X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่เก้า

หลังจากหลิ่วเจียงจวีอารักขาองค์หญิงยงหยางกลับถึงวังและผลัดเวรเสร็จสิ้น เขาไม่ได้กลับห้องพักที่หน่วยองครักษ์วังหลวง ทว่าไปรับป้ายสำหรับออกจากวังแล้วขี่ม้ากลับจวนสกุลหลิ่วพร้อมใบหน้าที่เกลื่อนด้วยโทสะ

ระหว่างเดินเข้าจวน เขาสอบถามจากข้ารับใช้ ก็รู้ว่ามารดาอยู่ในห้องของหลิ่วผิงชวน

เนื่องจากงานเลี้ยงในวังพรุ่งนี้เหล่าคุณหนูของจวนต่างๆ ที่อายุถึงเกณฑ์ล้วนสามารถเข้าเฝ้าได้ เรื่องใหญ่เพียงนี้จะสุกเอาเผากินได้อย่างไรกัน ดังนั้นเหยาซื่อจึงสั่งคนนำผ้าดิ้นบรรณาการสีน้ำทะเลสาบในคลังสิ่งของซึ่งได้รับพระราชทานจากฮองเฮาไปตัดชุดกระโปรงให้หลิ่วผิงชวนตั้งแต่แรก ทั้งสั่งหญิงรับใช้อาวุโสยกกล่องสินเจ้าสาวของตนมาให้หลิ่วผิงชวนเลือกปิ่นมุกตามใจชอบให้เข้าคู่กับชุดกระโปรง

หลิ่วผิงชวนยืนอยู่หน้าคันฉ่องสำริดพลางเสียบปิ่นบนศีรษะด้วยสีหน้ายินดีปรีดา ในใจคือความอิ่มเอมตื่นเต้นที่ยากจะบรรยาย ชาติก่อนนางเพียงฟังจากปากผู้อื่นเรื่องที่ฉยงเหนียงทอประกายเจิดจรัสในงานเลี้ยงของวังหลวง ตอนนั้นนางฟังด้วยความริษยา ในใจแสนเคียดแค้นฉยงเหนียงที่ทำตัวเป็นนกเขายึดรังสาลิกา ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีสักวันที่ตนกำลังได้กลายเป็นผู้ซึ่งสตรีทั่วเมืองล้วนต้องอิจฉา

ไม่กี่วันมานี้มารดาเชิญขุนนางหญิงที่เคยทำงานในวังมาที่จวนเพื่อสอนธรรมเนียมในวังให้นางอย่างละเอียด นางก็ตั้งใจเรียนรู้มาไม่น้อย

ต่อให้เกิดเป็นคนมาแล้วสองชาติภพ เมื่อแรกสุดที่นึกถึงงานเลี้ยงอันใหญ่โตเพียงนั้น นางเองก็ขลาดกลัวอยู่บ้าง ทว่าระยะนี้เมื่อผู้คนพากันเปล่งเสียงชื่นชมยามมองพิจารณาเครื่องแต่งกายทั่วร่างนาง ทั้งอ่านและส่งต่อหนังสือรวมบทกวีของนาง ก็ทำให้นางมั่นใจในตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ

มันสมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว คำสรรเสริญเหล่านี้เดิมทีก็เป็นของนาง ตอนนี้สวรรค์เบื้องบนมีตา ให้โอกาสนางได้รวบรวมสิ่งที่สูญเสียไปคืนมาทีละอย่างก็เท่านั้น รอจนถึงวันพรุ่งนี้…ชื่อเสียงของข้าหลิ่วผิงชวนก็จะแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว!

เหยาซื่อมองดูบุตรสาวที่แต่งตัวงามตระการ หัวใจก็เอ่อล้นด้วยความปลาบปลื้มเช่นกัน มองอย่างไรหลิ่วผิงชวนก็ละม้ายตนในวัยแรกรุ่น ขอเพียงพรุ่งนี้บุตรสาวได้ดังใจตน ต่อไปผู้อื่นก็ไม่อาจนำเรื่องอุ้มลูกผิดคนมาเป็นประเด็นนินทาส่งเดชได้อีก

ยามที่สองคนแม่ลูกล้วนดีอกดีใจกันอยู่นั้น สาวใช้ก็มารายงานว่า “คุณชายต้องการจะพบฮูหยินเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อที่ประหลาดใจเล็กน้อยกล่าวปนยิ้ม “วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของทางการนี่ ไฉนเขากลับมาเล่า รีบไปเรียกเขาเข้ามาสิ จะได้มาดูชุดใหม่ของน้องสาวพอดี”

พอหลิ่วเจียงจวีสาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็โยนหนังสือรวมบทกวีหนึ่งเล่มใส่หน้าหลิ่วผิงชวนทันทีโดยไม่ได้ทำความเคารพมารดาก่อน

มือของเขาหนักยิ่ง หลิ่วผิงชวนถูกตบด้วยหนังสือจนเจ็บแปลบ อดไม่ได้ต้องเปล่งเสียงร้องโอ๊ยออกมา

เหยาซื่อตะลึงงัน หยุดโบกพัดกลมในมือแล้วตวาดเสียงกร้าวทันใด “นี่ไปโกรธอะไรมาจากข้างนอก ถึงได้วิ่งมาระบายอารมณ์ใส่น้องสาวเจ้าเยี่ยงนี้!”

หลิ่วเจียงจวีตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นางคู่ควรจะเป็นน้องสาวของข้าด้วยหรือ แต่งกลอนไม่เป็นก็มิใช่ข้อบกพร่องอะไรที่ไม่อาจสู้หน้าผู้คนเสียหน่อย แต่นี่กลับขโมยผลงานของฉยงเหนียงไปรวมเล่ม แล้วยังเอาไปแจกให้ขายหน้าผู้อื่นไปทั่ว!”

หลิ่วผิงชวนกำลังเริงร่า แต่กลับถูกปาด้วยหนังสือจนเจ็บดั้งจมูก ในใจนางจึงพวยพุ่งด้วยเพลิงโทสะแล้วเช่นกัน หากอยู่ที่สกุลชุยและฝ่ายตรงข้ามคือชุยฉวนเป่า นางก็คงเต้นผางด่าทอโดยไร้ข้อกริ่งเกรงไปนานแล้ว

ทว่าเมื่อเหลือบมองหลิ่วเจียงจวีปราดหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่โดยกำเนิด ทั้งสังกัดหน่วยองครักษ์วังหลวง เพียงชุดบนร่างก็ดูเปี่ยมพลังอำนาจ น่าเกรงขามโดยที่ยังไม่ต้องมีโทสะด้วยซ้ำ

ดังนั้นคำก่นด่าอันเจ็บแสบที่วนเวียนตรงริมฝีปากนางอยู่หลายรอบจึงถูกสายตาที่จ้องเขม็งของเขาตอกกลับมาเสียอย่างนั้น ประกอบกับนางร้อนตัวที่เรื่องขโมยบทกลอนถูกผู้อื่นล่วงรู้ จึงได้แต่เอ่ยอย่างหวาดๆ “พี่ชายไปฟังคำยุยงของพวกปากอยู่ว่างคนใดมา…”

เหยาซื่อฟังจบท่าทีขึงขังก็หดหาย อันที่จริงเรื่องหนังสือรวมบทกวีนี้ ตอนที่ฉยงเหนียงยังอยู่ในสกุลหลิ่วก็เริ่มจัดการไปแล้ว เพียงแต่ฉยงเหนียงรวบรวมบทกลอนไปไว้ที่ห้องหนังสือไม่ทันไร เรื่องชาติกำเนิดก็ถูกเปิดเผยออกมา ถัดจากนั้นก็คือเรื่องที่สองสกุลสลับคืนบุตรสาว

ยามที่ร้านหนังสือซึ่งติดต่อไว้ก่อนหน้านี้จะมารับบทกลอนที่รวมเล่มไว้ เหยาซื่อก็เคยถามหลิ่วเมิ่งถังไปแล้วเช่นกัน ตอนนั้นผู้เป็นสามีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งทดสอบแล้วว่าหลิ่วผิงชวนมีความรู้ด้านโคลงกลอนจริงๆ จึงให้คนจากร้านหนังสือนั้นรับบทกลอนไป

เดิมทีนึกว่ากระทั่งภูตผีเทพเซียนก็ไม่ล่วงรู้ จู่ๆ พลันได้ยินบุตรชายเปิดโปงความลับออกมา เหยาซื่อจึงสะดุ้งจนตัวโยน “เจ้าไปฟังใครพูดมา!”

ตอนแรกหลิ่วเจียงจวีคิดว่าหลิ่วผิงชวนแอบเห็นบทกลอนที่ฉยงเหนียงทิ้งไว้ในห้องหนังสือแล้วนำไปรวมเล่มเอง นึกไม่ถึงเลยมารดากลับมีสีหน้าร้อนตัวเช่นกัน ในใจเขาจึงพลันประดังด้วยสารพันความรู้สึก “ท่านแม่ หรือว่าท่านก็รู้เห็นด้วย?”

เหยาซื่อถูกถามจนกระดาก อย่างไรเสียนางก็มาจากตระกูลผู้ดีมีการศึกษาสูง ย่อมรู้เหตุผลว่าการลักขโมยงานเขียนนั้นน่าอดสูเพียงใด กระนั้นนางก็ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ผิงชวนหวนคืนบ้านมาช้านัก แม้หมั่นเพียรใฝ่เรียนรู้ก็ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่อาจไล่ตามผู้อื่นทัน สมัยนี้ไม่เหมือนราชวงศ์ก่อน อันคำว่า ‘ไร้สามารถคือคุณธรรมของสตรี’ นั้นมิได้ถูกเน้นหนักอีกแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่าฝ่าบาทพระองค์นี้ทรงโปรดสตรีที่แตกฉานอักษรและภาพวาดเป็นที่สุด ตอนนี้ชาติกำเนิดของน้องสาวเจ้าถูกบางคนได้ยินแล้วนำมาพูดอย่างสนุกปาก หนังสือรวมบทกวีเล่มนี้อุดปากพวกเขาได้พอดี อีกอย่างฉยงเหนียงกลับสกุลชุยไปแล้ว บทกลอนเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับนาง หากชี้แจงกับนางว่าจะใช้สิ่งนี้มากอบกู้ชื่อเสียงให้ผิงชวน คาดว่านางคงจะยินยอมเป็นแน่”

หลิ่วเจียงจวีรู้จักความสามารถในการเถียงเอาตัวรอดของมารดาดี ยิ่งเห็นหลิ่วผิงชวนสวมอาภรณ์หรูหราพร้อมไข่มุกหยกเต็มศีรษะ แล้วนึกถึงฉยงเหนียงในชุดผ้าเนื้อหยาบเรือนผมยุ่งสยายที่เห็นในจวนหลางอ๋องวันนี้ ในใจเขาก็ปวดร้าวจนหางตาเปียกชื้นนิดๆ

“ท่านแม่! ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว ผิงชวนเป็นบุตรสาวของท่าน แล้วฉยงเหนียงที่เลี้ยงดูมาหลายปีเล่า ท่านสามารถโยนนางออกจากความคิดได้หรือไร! ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้นางตกระกำลำบากไปเป็นแม่ครัวอยู่ในจวนหลางอ๋องแล้ว วันๆ ต้องใช้ชีวิตด้วยการดูสีหน้าผู้อื่น นางถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก มีหรือจะทนรับความลำบากเยี่ยงนั้นได้!”

เหยาซื่อตระหนกวูบ หลังจากซักถามอย่างละเอียดถึงได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ทว่าพอได้ยินเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าเป็นเพราะฉยงเหนียงเห็นหนังสือรวมบทกวีที่จวนหลางอ๋อง จำได้ว่าเป็นบทกลอนของตน ด้วยความโกรธชั่วขณะจึงพูดให้หลางอ๋องฟัง ถึงทำให้หลางอ๋องมาพูดถากถางหลิ่วเจียงจวี

แม้ได้ยินว่าฉยงเหนียงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเหยาซื่อเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ทว่านางยิ่งเป็นกังวลว่าหากเรื่องขโมยบทกลอนแพร่ออกไปจะกระทบต่อชื่อเสียงของจวนสกุลหลิ่ว จึงรีบเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ก็แค่โคลงกลอนยามว่างไม่กี่บท ไม่ใช่การสอบหน้าพระที่นั่งในท้องพระโรงเสียหน่อย ไฉนนางใจแคบเยี่ยงนี้ ถึงขั้นต้องฟ้องร้องระบายทุกข์กับคนนอก”

หลิ่วเจียงจวีโกรธจนหน้าผากขึ้นเส้นเอ็นสีเขียว ปากก็ตวาดก้อง “ท่านแม่! หลักคำสอนของปราชญ์เมธีที่ปกติท่านพร่ำกำชับกรอกหูข้าเป็นการผายลมทั้งหมดหรือไรกัน!”

เหยาซื่อเคยเห็นบุตรชายพูดจาเยี่ยงนี้กับตนเสียเมื่อไร นางเดือดดาลจนด่าว่าเสียงดังในทันที สองคนถกเถียงกันเป็นพัลวันอยู่ในเรือนของหลิ่วผิงชวน

หลิ่วผิงชวนยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าฟังมารดากับพี่ชายมีปากเสียงกัน โดยที่ในใจนางแสนจะระรื่นชื่นบาน…นึกไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์ที่รถม้าชนคนบนถนนในวันนั้นยังคงทำให้ฉยงเหนียงเข้าตาหลางอ๋องจนได้ ตอนนี้ถึงได้ถูกใช้อุบายพาตัวเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง คาดว่ายามกลางวันคงจุดเตาไฟทำอาหาร ยามกลางคืนคงคลายสายคาดเอวเปลื้องผ้าผ่อนกระมัง

ดูแล้วฉยงเหนียงยังเทียบไม่ได้กระทั่งนางบำเรอ ไม่มีฐานะแม้สักนิดเดียว หลางอ๋องไม่ใช่คนตระหนี่ เหตุใดจึงปฏิบัติกับฉยงเหนียงเช่นนี้เล่า คงเพราะฉยงเหนียงวางท่ามากเหลือเกิน โรคกุลสตรีตระกูลใหญ่กำเริบอีกแล้วเป็นแน่ จึงทำให้หลางอ๋องมีโทสะ หมายจะกำราบนางให้เข็ดหลาบก็เป็นได้

หลิ่วผิงชวนยิ่งคิดก็ยิ่งเบิกบานใจ ชาติก่อนจวบจนหลางอ๋องถูกกักบริเวณในวัดเนี่ยนฝ่าก็ไม่ได้แต่งชายาเอก อาจเพื่อให้สะดวกแก่การจับตาดูเขา ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้ยกทัพก่อกบฏ ทั้งฮ่องเต้และรัชทายาทต่างก็ทยอยพระราชทานหญิงงามให้เขาไม่น้อย

เนื่องจากเขาไม่มีชายาเอกเรื่อยมา ตามกฎแล้วพวกนางที่เป็นนางบำเรอจึงไม่อาจให้กำเนิดทายาทก่อนได้ บุตรชายคนโตของจวนอ๋องจะได้ไม่เกิดจากนางบำเรอจนเสียการปกครอง ดังนั้นไม่ว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะมีรูปโฉมงามเปี่ยมเสน่ห์สักเพียงใด หลังจากปรนนิบัติเจ้านายแล้วล้วนต้องดื่มยาป้องกันการตั้งครรภ์หนึ่งชามทั้งสิ้น

ทว่าหลังจากนางเข้าจวนอ๋อง เนื่องจากพลั้งไปล่วงเกินข้ารับใช้เข้า จึงถูกคนลอบสับเปลี่ยนเป็นยาสิ้นทายาท ทำให้ไม่อาจมีลูกชั่วชีวิต

หลางอ๋องแม้เจ้าสำราญ ทว่าไม่เคยหลงใหลนางบำเรอคนใดเป็นพิเศษ เมื่อมีคนใหม่ก็มักจดจำคนเก่าไม่ได้อีก หลังจากนางเข้าจวนอ๋องเพียงไม่นานก็ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ชีวิตเหมือนสตรีที่ครองตัวเป็นม่ายไม่มีผิด ยามที่ทานทนความเปลี่ยวเหงาไม่ไหว นางก็มีสัมพันธ์กับองครักษ์อยู่หลายคน ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสืบสายเลือดให้จวนอ๋องต้องแปดเปื้อนอยู่แล้ว

ต่อมานางบำเรอที่เข้าจวนมาพร้อมนางล้วนถูกหลางอ๋องตกรางวัลแก่ผู้อื่น หรือไม่ก็แจกจ่ายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เหลือแต่นางที่ยังไม่ถูกส่งออกไป โชคดีที่เหยาซื่อไหว้วานคนมาขอตัวนางออกจากจวนอ๋อง นางถึงได้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ ไม่เช่นนั้นมิต้องลงเอยด้วยการเข้าวัดเนี่ยนฝ่าไปกับเขาจนวันตายหรอกหรือ

เพียงคิดถึงเรื่องในชาติก่อน ร่างของหลิ่วผิงชวนก็สะท้านวูบอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้หลางอ๋องรูปงามเหนือสามัญสักเพียงใดแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นอ๋องที่สิ้นอำนาจไร้อนาคตให้เอ่ยถึง

นึกถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่ตนวางแผนไว้ดิบดี แล้วคิดถึงจุดจบอันน่าสมเพชของฉยงเหนียงในชาตินี้ ต่อให้ในหูมีแต่เสียงด่าทอด้วยโทสะของหลิ่วเจียงจวี ก็ไม่อาจยับยั้งรอยยิ้มที่มุมปากของนางได้

สุดท้ายวาจาอันเด็ดขาดหนักแน่นหนึ่งประโยคของหลิ่วเจียงจวีก็ยุติการโต้เถียง “เงินห้าพันตำลึงนี้จวนสกุลหลิ่วของพวกเราจะเป็นผู้ออก พรุ่งนี้ข้าจะไปรับฉยงเหนียงกลับบ้าน…”

“ไม่ได้!” เสียงตวาดอันน่าเกรงขามพลันดังมาตัดบทเขา

หลิ่วเจียงจวีหันหน้าไปมอง ผู้มาก็คือหลิ่วเมิ่งถังบิดาของเขานั่นเอง

หลิ่วเมิ่งถังเพิ่งกลับมาจากจวนว่าการ ทั้งเขาและบุตรชายจึงยังไม่ได้ถอดเปลี่ยนชุดขุนนาง

หลิ่วเจียงจวีไม่กล้าไร้มารยาทกับบิดา หลังจากรีบคารวะทักทาย เขาเกรงว่าบิดาที่เพิ่งกลับจวนจะไม่รู้ความเป็นไปของฉยงเหนียง จึงเล่าซ้ำอีกรอบก่อนเอ่ยอย่างเร่งร้อน “เงินห้าพันตำลึงนี้แม้เป็นจำนวนที่มากอยู่ ทว่าสกุลหลิ่วของพวกเราก็จ่ายไหว เหตุใดท่านพ่อจึงคัดค้านเล่าขอรับ”

หลิ่วเมิ่งถังนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีหลิ่วผิงชวนปรนนิบัติ จากนั้นเอ่ยด้วยสีเคร่งหน้าขรึม “แม้เจ้าไม่ได้สอบขุนนาง แต่ก็นับว่าเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางแล้ว เจ้าฟังพระบัญชาอยู่ข้างกายฝ่าบาท เหตุใดไม่สังเกตพระประสงค์เสียบ้าง”

หลิ่วเจียงจวีฟังจบก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายในวาจาของบิดา

“คราวก่อนด้วยเรื่องของเงินกองทัพ หลางอ๋องล่วงเกินรัชทายาทมิใช่เบา แม้ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งอันใด ทว่าคนเป็นขุนนางบีบคั้นว่าที่ประมุขแผ่นดินให้ต้องประหารบริวารไปหลายคนเช่นนี้ ยังใช่แม่ทัพขุนนางผู้ภักดีอยู่หรือ”

“เขาภักดีหรือคิดคดเกี่ยวอันใดกับฉยงเหนียงเล่าขอรับ” หลิ่วเจียงจวียังคงเอ่ยอย่างไม่ยินยอม

หลิ่วเมิ่งถังถลึงตานิดๆ “บัดนี้อ๋องเจ้าศักดินาจากพื้นที่ต่างๆ จะเข้าเมืองหลวงมาถวายรายงานตามหน้าที่ หลางอ๋องเข้าเฝ้าเมื่อไรจะมีผลลงเอยที่ดีได้หรือ หากตอนนี้พวกเราสกุลหลิ่วนำเงินไปไถ่อิสรภาพให้นาง ผู้ที่รู้ความจะบอกว่าพวกเรามีเมตตาธรรมช่วยเหลือลูกเลี้ยง แต่ผู้ที่ไม่รู้ความย่อมนึกว่าพวกเราประจบประแจงหลางอ๋อง กระเหี้ยนกระหือรือเอาเงินไปกำนัลเขา! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงจวนสกุลหลิ่วของพวกเราทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย เจ้าอย่าได้เจ้ากี้เจ้าการเป็นอันขาด หากกล้าลักลอบรวบรวมเงินเอง ระวังข้าจะขับเจ้าออกจากตระกูล!”

 

สกุลหลิ่วทะเลาะกันวุ่นวายด้วยเรื่องของเงินห้าพันตำลึง โดยที่ฉยงเหนียงเองไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด

หลังจากถูกตรวจสอบอาหารด้วยลิ้นของนักกินอย่างฉู่เสียไปรอบหนึ่ง นางก็รู้สึกได้ว่าฝีมือของตนยังไม่เข้าขั้น วันหน้าเมื่อเปิดร้านจะต้องเป็นที่ตลกขบขันอย่างแน่นอน ในเมื่อจำเป็นต้องทำงานในจวนหลางอ๋อง นางก็สงบใจฝึกฝนฝีมือไปดีกว่า

เพียงแต่ปกติอาหารที่ฉู่เสียชอบกินเป็นเช่นไรนางยังไม่รู้กระจ่างเลย พอถามจากเมี่ยวหลิงสาวใช้ที่เป็นลูกมือในครัวผู้นั้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันขันอาสายกอาหารไปแล้วกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวถูกฉู่เซิ่งต่อว่า จึงยิ่งเห็นฉยงเหนียงขัดลูกตา เอาแต่มองจิกด้วยหางตาโดยไม่ไยดีต่อคำถามของนาง

เห็นเมี่ยวหลิงมีท่าทางเช่นนี้ ต่อให้ปริปากตอบมาฉยงเหนียงก็ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ แล้ว ดังนั้นนางจึงวิ่งไปสอบถามฉู่เซิ่งโดยตรงเสียเลย

ฉู่เซิ่งเห็นฉยงเหนียงทำงานขึงขัง คิ้วตาของผู้อาวุโสก็พลันประดับยิ้ม “เช่นนี้ถูกต้องแล้ว พวกเราคนเป็นบ่าวขอเพียงใส่ความตั้งใจ เจ้านายย่อมจะเห็นอยู่ในสายตา เงินห้าเฉียนเปลี่ยนเป็นห้าตำลึงก็แค่เจ้านายขยับริมฝีปากบนล่างกระทบกันเท่านั้น…”

เมื่อชมเชยจบ เขาก็บอกเล่าความชอบด้านอาหารการกินของฉู่เสีย เนื่องจากพื้นที่ศักดินาอยู่ที่เจียงตง ใช้ชีวิตอยู่ใกล้น้ำ สิ่งที่ชอบกินที่สุดย่อมเป็นปลา เนื้อสัตว์คือสิ่งที่แต่ละมื้อจะขาดมิได้ ส่วนพืชผักนั้นไม่มีข้อห้ามเป็นพิเศษ ล้วนกินได้ทุกอย่าง

ฉยงเหนียงจดบันทึกทีละหัวข้ออย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจทันทีว่าเย็นนี้จะนึ่งปลา

ปลาที่ส่งมาถึงคฤหาสน์ล้วนเลี้ยงอยู่ในโอ่งขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ฉยงเหนียงม้วนแขนเสื้อจับปลาดอกกุ้ย หนึ่งตัวมาผ่าท้องด้วยตนเอง อีกทางหนึ่งก็นำหน่อไม้ฤดูหนาวตากแห้งอย่างดีไปแช่น้ำ นำผิวส้มตากแห้งไปแช่ให้นิ่มแล้วขูดเนื้อในออกจนเกลี้ยงเกลาก่อนหั่นเป็นเส้น ค่อยหันมาปรุงน้ำสำหรับราดปลา รอจนเตรียมวัตถุดิบรองครบถ้วนและจัดการปลาสะอาดแล้ว ถึงวางรองด้วยต้นหอมที่หั่นเป็นท่อนๆ วางปลาแล้วโรยด้วยเส้นผิวส้ม เนื้อหมูที่หั่นเป็นเส้น และเห็ดหอมซอย จึงยกลังถึงขึ้นนึ่ง

ฉยงเหนียงรู้ว่าอาหารที่ยิ่งเรียบง่ายก็ยิ่งทดสอบพื้นฐานฝีมือ อย่างเช่นการนึ่งปลา ระยะเวลาที่อยู่ในลังถึงต้องควบคุมให้ดี หาไม่รสชาติสดของปลาก็จะสลายไป น้ำราดปลาที่ปรุงขึ้นก็เป็นตัวตัดสินรสสัมผัสของปลาที่นึ่งด้วยเช่นกัน

รอจนทำเครื่องเคียงเสร็จ ปลานึ่งก็ออกจากลังถึงได้พอดี ไม่ต้องให้ใครมาสั่งฉยงเหนียงก็รีบจัดใส่ถาดยกไปให้ฉู่เสียกินตอนร้อนๆ

คราวนี้สถานที่กินอาหารเปลี่ยนเป็นศาลารับลมที่อยู่ริมทะเลสาบของคฤหาสน์

ฉู่เสียสะบัดชายชุดยาวนั่งลงข้างโต๊ะเตี้ย คีบเนื้อปลาหนึ่งตะเกียบจุ่มน้ำราดปลาก่อนส่งเข้าปาก

หางตาเขาเหลือบเห็นแม่ครัวตัวน้อยนั้นแม้คุกเข่าอยู่กับพื้น ทว่าลำคอยืดตรงมองดูเขาอยู่ คล้ายกำลังรอคำวิจารณ์จากเขา ฉู่เสียจึงพลันนึกสนุก จงใจกินปลาอย่างเชื่องช้าโดยไม่พูดไม่จา

ย่อมไม่เหมาะที่ฉยงเหนียงจะซักถาม นางจึงได้แต่มองเขากินทีละคำราวกับกำลังกลืนยา

รอจนเวลาพอสมควรแล้ว ฉู่เสียถึงได้วางชามกับตะเกียบแล้วเอ่ยปากถาม “ปกติเจ้ากินเจหรือ”

ฉยงเหนียงถูกถามจนชะงักไปเล็กน้อย “มิใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแต่ถนัดทำอาหารเจ”

“ปลานี้แม้ทำได้สดหอม ทว่าขาดรสที่เข้มข้นไปบ้าง ข้าชอบกินเนื้อสัตว์ที่รสจัดหน่อย นึ่งปลาคราวหน้าราดน้ำมันหมูร้อนๆ เคลือบลงไปหนึ่งชั้น กากหมูป่นที่เคี่ยวน้ำมันออกแล้วก็โรยหน้าลงไปสักเล็กน้อย”

ฉยงเหนียงฟังจบก็ตะลึงงัน นึกฉงนว่าทำเช่นนี้จะไม่มันเกินไปหรือไร แต่เมื่อคิดดูอีกที นางก็ตัดสินใจว่าคราวหน้าจะทำตามวิธีของเขา นางอยากชิมดูว่ารสสัมผัสจะดียิ่งขึ้นเฉกเช่นที่เขาบอกมาหรือไม่

ฉู่เสียใช้ผ้าเช็ดปากก่อนเอ่ยต่อ “กลิ่นดินฉุนเกินไป ควรขจัดออกบ้าง”

ฉยงเหนียงฟังจนงุนงงไปอีกหน “ท่านอ๋อง ปลาดอกกุ้ยจะมีกลิ่นดินจากที่ใดกันเจ้าคะ”

ฉู่เสียเดินทอดน่องมาถึงตรงหน้านาง สายตาพิจารณาชุดกระโปรงของนางพลางกล่าว “ข้าหมายถึงเสื้อผ้าของเจ้าชุดนี้มีกลิ่นดินของคนธรรมดาอย่างเต็มเปี่ยม ดูแล้วขัดตายิ่ง”

ฉยงเหนียงรู้สึกว่าเมื่อครู่ท่านอ๋องผู้นี้ต้องกินอิ่มมากเป็นแน่ ถึงขั้นมีแรงมาจุ้นจ้านเรื่องชุดแต่งกายของนาง นางจึงถือโอกาสพูดคล้อยตามในทันที “ข้าน้อยทราบแล้ว วันหน้าจะไม่มาปรากฏตัวเบื้องหน้าท่านอ๋องให้รกตาอีกเด็ดขาด”

ฉู่เสียใช้มือข้างเดียวคว้าข้อมือที่ขาวผ่องของฉยงเหนียงแล้วพลันดึงนางขึ้นมาแนบอก ค่อยเอ่ยเสียงเย็น “ข้าหลางอ๋องไม่ใช่เพื่อนบ้านในตลาดของเจ้า อย่าคิดตีฝีปากกับข้า อีกประเดี๋ยวย่อมมีคนนำชุดกระโปรงไปให้เจ้า เจ้าจงเลือกชุดที่ชอบเอาไว้ พรุ่งนี้ใส่ตามข้าเข้าวัง”

ถูกบุรุษที่ไม่ใช่สามีกอดเข้าสู่อ้อมอกเช่นนี้ ฉยงเหนียงอึดอัดเพียงใดย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง นางไม่อาจข่มกลั้นได้อีกต่อไป จึงเงื้อมืออีกข้างหมายจะตบหน้าเขาหนึ่งฉาด แต่กลับถูกเขายับยั้งอย่างง่ายดาย

ฉู่เสียเลิกคิ้วถาม “เงื้อมือขึ้นมาจะทำอะไรรึ ชักจะขวัญกล้าแล้วกระมัง”

หากตอนนี้ฉยงเหนียงเอ่ยปาก เป็นต้องทักทายไปถึงโคตรเหง้าห้ารุ่นของฉู่เสียแน่นอน เช่นนั้นย่อมไปยั่วโทสะท่านอ๋องอันธพาลผู้นี้ บิดามารดาตนมิต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือ นางจึงได้แต่เจ็บใจขบริมฝีปากไม่พูดจา

ฉู่เสียชื่นชมดวงหน้าที่แดงซ่านยามโกรธของนางจนพอใจแล้วค่อยเอ่ยอย่างเนิบช้า “หัวหน้าพ่อครัวหลวงถึงวัยเกษียณกำลังจะลากลับภูมิลำเนา เขาคุมห้องเครื่องในวังหลวงมานานปีย่อมมีประสบการณ์มากมาย เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในวังเป็นเพื่อนเรียนของเหล่าองค์ชาย อาหารที่ชอบที่สุดก็เป็นอาหารจากฝีมือของเขา ข้าอยากพาเจ้าเข้าวังไปดูว่าจะพบเขาสักครั้งได้หรือไม่ เจ้าจะได้ฝึกฝีมือเพิ่ม และไม่ทำผิดต่อลิ้นของข้าอีก”

ฉยงเหนียงถูกเขายึดกุมมือทั้งสองไว้จนไม่อาจสลัดหลุด จึงจำต้องฝืนข่มเพลิงโทสะก่อนกล่าว “เมื่อครู่ท่านอ๋องกินอาหารลงไปมาก ตอนนี้พูดมากเพียงนี้ระวังจะมวนท้องเอานะเจ้าคะ ข้าน้อยขอตัวไปเลือกเสื้อผ้าขจัดกลิ่นดินออกก่อน รับรองจะไม่ทำให้จวนหลางอ๋องต้องอับอายขายหน้าผู้อื่น”

มือเล็กคู่นั้นเนียนลื่นดุจเคลือบไข ยามถูกกุมอยู่ในมือใหญ่ให้สัมผัสอันนิ่มนวล ฉู่เสียเพิ่งจะรู้ซึ้งว่าอันใดคือนุ่มราวไร้กระดูก จึงคลึงเคล้นอีกสักหน่อยค่อยคลายมือ

 

รอจนฉยงเหนียงกลับถึงห้องของตน อาภรณ์หลากสีเต็มหนึ่งหีบก็ถูกส่งมาแล้ว ปิ่นมุกที่เข้าคู่กับเครื่องแต่งกายรวมถึงแป้งชาดก็ล้วนไม่มีขาดตกบกพร่อง

เมี่ยวหลิงอาศัยอยู่ในเขตเรือนเดียวกับฉยงเหนียง เพียงแต่พักอยู่ที่ห้องปีกด้านข้าง เมื่อครู่เห็นข้ารับใช้ยกอาภรณ์เครื่องประดับอันงามวิจิตรเข้ามาก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างที่เปิดอ้าพลางจงใจพูดกระแหนะกระแหน “หากไม่รู้ที่มาที่ไป คงนึกว่าจวนอ๋องของพวกเรามีนางบำเรอเลื่อนฐานะขึ้นมาใหม่อีกคนแล้ว มีความสามารถเยี่ยงนี้ยังจะมัวทำอาหารอะไรอยู่เล่า เปลื้องผ้าผ่อนให้เปลือยเปล่าแล้วปีนขึ้นเตียงผู้สูงศักดิ์เสียเลยไม่ประหยัดแรงกว่าหรือไร”

หากนินทาเรื่องอื่นฉยงเหนียงยังพออดทนได้ ทว่าเอาความบริสุทธิ์ของนางมาพูดอย่างสนุกปากเช่นนี้ นางไหนเลยจะข่มทนไหว ดังนั้นจึงพลันหมุนตัวเดินมาถึงหน้าห้องของเมี่ยวหลิงแล้วยกเท้าถีบเปิดประตูห้องทันที

เมี่ยวหลิงเห็นฉยงเหนียงรูปร่างอ้อนแอ้น อุปนิสัยก็น่าจะสุภาพอ่อนโยน ถูกตนพูดตีวัวกระทบคราดเช่นนี้ อีกฝ่ายก็มีแต่กล้ำกลืนฝืนทนเท่านั้นเอง เมี่ยวหลิงไม่คาดคิดสักนิดว่าอีกฝ่ายจะยกเท้าถีบเปิดประตู บุกตรงเข้ามากระชากเส้นผมแล้วดึงตนลงมาบนพื้น

เมี่ยวหลิงอุทานร้องเจ็บ ยังไม่ทันได้ตะเบ็งเสียงก็ถูกฉยงเหนียงกดร่างแล้วตบตีทันที

ในใจฉยงเหนียงรู้ดีว่าถกเหตุผลกับบ่าวที่ความคิดตื้นเขินเยี่ยงนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ครั้นจะด่าโต้ตอบก็สิ้นเปลืองเวลาเปล่า มิสู้ฉีกหน้าสั่งสอนสักหนึ่งยกโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดอีกดีกว่า ให้อีกฝ่ายรู้ไปเลยว่านางนิสัยใจคอเป็นเช่นไรจะได้ไม่มาตอแยนางอีก

เมี่ยวหลิงดิ้นรนหลายหนก็ยังไม่อาจหลุดพ้น ใบหน้าจึงถูกตบไปหลายฉาดจนแสบร้อน อดไม่ได้ต้องร้องโหยหวนพลางด่ากราด “หญิงป่าเถื่อนที่หลุดมาจากบ้านนอก! อยู่ดีๆ มาตบตีผู้อื่นได้อย่างไรกัน!”

ฉยงเหนียงหยิกแขนอีกฝ่ายแรงๆ ก่อนตอกกลับเสียงเยียบเย็น “ก็ตบตีสาวใช้เกียจคร้านที่ไม่ทำการทำงานเยี่ยงเจ้าน่ะสิ! เห็นอยู่ว่าเป็นลูกมือในครัว แต่ถึงเวลาทำอาหารทีไรกลับเล่นลูกไม้อู้งานเป็นประจำ วันนี้กระทั่งฆ่าปลาขอดเกล็ดก็ยังต้องมาถึงมือข้า ถามอะไรเจ้าก็ไม่รู้ท่าเดียว ข้าคร้านจะถือสาหาความกับเจ้าจึงไปทำเองทุกอย่าง ไม่คิดว่าเจ้ากลับมาซุกตัวอยู่ข้างหน้าต่าง นินทาข้าต่อหน้า เห็นข้าเป็นคนตายไปแล้วหรือไรกัน!”

เมี่ยวหลิงถูกตบจนผมยาวสยายยุ่ง โอดครวญพลางดิ้นหนีไปทั่วพื้น แม้อยากจะเอาคืน ทว่าจนใจที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉยงเหนียง จึงได้แต่เรียกบ่าวหญิงทั้งในและนอกลานเรือนมาห้ามปราม

ฉยงเหนียงเห็นผู้คนมากันครบถ้วนแล้ว พอดีจะได้พูดเสียให้ชัดแจ้ง นางจึงกล่าวพลางชี้มือไปยังเมี่ยวหลิงที่ฟุบหน้าร่ำไห้อยู่บนพื้น “ท่านอ๋องสั่งให้ข้าเข้าวังไปฝึกฝีมือกับพ่อครัวหลวงในวันพรุ่งนี้ ย่อมไม่เหมาะที่ข้าจะสวมชุดกระโปรงเนื้อหยาบ พกพากลิ่นน้ำมันทั่วร่างเข้าวังไปทำให้จวนอ๋องขายหน้าผู้อื่น ทว่าเสื้อผ้าเนื้อลื่นละเอียดเพียงไม่กี่ชิ้นกลับทำให้สาวใช้ความคิดตื้นเขินผู้นี้ริษยาขุ่นแค้น อ้าปากหุบปากก็หาว่าข้าจะปีนป่ายขึ้นเตียงเจ้านาย ช่างน่าชังโดยแท้!”

ป้าหลี่ที่อยู่อีกด้านคือหญิงรับใช้อาวุโสที่ทำงานในครัวเล็กเช่นเดียวกับฉยงเหนียง พอฟังจบจึงรีบเอ่ยไกล่เกลี่ย “ล้วนเป็นคนทำงานในครัวเดียวกัน ต่อให้เงยหน้าไม่เจอ ก้มหน้าก็ต้องเห็น พูดจากันให้กระจ่างก็พอแล้ว ไยต้องลงไม้ลงมือให้หมางใจกันด้วยเล่า”

ฉยงเหนียงยืดเอวตรงแน่ว นัยน์ตาหงส์ทั้งคู่กวาดผ่านบ่าวหญิงทุกคนในที่นี้ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้น “วันนี้ข้าฉยงเหนียงขอลั่นวาจาไว้ตรงนี้ ใครอยากจะนินทาข้าลับหลังก็เชิญตามสบาย ข้าฉยงเหนียงตัวตรงย่อมไม่หวั่นเงาเฉียง! แต่หากให้ข้าได้ยินแม้ครึ่งคำ ข้าจะถือมีดปังตอไปหาคนพูดแน่นอน ถึงตอนนั้นถูกสับเป็นน้ำเต้าเลือด ก็อย่าได้ร้องว่าไม่เป็นธรรม!”

คนทั้งหมดเรียนรู้กฎตั้งแต่เข้าทำงานแล้ว ไหนเลยจะกล้าก่อเรื่องในคฤหาสน์ บัดนี้เห็นแม่นางชุยผู้นี้ไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย ท่าทางดูป่าเถื่อนดุร้าย อ้าปากหุบปากก็จะเอาชีวิตคน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหัวแข็งยากตอแย จึงทำได้เพียงพูดไกล่เกลี่ยไม่กี่ประโยคแล้วแยกย้ายกันจากไป

 

มีคนเก่าแก่ของจวนอ๋องที่สนิทกับบิดาของเมี่ยวหลิงทนดูไม่ได้ วิ่งไปรายงานฉู่เซิ่ง หมายจะให้ท่านพ่อบ้านออกหน้าสั่งสอนกฎของจวนแก่แม่นางชุยผู้นี้บ้าง

ขณะนี้ฉู่เซิ่งกินอาหารเย็นแล้ว กำลังเอนหลังบนตั่งพลางสูบยาสูบน้ำ ครั้นได้ยินหญิงรับใช้อาวุโสหลายคนมาฟ้อง เขาก็เพียงปรือหนังตาขึ้นกึ่งหนึ่งก่อนกล่าว “แม่นางสกุลชุยผู้นั้นมือบาดเจ็บหรือไม่ นางต้องทำอาหารให้ท่านอ๋องทุกวัน มือล้ำค่าเป็นที่สุด หากต้องหยุดงานด้วยเรื่องนี้ จะให้ข้าไปหาคนมาแทนจากที่ใดเล่า”

หญิงรับใช้อาวุโสหลายคนนั้นมองหน้ากันไปมา ต่างไม่เข้าใจท่าทีตอบสนองของท่านพ่อบ้าน

ฉู่เซิ่งแค่นเสียงฮึอยู่ในใจ…ล้วนเป็นพวกกินอิ่มแล้วอยู่ว่าง หาความไม่เข้าเรื่อง หากเคยเห็นเมื่อแรกที่แม่นางชุยไล่ตีคนที่เลียบแม่น้ำ คาดว่าคงไม่กล้าบุ่มบ่ามตอแยนางแล้ววิ่งโร่มาฟ้องถึงที่นี่กันหรอก

แม่นางที่ดุร้ายเพียงนี้แสดงกิริยาวาจาเสียมารยาทต่อหน้าท่านอ๋องตั้งกี่ครั้งแล้ว ท่านอ๋องล้วนทำทีเป็นเงื้อมือขึ้นสูง แต่แล้วก็วางมือลงอย่างแผ่วเบาทุกครั้งไป ไม่เห็นตั้งกฎกับนางสักที ทั้งกำนัลอาภรณ์อันงดงามให้นาง และจะพานางเข้าวังไปพร้อมกันอีกด้วย

ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าเขารู้กระจ่างดียิ่ง ท่านอ๋องถึงกับยังสั่งให้เขาไปซื้อโคมขอพรรูปดอกบัวขนาดใหญ่อันงามวิจิตรมาหนึ่งดวง กับถุงใส่ด้ายขอพรมาอีกหนึ่งใบ โดยให้นำเข้าวังไปในวันพรุ่งนี้ นี่จะเตรียมไว้ให้ผู้ใดขอพรกันเล่า

สรุปคือไม่ใช่องค์หญิงยงหยางแน่ ทอดตามองไปก็มีแต่แม่ครัวเล็กผู้นั้นที่จะถึงวัยปักปิ่นพอดี

ตามความเห็นของเขา ท่านอ๋องใช่จะเข้าวังไปขอคำชี้แนะเรื่องอาหารเสียเมื่อไร เห็นชัดว่าต้องการจะพาแม่ครัวเล็กออกไปเที่ยวต่างหาก ความรู้สึกของท่านอ๋องกำลังอยู่ในช่วงเร่าร้อน เขาฉู่เซิ่งไม่ไร้หัวคิดไปตั้งกฎอะไรในตอนนี้หรอก

ยามที่เหล่าหญิงรับใช้อาวุโสหน้าเจื่อนออกมาจากห้องของท่านพ่อบ้าน ในใจล้วนฉงนสงสัยว่าฉยงเหนียงผู้นี้มีที่มาเช่นไรกันแน่ ไฉนพ่อบ้านฉู่ผู้เข้มงวดเสมอมาถึงปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษเช่นนี้

ฝ่ายเมี่ยวหลิงนั้นหลบอยู่ในห้องสะอื้นไห้ถึงกลางดึกก็ไม่เห็นพ่อบ้านฉู่ส่งคนมาจัดการฉยงเหนียงเสียที หัวใจจึงพลันเต้นหวาดหวั่นอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยกลัวว่าตนจะกลายเป็นฝ่ายถูกลงโทษเสียเองจึงได้แต่ถอดใจ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: