บทที่ 1
เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็นยามวิกาลที่ผู้คนหลับใหล ทุกสรรพสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด
กระนั้นในพระราชวังอันใหญ่โตโอฬาร ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือข้ารับใช้ที่หมอบอยู่ในท้องพระโรงมาเป็นเวลานานค่อนข้างชินชากับเสียงนี้เสียแล้ว บนพื้นกระเบื้องสีทองล้วนคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนจำนวนมากโดยไม่แบ่งชนชั้นยศถาบรรดาศักดิ์
บนท้องพระโรงของตำหนัก เสียงสาดน้ำชะล้างพื้นแผ่นหินดังซ่าๆ อยู่ถึงสามหนเต็มๆ ทว่าตามรอยแยกของแผ่นหินยังคงส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนออกมาอย่างไม่จืดจางเลยแม้แต่น้อย
หลังจากตัดศีรษะคนมาทั้งคืนดาบของเพชฌฆาตก็ทื่อทู่จนไร้ความคมอีกต่อไป ในเวลานี้เขากำลังนับศีรษะที่จะแปรเป็นเงินรางวัลในตะกร้าอยู่ที่ด้านล่างของตำหนักโดยอาศัยแสงวับๆ แวมๆ จากโคมไฟด้วยความรู้สึกด้านชา
ผู้คนทุกเพศทุกวัยนั่งคุกเข่าเป็นแถวกันสลอนอยู่ในท้องพระโรง ใบหน้าของแต่ละคนซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว มีหลายคนที่บริเวณใกล้ขาหนีบของพวกเขามีน้ำอุ่นๆ ไหลเจิ่งนองจนเป็นทางยาว
“ท่านราชครูเว่ย องค์หญิงและองค์ชายในวังล้วนประทับอยู่ที่นี่กันทั้งหมดแล้ว ท่านผ่านตาดูเถิดขอรับ!”
ผู้พูดคือ ‘หลี่ว์เหวินป้า’ ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทหารรักษาพระองค์ แม่ทัพใหญ่แห่งเจิ้นหย่วนซึ่งเคยกวาดล้างกองทัพนับพัน กำลังค้อมเอวที่แข็งตั้งตรงตระหง่านปานหอคอยเหล็กเชิญ ‘เว่ยเหลิ่งเหยา’ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งแคว้นต้าเว่ยเข้าไปยังท้องพระโรง
รูปโฉมหล่อเหลาซึ่งมีสีหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจดูเหมือนไม่แปรเปลี่ยนไปเลย ต่อให้เขาก่อการยึดอำนาจในชั่วข้ามคืน บั่นศีรษะโอรสสวรรค์ที่แท้จริงบนบัลลังก์มังกรด้วยน้ำมือของตนเอง ชำระล้างทั้งพระราชวังด้วยเลือด ล้มล้างอำนาจราชวงศ์ต้าเว่ยได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วก็ตาม ทว่าใบหน้านั้นยังคงสงบเรียบผ่อนคลายดุจเดิม
นัยน์ตาวิหคเพลิงอันคมปลาบล้ำลึกกวาดมองทายาทของราชวงศ์ที่ปัสสาวะราดกางเกงไปรอบหนึ่ง ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างผอมบางร่างหนึ่งในบรรดากลุ่มคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเทาเป้ากางเกงเปียกแฉะไปหมด
เขาเหยียดมือชี้ออกไปคราหนึ่ง ทหารรักษาพระองค์สองนายก็ดึงเด็กร่างผอมแห้งแรงน้อยคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มคนที่หมอบอยู่ในท้องพระโรงนั่นทันที
การที่บอกว่าเขาเป็นเด็กนั้นก็ออกจะเกินไปสักหน่อย แต่เพราะขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีผู้นี้มีรูปร่างผอมบางกว่าคนในวัยเดียวกันอยู่บ้าง คางเรียวแหลมขับให้ดวงตากลมโตของเขาดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
เว่ยเหลิ่งเหยามองออกได้อย่างชัดเจนว่าในดวงตาที่ฉายแววเฉลียวฉลาดทั้งคู่ของเด็กหนุ่มนั่น…ไม่มีน้ำตาให้เห็นแม้แต่หยดเดียว พูดง่ายๆ ก็คือนัยน์ตาที่แดงก่ำอยู่บ้างเป็นเพียงอาการตอบสนองน้อยนิดต่อเรื่องโหดร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นในวังเท่านั้น
“เรียนท่านราชครูเว่ย เขาคือ ‘เนี่ยชิงหลิน’ โอรสองค์ที่สิบสี่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่ง ‘สวรรคต’ ไปแล้ว ถือกำเนิดจากลี่ผิน แห่งตำหนักก่วงเอินที่เพิ่งสิ้นชีพไป ปีนี้อายุได้สิบห้าพรรษาแล้วขอรับ” แม้แต่หยวนกงกง ซึ่งรู้เรื่องราวของคนในวังเป็นอย่างดีก็ยังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกนามขององค์ชายที่ถูกละเลยในวังผู้นี้ขึ้นได้ แล้วรีบกระซิบตอบท่านราชครูเว่ยจากด้านหลัง
“สิบห้า? อายุมากไปสักหน่อย…” ราชครูเว่ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก
หยวนกงกงซึ่งเป็นคนสนิทของราชครูเว่ยกลับตระหนักถึงความหมายในคำพูดนั้นได้ทันที จึงรีบให้ความเห็นว่า “องค์ชายสิบหกที่ประสูติจากหนิงเฟยตำหนักหย่งหนิงอยู่ในวัยพอเหมาะ อายุเพียงหกพรรษาเท่านั้น ยังไม่ประสีประสา จำต้องได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากท่านราชครูด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งยวดขอรับ”
ระหว่างที่หยวนกงกงพูดอยู่นั้น องครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงตัวเด็กร่างท้วมในอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มสนมชายาแล้วโยนไปตรงหน้าเว่ยเหลิ่งเหยา
องค์ชายสิบหกเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองบุรุษผู้น่าเกรงขามที่อยู่เบื้องหน้าตน ครั้นสบนัยน์ตาเยียบเย็นราวน้ำแข็งคู่นั้นเขาก็จำได้ว่าอีกฝ่ายบุกเข้าไปในประตูวังเมื่อตอนพลบค่ำ แล้วฟันสังหารเสด็จพ่ออย่างโหดร้ายเลือดเย็นในดาบเดียว จึงสะดุ้งเฮือกตกใจกลัวจนตัวสั่นราวกับลูกนกโดยพลัน รีบหันไปทางกลุ่มคนพวกนั้นพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย!”
หลังร้องเรียกออกไปเพียงครั้งเดียวก็หมดสติไปทันที
หนิงเฟยเห็นโอรสของตนต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็รวบรวมความกล้าขึ้นมา ถึงอย่างไรนางก็เป็นพระชายาที่ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาหลายปี อีกทั้งบิดาของนางก็คือเสนาบดีหรงแห่งกรมปกครองซึ่งเป็นขุนนางระดับสูง สตรีสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีเกียรติมาตลอด ยามเผชิญหน้ากับขุนนางกบฏผู้ซึ่งสังหารราชันแห่งแคว้น ความเย่อหยิ่งที่นางมีก็ลดลงไปหลายส่วน “ทะ…ท่านราชครูเว่ย เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หากท่านมีอะไรก็มาลงที่ข้าดีกว่า เห็นแก่ที่บิดาของข้ามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับท่านราชครู ท่าน…ก็เห็นแก่หน้าของเขา ละเว้นฉีเอ๋อร์ของข้าด้วยเถิด…”
เว่ยเหลิ่งเหยามองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของหนิงเฟยที่งดงามประหนึ่งดอกฝูหรง ต้องน้ำค้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “สกุลหรงของพวกเจ้าอาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้รีดนาทาเร้นราษฎรตามอำเภอใจ ล่อลวงให้ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลง ทำให้ราชสำนักวุ่นวายไร้ระเบียบ พอคิดดูแล้วข้าควรเห็นแก่หน้าผู้อาวุโสหรงสักหน่อยจริงๆ ในเมื่อเขาได้ลาโลกนี้ไปด้วยอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันที่จวนของตนเองก่อนหน้านี้แล้ว พวกเจ้าที่เป็นบุตรหลานก็สมควรจะไปอยู่เป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่า”
ทันทีที่สิ้นเสียงหนิงเฟยก็กรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เดิมทีนางคิดว่าบิดาจะเป็นทางรอดสุดท้ายของตน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อสถานการณ์ในวังเปลี่ยนไป ครอบครัวฝั่งบิดาของตนก็ประสบกับเคราะห์ร้ายกะทันหัน เห็นทีเว่ยเหลิ่งเหยาผู้นี้คงรู้มานานแล้วว่าบิดาของนางเคยวางแผนคิดร้ายต่อเขา เจ้าขุนนางกบฏที่ใจจืดใจดำผู้นี้ไม่มีทางละเว้นนางกับฉีเอ๋อร์เป็นแน่แท้เสียแล้ว…
หนิงเฟยรู้สึกสิ้นหวัง ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี นางลุกขึ้นยืนแล้วโผเข้าไปหาเว่ยเหลิ่งเหยาพร้อมก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง
น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่นางจะเข้าไปถึงตัวเว่ยเหลิ่งเหยา องครักษ์ที่อยู่ข้างกายก็ชักดาบออกมาและแทงสวนเข้าไปก่อนแล้ว หญิงสาวผู้เคยได้ชื่อว่างดงามเหนือผู้ใดในตำหนักในชักกระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนจะล้มลงจมกองเลือดทันที
ไม่ทันไรความชื้นแฉะตรงหว่างขาของบรรดากุ้ยเหริน* ในท้องพระโรงก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นปัสสาวะที่โชยมานั้นทำให้เหล่าองครักษ์ซึ่งรีบรุดเข้าไปในท้องพระโรงอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ บรรดาสนมชายาที่ได้รับการปรนเปรอจนเคยชินหลายคนต่างตกใจกลัวจนเป็นลมหมดสติไปอีกแล้ว
“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการประชวร แต่ราชสำนักไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่วันเดียว สกุลหรงแอบอ้างพระบารมีของฮ่องเต้ อาศัยความเป็นญาติที่ได้รับความโปรดปรานรีดนาทาเร้นราษฎรตามอำเภอใจมาตลอด การเลือกฮ่องเต้พระองค์ใหม่มิอาจไม่คำนึงถึงนิสัยใจคอของผู้เป็นเครือญาติ…”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ทำให้หยวนกงกงตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อไปเสียแล้ว เขาอดด่าทอตนเองในใจไม่ได้ที่กระทำเรื่องโง่เขลาลงไป
ราชครูเว่ยผู้นี้เป็นที่โปรดปรานตั้งแต่เยาว์วัย อาชีพการงานราบรื่นประสบความสำเร็จมาโดยตลอด หลายปีที่เขาเข้ารับตำแหน่งมานี้ทำให้พวกพ้องของตนเองขยายอำนาจในราชวงศ์ต้าเว่ยอย่างเหิมเกริม น่าเสียดายที่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ สกุลหรงและตระกูลอื่นๆ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนจะยอมให้คนสามัญผู้นี้ผงาดขึ้นไปสู่จุดสูงสุดโดยปราศจากการสนับสนุนจากบรรพบุรุษได้อย่างไรกัน การต่อสู้ในราชสำนักจึงดุเดือดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หากว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างขุนนางผู้มีอำนาจ ฮ่องเต้บางพระองค์อาจเพียงสังเกตการณ์ด้วยท่าทีสงบและให้คำแนะนำบ้าง ซึ่งเป็นวิธีการคานอำนาจสร้างสมดุลระหว่างกลุ่มอำนาจหลายกลุ่ม ที่แย่ก็คือฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งก็คือเว่ยหมิงฮ่องเต้นั้นหมกมุ่นอยู่กับนารี โง่เขลาไร้ความสามารถ แรกเริ่มเดิมทีเขาโปรดปรานเอ็นดูเว่ยเหลิ่งเหยาประหนึ่งเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ ภายหลังด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้ถึงกับลงมือกำจัดเว่ยเหลิ่งเหยาให้สิ้นซากชนิดขุดรากถอนโคนเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่เว่ยเหลิ่งเหยาคาดการณ์ได้ล่วงหน้า จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด บุกพระราชวังบังคับฮ่องเต้ให้สละอำนาจราชสมบัติ ไล่กำจัดภัยคุกคามที่แฝงตัวอยู่ซึ่งเป็นอันตรายต่อเขาไปทีละคนๆ
จนใจที่หมิงเจี้ยนฮ่องเต้ผู้ซึ่งเป็นปฐมฮ่องเต้สถาปนาราชวงศ์ต้าเว่ยมองการณ์ไกลอย่างเฉียบแหลม พระองค์ได้แต่งตั้งเชื้อพระวงศ์สกุลเนี่ยไปเป็นอ๋องปกครองดินแดนศักดินาในพื้นที่ต่างๆ ท่านอ๋องผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายพวกนี้ต่างก็มีกองกำลังเป็นของตนเอง หากการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและเป็นคนสกุลอื่นขึ้นปกครอง เกรงแต่ว่าจะทำให้บรรดาอ๋องผู้ทะเยอทะยานพวกนี้ใช้เป็นข้ออ้างในการลุกฮือก่อกบฏเอาได้
ราชครูเว่ยต้องการฝึกฝนฮ่องเต้น้อยพระองค์หนึ่งไว้เป็นหุ่นเชิด รอเมื่อถึงจังหวะเวลาอันสมควรค่อยเข้าไปแทนที่อีกฝ่ายโดยสะดวกราบรื่น
พอคิดดังนี้หยวนกงกงกลับเป็นคนแนะนำหลานของศัตรูตัวฉกาจของราชครูเว่ยให้แก่เจ้าตัวโดยแท้ เขานี่ช่างโง่เง่าจนอยากเอาศีรษะชนเสาในท้องพระโรงตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ยังไม่ทันที่หยวนกงกงจะปาดเหงื่อเย็นของตนออกไป ราชครูเว่ยก็บีบคางของ ‘เนี่ยชิงหลิน’ โอรสองค์ที่สิบสี่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไว้แล้ว หลังจากที่เขาหรี่ตามองประเมินอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าเขาเป็นคนหย่อนสมรรถภาพ”
หยวนกงกงสะดุ้งโหยง คิดไม่ถึงว่าราชครูเว่ยจะรู้เรื่องราวที่เป็นความลับเทือกนี้ของตำหนักในด้วย เห็นทีราชครูเว่ยคงเล็งตัวเลือกผู้ที่เหมาะสมจะเป็นหุ่นเชิดไว้นานแล้ว หยวนกงกงจึงรีบตอบเสียงแหลมว่า “เรียนท่านราชครู ผู้น้อยได้ยินพวกนางกำนัลในวังที่ดูแลเรื่องส่วนตัวของบรรดาองค์ชายทั้งหลายพูดว่าองค์ชายสิบสี่…ใช้การไม่ได้อย่างแท้จริงขอรับ”
หลังจากที่เว่ยเหลิ่งเหยาเอ่ยประโยคนั้นออกไป สายตาอันเฉียบคมของเขาก็สังเกตเห็นว่าร่างขององค์ชายสิบสี่ที่สงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านมาโดยตลอดในที่สุดก็สั่นเทาเล็กน้อย…
น่าสนใจดี ดูไปแล้วการทำลายศักดิ์ศรีของเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ต่อหน้าธารกำนัลจะทำให้อีกฝ่ายเศร้าใจยิ่งกว่าการสวรรคตอันน่าสลดใจของฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของเจ้าตัวเสียอีก…
หากมิใช่เพราะตั้งใจเลือกคนไร้ความสามารถในการสืบสกุลเพื่อปิดปากเหล่าบรรดาขุนนางแล้วล่ะก็ เว่ยเหลิ่งเหยาเองก็คิดจะปลดกางเกงของเจ้าเด็กหนุ่มนี่ออกเสีย แล้วแสดงความซาบซึ้งชื่นชมกับส่วนที่ไม่อาจผงาดง้ำนั่นของอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ
“องค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานมาเป็นเวลานาน ไม่มีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง ความเย่อหยิ่งทะนงตนออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่ถือว่าเป็นโชคดีของราษฎรต้าเว่ย…” เสียงทุ้มของเว่ยเหลิ่งเหยาดังก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง
ระหว่างที่พูดนั้นร่างผอมบางของเด็กหนุ่มก็ถูกเว่ยเหลิ่งเหยาผู้แข็งแกร่งยกลอยขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว
“แต่งตั้งองค์ชายสิบสี่ ‘เนี่ยชิงหลิน’ ขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งต้าเว่ย” คำพูดที่ดังกึกก้องทรงพลังประโยคนี้เป็นการจับเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอวัยสิบห้าตอกตะปูประทับบัลลังก์ฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย
จากนั้นในท้องพระโรงก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง องค์ชายทั้งหมดที่เกิดกับสนมชายาถูกกักบริเวณในตำหนักข้าง ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดถูกส่งไปขังในตำหนักเย็น ซึ่งต่อจากนี้ไปจะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันอีกเลย
เด็กหนุ่มที่ถูกข้ารับใช้พาตัวกลับไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เพื่อพักผ่อนอดถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ด้านหลัง
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เมื่อมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างตำหนักก็ทำให้คนรู้สึกสลดหดหู่ใจ เดิมทีเข้าใจว่าตนเองได้รับความทุกข์ทรมานในวังแห่งนี้จนถึงที่สุดแล้วเสียอีก ถึงแม้ตนจะไม่อาจหลบหนีออกไปจากตำหนักลึกในพระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้ได้ในเร็ววัน ทว่าอย่างน้อยในที่สุดก็สามารถตายไปพร้อมกับทุกคนได้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองต้องกลายเป็นหุ่นเชิดไปเสียนี่ การใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ ทำได้เพียงคอยดูอารมณ์ของท่านราชครูเท่านั้น วันใดที่เขาสมใจแล้วคงออกคำสั่งเดียวว่า ‘ถึงเวลาที่ฮ่องเต้สมควรเสด็จไปตามทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ’
อากาศสดชื่นเย็นสบายเช่นนี้กลับเป็นวันตายของตนเสียนี่
แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีชีวิตรอดมาได้ชั่วคราว เพียงแต่ต่อไปในวันหน้า…จะใช้วิธีการอย่างไรเพื่อรับมือดี
จนกระทั่งกลับมาถึงตำหนักบรรทมในที่สุด เนี่ยชิงหลินก็ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่า ‘อันเฉี่ยวเอ๋อร์’ นางกำนัลซึ่งปรนนิบัติรับใช้ตนมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กก็ถูกพาตัวเข้ามาในตำหนักด้วยเช่นกัน
บรรดาขันทีและนางกำนัลในวังล้วนกระจ่างแจ้งดีว่าราชวงศ์ต้าเว่ยนี้ถูกโค่นล้มลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งวันนี้ก็เป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่แยแสที่จะต้อนรับทักทายเขา
จนกระทั่งเหล่าข้ารับใช้ในวังล้วนถอยออกไปกันหมดแล้ว อันเฉี่ยวเอ๋อร์จึงลดผ้าม่านหนาหนักบนแท่นบรรทมลง ก่อนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “องค์ชาย พระองค์…ทรงไม่ถูกจับได้กระมังเพคะ”
ในเวลานี้เนี่ยชิงหลินองค์ชายสิบสี่ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์ของตนเองออกพลางมองดูสีหน้าเคร่งเครียดของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ พร้อมกับปลอบประโลมด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่ก่อนหน้าที่จะถูกจับตัวไปยังท้องพระโรงข้าไม่ได้ดื่มน้ำมากเกินไป ข้างตัวข้ามีคนปัสสาวะราดจนเปียกแฉะเป็นวงกว้างเลยล่ะ แม้แต่เสด็จพี่หกที่ยามปกติเคร่งครัดถือตัวก็ดูเหมือนจะปล่อยออกมาหลายครั้ง เกือบทำเสื้อคลุมของข้าเปียกไปด้วยแล้ว ดีที่ตรงเป้ากางเกงของข้าแห้งสนิท ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกจับไปเปลี่ยนกางเกงแน่ ขืนเป็นอย่างนั้นคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์เห็นเจ้านายของตนยังคงไม่อนาทรร้อนใจแม้จะเกิดเหตุการณ์พลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งบาปกรรมที่ได้หว่านไว้โดยแท้ ผลของกรรมจึงตามมาไม่หยุดหย่อน ความคิดชั่ววูบของลี่ผินในตอนนั้นช่างทำร้ายองค์ชายจริงๆ เลยนะเพคะ…”
เนี่ยชิงหลินในยามนี้กำลังถอดเสื้อคลุมชั้นนอกและปลดเสื้อบุนวมออกอยู่ เผยให้เห็นรูปร่างบอบบางของเขา ถึงแม้จะผอมแห้งไปสักหน่อย แต่ขอเพียงเป็นคนที่ตาไวสักหน่อยย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติบนหน้าอกที่นูนออกมาเล็กน้อยได้ทันที…นี่เป็นองค์ชายที่ใดกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นองค์หญิงที่ยังไม่เจริญวัยเต็มที่ต่างหากเล่า
อันเฉี่ยวเอ๋อร์ถอนหายใจอีกครั้ง “ตอนที่ยังเด็กก็ปิดบังง่ายอยู่หรอกเพคะ เป็นชายหรือหญิงก็ยากแยกแยะได้ แต่ตอนนี้เริ่มเจริญชันษาขึ้นแล้ว จะปิดบังต่อไปได้อย่างไรกัน”
เนี่ยชิงหลินเปลี่ยนมาสวมชุดนอน เมื่อมองดูสีหน้าเศร้าหมองของอันเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วนางก็พูดพลางยิ้มน้อยๆ “บรรดาท่านอาทั้งหลายของข้าพวกนั้นล้วนเป็นพวกเรื่องมากหาเรื่องวุ่นวายได้อยู่ร่ำไปทั้งสิ้น ราชครูเว่ยผู้นั้นมีเรื่องสำคัญต้องจัดการมากมายเพื่อให้ใต้หล้าอยู่กันอย่างสงบสุขสันติ เขาเจียดเวลามาแยกแยะความจริงแท้หรือปลอมของข้าไม่ได้หรอก แค่ว่านับแต่นี้ไปทั้งเจ้าและข้าจะถูกจับวางตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ พวกเราจำต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำให้มากยิ่งขึ้น จำให้ขึ้นใจเป็นพอว่าราชครูเว่ยผู้นั้นต่างหากที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของวังแห่งนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าเขาต้องอ่อนน้อมเคารพนบนอบเชื่อฟัง อย่าคิดว่าตนเองเป็นโอรสสวรรค์ราชันมังกรจริงๆ แล้วผูกใจเจ็บพยาบาทอาฆาตแค้นศัตรูที่ทำลายบ้านเมืองและครอบครัวเป็นอันขาด”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้นางใกล้จะถึงวัยสามสิบปี นับว่าอยู่ในวังมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เหตุผลมากมายในเรื่องนี้นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่นางอยากกำชับ ‘องค์ชายสิบสี่’ อยู่พอดี แต่ตอนนี้ชะรอยว่าเด็กสาวผู้นี้ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ดีแล้ว
เฮ้อ หากทายาทเพียงคนเดียวที่ลี่ผินหลงเหลือไว้เป็นเด็กชายจริงๆ เขาคงจะเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาสง่างามมีความกล้าหาญเอาการทีเดียว!
แต่โชคชะตาก็ชอบเล่นตลกกับคนเสียนี่กระไร เพียงก้าวแรกที่เดินผิดพลาดก็ต้องพลอยตามน้ำ และถูกบีบบังคับกลายๆ ให้เดินมาจนถึงจุดนี้…ครั้นนึกถึงราชครูเว่ยมือสังหารจิตใจโหดเหี้ยมที่แสนทะเยอทะยานฆ่าคนเป็นว่าเล่นผู้นั้นแล้ว อันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็รู้สึกเพียงว่าหนทางในภายภาคหน้าของเจ้านายตัวน้อยของตนนั้นช่างเลือนรางเหลือเกิน เจ้าโจรผู้นั้นจะปล่อยให้ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรจนเติบใหญ่พอปกครองบ้านเมืองได้อย่างนั้นหรือ
ลองนับดูคร่าวๆ อีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้นฮ่องเต้ก็จะมีอายุสิบหกพรรษา เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เกรงว่ายังไม่ทันถึงวันเกิดปีที่สิบหก สุราพิษจอกหนึ่งจะถูกถวายมาให้ก่อนกระมัง…
ชีวิตของเด็กสาวผู้นี้…ล้วนไม่เคยเป็นของนางเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!
บทที่ 2
พิธีสืบทอดราชบัลลังก์ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของราชวงศ์ต้าเว่ยนับแต่อดีตไม่เคยมีสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชใจถึงเพียงนี้มาก่อน
หยวนกงกงยืนอยู่บนแท่นสูง กระแอมในลำคออ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘พระราชโองการก่อนสวรรคต’ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันก้มศีรษะฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน และค้อมศีรษะคำนับต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่
เนี่ยชิงหลินสวมพระมาลาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นที่มีอำนาจสูงสุด ร่างบอบบางในเสื้อคลุมมังกรตัวใหญ่เทอะทะไม่พอดีกับรูปร่าง พอนั่งอยู่คนเดียวบนบัลลังก์มังกรตัวใหญ่โตแล้วช่างถ่ายทอดความรู้สึกอันโดดเดี่ยวได้อย่างเต็มเปี่ยม
การบอกว่าตัดอาภรณ์ไม่ทันและไม่พอดีตัว ทำให้ฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยพระองค์ใหม่ดูหมดราศีนั่นก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่สักหน่อย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ขับให้ภาพของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ดูเด่นชัดขึ้น แท้จริงแล้วคือเก้าอี้สีทองหรูหราที่อยู่ถัดจากบัลลังก์มังกรนั่นต่างหากเล่า เก้าอี้ทั้งตัวตกแต่งประดับประดาด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ปานดวงตามังกร อีกทั้งด้านหลังเก้าอี้ยังมีมังกรวารีขดตัววาดลวดลายพลิ้วไหวในสายน้ำที่ถักทอเป็นเกลียวคลื่นด้วยดิ้นทอง
นี่คือที่นั่งของราชครูเว่ย
แม้มังกรวารีจะไม่มีเขา แต่หลังจากผ่านไปพันปีมันจะกลายเป็นมังกรที่มีสองเขาครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะมังกรวารีชั่วร้ายที่มีฟันและกรงเล็บแหลมคมนั้นยิ่งมีพลังทำร้ายรุนแรงมาก ต่อให้เป็นมังกรแท้ๆ ก็ยังถูกฆ่าและกลืนกินโดยสัตว์ประหลาดชั่วร้ายตัวนี้ได้
อย่างน้อยที่สุดเนี่ยชิงหลินมังกรที่แท้จริงตัวนี้ก็ถูกอำนาจชั่วร้ายเข้าครอบงำจนกลายเป็นไส้เดือนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นางต้องสวมพระมาลาหนักสามชั่ง* บนศีรษะ สวมเสื้อคลุมมังกรประหนึ่งห่อหุ้มตัวด้วยถุงกระสอบ นั่งตัวตรงแหน็วตาปรือ ทุ่มเททำตนเป็นเครื่องประดับที่ดีสนองหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุดความสามารถ
เมื่อนึกย้อนไปถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของฮ่องเต้พระองค์ก่อนในยามร่วมประชุมเช้าของราชสำนัก ขุนนางใหญ่ที่มีความเห็นแตกต่างกันสามารถถกเถียงกันเสียงดังลั่นในราชสำนักได้ด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคตอย่างลึกลับกะทันหันในชั่วข้ามคืน องค์ชายที่อายุน้อยและไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นนี้กลับได้ขึ้นครองบัลลังก์ เสาหลักของราชสำนักต่างพร้อมใจกันแสดงให้เห็นถึงความสมานฉันท์ กรูกันเข้ามาแสดงความเคารพต่อผู้ขึ้นครองบัลลังก์คนใหม่อย่างหาได้ยาก
กระนั้นคนที่มีวิจารณญาณล้วนรู้ดีว่าระหว่างเก้าอี้สองตัวข้างบนที่พวกเขาคุกเข่าให้อยู่นั้น พวกเขาคำนับใครกันแน่
หากยังไม่แจ่มแจ้งอีกก็ลองมองดูใบหน้าของพวกพ้องข้างๆ ที่เปลี่ยนไปแล้วกว่าครึ่ง จากนั้นก็ลองไตร่ตรองให้ละเอียดถึงจุดจบของขุนนางใหญ่ที่หายตัวไปพวกนั้นดู แล้วการโค้งคำนับจะยิ่งสุภาพอ่อนน้อมมากขึ้นไปอีก
เว่ยเหลิ่งเหยาก็คือวีรบุรุษผู้ฉลาดแกมโกงประเภทหนึ่งที่ใช้วิธีอันดุเดือดจัดการอย่างรวดเร็วฉับไว ‘เสาหลัก’ เช่นนี้หนึ่งร้อยปีถึงจะพบเห็นได้สักคนจริงๆ
พอคิดดังนี้เนี่ยชิงหลินก็อดลอบหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตนผู้นั้นไม่ได้
และไม่น่าแปลกใจเลยที่มีคนขนานนามเขาว่า ‘บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย’ ด้วยรูปโฉมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กอปรกับรูปร่างสูงโปร่งสง่างามในชุดคลุมราชสำนักพื้นดำขลิบทอง คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดไม่แน่ว่าอาจแอบรำพึงออกมาก็ได้ว่า ‘ช่างงดงามราวกับภาพวาดเทพเซียนโดยแท้!’
บุรุษควรมีลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญา และจิตใจอันโหดเหี้ยม เขาล้วนมีครบถ้วนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
เสด็จพ่อผู้ยโสโอหังของนางไฉนตอนนั้นถึงได้มีตาแต่ไร้แววไปได้ ในบรรดาผู้เข้าสอบเต็มท้องพระโรงถึงได้เลือก ‘เสาหลัก’ เช่นนี้มาได้
เห็นทีว่าเรื่องราวอันน่าทึ่งของ ‘ปั๋วเล่อกับม้าพันหลี่’ กับชะตาชีวิตอันเศร้ารันทดของ ‘หมาป่าแห่งจงซาน’ อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!
ขณะที่กำลังคิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่นั้น เสียงแหลมของหยวนกงกงที่อยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นบาดแก้วหู “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท ได้เวลาเสด็จไปสักการะบรรพชนแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
คราวนี้เนี่ยชิงหลินถึงได้ตระหนักว่าสายตาของทุกคนในท้องพระโรงต่างหันมาทางตนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ส่วนเว่ยเหลิ่งเหยาที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างเป็นทางการก็กำลังยื่นมือมา ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาขณะมองไปยังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างเหม่อลอยมาโดยตลอด
ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย ว่ากันตามประเพณีปฏิบัติ หลังจากพิธีสวมพระมาลาแล้วเขาควรได้รับการประคองจากขุนนางใหญ่ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เดินจูงมือกันไปจนถึงศาลบรรพชนในวังหลวงเพื่อทำพิธีสักการะบรรพบุรุษ
แต่ขณะที่เว่ยเหลิ่งเหยายื่นมือออกไปทางฮ่องเต้พระองค์ใหม่นั้น ฮ่องเต้น้อยกลับทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น ปล่อยให้ผู้บงการชีวิตที่น่ากลัวประหนึ่งพญายมยื่นมือออกมาค้างเติ่งต่อหน้าธารกำนัล
ทันใดนั้นบางคนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้นเริ่มอยู่ไม่สุข แม้พวกเขาจำต้องศิโรราบลงชั่วคราวด้วยวิธีการเข้มงวดรุนแรงของเว่ยเหลิ่งเหยา กระนั้นพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่บุกพระราชวังปลงพระชนม์ฮ่องเต้ก็เป็นที่รู้อยู่แก่ใจของทุกคนมาก่อนหน้านี้แล้ว
เดิมทีคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่อ่อนแอไร้สามารถ ชะรอยว่าคงได้แต่ถูกคนเจ้าเล่ห์บงการชักใยเอาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเหมือนกัน กล้าทำให้เว่ยเหลิ่งเหยาหน้าม้านอับอายต่อหน้าผู้คนเสียด้วย
วิญญาณของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่อยู่บนสวรรค์คงตายตาหลับแล้ว น่าเสียดายก็ตรงที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุยังน้อย น่ากลัวว่าหลังจากการลองดีครั้งนี้แล้วเขาคงต้องถูกโจรชั่วในคราบองครักษ์วางยาพิษเสียแล้ว บิดาและบุตรตายตกตามกันไปเช่นนี้ก็พอจะเป็นตัวอย่างรวมไว้ใน ‘ยี่สิบห้ายอดกตัญญู’ ได้ ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว!
ทว่าเนี่ยชิงหลินกลับหวาดกลัวในใจ นางช่างเสียนิสัยจริงๆ ที่ชอบใจลอยฟุ้งซ่าน เหตุใดถึงได้ใจลอยในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เล่า พอเห็นเว่ยเหลิ่งเหยาชักมือกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและเตรียมหันหลังเพื่อเดินจากไป นางก็ตะโกนขึ้นในใจอีกครั้ง ไม่ได้การแล้ว!
เรื่องที่ว่าเว่ยเหลิ่งเหยาเป็นคนเย็นชานิสัยใจคอคับแคบนั้นทุกคนต่างรู้กันดี บัดนี้อยู่ในระหว่างพิธีขึ้นครองบัลลังก์ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างยอดเยี่ยม แต่กลับต้องมาเสียหน้าต่อหน้าเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งไม้ประดับเสียนี่ ความโกรธเกรี้ยวนี้จะรุนแรงถึงเพียงใด
ไม่จำเป็นต้องดูฤกษ์งามยามดี พรุ่งนี้เป็นวันดีเหมาะแก่การสวรรคตอย่างแน่นอน!
ดังนั้นโดยไม่รอให้เหล่าขุนนางใหญ่ทุกคนพิจารณาความน่าประทับใจในแง่มุมต่างๆ ของยอดกตัญญูคนที่ยี่สิบห้า ร่างของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็เผ่นแผล็วฉับไวดุจกระต่ายไปแล้ว
จากนั้นก็เพียงเห็นร่างผอมบางในเสื้อคลุมตัวใหญ่เทอะทะวิ่งทะเล่อทะล่า ก่อนเท้าสะดุดร่างโผเข้าไปในอ้อมแขนของเว่ยเหลิ่งเหยา
เว่ยเหลิ่งเหยาเพียงก้มศีรษะลงก็มองเห็นใบหน้าเล็กหมดจดชวนพิศกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยกับตนด้วยเสียงต่ำว่า “เว่ยโหว โปรดช้าหน่อย เรานั่งนานจนขาชาไปหมด ยังไม่หายชาในเวลาเพียงชั่วครู่…”
นางพูดพลางพิงเข้าไปที่ร่างแข็งแรงทรงพลังของท่านโหวพร้อมเหยียดขาออกไปด้วยโดยไม่สะทกสะท้าน แล้วถือโอกาสวางมือเล็กๆ ของตนลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขาเสียเลย
การกระทำที่ขาดศักดิ์ศรีของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทำให้บรรดาขุนนางข้าราชสำนักทั้งหลายที่กำลังรอชมการเผชิญหน้าลองเชิงกันระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางต่างผิดหวังมากไปตามๆ กัน
ขณะที่ทุกคนทอดถอนใจในการล่มสลายของต้าเว่ยอยู่นั้น พวกเขาก็ก้มศีรษะคุกเข่าอย่างหมดท่าลงอีกครั้ง ค่อยลุกเดินตามหลังรถม้าของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไปต้อยๆ
หยวนกงกงปาดเหงื่อเย็นแล้วลอบอุทานในใจ เกือบไปแล้วเชียว บรรพบุรุษน้อยน่าตาย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตะโกนว่า “เคลื่อนขบวนเสด็จได้!”
ว่ากันตามหลักแล้วเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นรถม้าแล้ว ขุนนางทรงอำนาจผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ควรตามเสด็จอยู่ด้านล่างในขบวนด้วย
แต่ด้วยความกล้าหาญไม่เกรงกลัวใครของเสนาบดีกรมพิธีการ หยวนกงกงจึงไม่กล้ายื่นคำตำหนิโดยตรงเพื่อขอให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงมาเดินไปกับกลุ่มขุนนางข้าราชสำนักคนอื่นๆ ด้วย
เว่ยเหลิ่งเหยาซึ่งนั่งอยู่บนรถม้าอันกว้างขวางใหญ่โตมองดูเด็กหนุ่มร่างเพรียวบางที่อยู่ข้างๆ ตน แล้วเขาก็ประจักษ์อีกครั้งว่าองค์ชายผู้ซึ่งไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าใดนักผู้นี้ไม่กลัวตนเลยจริงๆ
หากเป็นเมื่อก่อนอาจหลงใหลเลอะเลือนไปกับรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนสง่างามของเขาแล้วก็เป็นได้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันองค์ชายน้อยองค์นี้ได้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ยึดอำนาจนองเลือดในวังหลวง รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นคนตัดศีรษะเสด็จพ่อของตนเองแท้ๆ แต่ก็ยังนั่งข้างเขาได้อย่างสบายใจเช่นนี้เชียวหรือนี่
ขณะที่ความคิดร้อยแปดพันเก้าวนเวียนอยู่ในใจ เขาก็เอ่ยถามเรียบๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงไม่กลัวกระหม่อมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.