X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจ้าชายฉบับมือสอง

ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2 มีพิรุธ

ปฐวียังไม่ทันจะเริ่มลงมือปูที่นอนของตัวเองก็ได้ยินเสียงหญิงสาวเดินกระแทกส้นเท้าตามเข้ามาในห้อง ก่อนจะหยุดกึกแล้วมองเลยไปที่เตียงไม้ขนาดห้าฟุตซึ่งมีผ้าห่มถูกเลิกเอาไว้ครึ่งๆ กลางๆ ของชายหนุ่มอย่างประเมิน

‘นั่นเตียงพี่เหรอ’

ปฐวีหันไปมองตามสายตาของน้ำหนึ่ง คิดในใจว่า ไม่น่าถาม ก็เห็นกันอยู่ทนโท่ หากปากก็เพียงแต่ตอบรับไปสั้นๆ เพราะง่วงเกินกว่าจะมีอารมณ์มากวนประสาทอีกฝ่าย

‘ใช่’

น้ำหนึ่งเดินไปยืนอยู่หน้าเตียง พินิจพิจารณาอยู่เป็นครู่ถึงได้ยอมยอบตัวลงนั่ง ทำเอาปฐวีต้องเกาศีรษะแกรกๆ อย่างหงุดหงิดใจว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะนอนได้เสียที

‘หรือจะให้ผมพาไปส่งโรงแรมสักที่ แต่ดึกป่านนี้คง…’ พูดถึงตรงนี้ปฐวีก็ชะงักกึกไปเหมือนนาฬิกาถ่านหมด ทำให้น้ำหนึ่งต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

จริงด้วย! นี่เขาลืมโฮสเทลของลุงนาเมืองไปได้อย่างไรกัน

‘คงไม่มีที่ไหนเปิดหรอกใช่ไหมล่ะ แค่นี้ก็ทำเป็นนึกไม่ออก’

‘ไม่ใช่ ผมไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้นหรอกน่ะ ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าคุณหนึ่งไม่อยากไปโรงแรมเพราะไม่ไว้ใจว่าจะมีคนเห็นหรือเปล่า ผมก็มีทางเลือกอื่นให้นอกจากการต้องทนอยู่บ้านของผมที่ไม่สะดวกสบายอะไรสักอย่างเดียว’

ทว่าน้ำหนึ่งกลับไม่แม้แต่จะฟังเหตุผลของชายหนุ่ม ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเธอจะต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น

‘ไม่ ยังไงหนึ่งก็ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น’

‘นอกจากผม…คนที่คุณหนึ่งเคยเจอครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ’

ท่าทีหยิ่งทะนงของสาวสวยดูเหมือนจะอ่อนลงนิดหน่อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ปฐวีจึงไม่รอช้า รีบเสริมต่ออย่างไม่ให้ขาดตอนว่า ‘ผมมีญาติทำธุรกิจโฮสเทลอยู่ในอำเภอเดียวกันนี้แหละ ลุงเมืองน่ะ…ถ้าคุณหนึ่งยังจำได้ ผมรับประกันว่าจะพาคุณหนึ่งไปซ่อนตัวอย่างเงียบๆ จนกว่าคุณพีทจะจับเจ้าสตอล์กเกอร์คนนั้นได้ จะไม่มีใครรู้แน่ว่าคุณหนึ่งอยู่ที่นั่น’

‘ไม่…ในเมื่อพี่พีทบอกว่าอยู่ที่นี่แล้วปลอดภัย หนึ่งก็จะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น’

ปฐวีถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อคำหว่านล้อมของเขาใช้ไม่ได้ผล ไม่นึกเลยว่าเวลาที่ห่างเหินกันไปชั่วไม่กี่ปีนั้น น้ำหนึ่งจะสนิทสนมกลมเกลียวกับพีรัชมากขึ้นถึงขนาดนี้

‘โอเคๆ ถ้าอย่างนั้นก็นอนก่อนเถอะครับ ผมง่วงเต็มทีแล้ว’

น้ำหนึ่งจึงขยับตัวลงนอนอย่างจำใจ ขณะปฐวีก็รีบปูที่นอนของตัวเองเพื่อจะได้นอนต่อเสียที ส่วนเรื่องน่าปวดหัวทั้งหลายเอาไว้ค่อยคิดทีหลังพรุ่งนี้

และนั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา

แต่…แค่คืนเดียวน้ำหนึ่งก็ยังมาสร้างความวุ่นวายให้เขาได้มากขนาดนี้ ปฐวีไม่อยากจะคิดว่าถ้าหญิงสาวอยู่ต่อไปอีกหลายวัน มันจะต้องยุ่งเหยิงขึ้นอีกแค่ไหน

ระหว่างที่กำลังนั่งกลุ้มใจอยู่นั่นเอง ก็มีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี ยังไม่ทันที่ปฐวีจะกระเด้งตัวลุกออกไปดูก็เห็นน้ำหนึ่งชะโงกหน้ามาจากราวบันไดเสียก่อน

“พี่วี มีรถใครมาก็ไม่รู้!”

ปฐวีรีบกระหืดกระหอบเดินออกไปดูที่หน้าบ้านทันที นึกบ่นอยู่ในใจว่าร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมีใครแวะเวียนมาหานัก พอจะมีก็ดันมาเอาตอนนี้เสียอีก

แต่พอเห็นว่าคนที่มาเป็นนฤมล ปฐวีก็ค่อยโล่งอกด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยมานานอยู่แล้ว เนื่องจากต้องรีบกลับไปดูแลโฮสเทล ทั้งยังมีภาระเป็นลูกสาววัยกำลังน่ารักน่าชังอยู่อีกทั้งคน

“อ้าว…มลนี่เอง ทำไมวันนี้ขับรถมาที่นี่ได้ล่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยทักลูกพี่ลูกน้องสาวที่กำลังก้าวลงมาจากรถพร้อมกับถุงกระดาษในมือ นฤมลจึงฉีกยิ้มแทนคำทักทายพร้อมกับบอกว่า “ขับรถผ่านมาทางนี้พอดีก็เลยเอาของกินมาฝากวีน่ะ”

“โธ่ ไม่เห็นต้องลำบากเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ทีจะได้มีเวลาขับรถออกจากบ้าน ก็อยากจะแวะมาดูบ้านวีมั่ง”

หญิงสาวหันไปปิดประตูรถแล้วถือถุงกระดาษเดินเข้าไปในบ้านอย่างคนคุ้นเคย แต่เพราะวันนี้ปฐวีรู้ดีว่าบ้านเขาไม่ปกติจึงรีบวิ่งตามเข้าไปติดๆ

“เอ่อ…วันนี้บ้านผมรกมากเลย กำลังจะขนหนังสือลงมาเก็บข้างล่าง”

“ก็เพราะวีชอบมัวแต่ยุ่งกับเรื่องหนังสืออยู่ตลอด มลก็เลยต้องเอามาเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อยก่อนกลับยังไงล่ะ ขืนวีลืมทิ้งไว้จนแมลงมาตอมก็เสียดายของแย่”

ปฐวีหันไปมองทางบันไดก็ไม่เห็นน้ำหนึ่งแล้ว หญิงสาวคงจะรีบผลุบกลับขึ้นไปบนบ้านตั้งแต่ได้ยินเสียงฝีเท้ามุ่งตรงมาทางปากประตูบ้าน

จะทำอย่างไรดี เกิดน้ำหนึ่งทำเสียงกุกกักอยู่ชั้นบนแล้วนฤมลได้ยินเข้าจะไม่สงสัยเอาหรือ แต่ขืนคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายรีบกลับก็จะเป็นการเพิ่มพิรุธยิ่งขึ้นไปอีก

“อื้อหือ วันนี้เกิดคึกอะไรขึ้นมาน่ะวี ฉีดน้ำหอมซะฟุ้งไปทั่วบ้านเลย”

ปฐวีได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพื่อกลบเกลื่อน แต่เขาคงจะแสดงท่าทางกระสับกระส่ายออกมาให้เห็นอยู่บ้าง นฤมลจึงเอียงคอมองอย่างสนใจ ยิ้มแล้วเอ่ยถาม

“เอ…หรือจะแอบซ่อนสาวเอาไว้กันน้า”

“เปล่าหรอก ผมก็แค่…รู้สึกว่าบ้านมันมีแต่กลิ่นหน้ากระดาษเก่าๆ ของหนังสือ เลยเอาน้ำหอมมาดับกลิ่นน่ะ”

“อืม งั้นเหรอ” นฤมลพึมพำ ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ในหน้า “มลว่ามลไม่กวนเวลาวีแล้วดีกว่า เดี๋ยวเกิดน้องนุ่นตื่นขึ้นมาไม่เจอแล้วจะร้องไห้โยเยเอา”

“ดีแล้วล่ะ วันหลังก็โทรให้ผมไปเอาที่ร้านดีกว่า อย่าลำบากมาเองเลย”

“จ้า งั้นกลับล่ะนะ”

ปฐวีแอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกขณะเดินตามหลังญาติสาวออกไปหน้าบ้าน รีบกุลีกุจอไปเปิดประตูรถให้อย่างเร็วรี่ “ขับรถดีๆ นะ ไม่ต้องขับเร็ว”

“มลขับรถช้าจะตายไป”

“นั่นสินะ”

ขณะปฐวีช่วยโบกรถให้นฤมลถอยออกไปที่ถนนเพราะทางเข้าบ้านค่อนข้างแคบ น้ำหนึ่งก็แอบเลิกผ้าม่านดูจากหน้าต่างบนห้องนอน จนกระทั่งเห็นรถเก๋งสีบรอนซ์สัญชาติญี่ปุ่นขับออกไปแล้วจึงผลุบหน้ากลับเข้ามา

ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือจำนวนหลายสิบเล่มที่จัดเรียงเอาไว้อย่างดีบนชั้นหนังสือส่วนตัวของปฐวีเข้าโดยไม่ตั้งใจ

ยังชอบอ่านหนังสือไม่เปลี่ยนเลยแฮะ

น้ำหนึ่งเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้หนังสือไม้ขัดมันสีดำ ไล่สายตาไปตามสันหนังสือที่ปฐวีจัดเรียงเอาไว้ตามลำดับเล่มอย่างสนใจ ใครจะนึกว่าตอนยังเด็ก น้ำหนึ่งเคยเป็นยายลูกเป็ดขี้เหร่มาก่อน แถมยังเป็นหนอนหนังสืออีกต่างหาก บางทีนิสัยรักการอ่านในช่วงนั้นของเธออาจจะมาจากการที่คุณย่าขอเอาตัวเธอไปอยู่ด้วยก็ได้

แต่พอถูกส่งกลับไปอยู่ในการปกครองของแม่อย่างเต็มตัวตอนอายุสิบสี่ เธอก็เริ่มหันมารักสวยรักงามตามประสาวัยรุ่นจนสามารถเปลี่ยนจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นนางหงส์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำยังสวยมากยิ่งขึ้นตามความเปล่งปลั่งของวัย จนถึงกับเคยมีคนไปขุดรูปสมัยยังเด็กของเธอมาเปรียบเทียบว่าเธอนั้นสวยด้วยมีดหมอ ไม่ใช่ตามธรรมชาติแต่อย่างใด

ตอนแรกน้ำหนึ่งก็เก็บเอาไปร้องไห้ด้วยความไม่พอใจ แต่พอเริ่มโตขึ้นหญิงสาวก็เลิกสนใจคำวิจารณ์ไร้สาระของพวกขี้อิจฉา ใครอยากจะว่าอะไรก็ช่าง แค่เธอรู้ดีว่าตัวเองสวยด้วยธรรมชาติก็พอ

ความคิดเกี่ยวกับวัยเด็กของตัวเองหยุดชะงักลงเพียงแค่นั้น เมื่อน้ำหนึ่งเลื่อนสายตาไปยังชั้นบนสุดและพบหนังสือจากปลายปากกาของคุณย่าเรียงกันครบทุกปกที่มีการตีพิมพ์ซ้ำ ทั้งยังดูเหมือนเขาจะเก็บเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัวมากกว่าจะมีไว้เพื่อขายทำกำไร

เมื่อหมดความสนใจจากหนังสือคุณย่า น้ำหนึ่งก็เหลือบไปเห็นพิมพ์ดีดเก่าเครื่องหนึ่งซึ่งปฐวีวางเก็บเอาไว้ที่ชั้นล่างสุด ถ้าจำไม่ผิด เธอเคยเห็นคุณย่าใช้พิมพ์ดีดเครื่องนี้ทำงานเป็นประจำตอนที่เธอยังเด็กมาก ทว่าหลังจากมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานสะดวกสบายกว่าเข้ามา คุณย่าก็เลิกใช้ไป

เชอะ! คงทำเป็นขอคุณย่าไว้เป็นที่ระลึก แต่จริงๆ ตั้งใจจะเก็บไว้ประมูลขายมากกว่า

ทว่าระหว่างจะหันไปสำรวจอย่างอื่นในห้องต่อ น้ำหนึ่งก็พบหนังสือที่ปฐวีเก็บเอาไว้บนชั้นเล็กเหนือหัวเตียงเข้าเสียก่อน จากตำแหน่งของมันทำให้คิดว่าคงเป็นหนังสือชุดสุดรักสุดหวงของเขา ซึ่งหลายเล่มในนั้นถูกห่อเอาไว้ด้วยกระดาษไขที่เคยฮิตอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว

ความรู้สึกวาบไหวในอกพลันเกิดขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อน้ำหนึ่งได้เห็นกระดาษไขพวกนั้น ก่อนจะเรียกความทรงจำส่วนลึกสุดที่นานแค่ไหนก็ไม่อาจลืมเลือนขึ้นมา

ใครใช้ให้แกแตะต้องมัน ไสหัวไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!

เสียงกรีดร้องจากในวันวานดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของหญิงสาวที่กำลังก้าวถอยห่างออกไปจากชั้นหนังสือโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นข้างหลัง

“คุณหนึ่ง…”

ปฐวีชะงักเมื่อเห็นน้ำหนึ่งหันขวับมามองด้วยใบหน้าซีดขาว ขณะที่ข้างหลังของเธอคือชั้นหนังสือบนหัวเตียงของเขา

“ผมทำให้ตกใจเหรอ”

“เปล่า” น้ำหนึ่งเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากจะยอมรับว่าการได้เห็นปฐวีโผล่หน้าเข้ามาทำให้ความรู้สึกหนาวยะเยือกจนแทบทำให้หัวใจของเธอกลายเป็นน้ำแข็งแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอย่างฉับพลัน

ก็แค่อุ่นขึ้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ

“นี่คุณย่าคงให้มาล่ะสิ” น้ำหนึ่งว่าพลางบุ้ยใบ้กลับไปยังตู้หนังสือชั้นบนสุดซึ่งล้วนแต่เป็นหนังสือที่คุณย่าเขียนทั้งหมด

“มันเป็นชุดหนังสือที่แม่ผมสะสมไว้ต่างหาก แต่ถ้าเป็นเล่มหลังๆ ผมหาซื้อมาเก็บไว้เองทั้งหมด” ปฐวีอธิบายให้ฟังละเอียดยิบ

“แต่พิมพ์ดีดนั่น ของคุณย่าแน่นอน หนึ่งจำได้”

พิมพ์ดีด…ที่ปฐวีไม่คิดว่าน้ำหนึ่งจะจำได้ทำให้เขาชะงักไปอย่างคาดไม่ถึง แต่น้ำหนึ่งกลับคิดว่าเขากลัวเธอรู้ทันเรื่องที่เขาจะเอาไปประมูลขาย

“ใช่ ผมขอคุณย่าไว้เอง บางทีก็เอามาลองใช้งานบ้างเหมือนกัน มันให้ความรู้สึกคลาสสิกดีน่ะ”

ถึงแม้ปฐวีจะเป็นแค่เด็กที่คุณย่าขอรับมาอุปการะตั้งแต่เจ็ดขวบเพราะการเสียชีวิตของแม่เขา ไม่ใช่หลานแท้ๆ อย่างน้ำหนึ่ง ทว่าคุณย่าก็ให้ความรักความเอาใจใส่แก่เขาและหญิงสาวเท่าๆ กัน ไม่เคยเข้าข้างหลานในไส้ให้เขาต้องรู้สึกน้อยใจเลยสักครั้ง ทั้งยังยกของรักของหวงอย่างพิมพ์ดีดเครื่องนี้ให้ชายหนุ่มด้วยความเต็มใจเพราะเห็นว่าเขาเป็นเด็กดีมาตลอดอีกต่างหาก

“ไม่เชื่อหรอก พี่วีจะเอาไปขายมากกว่า”

ปฐวีไม่โต้ตอบอะไรนอกจากมองหญิงสาวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย ขวัญอ่อนจริงๆ เลยคุณหนึ่ง”

“เปล่าสักหน่อย หนึ่งแค่…ไม่ชอบหนังสือที่ห่อกระดาษไขน่ะ มันดูแปลก”

“แต่มันช่วยถนอมหนังสือนะ น่าเสียดายว่าห่อแล้วทำให้เห็นปกไม่ชัด บางคนก็ว่าห่อแล้วไม่สวย เลยเลิกฮิตไป…ตอนที่แม่ยังเปิดร้านหนังสือก็สั่งซื้อมาห่อให้ลูกค้าเยอะเลย เพราะแม่ชอบเป็นพิเศษ”

หญิงสาวฟังจบก็พยายามเลิกสนใจเรื่องดังกล่าว เพราะไม่อยากนึกถึงความทรงจำร้ายๆ ในอดีตอีก ก่อนจะจ้องมองปฐวีที่ยืนอยู่ตรงปากประตูแล้วแหวใส่เขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

“จริงสิ เมื่อกี้พี่ว่าน้ำหอมของหนึ่งเป็นน้ำยาดับกลิ่นหนังสืองั้นเหรอ”

“อ้าว แล้วจะให้ผมตอบว่าไงล่ะ อ้อ…คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของคุณหนึ่งที่มาขอนอนกับผมเมื่อคืนอย่างงี้น่ะเหรอ”

พอจบคำพูดเท่านั้น น้ำหนึ่งก็หน้าแดงก่ำ พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ร้องกรี๊ดออกมาลั่นบ้าน แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้คนที่ควรจะสำนึกแล้วรีบขอโทษเธอหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“ไอ้พี่วี!”

“อย่าร้องนะคุณหนึ่ง บ้านผมไม่ได้มีผนังกันเสียงด้วย ขืนคุณหนึ่งกรี๊ดใส่หน้าผมตอนนี้ คนข้างบ้านต้องได้ยินแน่ๆ”

ปฐวียกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงห้าม พยายามไม่มองสีหน้าบึ้งตึงของหญิงสาวที่ออกจะน่าขันในความคิดของเขา

“รีบลงไปกินข้าวดีกว่านะ หิวหรือยังครับ”

“ไม่ หนึ่งไม่หิว จะไปไหนก็ไปไป๊ ไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก”

น้ำหนึ่งจ้ำพรวดเดียวเข้าไปผลักอกปฐวีให้พ้นหน้าห้องแล้วปิดประตูใส่ดังปัง ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยอารมณ์อันบูดบึ้ง หากเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ความขุ่นมัวในอารมณ์ก็จางลงและค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความสมใจนิดๆ บนใบหน้า

ฮึกล้าต่อปากต่อคำดีนัก แต่อีกไม่นานหรอก พี่วีจะต้องได้รับบทเรียนราคาแพงจนหัวเราะไม่ออกแน่!

ปฐวีเดินลงบันไดไปก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของน้ำหนึ่ง แต่มาคิดดูอีกที เมื่อครู่เขาก็ออกจะพูดจาแรงไปหน่อยเหมือนกัน นี่ถ้าแม่ยังอยู่แล้วมาได้ยินเข้าคงต้องดุว่าเขาใช้คำไม่ให้เกียรติผู้หญิงแน่เลย

แต่…ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำหนึ่ง เขาก็คงไม่พลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป ปฐวีพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองขณะมาหยุดฝีเท้าอยู่กึ่งกลางบันไดโดยไม่รู้ตัว

สุดท้ายชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปหน้าห้องแล้วเคาะประตูเรียกหญิงสาวที่อยู่ข้างใน

“คุณหนึ่ง…คุณหนึ่งครับ”

“อะไรอีกล่ะ” มีเสียงสะบัดจากหญิงสาวดังตอบกลับมา

“หิวหรือยังครับ ลงไปกินข้าวดีกว่านะ” ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะมาขอโทษ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยอยากจะพูดออกมาเสียอย่างนั้น

เกิดความเงียบขึ้นหลายอึดใจ เหมือนน้ำหนึ่งกำลังลังเลว่าจะตอบอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกระฟัดกระเฟียดไม่ยอมหายงอน

“ไม่ อยากจะกินก็กินไปสิ มาถามทำไม”

“โอเคๆ” ปฐวีเอ่ยออกมาอย่างยอมแพ้ “ผมขอโทษ ผมมันคนปากไม่ดีอย่างนี้เอง คุณหนึ่งก็รู้ดี”

“เชอะ…รู้ตัวแล้วก็ดี”

ถึงแม้น้ำเสียงของน้ำหนึ่งจะฟังดูอ่อนลงแล้วแต่ก็ไม่ยอมเปิดประตูออกมาอยู่นั่นเอง ปฐวีเองก็ขี้คร้านจะงอนง้อไปมากกว่านี้จึงไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก อันที่จริงเขาไม่น่าจะมาขอโทษตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าน้ำหนึ่งไม่พอใจเอามากๆ อย่างนี้ อีกไม่นานก็คงจะตะบึงตะบอนออกไปหาโรงแรมหรูๆ สักแห่งอยู่เอง

แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น ปฐวีก็ไม่กล้าทำจริงอยู่ดี ถ้าจะโทษคงต้องโทษชะตาชีวิตอันแปลกประหลาดระหว่างเขาและครอบครัวของน้ำหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อาจตัดขาดจากคุณหนูผู้เอาแต่ใจไปได้จนแล้วจนรอด

ช่างเถอะตอนนี้ยังไม่หิวแต่พอหายโกรธก็คงจะหิวขึ้นมาเอง

ปฐวีทำท่าจะถอดใจหันหลังเดินไปทางบันได ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นพอดี

“อ้าว หิวแล้วล่ะสิ”

“แหม…ก็พี่อุตส่าห์มาง้อขนาดนี้แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ”

น้ำหนึ่งทำท่าลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ปฐวีพยายามไม่ใส่ใจแล้วรีบเดินนำลงบันไดไปที่ห้องครัว แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วจึงเริ่มมีกะจิตกะใจจะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้มากขึ้น

“พูดถึงพี่นี่ก็เสน่ห์แรงไม่เบานะ มีสาวเอาข้าวมาส่งให้ถึงบ้านแต่เช้าเลย”

ถึงแม้ว่าตามมาตรฐานของน้ำหนึ่งแล้ว ปฐวีจะนับได้ว่าเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ตามมาตรฐานของสาวอื่นเท่าที่น้ำหนึ่งเคยเห็นตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เขาดูเสน่ห์แรงไม่เบาเลยทีเดียว

“จะบ้าเหรอ มลเค้าแต่งงานมีลูกหนึ่งแล้ว อีกอย่างก็เป็นญาติผมด้วย อืม…อันที่จริงผมว่าผมน่าจะเคยพูดถึงมลให้ได้ยินบ้าง แต่คุณหนึ่งคงจะจำไม่ได้”

มีแววพอใจแวบหนึ่งฉายบนใบหน้าของคนฟัง แต่ปฐวีมัวแต่ง่วนอยู่กับการจัดอาหารใส่จานอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัวก็เลยไม่ทันเห็น

น้ำหนึ่งยักไหล่ทีหนึ่งเมื่อเอ่ยว่า “ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะ เห็นยังสาวอยู่เลย ถึงจะ…อ้วนไปหน่อยก็เถอะ”

“ก็ใครเขาจะผอมสวยหุ่นนางแบบเหมือนคุณหนึ่งล่ะครับ”

“แน่นอนสิ หนึ่งดูแลรูปร่างตัวเองตลอดนี่ จะได้แบบนี้ไม่ใช่ง่ายๆ นะจะบอกให้”

น้ำหนึ่งพูดพลางจ้องปฐวีที่กำลังเอาอาหารจากกล่องลงจัดใส่จานอย่างสนใจ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้เธอยิ่งรู้สึกหิวเป็นกำลัง

“แล้วนั่นเมื่อไหร่จะเสร็จ ชักช้าจริงๆ เลยพี่เนี่ย”

ปฐวีหันมายิ้มอย่างเป็นต่อ “ก็ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าไม่หิวไม่ใช่เหรอ”

“ก็ตอนนี้หนึ่งหิวแล้วนี่”

“งั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะเลย เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะรีบยกไปให้”

“หนึ่งหิวน้ำ มีน้ำให้กินไหม”

“อยู่ในตู้เย็น เปิดหยิบเอาได้เลย”

น้ำหนึ่งกวาดสายตามองหาอยู่อึดใจก็เดินตรงไปที่หน้าตู้เย็นในครัว แต่ยังไม่ทันได้หยิบน้ำออกมา สายตาของเธอกลับหยุดชะงักอยู่ที่รูปในกรอบไม้ขนาดเล็กซึ่งวางเอาไว้บนหลังตู้เย็นเข้าเสียก่อน

มันเป็นรูปที่น่าจะถ่ายไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเห็นจะได้ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับปฐวีซึ่งยังเป็นเพียงเด็กชายวัยเจ็ดขวบ เพราะถูกคุณย่าเรียกให้มาถ่ายรูปด้วยกัน เขาและเธอจึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ร่วมเฟรมเดียวกันโดยมีคุณย่ายืนโอบไหล่เด็กทั้งสองอยู่ตรงกลาง

น้ำหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปฐวีเคยเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักอย่างไร โตขึ้นมาเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เธอนี่สิ…ตัวผอมแกร็นไม่ได้สัดส่วน ทั้งนัยน์ตาโปนใหญ่ของเธอก็ไม่เข้ากับรูปหน้าเล็กๆ นั่นเอาเสียเลย

“ผมเห็นว่ามันตลกดีก็เลยเอามาตั้งไว้” แต่พอปฐวีนึกขึ้นได้ว่ามันจะไปยั่วโมโหคนฟังขึ้นมาอีก ก็รีบแก้ไขว่า “ที่สำคัญคือเป็นรูปที่คุณย่าอุตส่าห์เอาใส่กรอบให้มาด้วย จริงๆ ที่บ้านคุณย่าก็มีรูปจากชุดเดียวกันนี้อีกใบใส่กรอบตั้งไว้อยู่ที่โต๊ะทำงานของท่านด้วยนะ”

“เชอะ ไม่ต้องมาพยายามพรีเซนต์ให้ดูดีหรอก พี่วีตอนยังเด็กน่ารักกว่าหนึ่งตั้งเยอะ หนึ่งนี่สิดูไม่ได้เลย แต่…ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ คนละเรื่องนะจะบอกให้”

“มันก็แค่ตอนยังเด็กน่ะคุณหนึ่ง อย่าไปใส่ใจมากเลย”

ปฐวีเดินมายื่นแก้วให้น้ำหนึ่งที่มัวแต่วิจารณ์รูปสมัยเด็กจนไม่ได้เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกไปเสียที

“จัดจานเสร็จรึยังล่ะ หิวแล้ว”

พูดจบน้ำหนึ่งก็เดินถือแก้วน้ำไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ขณะปฐวีก็ตามมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็วทันใจ

“ได้แล้วครับๆ”

หญิงสาวนิ่งมองอาหารในจานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับการจัดจานได้สวยงามเกินคาด เมื่อลองกินไปคำแรกอย่างไม่คาดหวังก็พบว่ามันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

“เป็นไงครับ อาหารจากโฮสเทลของมล”

“ก็…” น้ำหนึ่งทำเป็นวางมาดอย่างกลัวเสียฟอร์ม ทั้งที่อยากจะตักคำต่อไปเข้าปากจะแย่ “ก็พอกินได้นะ”

“ค่อยโล่งอกไปที ที่จริง…ถ้าคุณหนึ่งเปลี่ยนใจไปพักที่โฮสเทลก็จะได้กินอาหารดีๆ อย่างนี้ทุกมื้อ จะได้ไม่ต้องมาทนนั่งกินข้าวไข่เจียวที่บ้านผมนะ”

“หนึ่งอยู่ไม่นานนักหรอกน่ะ พี่ไม่ต้องวุ่นวายหรอก”

คำว่า อยู่ไม่นาน ทำให้ปฐวีรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที จึงไม่พยายามหว่านล้อมให้หญิงสาวย้ายไปพักที่อื่นอีก

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณหนึ่งแล้วกัน”

หลังจากเก็บโต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ปฐวีก็บอกว่าวันนี้เขาต้องขนหนังสือบางส่วนลงมา และต้องแพ็กหนังสือที่ลูกค้าสั่งทางออนไลน์ใส่กล่องให้ทันก่อนบริษัทขนส่งจะมารับ คงไม่ว่างมาคอยรับใช้เธออีก น้ำหนึ่งอยากจะทำอะไรระหว่างนั่งว่างๆ อยู่ก็แล้วแต่

ปฐวีมองน้ำหนึ่งที่เดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างเบื่อๆ ครู่หนึ่งจึงค่อยหันหลังเดินขึ้นไปเก็บหนังสือชั้นบน บางส่วนเอาลงมาเก็บในห้องสำหรับเก็บของโดยเฉพาะที่ชั้นล่าง บางส่วนสำหรับแพ็กลงกล่องส่งให้ลูกค้า ระหว่างที่ยกกองแรกลงไปวางเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้นพอดี

น้ำหนึ่งรีบเด้งตัวกดรับอย่างเร็วรี่ราวกับเป็นสายสำคัญที่เธอเฝ้ารออยู่ ครั้นหันมาเห็นว่าเขากำลังมองอยู่พอดีจึงรีบลุกเดินออกไปคุยหน้าบ้านเสีย

อันที่จริงจะมีใครโทรมาหาน้ำหนึ่งบ้างก็ไม่แปลก แต่ปฐวีติดใจสีหน้าเลิ่กลั่กของหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเขากำลังมองอยู่มากกว่า

สายจากใครกันนะ

ตอนนี้น้ำหนึ่งเดินหายลับไปจากสายตาเขาแล้วอย่างสิ้นเชิง จึงไม่อาจแอบสังเกตท่าทีได้อีก ปฐวีเองก็ขี้คร้านจะไปยุ่งเลยตัดสินใจปล่อยผ่านไปและหันไปจัดหนังสือเรียงไว้ที่ห้องเก็บของแห่งใหม่แทน ทว่ายังหยิบไปได้ไม่ถึงครึ่งกองก็เห็นน้ำหนึ่งเดินกลับมายืนเท้าสะเอวมองแล้วบอกเขา

“หนึ่งอยากได้ของใช้จำเป็นน่ะ พี่วีไปซื้อให้หน่อย เดี๋ยวจดรายการให้”

“กระเป๋าคุณหนึ่งก็ใบตั้งเบ้อเร่อ ยังใส่ของใช้มาไม่ครบอีกเหรอ”

“ไม่ครบ ถ้าครบหนึ่งจะให้พี่ไปซื้ออีกทำไม”

ปฐวีมองอีกฝ่ายอย่างละเหี่ยใจ “งั้นให้ผมจัดหนังสือตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน”

“ไม่ได้ พี่ต้องไปตอนนี้…เดี๋ยวนี้…ณ บัดนาว เข้าใจไหม”

“นี่ คุณหนึ่ง” ปฐวีชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ “อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนักได้ไหม”

น้ำหนึ่งทำท่าจะแว้ดใส่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่แล้วก็กลับสงบลงราวกับมีใครเอื้อมมือมากดปิดปุ่ม ‘เกรี้ยวกราด’ ในตัวเธอเอาไว้

“ก็ได้…เอาอย่างนี้เป็นไง ถ้าเกิดพี่วีไปซื้อของให้หนึ่งตอนนี้ วันนี้ทั้งวันหนึ่งจะไม่กวนพี่อีก”

ปฐวีได้ฟังแล้วก็ถึงกับร้อง ฮ้า…ขึ้นมาในใจพร้อมกับเสียงเพลง ‘รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ ของพี่ติ๊ก ชีโร่ คนอย่างน้ำหนึ่งก็หัดใจเย็นพอจะต่อรองกับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกันแฮะ

“ว่าไง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องคิดนานด้วย”

“โอเค ก็ได้ ตกลงตามนี้ แต่บอกเอาไว้ก่อนนะ…” ปฐวียืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้มลงจ้องหน้าหญิงสาว “ถ้าหลังจากนี้คุณหนึ่งคิดกลับคำ เรียกใช้ให้ผมทำนู่นทำนี่อีกล่ะก็ บอกเลยว่าหมดสิทธิ์ ต่อให้จะลงไปนอนกรี๊ดๆ กับพื้นก็เถอะ”

“รู้แล้วน่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็…ดีล”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: