X
    Categories: ความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่านเก็บหัวใจไว้เพื่อรัก

ทดลองอ่าน เก็บหัวใจไว้เพื่อรัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 1

เสียงของกัปตันที่ดังกังวานขึ้นทั่วตัวเครื่องบินโดยสารขนาดย่อมของสายการบินบริติชแอร์เวย์สทำให้ชายหนุ่มหน้าขรึมในเก้าอี้ตัวโตของชั้นเฟิร์สต์คลาสที่กำลังนั่งอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างมีสมาธิเงยหน้าขึ้นทันที มือใหญ่รีบจัดเรียงกระดาษที่อยู่บนโต๊ะตัวเล็กให้เข้าที่ก่อนจะเก็บลงในกระเป๋าเอกสารที่เจ้าตัวสอดเอาไว้ใต้เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างหน้า เขาขยับนั่งตัวตรงพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อยเมื่อได้ยินเสียงประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินเมืองมาร์ราเคช…เมืองหลวงเก่าของประเทศโมร็อกโกในอีกไม่เกินสิบห้านาทีข้างหน้านี้แล้ว

นิ้วเรียวยาวถอดแว่นสายตาแบบไม่มีกรอบเก็บใส่กล่องก่อนจะคลึงที่ระหว่างหัวคิ้วอย่างอ่อนล้า เบือนดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวพลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างบานเล็กเห็นท้องฟ้าเป็นสีดำมืดสนิทราวกำมะหยี่ ด้านล่างมีแสงไฟฟ้าจากบ้านเรือนส่องประกายเป็นหย่อมๆ ราวกับอัญมณีที่กะพริบวับวาว ริมฝีปากบางขยับโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างพึงพอใจที่การเดินทางใกล้จะสิ้นสุดลง

เครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อย่างแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกบ่งบอกถึงฝีมือของผู้ขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี เมื่อประตูเปิดออกและผู้โดยสารได้รับการอนุญาตให้ลงจากเครื่องได้แล้วร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มก็ถือกระเป๋าเอกสารพลางลงบันไดด้านหน้าออกมาเป็นคนแรกๆ แล้วก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในตัวอาคารของสนามบินอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าสนามบินของเมืองมาร์ราเคชจะมีขนาดเล็กแต่ก็ใหม่เอี่ยมและดูทันสมัย ภายในมีผู้คนไม่มากนัก เพราะตามเวลาท้องถิ่นในขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว และมีเครื่องบินลงอยู่ลำเดียวและเป็นลำสุดท้ายของคืนนี้

ชายหนุ่มผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างเรียบร้อย รับกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมาถือก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าที่มีผู้คนมายืนรอรับคนที่เพิ่งมาถึงอยู่พอสมควร คิ้วของเขาขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อกวาดตามองไปตามป้ายชื่อต่างๆ แล้วไม่พบชื่อของตัวเอง

ชารีฟ อับดุล เอลฟาร์ทา…

ยังไม่ทันที่ชารีฟจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไปก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะของหญิงสาวร่างเล็กบางสมส่วนในชุดกระโปรงกึ่งสูทสีเขียวอ่อนเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายทุ่งดอกไม้โชยเข้ามาแตะจมูก…คุ้นเคยอย่างประหลาด

นิ้วมือที่ได้รับการดูแลและเคลือบสีเล็บอย่างดียกขึ้นถอดหมวกปีกกว้างสีเดียวกับชุดที่บดบังดวงหน้าไว้เสียเกือบครึ่งออกมาถือเอาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูจะเอ่ยทักทายออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย…เป็นทางการ

“สวัสดีค่ะคุณชารีฟ…มาร์ราเคชยินดีต้อนรับ”

เมื่อได้เห็นดวงหน้าอันงดงามประกอบไปด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนใต้คิ้วโก่งเรียว จมูกโด่งได้รูปหากเชิดรั้น ริมฝีปากหยักบาง ในกรอบผมสีน้ำตาลเข้มเป็นเงายาวถึงกลางหลังนั้นชัดเจนแล้ว หัวใจของชายหนุ่มก็คล้ายกระตุกวูบ เครื่องหมายคำถามฉายชัดอยู่ในแววตา

“ฮะจิน่า”

หญิงสาวพยักหน้ารับ สีหน้ายังคงไม่ส่อความรู้สึกใดๆ “ค่ะ ฉันเอง คุณคงจะแปลกใจที่เห็นฉันเป็นคนมารับคุณที่นี่”

ชารีฟลอบผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะพยักหน้ารับ “ผมทราบว่าคุณประฮิมจะส่งคนมารับ แต่ไม่นึกว่าจะรบกวนลูกสาวของท่านให้ลำบาก”

“คุณไม่ต้องทำท่าหนักใจขนาดนั้นหรอกค่ะ ใช่ว่าฉันเต็มใจเสียเมื่อไหร่กัน” ฮะจิน่าตอบโดยไม่พยายามรักษาน้ำใจแต่อย่างใด เธอยักไหล่เล็กน้อย “พร้อมจะไปหรือยังคะ”

“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่ได้แลกเงินเลย”

เงินสกุล ‘ดีร์ฮาม’ ของโมร็อกโกไม่สามารถแลกได้ที่ไหนในโลกนอกจากในประเทศโมร็อกโกเอง นักเดินทางทั้งหมดจึงต้องมาแลกเงินที่สนามบิน ร้านรับแลกเงินซึ่งมีเพียงแห่งเดียวจึงมีนักท่องเที่ยวต่อแถวยาวเหยียด

ฮะจิน่ามองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนบางก่อนจะส่ายหน้าดิก “อย่าเพิ่งแลกตอนนี้เลยค่ะ คุณยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรอก ฉันขับรถมา ดึกป่านนี้แล้วดูท่าคุณจะยังไม่ต้องใช้เงินทำอะไรนี่คะ ถ้าคุณหิวก็สั่งอาหารจากทางโรงแรมเข้าไปทานในห้องได้ หรือถ้าเบื่ออยากจะออกไปข้างนอกจริงๆ คุณแลกเงินที่ฟร้อนต์ได้ค่ะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปแลกกับธนาคารที่อยู่ติดกับโรงแรมจะดีกว่า”

ชารีฟก้มศีรษะอย่างยอมจำนน พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ฮะจิน่าเดินนำไปก่อน ส่วนตัวเขาลากกระเป๋าเดินทางตามเยื้องอยู่ด้านหลังเล็กน้อย มองร่างบางตรงหน้าด้วยสายตากึ่งแปลกใจกึ่งขบขัน

ผู้หญิงนี่มีหน้ากากหลายอันเสียจริง…

ภายในรถยุโรปคันงามมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับตัวเจ้าของทำให้ชารีฟรู้สึกผ่อนคลายลงมาก ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมหยักศกอ่อนๆ สีน้ำตาลซบอยู่กับพนักพิงด้วยท่าทีเหนื่อยล้า ดวงตาที่พยายามมองไปยังถนนด้านหน้าคล้ายจะหลับมิหลับแหล่

“เหนื่อยมากหรือคะ” ฮะจิน่าถามขึ้นโดยที่ดวงหน้านั้นยังคงมองตรงไปด้านหน้า มือจับอยู่บนพวงมาลัยนิ่ง

“ไม่ได้นอนเต็มๆ ตามาสี่คืนแล้วครับ พอสะสางงานที่อเล็กซานเดรียเสร็จก็แล่นไปไคโร บินไปตรวจโรงแรมที่ลอนดอนแล้วก็ตรงดิ่งมานี่”

“แล้วทำไมไม่นอนในเครื่องบินล่ะคะ” คำถามนั้นคล้ายกับผู้ใหญ่กำลังดุเด็กตัวเล็กๆ สักคนมากกว่า แม้ว่าตัวผู้พูดเองจะอ่อนวัยกว่าผู้ฟังถึงห้าปี

“ผมต้องอ่านเอกสารทั้งหมดให้เสร็จก่อนประชุมกับคุณพ่อของคุณพรุ่งนี้นี่ครับ”

“งั้นคุณหลับไปก่อนก็ได้ค่ะ ปรับพนักพิงให้เอนลงอีกนิด พอถึงเมื่อไหร่ฉันจะปลุกคุณเอง”

เสียงหวานนั้นดูเหมือนจะโอนอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย ชารีฟจึงทำตามคำแนะนำโดยที่ไม่ได้โต้เถียงอะไร

“อีกนานไหมครับกว่าจะถึงโรงแรมของคุณ” ชายหนุ่มถามออกมาทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิทอยู่อย่างนั้น

“รถไม่ติดอย่างนี้ไม่เกินยี่สิบนาทีก็ถึงค่ะ”

ชารีฟพึมพำอะไรบางอย่างในลำคอเป็นเชิงรับรู้ ไม่นานก็ผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ

 

เมื่อรถติดไฟแดงฮะจิน่าจึงหันมาพิจารณาผู้ร่วมทางของเธอ…ชายหนุ่มหลับไปอย่างง่ายดายเสียเหลือเกิน ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองไรหนวดบางๆ ไล่จากเหนือริมฝีปากบางได้รูปไปจนถึงคางที่ออกเหลี่ยมเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวที่เธอมักจะเห็นมันเงียบขรึม ไม่บ่งบอกอารมณ์ และอ่านยากหนักหนาปิดสนิทอยู่ใต้เปลือกตาที่มีขนตายาวเป็นแพ ดวงหน้ากึ่งอาหรับกึ่งยุโรปนั้นแม้จะไม่คมเข้ม หากก็พูดได้เต็มปากว่าหล่อเหลาสะดุดตา

ชารีฟไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เธอได้พบกับเขาที่ไคโรเมื่อครั้งก่อนเลย…

ฮะจิน่าเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในฤดูหนาวเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการโรงแรมที่ฝรั่งเศสเป็นปีสุดท้ายและบินกลับมาเยี่ยมบ้าน สิ่งที่เธอได้รับนอกจากความอบอุ่นจนร้อนรุ่มของครอบครัวก็ยังมีระเบิดลูกโตที่เธอไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนอีกลูกใหญ่

หลังอาหารเย็นในวันที่เธอกลับมานั้นเอง ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังนั่งพักผ่อนคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น จู่ๆ บิดาของเธอก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

‘จิน่า…พ่ออยากให้ลูกไปดูตัว’

เธอจำได้ว่าตัวเองร้องออกไปอย่างลืมตัว ‘อะไรนะคะ! พ่ออย่าล้อจิน่าเล่นเลย เรื่องคลุมถุงชนนี่มันเรื่องสมัยโบราณแล้วนะคะ’

‘ก็ไม่ได้บังคับให้ลูกแต่งงานนี่ แค่อยากให้ไปพบกับชายหนุ่มที่พ่อและแม่คิดว่าดีพร้อมเท่านั้นเอง ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ลูก’

หญิงสาวสั่นศีรษะจนผมกระจายก่อนจะหันไปหามารดา ‘แม่คะ จิน่าไม่อยากไปพบเขา ไปให้เขาเลือกดูเหมือนสินค้า’

หากคำตอบที่เธอได้รับกลับเป็น ‘ลูกพูดอะไรน่าเกลียด สินค้าอะไรที่ไหนกัน…แม่เองก็เห็นด้วยกับคุณพ่อ’

เท่านั้นเธอก็กระแทกตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างรุนแรงด้วยความไม่พอใจ ความที่เป็นลูกสาวคนเล็กและคนเดียวทำให้เธอฤทธิ์มากไม่น้อย

อาเดย์…พี่ชายคนโตของเธอเดินเข้ามาโอบไหล่ ‘มันก็เหมือนกับการที่ได้ไปเจอเพื่อนใหม่นั่นละ ถ้าน้องไม่ชอบก็ไม่มีใครบังคับน้องได้หรอก’

ส่วนเรียอาร์ท…พี่ชายคนรองที่อายุมากกว่าเธอเพียงปีเดียวยักคิ้วแผล็บ ‘แต่ผมว่าคนที่ไม่อยากแต่ง สงสัยจะเป็นชารีฟมากกว่า หรือถ้าเขาตกลงอยากแต่งผมก็สงสารเขาที่จะต้องมาเจอกับม้าดีดกะโหลก’

จบคำเท่านั้นหมอนอิงใบย่อมก็ลอยละลิ่วจากมือหญิงสาวเข้าใส่หน้าคนพูดอย่างแม่นยำ ‘พี่เรียอาร์ท…เป็นพี่จิน่าจริงๆ รึเปล่าเนี่ย จิน่าว่าพ่อกับแม่เก็บพี่มาจากถังขยะมากกว่า ปากงี้…’

‘พอๆ โตกันเป็นหนุ่มสาวแล้วยังจะเล่นเป็นเด็กๆ กันอีก’ บิดาห้ามทัพก่อนจะหันไปทางลูกสาวคนเล็ก ‘ลูกไม่อยากรู้หรือว่าเขาเป็นใคร’

หญิงสาวยักไหล่…ซึ่งเป็นกิริยาที่บุพการีทั้งสองของเธอไม่ชอบนัก ‘โอเคค่ะ เขาเป็นใครล่ะคะที่ทำให้พ่อแม่แล้วก็พี่ๆ เห็นดีเห็นงามได้ถึงขนาดนี้’

‘เขาเป็นลูกครึ่ง พ่อเขาเป็นคนอียิปต์มีเชื้อสายขุนนางเก่า ส่วนแม่เป็นคนออสเตรีย ชื่อชารีฟ เอลฟาร์ทา เขาจบโทด้านการตลาดและบริหารธุรกิจจากกลาสโกว์ ตอนนี้นอกจากจะเป็นหัวหน้าผู้จัดการแล้วยังเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมในเครือฟารัวห์…’

ยังไม่ทันที่บิดาจะบรรยายสรรพคุณของคนที่เธอจะต้องไปดูตัวเสร็จฮะจิน่าก็ขัดขึ้นมาทันที ‘อ๋อ…พ่อกะจะจับคู่จิน่ากับเขาเพราะเขาทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับเราหรือคะ’

ครอบครัวของเธอมีเครือข่ายโรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโมร็อกโก สาขามีทั้งโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ อย่างในมาร์ราเคช เฟส คาซาบลังก้า ราบัต ยังไม่นับในเมืองเล็กๆ อีกมากมาย

‘ใครบอกกันล่ะ พ่อรู้จักกับอับดุล คุณพ่อของเขาต่างหาก เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันสมัยเรียน…’

‘ทำไมเขาถึงหาแฟนเองไม่ได้ล่ะคะ ผู้หญิงอียิปต์ดีๆ ไม่มีหรือยังไงกัน สงสัยจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องล่ะสิท่า’ เสียงหวานมีแววดูแคลนชัดแจ้ง

‘คนไม่ได้เรื่องจะเป็นหัวหน้าผู้จัดการโรงแรมในเครือข่ายฟารัวห์ได้ยังไง’ บิดาแย้ง

‘งั้นก็ต้องแก่หงำเหงอะ เป็นคุณลุง’

‘ชารีฟอายุแค่ยี่สิบเจ็ดเท่านั้นเอง’ มารดาเป็นคนแก้ให้อย่างใจเย็น

‘ถ้าอย่างนั้นก็หน้าตาไม่ได้เรื่อง ดูน่ากลัวยิ่งกว่ามัมมี่’

‘พี่ว่าเขาหล่อกว่าเรียอาร์ทซะอีก’ อาเดย์เป็นคนพูดขึ้นบ้าง ในขณะที่ตัวเองกลั้นหัวเราะจนตัวโยน

‘อ้าว…พี่อาเดย์ ผมกำลังจะพูดอย่างเดียวกันพอดีเลย’ เรียอาร์ทโต้อย่างไม่รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรมากนัก เขารู้ตัวดีว่าเป็นคนหน้าตาดีและเนื้อหอมในหมู่สาวๆ มากแค่ไหน

‘อะไรจะเพอร์เฟ็กต์ขนาดนั้น’ ฮะจิน่าประชดเข้าให้

‘ใช่ไหมล่ะ พี่ไม่อยากให้เธอพลาดคนดีๆ ไป’ เรียอาร์ทกลั้นยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ ‘เพราะอย่างเธอน่ะคงจะหาคนมาแต่งงานด้วยยากเต็มทน’

‘เชอะ’ เธอสะบัดหน้าใส่คนเป็นพี่ หน้าง้ำเพราะนึกหาคำมาเถียงไม่ออก

จริงอยู่ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่จัดได้ว่าเป็นคนสวยน่ารัก คล่องแคล่ว ทันสมัย แถมยังมีมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นเลิศจึงมีผู้ชายมาให้ความสนใจเธอมากมาย เสียแต่ว่ามักจะเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อพวกเขารู้ว่าถ้าหากคิดจะจริงจังกับเธอถึงขั้นแต่งงานจะต้องเปลี่ยนมาเป็นมุสลิมก็หายหน้าหายตาไปจนหมด ส่วนพวกผู้ชายอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลามก็มีแต่พวกหัวโบราณทั้งนั้น เธอจะทนได้อย่างไร…หรือจะพูดให้ตรงก็คือ พวกเขาก็คงทนเธอไม่ได้เช่นกัน

ฮะจิน่าเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก ‘ก็ได้ค่ะ จิน่าจะไป แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าจิน่าไม่ชอบใจจะไม่มีวันแต่ง บังคับจิน่าไม่ได้ด้วย’

‘อืม…เธอจะประกาศอย่างนี้ก็ไม่มีใครว่า แต่อย่าอกหักกลับมาล่ะ’ เรียอาร์ทแกล้งว่า

‘ก็ให้มันรู้ไปสิคะว่าใครจะเป็นฝ่ายอกหัก’ ฮะจิน่าเชิดหน้าตอบก่อนจะหันไปถามบิดา ‘ว่าแต่ชารีฟอะไรเนี่ยเขาชอบผู้หญิงแบบไหนหรือคะ’

‘ไม่รู้สิ พ่อเองก็ได้พบกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง ท่าทางเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ดูเอาการเอางาน แล้วก็เป็นมุสลิมที่เคร่งมาก คงจะชอบผู้หญิงเรียบร้อย พูดน้อย ว่านอนสอนง่าย เป็นกุลสตรีล่ะมั้ง’ ปลายเสียงมีแววหัวเราะ ผู้พูดคงจะรู้ดีว่าลูกสาวคนเล็กไม่ได้มีคุณสมบัติตามนั้นเท่าไหร่เลย

‘หรือคะ’ ฮะจิน่าหัวเราะอย่างหมายมาด

คอยดูเถอะ เธอจะเล่นละครให้เขาหลงแล้วก็จะปฏิเสธให้หมดเยื่อใยเลยเชียวละ เป็นบทเรียนสอนให้รู้ว่าอย่ามาบังคับผู้หญิงคนไหนให้ไปดูตัวอีก!

หลังจากนั้นสี่วันฮะจิน่ากับครอบครัวก็บินไปอียิปต์และเข้าพักในโรงแรมฟารัวห์สาขาไคโร เย็นวันนั้นทั้งหมดได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับ แขกที่ได้รับเชิญมีเพียงครอบครัวของฮะจิน่าห้าคน…ชารีฟ เอลฟาร์ทา และนายอับดุล เอลฟาร์ทา อีกทั้งครอบครัวฟารัวห์เจ้าของโรงแรมอันประกอบไปด้วยการีม ฟารัวห์ ที่มาพร้อมกับไมล์ ภรรยาสาวชาวไทและนางไอชา ฟารัวห์…มารดาของการีมซึ่งเป็นน้องสาวของนายอับดุล

ฮะจิน่าจำได้ว่าพี่ชายทั้งสองหัวเราะก๊าก ส่วนบิดามารดาก็ตะลึงเมื่อได้เห็นเธอเดินออกมาจากห้องส่วนตัวในชุดกระโปรงยาวคลุมถึงข้อเท้าและเสื้อแขนยาวคลุมถึงข้อมือ แถมยังมีผ้าคลุมผมอีกต่างหาก…เรียบร้อยสมเป็นสาวมุสลิมที่แสนเคร่งทุกประการ

ตลอดเวลารับประทานอาหารนั้นหญิงสาวเอ่ยปากออกมาเป็นคำพูดแทบจะนับคำได้ ซึ่งก็มีเพียงแค่คำว่า ‘ค่ะ’ ‘ไม่ค่ะ’ และ ‘ขอบคุณค่ะ’ เท่านั้น ปล่อยให้หน้าที่การเจรจาเป็นของคนอื่นๆ

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลลอบมองชารีฟเป็นครั้งคราว…เขาเป็นคนบุคลิกดีและหน้าตาหล่อเหลาอย่างที่ทุกคนในครอบครัวของเธอโฆษณาเอาไว้ และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอหมั่นไส้เขามากขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล

 

ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ในไคโร ฮะจิน่าเล่นละครเป็นสาวน้อยที่เรียบร้อยทุกวันทั้งต่อหน้าครอบครัวของชารีฟหรือแม้แต่ในตอนที่เขามารับเธอไปเที่ยวตามลำพัง

สิ่งเดียวที่ขัดใจฮะจิน่าคือ แม้ว่าชารีฟจะเอาอกเอาใจและดูแลเธอดีตามมารยาทของสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วไม่มีเสียหาย หากแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลงเสน่ห์กุลสตรีมุสลิมที่แสนดี เก็บปากเก็บคำแต่ประการใด

ครอบครัวของฮะจิน่าเดินทางกลับโมร็อกโกตามเวลาที่ตั๋วระบุเอาไว้ท่ามกลางความผิดหวังของนายประฮิมและนายอับดุลที่ลูกของทั้งสองไม่ได้ชอบพอกันอย่างที่หวัง และหญิงสาวเองก็โดนพี่ชายทั้งสองล้อเลียนว่าเป็นคนไร้เสน่ห์ไปอีกสามเดือน

หญิงสาวได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคงจะไม่ต้องพบเขาอีกแล้วในชีวิตนี้

คิดถึงตรงนี้ฮะจิน่าก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะหันไปค้อนคนที่นั่งหลับสนิทอยู่ข้างๆ อย่างเซ็งในอารมณ์

ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะต้องมาเจอกันอีก!

หญิงสาวละสายตาจากชายหนุ่มคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความขุ่นมัว กลับไปมองถนนด้านหน้าก็เห็นสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวจึงพารถของเธอพุ่งออกไปทันที

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: