X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจ้าชายฉบับมือสอง

ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5 กันชน

น้ำหนึ่งยอมเปิดปากขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปิดหน้าร้องไห้จนตาบวมไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ขณะปฐวีกำลังขับรถขึ้นไปตามถนนสวนเลนบนทางลาดชันของขุนเขาซึ่งเป็นถนนมุ่งหน้าสู่บ้านของคุณย่าบุษยา

“ค่อยๆ ขับนะพี่วี มืดออกอย่างนี้เห็นอะไรไม่ชัดเลย”

ปฐวีค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นปกติของหญิงสาวข้างกาย ถึงแม้จะฟังดูอู้อี้ไปหน่อยก็ตาม

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเคยมาหลายครั้งแล้ว”

“พี่วีไม่โกรธแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำหนึ่งเห็นเข้าก็เลยหน้าเสียขึ้นมาอีก

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ปฐวีรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบก เพราะอีกข้างต้องจับพวงมาลัยเอาไว้ “ที่ผมจะบอกคือผมหายโกรธไม่ได้ เพราะผมไม่มีสิทธิ์จะโกรธแต่แรกแล้วต่างหาก ก็คุณหนึ่งให้ผมรับปากเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้วผมห้ามโกรธ”

“แต่พี่ก็เหมือนจะโกรธอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดให้ตัวเองดูดีหรอก”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ จากปฐวี “เอ้า เอาไงแน่ จะให้โกรธได้หรือไม่ได้”

“ก็ของมันห้ามไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

“รู้อย่างนี้แล้วยังจะให้ผมรับปากอีก”

“ก็หนึ่งไม่อยากให้พี่วีโกรธนี่ หรือถ้าพี่อยากโกรธก็ทำได้ไม่เต็มที่”

“เออๆ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่โกรธแล้วก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณหนึ่งเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังอีกครั้ง คราวนี้ขอแบบละเอียดเลยนะ”

“ไหนว่ามันเป็นเหตุผลโคตรงี่เง่าไง พี่วีจะอยากรู้ไปทำไม”

ปฐวีถอนหายใจออกมาอย่างระอา น้ำหนึ่งก็ยังคงเป็นน้ำหนึ่งวันยังค่ำ พูดจากันดีๆ ได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องกลับมาตีรวนใส่เขาทุกที

“ก็เพราะมันโคตรงี่เง่านี่ไง ถึงได้อยากรู้ว่าใครมันเป็นคนต้นคิด แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผมก็แล้วกัน”

“ฮึ!” น้ำหนึ่งทำเสียงขึ้นจมูก “ยังไงพี่วีก็ยังพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ไม่เต็มร้อยหรอก”

“แต่คุณหนึ่งก็เลือกมากับผมแล้วนะ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เกิดเปลี่ยนใจคิดว่าที่ทำอยู่มันงี่เง่าสิ้นดีหรอกเหรอ”

“พี่วี!”

“เออๆ ผมไม่ว่าแล้วก็ได้ ไม่เล่าก็ไม่เล่า ขี้เกียจจะมาทะเลาะกันใหม่อีก”

น้ำหนึ่งกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เพียงครู่เดียวก็ยอมอ่อนข้อให้ชายหนุ่มอีกครั้ง

“เอาไว้ไปถึงบ้านคุณย่าก่อนได้ไหม ตอนนี้มันเครียดไปหมดจนหนึ่งเริ่มปวดหัวแล้ว อีกอย่างก็จะได้เล่าให้ฟังกันทีเดียวเลย แต่…ก็ไม่แน่หรอก บางทีคุณย่าอาจจะรู้เรื่องแล้วก็ได้”

น้ำหนึ่งในตอนนี้ดูอับแสงไม่เปล่งประกายอย่างที่ปฐวีเคยเห็น คงเพราะกลัวถูกคุณย่าบุษยาดุยกใหญ่กับเรื่องที่เธอได้ก่อขึ้น และอาจกำลังสับสนกับสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง

“ไม่เป็นไร ผมก็อยู่ด้วยทั้งคน”

“ใช่สิ พี่จะกลัวอะไรล่ะ ถ้าหนึ่งยอมรับว่าหนึ่งผิด พี่ก็ต้องกลายเป็นคนที่น่าเห็นใจขึ้นมาอยู่แล้ว”

ปฐวีฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ไม่เคยคุยกับใครแล้วรู้สึกเหนื่อยเท่ากับน้ำหนึ่งมาก่อนเลย

“ผมพูดนี่ก็เพราะอยากให้คุณหนึ่งสบายใจว่าถึงคุณหนึ่งจะโดนดุ แต่ก็ยังมีผมไปเป็นกันชนอยู่ทั้งคน ไม่ดีเหรอครับ”

คำว่า ‘กันชน’ ทำให้น้ำหนึ่งเผลอนึกย้อนไปถึงความทรงจำเมื่อนานมาแล้วโดยไม่ตั้งใจ

มันเป็นตอนที่เธอยังมีปฐวีอยู่เป็นเพื่อนในบ้านหลังใหญ่ของคุณย่า เป็นใครสักคนที่เธอสามารถเรียกหาได้ทุกเมื่อตามต้องการ

‘พี่วี ห้ามหนีนะ กลับมาเดี๋ยวนี้!’

เด็กหญิงไว้ผมเปียสองข้างร้องเรียกไม่หยุดเมื่ออุตส่าห์ตามหาเพื่อนเล่นจนเจอ หลังจากเขาแอบไปนอนอ่านหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมจากคุณย่าโดยไม่ยอมให้เธอได้อ่านก่อน

เนื่องจากมัวแต่จดจ้องอยู่กับแผ่นหลังของเด็กชายที่วิ่งลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ ระหว่างสวนกุหลาบขาวอย่างคล่องแคล่ว น้ำหนึ่งจึงโดนหนามเกี่ยวกระโปรงจนหกล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสวบสาบของต้นกุหลาบที่ถูกดึงร่วงตามลงมา

‘โอ๊ย…’

เสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งนำอยู่ของเด็กชายชะงักลงในทันใด เมื่อเขาหันกลับไปมองก็พบว่าพุ่มกุหลาบสุดรักสุดหวงของคุณย่าล้มลงเป็นหย่อมใหญ่ ทั้งยังมีเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของน้ำหนึ่งที่นั่งแปะอยู่ตรงนั้น

‘คุณหนึ่ง’

ปฐวีวิ่งย้อนกลับมาดูก็เห็นหัวเข่าของน้ำหนึ่งเป็นรอยถลอกและมีเลือดซึมออกมา ชุดกระโปรงสีฟ้าใหม่เอี่ยมของเธอยับยู่ยี่และเต็มไปด้วยเศษดินเศษหญ้า

‘เจ็บไหม ผมบอกแล้วไงว่าคุณหนึ่งวิ่งตามไม่ทันหรอก’

‘พี่วีไม่รอหนึ่งนี่นา’

น้ำหนึ่งปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ทั้งแสบแผลที่หัวเข่า ทั้งนึกเสียดายชุดว่าเพิ่งใส่วันแรกก็ขาดเสียแล้ว

ครั้นเมื่อปฐวีเห็นว่าตอนนี้ต้นกุหลาบขาวของคุณย่าตกอยู่ในสภาพยับเยินไม่ต่างจากน้ำหนึ่ง เขาก็ถึงกับหน้าถอดสี จึงได้แต่ยืนนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

‘เป็นอะไรไปหนึ่ง ร้องลั่นไปถึงระเบียงตรงนั้นเลย’

คุณย่าบุษยากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมายังจุดเกิดเหตุ พอเห็นว่าเด็กสองคนเล่นซนกันขนาดไหนจากหลักฐานตรงหน้า ก็คิ้วขมวดเข้าหากันทันที น้ำหนึ่งเห็นดังนั้นจึงรีบเขยิบไปหลบหลังปฐวีพร้อมกับจับเสื้อเขาไว้แน่น เพราะรู้ดีว่าคุณย่าทั้งรักทั้งหวงต้นกุหลาบขาวในสวนตรงนี้แค่ไหน

‘ไหน มาอธิบายให้ย่าฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น’

เสียงสะอื้นฮักของเด็กหญิงทำให้ปฐวีตัดสินใจบอกไปว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้นกุหลาบของคุณย่าเสียหายเอง ถึงที่จริงมันเป็นเพราะน้ำหนึ่งวิ่งฝ่าตามเขามาไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ถ้าเขายอมให้น้ำหนึ่งอ่านหนังสือเล่มนั้นก่อนแต่แรก เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด

‘ผมจะช่วยตาจบปลูกใหม่ให้คุณย่าเองครับ แล้วก็จะดูแลจนกว่ามันออกดอกใหม่เป็นการชดเชย’

เมื่อเห็นเด็กชายยืดอกบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น หญิงชราก็ได้แต่มองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

‘เอาเถอะ ถ้าวีกล้าทำแล้วกล้ารับได้อย่างนี้’ คุณย่าบุษยาชะโงกหน้าไปมองน้ำหนึ่งเป็นพิเศษ ทว่าเด็กหญิงก็เอาแต่หลบอยู่หลังปฐวีเหมือนเดิม ‘ย่าก็จะไม่ลงโทษอะไร แต่วีต้องทำตามที่บอกจริงๆ ว่าจะดูแลมันจนกว่าจะออกดอก หนึ่งก็ด้วย’

พอได้ยินคุณย่าบอกว่าจะไม่ลงโทษ น้ำหนึ่งก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วยอมโผล่หน้าไปมองในที่สุด

‘หนึ่งเจ็บจังเลยค่ะ คุณย่าขา…หัวเข่าก็แสบไปหมด’

‘เจ็บแล้วก็ต้องรู้จักจำนะ ทีหลังอย่าซนอีก แล้วก็ต้องมาช่วยพี่เขาดูแลต้นกุหลาบให้ย่าทุกวันด้วย’

‘ค่ะ คุณย่า’ น้ำหนึ่งอ้อมแอ้มตอบ

 

แม้ช่วงเวลาตอนที่เธอและเขายังเป็นเด็กจะผ่านพ้นไปเนิ่นนานแล้ว ทว่าปฐวีก็ยังคงเป็นคนโปรดของคุณย่าไม่เคยเปลี่ยน เหมือนกับที่น้ำหนึ่งมักใช้เขาเป็นกันชนเมื่อทำผิดเสมอ

นี่เองกระมังที่เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหลังของปฐวีมากกว่าอย่างอื่นทั้งหมด เพราะเธอมักจะหลบอยู่หลังเขาเมื่อเธอกำลังรู้สึกกลัวกับอะไรก็ตาม

ทว่าปฐวีก็ไม่อาจเป็นกันชนให้เธอไปได้ตลอด เมื่อมีเหตุให้น้ำหนึ่งต้องถูกส่งตัวกลับไปอยู่คฤหาสน์นาราภัทรอย่างถาวรตอนอายุสิบสี่ ไปเข้าโรงเรียนใหม่ ปรับตัวกับสถานที่ใหม่ๆ โดยไม่มีปฐวีเป็นที่พึ่งอีก มันอาจเป็นช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เธอเริ่มหันมาสนใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสลัดคราบของลูกเป็ดน้อยออกไปอย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้จะต้องห่างเหินกันไปเพราะอยู่คนละที่ แต่การได้เจอหน้าปฐวีที่บ้านคุณย่าบุษยาในทุกปิดเทอมก็มักจะทำให้เธอได้กลับไปสู่ความคุ้นเคยอย่างในวันวานเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะไม่ว่าจะพบกันอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังคงเป็นปฐวีที่เธอรู้จักมาค่อนชีวิต

ด้วยความทรงจำมากมายเหล่านั้น…ในส่วนลึกสุดของหัวใจน้ำหนึ่งจึงยังคงมีเงาของปฐวีทาบทับอยู่เสมอ และไม่ว่าเธอจะอยากลบมันออกไปเพียงไรก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง

“เหมือนสมัยที่เรายังเป็นเด็กไง”

คำพูดของชายหนุ่มที่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ยังจำเรื่องราวสมัยเด็กได้ ทำให้น้ำหนึ่งต้องหันไปมองในทันใด แต่แล้วความปลาบปลื้มทั้งหลายก็มีอันต้องสลายหายไปเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขา

“ตอนนั้นผมต้องตกเป็นทาสของคุณหนึ่งอยู่ในบ้านคุณย่าซะหลายปีเลย”

“พี่จะพูดประโยคนี้แถมอีกทำไมเนี่ย กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว”

ปฐวีกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง “อ้าว ก็ผมเล่นโดนคุณหนึ่งโขกสับซะขนาดนั้น ไม่ให้เรียกว่าทาสก็ใกล้เคียงล่ะครับ”

“เชอะ! ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนโปรดของคุณย่าล่ะ ไม่ว่าพี่วีจะทำอะไรคุณย่าก็เห็นว่าดีไปซะหมด”

“คุณหนึ่งจะมาอิจฉาอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะครับ ถึงผมจะเป็นคนโปรดแค่ไหน ยังไงผมก็ไม่มีวันเป็นหลานของคุณย่าไปได้ คุณย่าก็แค่เอ็นดูผม สงสารผม แต่ไม่มีทางจะรักไปกว่าหลานสาวคนเดียวของท่านอย่างคุณหนึ่งหรอก แล้วผมก็ไม่เชื่อเรื่องสมบัติอะไรนั่นด้วย ถ้าคุณย่าจะยกบ้านหลังนั้นให้ใครสักคน ผมเชื่อว่าท่านคงนึกถึงคุณหนึ่งเป็นคนแรก”

ปฐวีนึกว่าคำพูดดีๆ ที่เขาอุตส่าห์เค้นออกมาอย่างสุดความสามารถในเวลานี้จะทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับทำให้หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาเสียอย่างนั้น

“ร้องไห้ทำไมล่ะคุณหนึ่ง ผมก็ว่าผมพูดดีด้วยสุดชีวิตแล้วนะ”

“เพราะพี่พูดดีเกินไปน่ะสิ”

น้ำหนึ่งตอบเสียงเครือ เธอไม่น่ากลับมายุ่งวุ่นวายกับปฐวีตั้งแต่แรกเลย ไม่น่ามาเลยจริงๆ

“อ้าว ดีเกินไปก็ผิดอีก อย่างนี้พูดไม่ดีก็คุ้มกว่าสิ เพราะมันพูดง่ายกว่าเยอะ”

“พี่วี!” น้ำหนึ่งเอื้อมมือไปตีแขนปฐวีจนสุดแรง

“โอ๊ย! หยุดตีผมก่อนคุณหนึ่ง ผมขับรถอยู่นะ เมื่อกี้ถึงทางโค้งหักศอกพอดีด้วย”

คำเตือนของปฐวีทำให้น้ำหนึ่งต้องกลับมานั่งป้ายน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเขากำลังเหลือบมองมาทางนี้พอดี

“ยังไงผมก็ไม่คิดจะพูดไม่ดีกับคุณหนึ่งจริงๆ หรอก คนเราผิดพลาดกันได้ผมไม่โกรธ ผมจะช่วยพูดแก้ตัวกับคุณย่าให้เองว่าเราแค่แกล้งกันเล่น แต่มันเลยเถิดไปไกล อย่างนี้ดีไหม”

น้ำหนึ่งได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะไม่พอใจคำพูดเขา แต่เธอเสียใจที่ปล่อยให้ทิฐิ ปล่อยให้ความโง่เขลามาบดบังสิ่งที่เธอควรจะมองเห็นและคิดได้แต่แรก

ถ้าเพียงแต่เธอจะไม่โกรธฝังใจกับเรื่องที่ปฐวีกล้าก้าวออกไปจากชีวิตของเธออย่างอวดดี ไม่เอาแต่โทษที่เขาไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ ทำให้เธอต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังในต่างแดน เธอก็คงจะไม่คิดกลับมาหาเขาในวันนี้

ทำไมกันนะ ทำไมปฐวีถึงยังเหมือนเดิม ทำไมเขาไม่เปลี่ยนไปเป็นผู้ชายเห็นแก่เงินอย่างที่เธออยากจะให้เป็น ทำไมเขาไม่เป็นคนดีให้มันน้อยกว่านี้ ทำไมเขาถึงไม่ทำให้เธอเกลียดขี้หน้าเขาได้จริงๆ เสียที

 

ประตูรั้วหน้าทางเข้าบ้านคุณย่าบุษยาปิดสนิท และแม้ว่าปฐวีจะโทรติดต่อไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเหลือบมองดูนาฬิกาที่หน้าคอนโซลรถก็พบว่าเพิ่งจะหกโมงเย็นเท่านั้นเอง แต่คงเพราะเป็นฤดูหนาวฟ้าก็เลยมืดเร็วจนทำให้ดูเหมือนค่ำกว่านั้น

“คุณย่าไม่รับเลยเหรอ นี่เรารอตั้งสิบห้านาทีแล้วนะ” น้ำหนึ่งถามอย่างร้อนรน

“ไม่เลย แปลกมาก…ผมเคยมาทำธุระที่เชียงใหม่แล้วแวะมาหาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าตั้งหลายรอบ ก็เห็นคุณย่าอยู่บ้านทุกครั้ง”

น้ำหนึ่งนิ่งไปอย่างครุ่นคิด พยายามนึกว่าช่วงนี้คุณย่ามีธุระสำคัญต้องไปทำที่ไหนหรือไม่ ระหว่างนั้นก็มีเงาของใครหรืออะไรบางอย่างทาบทับเข้ามาบนกระจกรถฝั่งที่เธอนั่ง จึงอดหันไปมองไม่ได้

หญิงสาวเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงที่กำลังแนบชิดอยู่กับกระจกรถ ก่อนจะถูกผลักเซออกไปโดยมืออวบอูมของหญิงวัยทองในไม่กี่อึดใจต่อมา

“ป้ายวง!”

น้ำหนึ่งรีบลดกระจกลงในทันใด

“คุณหนึ่ง…”

ยวงแก้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ น้ำหนึ่งก็กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า หญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นแม่บ้านประจำบ้านของคุณย่าบุษยามานานตั้งแต่น้ำหนึ่งจำความได้ แต่พอเธอเริ่มไม่ค่อยได้มาเยี่ยมคุณย่าก็เลยพลอยเหินห่างกับคนบ้านนี้ไปโดยปริยาย

“ทำไมพี่วีโทรไปถึงไม่มีใครรับเลยล่ะ หายไปไหนกันหมด”

“เอ้อ…คุณนายไม่อยู่บ้านค่ะ เธอไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อน น่าจะอีกเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับ”

‘คุณนาย’ เป็นคำที่ยวงแก้วใช้เรียกคุณย่าบุษยามาตลอดหลายสิบปีนับตั้งแต่เข้ามาเป็นแม่บ้านให้อีกฝ่าย

“คุณย่าไปเที่ยวยุโรป” น้ำหนึ่งทวนคำพูดของอีกฝ่าย “ตอนนี้เนี่ยนะคะ”

ยวงแก้วพยักหน้ารับอย่างแกนๆ ก่อนจะตัดบทด้วยการขอให้ช่วยพานักเขียนชายวัยกลางคนที่เอาหน้ามาแปะกับกระจกรถเมื่อครู่กลับบ้านหน่อย เพราะตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไม่มั่นคงนักจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ในตัว

น้ำหนึ่งทำท่าจะเอ่ยปากแย้งเพราะยังค้างคาใจกับการที่อยู่ๆ คุณย่าบุษยาก็ไปต่างประเทศโดยไม่บอกกล่าวสักนิด แต่ปฐวีก็ยื่นหน้ามาพูดแทรกเสียก่อนว่า

“แล้วนั่นทำไมอาอรรถถึงได้เมาแอ๋ขนาดนั้นได้ล่ะครับ ปกติผมไม่เคยเห็นดื่มเยอะอย่างนี้เลยนี่”

“ก็…” ยวงแก้วอึกอัก ท่าทางกระสับกระส่าย “ไปดื่มกับเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมาน่ะ ยังไงวีช่วยพาขึ้นรถก่อนเถอะ ไว้ค่อยไปถามกันทีหลัง ป้าหนักจะแย่แล้ว”

ปฐวีจึงเปิดประตูลงจากรถไปช่วยพาอรรถขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง เสร็จเรียบร้อยก็รีบขับรถเลี้ยวออกไปจากหน้ารั้วเพื่อตรงไปบ้านของอรรถซึ่งอยู่เลยไปอีกราวเจ็ดร้อยเมตรเท่านั้น แม้ระหว่างนั้นน้ำหนึ่งจะเอาแต่ย่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอย่างที่อยากจะทำ คงเพราะกำลังรู้สึกใจไม่ดีหลังจากเพิ่งพบว่าที่พึ่งสุดท้ายอย่างคุณย่าจะไม่อยู่นานนับสัปดาห์ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีญาติผู้ใหญ่อย่างอรรถอยู่คนหนึ่ง

ถึงแม้ตอนนี้…จะเมาอยู่ก็ตาม

บ้านก่ออิฐสองชั้นของอรรถใหญ่กว่าบ้านของปฐวีถึงสองเท่าแต่กลับมีอรรถอาศัยอยู่เพียงลำพัง นอกจากชายวัยกลางคนจะมีอาชีพเป็นนักเขียนเช่นเดียวกับคุณย่าบุษยาแล้ว เขายังเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวคุณย่าบุษยาอีกต่างหาก จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของน้ำหนึ่งไปโดยปริยาย แต่เนื่องจากพ่อแม่ของอรรถเสียชีวิตไปหมดแล้ว ส่วนชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า อรรถจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยมา

ข้อเสียใหญ่ๆ ของอรรถยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขามักจะสมองแล่นชนิดเขียนงานได้เป็นวันเป็นคืนต่อเนื่องไม่มีหยุดเมื่อได้รับแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย ตอนนี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังอย่างช่วยไม่ได้

“อาอรรถนี่ก็หัวดื้อเอาจริงๆ เลย แก่จนปูนนี้ยังไม่เลิกดื่มอีก นี่อย่าบอกนะคะว่าเมาแล้วเดินจากบ้านตัวเองไปจนเกือบถึงหน้าบ้านคุณย่าเลยน่ะ”

น้ำหนึ่งเปิดปากทันทีที่ยอบตัวลงนั่งบนชุดเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลในห้องรับแขก พลางนิ่วหน้าเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งออกมาจากลมหายใจของเจ้าของบ้าน

ปฐวีเดินไปเปิดตู้เย็นเทน้ำใส่แก้วมาวางให้อรรถดื่มราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

“นั่นสิครับ ยังไงก็น่าจะห่วงสุขภาพตัวเองบ้าง”

อรรถเพียงแต่หัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ เมื่อหลายปีก่อนเขาเพิ่งประกาศกร้าวต่อหน้าผู้ห่วงใยรอบข้างว่าไม่เคยนึกเสียดายที่จะต้องแลกพรสวรรค์การเขียนหนังสือกับสุขภาพในบั้นปลายของชีวิต

“แล้ว…นึกยังงายมาที่นี่วันนี้พอดีล่า”

นักเขียนหนุ่มใหญ่เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่นแทน ท่าทางระดับความเมาของเขาในวันนี้ยังไม่ถึงขั้นสุด จึงยังพูดจากันรู้เรื่องดีอยู่ ทว่าเสียงก็ยังไม่วายอ้อแอ้เหมือนคนเมาอยู่นั่นเอง

ปฐวีกับน้ำหนึ่งหันมองหน้ากันในทันใด โดยเฉพาะคนมีชนักติดหลังอย่างน้ำหนึ่งที่พยายามส่งสายตาโบ้ยให้ชายหนุ่มเป็นคนเปิดเรื่องก่อน

อรรถเสยผมที่แซมสลับด้วยผมหงอกเกือบครึ่งหัวออกไปให้พ้นใบหน้า “ตกลงครายจะเล่า”

“คุณหนึ่งนั่นแหละเล่า ผมไม่มีอะไรจะเล่าหรอก”

ปฐวีรีบพูดขึ้นก่อนอย่างเป็นต่อ แต่อันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก

“ไหนใครเพิ่งบอกว่าจะช่วยพูดกับคุณย่าให้ ไม่ทันไรก็เอาตัวรอดไปก่อนเสียแล้ว”

“ผมไม่ได้บอกว่าจะเล่า ผมบอกว่าจะช่วยพูดเสริมให้เรื่องมันซอฟต์ลงเท่านั้นเอง แล้วนี่คนฟังก็เป็นอาอรรถไม่ใช่คุณย่า ยังไงก็ไม่ดุคุณหนึ่งอยู่แล้ว”

ปฐวีพูดได้ตรงเผงจนไม่มีใครกล้าแย้ง โดยเฉพาะเจ้าตัวอย่างอรรถ

นั่นเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าอรรถรักน้ำหนึ่งเหมือนเป็นลูกสาวของเขาคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากเหตุผลเรื่องเป็นญาติกันแล้ว คุณย่าบุษยายังได้เล่าให้ปฐวีฟังเพิ่มเติมอีกอย่างว่าน้ำหนึ่งในวัยเด็กทำให้อรรถนึกถึงลูกสาวของตัวเองที่ไม่เคยมีโอกาสได้ดูแล

วันนั้น…คุณย่าบุษยาเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่าเรื่องน่าเศร้าที่มันเกิดขึ้นนี้ ถ้าจะมีใครสักคนผิดก็คงมีแต่อรรถคนเดียว เพราะตอนยังหนุ่มเขามุ่งมั่นกับการเป็นนักเขียนอย่างจริงจังจนไม่มีเวลาให้กับลูกและภรรยา ไหนจะดื่มเหล้าเกือบทุกวันอีกต่างหาก

สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหว ภรรยาก็ตัดสินใจขอหย่ากับอรรถ วันนั้นเองที่นักเขียนหนุ่มใหญ่ได้สำนึกว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป และแม้ว่าจะพยายามชดเชยเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เพราะช่วงเวลาที่อรรถควรจะใช้สร้างความรักความผูกพันกับลูกสาวและภรรยาให้แน่นแฟ้นได้โบยบินจากไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่ความห่างเหินที่ไม่อาจขจัดมันออกไปได้เลย

อีกหลายปีต่อมาภรรยาของอรรถก็แต่งงานใหม่ มีครอบครัวที่อบอุ่นและลูกสาวของเขาเองก็ดูเข้ากันได้ดีกับพ่อเลี้ยงด้วย คุณย่าบุษยาบอกว่ายังจำได้แม่นถึงความดีใจของอรรถตอนลูกสาวมาเชิญไปร่วมงานแต่งงานด้วยตัวเอง

ถึงแม้ว่าลูกสาวของอรรถจะต้อนรับเป็นอย่างดีเมื่อเห็นพ่อบังเกิดเกล้าโผล่หน้าไปร่วมงาน ทว่าช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเติมเต็มก็ทำให้อรรถรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนนอกอย่างน่าเศร้า

เรียกได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ล้มเหลวในทุกๆ ด้านของชีวิต ยกเว้นก็แต่อาชีพนักเขียนเท่านั้น

ดังนั้นการที่อรรถได้เห็นน้ำหนึ่งในวัยเดียวกันกับลูกสาวก่อนที่เขาจะหย่ากับภรรยา จึงไปกระทบกับความรู้สึกอ่อนไหวในส่วนลึก ทำให้เขานึกเอ็นดูน้ำหนึ่งเป็นพิเศษในทันที อย่างน้อยถึงไม่ใช่ลูกสาวของเขาจริงๆ แต่มันก็ช่วยถมช่องโหว่ในใจไม่ให้กลวงโบ๋อย่างเก่าได้

ด้วยเหตุนี้อรรถจึงตามใจน้ำหนึ่งทุกอย่าง และมักจะฟังหญิงสาวมากกว่าใคร บางทีก็ทำให้ปฐวีนึกอิจฉาขึ้นมาว่าน้ำหนึ่งช่างโชคดีที่มีแต่คนรักเธออยู่รอบกาย ไหนจะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอีก

“ว่าแต่ทำไมคุณหนึ่งถึงนึกจะมาหาคุณนายได้คะ แล้วยังมากับวีอีก”

ยวงแก้วอดถามไม่ได้ นึกแปลกใจอยู่แต่แรกแล้วที่เห็นทั้งสองคนนี้มาด้วยกัน เพราะตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เส้นทางชีวิตของน้ำหนึ่งและปฐวีก็ดูเหมือนจะแยกห่างออกจากกันไปเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นว่าจะกลับมาบรรจบกันอีกได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็คงไม่อาจบ่ายเบี่ยงต่อไปได้อีก น้ำหนึ่งก็ไหล่ลู่ลงก่อนจะเอ่ยปากเล่าเหมือนกันกับที่เคยเล่าให้ปฐวีฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เสริมต่ออีกหน่อยว่า

“จริงๆ หนึ่งก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องนี้มันออกจะทะแม่งๆ อยู่”

อยู่ๆ ปฐวีก็เกิดมีเสลดติดคอจนต้องกระแอมกระไอเสียงดัง แต่น้ำหนึ่งแน่ใจว่าชายหนุ่มต้องการจะกวนประสาทเธอมากกว่า จึงหันไปถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ

“อะไรกัน แค่ไอนิดไอหน่อยก็ไม่ได้” ปฐวีทำเป็นบ่น

“อย่ามายั่วโมโหได้ไหม”

“โอเคๆ รีบเล่าต่อเถอะ อาอรรถกับป้ายวงกำลังคอยอยู่”

น้ำหนึ่งก็ยังไม่วายทำเสียงฮึในลำคออีกสองสามครั้งก่อนจะยอมเล่าต่อว่า “อีกอย่างพี่พีทไม่ค่อยชอบหน้าพี่วีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่ได้แค่อยากให้คุณย่าเกลียดพี่วีแต่ต้องการมากกว่านั้น แล้วก็…”

เพราะลึกๆ แล้วเธออาจจะอยากได้เหตุผลอะไรสักอย่างเพื่อกลับเข้ามาในชีวิตของปฐวีอีกครั้ง ถึงแม้มันจะเป็นเหตุผลสิ้นคิดอย่างการมาทำลายความสุขของเขาก็ตาม

ก็ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่เคยเป็นความสุขของเขาอยู่แล้ว เธอจะต้องไปใส่ใจกับเหตุผลพวกนั้นอีกทำไม!

“แล้วก็อะไรเหรอคะคุณหนึ่ง” ยวงแก้วถามเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งไป

“แล้วก็เพราะช่วงนี้พี่วีทำท่าจะส่อไปในทางไม่ซื่อ หนึ่งก็เลยยอมร่วมมือกับพี่พีทยังไงล่ะ”

น้ำหนึ่งตอบออกไปทั้งที่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับเหตุผลแท้จริงสักนิด

“ผมเนี่ยนะ” ปฐวีเอานิ้วชี้กลับมาที่ตัวเองด้วยความงงสุดชีวิต “ไปเห็นตอนไหนไม่ทราบครับ ว่าช่วงนี้ผมทำท่าจะไม่ซื่อ นี่เราเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกในรอบสองปีเลยนะ”

“ก็ไม่รู้ล่ะ” น้ำหนึ่งหาเรื่องเฉไฉออกไปอีกตามเคย “ก็พี่วีเป็นคนโปรดของคุณย่านี่ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี พี่วีอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้”

“เลยหาว่าผมจะฮุบสมบัติคุณย่าเอาไว้คนเดียวงั้นสิ”

“ก็ใช่น่ะสิ คิดอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”

ครั้นเห็นว่าสองหนุ่มสาวทำท่าจะทะเลาะกันขึ้นมา อรรถก็เลยรีบยกมือขึ้นห้ามทัพ “เดี๋ยว…เดี๋ยว จายเย็นก่อน ก็เหมือนเดิมทั้งคู่นั่นแหละ ม่ายเห็นจะมีใครเปลี่ยนไปซักกะหน่อย”

แน่นอนว่าความเหินห่างของสองหนุ่มสาวที่เกิดขึ้นช่วงน้ำหนึ่งไปอังกฤษและกลับมาเฉิดฉายอยู่ในวงการความสวยความงามนั้น อรรถยังคงเป็นคนที่ได้เจอทั้งสองเช่นเดียวกันกับคุณย่าบุษยา

“ฮึ! ป้าว่าคนที่เริ่มมาเปลี่ยนไปเอาตอนนี้น่าจะเป็นคุณพีทมากกว่า”

ไม่สิ…พีรัชลายออกมานานแล้วแต่แค่ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการมากกว่า

น้ำหนึ่งได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เธอเองก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกับพีรัชสักเท่าไหร่ เพราะช่วงวัยเด็กเธออยู่กับคุณย่าตลอด ทว่าพีรัชในสายตาเธอก็นับว่าเป็นพี่ชายใจดีคนหนึ่งทีเดียว เพราะไม่ว่าเธอเอ่ยปากขออะไรไปเขาไม่เคยขัดข้อง น้ำหนึ่งจึงมองไม่เห็นเหตุผลที่เขาจะเกลียดเธอถึงขนาดวางแผนทำให้เสียชื่อเสียงไปทั่วประเทศอย่างนี้

“แล้วป้าว่าเขาคงไม่ได้แค่คิดร้ายกับวีด้วย เพราะคุณหนึ่งเองก็กำลังจะถูกทำลายชื่อเสียงเหมือนกัน”

“นั่นสิ ถึงผมจะต้องรับบทหนักเป็นไอ้หนุ่มคลั่งรักก็เถอะ”

“พี่วี!”

น้ำหนึ่งหันไปแหวใส่ปฐวีที่เอาแต่ย้ำเรื่องนี้ไม่รู้เลิก ก่อนจะรีบเปลี่ยนไปพูดเรื่องที่คุณย่าบุษยาไม่อยู่บ้านแทน

“แล้วทำไมอยู่ๆ คุณย่าคิดจะไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อนขึ้นมาคะ ทีหนึ่งชวนให้ไปเที่ยวตอนยังเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องชวนแล้วชวนอีกเป็นเดือนกว่าคุณย่าจะยอมไป อันที่จริงถ้าคุณย่าอยากไปยุโรปก็น่าจะมาถามที่เที่ยวกับหนึ่งบ้าง แล้วนี่คุณย่าไปกับเพื่อนคนไหนคะ หนึ่งรู้จักหรือเปล่า”

พอได้ยินน้ำหนึ่งถามมาเป็นชุด ยวงแก้วก็เลยหันไปมองทางอรรถเหมือนจะโยนให้เป็นคนตอบแทน

“อืม ก็ไม่รู้…น้าบุษเหมือนกัน บางทีเธออาจจาเบื่อเลยอยากออกไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ด้าย”

“แล้วทำไมคุณย่าไม่ยอมรับโทรศัพท์เลยล่ะ หนึ่งมีเรื่องเดือดร้อนต้องปรึกษาด้วยสิ”

“อาจจากำลังเที่ยวอยู่ เลยไม่สะดวกก็ด้าย”

พอตอบเสร็จอรรถก็หันไปทางยวงแก้ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“คงอย่างที่คุณอรรถว่าแหละค่ะ”

“แล้วคุณย่าไม่ได้บอกป้ายวงเลยเหรอคะว่าไปเที่ยวกับเพื่อนคนไหน ไปกันเป็นกลุ่มหรือเปล่าคะนี่”

ครั้นเห็นน้ำหนึ่งกำลังมองหน้าตนอยู่ ยวงแก้วเลยต้องตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“คุณนายไม่ได้บอกอะไรป้าเหมือนกันค่ะ…นอกจากให้ช่วยดูแลบ้านระหว่างนี้น่ะ สงสัยคงไม่อยากให้ใครไปรบกวน ใช่ไหมคะ คุณอรรถ”

พูดจบยวงแก้วก็หันไปขอคำยืนยันจากอรรถ

“ช่ายๆ”

อรรถรีบตอบรับเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนปฐวีชักจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่หน่อยๆ แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลอะไรให้ทั้งสองต้องมานั่งกุเรื่องพวกนี้ขึ้นมา

หรืออรรถจะเมามากกว่าที่เขาคิดไว้ก็ไม่รู้ ถึงได้ทำท่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่

“ตกลงตอนนี้ก็เท่ากับว่าเราติดต่อคุณย่าไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าไปอยู่ส่วนไหนของยุโรป…อย่างนั้นน่ะเหรอครับ”

น้ำเสียงปฐวีมีแววไม่เชื่อถืออยู่ในที

“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ อีกอย่างช่วงนี้คุณนายเองก็เขียนงานไม่ค่อยได้เหมือนเก่า คงอยากไปพักสมองโดยไม่มีใครรบกวนสักพัก”

“หรือเป็นไปได้ไหมคะว่า…อาการเก่าของคุณย่าจะเกิดกำเริบขึ้นมา”

น้ำหนึ่งถามเสียงแผ่ว ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับคุณย่าตอนอาการกำเริบยังคงเป็นอะไรที่หญิงสาวไม่อาจลืมลงได้ กระทั่งตอนนี้มันก็ยังทำให้เธอรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาเป็นบางครั้งเมื่อย้อนนึกไปถึง

ปฐวีเห็นความหม่นหมองพาดผ่านเข้ามาบนใบหน้าสวยงามของน้ำหนึ่งอย่างชัดเจน แม้ทุกคนรวมถึงตัวเขาต่างรู้ดีว่าน้ำหนึ่งต้องกลับไปอยู่กรุงเทพฯ อย่างถาวรเพราะอาการป่วยของคุณย่าบุษยา แต่ปฐวีกลับยังรู้สึกคลางแคลงใจมาตลอดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

ยวงแก้วหันไปสบตากับอรรถอย่างมีความหมาย แต่ก็เพียงแวบเดียวจนน้ำหนึ่งไม่ทันสังเกตเห็น ก่อนหญิงวัยกลางคนจะรีบปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณนายรักษาหายขาดแล้ว ไม่กลับไปเป็นอีกหรอก คุณหนึ่งไม่ต้องวิตกไปนะคะ”

ปฐวีจำได้แม่นทีเดียวว่า ‘อาการเก่า’ ที่กำลังพูดกันอยู่นี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวตลอดระยะเวลาที่คุณย่าบุษยารับปากว่าจะขอรับอุปการะเขาไว้ ทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหนึ่งถูกส่งกลับไปอยู่คฤหาสน์นาราภัทรด้วย หลังจากนั้นเรื่องอาการป่วยของคุณย่าบุษยาก็ไม่เคยถูกยกมาพูดถึงอีกเลย

และถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันจะคลุมเครืออยู่ในความรู้สึกของปฐวีอย่างไร เขาก็มีสิทธิ์แค่สงสัยโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ถาม รู้แต่ว่าคุณย่าบุษยาเคยตกอยู่ในภาวะป่วยทางจิตใจอยู่พักใหญ่หลังจากสูญเสียลูกชายคนเล็กไปในอุบัติเหตุ

เมื่อปฐวีมองไปทางอรรถก็เห็นกำลังเอามือเกาคางด้วยความครุ่นคิดอยู่เช่นกัน ขณะที่ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชนิดที่ว่าต่อให้เข็มตกพื้นสักเล่มคงจะได้ยินชัดเหมือนเสียงเซอร์ราวนด์ กระทั่งได้ยินน้ำหนึ่งเอ่ยขึ้นมา

“แต่ไหนๆ หนึ่งก็มาแล้ว คืนนี้คงต้องนอนค้างที่บ้านคุณย่าไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดว่าจะทำยังไงกันดี”

“จะดีเหรอคะคุณหนึ่ง ยังไงป้าว่าคืนนี้นอนพักกันที่บ้านคุณอรรถก่อนดีกว่านะ”

ยวงแก้วรีบเสนอเหมือนไม่อยากให้สองหนุ่มสาวเข้าบ้านของคุณย่าบุษยาเท่าไหร่ จึงยิ่งทำให้ความสงสัยแปลกๆ ในใจของปฐวีขยายเป็นวงกว้างขึ้นไปอีก

“ทำไมล่ะ บ้านคุณย่ามีตั้งหลายห้อง จะได้ไม่รบกวนอาอรรถด้วย ใช่ไหมคะ”

“ก้อดีเหมือนกันนะ”

ประโยคนั้นทำให้ยวงแก้วเผลอเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ทว่าอรรถกลับไม่ได้สบตากับอีกฝ่ายนอกจากหันมาบอกปฐวีกับน้ำหนึ่งว่า “คืนนี้ก้อนอนพักบ้านน้าบุษไปก่อน…ตามที่หนึ่งว่าแล้วกัน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: