X
    Categories: everYทดลองอ่านรัชทายาทบัญชา

ทดลองอ่าน รัชทายาทบัญชา เล่มที่ 1 บทที่ 9 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 9

 

ฉีเซียวเปลี่ยนอาภรณ์ ให้เจียงเต๋อชิงเชิญไป่เริ่นมายังห้องหนังสือ

ไป่เริ่นครั้งนี้มิได้ตั้งความหวังไว้มาก เนื่องจากมากี่ครั้งก็โดนขวางไว้หมด กระนั้นทุกครั้งเจียงเต๋อชิงล้วนนอบน้อมเกรงใจ กิริยามารยาทรอบคอบถี่ถ้วนยิ่ง ไป่เริ่นเองออกจะจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าเพื่อเรื่องของโหรวจยา ต่อให้เขาต้องวิ่งเต้นกี่รอบล้วนสมัครใจ ครั้งนี้ได้ยินเจียงเต๋อชิงบอกว่าฉีเซียวยอมพบตน ศิลาก้อนใหญ่ในใจไป่เริ่นจึงวางลงได้ในที่สุด เขานิ่งไปอึดใจและเอ่ย “วันนี้รัชทายาท…อยู่ที่ห้องทรงอักษร?”

ไป่เริ่นแม้เคยมาหลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบฉีเซียว สถานการณ์เช่นนี้ปกติล้วนเป็นเจ้าบ้านรับแขกที่โถงหลัก ไป่เริ่นรู้สึกว่าตนเองยังไม่สนิทสนมกับฉีเซียวถึงขั้นไปที่ห้องทรงอักษรโดยตรงได้ เจียงเต๋อชิงเห็นไป่เริ่นลังเล จึงยิ้มกล่าว “องค์รัชทายาทตรัสแล้ว ซื่อจื่อมิใช่คนนอก ไม่จำเป็นต้องยึดถือพิธีรีตอง ไปห้องทรงอักษรก็พูดคุยได้สะดวก”

ไป่เริ่นไม่สงสัยอีก เขาพยักหน้าเดินตามเจียงเต๋อชิงออกจากห้องโถง ทะลุผ่านทางเดินคดเคี้ยวตรงเข้าไปในห้องทรงอักษรของฉีเซียว

ฉีเซียวนั่งชื่นชมชุดชาที่ไป่เริ่นมอบให้อยู่บนตั่ง เมื่อเห็นเขามาก็ลุกขึ้นยิ้ม “ราชกิจรัดตัวทำให้ซื่อจื่อต้องมาเสียเที่ยวหลายรอบ เป็นความผิดของข้า ซื่อจื่อโปรดอย่าถือสา”

ไป่เริ่นยังจดจำเรื่องที่ตนเย็นชากับฉีเซียวในวังครั้งนั้นได้เสมอ เห็นฉีเซียวไม่ถือสาความผิดครั้งเก่าทั้งยังอ่อนโยนดังเดิมก็คลายใจไม่น้อย พลันยิ้มว่า “รัชทายาทกล่าวหนักไปแล้ว ปกติกระหม่อมก็ว่างเกินไปเช่นกัน รัชทายาทไม่รังเกียจที่กระหม่อมรบกวนก็พอ”

“ที่ใดกันๆ” ฉีเซียวหันไปยิ้มให้เจียงเต๋อชิง “เตรียมน้ำร้อนมาหน่อย ซื่อจื่อมาพอดี ข้าคงต้องยืมดอกไม้ถวายพระ ใช้ชุดชงชาชั้นดีนี้รับรอง”

เจียงเต๋อชิงได้ยินคำก็รีบยกกาน้ำร้อนเข้ามา ไป่เริ่นมีหรือจะยอมให้ฉีเซียวลงมือทำเองจริงๆ เขายิ้มกล่าว “มิกล้า ไป่เริ่นเข้าใจพิธีชงชาอยู่บ้าง หากรัชทายาทไม่รังเกียจขอไป่เริ่นชงให้พระองค์ถ้วยหนึ่งเถิด”

ฉีเซียวคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นดียิ่ง”

ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ไป่เริ่นคุกเข่าตรงหน้าโต๊ะชารวบแขนเสื้อขึ้น หยิบกาน้ำร้อนเทลวกชุดชาตามลำดับ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วสง่างาม ฉีเซียวมองดูด้วยรอยยิ้ม ก่อนหัวเราะเบาๆ “ได้ยินกิตติศัพท์ของซื่อจื่อมานานว่าเพียบพร้อมทั้งคุณธรรมและความสามารถ ได้ยินร้อยครั้งมิสู้เห็นกับตาหนึ่งครั้งเป็นดังว่าจริงๆ”

“รัชทายาทชมเกินไปแล้ว” ไป่เริ่นวางกาชาหยกพันวารีที่ลวกน้ำร้อนเสร็จไว้อย่างดี ตักใบชาสองช้อนแล้วค้อมกายหยิบกาน้ำร้อนมาเทใส่กาชาครึ่งกา เขย่าเล็กน้อยจากนั้นก็เทน้ำร้อนออก พลางกล่าวราวกับพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ “จะว่าไปสิ่งเหล่านี้กระหม่อมเรียนมาจากน้องสาว หาใช่กระหม่อมชมตนเอง ‘พร้อมทั้งคุณธรรมและความสามารถ’ คำพูดนี้คงรับไว้ไม่ได้ แต่น้องสาวกลับสมควรแก่การยกย่องอย่างแท้จริง”

ไป่เริ่นเทน้ำร้อนลงไปซ้ำอีกแล้ววางกาชาไว้บนโต๊ะ ด้านหนึ่งหยิบผ้าแพรมาเช็ดมือด้านหนึ่งพินิจสีหน้าของฉีเซียวอย่างละเอียด ฉีเซียวเห็นไป่เริ่นลอบประเมินตนเองก็นึกขันในใจ เดิมคิดหยอกเย้าอีกฝ่าย ทว่าอดแสร้งถามอย่างสนใจไม่ได้ “ที่ซื่อจื่อพูดคือธิดารองของหลิ่งหนานอ๋อง คังไท่จวิ้นจู่หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” ไป่เริ่นในใจประหม่า ลอบกำชายแขนเสื้อโดยไม่เผยพิรุธ แล้วผ่อนน้ำเสียงลงเอ่ยช้าๆ “ท่านพ่อพูดเสมอว่าเด็กสาวในรุ่นของพวกเรานี้ มีแต่คังไท่ที่คู่ควรกับคำว่า ‘สตรีสูงศักดิ์เพียบพร้อม’ เอ่อ…ทำให้รัชทายาทขบขันแล้ว”

ไป่เริ่นยกกาหยกขึ้นเขย่าแผ่วเบาพลางใช้หางตาลอบมองท่าทีฉีเซียว ใบหน้าของฉีเซียวสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าในใจยิ่งชมชอบไป่เริ่นมากขึ้น เดิมเขาคิดว่าไป่เริ่นร้อนใจเพียงนี้ พอพบเขาคงจะเอ่ยเรื่องพี่สาวทันที คิดไม่ถึงว่าไป่เริ่นกลับอดทนไม่เอ่ยถึงพี่สาวตนแต่ชมเชยน้องสาวที่เกิดจากชายารองก่อน ซ้ำยังชี้ให้เห็นว่าน้องสาวที่เกิดจากชายารองผู้นี้เป็นที่รักใคร่เอ็นดู แลคล้ายราบเรียบดุจเมฆาคล้อยสายลมพัดเอื่อย แท้ที่จริงเอ่ยจี้จุดสำคัญทุกถ้อยคำ

ฉีเซียวยิ้มบาง “ที่ใดกัน ในเมื่อได้รับการชมเชยจากหลิ่งหนานอ๋องเช่นนี้ คาดว่าจวิ้นจู่จะต้องเป็นหญิงงามรูปโฉมพริ้งเพราทั้งยังเฉลียวฉลาดเป็นแน่ วันข้างหน้ามิรู้ว่าผู้มีวาสนาคนใดจะสู่ขอไป”

ไป่เริ่นมั่นใจขึ้นสามส่วน เขาพยายามสงบใจก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “กล่าวถึงเรื่องนี้…ระยะนี้ไป่เริ่นบังเอิญได้ยินว่าขุนนางผู้ขนย้ายเสบียงครั้งนี้จะนำข่าวดีไปยังหลิ่งหนาน ขอบังอาจถามประโยคหนึ่ง ไม่ทราบว่านี่เป็นความจริงหรือไม่”

ฉีเซียวขบขันในใจ ยังอ่อนเยาว์เกินไป แค่นี้ก็ข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ฉีเซียวคล้ายนึกอันใดขึ้นได้ฉับพลันจึงยิ้มกล่าว “อ้อ…จริงสิ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ พูดคุยกับซื่อจื่อสองสามประโยคจนข้าเกือบลืมเสียได้ ว่าจะหารือเรื่องคุมการส่งเสบียงครั้งนี้กับซื่อจื่อพอดี…เจียงเต๋อชิง”

ไป่เริ่นคิดเพียงว่าในที่สุดฉีเซียวก็ต้องการแบไพ่ในมือ อดไม่ได้ที่จะยืดตัวตรงขึ้นเล็กน้อย กลับเห็นเจียงเต๋อชิงหมุนตัวเข้าห้องด้านในแล้วหอบรายงานตั้งหนึ่งออกมาโค้งกายมอบให้ฉีเซียว ฉีเซียวยิ้มนุ่มนวล “สองสามปีนี้ไปมาหาสู่กับหลิ่งหนานไม่มาก มีไม่กี่คนที่คุ้นเคยเส้นทางไปกลับ ด้วยเหตุนี้เมื่อไม่มีทางเลือกข้าจึงให้พวกเขารวบรวมคนหลิ่งหนานจำนวนหนึ่งมา ทว่าพวกเขากลับทำงานไม่ได้เรื่อง มีสองสามคนที่เป็นคนจากจวนเจ้า หนังสือส่งเสบียงกำหนดลงมาข้าถึงได้เห็น ด้วยหมดหนทางจำต้องลำบากซื่อจื่อแล้ว หากในจวนขาดคนรับใช้ ซื่อจื่อบอกข้าได้เต็มที่ ข้าจะสั่งสำนักพระราชวังส่งข้ารับใช้ฝีมือดีที่สุดไปทันที”

ตั้งแต่มายังเมืองหลวงฮ่องเต้โยกย้ายคนข้างกายเขาแล้วเปลี่ยนคนมาจับตาดูไม่น้อย วิธีการนี้ไป่เริ่นมีประสบการณ์มากนักจึงไม่เก็บมาใส่ใจ ส่ายหน้าก่อนยิ้ม “ไม่จำเป็น ในจวนยังมีคนรับใช้”

ฉีเซียวแย้มยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี นี่เป็นหนังสือส่งเสบียง รบกวนซื่อจื่อนำกลับไปด้วย…”

“พ่ะย่ะค่ะ” จิตใจไป่เริ่นไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้แม้แต่น้อย รับหนังสือมาก็ยกหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ขึ้นมาอีก “รัชทายาท เช่นนั้น…เฉาเกอ?!”

ดวงตาฉีเซียวมีประกายเหี้ยมเกรียมฉายผ่าน เขากลัวก็เพียงไป่เริ่นจะมองไม่เห็นว่าที่เขียนอยู่บนหนังสือฉบับแรกคือชื่อของเฉินเฉาเกอ

ไป่เริ่นมองไปทางฉีเซียวทันที ฉีเซียวทำคล้ายไม่รู้เรื่องและเอ่ยอย่างสงสัย “มีอันใดหรือ อ้อ เฉินเฉาเกอ…เขาเป็นสหายร่วมเรียนของซื่อจื่อไม่ใช่หรือ”

ไป่เริ่นพยักหน้าอย่างงงงัน “ใช่…สหายร่วมเรียนของข้า เขา…เหตุใดเขาก็อยู่ในรายชื่อผู้ติดตามเล่า”

ฉีเซียวอึ้งไป “นี่เป็นความต้องการของเจ้ามิใช่หรือ ไม่ปิดบังซื่อจื่อ ตอนข้าเห็นชื่อคนผู้นี้ทีแรกก็คิดเช่นกัน ในเมื่อเป็นสหายร่วมเรียนของเจ้า ไหนเลยจะส่งเขากลับไปโดยง่าย จึงเรียกคนที่ดูแลเรื่องนี้มาสอบถาม ดีที่คนผู้นั้นตาขาวถูกขู่ถามสองประโยคก็สารภาพ บอกว่ารับตั๋วเงินของหลิ่งหนานซื่อจื่อหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงให้ย้ายเฉินเฉาเกอไปอยู่ในรายชื่อผู้ติดตามให้จงได้ เมื่อข้าได้ฟังว่าเป็นความประสงค์ของเจ้าก็ไม่สนใจอีก…อ้อ แล้วคนผู้นั้นขี้ขลาดยังส่งตั๋วเงินเหล่านั้นมาให้ข้าด้วย”

ฉีเซียวหันหน้าไป เจียงเต๋อชิงพลันส่งตั๋วเงินปึกหนึ่งมา ฉีเซียวยิ้มอย่างอ่อนโยน โน้มตัวลงวางตั๋วเงินตรงหน้าไป่เริ่น “เจ้าอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว คงมีเงินติดตัวไม่มาก ไยจึงใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อสหายร่วมเรียนคนเดียวปานนี้ เก็บไว้เถิด ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีกมาหาข้าโดยตรงเป็นพอ หากทำได้ข้าไม่บ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน”

ไป่เริ่นเนื้อตัวรู้สึกชาไปทั้งหมด เขารับตั๋วเงินมา น้ำเสียงติดจะแหบพร่า “ไม่ทราบ…ผู้ที่รับสินบนคนนั้นคือ…”

ฉีเซียวยิ้มเหี้ยมเกรียม “เลขาธิการสำนักพระราชวัง สี่เสียง”

ไป่เริ่นหลับตา เข้าใจกระจ่างทั้งหมด

เฉินเฉาเกอขอเงินตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า กลับทำเพื่อ…ทำเพื่อกลับหลิ่งหนาน ตนเองก็โง่งม ทั้งที่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เพียงสืบข่าวนิดหน่อยเท่านั้นไยต้องใช้เงินมากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่เคยถามมากความสักประโยค…

ขอบตาไป่เริ่นแดงเรื่อทันใด เขาเบือนหน้าไปสูดหายใจลึก หมัดกำแน่นอย่างไม่อาจควบคุม พยายามกดความเจ็บปวดรวดร้าวในใจสุดกำลัง ไม่ยอมเสียกิริยาต่อหน้าผู้อื่น ฉีเซียวมองเห็นอยู่ในสายตา ในใจพลันปวดร้อนเล็กน้อยอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะจะเอ่ยกลับเห็นไป่เริ่นเช็ดหางตาอย่างไม่เผยพิรุธ ค้อมกายหยิบกาขึ้น หลังจากลวกถ้วยชาอีกรอบหนึ่งก็รินให้ฉีเซียวหนึ่งถ้วย ยกถวายด้วยสองมือพร้อมฝืนยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่พูดถึงที่ใดแล้ว อ้อ จริงด้วย…ไป่เริ่นกำลังฉงน ข่าวดีที่เล่าลือกันเป็นจริงหรือเท็จ”

ฉีเซียวมองไป่เริ่นอย่างหลงใหล เพียงพริบตากลับเก็บอาการได้แล้ว ฉีเซียวนึกมาตลอดว่าเรื่องความอดทนอดกลั้นไม่มีผู้ใดเทียบตนเองได้ คราวนี้อีกฝ่ายกลับไม่ตกเป็นรอง ฉีเซียวรับถ้วยชามาและเป่าลมแผ่วเบาพลางแสยะยิ้มในใจ เขามองคนไม่ผิดไป่เริ่นเป็นคนประเภทเดียวกับเขา

ฉีเซียวยิ่งมั่นใจมากขึ้น เพื่อโหรวจยาไม่ว่าอันใดไป่เริ่นก็ทนได้ทั้งนั้น

จากนั้นความตั้งใจเดิมของฉีเซียวคือพูดกับไป่เริ่นให้กระจ่างชัดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะเป็นจริงหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับไป่เริ่น หากต้องการปกป้องพี่สาวแค่ต้องเอาตนเองมาชดเชย ถ้าไป่เริ่นเข้าใจสถานการณ์รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม วันนี้ไม่แน่อาจได้เอารัดเอาเปรียบสักหน่อย…

แต่ไม่รู้เพราะอันใด มองไป่เริ่นยามนี้ฉีเซียวกลับใจอ่อนกะทันหัน ไป่เริ่นเพิ่งรู้เรื่องเฉินเฉาเกอ บัดนี้กำลังฝืนยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าตนเอง ในใจกำลังมีคลื่นลมโหมกระหน่ำเพียงไรก็สุดจะรู้ได้ หากตนแทงซ้ำอีกแผลล่ะก็…

ฉีเซียวถอนใจเฮือกหนึ่ง ช่างเถิด บีบบังคับคนเกินไป หากเกิดผิดพลาดคนที่เสียประโยชน์ก็เป็นตนเองไม่ใช่หรือไร

“ไม่ขอปิดบังซื่อจื่อ ข่าวดีที่เอ่ยถึงนั้นข้าก็ได้ฟังมาบ้างเช่นกัน ทว่าไม่รู้เบื้องลึกอย่างแท้จริง” ฉีเซียวยิ้มอย่างเปิดเผยสบายใจ “ไม่ใช่ข้าแสร้งเขลา เรื่องใหญ่อย่างการอภิเษกสมรสข้าก็ได้เพียงเชื่อฟังคำกล่าวของพ่อแม่คำชักนำของแม่สื่อเท่านั้น เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้า ข้าก็แค่เคยได้ยินองค์หญิงใหญ่เอ่ยถึงประโยคสองประโยค สุดท้ายจะอย่างไรก็ยังไม่กระจ่างชัด แต่เมื่อซื่อจื่อถามมา พรุ่งนี้ข้าจะไปสอบถามสักประโยค หากรู้ความจริงแล้วจะบอกกับซื่อจื่ออย่างแน่นอน”

ฉีเซียวพูดอย่างนอบน้อมจริงใจ ไป่เริ่นมองไม่ออกว่าเขารู้หรือไม่รู้กันแน่ ในใจสับสนยิ่งนัก เกรงว่าตนพูดมากจะยิ่งพลาด หากพลั้งเผลอยั่วโมโหฉีเซียวขึ้นมาย่อมได้ไม่คุ้มเสีย จึงจำใจรับปากและพูดคุยไม่เป็นสาระตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็ขอตัวกลับ

ฉีเซียวมาส่งไป่เริ่นถึงประตูใหญ่ รอกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นเกี้ยวถึงหมุนตัวกลับจวน เจียงเต๋อชิงตามหลังเขามาและอดถามขึ้นไม่ได้ “องค์รัชทายาท…วันนี้ไยจึงไม่รั้งตัวซื่อจื่อเสียเลย ปล่อยเขากลับไปเช่นนี้เกิดคนแซ่เฉินนั่นมีคารมคมคายพูดกล่อมซื่อจื่ออีก…”

“ไม่มีทาง” ฉีเซียวย้อนคิดถึงฉากเมื่อครู่ “ไป่เริ่นมิใช่คนโง่งม หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรวางอยู่นั่น เฉินเฉาเกอลบล้างได้หมดจดหรือ นอกเสียจากเฉินเฉาเกอจะยืนกรานแน่วแน่ว่าข้าใส่ร้ายและไม่กลับหลิ่งหนานเพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่…หึๆ เจ้าว่าเขาหักใจได้หรือ เทียบกับรอเฉินเฉาเกอหยิบยกถ้อยคำสวยหรูสูงส่งออกมาอธิบายเป็นชุดๆ มิสู้ข้าอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างชัดก่อน เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงที่สุดแล้ว ข้าย่อมลงมือง่ายดาย…” ฉีเซียวระบายยิ้มบาง “จะรีบร้อนไปด้วยเหตุใดกัน เขามีจุดอ่อนทั่วตัว ยังต้องกลัวกำราบไม่ได้อีกหรือ”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: