X
    Categories: With Loveทดลองอ่านเจ้าสาวสโลว์ไลฟ์

ทดลองอ่าน เจ้าสาวสโลว์ไลฟ์ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 1

พราก

มาทำไม!

อิศยาตั้งใจจะถามผู้ชายตัวโตหน้าดุ แต่ประโยคนั้นไม่ได้ล่วงพ้นริมฝีปากออกไป เธอเพียงแต่ลุกจากหน้ากระถางธูป เดินเลี่ยงออกไปนอกศาลาสวดศพของบิดา ปล่อยให้เรืองยศ เพื่อนสนิทของเธอส่งธูปให้เขาแทน

ระหว่างนั่งสงบสติอารมณ์ที่ใต้ถุนศาลาไม้ ครู่หนึ่งเธอก็รู้สึกถึงเงาทะมึนเคลื่อนมาบดบังแสงไฟจากทางด้านหลัง

“เอ๋ย!”

น้ำเสียงทุ้มต่ำดังมาจากผู้ชายตัวโตคล้องเฝือกที่แขนข้างซ้ายและมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ แต่หญิงสาวไม่ยอมหันกลับไป

“ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”

อิศยากำมือแน่น หันขวับมองต้นเหตุที่ทำให้พ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

“ไหว้พ่อเสร็จแล้วก็กลับไปเถอะค่ะ”

ปาลขยับริมฝีปากจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่พอสบนัยน์ตาลุกวาวคู่นั้นเขาก็พับความในใจเก็บกลับไป แล้วเปลี่ยนคำถามแทน

“จากนี้เธอจะทำยังไง”

“ก็ไม่ทำยังไงค่ะ”

“เธอมีญาติรึเปล่า”

“เอ๋ยมีญาติหรือไม่มีแล้วเกี่ยวกับหมอปาลตรงไหนคะ”

อิศยาประณามคนเจ็บทางสายตา พ่อของเธอตาย แต่เขากลับแค่หัวแตกและกระดูกหัก ดูเหมือนหมอปาลจะอ่านสีหน้าเธอออกเช่นกันจึงก้มหน้ายอมรับ

“ฉันควรเป็นคนที่จากไป ไม่ใช่พ่อของเธอ”

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียยังรุมโจมตีอิศยาไม่หยุดตั้งแต่ตื่นมารู้ข่าวพ่อ เธอร้องไห้จนน้ำตาหมาดแล้วหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้อีก เป็นเช่นนั้นอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน แต่เพราะหน้าที่ของลูกสาวคนเดียวทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาดูแลจัดงานศพให้พ่อ เราเหลือกันแค่พ่อลูกเท่านั้น

“หมอปาลมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหมคะ”

“เอ๋ย…”

“ถ้าหมอปาลหวังให้เอ๋ยบอกว่าไม่เป็นไร เอ๋ยอภัยให้แล้ว เสียใจด้วยค่ะ เอ๋ยทำไม่ได้”

น้ำเสียงของเธอแหบแห้ง ดวงหน้าอิดโรยเหมือนดอกไม้ขาดน้ำ

“เธอไม่ได้นอนเลยใช่ไหม ไม่สบายรึเปล่า”

หมอปาลยื่นมือเข้ามาหมายจะอังหน้าผาก แต่เธอกลับเบี่ยงหน้าหนี

“กลับไปเถอะค่ะหมอปาล ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาอีก เอ๋ยไม่สะดวกรับแขก”

พูดจบอิศยาก็ก้าวฉับๆ ออกจากใต้ถุนศาลา แต่ยังไม่วายพาลพาโล ยื่นมือไปปิดสวิตช์ไฟ ก่อนก้าวฉับๆ จากไป

ปาลไม่ได้ก้าวออกจากใต้ถุนศาลาในทันที แต่กลับทรุดกายนั่งบนตั่งไม้ตัวเล็ก ครุ่นคิดถึงปัญหาหนักอกท่ามกลางความมืดมิดเพียงลำพัง เขาฟื้นจากอุบัติเหตุมาพบว่าลุงถมยาเสียชีวิต แต่ตัวเขากลับบาดเจ็บแค่กระดูกหักและศีรษะแตกเท่านั้น

ที่จริงเขาอยากออกจากโรงพยาบาลไปกราบขอขมาลุงถมยาที่งานศพตั้งแต่ฟื้น ทว่าแพทย์และพยาบาลต่างไม่ยอมและตัวเขาเองก็ลุกไม่ไหวเช่นกัน กระทั่งเข้าสู่วันที่สามจึงลากสังขารมาร่วมงานสวดศพจนได้

“เสี่ยไม่ต้องห่วงหรอก งานง่ายๆ แค่นี้นงจัดการได้”

เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดึงความสนใจของปาลกลับมาอยู่กับปัจจุบัน

คงเพราะเขานั่งอยู่ในมุมมืด ใครบางคนจึงไม่เห็น แม้เสียงของฝ่ายนั้นค่อนข้างเบา แต่เนื่องจากปาลนั่งอยู่ไม่ไกลเลยได้ยินบทสนทนาไปโดยปริยาย

“ถ้านงพาหนูเอ๋ยมาหาเสี่ยได้ เสี่ยทุ่มไม่อั้น หนี้ที่ติดกันอยู่เสี่ยยกให้ แล้วจะแถมเงินให้อีกก้อนโต”

“นังเอ๋ยนี่มันบุญหล่นทับจริงๆ ได้เป็นเมียเสี่ยซ้งแห่งโคกเสือเผ่น นั่งนับเงินสบายไปทั้งชาติ”

“นงก็รู้ว่าเสี่ยเล็งหนูเอ๋ยมานาน ผิวบาง ตัวเล็กเหมือนตุ๊กตา สเป็กเสี่ยเลย ติดตรงพ่อถมนั่นแหละ ใจแข็งเหลือเกิน เสี่ยทุ่มเงินเท่าไรก็ไม่ยอมท่าเดียว”

“ไอ้ถมมันโง่น่ะสิเสี่ย ไม่มีจะแดกอยู่แล้วยังหยิ่งไม่เข้าท่า มันเอาบ้านมาจำนองกับนง ดอกก็ส่งบ้าง ขาดส่งบ้าง คราวนี้แหละนงจะรีดเงินจากนังเอ๋ยจนหมดตัว ลำพังเด็กใจแตก ไม่เรียนหนังสืออย่างมันจะไปหาเงินล้านมาจากไหน ถ้ามันไม่อยากเดือดร้อนก็ต้องยอมเอาตัวแลกอยู่แล้ว เสี่ยวางใจเถอะ”

“อย่าทำอะไรหนูเอ๋ยรุนแรงนะ เสี่ยไม่อยากให้หนูเอ๋ยเป็นรอย”

“นงไม่ตบตีมันหรอกน่าเสี่ย นงรู้ว่าจะกล่อมนังเอ๋ยยังไง มันรู้ว่านงเป็นญาติคนเดียวของมัน พ่อมันเสียไปคน มันก็หมดที่พึ่ง เสี่ยทำใจร่มๆ เตรียมที่หลับที่นอนไว้ให้ดี นงจะส่งนังเอ๋ยถึงปากเสี่ยเอง”

ปาลมองฝ่าความมืดออกไปเห็นคู่สนทนาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนตันกับหญิงวัยกลางคนตัวผอมบางสวมเสื้อสีดำพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ทั้งคู่ยังคงสนทนาต่ออย่างออกรสโดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนล่วงรู้แผนการเข้าเสียแล้ว

 

อิศยานั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเรืองยศกลับบ้านหลังจากส่งแขกในงานเรียบร้อยแล้ว สงสัยเพื่อนสนิทคงกลัวเธอตัดช่องน้อยแต่พอตัว ฆ่าตัวตายตามบิดาไปล่ะมั้ง จึงขอพ่อแม่มาอยู่เป็นเพื่อนเธอแทน

“แกกลับไปนอนบ้านเหอะยซซี่ ฉันไม่เป็นไรหรอก”

“แกเป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียว เกิดคิดสั้นขึ้นมาจะทำไง สามสี่วันมานี้แกรู้ตัวไหมว่าแกเหมือนศพเดินได้เลยว่ะ”

“แค่สามสี่วันนี้แหละ ฉันสตรองจะตาย พรุ่งนี้ฉันต้องลุกมาส่งปิ่นโตกับแพ็กของขายให้ได้”

“พักบ้างไรบ้างก็ได้แก จะหาเงินไปถึงไหน”

“ถ้าพักนานลูกค้าก็หนีหมดน่ะสิ กว่าจะหามาได้แต่ละรายเลือดตาแทบกระเด็น ฉันอยากมีเงินเยอะๆ”

“พ่อแกไม่เหลือเงินก้อนไว้ให้แกบ้างเหรอ ฉันมาอู่ทีไรก็เห็นรถแน่นตลอด”

“พ่อใจอ่อน ไม่คิดเงินคนกันเอง ส่วนลูกค้าขาจรพ่อก็คิดไม่แพง กำไรไม่เท่าไรหรอก”

“ที่จริงถ้าแกเดือดร้อนเรื่องเงินแกบอกฉันได้นะ เดี๋ยวฉันไปไถพ่อกำนันให้”

“ถ้าจะคบกัน ห้ามพูดเรื่องเงิน ขี้เกียจทะเลาะอ่ะ”

“เออ ฉันก็ลืมไปว่าคุยกับแม่ค้าเงินล้าน”

อิศยายักคิ้วแทนคำตอบ นอกจากทำปิ่นโตขายแล้ว เธอยังปรุงวัตถุดิบจำพวกทอดมันดิบ ปลาแดดเดียว และปลาหมึกต้มหวานส่งขายออนไลน์จนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมาแล้ว

ถ้าจะถามว่าทั้งหมดเริ่มต้นได้อย่างไร ก็คงตั้งแต่แม่เสียเพราะโรคมะเร็งเมื่อหลายปีก่อนล่ะมั้ง เธอเคยเห็นแม่ทำอาหารขายมาตั้งแต่เล็ก พอมีเวลาว่างก็จะหารายได้เสริมด้วยการนำปลาหรือวัตถุดิบท้องถิ่นมาแปรรูปแล้วขายในตลาด พอโตขึ้นเธอก็เลยทำตาม เพียงแต่ใช้ช่องทางออนไลน์ขายของ ไม่ต้องเสียค่าเช่าแผงเหมือนแม่

พอว่างจากงานในช่วงบ่ายเธอก็จะนั่งชิลตกปลา จิบกาแฟกระป๋อง นั่งห้อยขาอยู่ริมน้ำ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างที่ชอบ

เธอกลายเป็นแกะดำในโคกเสือเผ่น แตกต่างจากมาตรฐานของคนอื่น หากไม่ยากจนข้นแค้นเกินไปเด็กสาวส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็ต้องดิ้นรนเรียนต่อมหาวิทยาลัยหรือเรียนสายอาชีวะ แต่เธอไม่เรียนต่อแล้วตะลอนไปโน่นมานี่ เพราะอยากทำงานหาเงินมากกว่าใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในห้องเรียน

นี่กระมังต้นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นขี้ปากของบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ในโคกเสือเผ่น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอทำทุกอย่างที่ควรจะทำเสร็จตั้งแต่ก่อนบ่ายแล้ว หลังจากนั้นเธอจะใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ฟังเพลง จิบกาแฟ…มันก็เรื่องของเธอป่ะ!

มีแค่เรืองยศ พ่อ และคนใกล้ชิดอีกไม่กี่คนที่เข้าใจความมุ่งมั่นของเธอ ส่วนคนอื่นจะคิดอย่างไรก็เรื่องของพวกเขา เพราะเด็กอินดี้ผู้มีจิตวิญญาณแห่งผู้ประกอบการไม่แคร์คำคนอื่นอยู่แล้ว

“ว่าแต่แกจะเอาไงกับอู่นี้ต่อ” เสียงของเพื่อนฉุดความสนใจของเธอกลับมา

“คงขายทิ้ง ลุงกำนันรู้จักเจ้าของอู่รถไหม เครื่องไม้เครื่องมือยังดีอยู่เลย ฉันขายให้ไม่แพงหรอก”

“แกจะขายทั้งอู่หรือขายแค่พวกเครื่องมือซ่อมรถ”

“ฉันยังไม่แน่ใจเลย ที่จริงบ้านนี้ก็ใหญ่เกินตัว อาจจะขายทิ้งหมดเลยก็ได้มั้ง”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันกลับไปถามพ่อกำนันให้ แต่ถ้าขายทิ้งหมดแล้วแกจะไปอยู่ไหน”

“ยังไม่รู้เหมือนกันว่ะแก”

สาวสโลว์ไลฟ์ ‘ยังไงก็ได้’ ยักไหล่ เธอไม่ยึดติดกับอะไรนักหรอก เธออยู่ที่ไหนก็ได้ รู้แต่เพียงว่าชีวิตมันต้องมูฟออนนี่นา

“แกย้ายไปอยู่เชียงใหม่กับฉันไหม เดี๋ยวฉันดูบ้านเช่าให้ แกจะได้มีครัวเอาไว้ทำอาหารด้วยไง”

“ขอบใจนะแก ตอนนี้ฉันยังโอเคกับที่นี่ แต่ถ้าเปลี่ยนใจแล้วจะบอก แกไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวฉันลงไปแพ็กของส่งลูกค้าก่อน เกเรมาหลายวัน ส่งช้าแบบนี้คงต้องแถมให้ลูกค้าหน่อย ไม่งั้นวีนแย่”

“ให้ฉันช่วยไหม”

“ไม่เป็นไร ล็อตนี้สั่งไม่เยอะ แกไปอาบน้ำเถอะ เสื้อกับกางเกงพ่ออยู่ในลิ้นชัก แกหยิบไปใช้ได้เลย”

เรืองยศพยักหน้าหงึกหงัก เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา

“วันนี้แกได้คุยกับหมอปาลรึเปล่า”

“นิดนึง”

“แกอย่าโกรธเขามากนักล่ะ ฉันได้ยินมาว่าพอเขาฟื้นก็ดื้อจะลุกมางานลุงถมให้ได้ หมอพยาบาลต้องช่วยกันห้ามใหญ่ แล้วสภาพหมอปาลวันนี้ก็ย่ำแย่ หัวแตก แขนหัก ไม่รู้ข้างในช้ำด้วยรึเปล่า ที่แย่กว่านั้นคือคนไข้ที่หมอปาลตั้งใจกลับมารักษาก็เสียแล้วด้วย ศพตั้งในศาลาข้างงานพ่อแกเลย แกคิดดูสิว่าเขาจะโทษตัวเองแค่ไหน”

อิศยาโคลงศีรษะแล้วเดินจากมา ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ มันสับสนปนเปกันไปหมด

จำได้ว่ากลางดึกคืนเกิดเหตุเธอตื่นมารับสายจากกำนันพุกว่ารถกระบะของพ่อชนกับรถสิบล้อกลางสี่แยกเพราะฝนตกหนักและคนขับสิบล้อเมาเหล้า เธอรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ เธอไม่ได้อยากให้หมอปาลตายตามพ่อ

ก็แค่…ไม่อยากเห็นหน้า!

 

ติดตามบทที่ 1-3 ได้แล้ววันนี้!

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: