บทที่ 1
“สาริน…ทางนี้!”
เสียงสดใสดังมาจากหญิงสาวร่างบางสวมแว่นซึ่งกำลังยืนพิงรถยนต์สี่ประตูอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอฉีกยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นโบก แต่ยังไม่ทันก้าวไปหา เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“อย่ากลับมาอีกล่ะ”
สารินหันขวับพลางยิ้มหยัน ผู้คุมหญิงวัยกลางคนเห็นเข้าก็ชักสีหน้าก่อนเดินตึงตังผ่านเข้าประตูเหล็กสีเทาทึมของเรือนจำกลางประจำเมืองลุคน่าไป
“สาริน!” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งจากหญิงสาวหน้าสวยเฉี่ยวที่โผล่หน้าออกมานอกหน้าต่างรถ “มาเร็ว ฉันกับปารีหิ้วท้องรอนานแล้วนะ”
สารินเดินข้ามถนนไปหาเพื่อนทั้งสอง “ฉันยังไม่หิวเลย”
“ไม่หิวได้ไง เช้านี้แกยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ ร้านนี้อร่อยนะยะ ฉันกินประจำ”
“ฉันอยากรีบกลับบ้านมากกว่า”
“จะรีบกลับไปทำไมวะ เม้าท์มอยกับพวกฉันให้หายคิดถึงก่อน”
“ฉันอยากรีบกลับไปตอบแทนบุญคุณคนพวกนั้นก่อน ไม่งั้นคงตายตาไม่หลับ”
เพื่อนสนิททั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้ากังวล
“เถอะน่า พวกแกไม่ต้องห่วง ฉันรับมือคนพวกนั้นได้สบาย”
สารินหันกลับไปมองกำแพงสูงใหญ่สีเทาทะมึนอีกครั้ง ละม้ายจะจดจำภาพนี้ไว้เตือนใจตนเอง
คุก…ไม่ใช่ที่ที่น่ากลัวนักหรอก สารินรู้ว่าจะเอาตัวรอดในนี้อย่างไร แต่ที่ไม่อยากกลับเข้าคุกเร็วนัก เพราะพวกมันยังไม่ได้ชดใช้กรรมเลย เรื่องอะไรเธอจะยอมซมซานกลับเข้าคุกง่ายๆ
“เรื่องที่แกให้พวกฉันช่วยหว่านล้อมเด็กสาวพวกนั้น สำเร็จแล้วนะ เด็กพวกนั้นยอมร่วมมือด้วย”
“ขอบใจพวกแกมาก ถ้าไม่ได้พวกแก ฉันคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะจัดการพวกมันได้”
“เรื่องเล็กน่า ฉันมีพรรคพวกที่คอยตามหาเด็กเหล่านี้ได้ไม่ยาก” มีร่าคุย
ริมฝีปากหยักสวยยิ้มอย่างขมขื่น เธอรู้เรื่องอัปรีย์จัญไรของ ‘มัน’ มานานแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าคุก เธอได้ยิน ‘พวกมัน’ คุย วางแผน และประนีประนอมกับพ่อแม่ของเหยื่อ
พ่อแม่ของเด็กอับอายเกินกว่าจะแจ้งตำรวจ จำต้องยอมรับเงินสกปรกของ ‘พวกมัน’ เป็นค่าปิดปาก แต่หัวใจบอบช้ำของเด็กสาวเหล่านั้นเล่าใครจะรับผิดชอบ เมื่อโอกาสมาถึงใครเล่าจะไม่อยากแก้แค้น อยากทวงคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง
“ส่วนเรื่องที่แกขอให้ฉันช่วยตามหา…” ปารีอึกอัก “เขาไม่ได้อยู่ที่ลุคน่าแล้ว ซันเจย์พาเขาย้ายไปเวฬปุระตั้งแต่ออกจากที่นี่”
สารินไม่เคยไปเวฬปุระตั้งแต่จำความได้ ในความคิดของคนบ้านนอกอย่างสาริน เวฬปุระคือเมืองหลวงของประเทศพูรัม แดนศิวิไลซ์ที่เต็มไปด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าและทันสมัย
ครอบครัวของซันเจย์ย้ายไปอยู่เวฬปุระสิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะซันเจย์ต้องกลับมาร่วมงานแต่งงานของญาติที่เมืองลุคน่าเมื่อสี่ปีก่อน ทั้งสองจึงได้พบกันจนนำไปสู่ชะตากรรมบัดซบที่บีบให้เธอยอมจำนนเดินเข้าเรือนจำในที่สุด
ริมฝีปากของสารินขบกันจนเป็นเส้นตรงเมื่อนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ดวงตากลมโตซึ่งเคยอ่อนหวานอยู่เป็นนิจเปล่งประกายเจิดจ้าราวพระอาทิตย์เที่ยงวันที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุณ ความแค้นที่เธอจำต้องปล่อย ‘เขา’ ไปกับไอ้สารเลวซันเจย์อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดเป็นเสี่ยง
หญิงสาวปิดเปลือกตา โคลงศีรษะรับรู้ ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นอีก เพื่อนสนิททั้งสองปล่อยให้เธอนั่งเงียบตามลำพังที่เบาะหลัง
รอก่อนเถอะ ให้สารินได้แก้แค้น ‘พวกมัน’ ให้สาสมใจเสียก่อน แล้วเธอสัญญาว่าจะไปหา ‘เขา’ แล้วเราจะไม่มีวันจากกันอีกแล้ว
เมืองลุคน่าตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพูรัม ห่างจากเวฬปุระเมืองหลวงของประเทศราวๆ ห้าร้อยกิโลเมตร หากพูดถึงความเจริญก็นับว่าเจริญน้อยที่สุดในบรรดาจังหวัดอื่นของพูรัม เพราะนอกจากไม่ติดทะเลแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นภูเขา เพาะปลูกอะไรก็ลำบาก ผู้คนส่วนใหญ่มักเป็นคนแก่หรือพวกขี้แพ้ที่หอบสังขารกลับมาตายรัง คนหนุ่มสาวมักย้ายไปอยู่เวฬปุระหรือเมืองใกล้เคียงที่ติดทะเลมากกว่า
หากมีอะไรที่นับว่าเป็นข้อดีของเมืองลุคน่าก็เห็นจะเป็นศาสนสถานที่ขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา แต่ละปีมีผู้ศรัทธาเดินทางมาสักการะพระแม่อุมาเทวีกันไม่ขาดสาย
ในอดีตทำเลทองที่ผู้คนใช้ทำมาหากินกับความเชื่อของคนห่างจากโบสถ์พราหมณ์ไม่ถึงสิบกิโลเมตร พื้นที่ไกลกว่านั้นจึงมีราคาถูกแสนถูก บรรพบุรุษของ ‘เธอคนนั้น’ จึงกว้านซื้อที่ดินไว้ พอเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ขยายวงกว้างมากขึ้น ที่ดินซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นที่ชายขอบกลับกลายเป็นย่านการค้าและที่พักรองรับผู้ศรัทธาจากทั่วสารทิศ
บรรพบุรุษของ ‘เธอคนนั้น’ กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ประจำเมืองลุคน่า ใครๆ ก็นับหน้าถือตา ยกยอปอปั้นว่าใจบุญสุนทาน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภาพลักษณ์ที่เพียรสร้างมาหลายชั่วอายุคนจะล่มสลายด้วยฝีมือหลานสารเลวอย่างรานี แม่เลี้ยงของเธอเอง
เท่าที่จำความได้บ้านหลังแรกของสารินคืออาคารสามชั้นซึ่งมีเด็กเล็กเด็กโตอยู่กันยั้วเยี้ยไปหมด ทุกคนต่างโหยหาและแย่งชิงความรักจาก ‘แม่’ หรือพี่เลี้ยงที่ถูกว่าจ้างให้มาดูแลพวกเธอ พอมีคนใจบุญแวะมาเยี่ยม พวกเธอก็บุกเข้าไปราวกับฝูงซอมบี้ที่หิวโหยความรัก หวังว่าจะมีใครสักคนรับพวกเธอออกไปเลี้ยงดู แต่แขกพวกนั้นให้เพียงความเมตตาสงสารไม่กี่ชั่วโมง แล้วพวกเขาก็จากไปพร้อมคำสัญญาว่าจะกลับมาอีก
แต่แปลกที่คนพวกนั้น…ไม่เคยรักษาสัญญา!
สารินเรียนรู้จากความผิดหวังจนเลิกหวังลมๆ แล้งๆ เธอเลือกสร้างโอกาสด้วยตัวเอง เธอจะโบยบินออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ ไปมีชีวิตใหม่ที่มีพ่อแม่ใจดีแสนอบอุ่นด้วยตนเอง ดังนั้นทุกครั้งที่มีแขกมาเยี่ยมเยียนเธอจะไม่กลุ้มรุมเข้าไปสร้างความอึดอัดใจให้พวกเขา แต่จะแสดงความสามารถทั้งร้องและเต้นให้พวกเขาเห็นคุณค่าในตัวเธอจนเป็นฝ่ายเสนอตัวพาเธอออกไปเอง
แล้วรานีก็คือผู้โชคดีคนนั้น ส่วนผู้โชคร้ายจะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่…สาริน!
ไม่ใช่ว่ารานีและอรุณผู้เป็นสามีไม่มีลูกเป็นของตนเอง แต่คนพวกนั้นแค่ถูกแรงยุจากเหล่าพ่อยกแม่ยกให้รับเด็กไปเลี้ยงสักคน ด้วยความไม่อยากเสียหน้าและไม่อยากเสียตำแหน่งเศรษฐีใหญ่ใจบุญประจำเมือง พวกเขาจึงรับเธอกลับบ้านไปด้วย
ตอนนั้นสารินคิดว่าพระเจ้าทรงเมตตาลูกนกลูกกาตาดำๆ แล้ว แต่เพียงแค่วันเดียวสารินก็พบว่าห้องนอนของเด็กวัยแปดขวบคือห้องเก็บของซึ่งเหลือพื้นที่ให้ซุกหัวนอนแค่แมวดิ้นตาย มีเศษกระดาษเก่าต่างฟูก มีลังกระดาษต่างหมอน ผ้าห่มก็ได้รับความอนุเคราะห์จากผ้าห่มที่แม่บ้านเลิกใช้แล้วเอามาโยนไว้ให้
อาหารคือเศษกับข้าวที่พวกเขาทิ้งขว้าง น้ำคือน้ำก๊อกที่อยู่ใกล้มือ เธอไม่เคยได้ทานขนมกรุบกรอบหรือน้ำอัดลมรสซ่าดังเช่นมุกตาร์ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขาเลย
รูปร่างของมุกตาร์จึงแปรผันตามสิ่งที่ทานเข้าไปคืออ้วน ใบหน้ากลมแป้น ดวงตาเรียวเล็ก ขณะที่สารินผอมบางและสูงเพรียว นัยน์ตากลมโตสุกสกาวราวกับนัยน์ตากวาง ยิ่งโตก็ยิ่งกลายเป็นสาวงาม มุกตาร์จึงไม่ยอมให้เธอติดรถออกไปข้างนอกด้วย เพราะเธอมักกลายเป็นตัวเปรียบเทียบให้มุกตาร์ดูแย่กว่าเสมอ
ความริษยาทำให้มุกตาร์หาเรื่องกลั่นแกล้งแทบไม่เว้นวัน สารินชอบอ่านหนังสือ เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความเป็นทาส ทว่าหากมุกตาร์หรือรานีเห็นว่าเธออ่านหนังสือก็จะถูกจับไปเฆี่ยนตี ด้วยข้อหาขี้เกียจสันหลังยาว ไม่รู้จักหยิบจับการงานในบ้าน ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาไม่อยากให้เธอฉลาดกว่าลูกสาวที่วันๆ ถนัดแต่เสริมสวยและปรายตาให้ท่าแขกที่มาพักโรงแรมของครอบครัว
รานีเป็นทายาทเจ้าของที่ดินทำเลทองหลายผืนในเมืองลุคน่า เธอขายที่ดินเหล่านั้นเพื่อนำเงินไปฝากธนาคาร และใช้มันเปิดร้านอาหารกับโรงแรมใกล้โบสถ์พราหมณ์ ถึงจะคิดราคาแพงกว่าโรงแรมเจ้าอื่น แต่คนที่เดินทางมาด้วยศรัทธาก็พร้อมจ่าย
หากจะกล่าวว่าบาปของมุกตาร์คือริษยา ของรานีคือความโลภ บาปของอรุณก็คงหนีไม่พ้นราคะ
แววตาที่อรุณมองสารินเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเธออายุย่างเข้าสิบสี่ จากเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบกลายเป็นเด็กสาววัยแรกผลิ กระตุ้นความกำหนัดของไอ้เฒ่าตัณหากลับให้ลุกโชน
ยามใดที่เธอเผลอไผลไม่ระวังเนื้อระวังตัว มันจะแสร้งแตะเนื้อต้องตัวทำเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หลังๆ มันจะลอบเข้ามากอด สร้างความขนพองสยองเกล้าจนเธออยากอาเจียน เวลานอนก็นอนหลับไม่เต็มตา ต้องสะดุ้งทุกคืน กลัวว่ามันจะแอบเข้ามาข่มขืน
แล้วความหวาดกลัวนั้นก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่งหลังจากรานีและมุกตาร์ไปทำธุระที่เมืองอื่น เหลือเพียงเธอกับมันและแม่บ้านวัยกลางคน กลางดึกคืนนั้นมันไขกุญแจเข้ามาปลุกปล้ำเธอโดยมีแม่บ้านรู้เห็นเป็นใจ คืนนั้นสารินคิดเพียงว่ายอมตายแต่จะไม่ยอมเสียตัวให้ไอ้อัปรีย์หน้าตัวเมียเด็ดขาด
ในความสะลึมสะลือนั้นมันคร่อมเหนือตัวเธอ รีบร้อนควักอาวุธประจำกายขึ้นมาหมายจะทำลายวัยสาวของเธอ ยังดีที่สารินอยู่ในห้องเก็บของ จึงควานมือสะเปะสะปะคว้าขวดซีอิ๊วใกล้มือกระแทกศีรษะจนมันลงไปนอนสลบเหมือด เธอรีบไปเรียกแม่บ้านผู้นั้นให้พาพ่อเลี้ยงไปโรงพยาบาล
เปล่า! สารินไม่ได้มีเมตตาหวังให้มันรอดตาย เธอต้องการประจานความชั่วช้าของมันต่างหาก
ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลแม่บ้านผู้นั้นก็มัวสาละวนกับการทำประวัติคนไข้ พูดคุยกับแพทย์ ส่วนเธอก็แสร้งนั่งเนื้อตัวสั่นให้อยู่ในรัศมีที่พยาบาลห้องฉุกเฉินมองเห็นได้ พอพยาบาลเข้ามาทัก สารินก็แสร้งทำทีเป็นหวาดกลัวตัวสั่นเทา ร้องไห้โฮ
‘หนูกลัวแล้ว หนูกลัว อย่าทำอะไรหนูเลย’
‘ไม่ต้องกลัวจ้ะ หนูปลอดภัยแล้ว คุณพ่อถึงมือคุณหมอแล้วนะจ๊ะ สบายใจได้’
‘หนูไม่ได้ตั้งใจ ถ้าแม่รู้แม่เฆี่ยนหนูเหมือนทุกครั้งแน่’ พยาบาลคนนั้นหน้าเผือด พลางกวักมือเรียกพยาบาลอีกคนให้เข้ามาร่วมฟังชะตากรรมแสนโหดร้าย
‘มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ไม่มีใครทำอะไรหนูได้หรอกนะ’
สารินแสร้งร้องไห้สะอึกสะอื้น ทอดจังหวะเรียกคนให้มามุงเยอะขึ้น ‘พ่อ…พ่อจะทำร้ายหนู พ่อควักไอ้นั่นขึ้นมาจะใส่เข้ามาในตัวหนู หนูกลัว หนูห้ามพ่อแล้ว แต่พ่อไม่ฟัง พ่อบอกว่าหนูเป็นทาสของพ่อ พ่อสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ลูกบ้านไหนก็ยอมพ่อตัวเองแบบนี้ทั้งนั้น’
เหล่าพยาบาลและบรรดาญาติคนไข้ในห้องฉุกเฉินล้วนนิ่งตะลึงงัน เพราะถ้อยคำอัปรีย์จัญไรพวกนี้มีแต่ในสารบัญของคนสารเลวเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีใครคิดว่าเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัยจะโกหก พวกเขาพิพากษาอรุณซึ่งนอนสลบอยู่ด้วยสายตาหมิ่นหยาม
‘เงียบเดี๋ยวนี้นะ!’ เสียงนั้นดังมาจากแม่บ้านวัยกลางคน
สารินรีบก้มหน้า บีบมือตนเองบนตักแน่น ทำทีเป็นหวาดกลัว นั่นยิ่งทำให้เหล่าคนมุงล้วนเชื่อว่าสารินถูกอรุณล่วงละเมิดทางเพศ และครอบครัวนี้ก็ไม่ได้ใจบุญตามที่สร้างภาพไว้แม้แต่น้อย
ดาบนั้นคืนสนอง!
สารินไม่ได้ใส่ร้ายสักหน่อย แค่ช่วยเร่งให้บาปกรรมออกดอกออกผลเร็วขึ้นก็เท่านั้น
หลักฐานที่อรุณนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลคือพยานประจานความเลวของมันโดยที่สารินไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย หลังจากวันนั้นรานีก็ย้ายเธอออกจากบ้านโสมม ไปนอนรวมกับคนงานที่ร้านอาหารในตัวเมืองลุคน่าพร้อมกับปรามาส
‘ฉันอยากรู้นักว่าแกจะรอดมือคนงานพวกนี้ไหม เผลอๆ คืนนี้คงไม่พ้นถูกพวกมันรุมโทรม’
‘คุณแม่!’ สารินร้องเรียกด้วยความตกใจ หันไปมองเหล่าชายฉกรรจ์หนวดเคราเฟิ้มด้วยสีหน้าหวั่นกลัว ‘คุณแม่อย่าทิ้งหนู หนูกลัวแล้วค่ะ’
‘กลัวแล้วแกทำร้ายพ่อแกทำไม’
‘แต่…พ่อจะข่มขืนหนูนะคะคุณแม่’
‘ยอมๆ ไปเสียก็สิ้นเรื่อง แกใช่ลูกสาวเขาที่ไหน เขายอมเลี้ยงดูแกให้เติบใหญ่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ตอบแทนบุญคุณแค่นี้ทำจะเป็นจะตาย ฉันรู้นะว่าแกคอยยั่วผัวฉันออกบ่อย ฉันเห็นแกร่านดีนักก็เลยสงเคราะห์ให้ อรุณคงเลี้ยงดูให้แกพออยู่ได้ ฉันใจดีแค่ไหน ยังไม่ขอบคุณอีก’
สารินอ้าปากค้างด้วยความตกใจ รานีรู้เห็นเป็นใจผลักเธอตกนรกทั้งเป็น มีแต่พวกจิตใจต่ำทรามเท่านั้นแหละที่คิดเรื่องสกปรกโสมมแบบนี้ได้
‘ใช่สิ ฉันมันคนทำบุญไม่ขึ้น หวังให้แกได้ผัวดี แต่แกกลับก่อเรื่องทำร้ายผัวฉัน แล้วยังใส่ความฉันกับอรุณอีก ในเมื่อแกไม่รักดีก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ให้พวกมันรุมโทรมก็แล้วกัน’
ตอนนั้นสารินรู้สึกเหมือนถูกตีด้วยไม้หน้าสามแรงๆ จนเนื้อตัวเย็นชืดไปหมด คำว่า ‘กตัญญู’ ที่เคยค้ำคอมาตลอดหลายปีมลายหายไป เหลือแต่ความคับแค้นใจที่ลุกโชติช่วงขึ้นมาแทน
ตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสารินยังไม่รู้สึกว่าชีวิตบัดซบเช่นนี้เลย แต่ทำอย่างไรได้ เธอเชิดหน้าออกจากที่นั่นมาแล้ว ก็จะไม่มีวันกลืนน้ำลายตัวเองกลับไปให้ใครสมน้ำหน้าเด็ดขาด
นับจากนี้สารินจะกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง บอกลาเทพเทวาพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่เคยอ้อนวอน ต่อแต่นี้สารินจะมีตัวเองเป็นศาสดาเท่านั้น
โปรดติดตามต่อไป…
Comments
comments