักส่งขนมของขบเคี้ยวต่างๆ นานามาให้เขา บ้างก็ใส่ไว้ในถุงผ้าดิ้นเล็กๆ บ้างก็ใช้กระดาษไขห่อ

ชีวิตบนวิถีของการเรียนรู้ของเมิ่งเสวี่ยหลี่นับว่าน่าอภิรมย์ยิ่ง

เขานั่งอยู่ในห้องเรียนพลางครุ่นคิด ผู้บำเพ็ญพรตในแต่ละช่วงล้วนมีการเสาะแสวงหาแตกต่างกันไป

แรกย่างเข้าสู่ประตูเซียน ผู้บำเพ็ญพรตทั้งหลายต่างรีบเร่งยกระดับความสามารถ เรียนรู้ทักษะเอาตัวรอดสองสามอย่างถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นรังแกได้ ทว่าพออายุมากขึ้น สภาวะของการฝึกฝนไต่ขึ้นไปถึงระดับคอขวด ครั้นเห็นว่าโอกาสบรรลุหมดหวังก็จะหันกลับมารับสานุศิษย์รุ่นหลังหมายให้สืบทอดทักษะความสามารถต่อ

แม้นโชคดีบรรลุเป็นผู้เข้มแข็งได้ก็ย่อมสามารถปกป้องแบกรับสำนัก สร้างความผาสุกให้กับผู้คนหมื่นพัน

หากเป็นเหมือนจี้เซียวที่ยากพบพานคู่ต่อกร เช่นนั้นการเสาะแสวงหาในชีวิตนี้ก็คงเหลือเพียงประการเดียวเท่านั้น…บรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียน

ชนเผ่าอสูรบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ก็เช่นนี้ นับแต่แรกกำเนิดสติปัญญา จนกระทั่งมีญาณอสูร หลังจากนั้นก็เอาชนะอสูรร้ายกาจจนกลายเป็นจอมอสูรของแม่น้ำภูเขาที่ใดที่หนึ่ง

แต่ก่อนสิ่งที่เมิ่งเสวี่ยหลี่เสาะแสวงหาคือควบรวมแดนอสูรเป็นหนึ่ง ตั้งตนเป็นจอมอสูร ยามนี้เขากลายเป็นมนุษย์แล้วจึงได้แต่เริ่มเรียนรู้ฝึกพลังศักยะตั้งแต่พื้นฐาน จึงไม่ต้องแปลกใจที่เชวี่ยเซียนหมิงจะหัวเราะเยาะเขาว่ายิ่งมีชีวิตก็ยิ่งถดถอย

เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด หากให้จี้เซียวบำเพ็ญเพียรใหม่ตั้งแต่แรก ไม่รู้ว่าเขาจะบันทึกอะไรไว้ เพราะโลกทัศน์ สภาวะแห่งจิตใจ การตระหนักรู้ในมรรคาล้วนมิจางหาย

วิหารถกสัจธรรมจัดว่าดียิ่ง มีเพียงเรื่องเดียวที่เขารู้สึกไม่สบายใจนัก

“สมแล้วที่เป็นร่างสถิตวิญญาณกระบี่แต่กำเนิด มีพรสวรรค์ในการตระหนักรู้ถึงมรรคาไม่ต่างอันใดกับจี้เซียวเจินเหริน…”

ทุกครั้งที่ศิษย์น้องเซียวผู้นั้นได้รับคำยกย่องชื่นชมจากผู้อาวุโสคนใดสักคน เสียงชื่นชมไม่แคล้วต้องเลื่องลือไปทั่ววิหารถกสัจธรรม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเหล่านั้นมักมีคำว่า ‘ไม่ต่างอันใดกับจี้เซียวเจินเหริน’ อยู่ตลอด

เมิ่งเสวี่ยหลี่มิใคร่ยินดีฟัง

ราวกับจี้เซียวได้กลายเป็นอดีต ภายหน้าไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นมาเทียบเขาได้

ท่าทีของอวี๋ฉี่ซูเดือดดาลรุนแรงยิ่งกว่า

เขาถือ ‘การปกป้องชื่อเสียงจี้เซียวเจินเหริน ต่อต้านการนำเอาศิษย์น้องเซียวมาเทียบเคียงกับอริยกระบี่’ เป็นเป้าหมาย ตั้งพรรคยงจี้ตั่ง แต่งตั้งตนเป็นหัวหน้าพรรค

เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบนึกขัน ช่างโง่งมยิ่งนัก ทำตัวไม่ต่างอันใดกับโจรกระจอกนอกทำเนียบที่เพิ่งออกสู่ยุทธภพ เรียกขานตัวเองว่าปีศาจหน้าดำหน้าขาว กลุ่มอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน

เขารีบส่ายหน้า อวี๋ฉี่ซูกลับเข้าใจผิด “ได้ๆ หัวหน้าพรรคยกให้เจ้าเป็น!”

บังเอิญสานุศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาผ่านข้างโต๊ะพวกเขาไป หนึ่งในนั้นพูดอย่างยินดี

“อาวุโสเมิ่งท่านรู้หรือไม่ ศิษย์น้องเซียวดึงปราณเข้าร่างแล้ว นับตั้งแต่พรุ่งนี้จะมาเรียนร่วมห้องกับพวกเรา!”

“บำเพ็ญเพียรได้รวดเร็วร้ายกาจเช่นนี้ เทียบกับจี้เซียวเจินเหรินในเวลานั้น…”

ยังไม่ทันพูดจบ เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็หันไปบอกกับอวี๋ฉี่ซู “ตกลง ข้าเป็น!”

ด้วยเหตุนี้ ‘พรรคยงจี้ตั่ง’ จึงถือกำเนิดขึ้นเงียบๆ โดยมีสมาชิกแค่เพียงสองคน…อวี๋ฉี่ซูที่ชอบเบ้ปากเป็นนิสัยกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ดูคล้ายอบอุ่นน่าเอ็นดู

กิจกรรมภายในพรรคก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวคือยามคนอื่นพูดถึงศิษย์น้องเซียว พวกเขาสองคนก็จะสบตากัน เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: