บทที่ 1 สวยรวยเลิศ
เสียงเรียกปาวๆ จากชั้นบนทำให้ปฐวีนึกอยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเดี๋ยวนั้น เพราะตั้งแต่แม่สาวสวยแต่รูปจูบไม่หอมคนนี้ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน เขาก็หาความสงบในชีวิตไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
“คร้าบผม…มาแล้วๆ”
ชายหนุ่มตอบเสียงยานคางกลับไป ก่อนจะฝืนตัวลุกจากโซฟาหนังสีน้ำตาลตัวเก่าแล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เพื่อจะไปพบกับหญิงสาวร่างโปร่งระหงที่กำลังยืนห่อไหล่อยู่หน้าห้องน้ำ
อะไรอีกล่ะทีนี้…ปฐวีคิดในใจอย่างสุดเซ็ง
หญิงสาวชี้นิ้วมือเรียวสวยที่ทำเล็บไว้อย่างดีเข้าไปในห้องน้ำ หากครั้นปฐวีสอดส่ายสายตาเข้าไปมองก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติแต่อย่างใด จึงหันกลับไปมองอีกฝ่ายแล้วย่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ยัง…ยังไม่รู้เรื่องอีก”
“อะไรอีกล่ะคุณหนึ่ง ผมมองดูก็ไม่เห็นจะมีอะไร หรือถ้ามีก็ช่วยกรุณาบอกผมหน่อยเถอะ”
การเน้นย้ำคำว่า ‘ช่วยกรุณา’ อย่างจงใจจะยั่วโมโหทำให้น้ำหนึ่งยิ่งเม้มริมฝีปากแน่นจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง อันเป็นกิริยาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างสุดขีด
“จะอะไรอีกล่ะ ดูสารรูปห้องน้ำของพี่ซะก่อน”
อ้อ…ปฐวีทำท่าจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สาวเจ้าก็ไม่เห็นจะต้องใจร้ายถึงขนาดใช้คำว่าสารรูป เพราะอย่างน้อยห้องน้ำเขาก็ไม่ได้ถึงขนาดเป็นส้วมซึมให้เธอต้องลงนั่งยองๆ แต่มีชักโครกกดน้ำได้ อ่างล้างหน้า ก๊อกน้ำ กระจกเงา ราวแขวนผ้าขนหนู ตามมาตรฐานห้องน้ำตามบ้านทั่วไปทุกอย่าง แล้วยังแถมเครื่องทำน้ำอุ่นให้อีกตั้งหนึ่งอย่าง
“แล้วจะเอาอะไรล่ะครับ จะให้ผมบึ่งรถออกไปสั่งอ่างจากุซซี่มาติดตั้งให้เลยไหม”
น้ำหนึ่งที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้วแทบจะกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโมโหเมื่อได้ยินคำพูดกวนประสาทของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แค่ขัดให้มันสะอาดเอี่ยมอ่องก็พอ นี่มองไปทางไหนก็เหลืองอ๋อยไปหมด ซกมกจริงๆ เลยพี่วีเนี่ย” พูดไปหญิงสาวก็ทำท่าขนลุกไปด้วย
ข้อนี้ปฐวีไม่เถียง ก็เขาเป็นชายโสดอาศัยอยู่ในบ้านคนเดียวและนานๆ ทีถึงจะลุกมาทำงานบ้านสักหน มันจะไปสะอาดเอี่ยมอ่องจนแทบจะเอาพื้นกระเบื้องส่องแทนกระจกอย่างคฤหาสน์นาราภัทรของหญิงสาวผู้พรั่งพร้อมไปด้วยแม่บ้านและคนรับใช้นับสิบได้อย่างไร
“ครับๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขออัญเชิญกลับไปนั่งรอก่อน กระผมจะได้รีบขัดให้เดี๋ยวนี้”
“เร็วๆ ล่ะ”
น้ำหนึ่งเขยิบออกมาให้ปฐวีเดินเข้าไปจัดการกับคราบสกปรกในห้องน้ำได้ถนัด แต่แทนที่จะไปนั่งรออย่างที่ชายหนุ่มบอก น้ำหนึ่งกลับไปยืนกอดอกคอยควบคุมอยู่ใกล้ๆ เหมือนไม่ไว้ใจให้เขาทำเอง
“อ้าว ไปยืนทำไมตรงนั้นล่ะ เดี๋ยวก็บ่นว่าเมื่อยอีก”
“ไม่ต้องพูดมาก พี่วีรีบขัดให้เสร็จเถอะ”
ถึงหญิงสาวจะเรียกเขาว่า ‘พี่วี’ หากปฐวีกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ใช้เรียกเขาไม่ต่างจากเวลาจิกหัวใช้คนในบ้าน จนป่านนี้น้ำหนึ่งยังคงเห็นว่าเขาเป็นคนขับรถให้เธออยู่ไม่เปลี่ยน
คงเพราะปฐวีเคยรับหน้าที่ขับรถคันหรูไปรับไปส่งหญิงสาวช่วงยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก่อนเจ้าหล่อนจะนึกอยากไปต่อโทเป็นนักเรียนนอก แต่ก็ไม่ได้ปริญญากลับมาสักใบนอกจากกระเป๋าแบรนด์เนมที่ขนมาจนนับกันแทบไม่หวาดไม่ไหวว่ากี่ใบแทน
แต่ไหนแต่ไรมาน้ำหนึ่งเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ปฐวีจึงไม่แปลกใจนักที่ผลลัพธ์มันจะออกมาในรูปนี้ ส่วนพ่อกับแม่ของน้ำหนึ่งที่เข้าตำราพ่อแม่รังแกฉันก็ได้แต่ยอมแพ้ให้กับเหตุผลของลูกสาวที่ว่าการออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิตนั้นสำคัญกว่าปริญญาใบหนึ่งเป็นไหนๆ
น้ำหนึ่งไม่เพียงแต่รวยล้นฟ้าเท่านั้น หากเธอยังเป็นสาวสวยอย่างน่าอิจฉาเสียด้วย จึงมักจะไปเฉิดฉายอยู่ในวงสังคมคนรวยและมีคำว่าไฮโซพ่วงท้ายอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าปฐวีจะไม่สนใจเรื่องแฟชั่นหรือวงการบันเทิงอะไรกับเขา แต่ก็ยังเคยเห็นน้ำหนึ่งไปเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ หรือไปงานแฟชั่นวีกที่ต่างประเทศตามหน้าข่าวในสื่อโซเชียลอยู่ไม่ขาด จนมีอยู่ช่วงหนึ่งหญิงสาวเริ่มโด่งดังถึงขนาดถูกทาบทามไปเป็นนางเอกละคร แต่ก็มีข่าวลือหนาหูถึงความเรื่องมาก จึงได้เล่นแค่เรื่องเดียวแล้วก็เงียบหายไป
แต่น้ำหนึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะชีวิตนี้เธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธอพอใจอยากจะทำ
เมื่อความสวย ความรวย ความเลิศหรูอลังการได้กลายเป็นยี่ห้อของไฮโซสาวที่ชื่อน้ำหนึ่งไปแล้ว เธอจึงหนีไม่พ้นที่จะมีหนุ่มๆ ที่มียี่ห้อไม่แพ้กันมาจีบชนิดที่ว่าหัวกระไดไม่แห้ง แต่น้ำหนึ่งยังคงหลงระเริงไปกับการที่มีคนมาคอยเอาอกเอาใจ จึงยังเอาแต่เล่นตัวไม่ยอมตกลงปลงใจกับใครจนแล้วจนรอด
เอาเถอะ…ปฐวีบอกกับตัวเองในใจ ผู้ชายคนไหนอยากจะตามไปเอาอกเอาใจน้ำหนึ่งก็ทำไป แต่เขาคงต้องขอผ่านคนหนึ่งล่ะ
แต่ถึงปฐวีอยากจะลงแข่งกับผู้ชายพวกนั้นก็คงไม่มีทางเอาชนะได้ เพราะพ่อค้าหนังสือมือสองอย่างเขามันกระจอกเกินไป ทั้งฐานะก็นับว่าอยู่ห่างไกลกันคนละจักรวาลเลยก็ว่าได้
“นั่นๆ ขัดอ่างล้างหน้าด้วย ตรงสะดืออ่างน่ะ ราขึ้นเต็มเลย”
เสียงสั่งการของหญิงสาวทำให้ปฐวีหลุดจากห้วงความคิด ก่อนจะรีบออกแรงขัดต่อเพื่อว่ามันจะได้เสร็จๆ ไปเสียที
“เอ้า! สะอาดพอหรือยัง”
น้ำหนึ่งเดินมาชะเง้อชะแง้ดูด้วยหางตา ชี้ให้ขัดโน่นนี่นั่นอีกเล็กน้อยก็ยอมใช้ห้องน้ำได้ในที่สุด ปฐวีจึงค่อยโล่งใจเดินลงบันไดกลับไปนั่งโซฟาที่ชั้นล่างต่อ
ตอนแรกเขาตั้งใจจะขนหนังสือลงมาเรียงในห้องเก็บของใหม่เอี่ยมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ แต่พอถูกหญิงสาวเรียกใช้ให้ทำโน่นทำนี่ไม่ได้หยุดก็เลยตัดสินใจนั่งกดโทรศัพท์มือถือแทนเสีย ไม่อย่างนั้นคงได้หงุดหงิดใจตายไปก่อนแน่
เอาน่ะ…ยังไงก็ยอมๆ ไปก่อน พอถึงวันพรุ่งนี้ค่อยหาทางเกลี้ยกล่อมให้น้ำหนึ่งไปพักโรงแรมห้าดาวสักแห่ง เพราะเธอคงเห็นแล้วว่าบ้านเขาไม่มีอะไรน่าสะดวกสบายสักอย่างเดียว จากนั้นเขาก็จะได้ชีวิตอันแสนสงบสุขกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
ปฐวีพยายามปลอบใจตัวเองระหว่างนั่งกางแขนพิงอยู่บนโซฟาตัวโปรดที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในบ้านอย่างหมดแรง และสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ก็เพราะเสียงเคาะประตูในเวลากลางดึกของคืนที่ผ่านมานี่เอง…
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูรัวๆ ทำให้ปฐวีสะดุ้งตื่นด้วยสภาพงัวเงีย ตอนแรกเขานึกว่าหูฝาดไปเอง แต่พอได้ยินเสียงตบประตูอีกครั้งพร้อมกับเสียงเรียกของหญิงสาวก็ต้องลุกขึ้นไปแหวกม่านบนหัวเตียงแล้วชะโงกหน้าออกดูในทันใด
เนื่องจากหน้าต่างบานนั้นอยู่ตรงกับประตูทางเข้าบ้านพอดี เขาจึงเห็นเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงนั้นพร้อมกับอาการห่อไหล่ด้วยความหนาว
ผู้หญิงเหรอ…ใครกัน
ปฐวีนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครมาหาเขาในเวลานี้ เพราะนับตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุดไปเมื่อสองปีก่อน เขาก็ใช้ชีวิตสันโดษมาตลอดโดยไม่มีสาวสวยเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักคน
แต่ถ้าเป็นแฟนเก่า รูปร่างลักษณะก็ไม่ยักกะเหมือนเอาเสียเลย
ขณะที่ชายหนุ่มเกาหัวอย่างคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง หญิงสาวก็ทุบประตูแรงขึ้นอีกพร้อมกับตะโกนเรียกเขาอย่างหงุดหงิดปนร้อนรน จนน่ากลัวว่าจะปลุกคนบ้านใกล้เรือนเคียงให้ตื่นขึ้นมากันหมด ปฐวีจึงตัดสินใจรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างเร็วรี่ ระหว่างทางก็อดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า
เอ๊ะ…เสียงเรียกฟังดูคุ้นๆ
‘พี่วี…ได้ยินไหม เปิดประตูที’
พอได้ยินประโยคนั้นชัดเต็มสองรูหู ปฐวีก็ตัวแข็งทื่อทันที นี่ไม่ใช่เสียงของน้ำหนึ่งจริงๆ หรอกหรือ แต่เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่เวลานี้กัน!
ไวเท่าใจคิด เมื่อปฐวีเปิดประตูเยี่ยมหน้าออกไปก็ได้พบกับหญิงสาวที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาร่วมสองปียืนอยู่อีกฟากของประตู กำลังห่อไหล่เพราะสายลมหนาวนอกบ้าน
ปฐวีถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะขยี้ตาไล่ความง่วงเพื่อมองให้แน่ใจอีกครั้งว่าใช่น้ำหนึ่งจริงๆ
‘คุณหนึ่ง…’
‘ก็ใช่น่ะสิ จะยืนมองอีกนานไหน หนึ่งหนาวจะแย่แล้ว’
พอได้ยินเสียงประกอบภาพดังตามมา ปฐวีก็รู้ทันทีว่านี่แหละน้ำหนึ่งตัวจริงเสียงจริง เขาจึงรีบเปิดประตูบ้านออกให้กว้างขึ้นพร้อมกับรัวถามเป็นชุด
‘หาบ้านผมเจอได้ยังไง แล้วมายังไงคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ’
ปฐวีไม่วายสอดส่ายสายตามองหารถที่น้ำหนึ่งน่าจะขับมา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นอยู่ตรงส่วนไหนของหน้าบ้าน
หญิงสาวไม่ตอบ นอกจากรีบลากกระเป๋าใบเขื่องเข้าประตูบ้าน แต่ลูกล้อกลับไปติดตรงพื้นต่างระดับระหว่างในบ้านกับนอกบ้านซึ่งสูงเหลื่อมกันประมาณสองนิ้ว ปฐวีจึงต้องช่วยยกตามเข้าไปให้แทน
‘โอ้โห หนักนะนี่ ขนอะไรมาเยอะแยะครับ’
‘ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ’ น้ำหนึ่งตอบอย่างรำคาญนิดๆ ‘ขอผ้าห่มหน่อย ตอนนี้หนึ่งหนาวจะแย่แล้ว’
ปฐวียืนมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปเปิดไฟ แล้วหยิบเอาผ้าห่มบางๆ พอใช้คลุมได้มาส่งให้ น้ำหนึ่งยื่นมือมารับพลางทำจมูกฟุดฟิดเหมือนไม่ชอบใจกลิ่นของมัน
‘ไม่ได้ซักนานแล้ว แต่ยังพอใช้ได้อยู่’
‘นาน…นานแค่ไหนกัน ขอผืนอื่นดีกว่า หนึ่งห่มไม่ได้หรอกแบบนี้’
ปฐวีเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแบบเบาะเดี่ยว บอกว่า ‘ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมนะครับ แล้วผมก็มีอยู่ผืนเดียวนี่แหละ’
น้ำหนึ่งเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เพราะเธอเองก็ไม่ได้เตรียมเสื้อหนาๆ หรือเสื้อแขนยาวมาไว้เผื่ออากาศหนาวเสียด้วย จึงจำใจต้องคลี่ผ้าห่มเนื้อบางราคาถูกคลุมร่างกายท่อนบนเอาไว้อย่างเสียไม่ได้
‘ทีนี้คุณหนึ่งจะบอกได้หรือยังว่ามาหาผมทำไม แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมย้ายมาอยู่ที่นี่’
น้ำหนึ่งทำหน้าเครียด ซึ่งแทบจะนับครั้งได้ที่อีกฝ่ายจะทำหน้าแบบนี้ให้เห็น เพราะชีวิตของหญิงสาวไม่เคยต้องเอาตัวเองไปเฉียดกรายกับคำว่า ‘เครียด’ อย่างคนอื่นเขา
‘หนึ่งอยู่กรุงเทพฯ ไม่ปลอดภัยน่ะสิ’
‘ไม่ปลอดภัย?’ ปฐวีขมวดคิ้ว
‘ใช่ หนึ่งโดนพวกสตอล์กเกอร์คอยตาม’
‘หมายถึงพวกโรคจิตน่ะเหรอ’
ปฐวีพึมพำพลางพยายามนึกไปด้วยว่าช่วงนี้น้ำหนึ่งได้ถ่ายรูปชุดว่ายน้ำวาบหวิวลงไอจีหรือถ่ายแบบเซ็กซี่ล่อเสือล่อตะเข้ให้น้ำลายสอหรือเปล่า ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ติดตามไอจีของเธอและไม่เคยเห็นข่าวลงรูปสลัดผ้าถ่ายรับซัมเมอร์อะไรทำนองนั้นด้วย
‘อือ หนึ่งคงต้องแอบอยู่ที่นี่ไปก่อน ให้พี่พีทแจ้งตำรวจจับพวกนั้นให้หมดแล้วค่อยกลับ’
‘อะไรนะ…’
ถ้าน้ำหนึ่งจะมุ่งหน้ามาซ่อนตัวที่นี่สักพักก็ไม่แปลก เพราะนับตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่ได้แสดงตัวให้ใครรู้ว่าเคยรู้จักหรือมีความสนิทชิดเชื้ออย่างใดกับผู้ชายธรรมดาอย่างเขา นอกจากนั้นบรรดาเพื่อนฝูงสมัยเรียนก็แทบไม่รู้ว่าปฐวีย้ายมาอยู่เชียงรายแล้ว
แต่ปัญหาก็คือปฐวีคงไม่แฮปปี้แน่ถ้าน้ำหนึ่งจะมาอยู่นานเกินวันสองวัน…ก็ใครมันจะอยากเป็นคนใช้น้ำหนึ่งในบ้านของตัวเองกันเล่า
‘หนึ่งบอกว่าจะมาซ่อนตัวที่นี่ไง อ้อ…แล้วพี่ก็ไม่ต้องห่วง หนึ่งจะจ่ายค่าที่พักรายวันให้ ค่าอาหาร แล้วก็ค่าน้ำค่าไฟให้พร้อม’
‘ถ้าจะเอาอย่างนั้น ผมว่าผมหาโรงแรมดีๆ ให้คุณหนึ่งดีกว่านะ เอาแบบที่ปลอดภัยไม่มีพวกชอบจุ้นเรื่องของชาวบ้าน’
‘ไม่ได้!’
น้ำหนึ่งโพล่งขึ้นมาทันทีโดยไม่มีการลังเล ทำเอาปฐวีออกจะประหลาดใจขึ้นมาหน่อยๆ เธอจึงต้องรีบให้เหตุผลว่า
‘ขืนไปโรงแรม พวกโรคจิตมันต้องตามมาได้แน่ หนึ่งดังจะตายไป ใครบ้างจะไม่รู้จัก…ต่อให้เป็นโรงแรมเล็กสุดขอบประเทศไทยก็เถอะ’
‘ครับๆ ไม่ไปก็ไม่ไป ว่าแต่ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว คุณหนึ่งมาที่นี่ยังไง เพราะ…ถ้ามาจากสนามบินก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลย’
‘พี่พีทจัดการให้’
‘ก็แสดงว่าคุณพีทรู้ว่าผมอยู่ที่นี่สินะ’
คุณพีทที่ปฐวีเอ่ยถึงคือพีรัช ลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของน้ำหนึ่งนั่นเอง ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกที่ฝ่ายนั้นจะหาบ้านของเขาเจอได้อย่างง่ายดาย เพราะพีรัชมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในฐานะทายาทคนสำคัญของบริษัทผลิตสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย และยังมีบริษัทในเครืออีกมากมาย
แต่…ทำไมพีรัชถึงเลือกให้น้ำหนึ่งมาซ่อนตัวในบ้านของคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้ากันนะ
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลก็แผ่กระจายออกเป็นวงกว้างในใจของปฐวีทันที
‘ใช่ เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้เอง แค่พี่พีทกระดิกนิ้วหน่อยเดียวก็หาเจอแล้ว’
‘หวังว่าพวกสตอล์กเกอร์จะไม่คิดว่าการตามหาบ้านผมเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปด้วยก็แล้วกัน’
‘นี่ อย่าเอาพี่พีทไปเทียบกับพวกนั้นนะ’
‘ครับๆ’ ปฐวียกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ พลางหาวหวอดๆ ‘ผมง่วงแล้ว จะไปนอน’
‘หนึ่งก็ง่วงเหมือนกัน’
เอาล่ะสิ…เพียงพริบตาปัญหาใหม่ก็ตามติดมาจนได้ เพราะบ้านของปฐวีมีห้องนอนอยู่ห้องเดียว ส่วนห้องที่ว่างอยู่ก็อัดแน่นไปด้วยหนังสือมือสองจนพื้นแทบจะถล่มลงมาอยู่รอมร่อ
เนื่องจากตอนนี้ปฐวีทำธุรกิจขายหนังสือมือสองอย่างเต็มตัว ซึ่งนับว่าเป็นการกลับไปรื้อฟื้นกิจการเก่าของนาเมืองที่เคยเปิดร้านขายหนังสือร่วมกับแม่และใช้ชื่อว่า ‘ขวัญอ่าน’ มานานหลายสิบปี แต่ต้องปิดไปเพราะไม่อาจทำทั้งโฮสเทลและร้านหนังสือไปพร้อมกันได้
ลุงนาเมืองนั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่เขา และยังเป็นญาติสนิทในจำนวนน้อยนิดที่เหลืออยู่ของปฐวี เพราะปู่ย่าตายายของเขาล้วนอายุสั้นและจากไปตั้งแต่เขายังเด็กกันหมด
หลังจากเรียนจบใหม่ๆ ปฐวีก็ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับวงการสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ราวสองปี ครั้นถูกลุงนาเมืองชักชวนให้มาช่วยทำโฮสเทลกับร้านอาหารที่กำลังไปได้สวยของนฤมลซึ่งเป็นลูกสาวของลุง ปฐวีก็เลยตัดสินใจย้ายมาปักหลักอยู่เชียงรายอย่างถาวร
เนื่องจากความเสียดายหนังสือมือสองที่ยังเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก บวกกับฝีมือเรื่องการสรรหาหนังสือเก่าหายากของลุงนาเมือง ปฐวีก็เลยตัดสินใจขายหนังสือมือสองแบบออนไลน์แทน ซึ่งพบว่าขายดิบขายดีกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรกเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนั้นปฐวีจึงไม่ได้ไปช่วยงานลุงนาเมืองที่โฮสเทลและร้านอาหารทุกวัน แต่จะแบ่งเวลาไปเป็นบางวันหรือจะอยู่ยาวก็ต่อเมื่อถูกนฤมลไหว้วานให้ไปช่วยดูเนื่องจากต้องไปธุระที่อื่น
‘จะให้หนึ่งนอนไหนล่ะ’ เห็นทีว่าน้ำหนึ่งเองก็พอจะเดาปัญหาได้รางๆ จึงรีบถามขึ้น
ปฐวีฟังแล้วก็อดถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ นี่ขนาดเชียงรายอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ นับแปดร้อยกิโลเมตร หญิงสาวก็ยังไม่วายตามมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขาได้อีก
‘อย่าบอกนะว่ามีห้องนอนห้องเดียว’
ชายหนุ่มพยักหน้า
‘ถ้าอย่างนั้นหนึ่งก็ต้องได้นอนห้องนั้น’ น้ำหนึ่งพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ‘ส่วนพี่ก็นอนข้างล่างนี่ไป’
‘หนาวขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่ไหวหรอก’
‘ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไง’
‘คุณหนึ่งก็นอนบนเตียงไป ส่วนผมจะเอาถุงนอนไปนอนบนพื้นแล้วกัน’
‘แล้วข้างบนมันจะอุ่นกว่าข้างล่างสักเท่าไหร่กันเชียว’ น้ำหนึ่งยกมือขึ้นกอดอก
‘พื้นกระเบื้องมันก็ต้องเย็นกว่าพื้นที่ปูพรมข้างบนอยู่แล้วสิครับ แม่คุณ’
‘อ้าว แล้วหนึ่งจะไปรู้ได้ยังไงว่าข้างบนปูพรม’ หญิงสาวเถียงกลับ
‘เอาเถอะๆ มัวเถียงกันอยู่ก็เสียเวลานอนไปเปล่าๆ รีบขึ้นไปนอนดีกว่านะผมว่า”
น้ำหนึ่งเองก็เริ่มตาแดงก่ำเพราะง่วงนอนเหมือนกัน จึงรีบสาวเท้านำหน้าหนุ่มเจ้าของบ้านไปราวกับรู้ดีว่าห้องนอนอยู่ไหน แต่พอกำลังจะเดินผ่านห้องแรกซึ่งปฐวีใช้เก็บหนังสือมือสองของร้านก็กลับหยุดกึกเสียดื้อๆ พานให้ปฐวีที่กำลังเดินตามมาแทบจะชนหลังเข้าอย่างจัง
‘โห…เยอะขนาดนี้ไม่กลัวบ้านพังหรือไง’
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ปฐวีก็สังเกตเห็นประกายในดวงตาของหญิงสาวเมื่อจ้องมองดูสันหนังสือมากมายตรงหน้าได้อย่างชัดเจน หากว่าจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ที่เชื่อมโยงผู้ชายธรรมดาสามัญอย่างเขาและผู้หญิงที่มีชีวิตเลิศเลอไม่ต่างจากเจ้าหญิงอย่างน้ำหนึ่งเข้าด้วยกันได้ สิ่งนั้นก็คงจะเป็นของที่อัดแน่นอยู่ในห้องนี้นี่เอง
พอปฐวีคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็อดประหลาดใจไม่ได้ทุกครั้ง ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างน้ำหนึ่งจะเจียดเวลามานั่งเปิดไล่อ่านตัวหนังสือไปทีละหน้าๆ แทนที่จะออกไปเที่ยวเล่นไร้แก่นสารข้างนอก
‘ผมเพิ่งทำห้องเก็บของเสร็จเมื่อวันนี้เอง พรุ่งนี้ก็ว่าจะแบ่งลงไปแล้วล่ะ’
‘ดี เพราะพี่วีต้องย้ายมานอนห้องนี้นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป’
คำพูดราวกับว่าจะไม่ได้มาอาศัยแค่ไม่กี่วันทำให้ปฐวีเบิกตาโตขึ้นทันที ขณะที่น้ำหนึ่งเดินไปที่ห้องถัดไปซึ่งคงจะเป็นห้องนอนของชายหนุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวกลับนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อนจึงชะงักฝีเท้าลงแล้วหันมาบอก
‘ห้ามเอาไปบอกใครล่ะว่าเราเคยนอนห้องเดียวกัน’
‘ก็แล้วจะให้ผมเอาไปบอกใครล่ะ’ ปฐวีเอามือเกาหน้าผากอย่างรำคาญใจ
‘ใครจะไปรู้ พี่วีอาจจะอยากรวบหัวรวบหางหนึ่งก็ได้ ถ้าสำเร็จก็คงกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารใบเบ้อเร่อ’
ปฐวีอดโมโหขึ้นมาไม่ได้กับคำดูถูกของหญิงสาว แต่ก็พยายามข่มอารมณ์อย่างสุดฤทธิ์แล้วตอบกลับไป
‘ลองถ้าคุณพีทส่งคุณหนึ่งมาหาผมกลางดึกขนาดนี้ คงไม่ต้องกลัวเรื่องอะไรพวกนั้นแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น…เลิกเพ้อแล้วก็รีบไปนอนได้แล้วครับ’
น้ำหนึ่งได้ยินก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างด้วยยังนึกหาคำมาโต้เถียงไม่ได้ ปฐวีจึงรีบเดินไปค้นเอาถุงนอนที่กองทับถมกันไว้กับของจิปาถะอย่างอื่นในกล่องที่วางอยู่ติดหน้าต่างริมทางเดิน แล้วก้าวสวบๆ เอาไปปูนอนในห้องโดยไม่สนใจหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีก
ให้ตายเถอะ ไอ้พี่วีมันกล้าเมินกันขนาดนี้เชียว…นี่ถ้าไม่ได้เป็นเกย์ก็คงต้องตายด้านแน่!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.