X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 7-บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 7

หัสยุทธมาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติราวเก้านาฬิกาเศษ เขาตรงไปยังห้องทำงานของ NIC ทันที และสมาชิกทุกคนก็รอเขาอยู่ในนั้น นายตำรวจท่าทางเคร่งขรึมโยนเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองพาดเก้าอี้พนักงานสูงไว้แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะประชุมกลางห้อง บนโต๊ะนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้มากมาย เขาเริ่มลากสายตาอ่านและตรวจทานทุกอย่างบนนั้น เพื่อเป็นการรอเวลาให้ทีมเตรียมข้อมูลมาสรุปและรายงานความก้าวหน้าของคดี

ปารุสก์เซ็ตคอมพิวเตอร์ทุกตัวของเขาให้พร้อมใช้งาน ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารอยู่ในเครื่องหนึ่ง ภาพจากกล้องบนหลังรถตู้ของ NIC อยู่อีกเครื่องหนึ่ง ส่วนจอสุดท้ายเป็นภาพนิ่งซึ่งรวบรวมมาจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่ได้ทำงานกันมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน

วุฒิภาศรวบเอกสารบนโต๊ะพร้อมกับแนบสมุดบันทึกติดมือมาด้วย เขาขยับจากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งอยู่ไม่ไกลจากหัสยุทธ ส่วนอาสดามีท่าทีง่วงงุนมากที่สุด คงเพราะเมื่อคืนเขาต้องสอบปากคำพนักงานธนาคารที่ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนดึก เมื่อทุกคนพร้อมหัสยุทธก็ออกคำสั่ง

“ดูกล้องวงจรปิดของธนาคารก่อน”

“ครับ” ปารุสก์ขยับตัวเพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ “เริ่มจากก่อนที่คนร้ายคนแรกจะเข้าไปในธนาคารประมาณห้านาทีนะครับ”

“แล้วก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยเหรอ” หัสยุทธถาม

“ผมไม่เห็นนะ ทุกอย่างปกติ ด้านหน้าธนาคารก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย คนร้ายปรากฏในวิดีโอครั้งแรกก็คือเดินเข้ามาธรรมดาๆ นี่เลยครับ”

“ไม่เห็นยานพาหนะ”

“ครับ ไม่เห็น”

ทุกคนหยุดพูดเมื่อจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพคนร้ายคนแรกเข้ามาในธนาคาร นั่นก็คือโอ่งนั่นเอง ทีม NIC ทั้งสี่ตั้งใจดูภาพนั้น แล้วต่างก็มีความคิดแยกไปตามมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน หัสยุทธจับตาดูที่โอ่งตลอดเวลา เขาจำเสื้อลายสก็อตของคนร้ายได้

“รับโทรศัพท์เหรอ” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นคนร้ายใช้โทรศัพท์มือถือ

“ครับ ผมคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณระหว่างกัน” วุฒิภาศบอก

“ถ้าส่งสัญญาณให้พรรคพวกมันน่าจะเกิดจากคนที่เข้ามาคนแรกส่งสัญญาณไปให้คนที่สอง เพื่อตามเข้ามาในธนาคารไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไมคนแรกถึงเป็นฝ่ายรับโทรศัพท์ล่ะ”

วุฒิภาศหาคำตอบมาตอบไม่ได้ เขาจึงเงียบแล้วรอดูเหตุการณ์ต่อไป ทุกคนเห็นโอ่งเดินไปนั่งรอเรียกคิวที่เก้าอี้ เห็นตุ่นเดินเข้ามา ตัวประกันที่ถูกโอ่งพาตัวออกไปจากที่เกิดเหตุกำลังมีปัญหา ผู้จัดการสาขาออกมาจากห้องทำงานของเขา โอ่งไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วเหตุการณ์จับทุกคนเป็นตัวประกันก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น

“หยุด” หัสยุทธสั่งให้หยุดเทป “ตัวประกันผู้หญิงคนนั้นให้ปากคำแล้วรึยัง”

“ยังครับ เมื่อวานหลังจากที่ตำรวจตามคนร้ายไปจนพบรถและตัวประกัน เธอก็ถูกส่งตัวมาตรวจสุขภาพอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล ทารกในครรภ์ปลอดภัยดี แต่แพทย์สั่งไว้ว่าการสอบปากคำต้องเกิดขึ้นหลังจากแพทย์อนุญาตเท่านั้นครับ คนในทีมของสารวัตรโอบบอกว่าเธอร้องไห้หนักมากตอนที่ตำรวจไปพบเธอในพงหญ้าข้างทางด่วน คงจะเสียขวัญมาก”

“อื้ม เปิดต่อ”

เหตุการณ์หน้าเคาน์เตอร์ดำเนินต่อไปด้วยความวุ่นวายก่อนที่พนักงานหญิงจะถูกยิงที่หัวไหล่ จากนั้นไม่นานกล้องวงจรปิดหลังเคาน์เตอร์ก็ถูกยิงจนจอภาพดับวูบลง ปารุสก์กำลังจะเปิดภาพในกล้องถัดไปแต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

“เดี๋ยว ขอดูภาพก่อนจะยิงกล้องวงจรปิดอีกครั้งซิ” ปารุสก์ทำตามคำสั่ง หัสยุทธดูภาพแล้วกอดอกแน่น “ไม่ลังเล ไม่ตื่นตระหนก”

“ตั้งใจไว้แล้วเหรอครับ” อาสดาถาม

“อืม ถ้าตั้งใจ และมั่นใจขนาดนี้ก็แสดงว่ารู้ตำแหน่งของกล้องวงจรปิดดี น่าจะรู้ก่อนเข้ามาในธนาคารด้วยซ้ำ เพราะระหว่างที่นั่งรอเรียกคิวมันไม่กระสับกระส่ายหรือคอยมองหาตำแหน่งของกล้องเลย ไม่มีจังหวะไหนที่มองมาทางกล้องด้วยซ้ำไป”

ลูกน้องทั้งสามคนจ้องมองผู้บังคับบัญชาของตนด้วยความรู้สึกทึ่ง

“เจ้านายจะดูจากกล้องหน้าประตูต่อเลยไหมครับ” ปารุสก์ถาม

หัสยุทธพยักหน้าแล้วดูภาพเคลื่อนไหวจากอีกกล้อง ซึ่งคนร้ายคนที่สองก็ทำในสิ่งที่ไม่แตกต่างกัน

“พวกนายเห็นไหม ดูเหมือนจะเป็นการยิงปืนขู่ให้ตัวประกันกลัว แต่ทุกครั้งที่ยิงกลับตรงเป้าหมาย ได้ผลทุกครั้ง พวกมันวางแผนทุกอย่างมาเป็นอย่างดี และรู้ตำแหน่งของกล้องสำคัญๆ ในธนาคารด้วย”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของหัสยุทธ เมื่อการดูวิดีโอเทปผ่านไป หัวหน้าหน่วย NIC ก็มุ่งไปที่ประเด็นเรื่องอื่น เขาหันไปทางอาสดา

“คนเจ็บเป็นยังไงบ้าง”

“ปลอดภัยทั้งสองคนครับ มีการสอบปากคำไปบ้างเล็กน้อย แต่ทางพนักงานสอบสวนบอกว่าต้องลงรายละเอียดอีกมาก ซึ่งต้องรอให้คนเจ็บมีอาการดีขึ้นกว่านี้ และหมออนุญาตน่ะครับ”

“อืม…” หัสยุทธเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ คล้ายกับกำลังใช้ความคิด “เราคิดถูกที่คนร้ายมีสองคน แต่จากพฤติกรรมของพวกมันผมเชื่อว่ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิดแฝงตัวอยู่ในนั้น ซึ่ง ณ เวลานี้พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาจากธนาคารแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามหาหลักฐานว่าใครหรืออะไรที่ทำให้คนร้ายสามารถกระทำการปล้นธนาคารได้ง่ายขึ้น”

“อาวุธปืนน่าจะพอบอกเราได้นิดหน่อยครับ” วุฒิภาศกล่าว

“ว่ามา”

วุฒิภาศนำภาพปืนที่พิมพ์ออกจากเครื่องพิมพ์เมื่อครู่มายื่นให้หัสยุทธ

“ผมนำของกลางที่ได้จากคนร้ายสองคนมาเทียบกับแฟ้มอาวุธที่เรามี ปรากฏว่ามีปืนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับเคยใช้ก่ออาชญากรรมมาก่อนครับ”

“พวกแก๊งเหรอ”

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภาพจากแฟ้มถูกโหลดไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วและขณะนี้ปารุสก์ก็กำลังเรียกขึ้นมาให้หัสยุทธเห็นไปพร้อมๆ กัน “ปืนประดิษฐ์แบบลำกล้องยาว มีการสลักอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวไว้ที่กระบอกปืนด้วย ซึ่งเราเคยจับคนร้ายที่ใช้อาวุธชนิดนี้ได้ในคดีลักทรัพย์ คนร้ายมีประวัติลักเล็กขโมยน้อยหลายคดีและสารภาพว่าได้เรียนรู้การทำอาวุธปืนมาจากการเรียนวิชาช่าง โดยเอามาดัดแปลงแล้วส่งความรู้ต่อไปเป็นรุ่นๆ”

“กลายเป็นพวกอันธพาลไปเลยสินะ”

“ครับ ผมคิดว่าเราพอจะตามเรื่องอาวุธปืนต่อได้ แล้วจะทำให้ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร”

“รุสก์ ในแฟ้มของนายไม่มีคนที่หน้าเหมือนคนตายเลยเหรอ”

“ไม่มีครับ ผมพยายามใช้ทั้งโปรแกรมเทียบใบหน้าและก็พิจารณาด้วยตัวเองแล้ว แต่ไม่มีใครใกล้เคียงเลยครับ”

“ไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อนก็ไม่น่ากล้าปล้นธนาคาร… แล้วคนที่สองล่ะ”

“ยังอยู่ในห้อง ICU ครับ” อาสดาตอบ

“เด็กไอ้โอบนี่ท่าทางจะเล่นกันหนักมือเกินไป”

อาสดารีบแก้ตัวแทน “ได้ยินมาว่าสถานที่ที่มันหลบหนีอันตรายมากสำหรับเจ้าหน้าที่ คงตกลงกันไว้แล้วว่าหากมีการต่อสู้ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวครับ”

หัสยุทธถอนใจ เขามีปัญหากับโอบเกียรติเพราะเรื่องเหล่านี้มาตลอด แม้ผู้บังคับบัญชาจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า NIC เป็นเหมือนสมอง ส่วนหน่วยจู่โจมของโอบเกียรตินั้นเป็นแขนขาก็เถอะ แต่เขาก็เห็นบ่อยๆ ว่าแขนขามักจะออกท่าทางเกินกว่าที่สมองต้องการเสมอ

“ตายหนึ่ง เจ็บหนักอีกหนึ่ง ไม่มีทางที่เราจะสอบปากคำคนร้ายได้เลย ต้องเบนเข็นไปทางตัวประกันกับสภาพแวดล้อมแทน”

“หัวหน้าครับ มีอีกเรื่องที่วิญญูบอกผมมา…เรื่องรถยนต์ แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”

“ว่ามา”

“วิญญูบอกว่าหลังจากมีการเคลียร์คนและรถให้ออกห่างจากอาคารเพื่อเช็กความปลอดภัย มีรถกระบะเหลืออยู่คันหนึ่งซึ่งไม่สามารถระบุเจ้าของได้และไม่มีใครมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของด้วยครับ”

“รถอยู่ที่ไหน”

“จอดอยู่หลังตลาดที่อยู่หลังอาคารพาณิชย์อีกที”

หัสยุทธนิ่ง วุฒิภาศจึงสรุปแทน

“อาจจะเป็นคำตอบว่าคนร้ายมาที่ธนาคารได้ยังไง”

“อืม อาส…นายไปตามเรื่องนี้ให้หน่อย หาเจ้าของรถให้เจอ”

“ได้ครับ”

“เอาล่ะ มาลำดับเหตุการณ์ต่อ หลังจากกล้องวงจรปิดถูกยิงหมดแล้วเราจะรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดต่อจากนั้นได้ยังไง”

มันเป็นประโยคที่ตั้งใจถามเพื่อให้ทีมเกิดกระบวนการทางความคิด วุฒิภาศอาสาตอบคำถามนั้นเป็นคนแรก

“สอบปากคำตัวประกันทั้งหมดครับ”

“แล้วได้อะไรมาบ้าง”

“เราแบ่งตัวประกันออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เป็นพนักงานของธนาคารกับกลุ่มลูกค้า ณ เวลาเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารทั้งหมดห้าคน รปภ. และแม่บ้านอีกสอง รวมเป็นเจ็ดคนครับ ส่วนลูกค้าก็มีห้าคน”

หัสยุทธมองตัวเลขที่เขียนไว้บนโต๊ะตามไปด้วย “รวมเป็นสิบสอง คนร้ายเข้ามาสองคน ใช้อาวุธปืนที่ประดิษฐ์เองข่มขู่ให้ทุกคนอยู่ในความสงบโดยไม่ลังเลที่จะยิง แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทำให้คนบาดเจ็บ…”

“ถ้าไม่นับการยิงทะลุกระจกออกมาสกัดตำรวจ กระสุนปืนถูกยิงในธนาคารทั้งหมดสี่นัดครับ”

“อีกนัด…ที่ไหน”

“พนักงานคนหนึ่งของธนาคารให้ปากคำว่า กระสุนปืนลั่นในตอนที่ผู้จัดการสาขาเข้ามาปกป้องพวกตน”

“ผู้จัดการคนนี้เป็นฮีโร่จริงๆ”

“ใช่ครับ แล้วพวกเขายังบอกด้วยว่าผู้จัดการถูกทำร้ายร่างกายด้วยเพราะเข้ามาช่วยเหลือพวกตน ท่าทางเขาเป็นคนดีมาก ลูกน้องทุกคนก็เป็นห่วงเขา ผมได้ยินสารวัตรโอบบอกว่าธนาคารคงมีรางวัลให้เขาในเรื่องนี้”

หัสยุทธขมวดคิ้ว “แล้วเขาไม่กังวลเรื่องเงินที่หายไปเลยเหรอ”

“ก็คงกังวล แต่ผู้จัดการเขตยังตั้งตัวไม่ติด รู้แค่ว่าเหตุการณ์สงบลงด้วยดี โจรถูกจับ ทุกคนปลอดภัยเขาก็โล่งใจขึ้นแล้ว ธนาคารยังประกาศด้วยว่าจะมีค่าทำขวัญให้ลูกค้าทุกคนอีกด้วย หลังจากนี้มันคงเป็นเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั่นแหละครับ”

“วุฒิ…ผมอยากให้คุณได้คุยกับผู้จัดการสาขาสักครั้ง”

“เรื่องอะไรเหรอครับ”

“นั่นเป็นสิ่งที่นายต้องบอกผมว่ารู้หรือเห็นอะไรมาบ้างหลังจากที่คุยกับเขาแล้ว” วุฒิภาศจ้องหน้าของหัสยุทธอย่างสงสัยแล้วจำเป็นต้องพยักหน้ารับคำสั่งนั้นในที่สุด “ต่อซิ”

“ครับ ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นก็คือ คนร้ายต้องการจะหลบหนีก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุครั้งหนึ่งครับ โดยมันเลือกตัวประกันไปด้วยหนึ่งคน พนักงานธนาคารบอกว่ามันพยายามจะออกไปทางด้านหลังของอาคาร แต่หายไปไม่กี่นาทีก็กลับเข้ามาอีกครั้ง”

“ตำรวจมา”

“ใช่ครับ ตำรวจมา เข้าใจว่าตอนนั้นทีมของวิญญูน่าจะอยู่ในตลาดแล้ว”

“ถ้ารถคันที่เราสงสัยเป็นรถของมัน ก็แสดงว่ามันพยายามจะกลับไปที่รถ” ทุกคนพยักหน้า แต่หัสยุทธกลับมาขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง “แล้วตัวประกันคนที่มันพาไปด้วยคือใคร คุณถามมารึเปล่า”

“สุภาพสตรีคนเดิมครับ”

เหมือนประกายไฟถูกจุดติดในสมอง หัสยุทธหันไปหาปารุสก์ “ย้อนเทปก่อนที่คนร้ายจะเปิดเผยตัวให้หน่อย”

ปารุสก์ทำตามคำสั่ง หัสยุทธเปลี่ยนจุดสนใจมาที่สุภาพสตรีผู้เป็นลูกค้า เธอกำลังยืนเกาะเคาน์เตอร์พูดคุยกับพนักงาน ไม่นานพนักงานคนนั้นคงแก้ปัญหาให้เธอไม่ได้จึงมีการยกหูโทรศัพท์เรียกผู้จัดการสาขาให้เข้ามาช่วย จากนั้นอีกไม่นานเท่าไรคนร้ายก็ปรากฏตัว…

“มีเหตุผลอะไรถึงเลือกผู้หญิงคนนี้” หัสยุทธรำพึง

“ผู้หญิงควบคุมได้ง่ายกว่าผู้ชาย” วุฒิภาศให้เหตุผลที่เป็นจริงกับหัวหน้าของเขา

“เธอยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุดในตอนเริ่มควบคุมเหตุการณ์” อาสดาต่อ

“หรือมันอาจจะรู้ว่าเธอตั้งท้อง” ปารุสก์ช่วย

หัสยุทธเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาเริ่มเปิดอีกประเด็น “มันควบคุมตัวประกันยังไง”

“ใช้กุญแจมือสองคู่พันธนาการคนสองคนไว้ด้วยกันครับ”

วุฒิภาศตอบแต่หัสยุทธนึกภาพไม่ออก ปารุสก์จึงช่วยหาภาพซึ่งทางหน่วยจู่โจมได้ถ่ายไว้ในตอนที่เข้าไปช่วยเหลือตัวประกัน

“คล้องข้อมือกับข้อเท้าไว้ด้วยกันเหรอ เป็นวิธีที่แปลกมาก ผมไม่เคยเห็น”

“ครับ ตอนที่หน่วยจู่โจมเข้าไปช่วยก็แปลกใจเหมือนกัน เขาถ่ายรูปมาให้ผมดูทีหลัง แล้ววิธีนี้ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้ยากมากครับ จะเอาตัวประกันออกจากสถานที่เกิดเหตุทันทีก็ไม่ได้เพราะพวกเขาเดินเองไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่นำเครื่องมือมาตัดกุญแจออกก่อน”

“นี่ถ้ามีระเบิดจริงคงตายกันเป็นเบือ” หัสยุทธยังติดใจเรื่องเครื่องพันธนาการอยู่ “ในที่เกิดเหตุมีกุญแจมือทั้งหมดกี่คู่”

“เอ่อ…ไม่ทราบครับ”

“ถ้ากุญแจมือมีจำนวนเท่ากับตัวประกันพอดีพวกนายว่าแปลกไหม มันอาจจะหมายถึงคนร้ายเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีหรือมีคนข้างในส่งสัญญาณไปบอกว่าตอนนี้คนที่อยู่ด้านในธนาคารมีจำนวนพอเหมาะที่มันจะสามารถรับมือได้ แล้วถ้ากุญแจมือมีมากกว่าตัวประกันเราพบส่วนที่เหลือจากตัวคนร้ายไหม หรือถ้ามีน้อยกว่ามีใครบ้างที่ไม่ถูกพันธนาการ ถ้าหาคำตอบเหล่านี้ได้เราก็จะเห็นภาพการควบคุมตัวประกันได้ชัดเจนขึ้น”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” อาสดาคราง “งั้นผมจะตามเรื่องนี้ให้ครับ ต้องมีการบันทึกหลักฐานและจำนวนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุอยู่แล้ว ผมจะตามกับหน่วยจู่โจมให้”

“อืม กลับมาเรื่องของสุภาพสตรีที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ถ้าหมออนุญาตให้สอบปากคำได้เมื่อไรผมอยากรู้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธออย่างละเอียด ทั้งคำพูดของคนร้ายและการกระทำทั้งหมดจนถึงตอนที่ตำรวจไปพบตัวเธอ วุฒิจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ไหม”

“ได้ครับ”

“งั้นต่อ…เรารู้แล้วว่าคนร้ายพยายามจะหนีแต่ไม่สำเร็จ เขาต้องกลับเข้ามาในธนาคารอีกครั้ง คราวนี้เกิดการเจรจาขึ้นโดยในครั้งแรกมันให้ผู้จัดการสาขามาคุย ผมคิดว่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มเจรจาเป็นสิ่งที่พวกมันไม่ได้เตรียมการมาก่อน เพราะฉะนั้นหากจะวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของมันก็ต้องดูที่ช่วงเวลานี้เป็นหลัก”

“มันไม่พูดถึงเงินเลยนะครับ” วุฒิภาศตั้งข้อสังเกต

“เพราะมันรู้สึกว่าสิ่งที่มันได้ไปก็เพียงพอแล้ว”

“แสดงว่ามันต้องการหนีอย่างเดียว” อาสดาบอก

“ใช่ ถ้าหนีช้าทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก”

วุฒิภาศเปิดสมุดบันทึกของเขา “พนักงานหน้าเคาน์เตอร์คนหนึ่งบอกว่าคนร้ายบังคับให้ผู้จัดการสาขาเอาเงินในลิ้นชักใส่ในถุงผ้าให้ครับ เขาต้องทำตามคำสั่ง เธอยืนยันว่าเงินที่ถูกขโมยมีแค่สองถุง คนร้ายที่เสียชีวิตผูกมันติดกับเอว ส่วนคนที่หนีไปได้มันยัดเงินใส่ในเป้ครับ”

“เปิดเทปช่วงที่คนร้ายเดินออกมาจากธนาคารซิรุสก์”

ปารุสก์รีบเปิดวิดีโอที่บันทึกไว้จากกล้องของ NIC ทุกคนจับตามองไปพร้อมกัน หัสยุทธพูดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้สั่งให้หยุดเทป

“คนร้ายเป็นคนเลือกแม่บ้านกับรปภ. มาเป็นคนช่วยพยุงคนเจ็บเอง ผมคิดว่าเขาคงไม่ต้องการเซอร์ไพรส์ การใช้คนแก่ช่วยรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่คิดต่อสู้ แต่…” หัสยุทธลากเสียงแล้วหยุดพูดเมื่อวิรุฬปรากฏตัวขึ้น

“ทำไมต้องใช้ผู้จัดการด้วยครับ ถ้าเขาไม่ต้องการเซอร์ไพรส์” อาสดาสังเกต “ใช้ผู้หญิงยังเข้าใจได้ แต่ผู้ชายจะเอามาด้วยทำไม หรือพวกมันเห็นว่าชีวิตของผู้จัดการมีอำนาจต่อรองมากกว่าคนอื่น”

วุฒิภาศตอบ “ลูกค้าที่เป็นตัวประกันบอกว่าคนร้ายเป็นคนเลือกผู้จัดการด้วยตัวเอง เลือกในวินาทีสุดท้ายก่อนจะออกมาจากธนาคารเลย”

ทุกคนเงียบเสียงอีกครั้งเมื่อถึงจังหวะที่หัสยุทธกำลังจะเข้าไปรับตัวประกันซึ่งบาดเจ็บอยู่… วิรุฬพุ่งตัวไปข้างหน้า คนร้ายตกใจเล็งปืนไปที่หัวไหล่ของเขาในวินาทีถัดมา แล้วทุกอย่างก็ชุลมุนโกลาหล

“ไม่จำเป็นเลย…มันไม่จำเป็นเลย” หัสยุทธกล่าวพร้อมกับส่ายหัวช้าๆ

จู่ๆ ประตูห้องทำงานของ NIC ก็เปิดผางออก ทุกคนที่อยู่ด้านในต่างสะดุ้งตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและมัวตกอยู่ในภวังค์ของความคิด โดยเฉพาะหัสยุทธที่ตบมือขวาลงบนด้ามปืนตรงสะโพกอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หัส” คนที่เพิ่งโผล่เข้ามาเรียก

“ไอ้เหี้ย เอ้ย ไอ้โอบ เข้ามาให้สุ้มให้เสียงก่อนสิวะ เดี๋ยวก็ได้กินลูกปืนหรอก”

“ศัตรูเต็มเมืองรึไงถึงต้องตื่นตัวขนาดนั้น”

สมาชิกทุกคนของ NIC เคยชินกับบรรยากาศพูดคำด่าคำของสองคนนี้แล้ว และรู้ดีว่าอีกสักพักพวกเขาก็จะเข้าสู่โหมดการทำงานเองโดยที่ไม่ต้องห้ามทัพ

“มีอะไร นี่กำลังสรุปงานเมื่อคืนอยู่”

โอบเกียรติไม่ยอมนั่ง เขายืนค้ำหัวหัสยุทธด้วยท่าทีร้อนรน “โสภาหายตัวไปแล้ว”

คนฟังพยายามค้นหาชื่อโสภาในสมองของตัวเอง แต่ก็ยังไม่พบและไม่สามารถเชื่อมโยงชื่อนี้ไปยังเรื่องใดๆ ได้ เขาขมวดคิ้วแน่น “ใครวะ…โสภา”

“เอ้า ตัวประกันผู้หญิงเมื่อคืนไง”

คราวนี้หัสยุทธลุกขึ้นยืนทันที ทุกคนในทีม NIC ก็พลอยตาโตไปด้วย

“เมื่อไร”

“พยาบาลบอกครั้งสุดท้ายที่เจอคือตอนตีสอง เมื่อเช้าเอาอาหารกับยาไปให้ก็หายไปแล้ว”

“แล้วไม่มีตำรวจเฝ้าหน้าห้องเลยเหรอ”

“แล้วทำไมต้องเฝ้าวะ” โอบเกียรติทำหน้างง “เธอเป็นผู้เคราะห์ร้ายนะโว้ยไม่ใช่คนร้าย”

ทุกคนในห้องจ้องมองโอบเกียรตินิ่ง คนถูกมองค่อยๆ สบตาทีละคู่ จนในที่สุด…

“ซวยแล้ว พวกนายอย่าบอกนะว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ” ลูกน้องสามคนของหัสยุทธพยักหน้าให้โอบเกียรติพร้อมกัน เขายอมรับเสียงอ่อย “มิน่า ลูกทีมของฉันเช็กประวัติแล้วบอกว่า ชื่อนามสกุลกับที่อยู่ที่เธอบอกไว้กับทางโรงพยาบาลเป็นของปลอมทั้งหมดเลย”

หัสยุทธถอนใจยาว “นี่นายเพิ่งรู้เหรอว่าเธอหายตัวไป”

“ใช่ หมอประจำตัวคนไข้เพิ่งแจ้งมากับตำรวจที่เฝ้าคนร้ายหน้าห้อง ICU เมื่อสักครู่นี้เอง ทางโรงพยาบาลก็วุ่นวายกันนิดหน่อย ฉันเลยมาบอกพวกนายต่อ เฮ้ย แล้วมันยังไงเนี่ย”

“ถ้านายมีเวลาก็นั่งฟังด้วยกัน ดูเหมือนความจริงจะค่อยๆ โผล่มาให้เราเห็นแล้ว” หัสยุทธนั่งลงอีกครั้ง วุฒิภาศดึงเก้าอี้อีกตัวมาให้โอบเกียรติ “รุสก์เปิดเทปแรกอีกครั้งซิ คราวนี้เราจะสมมติให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ดูซิว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน”

“ครับ”

สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จากตัวประกันกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนร้าย ทีม NIC พยายามมองให้เห็นเหตุการณ์ในอีกมุมหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากเดิม

 

แล้วความรู้สึกของทุกคนในห้องทำงานของ NIC ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อพวกเขาเข้าใจแล้วว่ามือที่ล็อกไหล่ของหญิงสาวที่อ้างว่าตนชื่อ โสภา นั้นเป็นมือที่ไว้ปกป้องมากกว่าที่จะต้องการทำร้าย คนร้ายในเสื้อลายสก็อตต้องการปกป้องเธอ และพาเธอไปทุกหนทุกแห่งที่เขาต้องการจะไป การเลือกตัวประกันรายนี้ไม่ใช่เป็นการเลือกด้วยเหตุผล หากแต่มันเป็นการเลือกด้วยหัวใจ เขาทั้งสองคนมีบางอย่างที่เชื่อมกันอยู่ หัสยุทธพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อเทปวิ่งไปถึงช่วงที่วิรุฬกำลังจะถูกยิง

“ดูปฏิกิริยาของคนร้าย…เขาตวัดตัวเธอเข้าด้านใน เพื่อให้อยู่ห่างจากเหตุชุลมุน”

วุฒิภาศถามขึ้น “หัวหน้าครับ หรือว่าเขาจะห่วงเรื่องที่เธอตั้งครรภ์”

“ถ้าเขาสองคนมีความสัมพันธ์กัน เขาก็ต้องรู้แน่” หัสยุทธหันไปทางโอบเกียรติ “ท้องจริงใช่ไหม”

“จริง พยาบาลห้องฉุกเฉินเมื่อคืนตอนที่รับตัวเธอไปตรวจเป็นคนบอกเองว่าเด็กในท้องปลอดภัยดี”

หัสยุทธพยักหน้า “ฉันจะเข้าไปในโรงพยาบาลเอง จะตามเรื่องผู้หญิงคนนี้ ส่วนแกจับตาดูคนร้ายที่บาดเจ็บไว้ให้ดี”

“ทำไม กลัวมันลุกขึ้นมาต่อสู้อีกเหรอ”

“ไอ้บ้า ฉันหมายถึงคนที่สมรู้ร่วมคิดกับมันต่างหาก แกคงไม่คิดว่ามันไม่มีคนข้างในธนาคารช่วยเหลือหรอกใช่ไหม”

“อืม ก็คิดอยู่ วันนี้ธนาคารสั่งปิดสาขานั้นหนึ่งวัน พนักงานธนาคารที่บาดเจ็บสองคนอยู่ในโรงพยาบาล ที่เหลือก็พักรักษาตัวและสภาพจิตใจอยู่ที่บ้าน ฉันได้ประวัติของทุกคนมาหมดแล้ว”

“ดี ลองดูว่านายสงสัยใครมากที่สุด ถ้ามีคนคนนั้นอยู่จริง มันคงไม่แฮปปี้เท่าไรที่คนร้ายยังมีชีวิตอยู่ เพราะแผนเดิมของพวกมันคือมาปล้นแล้วหนีไป แต่เมื่อเหตุการณ์มันเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้ พวกมันต้องพยายามเอาตัวรอดกันทุกทางแน่”

“โอเค งั้นแยกย้ายกันทำงาน” โอบเกียรติลุกขึ้นยืน “เอ้อ แล้วเรื่องสื่อว่าไง ธนาคารต้องการให้ตำรวจพูดเรื่องความคืบหน้าของคดีกับสื่อด้วย”

หัสยุทธส่ายหน้า “ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกเราต้องปิดเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร้ายกับตัวประกันไว้ก่อน ให้เรารู้เรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนว่าความจริงมันเป็นยังไง เพราะถ้าเราพูดไปผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยังไม่รู้จักจะไหวตัวทัน ทีมของนายควรลงพื้นที่ไปเยี่ยมพนักงานทุกคนที่บ้านนะ”

หัสยุทธพูดจาเปิดทางให้โอบเกียรติ อีกฝ่ายเห็นด้วยทันที เขาพยักหน้านิดๆ แล้วเดินออกจากห้องไป

หัสยุทธกับวุฒิภาศเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในตอนใกล้เที่ยง พวกเขาตั้งใจตามเรื่องของตัวประกันหญิงโดยเฉพาะ เมื่อมาถึงจึงต้องรายงานตัวที่ประชาสัมพันธ์และขอพบแพทย์ผู้ให้การตรวจรักษาตัวประกันคนดังกล่าวก่อน ไม่นานเขาก็ถูกเชื้อเชิญให้ขึ้นไปยังอาคารผู้ป่วยใน ซึ่งแพทย์ท่านนั้นยังคงประจำการอยู่ในเวลานี้

นายตำรวจทั้งสองนั่งรอที่โซฟารับแขกด้านข้างเคาน์เตอร์ของพยาบาลประจำวอร์ด ระหว่างนั้นวุฒิภาศเดินเข้าไปสนทนากับนางพยาบาลซึ่งกำลังจัดประวัติของคนไข้ในอยู่ เขาได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มเป็นอย่างดี

“มีอะไรให้ช่วยคะคุณตำรวจ”

“ผมอยากถามเรื่องคนไข้ที่หลบหนีออกไปหน่อยครับ”

พยาบาลสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่มั่นใจว่าตนเองควรจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่

“เอ่อ ผมไม่ถามอะไรมากหรอก แค่อยากรู้ว่าเธอนอนพักอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ มีญาติคนอื่นมาเยี่ยมบ้างไหม”

เป็นคำถามที่ไม่ยากและไม่ล่วงล้ำขอบเขตการทำงานของโรงพยาบาลมากเกินไป ในที่สุดพยาบาลคนหนึ่งก็ยอมตอบ

“ไม่มีค่ะ ตั้งแต่เข้ามาเราก็พยายามสอบถามแล้วว่าต้องการให้โรงพยาบาลติดต่อสามีไหม เธอบอกว่าสามีเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนญาติคนอื่นก็ไม่มีค่ะ พวกเรายังนึกสงสารเธออยู่เลย ไม่มีเหตุผลที่จะหนีออกไปเฉยๆ เลยเนอะ” ประโยคท้ายนั้นเธอหันมาพยักเพยิดกับเพื่อนร่วมงาน

วุฒิภาศจำคำสั่งของหัสยุทธได้ว่าเรื่องทุกอย่างต้องเป็นความลับ เขาจึงไม่พยายามทำพิรุธกับสิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติม เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอาจจะพลอยสงสัยไปด้วย

“ที่คุณตำรวจมานี่เพราะยังไม่ได้สอบปากคำคนไข้เลยใช่ไหมคะ”

“อ่า ครับ ใช่ เรายังไม่ได้สอบปากคำอย่างเป็นทางการ แต่ก็น่าเห็นใจเธอ อาจจะยังช็อกจนอยากกลับบ้านมากก็ได้”

“จริงค่ะ ใครเจอสถานการณ์แบบนั้นก็ต้องช็อกกันทั้งนั้นแหละ แต่เธอบอกว่ามีโรงพยาบาลประจำนะคะ เธออาจจะกลับไปรักษาตัวต่อที่นั่นก็ได้”

วุฒิภาศขมวดคิ้วน้อยๆ “งั้นเหรอครับ แล้วเธอบอกไหมว่าโรงพยาบาลอะไร”

“ไม่ได้บอกค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าคงเป็นโรงพยาบาลเอกชนแน่ๆ คงไม่อยากจะรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐอย่างเรา แม้ทางธนาคารจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดก็เถอะ แต่คงไม่สะดวกสบายสำหรับเธอ”

พยาบาลคนที่สองซุบซิบเบาๆ ผสมโรงแต่วุฒิภาศก็พอได้ยิน

“เห็นว่าเธอมีเงินในกระเป๋าเป็นฟ่อนเลยนี่พี่”

“เอ้า ก็กำลังจะไปติดต่อธนาคารแต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน โชคดีที่โจรมันไม่เห็นแล้วปล้นไปซะด้วย”

คล้ายกับจะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรนินทาคนไข้ เมื่อนายแพทย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองจึงได้หยุดพูด วุฒิภาศเดินกลับไปหาหัสยุทธในจังหวะที่นายแพทย์คนนั้นเดินมาถึงชุดโซฟารับแขกพอดี นายตำรวจทั้งสองจึงยืนขึ้นแล้วทักทายตามมารยาท

“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของไข้คุณโสภา เห็นทางตำรวจแจ้งมาว่าต้องการคุยกับผม”

“ใช่ครับ คงต้องขอรบกวนคุณหมอสักครู่ ผม…หัสยุทธ พนักงานสอบสวนของคดีนี้ครับ ส่วนนี่วุฒิภาศ ลูกน้องผมเอง เชิญคุณหมอนั่งก่อนครับ”

“ไม่อยากไปคุยที่ห้องทำงานของผมเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีความลับอะไร”

“โอเค”

เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว หัสยุทธจึงเริ่มบทสนทนา

“สุขภาพของคุณโสภาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ปกติดีครับ อาจจะมีอาการช็อกนิดหน่อย แต่ทั่วไปก็ถือว่าปกติดี เธออายุยังน้อย ร่างกายจะฟื้นตัวได้เร็วครับไม่ต้องเป็นห่วง”

“แล้วเธอมีอายุครรภ์เท่าไรครับ คุณหมอพอจะทราบไหม”

“จากการสอบถามเธอบอกว่าประมาณสิบสัปดาห์ ซึ่งเธอมีหมอประจำตัวแล้ว มีการฝากครรภ์เรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงตรงนั้น เพราะเห็นว่าเป็นการเข้ามารักษาตัวแบบฉุกเฉิน เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่างทางโรงพยาบาลก็ไม่มีสิทธิ์เหนี่ยวรั้งเธอไว้อยู่แล้ว ความจริงรออีกไม่กี่ชั่วโมง รอตรวจครั้งสุดท้าย ผมก็จะอนุญาตให้กลับบ้านอยู่แล้วล่ะครับ”

หัสยุทธพยักหน้าน้อยๆ วุฒิภาศถามต่อ

“คุณหมอพอจะบอกได้ไหมครับว่าเธอหลบหนีออกไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ”

“อันนี้เจ้าหน้าที่ของเราก็จะถูกลงโทษเหมือนกันที่หละหลวม ถ้าให้ผมเดา คิดว่าน่าจะเป็นช่วงรุ่งสางที่ประตูแผนกคนไข้ในถูกเปิดออก แล้วตอนนั้นแผนกอาหารจะเตรียมลำเลียงอาหารของคนไข้จากห้องครัวขึ้นมาบนตึก และเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนเวรของพยาบาลพอดีด้วยครับ”

หัสยุทธไม่อยากให้หมอสงสัยในการมาของพวกเขาจึงรีบเลี่ยงคำถามทำนองเดียวกับวุฒิภาศ “ช่วงที่แผนกฉุกเฉินรับตัวคนไข้มามีการบันทึกภาพคนไข้ไว้ไหมครับ”

“มีครับ เป็นปกติที่หากคนไข้เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินจะต้องมีการบันทึกภาพคนไข้ไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว เพราะหากไม่เป็นคดีอย่างที่คุณตำรวจมาขอนี่ บางทีก็จะใช้ประโยชน์ในเรื่องการขอเคลมประกันต่างๆ”

“ดีเลยครับ ผมขอดูภาพและประวัติเหล่านั้นได้ไหมครับ”

“ได้สิครับ แต่คงต้องลงไปติดต่อที่ชั้นล่าง คุณตำรวจไปพร้อมกันกับผมก็ได้”

“ขอบคุณมากครับ”

หัสยุทธยิ้ม แล้วคนทั้งสามก็ลุกจากเก้าอี้พร้อมกัน ในระหว่างที่เดินไปนั้นโทรศัพท์มือถือของหัสยุทธก็ดังขึ้น เขาขออนุญาตรับสายนั้น เพราะดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการทำงาน

“ว่าไงวิญญู”

“สารวัตรโอบให้โทรมารายงานครับว่าคนร้ายตายแล้ว”

คนฟังขมวดคิ้ว “เดี๋ยวนี้เหรอ”

“ครับ”

“เดี๋ยวผมจะไปดู แต่คุณควรโทรไปบอกทางนิติเวชไว้ว่าวันนี้มีอีกศพให้ชันสูตร ผมอยากรู้ผลเร็วๆ”

“ได้ครับ แล้วผมจะจัดการให้”

หัสยุทธวางสายลง ความหวังที่จะพึ่งคำให้การของคนร้ายเป็นศูนย์แล้ว ต่อไปนี้เขาต้องพยายามหาความจริงจากพยานและหลักฐานที่มีอยู่เท่านั้น

บทที่ 8

บ่ายแล้วบุษบงกชสรุปสาเหตุที่ทำให้คนร้ายเสียชีวิตได้ไม่ยากเลย นั่นเป็นเพราะกระสุนปืนถูกยิงเข้าจุดสำคัญ มันเด็ดชีพเขาแทบจะทันที คุณหมอนิติเวชค่อนข้างสลดใจเมื่อคาดการณ์อายุของชายคนนี้ว่าไม่เกินยี่สิบปี ชีวิตที่ผ่านมาไม่กี่ปีของเขาคงเป็นช่วงเวลาที่ไม่สุขสบายนัก แล้วยังต้องมาจบชีวิตเร็วเกินไปด้วย

“เพศชาย ไม่ทราบชื่อ อายุประมาณสิบแปดถึงยี่สิบปี มีรอยสักที่ต้นแขนข้างขวาเป็นรูปงู” เธอพูดเบาๆ เพื่อให้ผู้ช่วยลงบันทึกในขณะที่เธอยังยืนเกาะเตียงชันสูตรอยู่ “ที่ข้อมือข้างซ้ายเป็นรอยแผลคล้ายอักษรตัวที (T) นี่น่าจะเกิดจากการใช้ของมีคมกรีดลงบนเนื้อจนทำให้เกิดแผลเป็นรอยนูนขึ้นมา สุขภาพฟันเข้าขั้นแย่ สูบบุหรี่ เลือดกรุ๊ปโอ พบแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดแต่ไม่ได้อยู่ในปริมาณที่สูงเกินไป ไม่พบสารเสพติดชนิดอื่น”

พจนีย์จดตามที่แพทย์หญิงบุษบงกชพูดอย่างรวดเร็ว

“มีรอยกระสุนปืนบนร่างกายผู้ต้องหาสามจุด คือ ศีรษะ หัวใจ และหน้าอกข้างขวา ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ รอยกระสุนที่ศีรษะถูกยิงจากทางด้านหน้ามุมตรง ส่วนหัวใจกับหน้าอกถูกยิงมาจากทางด้านหลังของผู้ต้องหาซึ่งเป็นมุมสูง”

…กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…

เสียงโทรศัพท์ในห้องชันสูตรดังขึ้น บุษบงกชพยักหน้าให้พจนีย์ละงานตรงหน้าเพื่อไปรับสายก่อน ผู้ช่วยร่างเล็กตรงไปยังโทรศัพท์ซึ่งถูกติดตั้งไว้บนผนังแล้วรับสาย

“ห้องชันสูตรของหมอบุษค่า”

พจนีย์ฟังเสียงปลายสายบอกความต้องการอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในความคิดของบุษบงกชนั้นมันนานเกินไป เธอไม่ได้ยินเสียงผู้ช่วยโต้ตอบใดๆ เลย เอาแต่พยักหน้าแล้วจบบทสนทนาด้วยคำว่า ‘ค่ะ’ แค่คำเดียว

“มีอะไรพจ”

“อีกศพค่ะ คืนนี้ไม่ต้องกลับบ้านกันพอดี”

“เฮ้อ…พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ”

“อือฮึ” เธอส่ายหน้า “คดีเดียวกับคนที่นอนอยู่บนเตียงค่ะ ทางตำรวจบอกว่าต้องการให้ชันสูตรไปพร้อมกันเพื่อประโยชน์ในการสรุปสำนวน บลาๆๆ”

บุษบงกชท้าวสะเอวทันที “สารวัตรหัสยุทธใช่ไหม”

“ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าใช่นะคะ เพราะพจจำเสียงสารวัตรได้ เสียงของสารวัตรเซ็กซี่กว่านี้เยอะเลย”

คนฟังเบะปากพร้อมสะบัดหน้าพรืด “พี่บอกไปรึยังว่าพี่เบื่อตำรวจ”

พจนีย์หัวเราะคิก “ถ้านับรวมครั้งนี้ก็สี่ล้านครั้งพอดี ครั้งสุดท้ายที่แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือช่วงเช้าที่ผ่านมาค่ะ”

บุษบงกชยิ้มออกมาได้แล้วเริ่มทำงานต่อ อีกไม่กี่ชั่วโมงศพของคนร้ายอีกคนจะถูกส่งมาให้เธอพิสูจน์อัตลักษณ์ ภาวนาขอให้อีกคนไม่อายุน้อยไปกว่าคนนี้ และเสียชีวิตด้วยความไม่ทรมานมากนัก เธอทำงานกับศพมามากมายก็จริง แต่ทุกครั้งเธออดสะท้อนใจกับผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยๆ ไม่ได้ ยังไงหมอก็ยังเป็นคน และเธอก็มีหัวใจที่สงสารและเห็นใจเพื่อนมนุษย์ทุกคน แม้ว่าคนคนนั้นอาจจะไม่ใช่คนดีก็ตาม

 

หญิงสาวที่กำลังท้องอ่อนๆ ตัดสินใจเรียกแท็กซี่จากหน้าโรงพยาบาลเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้า ชุดแซกที่ดูเป็นหญิงเรียบร้อย มีการศึกษาและฐานะดีนั้นไม่เหมาะกับเธออีกแล้ว เธอเลือกซื้อเสื้อผ้าใส่สบายมาหลายชุดกับอาหารที่รับประทานง่ายแล้วไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ พยายามไม่สบตากับใครเพราะไม่อยากให้จำเธอได้ จากนั้นจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำของห้าง สามีของเธอบอกว่าให้ไปทิ้งข่าวไว้ที่ ‘บ้าน’ เพราะฉะนั้นเธอจะไปหาโรงแรมเล็กๆ พักก่อนแล้วค่อยไปทิ้งจดหมายไว้ที่นั่น หากโอ่งกลับมาเมื่อไรพวกเขาก็จะได้เจอกันอีกครั้ง

อิ๋วเคยชินแล้วกับการเปลี่ยนที่อยู่ที่นอนบ่อยๆ พูดไปเธอก็แทบจะไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่งมาร่วมสามปีแล้วหลังออกมาจากบ้านหลังแรกของเธอ หากไม่ได้พบสามีชีวิตเธอก็คงต้องเป็นผู้หญิงเร่ร่อนที่เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ เพื่อแลกกับการมีข้าวกินและมีที่ซุกหัวนอนไปวันๆ การพบโอ่งเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต และเธอจะไม่ปล่อยให้อะไรมาเป็นอุปสรรคความรักครั้งนี้เด็ดขาด

ร่างกายของหญิงสาวกำลังเรียกร้องพลังงานเพิ่มเติม ตอนนี้เธอรู้สึกหิวและมีอาการคลื่นไส้รวมอยู่ด้วย อิ๋วพยายามยัดขนมปังที่ซื้อมาเข้าไปเร็วๆ จนเกือบสำลักในระหว่างรอเรียกรถแท็กซี่ตรงป้ายรถเมล์ แต่เมื่อกินไปได้สามสี่คำเธอก็อยากจะขย้อนมันออกมาแทน การตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเธอ ก่อนหน้าที่จะเจอโอ่งเธอเคยทำแท้งมาแล้วสองครั้ง เกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่ก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม เธอจะอดทนเพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เธอกับลูกต้องรอดไปพบสามีอีกครั้งให้ได้

อิ๋วเก็บขนมปังที่เหลือใส่ถุงแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบ พยายามไล่ก้อนพะอืดพะอมนั้นกลับลงไป โคนผมตรงหน้าผากเปียกเพราะชื้นเหงื่อ หญิงสาวพยายามหายใจเข้าลึกๆ เธอต้องเดินทางต่อและเธอต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้

“แท็กซี่”

เธอตัดสินใจโบกแท็กซี่เมื่อรู้สึกว่าอาการของตัวเองดีขึ้นมานิดแล้ว คนขับรถแท็กซี่คันสีชมพูจอดเทียบริมฟุตบาธ หญิงสาวเปิดประตูหลังแล้วชะโงกหน้าเข้าไปถาม

“พาไปหาโรงแรมเล็กๆ ใกล้สถานสงเคราะห์เด็กรังสิตให้หน่อยได้ไหม แล้วฉันจะให้ทิปพิเศษร้อยนึง”

คนขับเป็นชายศีรษะล้านวัยห้าสิบเศษ แกขมวดคิ้วแล้วถามเพิ่มเติม “เอาไงแน่นังหนู จะไปสถานสงเคราะห์หรือจะไปโรงแรมกันแน่”

“ฉันจะหาโรงแรมพัก แต่โรงแรมนั้นต้องอยู่ใกล้สถานสงเคราะห์ด้วย…เข้าใจรึยัง”

“อ้อ เข้าใจแล้ว งั้นขึ้นมาเลย อย่าลืมทิปร้อยนึงที่บอกว่าจะให้นะ”

“ไม่ลืมหรอกน่า”

แท็กซี่ขับผ่านประตูสถานสงเคราะห์เด็กมาแล้ว อิ๋วหันไปมองประตูเหล็กนั่นด้วยความรู้สึกทั้งรักและทั้งเกลียด เธออยู่ที่นั่นก่อนจำความได้และถูกบังคับให้ออกมาเผชิญชีวิตข้างนอกหลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ไม่มีใครถามว่าเธอพร้อมไหมกับการใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ที่ไม่มีใครดูแล พวกเขาแค่รู้สึกว่าเธอโตเกินไปที่จะอยู่ข้างใน และที่ที่เธอเคยอยู่จะเป็นประโยชน์สำหรับเด็กคนอื่นต่อไป ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นภาระชิ้นใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการ

“เอ้า นังหนูดูเอาว่าแบบไหนที่พอจะอยู่ได้ โรงแรมเล็กๆ ใกล้สถานสงเคราะห์ก็มีแค่สองสามที่ที่พอจะมองเห็นนี่แหละ”

คนขับพารถไปจอดในซอยพร้อมกับชี้มือไปยังป้ายเก่าๆ ที่มีลูกศรบอกว่าในซอยนี้มีที่พักราคาถูกบริการอยู่ อิ๋วพยักหน้าน้อยๆ

“ฉันลงตรงนี้ก็ได้”

เธอค้นกระเป๋าถือแล้วหยิบเงินขึ้นมาฟ่อนหนึ่ง เมื่อเห็นคนขับกำลังลอบมองตรงกระจกมองหลังเธอก็รีบเก็บมันไว้แล้วดึงธนบัตรใบละร้อยสามใบขึ้นมายื่นให้เขา

“เอานี่ ไม่ต้องทอน”

“ขอบใจ”

อิ๋วรีบสะพายกระเป๋าถือเข้าหัวไหล่แล้วรวบถุงพลาสติกบนเบาะมากำไว้ เธอเปิดประตูรถแล้วลงเดินต่อเข้าไปในซอย หญิงสาวจะตัดสินใจเลือกที่พักสักแห่งเพื่อเป็นที่นัดพบกับสามี

 

การเสียชีวิตของโอ่งทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อคนร้ายสองคนเสียชีวิตลงทั้งคู่ ถึงดูเหมือนการให้ข่าวเพียงสั้นๆ กับสื่อมวลชนว่าคนร้ายทั้งสองเสียชีวิตแล้วจะทำให้ประชาชนพึงพอใจ สังคมออนไลน์ต่างแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่าความชั่วร้ายได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นลงแล้ว แต่คณะทำงานของตำรวจและผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้เท่านั้นที่รู้ว่าทุกอย่างยังไม่จบ

วิรุฬสามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้วในตอนบ่ายของวันนี้ เขายิ้มกับข่าวที่เพิ่งถูกเสนอทางโทรทัศน์ ภรรยาเดินเข้ามาหาเขาที่เตียงพร้อมกับรอยยิ้ม

“หมดเรื่องวุ่นวายสักทีนะคะ”

“ใช่”

“ตอนที่รู้ข่าวว่าคุณถูกจับเป็นตัวประกันฉันหัวใจจะวายรู้ไหม”

“เอาน่า ตอนนี้ผมก็รอดมาแล้ว แถมได้รับคำชมเชยจากหัวหน้ามากมาย ต่อไปคงจะมีแต่เรื่องดีๆ ล่ะ แล้วนี่ลูกสาวของเราไปไหน”

“ไปเรียนสิคะ เดี๋ยวตอนเย็นก็จะกลับมาเฝ้าคุณเหมือนเดิม” ภรรยานายธนาคารยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกข่าวสำคัญ “ตอนสี่โมงเย็นตำรวจจะขอสอบปากคำคุณเพิ่มอีกครั้งนะคะ”

หน้าตาที่เคยเปี่ยมสุขเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองทันที ดวงตาขวางอย่างที่คนพูดก็สะดุ้งเมื่อได้เห็น “สอบปากคำอะไรอีก คนร้ายตายไปหมดแล้วนี่ เรื่องก็น่าจะจบได้แล้ว”

“นั่นสิคะ ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน” เธออึกอัก “เห็นตำรวจพูดถึงเรื่องเงินที่หายไปน่ะค่ะ เอ่อ อาจจะอยากสรุปว่าคนร้ายขโมยไปเท่าไรมั้งคะ”

“โอ๊ย ยุ่งจริง นี่คนยังป่วยอยู่นะ รอให้หายก่อนไม่ได้รึไง”

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันไปบอกตำรวจก่อนไหมคะว่าคุณยังไม่พร้อม”

วิรุฬนิ่งไป สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิดหนัก หากปฏิเสธไปก็กลัวว่าตำรวจจะสงสัย ในที่สุดเขาจึงคิดจะสู้ “ไม่ต้อง ให้เขามาพบก็ได้”

“ค่ะ”

ภรรยารับคำแล้วเดินออกจากห้องพักฟื้นไป ทิ้งให้วิรุฬต้องรีบหาคำตอบ ‘เงิน’ เป็นสิ่งสำคัญรองมาจากชีวิตของมนุษย์ พนักงานไม่ตายสักคนแค่บาดเจ็บ กับลูกค้าธนาคารที่ทุกคนปลอดภัยดี ทุกอย่างมันก็น่าจะออกมาดี เขาไม่ควรจะตื่นตระหนกเกินไป เวลานี้ต้องนิ่งที่สุดแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เขาเชื่ออย่างนั้น

 

ศพที่สองถูกส่งมาถึงห้องชันสูตรของแพทย์หญิงบุษบงกชแล้ว พจนีย์เข็นเตียงของชายไร้วิญญาณซึ่งตอนนี้ถูกผ้าขาวคลุมปิดทั่วทั้งร่างมาเทียบกับเตียงที่มีอยู่เดิม บุษบงกชสวมชุดพลาสติกคลุมทับชุดทำงาน คาดที่ปิดปากและจมูก แล้วสวมถุงมือยาง เธอเดินมาสมทบกับผู้ช่วยที่เตียงใหม่

“หนูรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมตำรวจอยากให้พิสูจน์อัตลักษณ์วันนี้”

“ทำไมเหรอ” เสียงของเธออู้อี้หลังที่คาดปาก แต่ก็พอฟังออก

“ตำรวจที่เอาศพมาส่งบอกว่ายังมีคนร้ายหลบหนีไปได้ค่ะ”

“อ้าว ไหนสารวัตรบอกว่าคนร้ายมีสองคน”

พจนีย์ส่ายหน้า บุษบงกชซึ่งรวบผมยาวไว้เป็นก้อนกลมบนศีรษะตั้งแต่เช้ามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด เธอเปิดผ้าคลุมร่างของชายคนที่มาใหม่ออก มีบาดแผลถูกยิงตรงช่องท้องชัดเจน ส่วนขาข้างซ้ายก็มีรอยเลือดอยู่ด้วย

“โดนไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย” เธอถอนหายใจ “ทำไมนายไม่หาอาชีพดีๆ ทำนะ พจ…เอาหมึกมาพิมพ์ลายนิ้วมือก่อน

“ค่ะ”

พจนีย์หาอุปกรณ์พร้อมกระดาษที่ใช้วางตำแหน่งลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วมาไว้ข้างศพ ส่วนบุษบงกชยังคงดูสภาพทั่วไปของผู้เสียชีวิตด้วยตาเปล่าอยู่ เธอค่อนข้างสนใจรอยสักที่อยู่บนต้นแขนขวาของชายคนที่สอง

“รอยสัก…” เธอพูดเบาๆ แล้วหันหลังไปยังเตียงแรก บุษบงกชเปิดผ้าคลุมศพของตุ่นขึ้นแค่ครึ่งเดียว เธอจับต้นแขนขวาของเขา “รอยสักรูปงูเหมือนกัน”

“สัญลักษณ์ของกลุ่มรึเปล่าคะ”

บุษบงกชหันไปดูศพของโอ่งอีกครั้ง “น่าจะใช่ แต่คนที่สองมีรอยจางกว่า น่าจะสักมานานกว่าคนแรก”

สัญชาตญาณของแพทย์ชันสูตรศพบอกให้เธอพลิกข้อมือของคนร้ายขึ้นมาดู แล้วเธอก็พบสิ่งที่คาดหวังไว้จริงๆ พจนีย์ที่กำลังพิมพ์ลายนิ้วมืออีกข้างจึงถามขึ้น

“อะไรคะหมอ”

“รอยกรีดเป็นตัวอักษร มีเหมือนกันแต่คนนี้เป็นตัวโอ (O)”

“ถ้าอักษรไม่เหมือนกันก็น่าจะแทนชื่อตัวมากกว่าแทนสัญลักษณ์แก๊ง”

“ใช่…พิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จแล้วบันทึกเรื่องนี้ไว้ในรายงานด้วยนะ”

“ได้ค่ะ”

ใบหน้าของศพดูเคร่งเครียด สีผิวซีดขาว อาจเป็นเพราะอยู่ในภาวะวิกฤติก่อนเสียชีวิตจึงทำให้ระบบเลือดทำงานไม่ปกตินัก ซ้ำรอยแผลที่ปรากฏก็อนุมานได้ว่าเขาคงเสียเลือดไปมาก บุษบงกชยังคงสังเกตลักษณะภายนอกของคนร้ายอยู่ แล้วบริเวณใบหน้าของเขาก็ทำให้เธอสนใจอีกครั้ง

“ที่ริมฝีปากมีอะไรบางอย่างติดอยู่ ลักษณะเป็นมันวาวเล็กน้อยนะ พจเอาก้านสำลีมาหน่อยซิ”

บุษบงกชรับก้านสำลีมาจากพจน์แล้วค่อยๆ ปาดไปที่ริมฝีปากของคนร้าย ดูเหมือนนอกจากความมันวาวแล้วมันยังให้สีแดงจางๆ ติดมาด้วย หากไม่ปาดขึ้นมาสีริมฝีปากกับสีผิวของคนร้ายก็สามารถปิดบังมันไว้ได้พอประมาณ

“เฮ้…” บุษบงกชอุทาน

“อะไรคะหมอ”

“ยังไม่แน่ใจ ขอถาดหน่อย”

พจนีย์ยื่นถาดสแตนเลสมารับก้านสำลีไปจากมือบุษบงกช จากนั้นคุณหมอก็ใช้นิ้วแหวกริมฝีปากของคนร้ายขึ้น เธอดูลึกไปถึงฟันหน้าของเขา พจนีย์ยื่นสำลีมาให้อีกก้านโดยที่ไม่ต้องร้องขอ บุษบงกชปาดคราบซึ่งติดอยู่ที่ฟันของเขาขึ้นมา

“ตรงริมฝีปากอาจจะหลุดไปบ้างเพราะกระบวนการกู้ชีพคนร้ายในคืนที่ผ่านมา แต่ที่ติดอยู่บนฟันนี่ชัดเลย”

บุษบงกชยื่นไปตรงหน้าผู้ช่วยของเธอ สีที่ติดมาบนก้านสำลีนั้นชัดกว่าอันแรก

“อย่าบอกนะว่าสิปสติก”

“ชัวร์ ไม่ใช่เลือดแน่นอน”

“แฟชั่นใหม่หรือไปโรแมนติกกับใครมาก่อนตาย”

“อย่างดูดดื่มด้วย ถ้ามันติดแน่นอย่างนี้ก็แสดงว่าต้อง…” บุษบงกชพูดแค่นั้นแล้วเงียบ

“คะ?”

“เอ่อ ช่างเถอะ เขียนในรายงานว่าพบคราบลิปสติกบนฟันกับริมฝีปากก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ หนูว่าสารวัตรต้องปวดหัวแน่”

พจนีย์คิดถึงเจ้าของคดี แต่อีกคนพยายามไม่สนใจ เธอยังคงค้นหาสิ่งที่ซ่อนไว้ในร่างกายนี้ต่อไป

 

เรือนนอนไม้ของเด็กประถมตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านซ้ายมือ อาคารสำหรับเด็กเล็กอยู่กึ่งกลางพื้นที่ ส่วนด้านขวาเป็นพื้นที่ของเด็กมัธยม ทุกอาคารถูกเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินซึ่งปลูกต้นกระดังงาให้คลุมหลังคาไว้ ดอกของมันส่งกลิ่นหอมแรงและบางครั้งกลายเป็นของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิง ขณะนี้เด็กๆ กลับมาจากโรงเรียนแล้ว สถานสงเคราะห์จึงเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวอีกครั้ง อิ๋วจำความรู้สึกดีใจที่ได้กลับมายังเรือนนอนได้ดี แม้บ้านของเธอจะเป็นเพียงแค่สถานสงเคราะห์แต่ก็ยังดีกว่าโรงเรียนรัฐที่เธอถูกส่งไปเรียน เพราะในโรงเรียนเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอมักจะไม่ได้รับการยอมรับนัก หากไม่โดนแกล้งก็โดนตั้งแง่รังเกียจ ความรู้สึกตอนอยู่ชั้นประถมนั้นเธอจึงพยายามเรียนให้ดีเพื่อจะได้เป็นที่รักของคุณครูและเพื่อน อีกใจเธอก็อยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนอีก

แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมเธอก็ได้รู้ความจริงว่าการโตเป็นผู้ใหญ่นั้นเจ็บปวด เมื่อเด็กกำพร้าที่เรียนจบและมีอายุถึงเกณฑ์จะต้องออกจากสถานสงเคราะห์ เธอไม่สามารถที่จะมีชีวิตในบ้านของเธอตลอดไปได้ การไม่มีพ่อแม่เป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่การที่จะต้องสูญเสียสถานที่พึ่งพิงเพียงแห่งเดียวในชีวิตเป็นสิ่งที่ทรมานแสนสาหัสยิ่งกว่า เพราะมันยิ่งตอกย้ำว่าเธอโดดเดี่ยวและไม่มีใครต้อนรับเธอ หลังจากที่อิ๋วรู้ความจริงข้อนั้นแล้วเธอก็เปลี่ยนไป…

หญิงสาวเริ่มเก็บตัวและมีผลการเรียนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนปีการศึกษาหนึ่งอิ๋วก็ต้องซ้ำชั้น จากที่เคยเป็นที่รักของครูก็ถูกจับตามองในแบบใหม่ เธอมักจะถูกเรียกว่า ‘เด็กกำพร้าผู้มีปัญหา’ นั่นเป็นเพราะเธอไม่มีใครให้ปรึกษา ทุกคนเป็นคนอื่นและไม่พร้อมที่จะรับฟัง เข้าใจ หรือโอบกอดเธอในยามที่เธอต้องการ กว่าครูจะเข็นให้อิ๋วจบการศึกษาระดับมัธยมได้หญิงสาวก็มีอายุเกือบยี่สิบปีแล้ว และกฎก็ต้องเป็นกฎ แม้จะพยายามดึงดันหรือต่อเวลาให้ตัวเองมากเท่าไรในที่สุดเวลาที่เลวร้ายก็จะมาถึงเสมอ อิ๋วเรียนรู้แล้วว่าชีวิตของเธอเป็นอย่างนั้น

ระหว่างที่ความคิดยังตกอยู่ในภวังค์ของอดีต เด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุราวห้าหรือหกปีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา เด็กน้อยมาหยุดยืนตรงหน้าเธอแล้วยกมือขึ้นสะกิดถาม

“มาหาใครคะ”

“เอ่อ ฉันมาทำธุระน่ะ”

“ธุระคืออะไรคะ”

อิ๋วยิ้ม “ธุระหมายถึงเรื่องที่ต้องทำ ฉันจะมาพบครูผู้ปกครองของที่นี่จ้ะ”

“น้าเป็นแม่ของใครคะ จะมารับเขากลับไปแล้วใช่ไหม”

จู่ๆ ความรู้สึกภายในก็สั่นไหว ระลอกคลื่นของความว้าเหว่กำลังตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ เธอพยายามสะกดมันเอาไว้ ความรู้สึกนั้น…ความรู้สึกที่เด็กทุกคนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าต้องมี นั่นคือการหวังว่าจะมีใครสักคนมารับพวกเขากลับบ้านในวันใดวันหนึ่งของชีวิต อิ๋วทรุดเข่าลงแล้วจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ด้วยความรู้สึกเห็นใจ

“หนูต้องเข้มแข็ง แม้ว่าจะไม่มีใครมาหาหรือมารับกลับบ้าน หนูก็ต้องอยู่คนเดียวให้ได้”

เด็กน้อยเอียงคอมองหน้าเธอ ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนตรงหน้ามากนัก แต่ก็ยังรับฟังด้วยความสงบ

“เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกไปข้างนอก หนูต้องเอาตัวรอดให้ได้ อย่าให้ใครมาหลอกเข้าใจไหม”

“มาหาใครคะ”

เสียงหนึ่งถามขึ้นจากทางด้านหลัง อิ๋วหันกลับไปมองพบหญิงวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบของครูผู้ปกครอง เด็กน้อยเมื่อเห็นครูเดินเข้ามาใกล้ก็รีบวิ่งหายไป

“มีธุระอะไรกับสถานสงเคราะห์รึเปล่าคะ”

“ฉันเคยอยู่ที่นี่ค่ะ” อิ๋วรับสารภาพในที่สุด

“อ๋อ แล้วคุณมีธุระอะไร” น้ำเสียงนั้นทั้งเฉียบคมและสงสัย

“ฉันอยากฝากจดหมายไว้ให้คนที่จะมาหาฉันที่นี่ค่ะ”

“เราไม่รับฝากเรื่องแบบนั้นหรอกนะคะ เด็กที่จบออกไปแล้วไม่ค่อยมีใครกลับมาที่นี่อีก”

“ฉันรู้ค่ะ คนที่ถูกกำจัดออกไปแล้วมักจะไม่อยากกลับมา”

สายตาเย็นชาของอิ๋วทำให้ครูผู้ปกครองซึ่งอายุมากกว่าไม่อยากเกรงใจอีก เธอจึงยืนยันคำเดิม “กลับไปเถอะค่ะ ที่นี่ไม่รับฝากของ”

“งั้นให้ฉันพบแม่ครัวของที่นี่หน่อยได้ไหม”

คนฟังขมวดคิ้ว “ป้าอุ๊น่ะเหรอ”

“ใช่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา”

เกิดความเงียบชั่วอึดใจก่อนที่ครูจะยอม “ก็ได้ จะตามมาให้”

อิ๋วยืนมองแผ่นหลังของครูซึ่งเดินไปทางห้องครัว มีความทรงจำเดียวที่ยังคงเด่นชัดแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนกับคำสอนที่ยังคงจำได้ แม้บางครั้งเธอจะไม่เชื่อ ‘ชีวิตทุกชีวิตต้องมีความหวัง ถ้าอิ๋วหมดหวังเมื่อไร มันก็เหมือนคนตายไปแล้ว อย่าใช้ชีวิตเหมือนคนตาย อิ๋วมีค่ามากกว่านั้นจำไว้’

หัสยุทธปล่อยให้วุฒิภาศเข้าไปพบวิรุฬตามลำพัง เขาอยากปลุกสัญชาตญาณความเป็นนักสืบในตัวของลูกน้อง อย่างน้อยก็ต้องมีความมั่นใจก่อนว่าตนเองจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างเพียงลำพังได้ นายตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งรอที่หน้าห้องพักของผู้จัดการสาขา เขาพยายามลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมองทีละขั้น ตั้งแต่ผู้ร้ายเข้าไปในธนาคารจนถึงตอนที่หนึ่งในนั้นพาตัวประกันขับรถออกไป

“เชิญค่ะคุณตำรวจ สามีของดิฉันพร้อมแล้ว”

วุฒิภาศสะดุ้งนิดๆ ที่ถูกเรียกแต่เขาก็รวบรวมสติได้ทัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “ขอบคุณครับ”

เขามีใบหน้าเป็นมิตรมากกว่าหัสยุทธ ดังนั้นคนที่เห็นเขากับเจ้านายพร้อมๆ กันมักจะให้ความไว้วางใจกับวุฒิภาศมากกว่า นายตำรวจหนุ่มเดินตามภรรยาของคนเจ็บเข้าไปในห้องพัก โดยไม่ลืมคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ว่า ‘ห้ามให้คนเจ็บรู้เรื่องที่ตำรวจสงสัยว่าคดีนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดเพิ่มเติม’

เตียงคนเจ็บถูกปรับให้พนักสูงขึ้น วิรุฬจึงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน แขนของเขายังถูกคล้องอยู่ที่ลำคอด้วยผ้า หมอคงไม่อยากให้เขาขยับแขนข้างที่บาดเจ็บมากนัก

“สวัสดีครับคุณวิรุฬ ผมร้อยตำรวจเอกวุฒิภาศ เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ครับ ต้องขอรบกวนเวลาเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกเล็กน้อยนะครับ”

“เชิญเลยครับ ผมยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว”

ภรรยาของคนเจ็บยกเก้าอี้มาให้นายตำรวจนั่งที่ข้างเตียงนอนของสามี วุฒิภาศเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วเธอก็ถอยออกไปนั่งฟังคนทั้งคู่สนทนากันที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่ห่างออกไปพอประมาณ

“คุณคงทราบแล้วว่าคนร้ายเสียชีวิตแล้วทั้งคู่”

“ครับ ผมนี่ดีใจจริงๆ กว่าจะมาถึงตอนนี้ผมยังนึกว่าตัวเองฝันไปอยู่เลย”

“คงตกใจมากสินะครับ”

“แน่นอนสิครับคุณตำรวจ ทำงานธนาคารมาทั้งชีวิตเพิ่งจะเคยถูกปล้นก็คราวนี้ อะไรๆ ที่ได้เรียนรู้ ได้ฝึกอบรมมามันลืมไปหมด รู้แค่ว่าต้องเอาชีวิตของทุกคนให้รอดให้ได้ ผมคิดแค่นั้นเอง”

“ครับ ผมได้ยินลูกค้ากับพนักงานของคุณทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณเป็นคนที่เสียสละมาก”

วิรุฬยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมมีคำถามจะถามเรื่องหนึ่ง ในตอนที่คนร้ายจะเปิดเผยตัว สุภาพสตรีที่เป็นตัวประกันกับคุณยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ใช่ไหมครับ”

คนฟังรู้สึกขนลุกซู่คล้ายกับคนเทถังน้ำแข็งราดลงบนศีรษะ เขาไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับเรื่องนี้ วิรุฬพยายามหายใจให้ลึกแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เพื่อถ่วงเวลาหาคำตอบ เขาทำท่านึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน

“น่าจะใช่มั้งครับ ผมก็ไม่มั่นใจ จำได้ลางๆ ว่าถูกพนักงานเรียกไปให้ช่วยแก้ปัญหาที่หน้าเคาน์เตอร์ ผมก็เดินออกจากห้องทำงานของตัวเองไปครับ”

“ปัญหาอะไรเหรอครับ”

สายตาของวิรุฬไม่ได้จ้องมองมาที่นายตำรวจ เขามองภรรยาข้ามศีรษะของวุฒิภาศไปแวบหนึ่งแล้วดึงสมาธิของตัวเองมาที่คำถาม

“ปัญหา… เอ่อ น่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสมุดบัญชี ดูเหมือนพนักงานของเราจะหาบัญชีที่ลูกค้ามายื่นนั้นไม่เจอในระบบ เธอก็เลยเรียกผมให้ไปดูที่หน้าจอของเธอ จากนั้นแค่ไม่กี่วินาทีคนร้ายก็เปิดเผยตัวทันที ทุกคนวิ่งวุ่นไปมากันทั่วไปหมด…”

“เอาล่ะครับ ผมเข้าใจแล้ว” วุฒิภาศพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พนักงานมีความพยายามจะกดปุ่มขอความช่วยเหลืออีกไหมครับหลังจากนั้น”

“ไม่มีโอกาสเลยครับ ผมอยู่หลังเคาน์เตอร์ ผมรู้ดี พวกมันชี้ปืนมาที่เราตลอดเวลา ยิ่งมีพนักงานโดนยิงไปคนหนึ่งด้วยแล้วทุกคนยิ่งไม่กล้าหือ”

“ใครเป็นคนหยิบเงินใส่ถุงให้คนร้ายครับ”

“ผม…ผมต้องทำตามคำสั่งของคนร้าย”

“แล้วหยิบจากไหนบ้างครับ”

“ในลิ้นชักหน้าเคาน์เตอร์”

“คนร้ายไม่ได้สั่งให้เปิดเซฟของธนาคารเหรอครับ” วิรุฬส่ายหน้า “พอจะทราบไหมครับว่าเงินที่มันได้ไปเป็นจำนวนเท่าไร”

วิรุฬส่ายหน้า “ถ้าธนาคารยังไม่ปิดก็ยังไม่ทราบหรอกครับ เราจะเช็กเงินสดกันหลังจากที่ธนาคารปิดแล้ว แต่ถ้าเช็กจากคอมพิวเตอร์ก็อาจจะพอทราบได้”

วุฒิภาศเข้าใจถึงการตรวจสอบตัวเลขในบัญชีกับธนบัตรที่อยู่ในลิ้นชักว่ามันต้องมีความสัมพันธ์กัน เขาพยายามเดินหน้าต่อ “เงินในลิ้นชักเป็นเงินที่รับมาจากลูกค้าทั้งหมดไหมครับ”

“ไม่ครับ จะมีบางส่วนที่พนักงานเบิกออกมาเพื่อสำรองไว้สำหรับการทำธุรกรรมของลูกค้า เช่น การขอถอนเงินหรือขอแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรชนิดต่างๆ อะไรแบบนั้น”

“ผมพอจะเข้าใจแล้ว งั้นแสดงว่าเงินก็จะไม่ใช่ธนบัตรใหม่ทั้งหมด และไม่มีการเรียงหมายเลขธนบัตรอย่างนั้นใช่ไหมครับ”

“ชะ…ใช่”

“ปกติแล้วในธนาคารจะมีปุ่มขอความช่วยเหลือไปยังสถานีตำรวจใกล้เคียงเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ปุ่มแรกอยู่ใต้เคาน์เตอร์ให้บริการ ปุ่มที่สองอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการ ในเมื่อคุณถูกพนักงานเรียกตัวออกไปจึงไม่สามารถกดปุ่มฉุกเฉินนั้นได้ แต่การที่คนร้ายรู้ว่าพนักงานของคุณกำลังจะกดปุ่มนี่…ผมคิดว่าเขาฉลาดมาก หรือไม่ก็มีประสบการณ์ในการปล้นธนาคารมาก่อน”

วิรุฬมีอาการของคนขนลุกทั่วร่างอีกครั้งเมื่อถูกถามจี้จุดสำคัญ “ก็คงอย่างนั้น”

“เอาล่ะครับ ผมคงมีเรื่องรบกวนคุณผู้จัดการเท่านี้ พักผ่อนต่อเถอะครับ”

วุฒิภาศกำลังจะขยับลุกขึ้นแต่กลับถูกหยุดด้วยคำถามเสียก่อน

“แล้วพนักงานคนอื่นๆ ให้ปากคำไปหมดรึยังครับ”

“เรียบร้อยครับ ก็จะเหลือแค่คนที่เจ็บหนักคนเดียว หมอขอให้แข็งแรงกว่านี้ก่อนทางตำรวจจึงจะขอสอบปากคำอย่างละเอียดได้” วุฒิภาศยิ้ม

แต่วิรุฬไม่ได้ยิ้มด้วย หากตำรวจถามพนักงานหญิงเรื่องลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์และปุ่มขอความช่วยเหลืออย่างที่ถามเขา บางทีพนักงานคนนั้นอาจจะบอกอะไรที่ทำให้ตำรวจเกิดความสงสัยเขาขึ้นก็ได้ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…

“ผมนอนคิดมาทั้งคืน บางทีในธนาคารอาจจะมีใครบางคนที่เป็นไส้ศึกให้โจร”

วุฒิภาศทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ความตื่นเต้นครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น เขาต้องประเมิน ณ เวลานี้เลยว่าวิรุฬเป็นพระเอกหรือเป็นเด็กเลี้ยงแกะกันแน่

หลังจากทิ้งวุฒิภาศไว้ที่โรงพยาบาลแล้ว หัสยุทธก็กลับมาที่โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง นายตำรวจหนุ่มใหญ่ตรงไปที่ห้องทำงานของคุณหมอบุษบงกชทันที เมื่อได้เห็นไฟในห้องทำงานยังเปิดอยู่แม้จะเลยเวลางานไปแล้วเขาก็รู้สึกผิดนิดๆ

“ต้องโกรธแน่ๆ”

เขาพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วก็เป็นจริงดังคาดเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นเจ้าของห้องนั่งหน้าตูมอยู่ เธอเหลือบตาขึ้นมามองเขาแล้วก้มลงไปอ่านเอกสารบนโต๊ะเหมือนเดิม

“คุณจะบ้ารึเปล่า ส่งศพมาให้ฉันสองศพเมื่อเช้าแล้วยังจะรีบมารับรายงานตอนเย็นอีก เห็นฉันเป็นยอดมนุษย์รึไงถึงจะได้ทำงานเร็วขนาดนั้น”

หัสยุทธเดินไปที่โซฟาแล้วทิ้งตัวลงนั่งโดยที่ยังไม่พูดอะไร เขาไม่เห็นพจนีย์อยู่ในห้อง คิดเอาเองว่าเธอคงเก็บงานอยู่ในห้องชันสูตร

“ฉันไม่ได้ทำงานกับหน่วยของคุณหน่วยเดียวนะ ยังมีงานค้างอยู่อีกเยอะแยะ อย่าคิดว่าการที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการมาให้ฉันต้องรับใช้คุณเนี่ยหมายถึงฉันจะต้องมาเป็นทาสคุณ!”

เธอพูดไป อ่านเอกสารบนโต๊ะไป หัสยุทธนึกทึ่งกับสมาธิและมันสมองของเธอที่สามารถแยกประสาทได้อย่างยอดเยี่ยม ระหว่างที่ไม่ได้บ่นปากก็ขมุบขมิบคล้ายกับกำลังอ่านในใจ

“แม้เคสนี้จะไม่ยาก แต่มันก็ไม่ควรเร่งซะจนฉันกับคนของฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น”

…อ้อ โมโหหิวนี่เอง…

ประตูที่เชื่อมระหว่างห้องทำงานกับห้องชันสูตรถูกเปิดออก คนที่เข้ามาใหม่นั้นมีใบหน้าเหมือนคนหมดแรงไม่ต่างจากเจ้านายของเธอ แต่คนนี้มีรอยยิ้มอบอุ่นให้แขกมากกว่า

“สารวัตรมาแล้ว ยังไม่เสร็จเลยนะคะ หมอบุษกำลังอ่านรายงานเคสแรกอยู่ ส่วนเคสที่สองพจยังทำไม่เสร็จ”

“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาเร่ง แค่มาดูเท่านั้นเอง”

เขาตอบเสียงเย็น แต่มันทำให้คนที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความหมั่นไส้ นึกโมโหในใจว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก หลงให้เธอบ่นไปซะยืดยาว เมื่อหัสยุทธเหลือบตามาประสานกัน คุณหมอคนเก่งก็ค้อนให้

…เหมือนเจ้าเดือนเสี้ยวไม่มีผิด…

“หมดเวลาทำงานแล้ว กลับบ้านก่อนก็ได้นะ”

เขาพูดกับพจนีย์ แต่กลับถูกคนอื่นแหวใส่

“นี่ อย่ามาก้าวก่ายงานของฉันนะ พจเป็นลูกน้องของฉัน ฉันจะต้องเป็นคนอนุญาตเอง”

พจนีย์ขยับปากคล้ายคำว่า ‘อูยยยย’ ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของบุษบงกช

“งั้นผมจะรอ ค่ำแล้วผมจะไปส่งคุณเอง ก่อนไปส่งจะพาไปเลี้ยงข้าวด้วย” คราวนี้สองสาวต่างก็มองเขาเป็นตาเดียว นายตำรวจยักคิ้วให้ทั้งคู่ “กินข้าวไปด้วย คุยงานไปด้วย พรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปบรีฟคดีกับหน่วยอีกครั้ง”

“สุนทรีย์ตายล่ะ คุยเรื่องศพในระหว่างกินข้าวเนี่ย”

คนนั่งโต๊ะหน้าบ่นเบาๆ แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“เสียดาย หนูไปไม่ได้ เดี๋ยวแฟนจะมารับค่ะ ไว้โอกาสหน้านะคะสารวัตร แต่หมอบุษไปได้”

“อะไรยายพจ พี่ยังไม่ได้บอกว่าจะไป”

“ถ้ายังไม่มีแฟนก็น่าจะไปได้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องงานนะ” หัสยุทธขู่เล็กๆ

“แต่คุณไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของฉัน คุณสั่งฉันไม่ได้หรอก”

หัสยุทธลุกขึ้นยืนทันทีจนสาวๆ ทั้งสองตกใจ “ก็ได้ ไม่ไปก็ไม่ไป ผมจะได้ไม่ต้องรอ งั้นก็ขอให้สนุกกับงานจนกว่ารายงานสองฉบับจะเสร็จนะครับ ซึ่งก็น่าจะดึกกว่านี้อีกหลายชั่วโมง”

“โอ๊ย หมอบุษษษษษ ไปกับสารวัตรเถอะค่ะ พจนัดแฟนไว้ วันนี้เราจะฉลองครบรอบที่เป็นแฟนกันมาสามปี นะหมอนะ เห็นใจพจเถอะ”

พจนีย์ลงทุนอ้อนวอน ทั้งเขย่าแขน ทั้งทำตาปริบๆ บุษบงกชนึกสงสารคนของเธออยู่เหมือนกันที่ต้องทำงานหนัก เธอไม่ควรทำบาปพรากเวลาของคนที่เขารักกันสินะ ไม่อย่างนั้นเธออาจจะต้องชดใช้ด้วยการไม่มีคู่ไปตลอดชาติก็เป็นได้ หญิงสาวถอนใจยาวก่อนตัดสินใจ

“ก็ได้ งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน รายงานฉบับเต็มจะเสร็จวันพรุ่งนี้ คืนนี้ฉันจะเล่าให้คุณฟังเอง”

หัสยุทธพยักหน้าแต่ไม่ได้ยิ้ม

“แล้วอาหารเย็นล่ะคะ” พจนีย์ถาม

“ไม่กิน! ฉันจะเล่าให้คุณฟังในห้องนี้แหละ ส่วนพจ…กลับบ้านได้”

บุษบงกชเลือกวิธีนี้เพราะจะทำให้เขาเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่สั่งการทุกอย่าง คนที่ควบคุมทุกอย่างได้ดีคือตัวเธอเองต่างหาก

…เวทีของฉัน ต้องเป็นของฉัน…

บทที่ 9

เมื่อต้องนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องทำงานแคบๆ บุษบงกชก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของเขาได้ พจนีย์ชงกาแฟให้เขาแก้วใหญ่ก่อนที่เธอจะกลับ พร้อมกับวางรอยนิ้วมือของคนร้ายที่ถูกพิมพ์ไว้ให้เขาด้วย โดยหัสยุทธอ้างว่ามันจะเป็นหลักฐานให้ NIC สามารถตามต่อได้ว่าคนร้ายทั้งสองนั้นชื่ออะไร บุษบงกชพยายามรักษาระยะห่างจากเขา เธอไม่คิดที่จะไปนั่งโซฟาตัวเดียวกัน คุณหมอเลือกที่จะนั่งที่เดิมแล้วตะโกนเล็กน้อยคุยกับเขา

“…มีรอยสักเหมือนกัน ตำแหน่งเดียวกัน แต่คนหนึ่งมีรอยสักที่ชัดเจนกว่า”

หัสยุทธนั่งกอดอก เขาพยักหน้ารับ สิ่งนั้นจะช่วยยืนยันว่าคนร้ายสองคนเป็นสมาชิกของแก๊งใดแก๊งหนึ่ง นอกจากนั้นความสัมพันธ์ของคนร้ายทั้งคู่อาจพุ่งประเด็นไปที่ความเป็นลูกพี่ลูกน้องด้วย คนที่มีรอยสักชัดกว่าน่าจะเป็นคนที่เข้าสู่แก๊งตามหลังลูกพี่ของเขาซึ่งมีรอยสักที่จางกว่า

“คนแรกเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนคนที่สองสาเหตุการเสียชีวิตเป็นเพราะสูญเสียเลือดในปริมาณมากทำให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว ตำแหน่งที่ถูกยิงเป็นจุดสำคัญ คนของคุณยิงเขาในระยะใกล้” บุษบงกชพูดจบแล้วค้อนให้

“คนของไอ้โอบ”

“นั่นแหละ…ตำรวจ พวกเขารู้วิธีจัดการกับปัญหา”

“นี่เราพูดถึงวิทยาศาสตร์หรือจริยธรรมกันอยู่”

“วิทยาศาสตร์ก็ยังต้องมีจริยธรรม” บุษบงกชลอยหน้าลอยตาตอบ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่หัสยุทธคิดว่าเธอคล้ายกับเจ้าเดือนเสี้ยว “พวกเขาเป็นคนหนุ่มสองคนที่มีสุขภาพร่างกายค่อนข้างแย่ ฉันคิดว่าเขามีภาวะโภชนาการไม่ค่อยดีนัก”

“น่าจะเป็นเด็กไร้บ้าน เพราะจนป่านนี้ก็ไม่มีใครมาแสดงตนว่าเป็นญาติหรือรู้จักกับพวกเขา แม้ว่าสื่อจะเปิดเผยหน้าตาของพวกเขาไปบ้างแล้ว”

“เหตุผลนี้ใช่ไหมที่ทำให้เขาต้องเข้าแก๊ง”

“อืม ปัญหาสังคมน่ะ” หัสยุทธยิ้มมุมปากนิดแล้วหัวเราะฮึ “วันนี้เราคุยกันหลายเรื่องแล้วนะ”

“เอาเรื่องโรแมนติกอีกสักเรื่องไหม”

เธอยิ้มยั่วจนคนฟังหัวใจกระตุกนิด แต่ยังพอดึงความรู้สึกกลับมาได้

“อะไร”

“คนร้ายที่ถูกส่งมาทีหลังมีรอยลิปสติกบนริมฝีปาก”

“ลิปสติก? ผู้ชายเนี่ยนะ”

“อือฮึ มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดที่ว่าจะมองเห็นได้ง่ายหรอก แต่ฉันเห็นก็แล้วกัน ก่อนเขาจะถูกจับหรือก่อนเขาจะเสียชีวิตแล้วถูกส่งมาให้ฉันชันสูตรเนี่ย เขาได้จูบอย่างดูดดื่มกับใครบางคน”

หัสยุทธยกมือขึ้นมาประสานกัน ข้อศอกท้าวลงไปที่หัวเข่า เขากำลังใช้ความคิด แล้วในนาทีถัดมาเขาก็เปิดซองเอกสารที่ถือมาด้วย นายตำรวจดึงรูปถ่ายที่ได้จากโรงพยาบาลออกมาแล้วเดินไปหาบุษบงกช เขายื่นภาพนั้นให้เธอ

“สีแบบนี้ไหม”

คุณหมอหยิบภาพนั้นมาดูใกล้ๆ มันเป็นภาพของโสภาซึ่งถูกถ่ายไว้จากห้องฉุกเฉิน “ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ใกล้เคียง สีออกแดง ไม่ใช่ชมพูหรือบานเย็น”

“ผมกำลังคิดว่าคนร้ายกับตัวประกันมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง”

“บางอย่างที่ลึกซึ้งมากด้วย ฉันกำลังพูดถึงการจูบกันอย่างดูดดื่ม ใช้ลิ้น บดริมฝีปากบน เม้มริมฝีปากล่าง จนลิปสติกของเธอติดไปถึงฟันโน่นเลย”

หัสยุทธหัวเราะเบาๆ นึกในใจว่าผู้หญิงอะไรเล่าเรื่องได้ห่ามจริงๆ “อาจจะเป็นการบอกลา สิ่งที่คุณพบกำลังช่วยตำรวจย้ำว่าเราต้องตามหาคนร้ายอีกคน”

“นี่แสดงว่าที่ผ่านมาคุณโดนหลอกเหรอ ว้าว สารวัตรมือดีของหน่วย NIC ก็ยังถูกหลอกได้เหมือนกันนะ”

หัสยุทธหยุดยิ้ม “แค่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง แต่เรายังทำงานต่อได้ด้วยลายนิ้วมือที่พจให้ผมมา ถ้าคนร้ายสองคนแรกเป็นสมาชิกแก๊ง ผู้หญิงอีกคนก็น่าจะวนเวียนอยู่ไม่ไกลกัน น่าเศร้าที่ต้องตามหาคนท้อง”

“ผู้หญิงคนนี้ท้องเหรอ”

“ใช่”

บุษบงกชมองดูรูปถ่ายนั้นอีกครั้ง ในแววตาของคนที่มองกลับมาดูเศร้าสร้อย “ทำไมคิดเป็นโจรตอนกำลังตั้งท้องนะ ไม่กลัวถูกจับแล้วต้องไปคลอดลูกในคุกรึไง”

“แต่ถ้ารอดก็อาจจะมีเงินไปตั้งตัวได้สบาย เขาคงคิดแบบนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นพวกเดียวกับคนร้าย”

แล้วจู่ๆ บุษบงกชก็ลุกขึ้นยืน เธอเก็บข้าวของลงกระเป๋าด้วยสีหน้าเหมือนกำลังโกรธใครบางคนอยู่

“คุณจะกลับแล้วเหรอ”

“อื้ม”

“เป็นอะไรรึเปล่า”

“เปล่า”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจ คุณกลับไปได้แล้ว ฉันจะปิดห้อง”

“ไม่สนใจไปกินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ ผมเลี้ยงได้นะ”

“ไม่ ฉันจะกลับไปกินที่บ้าน มีคนรอฉันอยู่”

“อ้อ” หัสยุทธหยิบรูปถ่ายของอิ๋วกลับคืน “งั้นวันนี้ก็ขอบคุณมาก”

บุษบงกชหันมาสบตากับเขา “พรุ่งนี้ฉันจะส่งรายงานฉบับเต็มให้”

หัสยุทธพยักหน้ารับแล้วเดินมาหยิบซองเอกสารบนโซฟากลับไปด้วย เขาเดินออกจากห้องด้วยสีหน้างงงวยที่จู่ๆ บุษบงกชก็ทำท่าเหมือนโกรธเขาซะอย่างนั้น

หญิงสาวปิดไฟในห้องทำงานทีละดวงจนครบ เธอล็อกประตูห้องแล้วเดินไปที่ลิฟต์ช้าๆ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อยังเห็นหัสยุทธยืนรออยู่หน้าลิฟต์โดยที่ยังไม่ไปไหน บุษบงกชไม่พูดอะไรกับเขาอีก รอจนลิฟต์มาจอดเขาและเธอก็เข้าไปด้านใน กระจกสะท้อนภาพชายหญิงสองคนซึ่งยืนอยู่คนละมุม สีหน้าของทั้งคู่เรียบเฉยคล้ายกับไม่รู้จักกันมาก่อน ลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาทีละชั้น เมื่อใกล้ถึงชั้นล่างเต็มทีหัสยุทธก็ทำลายความเงียบลง

“ผมจะไม่ให้ใครทำรุนแรงกับเธอ ลูกของเธอจะปลอดภัยด้วย”

บุษบงกชจ้องตาเขาในเงากระจกแล้วพูดเบาๆ ก่อนเดินออกจากลิฟต์ไป “ขอบคุณค่ะ”

หลังจากไปทิ้งจดหมายไว้ที่สถานสงเคราะห์แล้ว อิ๋วก็กลับมานอนพักที่โรงแรม เธอคิดถึงโอ่ง อยากรู้ว่าตอนนี้เขาหนีไปอยู่ที่ไหน ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาให้ระลึกถึง…

เมื่อการแข่งขันชิงแชมป์มอเตอร์ไซค์บนทางหลวงในตอนเที่ยงคืนสิ้นสุดลง ผู้หญิงของฝ่ายที่แพ้ต้องไปกับผู้ชนะ เธอรู้ตัวดีว่าสายชลไม่ได้รักเธอมากนัก เขาพร้อมมีผู้หญิงคนใหม่เสมอ ดังนั้นเมื่อเขาแพ้ผู้ชายที่ชื่อโอ่ง เธอก็ต้องยอมไปกับผู้ชายคนนั้นแทน กฎของนักบิดบนถนนเป็นอย่างนี้มานานแล้ว และเธอก็ถลำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมัน

อิ๋วไม่ได้เข้ามาอยู่ในแก๊งดั่งราชินี ในทีแรกโอ่งไม่ได้สนใจไยดีเธอด้วยซ้ำ เธอถูกผู้หญิงคนอื่นในกลุ่มมองด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เธอก็ไม่มีที่ไปที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยในแก๊งก็มีข้าวให้กิน มีที่ซุกหัวนอนเป็นบ้านเช่าราคาถูกซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้ ดูเหมือนพวกเขาจะมีรายได้จากการลักเล็กขโมยน้อยหรือรับจ้างทำเรื่องผิดกฎหมาย สมาชิกบางคนมีบ้านของตัวเอง พวกเขาจะไปๆ มาๆ แต่บางคนที่ไม่มีที่ไปก็มักจะขลุกอยู่ในบ้านเช่าทั้งวันทั้งคืนจนกว่าหัวหน้ากลุ่มจะบอกว่ามีงานให้ทำ

จนคืนหนึ่งตำรวจเริ่มกวาดล้างแก๊งมอเตอร์ไซค์ เธอซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถของโอ่งต้องหนีหัวซุกหัวซุน และในคืนนั้นเขาก็รอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของเธอ เธอสามารถบอกเส้นทางหลบหนีตำรวจให้เขาได้ มันจึงกลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้คนทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน พวกเขาคุยกันมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเล่าเรื่องในอดีตของตนมากขึ้น คนสองคนที่มีอดีตคล้ายกันมักต่อกันติดง่าย โอ่งกับอิ๋วก็เหมือนกัน

คืนนั้นเป็นคืนที่เธอจะจำไว้ไม่มีวันลืม เขาให้สัมผัสที่แตกต่างจากผู้ชายคนอื่น เขาไม่ละโมบเอาแต่ได้เหมือนเด็กชายวัยรุ่น แต่กลับทะนุถนอมเธอและบอกรักเธอ เขาบอกว่าชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนไป เขาจะพยายามทำให้มันดีขึ้น อิ๋วยอมเป็นของเขาโดยไม่มีข้อแม้ มันไม่ใช่การข่มขืนใจเหมือนประสบการณ์ทางเพศที่เธอเคยได้รับจากผู้ชายคนอื่น แต่มันคือความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์และการสัมผัสอันรัญจวน โอ่งทำให้เธอรู้สึกเป็นผู้หญิงเต็มหญิงเป็นครั้งแรก ทุกครั้งที่คนสองคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันทำให้เธอคิดถึงความเป็นครอบครัว เขาเคยบอกเธอว่าอยากจะสร้างครอบครัวด้วยกัน และเธอทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้เช่นกัน เธอยอมแลกกับทุกอย่างที่มี ยอมแลกกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้เพื่อให้ได้อยู่กับเขา เป็นของเขาชั่วนิรันดร์ หญิงสาวคิดได้แค่นั้น…

ตอนนี้ค่ำแล้ว ร่างกายของเธอต้องการอาหาร ร้านขายอาหารตามสั่งในเพิงหมาแหงนใกล้กับโรงแรมซอมซ่อนั้นมีโทรทัศน์เครื่องเล็กที่แม่ค้ามีไว้เป็นเพื่อนยามเหงาเปิดอยู่ ความจริงอิ๋วยังรู้สึกพะอืดพะอม แต่ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตเล็กๆ คงไม่ยอมให้เธอปล่อยท้องให้ว่าง หญิงสาวจึงจำใจเดินออกมาจากที่พักเพื่อสั่งข้าวหมูทอดกินเป็นอาหารเย็น แต่กินไปได้สามสี่คำข่าวในโทรทัศน์ก็หยุดความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอไว้ได้

 

“คนร้ายในคดีปล้นธนาคารได้เสียชีวิตลงแล้วทั้งคู่ คนแรกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุจากการถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนคนที่สองนั้นได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาค่ะ ติดตามการรายงานข่าวจากคุณ…”

 

คนฟังถึงกับช็อก เธอทิ้งช้อนในมือลงแล้วทำท่าว่าจะลุกขึ้นเดินออกไป เจ้าของร้านตะโกนดังลั่นเพราะกลัวถูกเบี้ยวค่าอาหาร อิ๋วจึงรีบควักแบงก์ห้าร้อยยื่นให้แล้วเดินจากไปทันที ระหว่างทางเห็นร้านหนังสือเล็กๆ ซึ่งยังไม่ปิด เธอจึงเดินเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่ถูกแขวนไว้หลายฉบับ หนึ่งในข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพูดถึงโอ่ง สามีของเธอ

อิ๋วคว้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับแล้วจ่ายเงิน เธอเดินเร็วๆ จนแทบวิ่งเพื่อไปให้ถึงห้องพักโดยเร็วที่สุด น้ำตายังไม่ไหล แต่มันถูกกักเก็บไว้ข้างในซึ่งขณะนี้เหมือนมีหลุมกว้างๆ หลุมหนึ่งซ่อนอยู่ มันไม่มีก้นบึ้ง มีเพียงความมืดและความเงียบซุกซ่อนตัวอยู่ในหลุมนั้น ความรู้สึกตอนนี้ไม่แตกต่างจากตอนที่เธอต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวนอกสถานสงเคราะห์ ความรู้สึกนั้นกลับมาหาเธออีกครั้ง…

หญิงสาวพุ่งตัวเข้าไปในห้อง เธอทิ้งหนังสือพิมพ์หลายฉบับในมือแล้วตรงเข้าไปยังห้องน้ำ อาหารที่เพิ่งกินเข้าไปขย้อนออกมาเป็นระลอกจนกระเพาะว่างอีกครั้ง น้ำขมปร่าติดอยู่ที่ลำคอ น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง เธอทั้งอาเจียน ทั้งร้องไห้อยู่หน้าอ่างล้างหน้าดูน่าเวทนา อิ๋วเปิดน้ำแล้วทำความสะอาดใบหน้าของตัวเองก่อนเดินกลับมาที่หน้าเตียงนอน หญิงสาวยังคงสะอื้น เธอพยายามกางหนังสือพิมพ์ทุกฉบับไว้บนพื้นเพื่อหาข่าวของสามีอ่าน

 

‘คนร้ายปล่อยตัวประกันก่อนถูกจับ’

‘ตำรวจให้เหตุผลว่าต้องยิงสวนเพราะคนร้ายยิงต่อสู้’

‘ปล่อยตัวประกันไว้ในทุ่งหญ้าแล้วหนีไปก่อนจะถูกจับในระหว่างการยิงต่อสู้ คนร้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา’

 

เธอสามารถอ่านจับใจความในแต่ละหน้าของหนังสือพิมพ์ได้เท่านี้จริงๆ น้ำตาที่ไหลออกมาดังสายน้ำเป็นอุปสรรคในการมองเห็น อิ๋วร้องไห้โฮแล้วฟุบลงกับพื้น เธอสะอื้นเหมือนเด็กเล็กๆ อ้อมกอดที่เคยกอดเธอไว้ในตอนกลางคืนจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผู้ชายที่เป็นทุกอย่างของชีวิตได้ทอดทิ้งเธอไปแล้วชั่วนิรันดร์

รถยนต์ส่วนตัวของหมอบุษบงกชมาจอดใต้ถุนคอนโดมีเนียมหรูกลางกรุง เธอเดินออกจากรถในสภาพเหมือนกับถูกฝูงหมาป่าสักฝูงรุมขย้ำ เครื่องสำอางที่ถูกฉาบไว้ตั้งแต่เช้าซีดเลือนไปมากแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นคนผิวพรรณดีตั้งแต่เกิด แม้มันจะไม่ถูกแต่งแต้มแต่เธอก็ยังน่ามองอยู่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนขึ้นทำความเคารพตรงหน้าประตูทางเชื่อมระหว่างลานจอดรถกับห้องโถงของอาคาร ใบหน้าซื่อและจริงใจ กับผมทรงสกินเฮดนั้นทำให้บุษบงกชยิ้มตอบจนได้

“เหนื่อยไหมครับคุณหมอ”

“มาก แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“วันนี้ไม่มีอุบัติเหตุหน้าคอนโดฯ ของเราครับ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี รถขยะมาผิดเวลานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้การจราจรภายในคอนโดฯ ของเราติดขัดแต่ประการใด ส่วนเรื่อง…”

“หยู้ด” เธอตกมือขึ้นห้าม “ฉันหมายถึงเต่าน่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“อ้อ คุณหมอถามถึงผมเหรอครับ” เขาหัวเราะแหะๆ “สบายดีครับ ขอให้คุณหมอสุขภาพดี กินอิ่ม นอนหลับเช่นกันนะครับ”

“จ้า ราตรีสวัสดิ์นะ”

“ครับผม ราตรีสวัสดิ์ครับ มีปัญหาอะไรโทรมาที่โต๊ะทำงานของผมได้เลยนะครับ”

“ขอบใจจ้ะ”

บุษบงกชพยายามยิ้มหวานตอบแม้จะเหนื่อยเต็มที พนักงานรักษาความปลอดภัยกลายเป็นคนรู้จักนอกสถานที่ทำงานคนเดียวที่เธอได้คุยด้วยในวันนี้ และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างนั้น

บุษบงกชขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสิบเจ็ด ห้องของเธอเป็นห้องสูทซึ่งอยู่ปลายทางเดินของตึก มุมนั้นมีวิวที่สวยมาก มันสามารถมองเห็นสีของท้องฟ้าในยามพระอาทิตย์ตกได้ ถ้าเธอสามารถกลับถึงบ้านได้ก่อนค่ำน่ะนะ หญิงสาวใช้คีย์การ์ดอันเดียวกับที่ใช้ขึ้นลิฟต์มาเปิดประตูห้อง เมื่อประตูถูกเปิดและคีย์การ์ดถูกเสียบไว้ในช่องของมันระบบไฟฟ้าก็ทำงานอัตโนมัติ ทั้งโคมไฟ ไฟเพดาน รวมถึงเครื่องปรับอากาศ

“หวัดดีอีวี่ เธออยู่ไหนเนี่ย”

เธอร้องหาใครบางคนในขณะที่โยนกระเป๋าไว้บนโซฟารับแขกกลางห้องโถง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในส่วนของครัวเพื่อดื่มน้ำเย็นจากตู้ เสียงหึ่งๆ ดังอยู่ไม่ไกล บุษบงกชจึงยิ้มเจ้าเล่ห์

“ฉันรู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน”

คุณหมอวางแก้วน้ำไว้บนเคาน์เตอร์แล้วทรุดตัวลงนั่งที่พื้นทันที เธอก้มหน้าจนศีรษะแทบจะติดพื้นห้อง ตั้งใจว่าสิ่งที่กำลังหาอยู่นั้นต้องหลบซ่อนเธออยู่ใต้โต๊ะรับประทานอาหารแน่ๆ

“นั่นแน่ อยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วย ออกมาได้แล้ว ฉันว่าตรงนั้นมันสะอาดดีแล้วนะ”

เธอส่ายหน้ากับความไม่รู้ของมันแล้วลุกขึ้นยืน บุษบงกชยังคงพูดต่อ

“วันนี้ชีวิตของฉันห่วยมาก เริ่มจากการได้พบคนที่ฉันไม่ชอบหน้าตั้งแต่เช้า แล้วยังต้องทำงานที่เขาเร่งเอายิกๆ อีก” เธอเปิดชั้นแช่แข็งของตู้เย็นแล้วหยิบอาหารกล่องขึ้นมากล่องหนึ่ง “คนที่ตายก็อายุยังน้อยเกินไป”

เธอตัดถุงพลาสติกออกแล้วใช้ส้อมจิ้มลงไปบนถาดอาหารสองสามครั้งก่อนที่จะโยนมันเข้าไมโครเวฟ

“ถ้าตำรวจใจเย็นลงกว่านี้อีกนิด เด็กที่กำลังจะเกิดมาคงไม่ขาดพ่อ ฉันยอมรับนะว่าการเป็นผู้ร้ายมันไม่ดี ฉันเข้าใจ แต่ถ้าเขาติดคุกก็ยังมีโอกาสเห็นหน้าลูกหลังออกจากคุกแล้ว แต่นี่…ตายก่อนที่จะได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป”

ไม่มีเสียงตอบรับจากอีวี่ นอกจากเสียงหึ่งๆ อันเป็นปกติของมัน บุษบงกชล้วงมือเข้าไปใต้กระโปรงแล้วถอดถุงน่องออกทั้งสองข้าง เธอโยนมันเข้าถังขยะอย่างไม่ไยดี เพราะถุงน่องมันรันมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว เสียงติ๊งของไมโครเวฟและกลิ่นหอมของอาหารเรียกความสดชื่นกลับมาได้ เธอหยิบกล่องออกมาแล้วเปิดลิ้นชักหาภาชนะมาใส่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็หันกลับไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร จังหวะนั้นอีวี่กำลังลอดขาเก้าอี้ออกมาจากใต้โต๊ะพอดี หญิงสาวจึงใช้เท้าปิดปุ่มตรงกึ่งกลางของเครื่องดูดฝุ่นทรงกลมสีดำ

“ฉันรู้ว่าเธอเหนื่อย”

มันสงบนิ่งเพื่อรอการชาร์จแบตเตอรี่ และพร้อมลุกขึ้นมาทำงานในเช้าวันถัดไป อีวี่ถือเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อนสนิท หรือญาติของบุษบงกชในห้องพักหรูหราโอ่อ่าแห่งนี้…บุษบงกช คุณหมอคนเก่ง หญิงสาวผู้ซึ่งสามารถคุยกับหุ่นยนต์ทำความสะอาดได้อย่างเข้าใจ

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหัสยุทธมาถึงห้องทำงานเป็นคนที่สองรองจากปารุสก์ ส่วนวุฒิภาศกับอาสดานั้นยังวุ่นกับการหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ นายตำรวจยื่นซองเอกสารในมือให้ลูกน้องของเขา

“ในนี้มีข้อมูลจากโรงพยาบาลกับของนิติเวช”

“หา…ทำไมหมอบุษกับน้องพจทำงานเร็วจัง ผมคิดว่าเราน่าจะได้ข้อมูลไม่วันนี้เย็นก็พรุ่งนี้เช้านะครับ”

หัสยุทธไม่พูดอะไร แต่เดินไปชงกาแฟที่หลังห้องทำงาน ปารุสก์นำข้อมูลที่ได้มาใส่ในคอมพิวเตอร์ ทั้งผลการตรวจสุขภาพของอิ๋วและผลการชันสูตรศพของคนร้ายทั้งสอง

“สแกนลายนิ้วมือก่อนรุสก์” หัสยุทธสั่งมาจากหลังห้อง

“ครับ”

ปารุสก์ใส่กระดาษที่พิมพ์ลายนิ้วมือของโอ่งกับตุ่นเข้าไปในเครื่องสแกนทีละคน จากนั้นลายนิ้วมือก็ถูกโหลดเข้าในคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มร่างท้วมเปิดโปรแกรมลายนิ้วมือของประชาชนซึ่งเชื่อมต่อกับงานทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทยขึ้นมา จากนั้นก็ให้มันค้นหาลายนิ้วมือที่สามารถวางซ้อนทับกันได้พอดี

โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ปารุสก์พัฒนาขึ้นมาใช้เอง มันสามารถบอกความเหมือนหรือความคล้ายของลายนิ้วมือออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ด้วย เพียงแต่ต้องใช้เวลานานสักหน่อยกับการเทียบเคียงกับประชาชนทั้งประเทศ ปารุสก์จึงใช้วิธีกะประมาณอายุของคนร้ายคร่าวๆ แล้วลองสุ่มกลุ่มประชาชนที่มีอายุใกล้เคียงกันขึ้นมาก่อนเป็นกลุ่มแรก จากนั้นก็ปล่อยให้คอมพิวเตอร์ทำงานของมันไป ส่วนเขากลับมาสนใจผลการตรวจร่างกายของอิ๋วต่อ

“ท้องจริงด้วยนะ” ปารุสก์รำพึง “แต่ชื่อกับที่อยู่ที่ให้ไว้นี่ของปลอมหมดเลย ไม่มีคนชื่อนี้ ที่อยู่นี้ในทะเบียนราษฎร์เลย”

หัสยุทธถือแก้วกาแฟเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของปารุสก์ “นั่นคือข้อเสียแรกของการมองไม่ออกว่าเธอคือนกต่อไม่ใช่ผู้เสียหาย เมื่อเรามองว่าเป็นมิตร เราก็จะไม่รอบคอบในการซักประวัติของเธอ ถ้าอย่างนั้นในส่วนของผู้หญิงคงต้องใช้วิธีสแกนใบหน้าแล้วเทียบเคียงกับรูปจากบัตรประชาชน คงเสียเวลากว่าการหาตัวตนของคนร้ายสองคนเยอะเลย”

“ใช่ครับ”

…ติ๊ง…

โปรแกรมหยุดภาพลายนิ้วมือไว้ที่ภาพหนึ่งพร้อมกับตัวเลขร้อยเปอร์เซ็นต์ ปารุสก์หันไปมองหน้าจอนั้นแล้วยิ้ม

“มาแล้วหนึ่ง เร็วกว่าที่คิดแฮะ” เขาขยับไปจัดการกับหน้าจอนั้นก่อน “เอาล่ะ ไหนดูซิ แกชื่ออะไร…นายวัลลภ ผลพยัคฆ์ เกิดวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2532 เลือดกรุ๊ปโอ บ้านเลขที่…”

ปารุสก์อ่านข้อมูลที่ได้นั้นให้หัสยุทธฟัง

“หาประวัติต่อซิ” เขาสั่ง

“ได้เลยเจ้านาย” ปารุสก์ทำงานอย่างมีความสุขเมื่อข้อมูลเริ่มไหลเข้าสู่คอมพิวเตอร์เขาเรื่อยๆ ชายหนุ่มนำชื่อ นามสกุล และวันเกิดของนายวัลลภเข้าโปรแกรมอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่นานเขาก็พบสิ่งที่ต้องการหา “โห เมื่อสิบปีก่อนเคยถูกจับเพราะแว้นบนถนนหลวงครั้งแรกครับ รับโทษแค่ตักเตือน ครั้งที่สองถูกปรับ ครั้งที่สามโดนยึดรถ เอ๋ ทำไมผู้ปกครองที่มาเซ็นรับทราบพฤติกรรมนี่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย นามสกุลก็ไม่เหมือนกันครับ”

“ไหนขอดูซิ”

ปารุสก์ขยับเก้าอี้ออกเพื่อให้หัสยุทธเข้าไปแทนที่ นายตำรวจผู้เป็นเจ้านายเริ่มอ่านประวัติของวัลลภ

“ขอดูใบเกิดหน่อย”

“ได้ครับ แป๊บนึง”

ที่คอมพิวเตอร์อีกตัว เลขประจำตัวประชาชนถูกคีย์เข้าไปในโปรแกรมเพื่อเรียกใบเกิดของนายวัลลภขึ้นมาดู แล้วชื่อของผู้ปกครองก็เป็นอีกชื่อที่ไม่ซ้ำกับคนก่อนหน้านั้นเลย หัสยุทธกำลังสนใจสิ่งนี้

“ประวัติเหมือนเด็กบ้านแตก อย่างนี้อาจเคยอยู่ในสถานสงเคราะห์นะ นายพอจะหาได้ไหม”

“อันนี้ยากหน่อยครับ เพราะข้อมูลที่ผมมีไม่ถึงยี่สิบปีย้อนหลัง”

หัสยุทธพยักหน้าอย่างเข้าใจ ปารุสก์เป็นนักเก็บข้อมูลก็จริง แต่บางอย่างมันก็เกินเอื้อมที่จะหาข้อมูลมาบันทึกรวมกันไว้

“แต่ที่อยู่สุดท้ายน่าจะพอบอกอะไรเราได้นะเจ้านาย ผมเก็บไว้ก่อน”

“ได้”

แล้วจู่ๆ โปรแกรมการค้นหาลายนิ้วมือก็สะดุดอีกครั้ง คราวนี้เป็นของคนร้ายที่เสียชีวิตเป็นคนแรกในที่เกิดเหตุ ปารุสก์รีบเรียกข้อมูลขึ้นมาเหมือนอย่างที่ทำกับประวัติของโอ่ง

“เออ เนื้อคู่โว้ย สงสัยเจอกันในงานแว้น” ประวัติอาชญากรรมของตุ่นไม่ต่างกับโอ่งนัก พวกเขาถูกจับเพราะซิ่งรถ แต่ตุ่นถูกเพิ่มประวัติการสูบกัญชามาด้วย “แต่คนนี้มีชื่อพ่อแม่ชื่อเดียวนะ”

“ให้ทีมไอ้โอบตามหาพ่อแม่แล้วสอบประวัติมา ผมอยากรู้ว่ามันจะเกี่ยวพันกับคนของธนาคารตรงไหนได้บ้าง”

“ได้ครับ”

“รอยสักเหมือนกันมันมักจะบอกอยู่แล้วว่าคนพวกนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ถ้าไม่ทำการทำงานจะเอาเงินมาจากไหน ถ้าให้คิดเด็กที่ทำผิดซ้ำซากอย่างนี้คนดูแลคงอยากจะตัดหางปล่อยวัด พอไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ก็เป็นช่องทางให้ก่ออาชญากรรม”

หัสยุทธบ่น แล้วนาทีต่อมาวุฒิภาศกับอาสดาก็เข้ามาสมบทบในห้อง ทั้งสองรีบรายงานความคืบหน้าที่ตนไปหามาได้ โดยวุฒิภาศเริ่มก่อน

“ผมคุยกับนายวิรุฬแล้วครับ พบพิรุธทั้งสีหน้าและแววตา แถมเขายังพยายามจะบอกว่า เขาสงสัยว่ามีพนักงานบางคนเป็นหนอนบ่อนไส้”

“หือ? เขาพูดอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ ฟังดูเหมือนจะโยนความผิดแล้วก็ปกป้องตัวเอง”

“แล้วเขาบอกไหมว่าเป็นใคร”

“เขาออกตัวว่ายังไม่กล้าปรักปรำใคร แต่บรรยากาศในการทำงานมันแปลกไป แล้วเขาก็พูดถึงเงินที่เคยหายไปด้วย เพียงแต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลยยังไม่ได้ตามต่อ”

“กำลังหาทางลงให้ตัวเองรึไง แล้วอาสล่ะได้อะไรมา”

“รถกระบะที่พบหลังตลาดถูกขโมยมาจากนนทบุรีครับ เจ้าของไปแจ้งความไว้ เขามาดูรถแล้วบอกว่าเป็นรถของเขาที่หายเมื่อสองสัปดาห์ก่อนจริง”

หัสยุทธพยักหน้ารับ “จากเด็กแว้นริอ่านเป็นโจรขโมยรถ แต่ก็ยังเป็นอาชญากรรมที่มีลำดับขั้น ไม่ใช่การก้าวกระโดด แต่จู่ๆ มาปล้นธนาคารนี่สิ…”

วุฒิภาศพยายามช่วยคิด “ถ้าไม่มีคนช่วย แผนการก็ไม่มีทางสำเร็จแน่ แล้วถ้าคนช่วยเป็นคนที่มีความเข้าใจในการทำงานทั้งหมดของธนาคารแล้วเรื่องมันก็น่าจะง่ายขึ้น”

“ใช่ แล้วจากรายงานการสอบปากคำนายคิดว่ายังไงอาส”

“ทีมสารวัตรโอบตัดคนที่ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องออกได้หลายคนครับ และคนที่เราสงสัยก็ยังติดอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดออก”

“เยี่ยม เหลือก็แต่หาหลักฐาน เพราะถ้าจะให้สารภาพคงไม่ใช่เรื่องง่าย หากมองจากสิ่งที่เรามี ผู้จัดการสาขาเซฟตัวเองออกจากผู้ต้องสงสัยได้อย่างแนบเนียบ หากเดินไปถามพนักงานหรือลูกค้าตอนนี้พวกเขาก็ยังคิดว่าวิรุฬเป็นฮีโร่อยู่ดี”

“แต่ช็อตที่เขาพุ่งตัวเข้าหาพนักงานที่บาดเจ็บเป็นความเคลื่อนไหวก่อนที่ปืนของคนร้ายจะลั่นไม่ใช่เหรอครับ เราน่าจะเอาเรื่องนี้อ้างได้”

“อืม ผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่มันก็ยังไม่ชัด หากเขาอ้างว่าคนร้ายกระซิบบอกในทำนองข่มขู่กับเขาก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปกำบังลูกน้องไว้ อย่างนั้นเราก็จะหาอะไรมาโต้กลับไม่ได้ ภาพคนดีนี่มันลบยากจริงๆ เราต้องหาความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้ให้เจอ”

“เจ้านายครับ”

เสียงเรียกของปารุสก์ทำให้ทุกคนหันไปมองเขา ดูเหมือนรูปถ่ายหน้าตรงจากโรงพยาบาลจะทำให้โปรแกรมสามารถแมตช์ภาพจากฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยได้

“มีอะไรรุสก์”

“แจ็กพ็อต…นางสาววิไล ผลพยัคฆ์ เกิดวันที่ 21 ตุลาคม 2535 เลือดกรุ๊ปโอ ที่อยู่เป็น เอ๋…สถานสงเคราะห์เหรอ”

ในสมองของหัสยุทธกำลังเรียบเรียงเรื่องราว เขาเห็นชื่อสถานสงเคราะห์นั้นแล้ว “บอกทีมไอ้โอบให้ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนี้จากสถานสงเคราะห์ เอารูปถ่ายที่ได้จากโรงพยาบาลไปด้วย”

“ครับ เดี๋ยวสักครู่พี่โอบกับวิญญูจะตามมาครับ” วุฒิภาศรายงาน “ผลพยัคฆ์ นามสกุลเหมือนกัน…พี่น้องเหรอ”

“เฮ้ย!!!” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน

“ยังๆๆ ยังสรุปไม่ได้ อาจจะเป็นเด็กที่ถูกขอไปเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์พร้อมกัน ดึงใบเกิดของวิไลมาดูซิ”

ปารุสก์รีบรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ด หัวใจของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น มันเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลนอกจากการได้ทำงานกับคอมพิวเตอร์ งานสืบสวนเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของเขามากที่สุดในเวลานี้

“มาแล้ว ชื่อพ่อแม่คนเดียวกันครับ!”

“แล้วลูกในท้องของเธอเป็นลูกใคร” หัสยุทธถามขึ้นมาลอยๆ แต่ไม่มีใครตอบได้

ประตูห้องทำงานของ NIC ถูกเปิดออกอีกครั้ง ชายร่างหนาสองคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขึงขัง ดูเหมือนงานของพวกเขาก็เริ่มงวดขึ้นทุกที โอบเกียรติไม่พูดพล่ามเขารีบเข้าประเด็นทันที

“ธนาคารรอการสรุปอยู่นะไอ้หัส”

“เออ มันยังสรุปไม่ได้นี่หว่า วันนี้แกต้องไปสถานสงเคราะห์”

“เรื่องอะไรวะ”

“ก็เรื่องนี้แหละ”

หัสยุทธต้องสรุปสิ่งที่ได้รู้ใหม่ให้โอบเกียรติกับวิญญูฟัง ทุกคนนั่งล้อมวงที่โต๊ะทำงานกึ่งกลางห้อง หัสยุทธใช้ปากกาเคมีเขียนแผนผังความสัมพันธ์ของคนร้ายกับอดีตของพวกเขาบนโต๊ะตัวนั้นให้โอบเกียรติเห็น

“ตกลงมันเป็นเรื่องสมคบคิดกันเหรอวะ”

“ปฏิเสธยากว่าไม่รู้จักกัน ในเมื่อคนร้ายสองคนมีนามสกุลเดียวกัน ส่วนอีกคนอยู่ในฐานะต่ำกว่า อาจเป็นแค่ลูกไล่”

โอบเกียรติถอนใจ “โอเค อย่างเรื่องนี้พวกนายมีหลักฐาน แต่เรื่องคนของธนาคารที่มีส่วนในการปล้นล่ะ จะให้เหตุผลว่ายังไง”

“นายต้องขอความร่วมมือไปที่ธนาคารเพื่อตรวจสอบเงินที่ไหลเข้าออก ฉันคิดว่าเงินจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ”

“คงต้องใช้เวลานานแน่” โอบเกียรติรำพึง “อีกเรื่อง…ดูเหมือนเงินที่ได้จากกระเป๋าของคนร้ายทั้งสองคน มีบางส่วนที่หายไป แต่ยังไม่รู้ว่าเท่าไร พนักงานธนาคารคนหนึ่งบอกว่าเงินถูกยัดใส่ถุงจนเต็ม แต่ตอนที่ตำรวจเก็บของกลางกลับมาจากทุ่งหญ้า มันเหลือไม่เต็มกระเป๋าแล้ว”

“คนร้ายแบ่งเงินให้น้องสาวของมัน” หัสยุทธคิด

“เป็นไปได้ งั้นก็แสดงว่าเธอมีเงินจำนวนมากพอที่จะหลบหนี”

“ใช่ ถ้าเราตั้งสมมติฐานว่าคนร้ายทั้งสามรู้จักกัน แล้วเข้ามาในธนาคารเพื่อปล้นพร้อมกับคิดหาช่องทางหลบหนีไว้เรียบร้อยแต่มันไม่สำเร็จ ความพยายามหลังจากนั้นจึงทำให้เรื่องวุ่นวายอย่างนี้”

“แล้วถ้าการปล้นสำเร็จล่ะ”

“เงินจะหายไปมากกว่านี้น่ะสิ” หัสยุทธตั้งใจพูดประชด แต่เขาก็สะดุดกับคำพูดของตัวเองจนได้ “หรือว่าความจริงเงินมันหายไปอยู่แล้ว แต่การปล้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้แหละที่ทำให้เงินหายไป”

ความคิดแตกกิ่งก้าน ความพยายามในการสืบหาความจริงยังไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนเรื่องนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องค้นหาก่อนที่จะสรุปได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่

“ถ้านายจะจ่อปืนไปที่นายวิรุฬ นายก็ต้องมีเหตุผลพอที่จะตอบธนาคาร ไม่อย่างนั้นเสียหมากันหมด”

“ได้ ฉันจะไปคุยกับคนของธนาคารเอง ส่วนนาย…ไปสถานสงเคราะห์ ฉันอยากรู้ประวัติของพี่น้องสองคนนี้ แล้วอีกงานที่ใหญ่กว่าก็คือการตามหาตัววิไลให้เจอ เธอมีของกลางอยู่กับตัว เงินของธนาคารจะสามารถทำให้เราปรักปรำเธอได้ว่าเธอสมรู้ร่วมคิดกับการปล้นในครั้งนี้”

“โอเค ฉันจัดการเรื่องนี้เอง”

 

(ติดตามต่อวันที่ 30 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

Jamsai Editor: