บทนำ
ฤดูร้อนปี 2012 งานกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงลอนดอนได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
โรงพยาบาลสหภาพประจำปักกิ่ง แผนกจิตเวชขนาด 1,205 เตียง โทรทัศน์จอแก้วที่แขวนอยู่บนผนังกำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันว่ายน้ำท่าผีเสื้อระยะทางสองร้อยเมตรชาย ช่างน่าเสียดายที่เฟลป์สพลาดเหรียญทองไป
ณ ห้องพักผู้ป่วยเดี่ยว ผู้ป่วยชื่อว่าเจียงเหมยอิ่ง
เจียงเหมยอิ่งยื่นมือออกไป กระดูกบนหลังมือปูดโปน อีกทั้งร่างกายยังผอมแห้งจนน่าใจหาย เธอคลำหารีโมตที่วางอยู่บนชั้นข้างหัวเตียง
คุณแม่เจียงเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามา พอเห็นการเคลื่อนไหวของเจียงเหมยอิ่ง จึงหยิบรีโมตส่งให้เธอแล้วเอ่ยถาม “จะเปลี่ยนช่องเหรอลูก”
บนผิวบริเวณข้อมือด้านในของเจียงเหมยอิ่งถูกแทงด้วยสายน้ำเกลือ เพราะเจาะเข้าไปในเส้นเลือดโดยตรง จึงทำให้บริเวณรอบๆ ที่เจาะเข็มมีรอยช้ำเล็กน้อย
เธอพยักหน้า ไม่พูดจา มุดอยู่ใต้ผ้าห่ม มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่โผล่พ้นออกมา มองดูเฟลป์สที่ตกอันดับในจอโทรทัศน์
คุณแม่เจียงพยายามชวนเธอคุย ถามว่า “นี่คงเป็นนักกีฬาที่ลูกชอบที่สุดสินะ แพ้แล้วเหรอ”
เจียงเหมยอิ่งส่ายหน้า ก่อนจะหดตัวเข้าไปในผ้าห่มโดยไม่หือไม่อือ คุณแม่เจียงถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง คุยกับเจียงเหมยอิ่งตั้งหลายประโยค ล้วนแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ เธอจึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เหมยอิ่ง ลูกคิดอะไรอยู่ก็บอกกับแม่ได้นะ แม่จะพยายามช่วยลูกให้ได้ อย่ามัวแต่กลุ้มใจหลบอยู่ในผ้าห่มเลย”
เจียงเหมยอิ่งค่อยๆ โผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่ม ท่าทางซึมกะทือ เธอไม่ได้มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ ถึงจะบอกแบบนั้น แต่เธอก็ยังอดหงุดหงิดตัวเองไม่ได้
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ในช่วงฤดูร้อน ท้องฟ้าของเมืองหลวงเป็นสีครามสะอาดตา แม้จะร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศครึกครื้นที่อยู่นอกหน้าต่าง
เจียงเหมยอิ่งขยับริมฝีปาก เปล่งเสียงออกมาจากลำคอเบาๆ ไม่กี่คำ “หนูอยากออกไปข้างนอกค่ะ”
ในโทรทัศน์กำลังฉายภาพบันทึกเทปพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงลอนดอนอีกครั้ง
พิธีการดำเนินไปจนถึงช่วงปล่อยนกพิราบแห่งสันติภาพ จักรยานที่ประดับด้วยปีกนกทยอยเข้าสู่สนามทีละคันๆ ขี่ล้อมรอบสนาม เปรียบดังการสยายปีกบินของนกพิราบแห่งสันติภาพ
หานต้งดูโทรทัศน์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับเป็นกังวล
พ่อของหานต้งเอ่ยถาม “จัดของเสร็จแล้วเหรอ”
หานต้งพยักหน้า
“งั้นก็ไปเรียนที่ร้านสาขาใหญ่ซะ” น้ำเสียงของนายท่านหานไม่ได้แสดงความโมโห ทว่าเคร่งขรึม
หานต้งระบายลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาหยัดกายลุกขึ้นแล้วคว้ากุญแจรถเตรียมออกไปข้างนอก นายท่านหานมองตามหลังเขาไป หานต้งก้าวเท้าไปได้เดี๋ยวเดียวก็หันกลับมามองพ่อของตนเอง
เขาเอ่ยถาม “พ่อ พ่อเคยกินอาหารที่ร้านแผงลอยหรือเปล่า”
นายท่านหานไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาถามคำถามนี้ออกมาหมายความว่าอย่างไร บนใบหน้าปรากฏท่าทีสะอิดสะเอียน “เราทำภัตตาคารหรู จะไปเคยกินของโลว์คลาสพรรค์นั้นได้ยังไงกัน”
หานต้งเหม่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยปาก “ผมรู้แล้ว” พูดแค่นั้น แล้วก็ออกจากประตูไป
ทันทีที่ออกจากประตูอาคารผู้ป่วย อากาศร้อนระอุด้านนอกก็ปะทะเข้ามา เจียงเหมยอิ่งอยู่แต่ในห้องพักผู้ป่วยที่มีเครื่องปรับอากาศมาเกือบเดือน เธอเบิกตากว้าง พลันรู้สึกว่าตนเองขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง
รอบนอกโรงพยาบาลการจราจรแน่นขนัด เสียงดังจอแจ อึกทึกครึกโครม ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองหลวงช่างต่างจากภายในห้องพักผู้ป่วยเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ราวกับโลกคนละใบ
สำหรับเจียงเหมยอิ่งแล้ว เหมือนอยู่คนละโลกเลยด้วยซ้ำ
หานต้งอยู่ระหว่างทางไปภัตตาคารสาขาใหญ่ รถขยับไปได้ทีละนิด ติดมากว่าครึ่งทางแล้ว เขาเงยหน้า มองเห็นอาคารสูงใหญ่เรียงรายเป็นแนวหนาแน่น โลกในป่าปูนทำให้คนหายใจลำบากจริงๆ
พอหันหน้ามองตรอกเล็กๆ ด้านข้างกลับดูคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนตามร้านรวงคุยกันอย่างออกรสออกชาติ พากันกินอาหารตามร้านแผงลอย นี่สินะปักกิ่ง เมืองที่มีทั้งความขัดแย้งและความลงตัว
จอแอลอีดีบนตึกฝั่งตรงข้ามกำลังฉายภาพการแข่งขันที่เฟลป์สพลาดตำแหน่งแชมป์ไปแค่เอื้อม รถของหานต้งขยับไปข้างหน้าได้ไม่กี่เมตรก็หยุดลงอีกครั้ง เขาถอนหายใจพลางมองดูความพ่ายแพ้ของเฟลป์สที่ปรากฏอยู่บนจอ
วันที่สี่เดือนสิงหาคม ปี 2012 นักกีฬาว่ายน้ำชาวอเมริกัน เฟลป์ส ผู้เป็นนักกีฬาในตำนานเลือกที่จะถอนตัว และวันต่อมาเฟลป์สก็ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเป็นเหรียญที่สิบแปดในชีวิตของเขา กลายเป็นนักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลรวมไปถึงเหรียญทองมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิก
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตของเจียงเหมยอิ่ง แต่เธอกลับน้ำตาคลอหน่วย อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ ทว่าไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ทำให้แม่ของเธอสะเทือนใจเป็นอย่างมาก จับมือเธอไว้และไม่พูดอะไร
นี่น่าจะเป็นท็อปปิกระดับโลก แต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรในซานเว่ยฟาง ภายในโถงกำลังบรรเลงเปียโนโซโล่อันไพเราะจับใจ บรรดาลูกค้าที่แต่งกายอย่างพิถีพิถันชนแก้วกันเบาๆ แล้วจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง พูดคุยกันเสียงเบา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้หรือเทรนด์ในต่างประเทศ บ้างก็แลกเปลี่ยนรอยยิ้มจอมปลอมพอเป็นมารยาท
เรื่องกีฬาโอลิมปิกและเฟลป์สไม่ได้เป็นที่พูดถึงในภัตตาคารระดับมิชลิน
และก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหานต้งที่อยู่ในฐานะเจ้าของร้าน เขาก็เหมือนกับมาสคอตตัวหนึ่ง ยืนอยู่ในโถง คอยทักทายบรรดาลูกค้าผู้มีเกียรติที่มาเยือน หรือไม่ก็คอยรับคำสรรเสริญเยินยอ
เขาควรอยู่ที่ซานเว่ยฟาง ไม่ต้องใช้ทักษะการทำอาหารของตัวเอง แล้วแสร้งใช้ชีวิตไฮโซอย่างนี้จริงเหรอ
ดนตรีที่ซานเว่ยฟางมีมาแต่แรกคือเพลงบรรเลงจากนักเปียโน
ความทรงจำของหานต้งนึกย้อนไปถึงร้านอาหารแผงลอยในตรอกที่รูมเมตเคยพาเขาไปกินก่อนหน้านี้ เสียงกระทบกันของหม้อชามทัพพี ความรื่นรมย์ของการชนแก้วเบียร์ เสียงครื้นเครงของผู้คนที่พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เขารู้สึกว่านั่นต่างหากที่เป็นความจริง นั่นแหละคือชีวิต
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราดอย่างเริงร่า หานต้งรับโทรศัพท์
เพื่อนๆ สมัยมหาวิทยาลัยส่งเสียงดังโหวกเหวกอยู่ในสาย “หานต้ง พวกเราจะไปกินปิ้งย่าง!”
คุณแม่เจียงพาเจียงเหมยอิ่งไปดูภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้าโรง เจียงเหมยอิ่งท่าทางสงบนิ่งคล้ายกับไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด
“ไม่สนุกเหรอ” คุณแม่เจียงถาม
เจียงเหมยอิ่งส่ายหน้า “สนุกค่ะ”
เธอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “แม่คะ เราไปกันเถอะ”
ปักกิ่งเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แหงนหน้ามองฟ้าไม่เห็นดาว แสงไฟส่องสว่างผืนฟ้ายามราตรี ทั่วทั้งเมืองต่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างฟุ้งเฟ้อท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์
ร้านแผงลอยเริ่มเปิดขายตั้งแต่พลบค่ำไปจนถึงฟ้าสาง แสงสียามค่ำคืนเพิ่งจะมาเยือน หานต้งก็นั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้น กลิ่นควันบริเวณร้านฉุนเป็นพิเศษ เทียบกับกลิ่นน้ำหอมไฮคลาสของซานเว่ยฟางแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว
อันว่า ‘ดื่มสุราสามจอก’ ไม้เสียบที่อยู่บนโต๊ะก็ถูกวางเรียงกันเป็นสามชั้น
หานต้งโยนความกังวลและเรื่องคิดไม่ตกที่อยู่ในใจทิ้งไว้ข้างหลัง อาหารเลิศรสและความรื่นรมย์รวมกันเป็นหนึ่งเดียว นี่ต่างหากถึงจะเป็นโลกแห่งอาหารเลิศรสที่เขาต้องการ
จู่ๆ รูมเมตคนหนึ่งก็ชี้ไปยังคนสองคนที่เดินข้างกันมาแล้วพูดว่า “เฮ้ อากาศร้อนอย่างนี้ทำไมสาวน้อยคนนั้นถึงยังใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวอยู่อีก ห่อซะมิดชิดเชียว”
อีกคนก็กล่าวอย่างสงสัย “ใส่หมวกแล้วก็เห็นไม่ชัด แต่เธอผอมมากเลย เฮ้อ”
หานต้งมองไปยังทิศทางที่พวกเขาชี้นิ้วไป สาวน้อยคนนั้นผอมแห้งมากจริงๆ ข้างๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งตามติดไม่ห่าง เขาขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตกใจ
เมื่อหันหน้าไปก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นคุกเข่าอยู่ตรงมุมกำแพง เสียงอาเจียนอันทรมานและน่าสงสารดังมาถึงตรงที่เขานั่ง ตามด้วยเสียงไอโขลกรุนแรง
หญิงวัยกลางคนที่เดินมาด้วยกันกล่าวอะไรบางอย่างเสียงเบาเพื่อปลอบเธอ แล้วค่อยๆ ประคองแผ่นหลังของเธอ
“ขอโทษ แม่ผิดเองที่อยากพาลูกกลับโรงพยาบาลทางลัด…” คุณแม่เจียงพูดอย่างรู้สึกผิด ในน้ำเสียงเจือด้วยเสียงสะอื้นไห้อันเจ็บปวดใจ
นี่เป็นตรอกเล็กๆ ที่อยู่ข้างโรงพยาบาล จากตรอกนี่ไปจนถึงโรงพยาบาลนั้นใกล้มาก แต่คุณแม่เจียงลืมไปว่าในตรอกมีร้านแผงลอยเยอะมาก เจียงเหมยอิ่งแค่ได้กลิ่นพวกนี้ก็อาเจียนออกมาแล้ว
นานมากกว่าเจียงเหมยอิ่งจะค่อยยังชั่วขึ้น เธอส่ายหน้าแล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…แม่ หนูจะดีขึ้นเอง หนูจะต้องดีขึ้น”
ร้านปิ้งย่างบรรยากาศดีมาก ไม่เหมือนกับความหรูหราของซานเว่ยฟางเลยสักนิด
หานต้งจ้องมองเนื้อแกะย่างเสียบไม้ที่อยู่ในมือ ในใจลอบวางแผน เขาเอ่ยกับรูมเมตสมัยมหาวิทยาลัยที่อยู่ข้างๆ ว่า “ฉันเพิ่งตัดสินใจได้”
“หือ?”
“ฉันจะเปลี่ยนแปลงซานเว่ยฟาง”
วันที่ห้าเดือนสิงหาคม ปี 2012 ทั่วทั้งโลกต่างให้กำลังใจเฟลป์สที่ประกาศถอนตัว
ณ โรงพยาบาลสหภาพขนาด 1,250 เตียง สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังจับมือของลูกสาวที่ร่างกายผอมแห้ง อิงแอบกันแล้วถอนหายใจ หวังว่าจะพอช่วยบรรเทาความเจ็บจากรอยเข็มของสายน้ำเกลือบนข้อมือของเธอที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้บ้าง
ในตรอกถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส ในหมู่คนที่จ้อกแจ้กจอแจ มีเก้าอี้พลาสติกล้อมรอบโต๊ะพลาสติกสีขาว เจ้าของซานเว่ยฟางที่รูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าเย็นชานิ่งขรึมจ้องมองเนื้อย่างเสียบไม้ที่อยู่ในมือ ขมวดคิ้วน้อยๆ เสียงพูดคุยของเพื่อนๆ ในหัวข้อกีฬาโอลิมปิกดังอยู่ข้างหู
คนที่หลงทางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอย่างโดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือ แม้ข้างกายจะมีญาติสนิทมิตรสหาย แต่มรสุมกลับพัดโหมในใจจากรอบด้าน พัดโหมจนเริ่มผุกร่อนแตกร้าว
ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้พบกัน ไม่ได้โอบกอดกันและกัน เขาและเธอต่างก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างราบเรียบ มีทั้งทุกข์และสุขท่ามกลางหมู่คนมากมาย
ใครจะรู้ว่าหลังจากที่พวกเขาได้พบกัน โชคชะตาจะเกิดการพลิกผันที่ใหญ่โตขนาดนี้
บทที่ 1 ทัวร์ชิมร้านบะหมี่โหย่วเจียน
1
โทรศัพท์มือถือดัง ‘ติ๊ง’ ขึ้นมา เจียงเหมยอิ่งยื่นแขนออกมาจากผ้าห่ม คลำหาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนตู้ข้างหัวเตียง เธอหยิบมันมาแล้วลืมตาดูขณะสะลึมสะลือ แต่แล้วก็พลันตื่นเต็มตา
‘คุณหานต้งที่เคารพ ฉันเอาทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นกองมาทำเป็นแป้ง เอากิจการที่ประสบความสำเร็จ ความสุข และความยินดีมาเป็นเนยและน้ำตาล เอาใจบริการที่ซื่อสัตย์ของเรามาอบเป็นเค้กวันเกิดที่แสนหวาน สุขสันต์วันเกิดนะคะ! จากธนาคารแห่งประเทศจีน’
ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ เจียงเหมยอิ่งกลอกตา ปิดเสียงโทรศัพท์แล้วโยนไปที่ข้างหมอน อย่างที่คาด วันนี้มีข้อความอวยพรวันเกิดจากธนาคารต่างๆ และจากบริษัทหลักทรัพย์อีกประมาณเจ็ดแปดข้อความ
หานต้ง!
ชื่อเชยๆ นี่เป็นเหมือนวิญญาณที่ตามติดเจียงเหมยอิ่งมาตลอดสามปี คอยเตือนเธออยู่ตลอดเวลาว่าบนโลกนี้มีคนคนนี้อยู่
ช่วงเวลานอนอันแสนสุขถูกทำลายลง ทำให้เจียงเหมยอิ่งนอนไม่หลับ เธอลุกขึ้นมาพร้อมกับหัวที่ยุ่งเป็นรังนก พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเฮือกหนึ่ง แล้วก็ลากสลิปเปอร์เข้าห้องน้ำไป
เจียงเหมยอิ่งในกระจกมีรอยคล้ำใต้ตาทั้งสองข้างเข้มชัด บ่งบอกว่าเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เธอหัวเสียจนหลับไม่ลง ใบหน้าของเธอเล็ก ใหญ่ไม่ถึงฝ่ามือ คางแหลม ตาโต เจียงเหมยอิ่งเป็นคนหน้าตาดี ทว่าในตอนนี้ผมตรงสีน้ำตาลสั้นเท่าติ่งหูนั่นดูยุ่งเหยิง
เจียงเหมยอิ่งในวันนี้หุ่นผอมบางมาก
เธอขยิบตาและยิ้มกว้างให้กับตัวเองในกระจก ดวงตาทั้งคู่พลันโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวสองดวง เจียงเหมยอิ่งตบแก้มตัวเอง ค่อยๆ พรูลมหายใจ กระตุ้นตัวเองให้ตื่น แล้วล้างหน้าแปรงฟัน
เจียงเหมยอิ่งผูกผมเป็นเปียเล็กๆ เปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกาย เธอมักจะออกไปวิ่งช่วงเช้าตรู่ประมาณครึ่งชั่วโมงในสวนสาธารณะเล็กๆ
รุ่งเช้าของเดือนมีนาคมอากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่สุด ในอากาศยังมีไอเย็นเจืออยู่ ทว่าฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว พืชพรรณในสวนสาธารณะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่ม เจียงเหมยอิ่งมองแล้วรู้สึกสบายตาสบายใจ
เธอเปิดเพลงของ ONE OK ROCK วงดนตรีร็อกแอนด์โรลสัญชาติญี่ปุ่น นี่เป็นซิงเกิลที่เจียงเหมยอิ่งเจอมาเมื่อไม่นานนี้ และมันเหมาะกับการวิ่งที่สุด
“We’ll fight fight till there’s nothing left to say…ติ๊ง…”
เพลงดำเนินไปจนถึงท่อนพีค เลือดร้อนของเจียงเหมยอิ่งกำลังพลุ่งพล่าน ทว่าดนตรีที่กำลังเล่นในหูฟังกลับถูกเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขัดจังหวะ
การวิ่งของเจียงเหมยอิ่งถูกทำให้เสียจังหวะ ลมหายใจสะดุด เธอหยุดฝีเท้าลง ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะเปิดโทรศัพท์ดู
‘คุณหานต้งที่เคารพ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ เนื่องในโอกาสอันดีนี้ ธนาคารการเกษตรแห่งประเทศจีนขออวยพรให้ชีวิตคุณประสบแต่ความสุข สุขสันต์วันเกิดนะคะ’
แค่เห็นข้อความเจียงเหมยอิ่งก็โมโห ทีวันเกิดของเธอล่ะ ธนาคารไม่เห็นจะส่งข้อความมา! แต่กลับมีข้อความอวยพรวันเกิดของคนที่ชื่อหานต้งส่งมาที่มือถือของเธอเต็มไปหมด!
คงเป็นเพราะว่าเธอใช้เบอร์เก่าของคนอื่นที่ไม่ใช้แล้วสินะ!
หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย ครอบครัวของเจียงเหมยอิ่งก็ย้ายมาที่ปักกิ่ง และเธอก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสื่อสารมวลชนปักกิ่ง
เจียงเหมยอิ่งจำได้ว่าวันนั้นเป็นเช้าก่อนวันสอบปลายภาคปีสาม เธอมือลื่น ทำโทรศัพท์มือถือตกลงไปในท่อน้ำโดยไม่ทันระวัง นอกจากเจียงเหมยอิ่งจะสอบตกวิชานั้นแล้ว เธอยังเสียไปทั้งไอโฟนและซิมโทรศัพท์อีกด้วย นั่นเป็นวันที่แย่สุดๆ ไปเลย
สุดท้ายเธอก็ไปห้างเพื่อเลือกซื้อโทรศัพท์อย่างพิถีพิถัน แถมยังจ่ายเงินซื้อเบอร์สวยๆ ที่ตรงกับวันเกิดไอดอลของตัวเอง ช่างมีความสุขเหลือเกิน
ผลคือวันที่สองหลังเปลี่ยนซิมมือถือ เธอก็รู้สึกเสียใจซะแล้ว เจียงเหมยอิ่งต้องรับสายที่เอาแต่โทรมา รบกวน แต่เพราะจ่ายค่าโทรล่วงหน้าไปแล้วห้าร้อยหยวน ทำให้ไม่สามารถทำการโอนย้ายได้ เธอจึงเปลี่ยนเบอร์ไม่ได้ชั่วคราว! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ตัวเองยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเบอร์สวยๆ แถมยังเป็นเบอร์ซึ่งตรงกับวันเกิดไอดอลของตัวเองที่หายากด้วย
เธอคิดว่าตัวเองถูกหลอกแล้วล่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แถมยังตัดใจเปลี่ยนไม่ลงด้วย ทำได้แค่พยายามกดปฏิเสธสายที่น่ารำคาญเหล่านั้น แล้วแบล็กลิสต์พวกเขาซะ
หลังจากนั้นเธอก็ใช้เบอร์นี้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว
ปัจจุบันเจียงเหมยอิ่งย้ายกลับมาทำงานที่เมืองฝูเฉิง และเพราะเธอใช้โทรศัพท์เครื่องนี้จนชินแล้วก็เลยขี้เกียจจะเปลี่ยน
“…” เจียงเหมยอิ่งอ่านข้อความจบก็เก็บโทรศัพท์อย่างเงียบๆ แล้วเตะก้อนหินที่อยู่ข้างเท้า
เธอไม่วิ่งแล้ว! หงุดหงิด!
กลับถึงอพาร์ตเมนต์ของตัวเองแล้วเจียงเหมยอิ่งก็อาบน้ำ หยิบสลัดผักที่เหลือจากเมื่อคืนวานออกมาจากตู้เย็น บีบน้ำมะนาวใส่นิดหน่อย เป็นสลัดมังสวิรัติที่ไม่ใส่แม้แต่น้ำสลัด กินไปไม่กี่คำ พอเจียงเหมยอิ่งดูเวลาปุ๊บ ก็เริ่มแต่งตัวอย่างเร่งรีบ
ลงรองพื้น ตบแป้ง ปัดอายแชโดว์ กรีดตาเป็นเส้นบางๆ นิดหน่อย เจียงเหมยอิ่งมองกระจกอีกครั้ง ผู้หญิงใบหน้ารูปไข่ คางแหลม งดงามละเมียดละไมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เจียงเหมยอิ่งพอใจกับตัวเองที่เหมือนนางฟ้าในกระจก ราวกับเรื่องฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชาที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ทำให้เธอมั่นใจขึ้นเป็นร้อยเท่าในทันที ความหงุดหงิดจากการถูกวันเกิดหานต้งรบกวนก็มลายหายสิ้น
2
พอออกจากประตู เธอเปิดไดเร็กต์เมสเสจในเวยป๋อ เห็นข้อความที่ ‘เชฟแคป’ ส่งมา
‘ร้านของผมอยู่ใต้อพาร์ตเมนต์ฮุ่ยตูที่อยู่ตรงย่านธุรกิจเกาซิน ร้านบะหมี่โหย่วเจียน คุณจะมาเยี่ยมชมสักหน่อยก็ได้’
วันเสาร์นี้เดิมทีเจียงเหมยอิ่งวางแผนไว้ว่าจะเขียนสูตรอาหารใหม่อยู่ที่บ้าน แต่เพราะข้อความที่เชฟแคปส่งมาเมื่อคืนก่อน เธอจึงต้องเปลี่ยนแผน
เจียงเหมยอิ่งมีเวยป๋อระดับวีไอพีที่มีแฟนคลับติดตามกว่าห้าแสนคน ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘นักลดน้ำหนักที่อยากกินของอร่อย’ โพสต์เวยป๋อของเธอที่ปักหมุดไว้ เล่าถึงกระบวนการทางจิตตั้งแต่ตัวเองน้ำหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลกรัมแล้วลดเหลือสี่สิบกิโลกรัมภายในครึ่งปี ทุกสัปดาห์ตามวันเวลาที่กำหนด เธอจะโพสต์เมนูลดน้ำหนักที่อร่อยและดีต่อสุขภาพประมาณสองรายการ ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นวงกว้าง
บรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอเองก็รู้ว่าเธอเข้มงวดกับตัวเองแค่ไหน หมั่นวิ่งจ๊อกกิ้งทุกวันตอนเช้า กินแค่เมนูลดน้ำหนักที่ตัวเองทำ รักษารูปร่าง อีกทั้งยังสอนเพื่อนๆ ว่าควรควบคุมอาหารเพื่อสุขภาพอย่างไรบ้าง เพื่อนร่วมงานต่างก็ชอบสูตรอาหารของเธอมาก ขณะเดียวกันกระแสลดน้ำหนักรักษาหุ่นในบริษัทก็ค่อยๆ ฮิตขึ้นมา ปาร์ตี้มื้อใหญ่หลังเลิกงานของบริษัทก็ลดน้อยลง
คืนเมื่อวานซืนในขณะที่เธอกำลังศึกษาสูตรอาหารใหม่อย่างเต้าหู้แซลมอนผสมผัก ก็ได้รับไดเร็กต์เมสเสจจากเชฟแคปคนนี้
‘สวัสดีครับ คุณตำรวจตัวกลม ผมเป็นเชฟ อยากจะขอให้คุณช่วยอะไรหน่อยได้ไหมครับ’
เจียงเหมยอิ่งเพิ่งอ่านประโยคแรกจบ อีกฝ่ายก็ส่งข้อความใหม่มา
‘ผมอยากจะทำเมนูอาหารลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพให้กับคนแถวๆ ฟิตเนส ผมชอบสูตรอาหารของคุณมาก จะแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณสักหน่อยได้ไหมครับ’
แต่ไรมาคนที่ส่งข้อความหาเจียงเหมยอิ่งเพื่อขอความร่วมมือมีมากมายจนนับไม่ถ้วน เจียงเหมยอิ่งไม่เคยตอบกลับไป แต่กับคนนี้ไม่เหมือนกัน
อาชีพการงานของเจียงเหมยอิ่งคือเป็นทีมงานโพสต์โปรดักชั่น ของบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่ง หน้าที่หลักคือตัดต่องาน เพราะ ‘เรื่องเล็กน้อย’ เธอก็เลยทะเลาะกับเชฟแคปคนนี้นิดหน่อย ดังนั้นพอเห็นว่าเชฟแคปหาแอ็กเคาต์เวยป๋อของเธอที่ดังในอินเตอร์เน็ตแอ็กเคาต์นี้เจอ เจียงเหมยอิ่งจึงรู้สึกแปลกใจมาก
คนจะเจอก็ย่อมต้องเจออยู่วันยังค่ำ
เดิมทีจะไปพบเชฟแคปคนนี้ที่ร้านอยู่แล้ว เจียงเหมยอิ่งเกิดลังเลใจขึ้นมา แล้วก็ตอบเขา
ตำรวจตัวกลม : สวัสดีค่ะ คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรเหรอคะ
เชฟแคป : ผมคิดว่าผมสามารถอิงสูตรอาหารของคุณแล้วทำเมนูลดน้ำหนักออกมาชุดนึง แล้วนำไปใช้ในร้านอาหารของผมได้หรือเปล่า ผมจะให้ค่าตอบแทนกับคุณ
เมนูอาหารของเจียงเหมยอิ่งโพสต์อยู่บนเวยป๋อ เดิมทีมันก็เป็นแค่แหล่งข้อมูลสาธารณะที่แชร์ให้กับทุกคนและไม่ได้ต้องการค่าตอบแทน หลังจากมีกิจการด้านอาหารมากมายนำเมนูของเธอไปปรับ และทำเป็นอาหารวางจำหน่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเหมยอิ่งเจอคนที่จะมอบค่าตอบแทนให้เธอ
ดูๆ ไป เชฟแคปคนนี้ก็ไม่เลวแฮะ
เจียงเหมยอิ่งรู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง เธอติดหนี้เขาก้อนหนึ่ง แม้จะบอกว่าเขาไม่รู้ว่าตำรวจตัวกลมเป็นใคร แต่ก็ยังอยากจะซื้อสูตรอาหารจากเธอ ในเมื่อเธอติดค้างอีกฝ่าย อย่างนั้นก็จะทำให้เต็มที่ ช่วยเขาสักหน่อยก็แล้วกัน
ตำรวจตัวกลม : ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนหรอกค่ะ ถ้ามีเวลาฉันจะไปที่ร้านคุณ หาแรงบันดาลใจสักหน่อย แล้วเขียนสูตรอาหารที่เหมาะกับร้านของคุณให้คุณก็แล้วกัน
เชฟแคป : คุณรู้เหรอครับว่าร้านผมอยู่ที่ไหน
เจียงเหมยอิ่งชะงัก รีบตอบกลับไป
ตำรวจตัวกลม : งั้นร้านคุณอยู่ที่ไหนล่ะคะ
เกือบแบไต๋ไปแล้ว
อีกฝ่ายส่งที่อยู่มาให้และบอกว่า
‘ถ้าไม่ต้องการค่าตอบแทน ผมก็ต้องเขียนชื่อคุณไว้บนเมนูนะครับ เมนูอาหารเป็นของเชฟก็เหมือนกับที่บทความเป็นของนักเขียน มันมีความทุ่มเทของเชฟอยู่ในนั้น ผมคงขโมยเอาไปใช้ตามใจไม่ได้’
ถ้อยคำและท่าทีจริงจังเหมือนกับในรายการไม่มีผิดเพี้ยน เดิมทีเขาก็นิสัยเข้มงวดจริงจัง พิถีพิถัน และมีหลักการเป็นพิเศษแบบนี้อยู่แล้ว ทว่าเธอกลับทำเรื่องผิดพลาด ทำให้เขาถูกคนอื่นเข้าใจผิด ก่อเรื่องวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว
เจียงเหมยอิ่งคุยกับเชฟแคปสักพัก เมื่อนัดวันกันเสร็จแล้วจึงปิดอินเตอร์เน็ต
เรื่องเกี่ยวกับเชฟแคปคนนี้คงต้องพูดกันยาวเลยทีเดียว
ชื่อจริงของเชฟแคปคือหานต้ง ไม่ผิด ชื่อแซ่เดียวกันกับเจ้าของคนเก่าเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอ
ต้นเดือนก่อน ทีมงานรายการ ‘ทัวร์ชิมทั่วจีน’ โยนไฟล์วิดีโอมาให้ชุดหนึ่ง และพูดกับเจียงเหมยอิ่งที่อยู่ในห้องสตูดิโอว่า “นี่เป็นไฟล์ต้นฉบับของรายการสัปดาห์ถัดไป รีบทำให้เสร็จด่วน”
ทีมผู้กำกับยังมีข้อเรียกร้องอื่นอีกว่า “ช่วงนี้เรตติ้งผู้ชมลดลง พยายามทำคอนเทนต์ที่สไตล์ต่างกันหน่อย ลุยเลย แย่งซีนให้ได้”
ข้อเรียกร้องนี้จะว่ายากก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้สบายเลยสักนิด เจียงเหมยอิ่งพอได้ยินก็หัวเสีย
ฟางเข่อเข่ออ่านข้อมูล พูดกับเจียงเหมยอิ่งเสียงเบา “ร้านนี้ฉันรู้จัก เป็นร้านบะหมี่ร้านเล็กๆ ในเมืองฝูเฉิงเรา เป็นร้านที่ดังมากในเน็ต เถ้าแก่หล่อมาก”
ปกติแล้วเจียงเหมยอิ่งชอบตัดต่อรายการอาหารที่สุด โดยเฉพาะรายการ ‘ทัวร์ชิมทั่วจีน’ รายการนี้
สำหรับคนนอก รายการนี้เป็นการแนะนำอาหารเลิศรสแบบเพียวๆ นานๆ ทีจะมีการแนะนำเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนผสมผสานกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมดั้งเดิม เรตติ้งไม่เลวทีเดียว แต่สำหรับเจียงเหมยอิ่งแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริงๆ
เธอมีอาการของโรคเบื่ออาหารอยู่บ้าง แค่เห็นอาหารที่มันเลี่ยนนิดหน่อยก็จะอาเจียนแล้ว ปกติเธอมักจะทำอาหารเพื่อสุขภาพง่ายๆ และรสอ่อนกินเอง การดูวิดีโอหรือดูรูปแม้จะไม่ได้มีผลมากขนาดนั้น แต่ในด้านจิตใจก็ยังคงมีความกดดัน
เจียงเหมยอิ่งไม่ค่อยพูดเท่าไรนัก ฟางเข่อเข่อเองก็ไม่ได้กังวล ยังคงถามเสียงจ้อกแจ้กต่อว่า “ไว้เราค่อยไปกินที่ร้านนั้นดูไหม”
“ไม่เอา” เจียงเหมยอิ่งปฏิเสธทันควัน
แน่นอนว่าไม่ได้เด็ดขาด! เห็นแก่การทำมาค้าขายของคนอื่นเขา จะไปไม่ได้! ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นเห็นเธออาเจียนเอาของอร่อยออกมาล่ะก็ จะต้องส่งผลต่อความอยากอาหารของลูกค้าคนอื่นแน่ๆ
เจียงเหมยอิ่งชะงัก กลัวว่าท่าทีของตนเองจะแข็งกระด้างเกินไป จึงยกยิ้มแล้วบอกว่า “เธอก็รู้ว่าฉันชอบอยู่บ้าน ไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก”
เธอเห็นว่าที่อยู่ของร้านบะหมี่โหย่วเจียนอยู่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ของตน อยู่กันคนละมุมเมือง
ฟางเข่อเข่อพองลมปาก พูดอย่างเข้าใจว่า “ใครใช้ให้บ้านเธออยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ นี่ งั้นฉันไปเจอเถ้าแก่หานต้งคนนั้นเองดีกว่า คงจะหล่อจริงๆ”
เจียงเหมยอิ่งสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง
“เป็นอะไรไป” ฟางเข่อเข่อถามอย่างสงสัย
“เธอบอกว่าเถ้าแก่คนนั้น…ชื่อหานต้ง?”
“อื้ม ถูกต้อง”
ในใจของเจียงเหมยอิ่งพลันรู้สึกสับสนปนเป
ถึงจะบอกว่าทั่วประเทศมีคนชื่อหานต้งตั้งมากมาย แต่พอนึกถึงงานที่ต้องตัดต่อ เจ้าของร้านบะหมี่ร้านนั้นชื่อหานต้ง เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ความไม่สบายใจแบบนี้ กระทั่งตัดต่อรายการเสร็จแล้วมันก็ยังคงอยู่
3
มือเรียวยาวสะอาดสะอ้านจับด้ามกระทะไว้แน่น กระดกกระทะอย่างนิ่มนวลและชำนาญ ขณะที่เขาเทเหล้าปรุงอาหารลงไป ในกระทะก็มีไฟลุกโชนขึ้นมาราวกับร่ายเวทมนตร์ ทว่าเปลวไฟก็พลันหายไปในระหว่างการเคลื่อนไหวของเขา
“ว้าว…”
ฟางเข่อเข่อและเจียงเหมยอิ่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตะลึงงัน เปล่งเสียงอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น
ราวกับงานศิลปะ งดงามและมีจิตวิญญาณ เจียงเหมยอิ่งไม่เคยรู้ว่าแค่การผัดผัก ถึงกับเคลื่อนไหวได้สวยงามขนาดนี้
ฟางเข่อเข่อกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง เร่งเจียงเหมยอิ่ง “เร็ว เธอรีบตัด เดี๋ยวฉันทำไฟนอล”
เห็นเธอตื่นเต้นขนาดนี้ เจียงเหมยอิ่งก็ไม่ชักช้า เริ่มเร่งทำงานอย่างเชื่อฟัง
ตัดต่อมาจนถึงส่วนครึ่งหลัง เจียงเหมยอิ่งก็คุ้นเคยกับบุคคลหลักไม่กี่คนที่อยู่ในวิดีโอแล้ว
หานต้งที่เป็นทั้งเจ้าของร้านและเชฟ ว่ากันว่าเขาเป็นเชฟจากปักกิ่ง เปิดร้านบะหมี่อยู่ที่ย่านธุรกิจเกาซิน นอกจากบะหมี่แล้ว ของกินอื่นๆ ก็ครบครัน น้ำพะโล้ของร้านเขาเคี่ยวโดยไม่ดับไฟมาตลอดสามปี ดึงดูดนักชิมมากมายเข้ามาลิ้มรส
ลูกศิษย์ของหานต้งชื่อเจิ้งหลินเทียน เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เอาไหน อายุยี่สิบต้นๆ แต่กลับไม่เรียนหนังสือ หนีมาเรียนทักษะการทำอาหารกับหานต้ง เรื่องฝีมือด้านการทำอาหารถือว่ามีพรสวรรค์มาก
ในร้านยังมีนักศึกษามหาวิทยาลัยในละแวกนี้มาเป็นพนักงานเสิร์ฟและแคชเชียร์ ชื่อว่าหวงหรูหรู เป็นเด็กผู้หญิงที่เก่งและฉลาด
นักข่าวถามว่า “ร้านของคุณทำไมบรรยากาศดีขนาดนี้”
หวงหรูหรูที่อยู่ในวิดีโอใช้รอยยิ้มร่าเริงสดใสมองกล้อง มองนักข่าว และพูดว่า “เพราะว่าเราคือครอบครัวยังไงล่ะคะ!”
เจียงเหมยอิ่งเปิดฉากนี้ดูวนอยู่สี่ห้ารอบ ขมวดคิ้วอยู่นาน ก่อนจะถามฟางเข่อเข่อว่า “เธอว่ารายการของสัปดาห์นี้ เราจะทำ…ให้ไม่ซีเรียสจริงจังขนาดนั้นได้ไหม”
รายการทัวร์ชิมทั่วจีนของสัปดาห์ที่แล้วใช้บรรยากาศที่เคร่งเครียดเหมือนกับสารคดีวิชาการ แนะนำอาหารและเกร็ดความรู้เรื่องวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ดึงดูดผู้ชมที่เป็นนักชิมได้จำนวนหนึ่ง
แต่ในสัปดาห์นี้ตัวหลักทั้งสามล้วนเป็นคนหนุ่มสาว วัยรุ่นหน้าตาดี ผู้ชายทั้งหล่อทั้งสมาร์ต ส่วนผู้หญิงก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับบรรยากาศแบบวิชาการจนเกินไป
ฟางเข่อเข่อขยับเข้าจ้องมองคนที่ยุ่งอยู่กับการเปิดร้านในวิดีโออยู่นานสองนาน จึงเอ่ย “ไม่งั้นเราก็ตัดต่อตามใจตัวเองไปก่อน ให้ผู้กำกับดูว่าใช้แนวตลกเสียดสีได้หรือเปล่า”
เจียงเหมยอิ่งครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า และเริ่มลงมือตัดต่อ
เธอเอาคำพูดของหวงหรูหรูวางไว้ต้นรายการ ปักธงเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มตัดต่อเรียบเรียงเนื้อหาข้างหลัง ใช้การนำเสนอว่าจริงๆ แล้วพนักงานสามคนในร้านนี้ไม่ได้เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน แต่กลับมีความขัดแย้งกันเยอะมาก ตรงกลางก็แทรกคำพูดของหวงหรูหรูที่ว่า ‘เพราะว่าเราคือครอบครัวยังไงล่ะคะ~’ มาตบหน้าไม่หยุด
วิดีโอที่นำเสนอความขัดแย้งไม่ลงรอยกันในไฟล์ต้นฉบับนั้นมีเยอะและหาได้ง่ายมาก ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หานต้งจัดมาให้ทั้งนั้น
หานต้งเป็นคนที่เข้มงวดเป็นพิเศษ อย่างเช่นตอนเริ่มวิดีโอ เขาก็ตำหนิผมของเจิ้งหลินเทียน
“บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามย้อมผม นายก็ไปย้อมมาอีกแล้ว” เขาขมวดคิ้วอันน่ามอง ดูเคร่งเครียดและไม่พอใจ แววตาเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย
เจิ้งหลินเทียนบ่นอุบ “ผมไปตัดผมที่ร้าน ก็ถูกพวกเขาจับย้อมจน…”
น้ำเสียงของหานต้งไม่ค่อยดีนัก “ฉันบอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าเป็นพ่อครัวจะต้องรักษาสุขอนามัยของตัวเอง ห้ามไว้ผมยาว ห้ามย้อมผม นายดูผมนายซิ นี่เรียกว่าตัดแล้วงั้นเหรอ จะถึงติ่งหูอยู่แล้ว”
เจิ้งหลินเทียนได้ยินก็รีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน “อาจารย์! อย่าโกนหัวผมนะครับ! ผมไม่อยากหัวเกรียน! หัวผมไม่ได้ทรงสวยเหมือนของอาจารย์สักหน่อย!”
หานต้งตะคอก “หยุดนะ!”
เจิ้งหลินเทียนมีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เงาร่างหยุดอยู่ตรงประตู เขาเบะปากและหันไปมองอีกฝ่ายอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ พูดตะกุกตะกักเสียงเบา “อะ…อาจารย์…”
“ตอนบ่ายฉันจะพานายไปตัดผม”
“อ๊าก!” เจิ้งหลินเทียนกุมศีรษะไว้ นั่งลงโอดครวญ
ยกตัวอย่างอีกเช่นว่าตอนเจิ้งหลินเทียนนวดแป้ง เขาก็เอามือไปจับหมวกโดยไม่ทันระวัง พอหานต้งเห็นเข้าก็ตีมือเขา อีกทั้งกำชับว่าต้องใส่ผ้าปิดปากให้ดี ตอนนวดแป้งห้ามมือบอนไปแตะของสกปรก
เจิ้งหลินเทียนน้อยใจมาก คิดว่าเสื้อผ้าของตนเองไม่ได้สกปรกสักหน่อย
แต่หานต้งก็ยังอบรมเขาไปยกหนึ่ง
ดูมาตั้งแต่ต้นจนจบ หานต้งล้วนอบรมสั่งสอนเจิ้งหลินเทียนตลอด แม้จะบอกว่าทำเพื่อสุขอนามัยของอาหารหรือเพื่อรสสัมผัสของอาหาร แต่ดูแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนรู้สึกว่าทำเกินกว่าเหตุไปบ้าง
เนื้อหาพวกนี้ถ้าจะตัดต่อเข้าไป อาจจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเท่าไรนัก แต่พอคิดถึงความต้องการของทีมผู้กำกับแล้ว…คอนเทนต์และสไตล์ที่ต่างกัน แย่งซีนให้ได้ เจียงเหมยอิ่งกัดฟันแล้วตัดต่อมันเข้าไป
เดิมทีใบหน้าด้านข้างก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงจังและความรับผิดชอบของหานต้งที่มีต่อลูกค้าแล้ว ก็แค่ให้ดูเข้มงวดมากขึ้นอีกสักหน่อย ที่เธอตัดต่อเข้าไปก็คงไม่เลวมั้ง
ฟางเข่อเข่อได้รับวิดีโอตัวอย่างที่เธอตัดต่อ ดูไปรอบหนึ่งก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หานต้งเข้มงวดจริงๆ เลย”
เจียงเหมยอิ่งกุมศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “จะเพิ่มเรตติ้งได้หรือเปล่า”
แววตาน่ากลัวของฟางเข่อเข่อมองมาที่เธอ “เถ้าแก่สุดหล่อที่เข้มงวดแบบนี้ ด่าคนด้วยเสียงน่าฟังขนาดนี้”
“?”
“เธอคิดว่าจะเพิ่มเรตติ้งไม่ได้เหรอ”
“…”
เจียงเหมยอิ่งรายงานความคืบหน้าของทีมโพสต์โปรดักชั่นของพวกเธอให้ทีมผู้กำกับทราบ ถามว่าสามารถใช้ท็อปปิก ‘เถ้าแก่ที่เข้มงวดจนถึงขั้นจู้จี้จุกจิก’ มาทำเป็นไฮไลต์ของสัปดาห์นี้ได้หรือไม่
บรรดาหัวหน้าดูวิดีโอแล้ว เพื่อเพิ่มเรตติ้งนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่า…
“เราถามความยินยอมจากเจ้าตัวก่อนเถอะ ไม่งั้นถ้าเขาเอาเรื่องขึ้นมาคงไม่ดีแน่”
ดังนั้นผู้ช่วยผู้กำกับจึงเริ่มถามความเห็นของผู้กำกับต่อหน้าเจียงเหมยอิ่ง ผลที่ได้รับกลับมากลับกลายเป็นว่า “ตามใจพวกเขาก็แล้วกัน”
ใบหน้าผู้ช่วยผู้กำกับเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน “ดูเหมือนว่าที่ร้านของพวกเขาจะยุ่งมาก ก็เลยบอกว่าตามใจพวกเรา ไม่เป็นไร”
เจียงเหมยอิ่งกำลังจะพูด “งั้น…”
“งั้นก็ทำตามกระบวนการของเธอตอนนี้เถอะ” ผู้กำกับทำการตัดสินใจ
พูดแบบนี้แล้ว เจียงเหมยอิ่งก็เดินกลับห้องสตูดิโอไปกับฟางเข่อเข่ออย่างอารมณ์ดี ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ไม่นาน เทป ‘ทัวร์ชิมร้านบะหมี่โหย่วเจียน’ ของรายการ ‘ทัวร์ชิมทั่วจีน’ ก็ออนแอร์อย่างเป็นทางการ
หลังจากออนแอร์ เรตติ้งของรายการก็พุ่งพรวดอย่างที่คิดไว้ ทีมผู้กำกับหัวเราะชอบอกชอบใจ ทว่าหลังจากนั้นไม่เกินสองวัน ทั้งทีมทำรายการรวมไปถึงทั้งบริษัทต่างก็ยิ้มไม่ออก
รายการสัปดาห์นี้ทำให้เกิดประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์ ความเห็นแตกออกเป็นสองเสียง และศูนย์กลางของการโต้เถียงอันรุนแรงนี้ก็คือหานต้ง
มีคนบอกว่าหานต้งเป็นคนมีสปิริตในการทำงานและพิถีพิถัน จึงไปกินอาหารที่ร้านบะหมี่ของเขาได้อย่างสบายใจ
แต่ก็ยังมีคนอีกมากที่ตำหนิหานต้งว่าทำเกินกว่าเหตุ จู้จี้จุกจิก ปฏิบัติกับลูกศิษย์อย่างจอมเผด็จการและกดขี่ข่มเหงพนักงาน
ถึงขั้นมีคนไปค้นหาเวยป๋อของหานต้งและโพสต์ด่าเขา
อืม โชคร้ายที่เวยป๋อนั่นก็คือเชฟแคปนั่นเอง
เจียงเหมยอิ่งและฟางเข่อเข่อในฐานะคนตัดต่อและทำไฟนอลจึงถูกกดดันอย่างหนัก เนื้อหาต้นฉบับยาวมาก ข้อบกพร่องในนิสัยของหานต้งที่ถูกเปิดเผยออกไปไม่ใช่การปล่อยหลุดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นสิ่งที่ทีมงานเบื้องหลังทั้งสองคนจงใจทำ หานต้งก็เหมือนกับพวกเผด็จการไม่ใช่หรือไงกัน
ทีมผู้กำกับทั้งยินดีทั้งกังวล ด้านหนึ่งคิดว่าการที่รายการดังขึ้นมาเป็นเรื่องดี อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับทางหานต้ง เพราะพวกเขาได้ยินมาว่าเบื้องหลังครอบครัวของหานต้งไม่ธรรมดา ดังนั้นจะไปตอแยด้วยไม่ได้
4
วันหนึ่งขณะที่เจียงเหมยอิ่งกำลังกินสลัดที่ตัวเองทำเป็นมื้อกลางวัน แขกไม่ได้รับเชิญท่านหนึ่งก็มาเยือนถึงประตู
เด็กหนุ่มสวมเสื้อแจ็กเก็ตและสวมหมวกกันน็อก หิ้วกล่องส่งอาหารใบหนึ่งเข้ามาในบริษัทอย่างเหนื่อยหอบ เพียงเอ่ยถามก็หาโรงอาหารเจอ
ผู้กำกับกำลังกินสามชั้นตุ๋นน้ำแดง พอเห็นคนมา เนื้อหมูที่อยู่ในตะเกียบก็หล่นลงไปในชาม เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “อ้าว พ่อหนุ่ม มาได้ยังไงเนี่ย”
เจียงเหมยอิ่งมุงดูอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้คุ้นตามาก แต่ใบหน้าเขามีหมวกกันน็อกบังไว้จึงมองเห็นไม่ชัด
“ผู้กำกับ พวกคุณทำให้อาจารย์ผมเจอหายนะแล้ว!” รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าผู้กำกับยังไม่ทันจางหายก็ได้ยินเด็กหนุ่มคนนั้นโอดครวญออกมาทันใด เสียงดังไปทั่วทั้งโรงอาหาร
รอยยิ้มบนใบหน้าผู้กำกับแข็งค้างไป เขายกมุมปากด้วยความอับอาย มองดูเพื่อนร่วมงานที่มุงอยู่รอบๆ สุดท้ายสายตาก็ตกไปอยู่ที่เจียงเหมยอิ่ง
เจียงเหมยอิ่งรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก และมีลางสังหรณ์แปลกๆ
“อ่ะแฮ่ม พ่อหนุ่ม คุณรอเดี๋ยวนะ เราเปลี่ยนที่คุยกันดีกว่า” ผู้กำกับพูดก่อนจะส่งจานอาหารให้กับเพื่อนร่วมงานที่กินข้าวด้วยกัน ให้เขาช่วยจัดการ จากนั้นก็พาชายหนุ่มคนนั้นออกจากโรงอาหารไป
ตอนเดินผ่านเจียงเหมยอิ่ง เขากดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “อ่ะแฮ่ม เสี่ยวเจียง เธอมากับฉัน”
เจียงเหมยอิ่งเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฉัน?”
ฟางเข่อเข่ออยู่ด้านข้างมองผู้กำกับ มองเจียงเหมยอิ่ง แล้วก็มองเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะมาส่งดีลิเวอรี่คนนั้น สุดท้ายก็เบิกตากว้าง เผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ
ผู้กำกับสังเกตเห็นเธอ ขณะกำลังจะพูด ฟางเข่อเข่อก็รีบยกจานอาหารแล้วกระซิบว่า “กินเสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปทำเอฟเฟ็กต์ เหมยอิ่ง ฉันไปนะ”
จากนั้นก็ผละไปจากสถานการณ์อันไม่เป็นมงคลนี้ทันที ทิ้งให้เจียงเหมยอิ่งมองดูเธอโบกมือลาอย่างโดดเดี่ยวเคว้งคว้าง
ผู้กำกับเหลือบตามองเจียงเหมยอิ่ง “เธอกินเสร็จหรือยัง”
เจียงเหมยอิ่งไหนเลยจะกินลงอีก ปกติก็ไม่ค่อยอยากอาหารอยู่แล้ว เธอปิดฝากล่องทัปเปอร์แวร์แล้วเก็บกลับเข้าไปในถุง เธอยืนขึ้นและเอ่ยเสียงเบาว่า “เสร็จแล้วค่ะ”
เธอหลุบตาลง พูดเสียงอุบอิบ และไม่มองเด็กหนุ่มส่งอาหารคนนั้น เพียงก้มหน้าก้มตาคางชิดอก เมื่อมีคนนอกที่ไม่คุ้นเคยกัน เธอก็มักจะเป็นเหมือนมนุษย์ล่องหน ทำให้รู้สึกถึงการมีอยู่ของเธอน้อยที่สุด
ผู้กำกับพาทั้งสองคนเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง เชิญเด็กหนุ่มส่งอาหารคนนั้นให้นั่งลง
เด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ยอมนั่ง ดูท่าทางรีบร้อน “ไม่ดีกว่าครับผู้กำกับ ผมยังต้องไปส่งอาหารอีก อาจารย์รอผมอยู่ ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วน ยุ่งมากเลย”
“…”
เจียงเหมยอิ่งได้ยินเสียงก็รู้สึกคุ้นๆ พอกวาดตามอง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้สีหน้าของฟางเข่อเข่อถึงได้แปลกไป
นี่ก็คือศิษย์ของเถ้าแก่หานต้งของร้านบะหมี่โหย่วเจียนร้านนั้น เจิ้งหลินเทียนนั่นเอง
นายตัวป่วนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มไม่เอาถ่านที่อยู่ในรายการที่เจียงเหมยอิ่งตัดต่อ เขามักจะถูกอาจารย์ของตนอบรมสั่งสอนบ่อยๆ ทว่าตอนนี้ตัวเป็นๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และดูเหมือนว่าจะมาร้องทุกข์อีกด้วย
ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมาก
เจียงเหมยอิ่งมีลางสังหรณ์ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่
ผู้กำกับกระแอมเบาๆ แล้วถามอย่างเก้อกระดาก “นั่น…เสี่ยวเจิ้งใช่ไหม เสี่ยวเจิ้ง คุณมีธุระอะไรเหรอ”
“ผู้กำกับ รายการของพวกคุณทำเราเกือบตาย” เจิ้งหลินเทียนกล่าวอย่างทุกข์ใจ “หลังจากรายการนั่นออนแอร์ไป เราค้าขายดีขึ้นมาก แต่ว่าลูกค้าพวกนั้นทุกครั้งหลังกินเสร็จก็มักจะโต้เถียงกับอาจารย์ของผม บอกให้เขาใจเย็นลงบ้าง อย่ารังแกผมอะไรทำนองนั้น ไม่รู้ว่าใครปล่อยเบอร์มือถือและเวยป๋อของอาจารย์ออกไป คนมาตำหนิในเวยป๋อก็แล้วไป ยังปิดทิ้งได้ แต่โทรมากวนเขาสายแล้วสายเล่า ไม่หยุดกันสักที”
เจิ้งหลินเทียนคับอกคับใจมากจริงๆ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเพราะอาจารย์ที่รักยิ่งได้รับความเดือดร้อนจากการถูกก่อกวน ขอบตาจึงแดงเรื่อขึ้นมา
“ผมได้ดูรายการของสัปดาห์นั้นมาแล้วนิดนึง ทำไมพวกคุณถึงตัดต่อแบบนี้ ดูๆ แล้วก็สนุก แต่อาจารย์ของผมไม่ได้มีนิสัยโอเวอร์ขนาดนั้นสักหน่อย เขามีความรับผิดชอบมาก และก็อดทนกับผมมาก ไม่ได้ใจร้ายเหมือนอย่างที่เห็นในรายการขนาดนั้นสักหน่อย” เจิ้งหลินเทียนพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เรื่องนี้พวกคุณต้องเคลียร์ปัญหาให้ผมนะ”
ในฐานะผู้กำกับและเคยคลุกคลีกับหานต้งด้วยตัวเอง เขาย่อมรู้ดีว่าหานต้งแค่มีนิสัยค่อนข้างเข้มงวดจริงจัง และก็ค่อนข้างพูดน้อยเย็นชาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นพวกเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ขนาดนั้นอย่างที่ได้ตัดต่อไป
เจียงเหมยอิ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนเสา ไม่พูดไม่จาและก็ไม่นั่ง สักพักทุกคนก็ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่
ผู้กำกับเหลือบตามองเธอครู่หนึ่ง ถอนหายใจพลางกล่าว “เสี่ยวเจิ้ง เรื่องนี้น่ะเป็นเพราะพวกเราคิดไม่รอบคอบเอง ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าอยากได้เรตติ้ง ถึงจะถามความเห็นจากเถ้าแก่หานแล้ว และเถ้าแก่หานก็ให้เราทำรายการได้ตามสบาย แต่เราก็ทำการล่วงล้ำไป เรื่องนี้เราผิดเอง ต้องขอโทษจริงๆ นะ”
คนมุทะลุอย่างเจิ้งหลินเทียนไม่ค่อยได้สัมผัสกับคนระดับหัวหน้าที่ใช้คำพูดคำจาอย่างเป็นทางการเท่าไรนัก พอได้ยินก็นิ่งอึ้งไป ทันใดนั้นก็เกาหน้าด้วยความเกรงอกเกรงใจ “นี่…จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณทั้งหมดหรอก…”
“เอาอย่างนี้ เราจะแถลงการณ์บนเวยป๋อของรายการ แล้วก็จะให้คำอธิบายผ่านช่องทางอื่นๆ ด้วย” ผู้กำกับบอกวิธี จากนั้นก็แนะนำเจียงเหมยอิ่งให้เจิ้งหลินเทียนรู้จัก “อ้อใช่ นี่คือคนตัดต่อรายการของเรา แซ่เจียง”
“อ้อ สวัสดีครับ” เจิ้งหลินเทียนรีบพยักหน้า ถอดหมวกกันน็อกของตัวเองออกแล้วทักทาย
เจียงเหมยอิ่งมองเจิ้งหลินเทียน เปล่งเสียงตอบรับจากลำคอแล้วพยักหน้า
เขาไม่ได้ใส่ใจปฏิกิริยาตอบรับอันเย็นชาของเจียงเหมยอิ่งนัก แล้วมองผู้กำกับ “ดังนั้นรายการนี้เธอเป็นคนตัดต่อ?”
เจียงเหมยอิ่งเป็นคนไม่เข้าสังคม แต่ก็พอจะมองแววตาของคนอื่นเป็น
เธอมองตาผู้กำกับแล้วเอ่ยกับเจิ้งหลินเทียนว่า “รายการนี้ฉันตัดต่อเองค่ะ ต้องขอโทษด้วย เพราะความสะเพร่าของฉันเลยสร้างความวุ่นวายให้กับพวกคุณ”
เสียงของเจียงเหมยอิ่งเบามาก แต่ก็พูดชัดถ้อยชัดคำ เจิ้งหลินเทียนตั้งใจฟังก็เข้าใจ
เขารู้สึกผิดนิดหน่อย “ไม่ต้องหรอกครับ คุณเจียง ผมก็แค่มาฟีดแบ็กสถานการณ์ อันที่จริงสำหรับเราแล้วไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย”
เจียงเหมยอิ่งไม่กล่าวคำใดออกมา
ผู้กำกับพูดอีกไม่กี่ประโยคก็พาตัวเจิ้งหลินเทียนออกมาจากห้องทำงานโดยมีเจียงเหมยอิ่งตามหลัง
“เสี่ยวเจิ้ง กลับไปทักทายอาจารย์ของคุณแทนผมด้วยนะ” น้ำเสียงของผู้กำกับสุภาพอ่อนโยนมาก
เจียงเหมยอิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเกรงใจเจ้าของร้านบะหมี่เล็กๆ ธรรมดาๆ ขนาดนั้น
“ได้เลยๆ อ้อ ผู้กำกับ ในกล่องยังมีบะหมี่เนื้ออีกสองชาม อาจารย์ลงมือทำเองเลยนะครับ ให้พวกคุณก็แล้วกัน พอดีว่ามาส่งดีลิเวอรี่แล้วเขายกเลิกไปสองรายการ” เจิ้งหลินเทียนบอกก่อนจะหยิบบะหมี่เนื้อสองชามออกมาจากกล่องส่งอาหารที่อยู่ตรงมุมผนัง
พอเจียงเหมยอิ่งเห็นการกระทำของเขาก็รีบหันหลัง ผ่อนลมหายใจยาว
ผู้กำกับรับบะหมี่มาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เกรงใจจริงๆ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ”
พอส่งเจิ้งหลินเทียนกลับ ผู้กำกับก็หันกลับมามองเจียงเหมยอิ่ง เอ่ยอย่างสงสัย “หันหลังให้ฉันทำไม”
เจียงเหมยอิ่งกระแอม เมื่อไม่มีคนแปลกหน้าอยู่ในห้อง เสียงของเธอจึงชัดเจนขึ้นมาก “ผู้กำกับ ฉันทำผิดไปเหรอคะ”
“เฮ้อ แน่นอนว่าเธอทำผิด และแน่นอนว่าพวกเราก็ผิดด้วยกัน” เขากล่าวขณะวางบะหมี่ลงด้านข้าง นั่งบนเก้าอี้ของตนเองอย่างอ่อนแรงและทอดถอนใจ “ไม่ทันระวังก็ไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้าให้แล้ว ถ้าเขาไม่ยกโทษให้ พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
เจียงเหมยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าถึงได้กังวลขนาดนี้ แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว หานต้งคนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ควรไปตอแยแน่ๆ
โชคดีที่ตอนเธอมาอยู่ปักกิ่งก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับท่านนี้ เลยค่อนข้างคุ้นเคยกับความคิดความอ่านของเขา จึงกล่าวว่า “ผู้กำกับหลิวคะ ถ้างั้นให้ฉันไปขอโทษหานต้งต่อหน้าที่ร้านบะหมี่โหย่วเจียนดีไหมคะ ถึงยังไงฉันก็เป็นคนตัดต่อ ฉันผิดเอง”
มีลูกน้องยอมรับผิดชอบนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่ผู้กำกับไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ จึงพยักหน้า “ ดีๆๆ ฉันจะให้ฝ่ายการเงินเพิ่มโบนัสให้เธอ!”
“…” เจียงเหมยอิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นมา “เพิ่มเท่าไหร่คะ”
“…”
เจียงเหมยอิ่งพูดอีกว่า “เอาอย่างนี้ ผู้กำกับ บ้านฉันกับร้านบะหมี่โหย่วเจียนอยู่ห่างกันคนละมุมเมือง ให้เป็นเบี้ยเลี้ยงทำงานนอกสถานที่ได้ไหมคะ”
“นี่มันเป็นการทำงานนอกสถานที่ที่ไหนกันเล่า!” ผู้กำกับหลิวตะคอกพลางตบโต๊ะ
ท้ายที่สุดเจียงเหมยอิ่งก็ออกไปอย่างพึงพอใจ ผู้กำกับหลิวตะโกนเรียกเธอให้หยุด แล้วชี้ไปที่บะหมี่บนโต๊ะ “เมื่อกี้เธอยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จสินะ เห็นวันๆ เธอเอาแต่กินอาหารลดน้ำหนักอะไรนั่น ผอมขนาดนี้ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว นี่ เมนูซิกเนเจอร์ของร้านบะหมี่โหย่วเจียน บะหมี่เนื้อติดเหรียญทอง หยิบไปกินสักชามสิ”
เมื่อกี้เจียงเหมยอิ่งพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มองไปที่บะหมี่เนื้อมาโดยตลอด ไม่คิดว่าจะได้รับความห่วงใยจากผู้กำกับ ในใจพลันรู้สึกสับสนปนเป
เธออยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ลังเลอยู่นาน สุดท้ายแล้วก็หยิบบะหมี่กลับไปที่ห้องสตูดิโอ เชิดหน้าตลอดเวลา พยายามไม่ให้ตัวเองมองอาหารในมือ
การกระทำนี้ทำให้เพื่อนร่วมงานที่เดินสวนกันระหว่างทางต่างก็สงสัย ถามเจียงเหมยอิ่งว่านอนคอตกหมอนหรือเปล่า
พอกลับถึงห้องสตูดิโอ ฟางเข่อเข่อก็เข้ามาต้อนรับและถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป ผู้กำกับตำหนิเธอเหรอ เด็กนั่นเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ทำไมต้องเรียกเธอเข้าไป”
เจียงเหมยอิ่งโยนบะหมี่ทิ้งไปด้านข้าง จ้องอีกฝ่ายอย่างโมโห “เธอยังจะมาพูดอีก! เธอนี่ไร้มนุษยธรรมจริงๆ ผู้กำกับหลิวก็จะเรียกเธอ แต่เธอดันหนีไปซะก่อน เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันยืนฟังคำด่าอยู่ตรงนั้นคนเดียว อับอายแค่ไหน!”
“เอ่อ…โดนด่าจริงๆ ด้วยสินะ เพราะอะไรเหรอ” ฟางเข่อเข่อสงสัย
เจียงเหมยอิ่งนำคำพูดของเจิ้งหลินเทียนมาพูดอีกรอบ ฟางเข่อเข่อปากอ้าตาค้าง “โห ก็แค่รายการวาไรตี้ไม่ใช่หรือไง ถึงกับมีคนมาระบายความโกรธเพื่อผดุงธรรมเยอะแยะขนาดนี้เชียว ฉันยังนึกว่าเห็นหานต้งหน้าตาดีก็ให้อภัยได้ซะอีก”
เจียงเหมยอิ่งกลอกตา “เธอคิดว่าคนที่มาระบายอารมณ์กับเขาเป็นผู้ชายหมดเลยสินะ”
ฟางเข่อเข่อพิงโต๊ะทำงานของเจียงเหมยอิ่ง ก้มหน้าถามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก “ทำไมล่ะ ต้องไปขอโทษจริงๆ เหรอ”
เจียงเหมยอิ่งเหล่ตามองเธอ “แล้วจะให้ทำไงล่ะ แต่หัวหน้าบอกว่าจะเพิ่มโบนัสเดือนนี้ให้ฉันนะ”
“โธ่เว้ย!” ฟางเข่อเข่ออดบีบข้อมือด้วยความเสียดายไม่ได้ “รู้งี้ฉันไปให้ด่าด้วยก็ดี!”
“เอ๊ะ แล้วนี่เธอเอามาจากไหน สั่งดีลิเวอรี่? ไม่เคยเห็นเธอสั่งดีลิเวอรี่เลยนี่” ฟางเข่อเข่อสังเกตเห็นบะหมี่เนื้อที่ถูกเจียงเหมยอิ่งเอาวางไว้ไกลๆ จึงถาม
“เจิ้งหลินเทียนเอามาส่งแล้วโดนยกเลิกออเดอร์ก็เลยยกให้ฉันกับผู้กำกับหลิว ให้เธอกินก็แล้วกัน” เจียงเหมยอิ่งกินของพวกนี้ไม่ได้
“อย่างมากฉันก็กินแค่เนื้อสักชิ้นแล้วซดน้ำซุปสักอึก เมื่อกี้เพิ่งจะกินอิ่มมา”
ฟางเข่อเข่อลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เจียงเหมยอิ่ง ยกบะหมี่มาวางไว้ตรงหน้าและเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นี่เป็นบะหมี่เนื้อซิกเนเจอร์ของร้านบะหมี่โหย่วเจียนเชียวนะ ฉันขอกินดูหน่อย ถ้าอร่อยก็จะกินเยอะๆ แต่ถ้าไม่อร่อยเธอก็มากินซะ”
เจียงเหมยอิ่งเห็นฟางเข่อเข่อจะแกะห่ออาหารต่อหน้าตนเอง ก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างทันที
“เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหน รีบมาดมสิ หอมฉุยเลย กลิ่นของอร่อยยั่วน้ำลายทีเดียว!” ฟางเข่อเข่อกวักมือเรียกเธอ
เสียงกรอบแกรบดังมาจากตรงนั้น คาดว่าฟางเข่อเข่อคงจะเปิดกล่องอาหารดีลิเวอรี่แล้ว ฟางเข่อเข่อยังพูดไม่ทันจบ เจียงเหมยอิ่งก็ได้กลิ่นที่ปกติไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน กลิ่นของเนื้อวัวที่คละเคล้ากับกลิ่นของแป้งสาลี อีกทั้งยังมีความสดใหม่ที่อธิบายไม่ถูกอีกด้วย เจียงเหมยอิ่งไม่เคยได้กลิ่นบะหมี่เนื้อที่หอมขนาดนี้มาก่อน
แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ไม่ได้รู้สึกพะอืดพะอมหลังได้กลิ่นของกินเลย
เจียงเหมยอิ่งหันไปมองบะหมี่ชามนั้นด้วยความตกตะลึง ห่างออกไปสิบกว่าก้าว เธอมองเห็นบะหมี่ไม่ชัด ดังนั้นจึงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างระมัดระวัง บะหมี่ชามนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า
ฟางเข่อเข่อสูดเส้นบะหมี่ เห็นใบหน้าของเจียงเหมยอิ่งอยู่เหนือใกล้ๆ ตนเอง จึงเงยหน้ามองเธอและกวักมือเรียก “กลับมาสิ มากินเร็ว”
เจียงเหมยอิ่งยกมือกุมหน้าอกของตนเอง อีกมือหนึ่งก็ค้ำร่างเอาไว้ ในใจรู้สึกตื่นตะลึง
เธอซดน้ำซุป ทันใดนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอ
แม้จะไม่เหมือนกันทั้งหมดเสียทีเดียว แถมยังอร่อยยิ่งกว่ารสชาติที่อยู่ในความทรงจำ ทว่าความรู้สึกที่อบอุ่นนี้เป็นความรู้สึกเดียวกับที่บะหมี่เนื้อซึ่งลืมไม่ลงชามนั้นได้มอบให้กับเธอ
5
เจียงเหมยอิ่งรู้ว่าตนเองจะต้องไปที่ร้านบะหมี่โหย่วเจียน
ไม่ว่าจุดประสงค์จะไปเพื่อแสดงความขอโทษ หรือจะไปหาสาเหตุว่าทำไมเธอถึงได้ไม่มีอาการคลื่นไส้กับอาหารของร้านบะหมี่โหย่วเจียนก็ตาม
และตอนนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลใหม่
เธอยังต้องช่วยหานต้งทำสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ
หลังจากชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าผ่านพ้นไป ร้านบะหมี่โหย่วเจียนก็เข้าสู่ช่วงเวลาว่างครั้งแรกของวันนี้ ในที่สุดหวงหรูหรูก็ได้พักสักที
หมู่เมฆปกคลุมดวงอาทิตย์ เมื่อคืนฝนตกทั้งคืน ในอากาศเจือไอชื้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นติดต่อกันในเดือนมีนาคมลดลงไปต่ำกว่าสิบห้าองศาเซลเซียสอย่างฉับพลัน
หวงหรูหรูเปิดประตูให้อากาศสดชื่นถ่ายเทเข้ามาในร้าน ใบการบูรที่อยู่นอกประตูถูกลมฝนพัดทั้งคืนจนร่วงลงมาเต็มพื้น เปียกแฉะไปด้วยน้ำฝนและเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วท่ามกลางอากาศชื้นแฉะในฤดูใบไม้ผลิ
เธอหยิบไม้กวาดกวาดใบไม้และขยะที่อยู่บนทางเท้าหน้าร้านใส่ลงถังขยะ ใช้แรงจับไม้กวาดอัดใบไม้ลงไป เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วและหันกลับไปก็เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบสามปี แต่งตัวดูดีมีสไตล์ มองมาที่ตนอย่างระแวดระวัง
ผมสั้นสีน้ำตาลยาวเท่าติ่งหู แต่งหน้าได้เนี้ยบและดูดี สีลิปสติกน่าจะเป็นสีชมพูนู้ดที่ฮิตกันในช่วงนี้ เธอใส่ต่างหูขนนกนุ่มฟูคู่หนึ่ง กระโปรงสีฟ้าครามที่ดูเรียบสวยบนตัวเธอช่วยขับเน้นให้ดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น หญิงสาวคนนี้สวยมาก ที่น่าดึงดูดที่สุดคือดวงตากลมโตเป็นประกายมีเสน่ห์คู่นั้นของเธอ จ้องมองมาอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง กระทั่งหวงหรูหรูที่เป็นผู้หญิงก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้
เป็นดวงตาที่พูดได้จริงๆ
เจียงเหมยอิ่งเห็นหน้าหวงหรูหรูในวิดีโอต้นฉบับมานับร้อยนับพันครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวเป็นๆ พอเห็นอีกฝ่าย ในหัวก็เต็มไปด้วย ‘เพราะว่าเราคือครอบครัวยังไงล่ะคะ~’
‘ครอบครัวยังไงล่ะคะ~ ครอบครัวยังไงล่ะคะ~’
ประโยคนี้ดูอบอุ่นมาก แต่เพราะถูกเจียงเหมยอิ่งตัดต่อไว้ในวิดีโอฉบับสำเร็จในช่วงสุดท้ายถึงห้าหกรอบ จึงล้างสมองเจียงเหมยอิ่งจนหลอนขึ้นมา
เธอกระแอมเบาๆ หลุบตาลงไม่กล้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะทักทายเสียงเบา “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่า…ร้านเปิดหรือยังคะ”
หวงหรูหรูเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพยักหน้า “เปิดค่ะๆ เชิญเข้ามาเลยค่ะ”
เจียงเหมยอิ่งเงยหน้าสำรวจป้ายร้านครู่หนึ่ง ป้ายร้านที่เห็นในวิดีโอเหมือนกันกับที่เห็นอยู่ตอนนี้ สะอาดใหม่เอี่ยม แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีคนทำความสะอาดทุกวัน
ตอนนี้ใกล้จะสิบโมงแล้ว จะกินมื้อเช้าก็สายไปหน่อย จะกินมื้อเที่ยงก็เร็วเกินไป เวลานี้ร้านบะหมี่ไม่มีคนสักคนจึงโล่งมาก
พอเข้าไปในร้าน หวงหรูหรูก็เอ่ยอย่างเป็นมิตร “เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยค่ะ”
เจียงเหมยอิ่งกวาดสายตามองที่นั่งในร้านรอบหนึ่ง ก่อนจะย่างเท้าเบาๆ ไปหาที่นั่งตรงมุมและนั่งลงพิงผนัง
หวงหรูหรูชี้ไปยังเมนูอาหารที่อยู่บนผนังแล้วถามเธอ “เมนูอาหารอยู่บนผนังนะคะ ต้องการอะไรบอกฉันได้เลย”
เจียงเหมยอิ่งเงยหน้ากวาดตามองบนผนังรอบหนึ่ง แล้วก็อ่านอีกรอบ รู้สึกลังเล
เธออยากกินไปหมด แต่ก็กังวลว่าตนเองจะกินไม่ลงสักอย่าง
หวงหรูหรูยืนอยู่ด้านข้าง ว่างจนเริ่มควงปากกาเล่น ได้ยินเจียงเหมยอิ่งที่จู่ๆ ก็พึมพำอะไรสักอย่างออกมา เสียงนั้นราวกับถูกกดอยู่ในลำคอแล้วใช้ลมเปล่งเสียงออกมา เมื่ออยู่ห่างกันสักหนึ่งเมตรก็ไม่ได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่
หวงหรูหรูค้อมตัวลง และเข้ามาใกล้เธอ “คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
ถูกหวงหรูหรูเข้ามาใกล้กะทันหัน เจียงเหมยอิ่งจึงตกใจแล้วถอยหลังไป พอได้ยินคำถามของอีกฝ่ายจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นนิดหน่อย แล้วถาม “เถ้าแก่อยู่ไหมคะ”
พอมาก็ถามหาเถ้าแก่? หวงหรูหรูประหลาดใจ
เสียงของสาวสวยคนนี้เบามากจริงๆ น้ำเสียงเหนียมอาย ดูเหมือนค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว
หวงหรูหรูชี้ปลายปากกาขึ้นไปข้างบน “เถ้าแก่ขึ้นไปหยิบของข้างบนค่ะ เดี๋ยวก็กลับลงมาแล้ว มาหาเขามีธุระอะไรเหรอคะ”
เจียงเหมยอิ่งควรจะพูดอย่างไรดีล่ะ มาขอโทษ? หน้าเธอบางจะตายไป พูดไม่ออกหรอก
เงินโบนัสก้อนนี้ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ขนาดนั้นจริงๆ ถ้าฟางเข่อเข่อมา เธออาจจะตบโต๊ะเสียงดังเพียะแล้วพูด ‘ขอโทษ’ หานต้งสิบแปดภาษาสักแปดร้อยรอบ ทว่าเจียงเหมยอิ่งมาถึงที่นี่ คำพูดกลับติดอยู่ที่คอ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สุดท้ายแล้วเธอก็ทำได้แค่พยักหน้า “มีธุระนิดหน่อยค่ะ ฉันจะรอ”
หวงหรูหรูเกาศีรษะ ในใจคิดว่าคงไม่ใช่ผู้ชมรายการทัวร์ชิมทั่วจีนมาหาเรื่องเถ้าแก่หรอกล่ะมั้ง แต่ผู้หญิงคนนี้ดูสุภาพ โลกส่วนตัวสูง และก็ไม่เหมือนคนไร้เหตุผลแบบนั้น อีกอย่าง คนที่มาหาเรื่องกว่าครึ่งมักจะเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงหลังจากได้เจอเถ้าแก่แล้ว ต่างก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือและวีแชตเพื่อสานสัมพันธ์
หวงหรูหรูคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายได้แต่รวบรวมคำพูดเป็นประโยคว่า “งั้นคุณรอสักครู่นะคะ มีอะไรก็เรียกฉันได้เลย”
เจียงเหมยอิ่งพรูลมหายใจออกมาทันใด
เธอสำรวจการจัดวางในร้านอย่างละเอียด นำทุกอย่างมาเทียบกับภาพวิดีโอที่อยู่ในความทรงจำ เมื่อได้ทดสอบด้วยตัวเอง เธอยิ่งสัมผัสได้ถึงสุขอนามัยรวมไปถึงความอบอุ่นของร้านแห่งนี้ การจู้จี้จุกจิกของหานต้งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนการที่เธอจงใจป้ายสีให้หานต้งเพื่อดึงเรตติ้งเป็นสิ่งที่ผิด เธอควรขอโทษ
ในร้านบะหมี่โหย่วเจียนมีโต๊ะแปดตัว บนโต๊ะสะอาดสะอ้าน ตะเกียบ ช้อน ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู พริก กระดาษทิชชู มีครบทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าหานต้งคนนี้เป็นคนที่เอาใจใส่และเข้าใจในความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก
กลิ่นหอมของน้ำพะโล้จากในห้องครัวพลันลอยมาแตะจมูก กลิ่นนี้เหมือนกับบะหมี่ที่เจิ้งหลินเทียนให้มาในวันนั้น เมื่อได้กลิ่นแล้วทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจ ทำให้เจียงเหมยอิ่งถึงขั้นรู้สึกว่าตนเองมีความอยากอาหารขึ้นมาบ้าง
ทว่าเมื่อดูเมนู นี่ก็เป็นเพียงร้านเล็กๆ ธรรมดาๆ ที่ขายบะหมี่และพะโล้เป็นหลัก คล้ายกับแฟรนไชส์ร้านซาเซี่ยน ทำไมถึงมาจับกระแสอาหารลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพตามสั่งกัน ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับสไตล์และทำเลของร้านนี้ อีกอย่าง วัตถุดิบของอาหารลดน้ำหนักก็ไม่ใช่ถูกๆ
คนคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัวและตะโกนว่า “หวงหรูหรู วันนี้เป็นวันเกิดของอาจารย์นะ จะไปเอาเค้กเมื่อไหร่”
หวงหรูหรูตอบโดยไม่เงยหน้า “ตอนว่างๆ ช่วงบ่ายก็ได้ เมื่อกี้มีพัสดุส่งมาจากปักกิ่ง คงจะเป็นของที่ส่งให้เถ้าแก่ นายไปรับที่ล็อบบี้อพาร์ตเมนต์ข้างๆ หน่อยสิ”
“อ้อ…เป็นของที่อาจารย์ของอาจารย์ส่งมาเหรอ” คนคนนั้นตอบรับ เมื่อเดินออกมาข้างนอกก็พบกับคนที่นั่งอยู่ในร้าน
เจียงเหมยอิ่งกำลังฟังบทสนทนาของทั้งสองคน เธอรู้สึกว่ามีจุดแปลกๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินคนที่ออกมาจากห้องครัวร้องขึ้นด้วยความเซอร์ไพรส์ “อ้าว คุณเจียง ไม่นึกว่าคุณจะมา!”
พอเจียงเหมยอิ่งเงยหน้ามอง เจิ้งหลินเทียนจอมหัวร้อนคนนั้นก็กำลังมองเธออยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เจียงเหมยอิ่งฉีกยิ้มอย่างเก้อกระดาก สายตาล่อกแล่ก ห่อไหล่ลง และทักทายว่า “ไฮ…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.